Summoner Master Forum
November 26, 2024, 10:34:16 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ Terra Impression ประวัติศาสตร์ต่างๆของโลกSMN @@  (Read 19804 times)
0 Members and 4 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: November 05, 2004, 05:44:18 AM »

Terra Impression   ประวัติศาสตร์ต่างๆของโลกSMN
[/b]


โลกของ smn นี้เราเรียกกันว่า Terra มาจากภาษาลาตินมีความหมายแปลว่าโลกและผืนดินนั่นเอง Terra มีสภาพแวดล้อมภูมิศาสตร์ต่างๆคล้ายๆกับโลกปัจจุบันของเราที่ใส่บรรยากาศความเป็น fantasy เข้าไป Terra ประกอบด้วยทวีปทั้งหมด 7 ทวีปใหญ่ๆด้วยกัน ชื่อของทวีปทั้ง 7 ใน Terra ได้แก่

1.เลาดิเชีย ทวีปทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Terra เป็นทวีปที่อยู่ตะวันตกสุด
2.อาริมาเธีย ทวีปนี้อยู่ตะวันตกของเมอร์ริเซีย ตะวันออกของเลาดิเชีย
3.คาดาร่า ทวีปทางเหนือสุดทวีปนี้ติดกับเมอร์ริเซียทางทิศเหนือ
4.เมอร์ริเซีย ทวีปที่อยู่ศูนย์กลางของ Terra ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์
5.ดิสอาปจูร่า ทวีปทางตะวันออกของเมอร์ริเซีย เป็นหนึ่งในทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
6.มิสรายิม ทวีปนี้อยู่ตะวันออกของดิสอาปจูร่า มีแผ่นดินติดกัน
7.โทร่า ทวีปทางตะวันออกสุดของ Terra เป็นทวีปที่มีขนาดเล็กที่สุดใน Terra

    ทวีปอื่นๆนอกจากเมอร์ริเซียจะได้รับการแนะนำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก 4 Nagas การเดินทางของมาวินที่มีโอกาสได้เดินทางไปทวีปอื่นๆ ส่วนทวีปที่ยังไม่ได้เปิดเผยก็เป็นที่แน่นอนว่ายังจะมีบทบาทอีกใน episode ต่อๆไป

โดยแต่ละทวีปก็มีจุดเด่นต่างจากทวีปเมอร์ริเซียที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าพืชพันธุ์ใหม่ๆก็ดี สัตว์แปลกๆมากหน้าหลายตาก็ดี หรือแม้แต่เผ่าอื่นๆอย่างเผ่าเอล์ฟ (Elf) ที่หลายคนสงสัยว่าทำไมมีน้อยจัง (Garry กับ Georgina) ซึ่งแท้จริงแล้วบรรดาเอลฟ์ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากเมอร์ริเซียหากแต่ว่าส่วนหนึ่งของพวกเขามาอาศัยในเมอร์ริเซียเท่านั้นเอง

ดังนั้นหากเนื้อเรื่องไปถึงทวีปที่เป็นที่อาศัยของพวกเอล์ฟเมื่อไหร่ พวกเขาและเธอคงมีบทบาทมากขึ้นอีกแน่ๆ ( ใน Elf Renaissance หรือ ยุคฟื้นฟูของเอล์ฟ ) เช่นเดียวกับเผ่าแปลกๆใหม่ๆที่จะให้เราได้มายลโฉมกันในอนาคต
« Last Edit: November 05, 2004, 05:44:34 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: November 05, 2004, 06:06:04 AM »

วัน เดือน ปี ของโลก Terra



ระบบเวลาของ Terra  โดยพื้นฐานระบบเวลาของโลก Terra ของ SMN นี้เหมือนกับของโลกจริงๆของเรามาก คือ แบบสากลทั่วไป มีระบบเวลา คิดแบบ วินาที นาที ชั่วโมง นับที่ 60 เหมือนกัน และ 24 ชั่วโมงก็นับเป็นหนึ่งวัน และ 1 สัปดาห์มี 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนระบบเดือนก็เช่นกันที่มีเดือนที่มี 28-31 วัน แล้วแต่เดือน และ ครบรอบการโคจรของดวงอาทิตย์เป็นเวลา 1 ปีเช่นเดียวกัน


ในสัปดาห์หนึ่งประกอบด้วย 7 วันเช่นเดียวกัน แต่ใน 7 วันนี้แต่ละวันจะเป็นชื่อแทนธาตุต่างๆในโลก Terra ทั้ง 6 ธาตุ กับ ไร้ธาตุอีกหนึ่ง โดยชาว Terra เชื่อกันว่าพระเจ้าสูงสุดของ Terra ได้สร้างโลกขึ้นมาใน 7 วัน และ ใน 7 วันนี้พลังงานธาตุต่างๆก็ถือกำเนิดตามขึ้นมาด้วย พวกเขาจึงเรียกวันเหล่านี้ตามธาตุที่ถือกำเนิดขึ้นมา และ ส่วนหนึ่งเพื่อระลึกถึงการสร้างโลกขึ้นมาอีกด้วย



วันทั้ง 7 ของ Terra

1. Nil  นิล (ไร้ธาตุ) : วันแรกสุดของสัปดาห์ แสดงถึงคุณสมบัติว่างเปล่าไร้ธาตุเหมือนอย่างมาวินไร้ธาตุ แรกเริ่มทุกอย่างกำเนิดจากความไม่มีอะไรเลย และจากความว่างเปล่านั้นสิ่งต่างๆจึงเกิดขึ้นมาภายหลัง วันนี้เป็นวันที่แสดงถึงการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความเป็นไปได้อื่นๆในอนาคต

2. Lux  ลุกซ์  (แสง) : วันที่สองของสัปดาห์ กับ “ความสว่าง” ธาตุแรกที่กำเนิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า พระเจ้าตรัสว่า “แสงสว่างจงบังเกิดขึ้น” แล้วแสงสว่างก็เกิดขึ้น วันนี้จึงเป็นวันที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ และ ความสูงส่งของความสว่างที่มาจากพระเจ้านั่นเอง

