Summoner Master Forum
November 27, 2024, 03:48:50 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter5 เปลวไฟในน้ำตา @@  (Read 6947 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 02:28:23 AM »

Chapter5  เปลวไฟในน้ำตา


                   เมื่อ เนริมอร์ รู้ว่า ซาดิน ตกลงใจจะทำศึกแน่แล้ว     เย็นวันนั้นนางจึงรุดเข้าไปพบ ซาดิน ภายในห้องเขตพระราชฐานชั้นใน    ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเวลาที่ ซาดิน ทำงานอื่นนอกเหนือจากการว่าราชการ
                   “ ซาดิน ” เนริมอร์เอ่ยเรียกผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความร้อนรนกังวลใจ  
                   ซาดิน ซึ่งขณะนั้นกำลังง่วนอยู่กับการดูแผนที่ภูมิประเทศทางการทหารอยู่    จึงมิได้ใส่ใจใดๆมากนัก    เพียงแต่เหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้อย    เมื่อเห็นว่าเป็นภรรยาของตนจึงได้ยืดตัวขึ้น และยิ้มให้
                   “ อ้า! เนริมอร์ เจ้ามาได้จังหวะดีจริงเชียว    ข้ากำลังจะให้ทหารไปตามเจ้าอยู่พอดี ”
                   “ ซาดิน การศึกครั้งนี้ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวนะ ”  เนริมอร์ รีบเอ่ยอย่างร้อนตัว
                   ซาดินขมวดคิ้วลงทันที    ทั้งแปลกใจระคนสงสัยในตัวผู้เป็นภรรยานัก “ ทำไมรึ?  ก่อนนี้เจ้าก็ยินดีที่จะร่วมทัพจับศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ข้าด้วยทุกครั้งครามิใช่หรือ ”
                   “ แต่บัดนี้เรามีลูกแล้วนะ    อิสฮาน ยังเล็กนักท่านจะให้ข้าทิ้งลูกไปได้อย่างไร    ใครจะดูแลเขาเล่า ”
                   “ ก็แม่นมกับพวกนางกำนัลไงเล่า    เจ้าคิดว่าเรามีข้าทาสบริวารไว้ทำไมรึ ”  ซาดิน กล่าวอย่างมิอาทรร้อนใจนัก
                   “ ซาดิน ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้    ท่านมิเคยสนใจไยดีลูกของเราเลย    เมื่อคราวที่ อิสฮาน ล้มป่วย     ข้าให้คนไปตามท่านครั้งแล้วครั้งเล่าท่านก็ไม่มาดูดำดูดีเลย ” เนริมอร์ ตัดพ้อ
                   ซาดิน เอียงศรีษะเล็กน้อยราวกับพยายามรำลึกเหตุการณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ ในตอนนั้นถึงข้าจะอยู่หรือไม่มันก็ไม่ทำให้ อิสฮาน หายป่วยได้เพราะข้าไม่ใช่หมอ ”
                   เนริมอร์ ชะงักนิ่งอึ้งกับวาจาที่เย็นชาของสามี     ซาดิน หันมามองหน้า เนริมอร์ พลางขมวดคิ้วเข้าหากัน
                   “ ข้าก็ตามหมอหลวงให้แล้วอย่างไรเล่า    แล้วอีกอย่างการดูแลลูกก็เป็นหน้าที่ของผู้เป็นแม่มิใช่หรือ ”
                   “ท่านรักลูกของเราบ้างไหม ”  เนริมอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาระคนวิงวอนราวกับจะเป็นตัวแทนของบุตรชายร้องขอความรักจากผู้เป็นบิดาก็มิปาน
                   “เหลวไหล  ความรักเป็นเรื่องโง่เขลาเป็นความรู้สึกของพวกคนอ่อนแอ   มันไม่มีประโยชน์อะไรต่ออนาคตของลูกเรา”
                   คิ้วของ เนริมอร์ ขมวดเข้าหากันดวงตาเบิกกว้าง นางจ้องมองลึกลงไปยังดวงตาของ ซาดิน ราวกับจะเค้นหาความจริง
                   “ นี่ท่านพูดอะไรออกมา ”  ในใจของ เนริมอร์ เจ็บปวดนัก นางพูดพลางจ้องมอง ซาดิน เขม็ง   “ ท่านไม่คิดจะทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อเลยหรือ ”
                   “ ข้ากำลังทำอยู่   เจ้าคิดว่าข้าทำศึกครั้งนี้เพื่อใครกัน ” ซาดิน พูดด้วยระดับเสียงปกติหากแต่แฝงการตำหนิในน้ำเสียงนั้น  “ อนาคตของอิสฮานจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่   เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง   มรดกที่ข้าจะให้กับเขาคือทวีปเมอริเซียอย่างไรเล่า ”
                   ซาดิน มอง เนริมอร์ ครู่หนึ่งก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่“ พอเถิด    ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าเรื่องนี้    ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ ”
                   เนริมอร์ กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นอย่างเดือดดาล  
                   “ ไม่!! ข้าจะอยู่ที่นี่    ข้าจะอยู่กับลูกของข้า ”
                   ซาดิน ถึงกับนิ่งอึ้งที่ เนริมอร์ กล้าที่จะขึ้นเสียงใส่ตน    เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรื่องใดหรือแม้กระทั่งที่ตนมีฮาเร็มที่ใหญ่โตมีสาวงามรายล้อมมากมายนางก็มิเคยมีปากมีเสียง    แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางกล้าตวาดใส่เขา     ข้างฝ่าย เนริมอร์ นั้นก็โกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น ขบกรามแน่น จ้องมองผู้เป็นสามีอย่างแค้นเคือง    ซาดินจ้องหน้า เนริมอร์ อย่างเคร่งเครียดแล้วพูดด้วยเสียงราวกับคำรามว่า   “ ข้าสั่งเจ้า!! ในฐานะกษัตริย์แห่งซาโลม ”



