Summoner Master Forum
November 26, 2024, 05:44:30 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ เรื่องปลีกย่อยของตัวละครต่างๆในMerrisia @@  (Read 19528 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: November 05, 2004, 04:22:46 AM »

รัก 3 เส้า 3 คู่



1.รัก 3 เส้าของอิสฮาน  

ตัวเอกของเราอิสฮานก็ได้ไปพัวพันกับเรื่องรักๆใคร่ๆเช่นกัน แรกเริ่มเดิมทีอิสฮานกับวานาอันก็พอมีใจให้กันอย่างที่เราพอได้ทราบกันไปบ้างแล้วจาก episode 9 ของ Ekklesia

แต่เนื้อเรื่องใน episode 10 นี้มีสตรีอีกผู้หนึ่งได้มาพัวพันด้วย เธอคือลูกสาวของเยซีฮาน ลูกสาวของผู้ปกครองอาณาจักรลาซาลนั่นเอง ตอนที่อิสฮานได้ไปเผยแพร่คำสอนที่อาณาจักรลาซาล

นอกจากเขาจะชนะใจเยซีฮานและบรรดาผู้คนในลาซาลแล้ว เขายังชนะใจของลูกสาวของเยซีฮานด้วย เธอตกหลุมรักอิสฮานอย่างถอนตัวไม่ขึ้นในขณะที่ความรักที่อิสฮานที่มีกับวานาอันก็ยังมีอยู่

ภายหลังอิสฮานได้ขึ้นครองราชย์ปกครองซาโลมปัญหาก็เกิดขึ้น ด้วยว่าแม้อิสฮานกับวานาอันจะผูกพันมากเพียงใดแต่วานาอันก็ยังเป็นแค่ชาวป่าชาวเขา หาคู่ควรกับอิสฮานที่เป็นกษัตริย์ของซาโลมตามกฎมณเฑียรบาลไม่ อิสฮานไม่สามารถรับวานาอันเป็นราชินีของซาโลมได้ ที่ทำได้มากสุดตามกฎของซาโลมคือให้เธอเป็นสนมนางบำเรอในฮาเร็มเฉกเช่นเดียวกับฮาเร็มของซาดินผู้พ่อ

แต่เป็นที่แน่นอนว่าอิสฮานไม่มีประสงค์จะทำเช่นนี้แน่ ในขณะที่ลูกสาวของเยซีฮานดูมีภาษีมากกว่าในเรื่องชาติตระกูล ความรัก 3 เส้าของทั้ง 3 คนจึงได้เกิดขึ้น

แท้ที่จริงลาซาลอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซาโลม มีเขตติดทะเล มีส่วนที่เป็นเกาะ ส่วนที่เป็นทะเลทราย ดังนั้น ลาซาลจริงๆแล้วสามารถมีได้มากกว่าธาตุไฟ Ep10 อิสฮานเดินทางอ้อมทวีปขึ้นฝั่งลาซาล เมื่อเยซีฮานกับอิสฮานเผชิญหน้ากัน ก็เป็นการพบหน้าของลูกศัตรูกับผู้ทรยศพ่อ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทำไม เจ้าหญิงแห่งลาซาลจึงติดตามอิสฮานเข้าซาโลม ทำไมแควันเล็กๆอย่างลาซาลถึงตีไม่แตกซักที





2.รัก 3 เส้ากับสาวขายดอกไม้

เรื่องความรัก 3 เส้ากลุ่มต่อมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งบนเกาะใกล้ๆกับแอนดิซองที่อิสฮานได้มีโอกาสผ่านไปเพื่อหาคนมาช่วยดัดแปลงเรือเหาะเดินทาง (Traveler Airship) เพื่อใช้ในการเดินทางผ่านช่องแคบที่แสนอันตราย

เรื่องเริ่มจากสตรีผู้หนึ่งที่เป็นสาวขายดอกไม้อยู่ในเมืองนี้ เธอมีชื่อว่า ฟลอร่า (Flora , the Flower Seller) ด้วยรูปโฉมใบหน้าและเรือนร่างที่งดงาม ประกอบกับกิริยาวาจาที่ไพเราะเพราะพริ้งสมกุลสตรีทำให้หนุ่มหลายต่อหลายๆคนในเมืองหมายปองเธอ และในบรรดาหนุ่มเหล่านั้นมีหนุ่มช่างกลที่เป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่คนหนึ่งหลงรักเธอเอาเสียมากๆ  

แต่เจ้ากรรมคู่แข่งของเขากลับเป็นพ่อค้าหนุ่มที่มากด้วยอำนาจเงินตราและอิทธิพลในเมืองๆนั้น ด้วยว่าเขาอาศัยช่วงจังหวะของสงครามในการทำการค้ากับแอนดิซองทำให้เขาสามารถร่ำรวยและมีทรัพย์สินจำนวนมากในเวลาอันสั้น

นอกจากนี้หน้าตาของเขาก็นับว่าหล่อเหลาเอาการทีเดียว จะติดที่ว่ามีนิสัยหลงตัวเองไปหน่อยก็เท่านั้นเอง แม้สาวทั้งหลายในเมืองจะต่างพากันหลงใหลเขาแต่เขาไม่สนเจ้าตัวกลับไปตกหลุมรักฟลอร่าสาวขายดอกไม้ด้วยอีกคน

เมื่อมีคู่แข่งที่ร้ายกาจที่ออกจะ perfect ขนาดนี้หนุ่มช่างกลของเรามีหรือจะสู้ได้ ทางฝ่ายอิสฮานที่ต้องการให้เขาช่วยในการดัดแปลงเรือเหาะข้ามช่องแคบก็ต้องไปพัวผันกับเรื่องรักยุ่งๆนี้ ต้องหาทางช่วยให้หนุ่มช่างกลสมหวังเพื่อเขาจะได้ช่วยดัดแปลงเรือเหาะให้ ทำให้ครั้งนี้อิสฮานต้องมารับเป็นพ่อสื่อเลยทีเดียว





3.ความรักต้องห้ามของชาร์ล

ชาร์ล ( Charles , the General of Felasia) จากชุด Secondary
 ใน ep 10 นายทัพใหญ่ชาร์ลของเราก็ได้มาพัวพันกับปัญหาหัวใจซะด้วยอีกคน

เขาไปรักกับสตรีผู้เป็นแม่ทัพของกองทัพ Unicorn Rider แห่งฟีเลเซียเข้า ทัพ Unicorn นี้ต่างจากทัพของ Pegasus ตรงที่ว่าทัพของ Unicorn นี้ทุกคนจะเป็นสาวพรหมจรรย์ที่ยังไม่เคยผ่านชายใดๆ

เมื่อเปรียบเทียบกับทัพของ Pegasus ที่ตัดเลือกแม่ทัพที่สามารถแสดงความเก่งกล้าและความองอาจบนเบื้องหลังอาชาม้าบิน (อย่าง Sigmund 3 rd ตอนเป็น Pegasus General และแม่ทัพคนที่จะมาแทนใน ep 10 นี้) ทัพสาวพรหมจรรย์จะคัดเลือกแม่ทัพโดยคำนึงถึงชาติตระกูล วงศ์ตระกูลที่สูงส่ง  คือเน้นกันที่สายเลือดเสียมากกว่า

แม่ทัพสตรีที่ชาร์ลรักก็มาจากตระกูลที่สูงส่งจากในฟีเลเซียที่มารดาและบรรพบุรุษของเธอก็เคยผ่านการเป็นแม่ทัพของทัพ Unicorn มาแล้ว สตรีที่จะมาอยู่ในทัพนี้จึงต้องรักษาพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดด้วยเหตุว่าหากสิ้นพรหมจรรย์ไปเมื่อใดก็ไม่สามารถขี่ Unicorn ได้อีกต่อไป

พวกเธอจะอาศัยในโบสถ์ St. Augustino ที่มีแต่ซิสเตอร์ และ สาวพรหมจรรย์ มาตั้งแต่เด็กๆ  เติบโตและใช้ชีวิตร่วมกับ Unicorn ของแต่ละคนไปพร้อมๆกัน โดยที่เธอก็มีม้าคู่ใจนาม ฟีลิปี้ (Philipe) ทั้งเธอและฟีลีปี้ม้าเพศเมียตัวนี้ต่างมีความผูกพันและสายใยที่ลึกซึ้งต่อกันมากราวกับเป็นพี่สาวน้องสาวกันก็มิเชิง จนเธอเติบโตได้เป็นแม่ทัพของฟีเลเซียเธอก็ยังขี่เจ้าฟีลีปี้ของเธอนี้ในการออกศึกด้วย

