Summoner Master Forum
November 28, 2024, 04:52:38 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter18 ขุนเขาคำราม @@  (Read 7490 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 04:01:14 AM »

Chapter18  ขุนเขาคำราม


                       ที่ลานกว้างหลังบ้านของครอบครัวบันดารา   วูจินกำลังตรวจดูกระจาดขนาดใหญ่ที่เรียงรายเป็นตับจนพื้นที่หลังบ้านดูคับแคบไปถนัดตา   ในกระจาดเหล่านั้นเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรนานาชนิด   ข้างตัวของวูจินมีเสาต้นเล็กๆที่แขวนตะกร้าขนาดย่อมๆเรียงไล่ขนาดกันอยู่เจ็ดชั้น   แต่ละชั้นนั้นก็เต็มไปด้วยรากใบไม้ดอกนานาพันธุ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงยาสมุนไพรทั้งสิ้น   ท่านผู้เฒ่าใช้มือซ้ายหยิบใบไม้ที่เริ่มแห้งใบหนึ่งขึ้นมาจากตะกร้าชั้นบนสุดมาพิจารณาดู   พลางใช้นิ้วมือลูบไปตามผิวใบอย่างเบามือก่อนจะหงายดูคราบฝุ่นที่ติดอยู่บนนิ้ว   คิ้วสีเทาขมวดเล็กน้อย
                       “ท่านปู่ครับ” ฮารีซันเอ่ยเรียกพลางเดินหลบกระจาดสมุนไพรขนาดใหญ่ที่วางขวางทางอยู่
                       วูจินหันไปถามหลานชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มีอะไรรึ  ฮารีซัน”  
                       “ผมจะมาบอกท่านปู่เรื่องการเตรียมตัวตั้งรับเหตุฉุกเฉินของบรรดาเผ่าต่างๆครับ”   ฮารีซันกล่าวไม่เต็มเสียงนัก
                       “ว่าอย่างไรล่ะ   เตรียมพร้อมไปถึงไหนกันแล้วรึ?” วูจินถามอย่างใคร่รู้
                       “หลังจากวันที่ท่านแองโกริออนปรากฎตัวนี่ก็ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้ว   พอทุกๆคนเห็นว่าเหตุการณ์ยังสงบดีจึงได้ล้มเลิกการเตรียมพร้อมกันกว่าครึ่ง   ส่วนที่เหลือก็เตรียมซ้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินกันแบบพอเป็นพิธีเท่านั้น” ฮารีซันพูดพลางมองไปรอบๆเหมือนจะมองให้ทะลุแมกไม้ไปถึงเผ่าต่างๆ
                       “เฮ้อ...พวกเราก็เป็นเสียอย่างนี้   ช่างลืมกันได้ง่ายดายนัก   ตื่นเต้นตกใจกันได้ไม่กี่วันก็ลืมไม่ใส่ใจ   นี่ละคือข้อเสียของชาวฟูดินันเรา   หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแล้วจะเตรียมตัวกันทันรึ” วูจินพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
                       ฮารีซันนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งด้วยสิ่งที่วูจินกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงที่น่าเหนื่อยใจนัก  
                       “เอาเถอะ   ตอนนี้ก็คงเหลือแต่ภาวนาว่าอย่าให้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นก็แล้วกัน”  วูจินเปรยขึ้น
                       ฮารีซันพยักหน้ารับพลางถามขึ้น “เมื่อสักครู่นี้ท่านปู่ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
                       “ปู่กำลังดูสมุนไพรพวกนี้   มันมีบางอย่างผิดปกติไป”  วูจินกล่าวพลางหยิบใบไม้ใบหนึ่งส่งให้หลานชาย   ฮารีซันรับมาพิจารณาดู  เขาพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังหากแต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
                       “อย่ามองเพียงแค่ลักษณะรูปร่างของมัน”  วูจินหยิบใบไม้จากมือของหลานชายขึ้นมาพลางใช้มือลูบเบาๆที่ผิวของใบไม้แล้วจึงหงายมือให้ดู
                       “ฝุ่นดินหรือครับท่านปู่”  ฮารีซันเงยหน้าขึ้นถาม
                       “ใช่   แต่ว่ามันไม่ใช่ฝุ่นดินของที่นี่” วูจินใช้นิ้วมือถูกเข้าด้วยกันเพื่อพิจารณาฝุ่นดินให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น “มันมาจากที่นั่น” วูจินชี้มือไปทางเหนือยอดเขาคีรีบันดา
                       “ท่านปู่   มันจะเกี่ยวกับการที่เทพแองโกริออนปรากฎตัวรึเปล่าครับ” ฮารีซันถาม
                       “ปู่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน   สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้ก็คือเตรียมพร้อมและรอเท่านั้น”  