3. Ignis  อิกนิส  (ไฟ) : วันที่สามหลังแสงสว่าง ธาตุที่เกิดตามมาก็คือไฟ และ ความร้อนแรงที่ให้พลังงาน และ ให้ชีวิต ดวงอาทิตยืที่ให้พลังงานก็กำเนิดมาจากธาตุแห่งไฟนี้ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่แสดงถึง ชีวิต พลังงาน และ ปัญญา ดั่งไฟที่ลุกโชติช่วง และทำให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป

4. Aqua  อควอ  (น้ำ) : วันที่สี่ สายน้ำก็เกิดขึ้นด้วยพลังแห่งธาตุน้ำ ดาว Terra ตอนแรกก็ปกคลุมทั้งหมดด้วยผืนน้ำอันกว้างใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็เกิดมาจากท้องมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ราวครรภ์แห่งมารดร หลายครั้งผู้คนจึงให้ความสำคัญกับสายน้ำในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิดทุกชีวิตขึ้นมา (Mother Ocean)

5. Ventus  เวนตุส  (ลม) : วันที่ห้าสายลมก็พัดผ่านกับการกำเนิดของธาตุลม สายลมและอากาศพัดผ่านผิวน้ำ แยกท้องน้ำกับท้องนภาออกจากกัน ลมช่วยแบ่งแยกระหว่างพื้นน้ำเบื้องล่าง กับท้องนภาอันสูงส่งที่เชื่อกันว่าพระเจ้าเบื้องบนสถิตย์อยู่ ลมจึงได้รับความสำคัญในฐานะที่รองพระบาทของพระเจ้า

6. Solum  โซลัม  (ดิน) : วันที่หก สายลมก็พัดพาแยกสายน้ำออกมาให้ปรากฏผืนดิน และ ธาตุดินก็ถือกำเนิดขึ้นจากผืนน้ำที่แห้งขอด สิ่งมีชีวิตก็เจริญขึ้นและขึ้นสู่ผืนดิน ดินจึงได้รับความสำคัญดั่งมารดรอีกคนต่อจากผืนน้ำ เป็นแม่ธรณีที่ให้ชีวิตบนที่แห้ง (Mother Earth)

7. Nox  น็อกซ์  (มืด) : วันสุดท้ายของสัปดาห์ความมืดก็บังเกิดขึ้น ดั่งมีแสงย่อมมีเงา ความชั่วร้ายเกิดขึ้นครั้งแรก พร้อมๆกับบาป วันนี้จึงเป็นวันที่แสดงถึงความมืด ความชั่วร้าย เงามืดที่บดบังทุกอย่าง และมักเป็นสิ่งล่อลวงบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้หลงในวังวนของความมืดนี้




    ส่วนเดือนก็มี 12 เดือนเช่นเดียวกับของเรา เดือนทั้ง 12 มีชื่อเรียกต่างๆกัน โดยตั้งตามนามอันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 12 ของนักบุญของพระเจ้า แล้วชาว Terra ก็เรียกต่อๆกันมาตามนั้น

เดือนทั้ง 12 ของ Terra

1.Peter                : ปีเตอร์ / เปโตร
2.Andrew            :  อันดรูว์
3.Jamestonares  :  เจมส์โทแนรส์
4.John                : จอห์น
5.Philip               : ฟีลิป
6.Bartholomew   : บารโธโลมิว
7.Thomas           : โธมัส
8.Matthew          : มัทธิว
9.James              : เจมส์
10.Thaddeus      : ธัดเดอัส
11.Simon             : ซีโมน
12.Matthias         :  มัทธีอัส



ปีของโลก Terra

ส่วนปีของโลก Terra ประกอบด้วยเดือน 12 เดือน และรียกว่า  “ANNO KYRIOS” โดยใช้ตัวย่อว่า  A.K.

“Kyrios” เป็นคำที่หมายถึงนามของพระเจ้า และ เป็นนามที่พระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์เรียกด้วยนามนี้
ส่วน Anno คือคำที่มีความหมายว่า ปี  ซึ่งก็เป็นระบบศักราชที่ชาว Terra ใช้กันต่อๆมาในการบันทึกประวัติศาสตร์ และ เหตุการณ์สำคัญต่างๆนั่นเอง โดยปีจะเรียกเพิ่มขึ้นเรื่อยหลังศักราช A.K. จาก  A.K. 1  A.K. 2 ไปเรื่อยๆ
เวลาชาว Terra จะใช้ภาษาสากลในการเขียนบันทุกอย่างสมบูรณ์จะเขียนทำนองว่า

“ วัน Lux ที่ 7 ของเดือน Peter ศักราช Anno Kyrios 220”
หรืออาจย่อเป็น
“Lux 7 Peter A.K. 220”  หรือ “ 7 / 1 / 20 “ นั่นเอง
 
« Last Edit: September 10, 2005, 05:13:41 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: September 10, 2005, 05:26:14 AM »

ระบบเงินตราใน Merrisia


                      แรกเริ่มเดิมในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีระบบเงิน ผู้คนจะใช้การแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน ด้วยการนำของที่มีมูลค่าใกล้เคียงกันมาทำการแลกเปลี่ยนกัน โดยของใดที่ตนผลิตได้ก็ผลิตไว้ใช้เอง ของที่ตนผลิตไม่ได้ก็ทำการแลกเปลี่ยนกับผู้ที่สามารถผลิตได้  เป็น
ระบบการแลกเปลี่ยนกันระหว่างตัวสินค้า (Exchanging System) เช่น คนที่ปลูกข้าวก็อาจนำข้าวไปแลกกับเสื้อผ้า คนที่เลี้ยงสัตว์ก็อาจเอาเนื้อสัตว์ หรือ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ตนเลี้ยงไปแลกของอย่างอื่น รวมไปถึงพวกเก็บของป่า และ ประกอบอาชีพอื่นๆด้วย

                      จากนั้นในยุคต่อมาเริ่มมีการใช้เงินเป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่ แอนดิซอง เป็นเจ้าแรกที่คิดระบบเงินตราขึ้นมา โดยการนำโลหะไปหลอมเป็นเหรียญ และ ใช้เหรียญนี้ในการแทนมูลค่าต่างๆ  ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีระบบเงินแบบกำหนดมูลค่าขึ้นมาแบบตายตัว (Value Based Monetary System) แทนที่จะใช้ความพอใจของผู้ซื้อ ผู้ขาย (Satisfaction Based) แบบยุคแรก  โดยที่มูลค่าที่กำหนดก็มาจาก น้ำหนัก และ ความหายากของแร่โลหะที่มาหลอมเป็นเหรียญนั่นเอง โดยที่เหรียญที่ทำจากโลหะเงิน ย่อมมีมูลค่าน้อยกว่าเหรียญที่ทำจากโลหะทองนั่นเอง