ซึ่งนี่แหละคืออุปสรรคความรักของเธอกับชาร์ลแม้ทั้งคู่หัวใจจะเรียกร้องหากันก็ตาม สตรีในทัพ Unicorn นี้หากแต่งงานไปเมื่อไหร่ม้าประจำตัวต้องกลับไปที่โบสถ์ St. Augustino และไม่สามารถขี่ม้าของตนได้อีกต่อไป  

ในยามศึกสงครามเช่นนี้เธอเป็นกำลังสำคัญที่จะนำทัพ Unicorn ที่จะขาดไม่ได้คนหนึ่ง แต่อีกด้านของหัวใจของเธอก็โหยหาความรัก กับอีกส่วนที่มีความรักแบบพี่น้องกับฟีลีปี้ด้วย ซึ่งเรื่องของเธอกับชาร์ลก็เป็นความรักที่มีอุปสรรคอีกคู่ที่จะเกิดขึ้นใน ep 10 เช่นเดียวกับคู่อื่นๆนั่นเอง
« Last Edit: November 05, 2004, 05:30:33 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: November 05, 2004, 04:45:01 AM »

อารักขเทวดาของเกรเกอรี่
(Gregory's Guardian Angel) ทั้ง 5 องค์
[/size]


อารักขเทวดา หรือ Guardian Angel
คือ เทวดาคุ้มครองที่มีอยู่ประจำดวงวิญญาณแต่ละดวง โดยถูกส่งมาโดยพระเจ้าสูงสุดหนึ่งเดียวแห่งโลก Terra  แต่ละคนมีอารักขเทวดาประจำตัว โดยที่อารักขเทวดาแต่ละคนจะมีหน้าที่ต่างๆกัน แต่หลักๆคือนำ หรือดลใจคนผู้นั้นไปสู่หนทางที่ถูกที่ควร คนๆหนึ่งสามารถมีอารักขเทวดาได้มากกว่า 1 องค์  เหมือนอย่างเช่นเกรเกอรี่ที่มีอารักขเทวดาล้อมรอบถึง 5 องค์เลยทีเดียว  

จำนวนของอารักขเทวดาที่แต่ละคนมีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดี  ความเก่งความสามารถ หรือแม้แต่ตำแหน่งศักด์ทางโลก หรือ ทางสงฆ์ แต่อย่างใด  ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีความดีงาม ความศรัทธาในระดับสูงอย่างเช่นซิสเตอร์ อลาน่า ก็ยังมีอารักขเทวดาเป็นเทวดาเด็กเพียงแค่องค์เดียว หรือ แม้แต่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งชั้นสูงทางสงฆ์อย่าง มาซิลิโอ (Marsillio , the Cardinal of Annedisonge) ที่มีศักดิ์สูงถึงขั้น คาร์ดินัน ที่มีความสำคัญและบทบาททางศาสนามาก ก็ยังมีอารักขเทวดาแค่เพียงองค์เดียวเท่านั้น  แล้วทำไมเกรเกอรี่ถึงมีอารักขเทวดาถึง 5 องค์ละ?  

ในบันทึกประจำวันของอัครสังฆราชเกรเกอรี่ แห่ง ฟีเลเซีย ได้เคยบันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า
“ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าแท้จริงข้าพเจ้ายังมีความอ่อนแอในหลายเรื่อง และได้รับหน้าที่ ที่สำคัญยิ่ง และ ยิ่งใหญ่เกินอายุและความสามรถมาก และพระเจ้าคงทรงทอดพระเนตรเห็นความอ่อนแอนี้ ดังนั้นไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าศักดิ์สิทธิ์หรือสำคัญกว่าคนอื่นๆ แต่คงเป็นเพราะข้าพเจ้ามีข้อบกพร่อง และน่าเป็นห่วงมากกว่าคนอื่น สวรรค์จึงต้องส่งผู้ช่วยเหลือมาให้ข้าพเจ้ามากกว่าคนอื่นๆ"

อารักขเทวดาทั้ง 5 องค์ของเกรเกอรี่แต่ละองค์มีหน้าที่ปกป้องพิทักษ์คุณลักษณะแต่ละประการของเกรเกอรี่ อันได้แก่ ความบริสุทธิ์ สติปัญญา ศรัทธา ความสัตย์จริง และ พลัง  และนามของอารักขเทวดาทั้ง 5 คือ
Gabriela (กาบริเอล่า)  Victoria (วิคตอเรีย)  Ariel (อารีเอล) Jessica (เจสซิก้า) และ Meredith (เมเรดิธ) โดยที่อารักขเทวดาแต่ละองค์ก็คอยพิทักษ์คุณลักษณะกันคนละประการ

เกรเกอรี่นั้นในตอนแรกก็ไม่ได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของอารักขเทวดาของตน และก็ไม่สามารถพูดคุยหรือติดต่อสื่อสารกับอารักขเทวดาของตนได้อย่างอิสระ เพราะเหตุผลที่เทพ และ เหล่าเทวดาเบื้องบนจะมาปรากฏกายบนโลกในสภาพที่มนุษย์สามารถเห็นและเข้าใจ หรือ มีส่วนร่วมกับเรื่องของมนุษย์นั้นจะมีเฉพาะเหตุที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น

เหมือนอย่างที่ ฟรานเชสก้าไขแสดงนิมิตเผยลางแห่งอนาคตให้ปรากฏ หรือ แม้แต่การอปรากฏตัวของอัศวินแห่งสวรรค์ (Heaven Knight) ที่มาช่วยฟีเลเซีย
(ซึ่งก็เพราะฝ่ายซาโลมใช้ปีศาจจากนรกมาร่วมนั่นเองทำให้เหล่าเทพมิอาจนิ่งเฉยได้ มิฉะนั้นเทพไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหตุของมนุษย์อยู่แล้ว)

ดังนั้นการติดต่อก็เช่นกันที่ไม่สามารถทำได้อย่างง่ายๆ หรือ อย่างอิสระ    การที่ กาบริเอล่า ยอมมาร่วมเดินทางไปกับอิสฮานนั้นก็ไม่ได้เกิดจากการที่เกรเกอรี่ไปขอได้โดยตรงตามใจปรารถนา หรือ ประสงค์ของเกรเกอรี่เองโดยตรงเช่นกัน  แต่เป็นเพราะที่เกรเกอรี่รู้เรื่องว่าอิสฮานกำลังจะออกเดินทาง และตัวเองก็ยังสับสนไม่แน่ใจเกี่ยวกับการกระทำของอิสฮาน และ ด้วยลำพังตัวเขายังไม่กล้าตัดสินใจอะไรสำคัญ เขาจึงเข้าไปในโบสถ์ ไปสวดภาวนาต่อพระเจ้าด้วยความหวังจะได้รับคำตอบที่เหมาะสมที่สุดจากเบื้องบนสำหรับเรื่องของอิสฮาน  และ ภายหลังการภาวนาด้วยความตั้งใจและหัวใจที่ถ่อมตนเป็นเวลานาน เขาก็ได้รับคำตอบ โดยที่อารักขเทวดาได้มาพูดคุยติดต่อสื่อสารกับเขาเป็นครั้งแรก และ หนึ่งในอารักขเทวดา คือ กาบริเอลล่า

อารักขเทวดา กาบริเอลลาบอกตกลงที่จะร่วมเดินทางไปกับอิสฮานด้วยเองในสภาพจำแลงของนักบวชหญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง วัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมการเดินทางไปกับพวกอิสฮานด้านหนึ่งเพื่อจับตาดูอิสฮาน ส่วนในอีกด้านหนึ่งก็คอยสนับสนุนช่วยเหลือเขาด้วยพระพรจากเบื้องบน ซึ่งก็มีหลายครั้งระหว่างการเดินทางที่ กาบริเอล่า ได้ใช้พระหรรษาทานช่วยผู้คนระหว่างการเดินทางไปกับอิสฮานด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง กาบริเอล่า คอยมีส่วนช่วยให้การเดินทางครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างลับๆ  