                       ขณะนี้อีกฟากของเทือกเขา  มหากองทัพแห่งซาโลมกำลังเคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว   มุ่งสู่เทือกเขาคีรีบันดาที่ตั้งสูงตระหง่านเบื้องหน้าอันเป็นปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่งยิ่งของฟูดินัน   เสียงฝีเท้าเรือนแสนที่ย่ำผ่านผืนทรายดังสะเทือนเลื่อนลั่น   ฝุ่นทรายตลบอบอวลจนดูเหมือนพายุทะเลทรายที่ได้หอบเอาเม็ดทรายนับล้านๆพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า   หมู่ธงรูปวิหคเพลิงนับร้อยนับพันโบกสบัดรับกับไอแดดและผืนทรายที่ร้อนระอุ   อีกทั้งเหล่าทหารในชุดสีแดงสดนับแสนที่กำลังเดินทัพมุ่งสู่ที่หมายอย่างฮึกเหิมทำให้ทั่วทั้งผืนทะเลทรายแห่งนี้ดูราวกับลุกเป็นไฟ    
                       ซาดินยกมือขึ้นป้องแดดเงยหน้ามองเทือกเขาขนาดมหึมาเบื้องหน้า   บนยอดเขามีเมฆลอยเรี่ยอยู่  สีเขียวเข้มอันบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ปกคลุมเหนือยอดเขาเป็นแนวยาว   หากแต่ต่ำลงมากลับเริ่มมีสีเขียวของพืชอ่อนลง   สีน้ำตาลของดินเริ่มมีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ   ที่สุดจึงเหลือแต่ดินทรายตั้งแต่ช่วงกลางของเทือกเขาจนสุดตีนเขา   กษัตริย์หนุ่มไล่สายตาไปยังขอบเทือกเขาทั้งสองด้านที่ทอดตัวยาวจนสุดลูกหูลูกตา  
                       “ปราการธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ” ซาดินพูดพลางหรี่ตาเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก  ก่อนที่จะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณตั้งค่าย
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 04:02:29 AM »

                       ทันใดนั้น  เสียงแตรเขามาสติคอร์หางมรณะ(Dead Tail Masticore)ก็ดังกังวานเป็นสัญญาณให้ทหารหยุดพักและเตรียมตั้งค่าย   เสียงแตรจากฝ่ายต่างๆก็ดังขานรับเป็นสัญญาณแทบจะทันที   บลาส เซจ และแบล็ค ไวเซอร์พร้อมนกปีศาจคู่ใจก้าวลงจากรถแล้วก็รีบไปสมทบกับซาดินและเนริมอร์อย่างรวดเร็ว  
                       ที่นั่นเอง  ราโชยูได้ไปถึงอยู่ก่อนแล้วและกำลังรับคำสั่งของซาดินอยู่   เมื่อบลาส เซจและแบล็ค ไวเซอร์ไปถึง   ซาดินก็สั่งงานราโชยูเสร็จพอดี   แม่ทัพใหญ่ทำความเคารพอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไป   ในขณะที่ซาดินเหลือบมาเห็นทั้งสองเดินเข้ามาพอดี
                       “พรุ่งนี้เช้ามืดข้าจะส่งกองสอดแนมขึ้นไปสำรวจบนเทือกเขานั่นก่อน  พร้อมกับขึ้นไปเตรียมกรุยทางเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสัตว์ใหญ่ อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียง   เมื่อแสงสว่างมากพอที่จะเริ่มมองเห็นทางได้ก็ให้ขึ้นสำรวจทันที   ข้าไม่อยากเสียเวลากับการข้ามเทือกเขานี้นานนัก  ข้าสั่งให้ราโชยูจัดกองสอดแนมเรียบร้อยแล้ว   จากนั้นอีกวันหนึ่งทัพใหญ่จึงค่อยเคลื่อนตามขึ้นไป   พวกท่านเห็นว่าอย่างไร?”
                       “ฝ่าบาททรงกระทำการรอบคอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาทคาดว่าเราจะใช้เวลาเคลื่อนพลถึงยอดเขาเท่าไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ”  บลาส เซจถาม
                       ซาดินเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า “อย่างเร็วก็14วันกว่าจะขึ้นถึงยอดเขา  แต่นั่นหมายความว่าหนทางจะต้องสะดวกราบรื่น”
                       “ฝ่าบาท   กระโจมของพระองค์และของพระนางตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  ราโชยูเข้ามารายงาน  “ของท่านทั้งสองก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน”  
                       “ดี   ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราค่อยมาหารือกันอีกครั้ง” ซาดินตัดบท  ก่อนจะหันหน้าไปหาแม่ทัพใหญ่ “สั่งทหารให้พักผ่อนให้เพียงพอ   เราจะเคลื่อนทัพขึ้นเขาในวันมะรืนนี้”
                       เมื่อสิ้นคำกษัตริย์หนุ่มก็เดินจากไปทันที   โดยมีเนริมอร์เดินตามออกไปด้วยอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่านางไม่ค่อยอยากจะเสวนากับพ่อมดดำและอุปราชเฒ่าเท่าใดนัก