                      เนื้อเรื่องในช่วงปัจจุบันของ smn  (ช่วง episode 8-10 ) ก็ยังใช้ระบบเงินตราแบบเหรียญแทนมูลค่าในการแลกเปลี่ยนอยู่ ระบบเงินนี้เริ่มจาก แอนดิซอง และกระจายไปทั่วจนถึง ฟีเลเซีย และมาถึง ฟูดินัน ท้ายสุด โดยที่ทาง ฟูดินัน รับระบบนี้มาใช้ในช่วงยุค episode 15 คือหลังจากเกิด นคร มิราบิลิส ขึ้นมาแล้ว คือหลังจากฟูดินันได้รับอารยธรรมของทางฟีเลเซียมาผสม  ระบบเงินตรานี้จึงใช้กันเกือบทั้งทวีป เมอร์ริเซีย โดยถือว่าเป็นระบบสกุลสากลอย่างเป็นทางการของทวีปเมอร์ริเซีย    ส่วนเขตซาโลม  ลาซาล และ เขตดินแดนในทะเลทราย จะมีหน่วยเงินที่ต่างกันออกไป คือไม่ขึ้นตรงกับหน่วยเงินสากลของเมอร์ริเซีย หากแต่มีหน่วยเงินของตัวเอง ที่ใช้กันในหมู่ชาวทะเลทราย


หน่วยเงินสากลของ เมอร์ริเซีย (ประเทศที่ใช้ แอนดิซอง , ฟีเลเซีย และ ฟูดินัน (ยุค มิราบิลิส เป็นต้นไป)
-เดนาริอัน เหรียญเงิน เหรียญที่มีค่าต่ำที่สุด
-ออเรียส เหรียญทอง เหรียญที่มีค่าสูงสุด 1 เหรียญออเรียสมีค่าเท่ากับ 100 เหรียญเดนาริอัน

หน่วยเงินของเผ่าในแถบทะเลทรายของเมอร์ริเซีย (ประเทศที่ใช้ ซาโลม , ลาซาล และ เขตใกล้เคียง)
-มินา เหรียญเงิน หน่วยเงินของเขตซาโลม ลาซาล มีค่าต่ำสุด 3มินา เทียบเท่ากับ 1เดนาริอัน
-ดินาห์ เหรียญทอง มีค่าสูงสุด 1 เหรียญมินามีค่าเท่ากับ 100 เหรียญดินาห์ เทียบได้กับ 33.3ออเรียส


                      ระบบเงินตราดังกล่าวเป็นระบบที่ใช้สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนถึงยุคต่อมาเป็นยุคที่มี
ตั๋วเงิน (Bill of Exchange) กำเนิดขึ้นมา ระบบของตั๋วเงิน หรือ ตั๋วแลกเงินคือ บุคคลหนึ่งๆจะมีเงินฝากไว้ในธนาคารเป็นมูลค่าหนึ่ง และบุคคลนั้นจะได้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง เป็น “ตั๋วเงิน” ที่สามารถนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารได้ โดยสามารถขึ้นเงินที่ธนาคารที่อื่นก็ได้ เพียงแต่ขอให้เป็นสาขาเดียวกันกับธนาคารที่ตนฝากเงินก็พอ ระบบนี้กำเนิดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการพกพาเงินระหว่างการเดินทาง และลดความเสี่ยงในการพกเหรียญเงินไปจำนวนมาก นอกจากนี้ตั๋วเงินยังสามารถโอนสิทธิให้บุคคลอื่นสามารถนำไปขึ้นเงินได้อีกด้วย

เช่น
นาง V ไปทานอาหารที่ร้านอาหารของนาย A
นาง V ทานอาหารเสร็จ เป็นเงินทั้งสิ้น 50 เดนาริอัน
นาง V ไม่ได้พกเงินมาจึงหยิบตั๋วแลกเงินออกมา แล้วเขียนมูลค่าในการถอน 50 เดนาริอัน
นาง V ส่งตั๋วแลกเงินให้นาย A ซึ่งนาย A สามารถนำตั๋วดังกล่าวไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารสาขาที่นาง V ฝากเงินไว้

                      จะเห็นได้ว่าระบบตั๋วแลกเงินนี้สร้างความสะดวกสบาย และช่วยทำให้ธุรกิจการค้า การตกลงซื้อขายแลกเปลี่ยนมีสภาพคล่องมากขึ้น ระบบนี้เริ่มประเทศแรกที่ แอนดิซองเช่นเคย โดยเป็นการคิดค้นขึ้นมาโดยทางสมาพันธ์พ่อค้าของแอนดิซองเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ แล้วจึงแพร่ไปทั่วเมอร์ริเซียในเวลาต่อมา แต่เนื้อเรื่องปัจจุบันของ smn ยังไม่ถึงยุคของตั๋วแลกเงิน ยังใช้ระบบเงินแบบเหรียญอยู่ ระบบตั๋วแลกเงินนี้ ต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นระบบธนบัตรนั่นเอง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: September 10, 2005, 05:33:27 AM »

โลก Terra นี้กำเนิดมาได้อย่างไร?
และ มีสภาพเป็นเช่นใดบ้างเมื่อเริ่มแรก?