« Last Edit: November 05, 2004, 05:54:33 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: November 05, 2004, 05:13:03 AM »

เพื่อนรัก เพื่อนแค้น


Gregory, the Bishop of Felasia Black Wiser และ Timothy, the Inventor of Felasia



บุคคลสามคนซึ่งมีนามว่า Gregory, the Bishop of Felasia กับ Black Wiser และ Timothy, the Inventor of Felasiaทราบหรือไม่ว่าทั้งสามคนเคยรู้จักกันมาแต่เด็ก

ทั้งสามเป็นชาวฟิเลเซีย ที่อาณาจักรฟิเลเซียมีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ซึ่งทั้ง 3 คนนี้ มีผลการเรียนที่อยู่ในระดับสูง

ซึ่ง Gregory เป็นเด็ก เรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก   Gregory เป็นเด็กที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับสูงมากในทุกวิชาและสูงที่สุดในกลุ่มสามคน ส่วนผลการเรียนของBlack Wiser มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่า Gregory แต่ทว่า ไม่เคยมีผลการเรียนที่ดีไปกว่า Gregory เลยแม้ซักครั้งและ Timothy ก็เป็นนักเรียนอีกคนที่โดดเด่นไม่แพ้ทั้งสองเลยเพียงแต่นิสัยส่วนตัวของ Timothy จะตั้งใจเรียนในวิชาที่ตนเองชอบเท่านั้น และได้คะแนนสูงสุดสูงในเฉพาะบางวิชาสูงกว่า Gregory เสียอีก

Timothy ชอบที่จะค้นคว้าทดลองประดิษฐ์และจะทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาสนใจเป็นอย่างมาก ชนิดลืมเป็นลืมตาย เขาเคยขึ้นไปบนภูเขาวาลฮาลเพื่อเก็บเปลือกไข่ ของกริฟฟินสีน้ำเงินที่ดุร้าย หลังจากที่โดนมันจิกจนบาดเจ็บหนักต้องนอนรักษาตัวถึง2สัปดาห์ เขาก็ยังกลับไปใหม่เพื่อเก็บตัวอย่างขนสีน้ำเงินของมันโดยไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งโดนทำร้ายมา  คนทั่วไปจึงมองว่าเขาออกจะเพี้ยนๆ Timothy ชอบที่จะถามปัญหาประหลาดๆกับ Gregory จน Gregory คิดว่าเค้าถามกวนประสาท แต่ที่จริงเพราะ Timothy ชอบเพื่อนคนนี้ และชอบที่จะได้ยินคำตอบที่ดูทรงภูมิรู้ของ Gregory มากกว่า

Gregory เป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน สมบูรณ์แบบทั้งความประพฤติ กริยามารยาท และวิชาความรู้ เป็นคนยิ้มง่าย และเป็นที่รักของคนอื่น เค้าจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนในพิธีการต่างๆของโรงเรียนเสมอ เมื่อว่างจากการอ่านหนังสือในหอสมุด เค้าจะเข้าไปภาวนาสนทนากับพระเจ้าในโบสถ์

Black Wiser สมัยเด็กมีชื่อว่า Kerwin เขาพยายามเสมอที่จะเป็นหนึ่งเหนือ Gregory แต่ด้วยความที่เรียนอย่างคร่ำเคร่งมากเกินไป เขาจึงเป็นคนที่เคร่งเครียดตลอดเวลา พ่อแม่ซึ่งเป็นขุนนางระดับสูงของเขากดดันให้เขาเรียนเก่งที่สุด เพื่อจะได้เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล และมักเปรียบเทียบเขากับ Gregory เสมอ Kerwin จึงคิดว่า  Gregory  คือตัวมารที่เกิดมาเพื่อทำลายความสุขในชีวิตเขา

เมื่อทั้ง3เรียนถึงระดับ7 ก็ถึงเวลาที่จะเรียนวิชาพื้นฐานที่จะ แยกสายที่ผู้เรียนจะสามารถเลือกสายที่ตัวเองต้องการได้ Timothy ได้เลือกสายนักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งหลังจากเรียนครบ3ปี จะสามารถเลือกเรียนเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักคำนวน นักประดิษฐ์ ฯลฯ ด้วยการไปสมัครเป็นศิษย์ของอาจารย์ในสายอาชีพที่ต้องการต่อไป ที่นี่ Timothy ได้พบเด็กชาว Annedisonge คนหนึ่งซึ่งมาเรียนรู้วิทยาการทางการรบ แต่ท่าทางเค้าไม่ค่อยเป็นมิตรกับ Timothy นัก

Gregory  และ Kerwin เลือกเรียนในสายวิชา เวทยาการ ซึ่งเรียนทั้งในเรื่องตามธรรมชาติไปจนถึงในสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่อครบ2ปี จะสามารถเลือกแยกสายศาสนา ปรัชญา หรือเวทย์มนต์ได้ ทั้งสองยังคงแข่งขันด้านการเรียนกันเสมอมา จนเข้าปีที่2 Gregory ผู้ไฝ่ฝันที่จะบวชเป็น ผู้รับใช้พระเจ้า เลือกเรียนสายศาสนา และเข้าศึกษากับโบสถ์แห่งฟีเลเซีย ซึ่งต่อมา Gregory ได้เข้าบวชเป็นพระสงฆ์ และได้ตำแหน่งระดับสังฆราช หรือ  Bishop อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นได้ทำงานช่วยเหลือราชวงค์ Felasia

ส่วน Kerwin ซึ่งเรียนมาด้วยกันแต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเรียนได้ดีเกิน Gregory ซึ่งเป็นสิ่งที่ Kerwin เก็บมาคิดโดยตลอด จึงหันเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่มี Gregory เขาเลือกเรียนสายเวทย์มนต์ และแยกออกไปเรียนด้านมนต์ดำ ซึ่งเป็นเส้นที่ตนเองคิดว่าทางนี้แหละจะทำไห้ตัวเองเก่งกว่า Gregory เมื่อเขาทำพิธีเรียก Familiar (สัตว์หรือภูติรับใช้ของนักเวทย์) ความเกลียดชังและความทะเยอทะยานของเขา ได้เรียกนกปีศาจจากนรก คือ Hellish Bird และอยู่กับเค้าเสมอมา

จากนั้น Kerwin จึงออกเดินทางไปเพื่อหาบรรดานักเวทย์นอกรีต และพ่อมดหมอผีที่ชั่วร้าย ทางด้านนี้  Kerwin ได้ศึกษาจนกระทั่งตนเองได้รับยกย่องจากบรรดาผู้ที่อยู่ในเส้นทางเดียวกันว่าเป็น Black Wiser ผู้ที่ปราดเปรื่องในด้านนี้ในเวลาต่อมา

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม Timothy ถึงธาตุไฟทั้งที่อยู่ฟีเลเซีย ก็เพราะเขาเป็นนักประดิษฐ์ที่ชอบทดลอง สร้างโน่นสร้างนี่ เกิดระเบิดโครมครามตลอดเวลา ประกอบกับนิสัยที่ออกบ้าบิ่น ธาตุต่างๆไม่ได้ขึ้นกับประเทศเสมอไป ทั้งสามเป็นชาวฟีเลเซีย แต่ไม่มีใครธาตุลมเลย
« Last Edit: November 05, 2004, 05:54:02 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: November 05, 2004, 05:20:45 AM »

เทพธรรมชาติแห่งฟูดินัน


อย่างที่ทราบว่าชาวฟูดินัน ใกล้ชิดธรรมชาติ เชื่อว่าในธรรมชาติ มีจิตวิญญาณ
และนับถือธรรมชาติเป็นเทพด้วยทีนี้เรามาดูกันว่าชาวฟูดินันนับถือเทพจากธรรมชาติอะไรกันบ้าง


Yggdrasil เทพแห่งชีวิต

ต้นอิกดราซิลเป็นต้นไม้ใหญ่เป็นต้นไม้มหัศจรรย์ที่ใหญ่โตสูงเท่าภูเขาคีรีบันดาเลยทีเดียว ลำต้นของมันใครคนจับมือกันยืนล้อมได้100คน มีใบมีสีเงิน