                       รุ่งเช้าของวันใหม่กองสอดแนมของซาโลมราวสามกองพันก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาทันที   เหล่าทหารผู้มีใจหื่นกระหายในสงครามต่างเร่งฝีเท้าเพื่อจะพิชิตยอดเขาให้เร็วที่สุด   พวกเขาแผ้วถางป่าเตรียมทางให้แก่ทัพใหญ่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย    สัตว์น้อยใหญ่ที่ผ่านมาหรือขวางทางต่างถูกกำจัดสิ้น   บ้างก็ถูกจับมาเป็นอาหาร   ไม่ว่าจะเป็น ค๊อกคาทริส(Cockatrice) , อีบองก้า(Ebonga), กวางคารา(Kara Antelope), เต่าเม่น(Spiky Chelonia) ,กริฟฟินหิน(Hard Rock Giffin) ,โคล่าสแควร์เรล หรือแม้กระทั่งหนูดินตัวเล็กๆก็มิอาจรอดพ้นเงื้อมมือของกองกำลังแห่งซาโลมไปได้เลย


                       เช้าวันต่อมามหากองทัพแห่งซาโลมก็โห่ร้องลั่นกองชัยเสียงดังอื้ออึ้งสะท้อนก้องกังวานไปทั่วขุนเขา   และออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาคีรีบันดาอย่างรวดเร็ว   มหากองทัพแทบจะเคลื่อนพลทั้งกลางวันกลางคืน   หนทางสู่ยอดเขานั้นช่างสะดวกโยธินนัก   ด้านฝ่ายกองสอดแนมนั้นก็ส่งข่าวรายงานเหตุการณ์และอุปสรรคเบื้องหน้าอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้อุปสรรคต่างๆถูกเตรียมการแก้ไขได้ทันการณ์   มหากองทัพจึงเคลื่อนพลได้เร็วกว่ากำหนดยิ่งขึ้น   หากแต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วันที่5แห่งการเคลื่อนทัพนั้นก็เริ่มมีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น   ในช่วงสายของวันที่ห้านั้นเองได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นครั้งหนึ่ง  และในวันที่หกก็เช่นกันที่ได้เกิดแผ่นดินไหวถึงสองครั้งในตอนบ่ายของวันนั้น   อย่างไรก็ดีทุกคนก็มิได้ติดใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก   เนื่องจากเห็นว่าคงจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของภูมิภาคนี้เอง   ทว่ายิ่งเดินทางเข้าใกล้ยอดเขามากเท่าไหร่   แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นและถี่ขึ้นตามลำดับ  
                       ในเช้าตรู่ของวันที่สิบ   ทั้งกองทัพก็ต้องตื่นขึ้นด้วยความตระหนกตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามดังสะท้อนมาจากทางยอดเขาที่สลับซับซ้อนของคีรีบันดา   แต่ทว่าข่าวที่กองสอดแนมส่งมาก็ยังมิพบสิ่งผิดปกติใดๆเลย   มหากองทัพแห่งซาโลมจึงยังคงมุ่งหน้าต่อไป   และในวันที่สิบเอ็ดนั้นก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้ง   แต่ครั้งนี้ยาวนานกว่าและรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ   พร้อมกับเกิดเสียงร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่ง   ซึ่งดังกังวานและชัดเจนกว่าที่ผ่านๆมาจนดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้อยู่ใกล้เพียงคืบ   เสียงร้องคำรามดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าติดต่อกันราวเกือบครึ่งชั่วโมงจึงสงบลง    เมื่อสิ้นเสียงคำรามสุดท้ายทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยตระหนกและงงงวยด้วยว่ามิอาจอธิบายเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ  
เนริมอร์ออกมาจากกระโจมของตนที่อยู่ทางปีกขวาของค่ายที่พักแล้วเดินไปสบทบกับซาดิน ราโชยู บลาส เซจ และแบล็ค ไวเซอร์ที่ยืนสนทนากันอยู่ก่อนแล้ว  
                       “นั่นมันเสียงอะไรกัน” เนริมอร์รีบถามอย่างตื่นตระหนก   หากแต่ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบมิอาจให้คำตอบแก่นางได้    
                       “ราโชยู   ส่งกองทหารขึ้นไปเรียกกองสอดแนมกลับมา   ข้าต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและต้องโดยเร็วที่สุดด้วย” ซาดินพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
                       “พ่ะย่ะค่ะ”  ราโชยูทำความเคารพก่อนจะรีบเร่งออกไปจัดทัพเล็ก
                       กองทหารชุดใหม่อันประกอบไปด้วยมือเพชฌฆาตแห่งซาโลมสองร้อยนาย  กองนกโมฮาแปดร้อยนาย และทหารชั้นเลวสี่พันนาย  ถูกส่งขึ้นไปติดตามกองสอดแนมทันที   แต่ทว่าแผ่นดินไหวและเสียงร้องคำรามอย่างรุนแรงก็ยังคงเกิดขึ้นในวันต่อมา   พร้อมกับการเงียบหายของกองทัพทั้งสองกอง    ซาดินนั้นร้อนใจยิ่งนัก   เนื่องว่าความอยากรู้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคอยกระตุ้นความอยากในสงครามของเขามากขึ้นทุกที   ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซาดินจึงสั่งให้ราโชยูจัดทัพเล็กขึ้นอีกหนึ่งกองทัพเพื่อขึ้นไปเร่งกองทัพที่ล่วงหน้าไปก่อนทั้งสองกองให้กลับมา  