                 แรกเริ่มเดิมทีพระเจ้าสูงสุดแต่พระองค์เดียวได้สร้างทุกสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า ทำให้สิ่งที่ไม่ดำรงนั้นดำรงขึ้นมา และ สิ่งที่มองไม่เห็น มองเห็นได้ขึ้นมา ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล โลก Terra ก็กำเนิดขึ้นมา

                 โดยหลังจากการจัดการรูปแบบธาตุและพลังงานทั้งหมดแล้ว โลก Terra ก็มีผืนแผ่นดิน และ สภาพแวดล้อมต่างๆจากพลังของธาตุทั้ง 6     แต่ตอนแรกนั้นยังไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์ แมลง รวมถึงมนุษย์อยู่เลย       สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาก่อนจากผืนดินนั้นคือ “พืช”    

                 พืชนั้นเจริญงอกงามเติบโตขึ้น และ ปกคลุมแผ่นดินก่อกำเนิดเป็นทุ่งหญ้า ป่า และ แวดล้อมในระบบธรรมชาติ  พืชมากหน้าหลายพันธุ์เหล่านั้นที่ถือกำเนิดมาก่อนมีหน้าที่ในฐานะ “ผู้จัดเตรียม” คือเหมือนเป็นแหล่งทรัพยากร อู่ข้าว อู้น้ำ สร้างพลังงาน เป็นแหล่งอาหารให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่เกิดตามมาทีหลัง โดยพืชแต่ละชนิดก็มีหน้าที่และประโยชน์ใช้สอยต่างๆกันไปทั้งเป็นอาหาร ทำยารักษาโรค แก้อาการต่างๆ หรือนำมาใช้ผลิตในฐานะวัตถุดิบต่างๆ  

                 โดยที่หลังพืชได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็กำเนิดตามมา ทั้งสัตว์น้อยใหญ่บนผืนดิน สัตว์น้ำในท้องทะเล หรือ สัตว์ปีกบนท้องนภา รวมไปถึงบรรดาแมลง จุลชีพต่างๆ รวมถึงมนุษย์ด้วย โดยที่พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างให้อยู่ในสภาพสมดุลย์เกื้อหนุนซึ่งกัน และ กัน

                 แต่ละชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาต่างมี “หน้าที่” โดยตัวของมันเองที่จะทำประโยชน์ให้ระบบนิเวศ หรือ ธรรมชาติโดยรวมทั้งหมด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในรูปแบบสัมพันธภาพที่เชื่อมโยงกันอย่างลงตัวนี้เป็นดั่งโปรแกรมที่สมบูรณ์แบบที่ถูกวางไว้อย่างดี และ ทั้งหมดก็สามารถดำเนินสมดุลย์นี้ต่อไปได้ตามโปรแกรมที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้

                 แต่ไม่เพียงชีวิตบนผืนโลก Terra จะมีเพียงแค่นี้ ยังมีลักษณะสภาพที่สูงกว่าอยู่ด้วย นั่นคือ “เทพ” นั่นเอง เทพนั้นมีมากมายหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีหน้าที่ต่างกันออกไป เช่นเทพพิทักษ์ในธรรมชาติต่างๆ อย่าง Undine ที่พิทักษ์สายน้ำ  Raina ที่เป็นเทพธิดาแห่งสายฝน  เทพ Baraman ที่คอยพิทักษ์ผืนดินผืนป่าแห่งฟูดินัน  และเทพองค์อื่นๆ

                  โดยเทพก็จะเกิดจากพระเจ้าสูงสุดมาอีกทีหนึ่ง และมีสถานภาพที่สูงกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไปบนพื้นโลกอย่าง สัตว์ พืช และ มนุษย์ แต่ต่ำกว่าพระเจ้าที่สร้างขึ้นมา ซึ่งเทพเหล่านี้ก็เป็นเสมือนอีกโปรแกรมหนึ่งของพระเจ้าที่คอยทำหน้าที่พิทักษ์ระบบต่างๆในธรรมชาติ และ คอยพิทักษ์แต่ละสถานที่อีกทีหนึ่ง หากใครมาทำลายสมดุลย์แห่งธรรมชาติ เทพเหล่านั้นย่อมต้องออกมาจัดการปรับสมดุลย์ให้เข้าที่เช่นเดิมนั่นเอง โดยที่เทพต่างก็ทำหน้าที่ของตนตามที่ถูกโปรแกรมไว้โดยไม่ได้มีความรู้เรื่องของพระเจ้าสูงสุดไปเสียเท่าไหร่ นอกจากจะรู้เพียงว่า “มีพระเจ้าสูงสุดดำรงอยู่” เท่านั้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: September 10, 2005, 05:44:23 AM »

กำเนิด  เอลฟ์



                   เหล่าทวยเทพนั้นเมื่อเกิดจากพลังงานชีวิตที่กลั่นตัวออกมาของพระผู้สร้างสูงสุด ก็ได้รับพลังการสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วย เทพเหล่านี้จึงได้มีการสร้างเทพระดับรอง(เช่น พันนิชชูล่า) และสัตว์บางชนิดขึ้นเพิ่มเติมด้วย หากแต่ว่าวันหนึ่ง เทพเหล่านี้ เกิดคิดอยากสร้างสิ่งที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ขึ้นมา และ คิดจะสร้างให้สูงส่งกว่าสัตว์ทุกชนิดในโลกTerra ที่พระผู้สร้างแรกเริ่มได้สร้างไว้ ที่ล้วนมีข้อบกพร่องใหญ่บ้างเล็กบ้างหลากหลายในแต่ละเผ่าพันธุ์ และมีความทุกข์ จากการแก่ เจ็บ และตาย  เหล่าคณะเทพจึงได้รวมพลังกันสร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงพวกตนมากที่สุด นั่นคือต้นกำเนิดแห่งเอลฟ์

                   เทพทั้งหลายใส่ทุกสิ่งที่เรียกว่าดี และที่ตนคิดว่าดี ลงไปในเอลฟ์ทั้งหมด เอลฟ์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบพร้อม มีความงดงาม มีพลังงานที่สูงส่ง เต็มไปด้วยความดีงาม เพียบพร้อมทั้งสติปัญญา และ ความสามารถ และที่สำคัญ ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดคือ การให้พรพวกเอลฟ์ให้เป็นอมตะ

                   สรรพสัตว์ยามที่เกิดขึ้น ก็ย่อมมีสิ่งอื่นที่ตาย เมื่อจะกินก็จำต้องเบียดเบียนชีวิตอื่น แต่พระผู้สร้างสูงสุดแรกเริ่ม ได้ใส่ความสมดุลแห่งวงจรชีวิต แม้สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงอยู่ยอดสุดของห่วงโซ่อาหาร ยังกลับกลายถูกย่อยสลายโดยสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด ทุกอย่างในโลกทำหน้าที่ต่างๆกัน จึงต้อง”แตกต่างกัน” เพื่อ”ประสานเข้ากัน” พระองค์ไม่ได้มองว่าการเจ็บ การตาย เป็นทุกข์ แต่เล็งเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อการ ดำรง ที่ทำให้โลกนี้สมดุล แต่เอลฟ์เป็นอมตะจึงมิรู้ตาย สมดุลของโลกจึงเสียไปเมื่อแผ่นดินมีเอลฟ์ที่มิรู้ตายเต็มไปหมด เมื่อโลกอันถูกกำหนดจากพระเจ้า “ให้สมดุล” บังเกิด การเกิดที่ไร้การตายมากมายฉับพลันเช่นนี้ โลกจึงพยายามปรับตัวให้เกิดสมดุลให้จงได้