ยืนต้นมานาน นานมากจนไม่มีใครรู้ว่านานเท่าใด และอายุเท่าใด มันไม่เคยเหี่ยวเฉา มีแต่การผลัดใบซึ่งเมื่อผลัดใบ
พื้นที่บริเวณนั้นจะเป็นดั่งพื้นพรมสีเงิน ที่ลำต้นยักษ์มีสัญลักษณ์ประหลาดอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงอะไร
แต่ชาวฟูดินันเขียนสัญลักษณ์นี้ลงบนเครื่องมือทางการเกษตรของเขา เชื่อว่าจะทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์

มหาพฤกษานี้ยังมีความประหลาดอยู่อีกตรงที่แง่งรากของมันอันหนึ่งมีลำธารไหลออกมาจนขยายเป็นแม่น้ำ ใหญ่ไหลสู่ทะเลสาปนีรันดา
ชาวฟูดินันมองว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติที่ต้นไม้จะให้น้ำแทนที่จะดูดน้ำ จึงนับถืออิกดราซิลเป็นเทพแห่งชีวิต

เมื่อครั้งที่ทิโมธี เดินทางมาวิจัยอารยธรรมโบราณในฟูดินัน เค้าได้บันทึกไว้ว่า ".......ข้าพเจ้าสัษนิฐานว่า อาจมีตาน้ำใต้ดินและเผอิญต้นอิกดราซิลนี้ไปขึ้นอยู่บนนั้นจึงดูเหมือนมีน้ำไหลออกจากรากของมัน
 และด้วยความที่มันขึ้นและมีรากติดกับตาน้ำใต้ดิน จึงอาจเป็นเหตุผลที่มำให้อิกดราซิลไม่เคยเหี่ยวเฉา และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่โต
แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจในสีประหลาดของใบ ซึ่งจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน และการสำรวจของข้าพเจ้า ไม่มีต้นไม้ใดในป่า และไม่มีต้นไม้ใดในโลกที่มีลักษณะใบสีเงินเช่นนี้ นอกจากนี้ยังไม่เคยมีใครเห็นผลและเมล็ดของมัน ต้นไม้แบบอิกดราซิลอาจมีต้นเดียวในโลก......."

เมื่อครั้งนอริมอร์เผาป่าฟูดินัน อิกดราซิลได้คายน้ำออกจากใบสีเงินอย่างรวดเร็ว ไอน้ำจากจำนวนใบนับล้านสร้างเมฆก้อนใหญ่ให้ฝนตกดับไฟเป็นที่อัศจรรย์

บางครั้งเปลือกแก่ของอิกดราซิลกระเทาะออกมาชาวฟูดินันจะนำไปสร้างเครื่องรางต่างๆ และนำไปขาย เปลของซาร์ อิสฮานเอง ก็ทำจากเศษเปลือกของอิกดราซิลที่หมู่บ้านช่างสลักทางใต้ของซาโลม ซื้อจากพ่อค้าเร่ชาวฟูดินัน



Punishula สัตวเทพผู้ปราบมาร

ในตำนานของชาวฟูดีนัน กล่าวกันว่า เมื่อเทพบารามันผู้ปกปักษ์ดูแลชาวโลกทรงเหนื่อยล้ากับภารกิจ อันไม่มีวันจบสิ้นนี้ ทรงอยากพักผ่อนในห้วงสวรรค์ ทรงหาวออกมาเป็นมัฉฉากึ่งวิหคสีขาวราวน้ำนมมีลายสักอักขระอันศักดิ์สิทธิ์ และเขาอันแหลมคม ก่อนจะพักบรรทมทรงสั่งเจ้ามัจฉาประหลาดที่โบยบินอยู่ว่า

"กายเจ้ามาคือลมอุ่นจากโอษฐ์เรา วิญญาณเจ้ามาจากความห่วงใยในมนุษย์ของเรา เราให้พรเจ้าให้ไม่มีภูตผีปีศาจตนใดทำอะไรเจ้าได้ เขาอันบริสุทธิ์ของเจ้าคือดาบที่ใช้ประหารเหล่าปีศาจร้าย ตลอดเวลาที่เราอยู่ในห้วงนิททราเจ้าจงเสาะหาเหล่าปีศาจอันมีอยู่ในโลกเถิด เจ้าจะชนะเหล่ามารด้วยความสนุกสนานเป็นสัญชาติญาณ"

ดังนั้น เมื่อใดที่องค์เทพนิทราPunishulaจะออกมาไล่ล่าเหล่ามารด้วยความสนุกสนาน จนมีคำกล่าวว่า"เมื่อบารามันหลับไหล ผู้ที่ฝันร้ายคือเหล่ามาร" เมื่อบารามันตื่นขึ้น ก็จะทรงสูดลมหายใจนำมัจฉาขาวกลับเข้าพระกายทิพย์



Angorion เทพราชสีห์

แองโกริออน เป็นสัตวเทพ ที่มากับเมฆหมอก อาศัยอยู่บนคีรีบันดา ไม่เคยมีใครเคยสัมผัส มีแต่เพียงเคยเห็นเท่านั้น เพราะแองโกริออน จะปรากฎในม่านหมอกทึบ และหายไปในสายหมอกนั้น ยากที่ใครจะจับหรือหาเจอได้

เชื่อกันว่าแองโกริออน จะปรากฎกายเมื่อมีภัยอันตราย เหมือนเป็นการเตือนภัย และหากแองโกริออนส่งเสียงร้องออกมา แสดงว่าจะมีภัยธรรมชาติ แต่หากคำราม แสดงว่าจะเกิดเรื่องดีขึ้น

เมื่อครั้งก่อนที่ทัพซาโลมจะโจมตีฟูดีนัน มีข่าวลือหนาหูจากชาวบ้านที่ไปเก็บของป่าบนภูเขาว่า เห็นแองโกริออน ดังนั้นการเห็นโดยปราศจากเสียงใดๆ จึงเป็นการเตือนภัยนั่นเอง



Python มังกรเทพผู้พิทักษ์คีรีบันดา

เทือกเขาคีรีบันดาที่ใหญ่โตและสลับซับซ้อน ยังเป็นที่อยู่ของมังกรสองหัวไพทอน มังกรสองหัวนี้ ตัวใหญ่โตแต่กินพืชหญ้าเป็นอาหาร ไม่เคยออกจากบริเวณหุบเขาเลย ไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิต

แต่มังกรไพทอนนี้ จะมีสัมผัสไวต่อสภาวะจิตของสิ่งมีชีวิต หากมีจิตที่ไร้พิษสงเช่นชาวบ้านที่เก็บฟืนหรือหาของป่า มันจะไม่ทำอะไร แต่หากมีจิตที่หวาดกลัววุ่นวายเช่นเวลามีภัยธรรมชาติ มันก็จะกดดันอึดอัด ส่งเสียร้องและกระสับกระส่าย

เมื่อคราวที่ทัพซาโลมยกมาประชิด ทันใดที่ทหารโห่ร้อง ไพทอนก็เริ่มหงุดหงิด เมื่อจิตเข่นฆ่านับแสนถูกปลุกเร้าเพื่อการรบ ไพทอนก็คลุ้มคลั่ง โจมตีใส่ทหารซาโลมจนแตกทัพไม่เป็นขบวน และเมื่อยิ่งทหารมีจิตสู้มันยิ่งโกรธ เมื่อทหารเริ่มหวาดกลัว มันก็ยังกระสับกระส่ายอาละวาด จนทัพซาโลมที่สู้กับมันถึง3วันสามคืนต้องถอยออกไปตั้งหลักไกลจากบริเวณเทือกเขา
เมื่อไร้จิตที่เป็นอกุศล ไพทอนจึงสงบลงได้



Harvest Spirit ภูตเก็บเกี่ยว

ว่ากันว่าต้นหมากรากไม้ใดที่มนุษย์ไม่ได้เก็บกิน ภูติเก็บเกี่ยวจะเป็นผู้เก็บเกี่ยวและทิ้งมันลงสู่พื้นดิน เพื่อให้เจริญงอกงามต่อไป
 