                       รุ่งสางของวันที่สิบห้า แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและเสียงร้องคำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง   แรงสั่นสะเทือนและเสียงคำรามที่ดังกึงก้องนั้นทำเอาทุกคนในกองทัพพากันสะดุ้งจนสุดตัว   บ้างก็ชักอาวุธถือดาบออกมายืนจังก้าด้วยคิดว่าข้าศึกเข้าจู่โจม   บ้างก็รีบคว้าชุดเกราะมาสวมกันเป็นพัลวัน   จนกระทั้งแผ่นดินไหวสงบลงจึงได้กลับไปประจำการของตน   ครั้นตกบ่ายราโชยูจึงรีบเข้าเฝ้าซาดินอย่างรีบร้อน   ใบหน้าฉายแววกังวลชัดเจน   เขาคุกเข่าอยู่หน้าฉากกั้นที่แบ่งส่วนห้องรับรองออกจากห้องบรรทม  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 04:03:35 AM »

                      “ฝ่าบาท   กะหม่อมคิดว่าเหตุการณ์นี้ยิ่งทวีความไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกทีแล้วพ่ะย่ะค่ะ   กองทัพที่เราส่งไปทั้งสามกองนั้นไม่ส่งข่าวใดๆกลับมาอีกเลย   กระหม่อมไม่อาจจะเสียเวลาและทหารไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้   ขอฝ่าบาททรงมีบัญชาให้กระหม่อมนำทัพขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองเถิดว่ามันเกิดอะไรข้างบนนั้นกันแน่”  ราโชยูกล่าวอย่างร้อนใจ
                      “ไม่ต้อง   ข้าจะไปเอง”  กษัตริย์แห่งซาโลมในชุดเกราะเต็มยศก้าวออกมาจากหลังฉาก “ข้าจะไม่ทนรออยู่ที่นี่อีกต่อไป  ข้าเบื่อเต็มทีกับการรอคอย   จัดทัพให้ข้าเดี๋ยวนี้”  ซาดินออกคำสั่งด้วยเสียงหงุดหงิด
                      ราโชยูนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะรีบปรามเสียงแข็ง “ฝ่าบาทมันอันตรายเกินไปที่พระองค์จะเสด็จไปเองพระองค์เดียวเช่นนี้   เรายังไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างบนนั้น   หากเกิดอะไรขึ้นจะแก้ไขลำบาก   ทรงไตร่ตรองใหม่อีกครั้งเถิด”
                      ซาดินมีสีหน้าขุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด   ก่อนที่จะกระแทกตัวลงนั่งบนเบาะทรงกลมใบใหญ่ที่แท่นบัลลังก์ในห้องรับรอง   “ไปเรียกทุกคนมา”  ซาดินออกคำสั่งด้วยความขัดใจยิ่ง

                      เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว   ซาดินจึงบอกความประสงค์ของตนทันที   “ข้าจะนำทัพขึ้นไปดูให้เห็นกับตาเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนนั้น”
                      “มันอันตรายเกินไป   ท่านจะนำทัพขึ้นไปคนเดียวโดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอย่างนั้นหรือ” เนริมอร์แย้งขึ้น
                      “แล้วเจ้าจะให้ข้านั่งรอไปถึงเมื่อไหร่กัน” ซาดินกล่าวอย่างไม่พอใจ  
                      ด้านแบล็ค ไวเซอร์เมื่อรู้ถึงความประสงค์ของซาดินก็รีบเหลือบมองบลาส เซจทันทีนัยว่าจะขอความเห็น  ด้วยหากซาดินเกิดเป็นอะไรขึ้นมา  แผนการที่จะตีฟีเลเซียคงต้องชะงักงันไปอีกนาน
                      “อย่างน้อยก็น่าจะให้ใครติดตามพระองค์ไปด้วย   เพื่อความไม่ประมาท” บลาส เซจเสนอความเห็นขึ้น
                      ซาดินมองทุกๆคนอย่างประหลาดใจ   นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันเช่นนี้  แม้แต่คู่กัดตลอดกาลอย่างเนริมอร์และบลาส เซจยังมีความเห็นคล้ายคลึงกัน
                      “ก็ได้   ถ้าเช่นนั้นบลาส เซจ และแบล็คไวเซอร์เจ้าทั้งสองไปกับข้า   ส่วนเนริมอร์และราโชยู   พวกเจ้าอยู่คุมทัพใหญ่ที่นี่” เมื่อทุกคนไม่คัดค้าน  ซาดินจึงสั่งการทันที “เอาล่ะ! ราโชยูรีบไปจัดทัพให้ข้า   ข้าจะออกเดินทางทันทีที่จัดทัพเสร็จ  ส่วนเจ้าทั้งสองเตรียมตัวให้พร้อมโดยเร็วที่สุดแล้วมารายงานตัวที่นี่”
                      “พ่ะย่ะค่ะ”  ทั้งสามรับคำโดยพร้อมเพรียงกัน  ก่อนที่จะแยกย้ายไปจัดการงานของตน

                      ภายในเวลาเพียงสามสิบนาที  ทัพของซาดินก็พร้อมออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาคีรีบันดา   กองทัพใหญ่อันประกอบด้วยกองนกโมฮาหนึ่งพันห้าร้อยนาย มังกรซาลามันเดอร่ายี่สิบตัว มือเพชฌฆาตแห่งซาโลมสองร้อยนาย นักรบเพลิงมารสามร้อยนาย ผู้ฝึกสัตว์ห้าสิบนายและฝูงสัตว์ร้ายอีกหนึ่งพันตัว  รวมทั้งทหารชั้นเลวอีกหกพันนาย  โดยซาดินขึ้นขี่ซาลามันเดอร่าของตน  ในขณะที่บลาส เซจและแบล็คไวเซอร์ขึ้นนั่งรถศึกที่ลากด้วยมาสติคอร์หุ้มเกราะ   มุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่สลับซับซ้อนของคีรีบันดาอย่างรวดเร็ว  