                   ดังนั้นหลังจากพวกเอลฟ์อยู่อย่างมีความสุขในฐานะสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งที่สุดในโลก เพียง7,000ปี  ก็เกิดการอาเพทครั้งใหญ่ขึ้นในโลก เริ่มที่เหล่าพืชที่เป็นพวกแรกที่พร้อมใจยอมตายลง เพื่อถ่วงสมดุล และพยายามถอยการดำรง ให้ย้อนกลับ โลกเริ่มหมุนช้าลง จนวงโคจรเริ่มย้อนกลับ ภูมิอากาศทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนแปลง โลก Terra กำลังออกแรงอย่างมหาศาลเพื่อหาสมดุล แต่เหล่าเอลฟ์กลับหาสูญเสียชีวิตไม่ ในทางกลับกันสัตว์ใหญ่น้อยกลับเป็นฝ่ายตายลงแทนและเริ่มสูญพันธุ์ แล้วเอลฟ์ที่เป็นอมตะเหล่านั้นก็หามีความสุขไม่ ชีวิตที่ยาวนานมิรู้จบเหมือนเป็นบ่วงพันธนาการนิรันดร์ที่ไม่มีจุดจบทำให้เอลฟ์แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่สิ่งที่พวกเอลฟ์ไม่มีคือ “ความสุข” พวกเขาแสวงหาความตายแต่ไม่พบ และต้องดำรงเป็นเผ่าพันธุ์ไร้สุขมิรู้ตายเช่นนี้ราวถูกสาปไปชั่วกัลป์

                   เมื่อสมดุลโลกเสียลงเพราะการสร้างเอลฟ์ของเหล่าเทพ หลังการเสียสมดุลยาวนานถึง 500 ปี ก็เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าสูงสุดได้ยื่นหัตถ์ของพระองค์เพื่อจัดทุกอย่างให้กลับสู่สมดุล ขึ้นมา หากแต่ว่า ไม่มีใครหรือชีวิตใดในโลก Terra อาจจะมองเห็นสัมผัส หรือเข้าใจพระองค์ได้ เพราะทรงเป็นสถานภาพที่สูงสุดกว่าสิ่งสร้างทุกอย่าง เหมือนดังตัวโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไม่มีวันเข้าใจหรือมองเห็นโปรแกรมเมอร์ของตนได้

                    ดังนั้น การสร้างโปรแกรมใหม่ลงไปควบคุมจัดระบบทุกอย่าง จึงเป็นสิ่งที่ต้องบังเกิด พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์สิ่งสร้างสูงสุดที่รับใช้พระองค์ เป็นสถานะเดียวที่ติดต่อกับพระเจ้า และสิ่งสร้างอื่นทุกอย่างได้ เหล่าเทวดาของพระองค์ลงมา  แจ้งข่าวเหล่าทวยเทพทั้งหลายในโลก และห้ามการสร้างสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้นอีก และให้เหล่าเทวทูต นำพรอันหนึ่งไปยังเหล่าเอลฟ์ นั่นคือ เมื่อใดที่เอลฟ์ หมดความต้องการที่จะดำรงชีวิต เอลฟ์นั้นจะสลายกลับสู่เหล่าเทพผู้สร้างตน ภายใน1วันของเอลฟ์(เท่ากับ7วันของมนุษย์) หากภายใน1วันนั้น เอลฟ์เกิดเปลี่ยนใจก็ยังสามารถกลับแข็งแรงมีชีวิตต่อไปได้

                   บรรดาเอลฟ์ได้แยกย้ายไปอาศัยในหลายทวีป จากนั้นพระเจ้าผู้สร้างมีพระดำริว่า จะสร้างสิ่งมีชีวิตที่สมดุลกว่าให้กำเนิดขึ้นในโลก Terra  เพื่อเป็นตัวอย่างให้เหล่าเทพและเหล่าเอลฟ์ได้เห็น ในการนี้ เหล่าเทพ และเอลฟ์ และแม้แต่ทูตสวรรค์ ได้เริ่มรอคอยอย่างใจจดจ่อ ที่จะได้เห็นสิ่งสร้างที่เรียกจะถูกว่า “มนุษย์” นี้
« Last Edit: September 10, 2005, 05:45:43 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: September 10, 2005, 05:51:08 AM »

กำเนิดมนุษย์



                   “มนุษย์” เป็นสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานลงมาในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีดุลยภาพ และ เป็นตัวอย่างให้ทั้งเหล่าเทพ เอลฟ์ จนถึงทูตสวรรค์ได้เห็น  มนุษย์นั้นดูภายนอกเผินๆอาจจะดูคล้ายๆเอลฟ์ แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้สมบูรณ์พร้อมเกินไปอย่างเอลฟ์ มนุษย์มีรู้เกิด รู้ตาย มีการเจ็บป่วยแก่ตัวลงและตายเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นๆใน Terra มนุษย์ไม่ได้มีความสามารถ หรือ วิญญาณที่สูงส่งเฉกเช่นเอลฟ์ แต่หากมนุษย์นั้นมีชาติกำเนิดสูงกว่าเอลฟ์ ด้วยว่า เอลฟ์ นั้นถูกสร้างมาโดยบรรดาทวยเทพ ที่แม้จะสูงส่งเพียงไร เทพเหล่านั้นก็ยังเป็นพลังงานที่กลั่นตัวขึ้นมาจากธรรมชาติที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ หรืออีกนัยหนึ่งทวยเทพก็ยังเป็น “สิ่งสร้าง” ที่พระเจ้าทรงสร้าง เอลฟ์ที่ถูกทวยเทพสร้างต่อขึ้นมาอีกทอดหนึ่ง เปรียบดังโปรแกรมหนึ่งที่โปรแกรมเมอร์ได้สร้างไว้ได้ทำงานจัดการสร้างระบบการจัดการย่อยขึ้นมาจากตัวโปรแกรมนั้นๆอีกทีหนึ่ง ขณะที่มนุษย์นั้นเป็นสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาโดยพระองค์เองเลย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ามนุษย์นั้นมีกำเนิดสูงกว่าเอลฟ์ที่สร้างมาโดยทวยเทพ