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสาวชาวนาที่บิดาล้มป่วย เมื่อข้าวของเธอสุก เธอไม่มีเวลาที่จะเก็บเกี่ยวได้เพราะต้องดูแลพ่อ เธอเสียดายนักที่ปีนั้นผลผลิตดี  แต่ข้าวมากมายกลับต้องปล่อยทิ้ง ให้นกกากิน และตกสู่พื้น เธอจึงขอร้องต่อภูติเก็บเกี่ยวให้รอเวลาที่พ่อเธอจะหายดี อย่าเพิ่งเกี่ยวข้าวของเธอลงพื้น

วันรุ่งขึ้นข้าวทั้งหมดกลับถูกเกี่ยวหมดทั่วท้องนา เธอตกใจร้องไห้ ได้มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งถือเคียวรูปร่างประหลาด มาปลอบเธอและบอกว่า
ข้าวทั้งหมดของเธอเขาได้ช่วยเกี่ยวไว้ให้และได้เก็บไว้ในยุ้งฉางของเธอ เธอซาบซึ้งในน้ำใจชายหนุ่มนิรนาม จึงได้ทำอาหารเลี้ยงเขา และเมื่อเขาจากไป เธอได้พยายามไถ่ถามคนในหมู่บ้าน  ก็ไม่มีใครเคยเห็นหรือเคยรู้จักชายคนนั้นเลย

ชาวฟูดินัน จึงมีประเพณี บูชาภูติเก็บเกี่ยว โดยจะช่วยเก็บเกี่ยวข้าวให้คนในหมู่บ้านที่ไม่มีคนงาน โดยเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จ บ้านนั้นจะทำอาหารเลี้ยงผู้ที่มาช่วย และร้องเพลงรื่นเริงที่มีเนื้อหาเล่าถึงสาวชาวนาและภูติหนุ่ม



Undine เทพีสายน้ำแห่งทะเลสาปนีรันดา

ทะเลสาปนีรันดา เป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของชาวฟูดีนัน เชื่อกันว่าในทะเลสาปที่ใสบริสุทธิ์ เป็นที่สถิตย์ของเทพีแห่งสายชล
เมื่อคราวไฟไหม้ป่าฟูดินัน เทพีอันดีน ได้ทำให้น้ำไหลเอ่อล้นขึ้น และยังควบคุมให้กระแสน้ำไหลขึ้นทางเหนือเพื่อช่วยดับไฟด้วย



Megalasta ปลาวาฬกินเมฆ

เมกาลัสทา คือบริวารของเทพีเรนาผู้ควบคุมสายฝน ปลาวาฬยักษ์จะบินไปมาบนฟ้า ร้องคำรามเป็นเสียงครืนครัน เมื่อนั้นเมฆจะกลายเป็นฝน ขนาดของเมกาลัสทาไม่แน่นอน ถ้าตัวใหญ่จะเปลี่ยนเมฆได้ก้อนใหญ่ ถ้าตัวเล็ก จะเปลี่ยนได้แค่เมฆก้อนเล็ก
ชาวฟูดินัน มีพิธีบวงสรวงบูชาข้าวปลาอาหาร เพื่อให้เมกาลัสทาตัวโต จะได้มีฝนมาก
[/color]
« Last Edit: November 05, 2004, 05:54:59 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: November 05, 2004, 05:26:49 AM »

ซาโลมอนอคาเดมี่



โรงเรียนที่เกรกอรี่ แบล็ค ไวเซอร์ และทิโมธี เรียนในฟีเลเซีย

ตั้งก่อนการเกิดสงคราม121ปี เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุด และสอนแต่เหล่าลูกคนชั้นสูง ขุนนาง และผู้รับราชการเท่านั้น สอนวิชาเกี่ยวกับการปกครอง ศาสนา ศิลปะการใช้ดาบ และวิทยาศาสตร์

ต่อมาหลังสงคราม เมื่อฮารีซันและเรจิน่าแต่งงานกัน พื้นที่ราบบริเวณชายแดนของฟีเลเซียและฟูดินันคือแคว้นวาเนียน ซึ่งแท้จริงมีเต่าอยู่ที่ฐานเมื่อบินขึ้นย้ายไปตั้งเป็นเกาะในทะเล เนื่องจากสงคราม ก็เป็นที่ว่างเปล่า ที่นั่นกลายเป็นที่ตั้งเมืองใหม่ชื่อ มิราบิลิส(Mirabilis) โดยมีเจ้าชายเอลียาห์ บุตรชายคนแรกของฮารีซันกับเรจีน่า เป็นผู้ปกครองคนแรก เมื่ออายุได้ 55 ปี

เมืองนี้เป็นเมืองบริวารของฟีเลเซียต่อมาจึงแยกตัวเป็นเอกราชในอีก139ปีต่อมา

มิราบิลิส มีบรรดาลูกครึ่งฟีเลเซีย และฟูดินันมากมาย โดยจะมีลักษณะเฉพาะ2แบบ คือ
1. ผมสีน้ำตาล ตาสีเขียว
2. ผมมีสองสีปนกันในศรีษะคือทองและน้ำตาล ตาสีดำ

เมืองนี้มีลักษณะพิเศษคือได้รับความเจริญจากฟีเลเซียและแอนดิซอง และอุปนิสัยสนุกสนานเรียบง่ายแบบฟูดินัน  ในทางกลับกัน มีความใจดีมีน้ำใจน้อยกว่าฟูดินัน  และมีความมุ่งมั่นจริงจังน้อยกว่าชาวฟีเลเซีย

เมื่อดินแดนนี้ได้รับเอกราชครบ75ปี ได้มีการตั้งโรงเรียนขึ้นโดยนักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่  เซคาริยาห์ มาวิน ต้องการตั้งโรงเรียนสำหรับทุกคน ทุกชนชั้นและทุกอาชีพ และทุกชนชาติ



เซนต์ อไควนัส อคาเดมี

จึงก่อตั้งขึ้นด้วย3คณะหลักในครั้งแรก ประกอบด้วย
1.เวทยาการ
2.ศิลปะการต่อสู้
3.วิทยาศาสตร์
ทุกสาขาวิชาต้องเรียนศาสนา และจริยธรรม ก่อนจะแยกย่อยออกไปโดยมีอีก7สาขาแยกย่อย และอีก15วิชาเอกและอีกหลายร้อยClass จนกล่าวได้ว่าเป็นโรงเรียนที่สอนอาชีพได้ครอบคลุมที่สุดในโลกภายในเวลา53ปีต่อมา

มาธิอัสไบล์ธ นักมังกรศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงเกิด เมื่อโรงเรียนนี้อายุได้12ปี และต่อมาเมื่อเขาอายุ39ปีได้เป็นอาจารย์สาขามังกรศาสตร์ โดยเป็นหัวหน้าภาควิชาที่ซาโลมอนอาคาเดมี่ และรับเชิญสอนที่ เซนต์อไควนัว อาคาเดมี่ เมื่ออายุ45ปีด้วย

หลังจากมาธิอัสเสียชีวิตได้5ปี ลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของเขา รีเบคก้า ได้เป็นนักมังกรศาสตร์หญิงที่มีชื่อเสียง จากเซนต์อไควนัสอาคาเดมี่ สามารถเลี้ยงลูกมังกรแสงจนเติบโต(นอกจากในธรรมชาติ และในวิหารเซนต์ลอเรนซ์ ไม่มีใครเลี้ยงลูกมังกรขาวสำเร็จ) และมังกรของเธอเป็นมังกรในตำนานที่มีเพียงตัวเดียวในโลกที่ถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์
และเธอได้ เขียนอธิบายทฤษฎีของมาธิอัสให้ละเอียดยิ่งขึ้น แต่เธอเองก็ไม่เคยคิดที่จะผสมมังกร6ธาตุ เพราะเธอยกย่องมาธิอัสมาก และไม่คิดว่ามีใครสมควรที่จะทำการทดลองนี้นอกจากตัวของเขาเอง
« Last Edit: September 01, 2009, 05:13:16 AM by เซนต์ แมกนัส » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: November 05, 2004, 05:35:59 AM »

คำพูดบางส่วนจากนิยายในอนาคต
[/color]