   
ณ ห้องบรรทมของ ซาร์ อิสฮาน  
                   เนริมอร์ นั่งอุ้มลูกชายตัวน้อยไว้แนบอก    นางนั่งบนเบาะทรงกลมสีแดงใบใหญ่   สีหน้าของนางนิ่งเฉยสายตาจับจ้องออกไปนอกหน้าต่างแต่แววตากลับว่างเปล่า    ทั้งแม่นม และนางกำนัลต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจ    ด้วยว่าหลังจากที่นางกลับมาจากการเข้าพบ ซาดิน แล้ว    ก็ตรงเข้าอุ้มโอรสน้อยที่กำลังหลับอย่างเป็นสุขในเปลแล้วเดินไปนั่งที่เบาะกลมนั้นโดยไม่พูดจาใดๆเลย    ระหว่างนั้นนางต้นห้องก็เปิดประตูเข้ามาโค้งคำนับทูลว่า
                   “ มีราชโองการมาเพคะ ”  
                   แล้วจึงหลีกทางให้ทหารผู้ถือราชโองการสามนายเดินเข้ามา     ทหารทั้งสามโค้งคำนับแล้วจึงคุกเข่าโดยทหารที่ถือราชโองการยังคงยืนอยู่
                   “ องค์ ซาดิน จักรพรรดิแห่งซาโลม มีราชโองการว่า    เนื่องด้วยจักรวรรดิ ซาโลม จะได้ประกอบการศึกอันทรงเกียรติด้วยการรวบรวมแผ่นดินทั้งหลายในทวีป เมอริเซีย เข้าไว้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน    ในภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้ องค์จักรพรรดิจึงมีรับสั่งให้ พระนาง เนริมอร์ เข้าร่วมในกองทัพอันเกรียง....”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 02:30:54 AM »

                      ทันใดนั้นร่างของทหารผู้อ่านราชโองการก็ลอยละลิ้วไปกระแทกผนังหินอ่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที    เลือดสีแดงสาดกระจายเป็นทางยาว    เหล่าทหารและนางกำนัลทุกคนต่างตัวสั่นหน้าซีดเผือดจ้องไปยังราชินีซึ่งบัดนี้อุ้มโอรสน้อยโดยแขนขวาส่วนมือซ้ายนั้นถือคฑาคู่กาย    แววตาของพระนางดุดันแดงฉาน   อุณหภูมิภายในห้องเริ่มร้อนระอุขึ้น    ฉับพลันพระนางปราดเข้าหานายทหารเคราะห์ร้ายผู้กำลังตัวสั่นงันงกก้มกราบครั้งแล้วครั้งเล่าจนเลือดที่ศีรษะเปื้อนพื้นเป็นวงแดงฉาน
                      “โปรดเมตตา!   โปรดไว้ชีวิตข้าน้อย    ได้โปรด!   พระนาง    ได้.........”
                      ผัวะ!
                      ร่างที่บัดนี้เต็มไปด้วยเลือดของทหารผู้เชิญราชโองการพุ่งชนโต๊ะไม้สลักจนหักสะบั้น   ใบหน้าซีดเผือดตัดกับเลือดสีแดงไหลเป็นทาง     แววตาที่หวาดกลัวอย่างสุดขีด     มองมายังมหารานีซึ่งบัดนี้เป็นเหมือนเพชฌฆาตผู้อำมหิต
                      “ข้าจะเผาลิ้นโสโครกของเจ้าซะ”    เสียงรอดออกมาจากไรฟันที่กัดกรามแน่น
                      เนริมอร์ ชูคฑาประดับพลอยสีแดงขึ้นทันใดไฟเวทย์ก็ลุกโชนจากคฑานั้นอย่างรวดเร็ว
                      ฉับพลันทั้งห้องก็ถูกปลุกให้ตื่นจากบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว     ด้วยเสียงร้องไห้ดังลั่นของพระโอรสน้อยซึ่งไม่มีใครทันได้สังเกตว่าตื่นขึ้นเมื่อใด     หากแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว    ทุกคนที่ทั้งหวาดกลัวและตกตะลึงก็ได้สติขึ้น     ต่างร้องขอชีวิตนายทหารเคราะห์ร้าย
                      พระนางผู้กริ้วโกรธบัดนี้ลดมือลงน้ำตาคลอเบ้าตะโกนสั่งลั่นห้อง
                      “ออกไป๊!  ออกไป!  ไสหัวออกไปให้หมด!”
                      เหล่านางกำนัล   และแม่นม ต่างตื่นตระหนก     กึ่งวิ่งกึ่งคลานออกจากห้อง    ทหารสองคนก็รีบพยุงร่างไร้สติของเพื่อนที่เพิ่งรอดพ้นความตายอย่างหวุดหวิดออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
                      “ออกไป!   ออกไปให้พ้น......”นางตะโกนอย่างไร้สติ
                      ทันทีที่ห้องอันเละเทะกระจัดกระจายเหลือเพียงพระนางในชุดแดงที่โอบกอดทารกน้อยที่ร้องไห้จ้าไว้ในอ้อมแขน นางพญาผู้น่าสะพรึงกลัวเมื่อสักครู่   ได้ทรุดกายลง กอดทารกน้อยไว้แนบอก และร้องไห้อย่างขมขื่น





