Chapter 10 ก้าวแรกแห่งภารกิจ
เมืองท่าแอนดิซองขณะนี้ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามมิแพ้ที่แผ่นดินใหญ่ ริ้วธงหลากสีที่สะบัดพริ้วเพราะลมทะเลตัดกับผืนท้องฟ้าใสดูงดงามยิ่ง นกทะเลสีขาวสะอาดตาที่บินอยู่เหนือผืนน้ำสีครามก็งดงามมิแพ้กัน ตามท้องถนนนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลายชาติหลายภาษา ทุกคนต่างพากันมายืนเฝ้ารอการเสด็จมาของเจ้าหญิงน้อยผู้สำเร็จราชการคนใหม่ แต่กระนั้นก็ยังมิสู้ฝูงชนที่พากันมาเพื่อหวังจะได้เห็นเจ้าหญิงผู้ประเสริฐที่พวกเขาได้ยินได้ฟังกิตติศัพท์มานานนักหนา
เสียงวงดนตรีบรรเลงเพลงประจำราชวงศ์ดังกึกก้อง เรือรบแอนดิซองค่อยๆเข้าเทียบท่าพร้อมกับเหล่าฝูงเงือกที่เริ่มถอนกำลังกลับลงสู่ทะเลลึก เมื่อเรือจอดสนิทดีแล้วเจ้าหญิงอลาน่าก็ค่อยๆเสด็จลงมาตามสะพานที่ประดับประดาด้วยทองคำและไข่มุก จากประตูแห่งราชนาวายาวตลอดจนจรดพื้นดิน แทบจะทันใดเสียงฮือฮาไชโยโห่ร้องก็ดังกึกก้องทั่วบริเวณ ที่ท่าเรือนั้นบัดนี้มีผู้คนแน่นขนัด ทหารรักษาการณ์มากมายยืนเฝ้าอยู่ตามเสาที่มีโซ่ทองเหลืองแบ่งกั้นผู้คนออกเป็นกลุ่มๆ โดยมีพรมสีแดงปูลาดยาวตลอดตั้งแต่เรือใหญ่ทอดไกลไปจนถึงรถเทียมม้าสีทองอร่าม ที่ซี่ล้อประดับด้วยเงินเป็นลวดลายอยู่บนพื้นทองเหลือง รถม้าสีขาวประดับขอบประตูและหน้าต่างเป็นลวดลายสีทอง ฝังผลึก และแก้วเจียระไนเป็นประกายระยิบระยับกับแสงแดด ม่านไหมสีน้ำเงินขลิบทองที่โผล่พ้นหน้าต่างออกมา ก็ปักฉลุอย่างงดงาม ตั้งแต่เรือใหญ่จนถึงราชรถ มีบรรดาครอบครัวผู้สูงศักดิ์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ยืนคอยรับเสด็จอยู่บนพื้นพรมสีแดงยาวไปจนตลอดทาง จากนั้นก็มีโซ่ทองกั้นแยกบรรดาพ่อค้าวาณิช และเหล่าเศรษฐีผู้มั่งมี ที่สวมใส่อาภรณ์สวยงามราคาแพง และประดับประดาร่างกายด้วยอัญมณีหลากหลายราวกับประกวดประชันกัน ถัดไปจึงเป็นโซ่ทองเหลือง ที่กั้นประชาชนทั่วไปที่ยืนรอรับเสด็จอยู่เนืองแน่น ต่อจากนั้นจึงเป็นโซ่เหล็ก ที่กั้นผู้ไม่พึงประสงค์ อันได้แก่ชาวสลัมท่าเรือ เหล่ากรรมกรท่าเรือ หญิงงามเมือง ตลอดจนคนต่างถิ่นที่เร่ร่อนรับจ้าง และพวกคนขอทานประทังชีวิต ยืนออกันแน่นขนัด โดยมีเหล่าทหารถืออาวุธยืนจังก้าดูน่ากลัว ณ บัดนี้ท่าเรือแอนดิซองด้านใต้ อันเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมอริเซียแออัดแน่นขนัดไปด้วยผู้คนนับหมื่น
เจ้าหญิงทรงก้าวช้าๆลงจากสะพานโดยมีซิสเตอร์โรซาน่าเดินตามลงมา เจ้าหญิงทรงหยุดเล็กน้อยพลางทอดพระเนตรยาวไปไกลยังเหล่าผู้คนจรจัดหลังบริเวณโซ่เหล็ก เจ้าหญิงโบกมือและยิ้มให้พวกเขา เหล่าประชาชนก็ส่งเสียงแซ่ซ้องกันอีกครั้ง เจ้าหญิงหันไปกระซิบกับซิสเตอร์ที่เดินตามมาข้างหลัง
ที่นี่มีคนยากจนเยอะกว่าที่คิดนะคะ ซิสเตอร์
ซิสเตอร์มองไกลออกไปก่อนจะกล่าวตอบว่า เพคะ มากกว่ากันนับสิบเท่า นอกจากนี้ ความที่เป็นเมืองท่า ยังมีผู้อพยพต่างถิ่นมากมาย
เจ้าหญิงมีแววแห่งความเมตตาสงสารปรากฏขึ้นในแววตา ก่อนจะหันกลับและก้าวลงสะพานต่อไปโดยมิได้ตอบอันใด
ในบริเวณที่เหล่าขุนนางและข้าราชการยืนอยู่หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของพระมาตุจฉา(น้องสาวของแม่)ของเจ้าหญิง อลาน่านั่นเอง เจ้าหญิงตรงเข้าไปสวมกอดพระมาตุจฉาทันที ข้างสตรีนั้นมีเด็กหญิงหน้าตาสะสวยวัย12 ปีคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าคมของเธอดูบึ้งตึง และดวงตาที่แลดูมีเสน่ห์นั้นไม่มองหน้าอลาน่าเลยแม้แต่น้อย
นี่วิโอเรีย(Vioria) บุตรสาวของน้าเอง
แม้เด็กหญิงจะมีสีหน้าบึ้งตึงแต่ก็ยอมย่อคำนับแต่โดยดี อลาน่ายิ้มให้อย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวว่า
เป็นอะไรไปจ๊ะวิโอเรีย ใครทำอะไรให้ไม่พอใจหรือจ๊ะ
หม่อมฉันมิบังอาจไม่พอใจอะไรได้หรอกเพคะ
หยุดนะวิโอเรีย! เจ้ากำลังทำให้แม่อับอาย ขออภัยแทนนางด้วย นางยังเด็กนักยังไม่รู้จักยั้งคิด
วิโอร่า( Viora)ผู้เป็นน้องสาวของราชินีคอรัลลี่ พระมารดาของเจ้าหญิงอลาน่า กล่าวขออภัยแทนธิดาของตน
ไม่เป็นไรค่ะ อลาน่ากล่าวพลางเอื้อมมือไปจับมือเด็กหญิง ที่ชะงักมือกลับเล็กน้อย หากแต่ก็ยอมให้จับแต่โดยดี ถึงกระนั้นก็ยังคงหันหน้ามองไปทางอื่น พี่เองมาใหม่ที่นี่ ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก คงต้องรบกวนวิโอเรีย ช่วยแนะนำบ้าง