                      ช่วงสายของวันที่สิบเจ็ดซาดินก็นำทัพขึ้นไปถึงช่องเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขาคีรีบันดา   ในช่องเขานี้มีร่องรอยการผ่านมาของกองทัพแห่งซาโลมไม่ว่าจะเป็นรอยเท้ามากมาย หรือร่องรอยเถ้าถ่านที่เย็นชื้นของกองไฟที่เหล่าทหารก่อทิ้งไว้   สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณอันบ่งบอกว่ากองทัพได้มุ่งหน้ามาถูกทางแล้วนั่นเอง  
                      ขณะที่กองทัพเคลื่อนลึกเข้าไปในช่องเขานั้น   กลิ่นคาวเลือดรุนแรงคละคลุ้งก็เริ่มโชยมาเป็นระยะๆ  ร่องรอยของหินถล่มที่กองทับกันระเกะระกะตามช่องเขาเกลื่อนไปหมด   เหล่าทหารเริ่มระวังตัวกันมากขึ้น  ต่างก็เหลียวซ้ายแลขวามองหาสิ่งผิดปกติใดๆที่อาจเกิดขึ้นด้วยทุกเมื่อ   พวกมังกรและเหล่าสัตว์เริ่มมีอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย   แม้แต่วิหคโลกันต์ของแบล็ค ไวเซอร์เองก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนเช่นกัน
                      เพียงแค่เลี้ยวโค้งตรงช่องเขาต่อมา   เหล่าทหารหน่วยหน้าก็ต้องตกตะลึงยืนนิ่งจนทำให้ขบวนทัพต้องชะงักไปทั้งขบวน   ลมที่พัดผ่านช่องเขาพาเอากลิ่นคาวเลือดและซากเนื้อเน่าที่เหม็นรุนแรงจนแสบจมูกกระจายไปทั่วบริเวณ    ใจของซาดินนั้นอยากจะเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้ายิ่งนัก   จึงเร่งส่งสัญญาณให้เดินทัพต่อทันที   ทัพหน้าเมื่อตั้งสติได้ก็เดินทัพต่อหากแต่ความเร็วของฝีเท้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด   จนกระทั่งเมื่อซาดินเลี้ยวโค้งมาได้  กษัตริย์หนุ่มถึงกับผงะกับภาพตรงหน้า   ซากศพแหลกเหลวของกองทัพซาโลมกระจัดกระจายไปทั่วช่องเขานั้น   รอยเลือดสาดกระเซ็นทั่วไปหมดไม่ว่าจะเป็นตามพื้นที่กินเนื้อที่ยาวจนสุดขอบโค้ง  ผนังทั้งสองข้างตั้งแต่พื้นดินจนสูงขึ้นไปอีกหลายสิบเมตรล้วนเปรอะไปด้วยคราบเลือดจนดูเหมือนว่าไม่เหลือที่ว่างที่เป็นสีของพื้นดินเลย   ความโกรธแค้นของซาดินพุ่งพล่านขึ้นจนอกแทบระเบิดทันที   เขาขบกรามแน่น เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ก่อนจะระเบิดเสียงตะโกนอย่างแค้นเคืองดังกึกก้อง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 04:05:13 AM »

                     “ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร   มันต้องตาย!!!”
                     เสียงโห่ร้องของทหารเรือนหมื่นก็ดังสนั่นรับคำของซาดิน   ทันใดนั้นเสียงร้องคำรามดังกึกก้องกัมปนาทก็ลั่นรับกลับมาพร้อมกับแผ่นดินไหวอย่างแรง   ฝุ่นดินจากเศษหินและดินที่ร่วงลงมาทำให้ฝุ่นสีน้ำตาลกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ   ในชั่วเสี้ยววินาทีที่ฝุ่นดินจางไปนั้นก็ปรากฏร่างมหึมาของมังกรยักษ์สองหัวสีน้ำตาลขึ้นตรงเบื้องหน้ากองทัพห่างออกไปเพียงยี่สิบเมตรเท่านั้น   เสียงโห่ร้องของซาดินและเหล่าทหารเงียบสนิทลงทันที   ต่างก็อ้าปากค้างตกตะลึงกับความใหญ่โตมโหฬารของมังกรยักษ์ตัวนี้   ขนาดที่ใหญ่โตของมันทำให้ดูเหมือนกับว่ามีคนยกเอาภูเขาทั้งลูกมาตั้งไว้ข้างหน้า   ดวงตาทั้งสี่ของมันกลอกไปมาอย่างลุกลน   เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดน่ากลัว   แรงลมที่เกิดจากการหายใจของมันทำเอาทหารที่อยู่แถวหน้าถึงกับยึดโล่ห์ของพวกตนไว้ไม่อยู่จนโล่ห์ปลิวไปอันละทิศละทาง   ปากที่ใหญ่โตของมันสามารถจุซาลามันเดอร่าที่โตเต็มที่ได้ถึงคราวละสิบตัวหรืออาจจะมากกว่านั้น   มันค่อยๆย่างก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ   ทุกๆย่างก้าวของมันทำให้ภูเขาทั้งลูกสะเทือน    ทหารบางคนเริ่มทิ้งอาวุธและวิ่งหนี  บางคนก็หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก  
                     ข้างฝ่ายซาดินนั้นมีความบ้าดีเดือดเป็นทุนอยู่แล้ว   ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับความโกรธแค้นที่เสียทหารเป็นหมื่นๆไปอย่างไร้ประโยชน์  ซ้ำทหารใจเสาะที่เริ่มทิ้งอาวุธวิ่งหนีเอาตัวรอดไปก่อนเช่นนี้ก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นบ้าเลือดขึ้นเป็นทวีคูณ   ซาดินชูกระบองขึ้นจนสุดแขน
                     “ฆ่ามัน!!!”