                      ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่เพลาเมื่อ นาริส สุไลมาน ก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของพระโอรสน้อย      มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่มองสภาพห้องที่เละเทะระเกะระกะ  ทั้งยังมีกลิ่นคาว และคราบเลือดอยู่ภายในห้อง    ที่ใจกลางห้องนั้นเอง เนริมอร์ ซึ่งยังคงอุ้ม ซาร์ อิสฮาน แนบอกไว้เช่นเดิม    นางนั่งเหม่อลอยอยู่บนเบาะทรงกลมจนมิได้สังเกตว่า นาริส ได้เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆนางแล้ว
                      “ พระนางเนริมอร์ ”  นาริส เรียกด้วยเสียงอันอ่อนโยน
                      เนริมอร์ ค่อยๆหันมาช้าๆ เมื่อเห็นว่าเป็น นาริส ก็รีบลุกขึ้นยืน    น้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง
                      “ ท่าน นาริส   ข้าจะทำอย่างไรดี   ข้าจะทำอย่างไรดี ”
                      “ สงบใจลงก่อนเถิดพระนาง      หม่อมฉันเข้าใจในความรู้สึกของพระนางดี ”  นาริส  พูดปลอมประโลม  “ แต่ขอให้พระนางใจเย็นๆฟังสิ่งที่หม่อมฉันจะทูลก่อน    การสงครามครั้งนี้มิใช่จะเริ่มภายในชั่วเวลาเดือนสองเดือนนี้เสียเมื่อไหร่      กว่าจะเตรียมไพล่พล ฝึกทหาร   ตระเตรียมวางแผนก็อย่างน้อยสองปีแล้ว     ทั้งสะสมเสบียงอาหาร ซึ่งก็คงจะไม่ต่ำกว่าสองถึงสามปีเป็นแน่ ”
                      “อะไรกัน  ข้าจะมีเวลาอยู่กับลูกอีกแค่สามปีเท่านั้นหรือ   ไม่ ! ข้าจะทิ้งลูกที่ยังเล็กอยู่ได้อย่างไรกัน   ท่านต้องช่วยข้านะ”
                      “หม่อมฉันอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนใจ องค์ ซาดิน     แต่หม่อมฉันอาจจะถ่วงเวลาเพื่อให้พระองค์อยู่กับพระโอรสนานขึ้นได้ ”
                      เนริมอร์ ในดวงตาฉายแววแห่งความหวังขึ้น  
                      “ แต่หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าจะถ่วงเวลาได้นานแค่ไหน    เพราะหากองค์ซาดินยังมีไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นอยู่เคียงข้างคอยยุยง ”
                      “ ไอ้ปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น    มันนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งหมด     ข้าอยากจะลากลิ้นสอพลอของมันออกมาสับให้เป็นหมื่นชิ้น   เลาะกระดูกออกมาจากหนังเหี่ยวๆของมัน   และ.....”
                      นาริส ยกมือปราม เนริมอร์ ไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ พระนาง อย่าตรัสให้เสียพระทัยอีกเลย    หม่อมฉันจะพยายามยืดเวลาออกไปให้มากที่สุด ”
                      “ท่านจะทำด้วยวิธีใดเล่า ”
                      “โปรดวางใจ พระองค์เชื่อใจหม่อมฉันได้เสมอ”
                      นาริส ชำเลืองมองโอรสน้อยยิ้มให้อย่างอ่อนโยน     ก่อนจะโค้งคำนับ เนริมอร์ แล้วเดินจากไป

Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.066 seconds with 21 queries.