                    เป็นเวลาไม่นานนักหลังมนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นมา พวกเขาก็แพร่ขยายเพิ่มขนาดจำนวนประชากรวงศ์วานของตนขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สมดุลก็หาเสียเช่นคราวของเอลฟ์ใหม่ เพราะมนุษย์แม้จะเกิดมา พวกเขาก็มีตายกลับไปเช่นกัน วังวนของการเกิดและตายเป็นเหมือนขีดจำกัดให้ประชากรมนุษย์แม้จะมากแต่ก็อยู่ตัวไม่มากจนเต็มหมดทั้งแผ่นดิน และ ใช้ทรัพยากรอื่นที่มีจนหมด สัตว์ และ พืชต่างๆที่เป็นอาหารให้กับมนุษย์ และ ถูกมนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ก็มีการเกิดใหม่มาทดแทนจำนวนที่ตายไปได้สมดุลกับความต้องการของมนุษย์
มนุษย์มีสิ่งที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มี คือความสามารถในการเรียนรู้หรือการพัฒนาตนเอง มนุษย์ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบรอบรู้และเก่งไปหมดทุกอย่างแบบเอลฟ์ แต่พวกเขาสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆทีละนิดจากศูนย์ จดจำ เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและส่งผ่านสิ่งเหล่านี้ไปจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้มนุษย์ยังมีสิ่งหนึ่งที่เอลฟ์ไม่มีอีกด้วย นั่นคือ “อิสระ” หรือ free will ในการที่จะเลือก ไม่ว่าเลือกที่จะกระทำดี หรือ เลว เลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ จึงอาจได้ว่ามนุษย์เป็นโปรแกรมที่มีจุดเด่นที่สามารถเลือกและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพียงทำทุกอย่างไปเรื่อยๆตามที่ถูกโปรแกรมเอาไว้เท่านั้น

                    มนุษย์ดำรงชีวิตสืบเนื่องมาเรื่อยๆ โดยที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่พระเจ้าได้ทรงส่งลงมาตั้งแต่ครานั้นก็ยังอยู่ในโลก Terra โดยมีหน้าที่คอยปกป้องรักษาสมดุลในโลก Terra และคอยติดตามดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นและดำเนินไปในโลก Terra  ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดีแต่ในเมื่อทวยเทพกลั่นตัวมาจากพลังงานด้านบวกในธรรมชาติ ย่อมต้องมี ”ปีศาจ” ที่กลั่นตัวมาจากพลังงานด้านลบเช่นกัน ....
« Last Edit: September 10, 2005, 05:54:33 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: September 10, 2005, 06:03:57 AM »

กำเนิดปีศาจ
[/size][/b]


                      หลังจากพระเป็นเจ้าสร้างมนุษย์ และ ทูตสวรรค์ที่เป็นวิญญาณระดับสูงที่ทำหน้าที่คอยพิทักษ์รักษาสมดุลในธรรมชาติ และ ทำตามคำสั่งของพระเจ้าโดยตรงแล้ว   วันเวลาในโลก Terra ก็ได้ผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันหนึ่งมีทูตสวรรค์กลุ่มหนึ่งคิดการใหญ่ ด้วยว่าเห็นว่าตัวเองเป็นรูปแบบพลังงานวิญญาณระดับสูงที่มีฤทธานุภาพเหนือกว่าเทพ มนุษย์ ตลอดจนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งหลายในโลก Terra   ทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงประมาณตนว่าตัวเองที่อยู่ในฐานะที่มีสถานภาพสูงกว่านั้น  น่าจะเหมาะสมกับการเป็นผู้ปกครองทุกสิ่งในโลก Terra

                      Terra นี้มีพลังงานในธรรมชาติ  พลังงานทางบวก หรือ พลังงานความดีในธรรมชาติได้มีการกลั่นตัวเป็นเทพเจ้าขึ้นมาฉันใด  ก็ย่อมมีพลังงานด้านลบที่สะสมในโลก และกลั่นตัวเป็นชีวิตที่เกิดจากพลังงานความชั่วที่รู้จักในนาม “ปีศาจ” เช่นกันฉันนั้น   พวกปีศาจที่เกิดจากการสะสมของพลังงานด้านลบในโลกก็รวมตัวกัน และทูตสวรรค์กลุ่มนั้นที่คิดตั้งตนเป็นใหญ่ก็ตั้งตนเป็นหัวหน้าพวกปีศาจเหล่ามารและพลังงานด้านลบเหล่านั้น  

                      และนั่นเองที่ความผิดบาปได้ถือกำเนิดขึ้นมาในโลก    โดยที่ทูตสวรรค์ที่ก่อกบฏเหล่านั้นนำพวกปีศาจจากพลังงานด้านลบสร้างก่อกำเนิดบาปความชั่วช้า  และรวมกับพลังงานด้านลบจนกำเนิดเป็น Sin ขึ้นมา (ที่ปรากฏใน ep 10 นั่นเอง )    

                      หลังจากบรรดาทูตสวรรค์กบฏเหล่านั้นได้กลายเป็นหัวหน้าพวกปีศาจ หรือเป็นบรรดา Sin ควบคุมพวกปีศาจเหล่านั้นแล้ว แผนการต่อไปของพวกมันเหล่านั้นคือต้องการเป็นใหญ่เหนือยิ่งพระเจ้า และครอบครองทุกสิ่งใน Terra   โดยเป้าหมายแรกของบรรดาปีศาจเหล่านี้คือแย่งชิง “มนุษย์” ซึ่งเป็นสิ่งสร้างที่พระเจ้ารักยิ่งไปจากพระเจ้า    โดยแผนการของปีศาจพวกนั้นก็ฉลาดยิ่งนัก พวกมันจะพยายามทำให้มนุษย์คิดว่า