                     ทหารบางคนที่ฮึดสู้ก็โห่ร้องรับคำสั่งของซาดิน   แทบจะทันทีเจ้ามังกรใหญ่ก็คลุ้มคลั่งกระทืบเท้าไปมา   หัวข้างหนึ่งสะบัดฟาดใส่ผนังผาด้านหนึ่ง   หัวอีกข้างก็เงยขึ้นร้องคำรามเสียงดังสนั่น   ก่อนจะกระโจนใส่ทัพหน้าไล่กัดทหารเป็นพัลวัน เท้าอันมหึมาของมันเหยียบย่ำทหารแหลกเหลว เหมือนมดปลวก   กองทัพแห่งซาโลมบัดนี้ดูราวกับฝูงมดที่แตกรัง   ต่างก็วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง   ทหารบางคนที่หนีไม่ทันก็ถูกมังกรยักษ์เหยียบจนร่างแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี   บ้างก็ถูกหินถล่มทับ   บ้างก็ถูกกัดตาย      
                     ซาดินเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ยิ่งโกรธจนตัวสั่นรีบขี่ซาลามันเดอร่าเข้าไปหาหมายจะสู้กับเจ้ามังกรยักษ์   แต่ทว่าซาลามันเดอร่ากลับตื่นตกใจไม่ยอมเดินเข้าไปหามังกรยักษ์   บลาส เซจเห็นดังนั้นจึงรีบปรามอย่างร้อนรน
                     “ฝ่าบาท   ถอนทัพก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
                     หากแต่ซาดินยังไม่ฟังเสียงและพยายามบังคับซาลามันเดอร่าให้เดินตรงไป   บลาส เซจมองไปยังมังกรยักษ์ที่เดินเข้ามาใกล้ทุกที   ขณะนี้มันกำลังกระแทกตัวใส่ผนังผาด้านขวาอย่างแรงจนดูราวกับภูเขาลูกหนึ่งกำลังพุงชนภูเขาอีกลูกหนึ่งให้หายไป
                     “ฝ่าบาท  ได้โปรดเถิด  มิฉะนั้นพวกเราจะพากันตายทั้งหมด”
ซาดินกำกระบองแน่นอย่างโกรธแค้น   ก่อนที่จะตะโกนสุดเสียง
                     “ถอย!!”


                     ณ กระโจมกลางค่ายทหารของซาโลม   เหล่าแม่ทัพต่างอยู่กันพร้อมหน้า   ทุกคนต่างนั่งประจำที่ของตนบนเบาะทรงกลมสีแดงหม่นๆเรียงลดหลันกันไปตามลำดับยศ   บนบัลลังก์นั้นเองซาดินนั่งอยู่บนเบาะทรงกลมสีแดงสดขนาดใหญ่โดยเนริมอร์นั่งอยู่บนเบาะสีแดงอีกใบที่เยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อย
                     บรรยากาศในกระโจมเวลานี้อึมครึมชวนให้น่าอึดอัดยิ่ง   สาเหตุก็เป็นเพราะขณะนี้ซาดินโกรธจัดราวกับภูเขาไฟคุ กรุ่นที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
                     “นั่นมันตัวบ้าอะไรกัน!!!”  ซาดินคำรามสุดเสียงพร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งฟาดใส่โต๊ะข้างเบาะที่นั่งเต็มแรงจนโต๊ะหักเป็นเสี่ยงๆ   เหล่าแม่ทัพต่างสะดุ้งกันโหยงก่อนจะนิ่งเงียบมิกล้าปริปากใดๆ   เนริมอร์มองผู้เป็นสามีจากทางเบื้องหลังอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก   ภาพกองทหารแตกทัพที่วิ่งหนีลงมาจากยอดเขาอย่างอลหม่าน   ต่างก็พกช้ำดำเขียวกันไปตามๆกัน   บ้างถึงกับแข้งขาขาดก็มี   กองทัพเรือนหมื่นเหลือกลับมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น  ทว่าแม้แต่ทั้งตัวนางและแม่ทัพคู่ใจอย่างราโชยูก็ยังมิกล้าถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนยอดเขาคีรีบันดากับซาดินผู้ซึ่งพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่ใครก็ได้ในขณะนี้  
แบล็ค ไวเซอร์ผู้นั่งขมวดคิ้วแน่นตั้งแต่กลับลงมาจากยอดเขาราวกับคนที่พยายามจะรำลึกถึงอะไรบางอย่าง   ในที่สุดก็พูดเปรยออกมาเบาๆอย่างไม่ใคร่แน่ใจนัก “หรือว่าตำนานนั่นจะเป็นเรื่องจริง”
                     “ตำนานบ้าอะไร!!”  ซาดินตวัดเสียงใส่
                     “ทูลฝ่าบาท   เมื่อยังเด็กกระหม่อมเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงตำนานโบราณว่าบนเขาคีรีบันดามีเทพผู้พิทักษ์อยู่   แต่ก็ไม่เคยมีใครได้เห็นเทพผู้พิทักษ์ยอดเขานี้เลย   จนกระหม่อมคิดว่าน่าจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้านมากกว่า”
                     “แล้วยังไง  มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้อะไรมากขึ้นไปกว่าตอนนี้เลยสักนิด”  ซาดินกล่าวขุ่นเคือง
                     “บางทีกระหม่อมอาจจะเรียกอสูรกึ่งภูติที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มาสอบถามได้”