......เด็กหนุ่มผิวเข้มทอดอาลัยนัยตาคมแฝงความเศร้า กล่าวว่า
"เมื่อน้ำและดินให้ชีวิต ไฟกลับกลายเป็นผู้เผาผลาญทำลาย หากเลือกได้ คงไม่มีใครอยากเป็นดั่งไฟ"
นักบวชยิ้มราวนักบุญ ทอดสายตาอันเมตตามายังเด็กหนุ่มผู้เศร้าสร้อย
"อิสฮานน้องชายชั้น ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อสร้างความทุกข์และความพินาศต่อผู้อื่นๆหรอกจ้ะ  
เธอจงมองไปยังดวงอาทิตย์สิ ไม่ได้เผาผลาญสิ่งอื่นเพื่อตัวเองเหมือนไฟทั่วไป
หากแต่เผาผลาญตัวเองเพื่อเป็นแสงสว่างส่องโลก ดวงอาทิตย์จึงกลายเป็นไฟที่ยิ่งใหญ่กว่าไฟทั้งมวล
แทนที่เธอจะเลือกเป็นสิ่งอื่นๆเธออาจเลือกเป็นไฟอันประเสริฐที่สุดได้"


เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกายเอ่อล้นด้วยน้ำตา คำพูดที่เคยได้ยินมาแต่เยาว์พลันก้องขึ้นในหัว ความหวังที่ทุกคนรอคอยว่าเขาจะเป็นดวงอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าบิดา แต่บัดนี้ราวกับว่ารหัสอันสำคัญได้ถูกไขแสดงในวิถีทางที่ศักดิ์สิทธิ์กว่า

"ซิสเตอร์อลาน่าครับ ผมจะเป็นดวงอาทิตย์ได้อย่างไร…..ผมเป็นหนี้เลือดของคนทั้งทวีป เพราะคำว่าเป็นดวงอาทิตย์ เป็นเหตุให้ชีวิตของคนมากมายต้องถูกทำลาย…..แต่สุดท้าย ณ วันนี้ ผมเป็นได้เพียงผงคลีดิน และผมมีความสุขดีกว่า"


ซิสเตอร์อลาน่าลูบผมหยักศกสลวยของเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู
"พระอาทิตย์อาจเพียงอาศัยผืนดินในการอิงกายพักผ่อน เมื่อถึงเวลามันก็ต้องลอยขึ้นจากผืนดินเพื่อเป็นแสงสว่างส่องโลก"
"ผมทำไม่ได้…ผมไม่ใช่…ผมเป็นชาวฟูดินัน ผมรักเจ้าหญิงของผม"
เด็กหนุ่มเสียงสั่นเครือ อดีตอันถูกเก็บกักเริ่มถาโถม


"น้องชายของชั้น เธอจะเป็นดวงอาทิตย์ได้ก็ต่อเมื่อเธอเผาผลาญตัวเองเพื่อผู้อื่น และเป็นแสงสว่างส่องโลก และชั้นไม่เคยใส่ใจว่าเธอเคยเป็นใคร หรือเคยมีความผิดบาปอันใด วานาอันเองก็คิดเช่นนี้ แต่ทำไมตัวเธอเองจึงเลือกที่จะแบกความทุกข์อันมหันต์นี้ไว้เล่า…."
ซิสเตอร์อลาน่าลูบศีรษะที่สั่นเทานั้นด้วยความสงสาร น้ำตาหยดลงบนเข่าของเด็กหนุ่ม เสียงสั่นเครือเจือน้ำตา
ที่ขาดห้วงเพราะการสะอื้น
"เป็นผมเอง….ที่เป็นสาเหตุแห่ง…วิปโยคนี้ เป็นหายนะที่ผมนำมาพร้อมกับการเกิดของตัวเอง….."

นักบวชหญิงเข้ากอดเด็กหนุ่มที่เป็นดั่งน้องชายของเธอ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนหวาน
"ที่ฉันกอดอยู่นี้เป็นเด็กชายที่ฉันรักเหมือนน้องชายคนหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่ความหายนะอันใด ชั้นยกโทษให้เธอทันทีที่ได้รู้ว่าเธอเป็นใคร ไม่ใช่ความผิดของเธอ….จำไว้นะจ๊ะไม่ใช่ความผิดของเธอ ชั้นไม่เคยมองเห็นความเลวทรามใดๆของเธอ และยังรักเธอเสมอไม่ว่าเธอจะเป็นใคร"
สิ้นคำ  เขากอดซิสเตอร์อลาน่าไว้แน่น ร้องไห้เสียงดังราวเด็กเล็กๆ มีเพียงคำพูดเดียวที่สอดแทรกในเสียงร้องไห้อันขมขื่นนั้น เป็นเสียงอ่อนโยนที่กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า…
"ไม่ใช่ความผิดของเธอ …..ไม่ใช่ความผิดของเธอ ….."





ฮาริซันยิ้มขณะมองลงไปในดวงตาสีเขียวดั่งมรกตของเรจิน่า เธอช่างต่างกับเจ้าหญิงจากดินแดนอันสูงส่งที่เขาคาดไว้ เธอไม่เย่อหยิ่ง ไม่ถือตัว ไม่เรื่องมากเอาแต่ใจ แต่เธอเหมือนดั่งสาวแรกรุ่นทั่วไปที่ตามหาความฝัน ซุกซน อยากรู้อยากเห็น ร่าเริงและเป็นตัวของตัวเอง ดวงตาสีเขียวของเธอ ดูราวกับค้นหาอะไรบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ คงมีเพียงความงามของเธอเท่านั้นที่บ่งบอกความเป็นเจ้าหญิงที่เจิดจรัสออกมา

"นางช่างเหมือนสายลม" ฮาริซันรำพึง
"ใช่ ฟีเลเซียของเราเปรียบเป็นสายลมเป็นความสูงส่ง เป็นดั่งที่รองพระบาทพระเจ้า..."
เรจีน่ากล่าวตอบพร้อมยิ้มซุกซน
"ไม่ใช่เช่นนั้น...ข้าหมายถึง องค์หญิงเหมือนสายลมที่พัดเย็น โชยผ่านมา เปี่ยมด้วยความสดชื่น สดใส แต่ไม่อาจจับสายลมอันเย็นสดชื่นนี้ไว้ได้ ได้แต่ปล่อยให้พัดผ่านไป จนข้าคิดว่าหากได้พัดผ่านมาอีกครั้ง ข้าคงรีบต้องสูดเข้าเป็นลมหายใจ ให้นางอยู่ในใจข้าไม่พัดหนีไปไหนอีก"

เจ้าหญิงนิ่งงัน แก้มอิ่มของเธอกลายเป็นสีแดงระเรื่อ เมื่อจับต้องกับแสงอาทิตย์ยามเย็น ช่างน่าจุมพิตยิ่งนัก แม้ไม่มีคำพูดออกมาจากปากงามของเธอ แต่ในใจกลับสับสนและเต็มไปด้วยคำพูดมากมาย
"ชายคนนี้นี่ช่างกระไร เกี้ยวอิสตรีได้หน้าตาเฉย นี่เค้าพูดจากใจจริงหรือ...แววตาคมเข้มสะท้อนออกมาแต่ความซื่อตรง สีหน้าสุขุมของเค้าไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เราแทบลืมหายใจ คนบ้าอะไรเนี่ย เค้าตรงไปตรงมาจนน่าใจหาย น้ำเสียงนุ่มทุ้มแสดงความหนักแน่นมั่นคง แล้วรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั่นอีกเล่า โอ้...พระเจ้า มันเกิดขึ้นกับลูกจริงหรือนี่ ลูกจะห้ามใจตัวเองอย่างไรไหว..."