                      “โลกนี้ไม่มีพระเจ้า”     ให้มนุษย์เข้าใจว่าโลกนี้เกิดแล้วตายแล้วก็ดับสูญ ไม่มีเรื่องของความดีงาม สวรรค์ นรก อะไร  แผนการของพวกปีศาจพวกนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ โดยพวกหัวหน้าปีศาจที่เป็นทูตสวรรค์ที่กบฎนั้นหลายต่อหลายครั้งก็มาปรากฏกายต่อมนุษย์ให้มนุษย์สัมผัส และ แลเห็นได้  มนุษย์ผู้มิรู้อะไร และไม่เคยสัมผัส หรือ รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้ามาก่อน

                      เมื่อเห็นทูตสวรรค์ที่ชั่วร้ายเหล่านั้นปรากฏมาแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และมีอำนาจ ดลบันดาลสร้างอัศจรรย์ต่างๆขึ้นมาได้ ก็เข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีพระเจ้า มีแต่บรรดาทูตสวรรค์เหล่านั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือทุกสรรพสิ่ง  ก็ต่างพากันตื่นตาตื่นใจ หลงไปกับเล่ห์กลของบรรดาทูตสวรรค์ที่ชั่วร้ายเหล่านั้น เพราะเห็นว่าทูตสวรรค์นั้นสามารถมองเห็นได้ แต่พระเจ้าไม่อาจเห็นหรือเข้าใจได้ มนุษย์เลยคิดว่าไม่มีพระเจ้า เพราะไม่สามารถสัมผัสผ่านประสาทสัมผัสต่างๆได้   ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพราะระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ต่างหากที่ไม่สูงพอที่จะสัมผัสถึงสถานภาพของพระเป็นเจ้าได้ สถานภาพพระเจ้าสูงกว่ามนุษย์และทูตสวรรค์ แม้แต่ภาษาก็คนละระดับ เหมือนกันสัตว์ไม่สามารถเข้าใจสถานภาพของสิ่งที่สูงกว่าเช่นมนุษย์ได้ฉันใด มนุษย์ที่สถานภาพต่ำกว่าก็ไม่สามารถเข้าใจสถานภาพของพระเป็นเจ้าที่สูงกว่าได้ฉันนั้น

                      แผนการของปีศาจและทูตสวรรค์ที่กบฏเหล่านั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นเรื่อยๆ มนุษย์จำนวนมากหลงเชื่อพวกมัน และ ตกในบาปความผิดเรื่อยๆจนโลก Terra ดูเหมือนจะตกในสภาพเสื่อมโทรมเต็มไปด้วยความผิดบาปชั่วร้าย และ พลังงานด้านลบ     จนในที่สุดพระเป็นเจ้าก็มิอาจนิ่งเฉยได้ จึงเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าจะเปิดเผยแสดงพระองค์เองต่อมนุษย์ และจัดการกับปีศาจ และ ทูตสวรรค์ที่ก่อกบฏเหล่านั้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #7 on: September 10, 2005, 06:09:40 AM »

Terra Impression
Kingdoms in Merrisia
Fudenun








หนึ่งใน 4 อาณาจักรบนทวีปเมอร์ริเซีย “ฟูดินัน” อาณาจักรแห่งดิน อาณาจักรขนาดเล็กอยู่ในป่าทางตอนกลางของทวีปเมอร์ริเซีย อาณาจักรซึ่งมีผู้คนมากหน้าหลายตาอาศัยอยู่ตามป่าเขาเป็นกลุ่มเป็นเผ่า มีผู้เฒ่าสูงสุดของเผ่าเป็นผู้ปกครองสูงสุด ในขณะที่แต่ละเผ่าก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ปกครองแยกจากกันไป แต่ละเผ่าเดินทางไปมาหาสู่กันผ่านทางแม่น้ำสายหลัก และสัตว์เป็นพาหนะ  ในป่านี้มีเผ่าต่าง ๆ อาศัยอยู่ด้วยกันมากมาย ไม่ว่าจะเผ่าสมิง เผ่าเซนทอร์ เผ่าป่าทมิฬ และอื่น ๆ   แต่เผ่าที่ใหญ่ที่สุดคือเผ่าฟูดินัน  ซึ่งภายหลังการสถาปนาเป็นอาณาจักรจึงถูกเรียกว่าอาณาจักรฟูดินัน


ธรรมชาติ และ ความเชื่อ

ฟูดินันเป็นอาณาจักรที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีป   อาณาจักรแห่งนี้ประกอบด้วยสภาพแวดล้อมธรรมชาติในแบบต่าง ๆ มีป่าไม้ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน  มีเทือกเขาคีรีบันดา โอบล้อมเป็นแนวยาวทั้งสามด้านของอาณาจักร  มีต้นไม้ขนาดมหึมา อิกดราซิล ที่เป็นเสมือนเทพพิทักษ์และสัญลักษณ์ประจำฟูดินัน  ขณะที่ยังมีผืนป่าอีกกว้างใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ และคงไว้ซึ่งความลึกลับน่ากลัว (ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้คนไม่กล้าขยายอาณาจักรในตอนแรก)  ผู้คนที่นี่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ และให้ความสำคัญกับการเคารพบูชาเทพต่าง ๆ ในธรรมชาติเป็นพิเศษ  ไม่ว่าจะเป็น เทพีเรน่าผู้ประทานฝน เมการัตต้าปลาวาฬผู้กินเมฆ อันดีนเทพีแห่งสายชล รวมไปถึงเทพบารามันที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ปกปักรักษาดินแดนแถบนี้  จึงอาจกล่าวได้ว่าธรรมชาติเป็นวิถีชีวิตหนึ่งที่แยกจากชาวฟูดินันไม่ออก แม้จะดูเหมือนผู้คนในฟูดินันจะอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความขัดแย้งไม่ลงรอยกันระหว่างแต่ละเผ่าอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเผ่าทมิฬที่มักไม่ลงรอยกับเผ่าอื่น ๆ


สิ่งมีชีวิต

เพราะความอุดมสมบูรณ์ของฟูดินันนี่เอง ทำให้อาณาบริเวณนี้มีสิ่งมีชีวิตมากหน้าหลายตา เป็นสถานที่หนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก มีพืชพันธุ์นานาชนิดเจริญงอกงามในเขตต่าง ๆ ของป่า  มีความอุดมในแร่ธาตุของผืนดิน มีหมู่นก สัตว์ประหลาด และสารพัดสัตว์ป่ารูปร่างแปลกตาพำนักในป่า ขณะที่เขตเทือกเขาคีรีบันดาก็มีมังกร 2 หัว ไพธอนคอยพิทักษ์อยู่