                     “ก็รีบจัดการเข้าสิ”  ซาดินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้น
                     “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทหารที่ไร้ประโยชน์จากพระองค์สักสี่ห้าคนพ่ะย่ะค่ะ”
                     ซาดินมองแบล็ค ไวเซอร์อย่างชั่งใจครู่หนึ่ง  “ได้!”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: December 19, 2004, 04:06:58 AM »

                     เพียงไม่กี่นาทีทหารที่บาดเจ็บถึงขั้นพิการสี่คนก็ถูกหามเข้ามาภายในกระโจม   ทั้งสี่ต่างมองรอบกายอย่างกลัวๆกล้าๆด้วยมิรู้จุดประสงค์ที่ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า   แบล็ค ไวเซอร์มองทหารเหล่านั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยกล่าวว่า
                     “วันนี้พวกเจ้าได้รับเลือกให้รับใช้กองทัพและองค์ซาดิน   จงภูมิใจซะ”
                     เมื่อกล่าวจบแบล็ค ไวเซอร์ก็ท่องคาถาพลางวาดวงอาคมวงใหญ่ขึ้นสองวง  วงหนึ่งล้อมรอบทหารทั้งสี่คน  อีกวงมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย   พ่อมดดำวาดเส้นขอบวงทั้งสองให้สัมผัสชิดกันพอดี   เสียงนกนรกคู่ใจก็ก็เริ่มร้องเสียงดังชวนขนลุก   ทหารทั้งสี่คนเริ่มเห็นท่าไม่ดีก็เริ่มมองหาทางหนีทีไล่   สักพักก็มีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาจากใจกลางวงเวทย์ที่สองนั้นเป็นละลอกๆพุ่งขึ้นไปเหนือเพดานว่ายวนเป็นวง   แต่หากสังเกตดูดีๆแล้วควันเหล่านั้นคือวิญญาณที่มีแต่หัวโดยมีไอสีขาวยาวเป็นทางคล้ายหางว่ายวนอยู่บนเพดานนั่นเอง   ทันใดนั้นก็มีกลุ่มควันมากมายพวยพุ่งขึ้นจากใจกลางวงเวทย์พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบๆดังออกมาจากกลุ่มควันนั้น      
                     ครั้นเมื่อกลุ่มควันจางหายไปก็ปรากฏร่างของปรสิตพิษ(Poisoned Parasite)อสูรกึ่งภูตตัวสูงใหญ่   แทบจะทันทีมันก็พ่นไอพิษใส่กลุ่มทหารทั้งสี่แล้วตรงเข้าดึงทึ้งกัดกินอย่างตะกละตะกราม   ทหารทั้งสี่ต่างหวาดกลัวคลานหนีเอาตัวรอดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย   แต่ก็ถูกกลุ่มกระโหลกวิญญาณที่ลอยวนเวียนอยู่กดทับร่างจนหนีไปไหนไม่ได้   จึงได้แต่ร้องเรียกให้คนช่วย   บ้างก็ร้องขอความเมตตาจากซาดินและเนริมอร์  บ้างก็กรีดร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด   ทุกคนในกระโจมต่างตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น   บางคนก็สะอิดสะเอียนจนต้องเบือนหน้าหนีแต่ก็มิอาจทำอะไรได้   ข้างฝ่ายซาดินก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน
                     “แบล็ค  ไวเซอร์  นี่เจ้า...”  ซาดินตวาดด้วยความโกรธ
                     “ฝ่าบาท   ถ้าเราต้องการใช้ประโยชน์จากมัน   เราก็จำเป็นต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่น่าพอใจ”
                     ซาดินได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก   ปรสิตพิษกัดกินทหารจนไม่เหลือแม้แต่ซาก   คงเหลือแต่รอยเลือดที่สาดกระจายนองพื้นทั่วไปหมด   มันเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงแห้งๆ   ฉับพลันก็มีกะโหลกวิญญาณพุ่งออกมาจากปากมันถึงสี่ดวง   ซึ่งก็คือวิญญาณของทหารทั้งสี่ที่มันกินเข้าไปนั่นเอง   กะโหลกวิญญาณทั้งสี่ก็แหวกว่ายอากาศไปรวมกลุ่มกับกะโหลกวิญญาณอื่นๆที่ว่ายวนอยู่รอบตัวอสูรกึ่งภูตราวกับทาสผู้ซื่อสัตย์   ปรสิตพิษหัวเราะเสียงแห้งอย่างชอบใจ  
                     “เจ้ามีกิจอันใดกับข้า” อสูรกึ่งภูตกล่าวเสียงแหบแห้งจนแทบจะต้องเงี่ยหูฟัง
                     ทันทีที่มันพูด   วิหคโลกันต์ของแบล็ค ไวเซอร์ก็ตีปีกส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับจะกล่าวทักทาย   ทำเอาบรรยากาศที่ดูวังเวงอยู่แล้วยิ่งชวนขนลุกยิ่งขึ้น
                     “วันนี้พวกข้าได้ยกทัพขึ้นสู่ยอดเขา และได้พบกับมังกรสองหัวตัวใหญ่มหึมา   ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้ามังกรยักษ์ที่อยู่บนยอดเขานั่นคือตัวอะไร”