สภาพสังคม และ อาชีพ

ผู้คนในฟูดินันประกอบอาชีพต่าง ๆ กันออกไป แต่หลัก ๆ ล้วนเป็นอาชีพที่ผูกพันกับธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเก็บของป่า ล่าสัตว์ ฝึกสัตว์ ปรุงยาสมุนไพรรักษาโรค ทำการเกษตร จนไปถึงงานฝีมือ งานช่าง ทอผ้า และสินค้าหัตถกรรม อื่น ๆ  โดยผู้คนที่นี่ทำการค้ากันด้วยระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันเป็นหลัก(Exchanging System)  คือใครผลิตสินค้าใดได้ ก็นำสินค้าผลผลิตตนไปแลกเปลี่ยนกับคนอื่นในเผ่า ทางฟูดินันได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกับอาณาจักรอื่น ๆ ผ่านทางระบบการซื้อขาย แลกเปลี่ยน โดยอาศัยพ่อค้าเร่ ซึ่งเดินทางไปมาเพื่อซื้อขายสินค้าขึ้นชื่อของแต่ละอาณาจักรมาขาย (เช่นโจซานคนหนึ่ง)  
ส่วนระบบเศรษฐกิจแบบใช้เงินตราในการแลกเปลี่ยน (Monetary system)  พึ่งจะเริ่มใช้ในยุคมิราบิลิส โดยหน่วยเงินที่ใช้คือ เดนาริอัน และ ออเรียส ซึ่งเป็นหน่วยเงินสากลหลักของทวีปเมอร์ริเซีย

การกำเนิดของนครมิราบิลิสได้นำมาซึ่งระบบเศรษฐกิจ สังคม และ การปกครอง ใหม่ ๆ ที่ส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากทางฟีเลเซีย ซึ่งนอกจากระบบเงินตรา ระบบอุตสาหกรรม สังคม แล้ว มิราบิลิสยังได้รับเอาระบบศักดินา (Feudalism) และระบบกษัตริย์ ขุนนาง เจ้าขุนมูลนายเข้ามาจากทางฟีเลเซีย  และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการก่อตั้งตระกูลขึ้นมา โดยตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างตระกูล อินซู (Inzu) ก็มีรากฐานมาจากผู้คนชาวฟูดินันที่มาตั้งหลักแหล่งอยู่ในมิราบิลิสนั่นเอง

ในอีกด้านหนึ่ง การสถาปนาประเทศก็เป็นชนวนที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่มากขึ้นด้วย   อาณาจักรถูกขยายมากขึ้นและจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามอัตราการเกิดของประชากรที่เพิ่มขึ้นจากสุขอนามัยที่ดีขึ้น ผืนป่าที่เป็นเสมือนสถานที่ลึกลับในตอนแรก ก็ถูกตัดทำลายไปตามอาณาจักรที่ขยายขึ้น แม้การก่อตั้งประเทศจะทำให้เป็นปึกแผ่นมากขึ้น แต่ผู้คนที่เพิ่มมากขึ้นก็นำไปสู่ปัญหาที่มากขึ้น ความขัดแย้งนี้เกิดทั้งจากผู้คนในประเทศเป็นความขัดแย้งภายใน และความขัดแย้งที่เกิดจากการไม่ยอมรับของเผ่าเล็กเผ่าน้อยต่าง ๆ ซึ่งความขัดแย้งตรงนี้นี่แหละที่เป็นชนวนให้แตกเป็น 5 อาณาจักรในภายหลัง


ผลิตภัณฑ์  อาหาร และ เครื่องนุ่งห่ม

เครื่องนุ่งห่มของชาวฟูดินันนั้นขึ้นชื่อด้านความสวยงามและความเบาสบายเวลาสวมใส่ เสื้อผ้าทอและย้อมจากวัสดุธรรมชาติ  ในขณะที่สิ่งประดิษฐ์เครื่องสาน ทอ พื้นบ้านของฟูดินันอื่น ๆ ก็เป็นสินค้าทำมือขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่ง   ด้านอาหารการกินของชาวฟูดินันเป็นแบบพื้น ๆ เป็นอาหารที่ปรุงมาจากของป่าทั้งหลาย เช่น พืชผักสมุนไพร ผลไม้ และ เนื้อของสัตว์ต่าง ๆ ที่ล่าได้มาจากในป่า  โดยนำมามาปรุงและใส่เครื่องเทศตามแบบของฟูดินัน ที่รสอาจจัดจ้านไปบ้างเมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อดับกลิ่นคาวของสัตว์ที่ล่ามานั่นเอง
ส่วนน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคจะตักจากบ่อน้ำและลำธารใกล้ ๆ หมู่บ้าน และนำมาเก็บรักษาน้ำไว้ในกระเป๋าหนังสัตว์หรือถังน้ำในหมู่บ้าน  นอกจากนี้ยังการปศุสัตว์เลี้ยงสัตว์และใช้สอยหรือบริโภคผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากสัตว์เหล่านั้นด้วย


การศึกษา

การศึกษานั้นทำกันในเผ่า เป็นการเรียนรู้ถ่ายทอดด้วยภูมิปัญญาแบบวิถีชาวบ้าน โดยถ่ายทอดจากผู้เฒ่าผู้แก่ของเผ่าผ่านไปยังเด็ก ๆ ในเผ่า การศึกษาไม่มีรูปแบบที่ตายตัวเป็นลำดับขั้นตามสถาบันเหมือนอย่างในอาณาจักรอื่น หากแต่เป็นการนั่งคุย สนทนา และการแฝงภูมิปัญญาผ่านเรื่องเล่าของผู้อาวุโสในเผ่าเสียมากกว่า หัวหน้าเผ่า  เช่น ผู้เฒ่าวูจิน เป็นต้น  ส่วนอุปกรณ์การศึกษาต่าง ๆ ก็ใช้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน และ ครูไปในตัว เพราะการเรียนรู้จากการสัมผัสธรรมชาตินี่แหละที่เป็นวิถีหนึ่งของชาวฟูดินัน

Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.094 seconds with 21 queries.