                     “แหะ แหะ แหะ” เสียงหัวเราะแหบแห้งของปรสิตพิษฟังดูยียวน  เหมือนมันกำลังหัวเราะเยาะ “ข้าเห็นแล้ว  พวกเจ้าหนีกันไม่เป็นท่าเลย”
                     เมื่อกษัตริย์หนุ่มได้ยินดังนั้นความอับอายอดสูก็โถมเข้าใส่เพลิงโกรธดังน้ำมันราดรดบนกองไฟ  
                     “มันคือตัวอะไร!”  ซาดินตวาดเสียงดัง  
                     ปรสิตพิษถึงกับผงะด้วยว่ามันรู้ดีถึงความเก่งกาจของซาดินโดยการรำลึกความทรงจำที่ได้จากทหารทั้งสี่ที่มันกินเข้าไป   มันจึงค่อยตอบคำถามอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น
                     “มันคือ มังกรสองหัวไพทอน มังกรเทพผู้พิทักษ์เทือกเขาคีรีบันดา    มันเป็นมังกรที่กินแต่พืชหญ้าเป็นอาหาร  ไม่เคยทำลายสิ่งมีชีวิตและไม่เคยออกจากบริเวณหุบเขาเลย”
                     “โกหก!! มันทำลายกองทัพของข้าไปถึงสี่กองทัพ”   ซาดินตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด  พลางเอื้อมมือไปหยิบกระบองคู่กายอย่างรวดเร็ว “หากเจ้ายังมั่วแต่เล่นลิ้นไม่บอกความจริง  ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
                     ปรสิตพิษผงะถอยอีกครั้ง  รีบละล่ำละลักพูดน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่ได้โกหก   เพียงแต่ว่ามังกรไพทอนนี้จะมีสัมผัสไวต่อสภาวะจิตของสิ่งมีชีวิต   หากมีจิตใจที่ไร้พิษสง เช่นชาวบ้านที่เก็บฟืนหรือหาของป่าเข้ามาใกล้  มันก็จะไม่ทำอันตรายใดๆ   แต่หากมีจิตที่หวาดกลัวว้าวุ่น  เช่นเวลาจะมีภัยธรรมชาติ  พวกสัตว์น้อยใหญ่จะมีสัมผัสก่อน   ก็พากันหนีอพยพ ความหวาดกลัวของพวกสัตว์จะส่งผลต่อไพทอน มันก็จะรู้สึกกดดันอึดอัดส่งเสียงร้องและกระสับกระส่าย   หรือถ้ามีมนุษย์จำนวนมากๆขึ้นล่าสัตว์ ก็เกิดผลดุจเดียวกัน   ดังนั้น พวกฟูดินันจึงมีธรรมเนียมไม่ออกล่าสัตว์พร้อมกันเกินสามคน  ส่วนเมื่อคราวที่พวกท่านขึ้นไปบนยอดเขานั้น  จิตที่กระหายเลือดกระหายสงครามนับแสนที่ถูกปลุกเร้าเพื่อการรบทำให้ไพทอนคลุ้มคลั่ง  เมื่อพวกทหารยิ่งมีจิตใจจะต่อสู้มันก็ยิ่งโกรธอาละวาดจนพินาศสิ้นอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ”
                     “หมายความว่า ถ้ามีจิตใจจะสู้รบก็ไม่มีทางเข้าใกล้มันเลยสิ  แล้วเราจะปราบมันได้อย่างไร….จริงสิ! มันมีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน” ซาดินถามอย่างมีความหวัง
                     “ไม่มี” ปรสิตพิษตอบห้วนๆ
                     “นี่เจ้าจะบอกว่า ไม่มีทางที่เราจะนำกำลังรบ ผ่านเทือกเขานี่ได้เลยรึ” ซาดินเริ่มหัวเสียอีกครั้ง
                     “เท่าที่ข้ารู้   คือไม่มี”  ปรสิตพิษตอบ “นอกจากท่านจะส่งคนที่ไม่มีจิตใจจะรบผ่านไปนั่นแหละ   นั่นแปลว่าท่านต้องส่งชาวบ้านให้เดินข้ามไม่ใช่ทหาร และนั่นหมายถึงตัวท่านเองคงไม่มีทางผ่านได้แน่   เพราะแค่ใจกระหายสงครามของท่านคนเดียวก็เพียงพอจะทำให้มันอาละวาดทำลายทั้งกองทัพ”
                     ซาดิน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่ง  นิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นมีทางอื่นที่สามารถข้ามไปฝั่งฟูดินันได้อีกหรือไม่”  
                     “มีอีกทางคือท่านต้องเดินทัพอ้อมเทือกเขาไปทางตะวันตกแล้วลงใต้   ผ่านที่ราบระหว่างฟีเลเซียและฟูดินัน   แล้วจึงย้อนเข้าฟูดินันอีกที”
                     “ไม่....ทางนั้นใช้เวลามากเกินไป  ทั้งเสบียงอาหารก็จะพาลหมดเสียก่อน   ไหนจะต้องผ่านดินแดนของฟีเลเซียอีก  ปัดโธ่! นี่เราจะผ่านมังกรตัวนี้ไปได้อย่างไรกัน”  ซาดินกล่าวอย่างว้าวุ่นใจนัก  
                     “นั่นเป็นปัญหาที่ท่านต้องขบคิด   ข้าขอตัว” ปรสิตพิษพูดจบก็รีบพุ่งลงสู่วงเวทย์หายไปพร้อมๆกับเหล่ากระโหลกวิญญาณทั้งหมด   ทิ้งให้ซาดินและเหล่าแม่ทัพขบคิดวิธีแก้ปัญหากันเอง

Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.078 seconds with 21 queries.