ความเงียบงันเป็นเวลานานเริ่มสร้างความกังวลให้ชายหนุ่ม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เขาก็แทบหัวใจวาย นึกในใจว่า
"...เมื่อครู่นี้...ข้าพูดออกไปได้อย่างไรกัน ความงามของนางความน่ารักของนางทำให้ข้าลืมตัว จนพูดความในใจที่ข้าไม่อาจเอื้อมออกไปได้หรือนี่ นางโกรธข้ารึเปล่า ยิ่งเวลานี้...นางจะหาว่าข้าฉวยโอกาสตอนนางขอความช่วยเหลือมาสร้างความลำบาก ใจให้กับนาง...แล้วถ้านางรังเกียจข้าล่ะ...ไม่นะ
แค่คิดข้าก็ใจหายวูบ ชาไปทั้งตัว ได้โปรดพูดอะไรออกมาบ้างเถอะเจ้าหญิง...โอย ทำไมข้ามันปากพล่อยอย่างนี้นะ"

สีหน้าของเขากลายเป็นกังวล คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน มือไม้เกะกะเริ่มทำอะไรไม่ถูก ทั้งความกังวลและความอายเริ่มเข้ามาสับสนในใจของชายหนุ่ม

ท่าทีของเขาทำให้เรจีน่า ได้สติเริ่มขบขัน เธอเริ่มยิ้มซุกซนอีกครั้งแต่คราวนี้ใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ ทำให้เธอยิ่งดูงดงามน่ารักกว่าปกติ ในใจเกิดความคิด
"ตายจริง พูดออกมาเอง แท้ๆ เริ่มจะเขินเองแล้วเหรอนี่ ดูสิผู้ชายตัวโตทำท่าเงอะงะ ดูน่ารักดีจริง ต้องแกล้งคืนซะหน่อย"


เจ้าหญิงยื่นใบหน้างามของเธอเข้าไปใกล้คว้าแขนชายหนุ่มไว้ สัมผัสนี้แม้เธอจะเป็นผู้กระทำแต่สร้างความหวั่นไหวในใจหญิงสาวอยู่ไม่น้อย
แต่ชายหนุ่มที่ถูกมือนุ่มบอบบางของเธอประคองจับที่แขนกำยำนี่สิ หัวใจเค้าแทบระเบิดออกมา ริมฝีปากงามก็เอื้อนเอ่ยคำเย้า
"ชายชาวฟูดีนันดื่มน้ำผึ้งแทนน้ำหรืออย่างไร ถึงได้ปากหวานแบบนี้"
ชายหนุ่มตัวสั่นด้วยความเขินอาย ริมฝีปากสั่น สมองหยุดทำงาน ไม่อาจหาคำตอบใดๆออกมาได้ ดวงตาสีเขียวคู่งามของเธอ จ้องมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาอย่างไม่หวาดหวั่น คำตอบที่ไม่คาดคิด ทั้งสับสนทั้งระคนความดีใจ เขาอยากกอดเธอเสียตรงนี้ แต่สมองอันเลือนลางยังเตือนให้เขาตั้งสติได้อยู่ ท่าทางของเขาทำให้เรจีน่าทั้งขำ ทั้งสงสาร และความรักก็เริ่มก่อตัวอย่างเงียบๆในใจหญิงสาว

"ข้าล้อเล่นหรอก...คิก คิก..." เธอหัวเราะเสียงใสน่ารัก ก่อนจะจ้องมองดวงตาชายหนุ่มจนเค้าแทบละลายลงไปตรงนั้น
"ถ้าข้าคือสายลม ...ท่านคงเป็นภูผา ที่หยุดสายลมนี้ไว้ได้..."
ชายหนุ่มหยุดหายใจ สมองที่สับสนหยุดชะงักกับคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากเรียวงามของหญิงสาว เหมือนเวลาได้หยุดอยู่ตรงนั้น

แสงสีทองของยามเย็นที่สาดส่องพร่าพราว จนราวกับเป็นสวรรค์...
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: November 05, 2004, 05:59:55 AM »

ทัพศาสนาจักรอันศักดิ์สิทธิ์  Holy Ekklesia Army


เนื้อเรื่องในชุด Ekklesia นี้ เป็นที่ทราบกันว่า เกิดจากการรวมทัพของฟีเลเซียและแอนดิซอง เนื่องจากการรุกรานอันอาศัยความช่วยเหลือจากภูตผีปีศาจของซาโลม ดังนั้น จึงมีทหารของศาสนจักร(Ekklasia)ซึ่งขึ้นตรงต่อผู้นำทางศาสนาของประเทศตน คือ เกรกอรี่ และ มาสซิลิโอโดยยังคงมีกองทัพบางส่วนยังคงขึ้นตรงต่อผู้นำประเทศของตน ในฉบับนี้(ตอนนี้) จึงขอแนะนำลำดับยศต่างๆ


Ekklesia Army : Standard Class > Knight
(ไม่มีคำบรรยาย มีแต่รูป)Ekklesia Knight, Ekklesia Knight of Felasia, Ekklesia Knight of Anndisonge


Ekklesia Army : Standard Class > Sentry
นอกจากทหารทั่วไป ยังมีเหล่าทหารอาสาสมัคร และอดีตทหารที่ปลดประจำการ ถูกเรียกกลับมา โดยทหารเหล่านี้ไม่ได้ออกรบเป็นหลัก แต่จะประจำการตามหัวเมือง สถานที่สำคัญ ฐานที่มั่น ตลอดจนจุดยุทะศาสตร์สำคัญต่างๆ จะเป็นทหารรักษาการมากกว่า ทหารเหล่านี้บางครั้งก็อาสามาจากครอบครัวที่ร่ำรวย และมีชื่อเสียง เพื่อว่าเมื่อเสร็จสิ้นสงครามกลับบ้าน จะสร้างเกียนติประวัติให้วงศ์ตระกูล


Ekklesia Army : Standard Class > Paladin
ยศอัศวินชั้นสูง
Ekklesia Paladin, Felasia Paladin, Anndisonge Paladin

Ekklesia Army :paladin >
Fima ชื่อของเธอมีความหมายว่า “คำสั่งของทูตสวรรค์” เป็นนักรบชั้นพาลาดินเพียงคนเดียวในกองทัพที่เป็นสตรี ผมสีแดงเพลิงโดเด่นและความสามารถในเชิงรบที่แยบยลไม่เหมือนใครทำให้เธอเป็นขวัญและกำลังใจของทหารใต้บังคับบัญชาในามออกรบ


Ekklesia Army : Special Class > Dragoon
ยศอัศวินมังกร เป็นยศพิเศษซึ่งมีแต่อัศวินมังกรจากฟีเลเซียบางคนเท่านั้น ที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อว่า จะได้สร้างสมดุลย์ในระบบการปกครองทหารอันมีเหล่านักรบมังกรของฟีเลเซียที่ทรนงในศักดิ์ศรีเป็นพิเศษ


Ekklesia Army : Special Class > Adjutant Officer
 ทหารคนสนิทเสมือนมือขวาของแม่ทัพแห่งศาสนจักร ไม่มีใครรู้ชื่อจริงหรือประวัติของเขาหากแต่เขาได้รับคำสั่งจากมาร์ตินเท่านั้นและจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และบางครั้ง เขาจะเป็นตัวแทนเวลาออกคำสั่ง


« Last Edit: November 05, 2004, 06:10:43 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #7 on: November 05, 2004, 06:21:15 AM »

ศาสตร์แห่งพันธุกรรมมังกรอันมหัศจรรย์!! Dragonology


Mathias Blythe (มาธิอัส ไบลธ์) เด็กเลี้ยงมังกรชาว Felasia ที่ชื่นชอบในสัตว์เทพอย่างมังกรเป็นอย่างมากมาตั้งแต่เล็กๆ จากความชื่นชมก็กลายเป็นความรักและหลงใหล

Mathias ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมังกรอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการศึกษามังกรที่ตนเลี้ยงไว้ Mathias เริ่มสังเกตุเห็นว่ามังกรที่ถูกเลี้ยงโดยมนุษย์นั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนๆกันไปหมด แต่ในขณะที่มังกรในธรรมชาติบางตัวกลับมีรูปร่างแปลกประหลาดและแตกต่างกันอย่างโดดเด่นมาก

หลังจากใช้เวลาหลายปีจนเกิดแน่ใจในทฤษฎีที่สร้างความตื่นตัวให้กับวงการมังกรศาสตร์ คือ “มังกร เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไวต่อสิ่งเร้าต่างๆ และสภาพแวดล้อม ตลอดจนอาหารการกิน มีผลต่อการเจริญเติบโตและแตกต่างของมังกร” Mathias จึงได้เริ่มทดลองเลี้ยงลูกมังกรด้วยอาหารการกิน และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ในที่สุด Mathias จึงได้ค้นพบว่ามังกรที่ถูกเลี้ยงดูในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันและมีสิ่งเร้าอื่นๆมาช่วยกระตุ้นในขณะเจริญเติบโตก็จะทำให้มังกรมีพัฒนาการที่แตกต่างกันออกไป โดยได้ทดลองจนเกิดมังกรสายพันธุ์ใหม่ ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกมามากมาย

จากนั้นไม่นาน Mathias ก็ยังคงมุ่งหน้าศึกษาค้นคว้าเรื่องของมังกรต่อไปจนกลายเป็นศาตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมังกรศาสตร์ และผลงานชิ้นเอกที่ได้ชื่อเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมากจนถูกขนานนามว่า บิดาแห่งมังกรศาสตร์ ก็คือการผสมมังกรข้ามสายพันธุ์กับกริฟฟินขึ้นมาใหม่ถึง 6 ตัว และเขาได้เรียกสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า Dragogriff



 Dragogriff
  ผลงานที่สร้างชื่อให้กับ Mathias Blythe จนโด่งดังไปทั่วทวีปเมอรีเซียในฐานะบิดาแห่งมังกรศาสตร์ คือการทดลองผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างมังกรกับ griffin จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเรียกว่า Dragogriff ทั้ง 6 ธาตุได้สำเร็จ คือ Baranithil แห่งดิน  Mansereg แห่งไฟ  Orofacion แห่งน้ำ  Lostros แห่งลม  Donfalma แห่งมืด และ Imsan แห่งแสง

หลังจากผสม Dragogriff ทั้ง 6 เขาได้เขียน ทฤษฎี ที่สร้างความตกตะลึงให้กับชาวเมอรีเซียอีกครั้ง คือทฤษฎีว่าด้วยการผสมมังกร 6 ธาตุ โดยใช้มังกรธาตุแสงเป็นพื้นฐาน สร้างมังกรยักษ์ชื่อ Amankris ขึ้น แต่ทว่าไม่อาจทำได้สำเร็จ เพราะเขาได้จากไปเสียก่อนด้วยวัย 83 ปีทิ้งทฤษฎีอันมหัศจรรย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ค้นหาคำตอบ…



Amankris The Dragonlogy Theory

หลังจากผสม Dragongriff ทั้ง6 ได้สำเร็จ Mathias Blythe ได้เขียนทฤษฎีที่สร้างความตกตะลึงให้กับชาวเมอริเซียอีกครั้ง คือทฤษฎีการผสมมังกร 6 ธาตุ
โดยใช้มังกรธาตุแสงเป้นพื้นฐาน สร้างมังกรยักษ์ ชื่อ Amankris ขึ้น แต่ทว่าไม่อาจทำได้สำเร็จ
เพราะเขาได้จากไปเสียก่อนด้วยวัย 83 ปี ทิ้งทฤษฎี อันมหัศจรรย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ค้นหาคำตอบในหนังสือ Dragonology Theory ของเขา หาก
แต่ยังไม่มีนักมังกรศาสตร์คนใดทำได้เสร็จเช่นกัน
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #8 on: November 05, 2004, 06:27:04 AM »

เลอมูเรีย  อาณาจักรเงือก


ในชุด Ekklesia คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักลูเซียน่า เงือกน้อยน่ารักผูโดดเด่น ตลอดจนเงือกอื่นๆ ที่มีชื่อคล้ายๆ กันอีก 2 คนคือ ลินดา และลอร่า
พวกเธอเกี่ยวข้องกันอย่างไร และ ที่สำคัญ ตัวละครที่มีชื่อเช่นนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องเป็นแน่

เหล่าชาวเงือกในเมอริเซีย ยึดครองมหาสมุทรกว้างใหญ่เป็นถิ่นอาศัย
เรียกได้ว่ามิได้มี ความจำเป็นต้องเดือดร้อนรำคาญกับปัญหาวุ่นวายบนผืนดินแต่อย่างใด
เหล่าเงือกมีอายุยืนยาวและครองเวลาหนุ่มสาวได้ยาวนานกว่ามนุษย์
อาณาจักรใต้ทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลเชื่อมต่อยาวไปทั่วโลก เรียกว่า เลอมูเรีย แบ่งเป็นชุมชนน้อยใหญ่ กระจายทั่วพื้นสมุทร

ชาวเงือกนั้นมีอุปนิสัยเงียบขรึมและลึกลับต่อมนุษย์ เพราะความไม่ไว้ใจ และรังเกียจในอุปนิสัยบางอย่างของคนบนผืนโลก
หากแต่ว่าในหมู่พวกเดียวกันก็เป็นปรกติ มีรักโลภ โกรธหลงสุขเศร้า
ทว่ากิเลสตัณหานั้นเบาบางกว่า

ดังนั้นสาวชาวเงือกที่รู้ดีว่าเหล่ามนุษย์  มีความหลงความโลภสูงกว่าพวกตน
ก็จึงมักอาศัยความงดงามยั่วยวนกลั่นแกล้ง  และด้วยความที่ชาวเงือกมีอารมณ์ปรารถนาต่างๆ น้อยกว่ามนุษย์ อันส่งผลต่อการจับคู่และมีความรัก

ดังนั้นเหล่าเงือกจึงมีลักษณะพิเศษ คือมีความงดงามเปลี่ยนแปลงตามความ
เก่งกาจสามารถ โดยเฉพาะเงือกหญิงสาวที่ฝึกฝนเวทย์มนต์จนถึงขั้นสูง
จะยิ่งมีความงดงามที่สร้างความหลงไหล และลุ่มหลงได้มากขึ้นตามพลัง
เพื่อให้ผู้มีความสามารถสูงจะได้สืบดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป

ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นว่าเหล่าเงือกไม่นิยมสุงสิงกับมนุษย์
หากแต่ว่าเหล่าเงือกหนุ่มสาวไม่น้อย ที่มี่ความเห็นต่างออกไป
โดยคิดที่จะมองหาสิ่งที่แปลกและดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าเงือกที่มีความสามารถและรูปงาม ก็จะได้รับความหลงไหลและชื่นชมจากมนุษย์มากเสียจนนึก
รู้สึกและภูมิใจกับสถานะเหล่านั้น เหล่าเงือกหนุ่มสาวไม่น้อยจึงเลือกเข้า
สู่สังคมมนุษย์ในสถานภาพพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะทัพเงือกอันเกรียงไกร
แห่งแอนดิซอง ที่เป็นที่ครั่นครามของเหล่าโจรสลัด และเป็นที่กล่าวขวัญ
ในความสง่างาม

จึงเกิดปรากฎการณ์ในสังคมเงือกที่มีอายุและหนุ่มสาว โดยเงือก
แก่หัวโบราณจะต่อต้านการเข้าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ในขณะที่เงือกหนุ่มสาว
ที่เก่งกาจหลายคนสนับสนุนการเปิดใจสู่ผู้ต่างเผ่าพันธุ์มากขึ้น

ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็มีผลต่อเงือกสาวสามพี่น้อง และเงือกอื่นๆ ด้วย
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #9 on: November 05, 2004, 06:49:19 AM »

หลักสวรรค์ทั้ง 5



โดมินิกา
แปลว่าอำนาจหรือความเป็นเจ้า จึงมีพ่วงหลังลูกน้ำว่าพลังอำนาจแห่งสวรรค์
ท่าไม้ตายแปลว่าสวรรค์ไม่อาจถูกล่วงละเมิดได้



เจนนิเฟอร์
แปลว่าจิตวิญญาณสีขาว จึงพ่วงหลังลูกน้ำว่าความบริสุทธิ์แห่งสวรรค์
ชื่อไม้ตายเป็นภาษาละติน วอซ สเต ลารุม แปลว่า เพลงแห่งจักรวาล หรือ เสียงแห่งดวงดาว



เลาดามุส
แปลว่า สรรเสริญเทิดเกียรติพระเจ้า พ่วงหลังว่า ความศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์
ชื่อไม้ตายเป็นภาษาละติน et nunc et semper (แอต นุง แอตแซมแปร์) แปลว่า ทั้งบัดนี้และเสมอไป และ Vive ut vivas  (วีเว อุ๊ต วีวัส) แปลว่าจงดำเนินชีวิตเพื่อให้มีชีวิตอย่างดี(มีศีลธรรม)



เวอทูเทม
แปลว่า คุณธรรม พ่วงหลังว่า คุณธรรมแห่งสวรรค์
ชื่อไม้ตายเป็นภาษาละติน Domat omnia virtus(โดมัต ออมนีอา วีร์ทุ๊ส) แปลว่า คุณธรรมพิชิตทุกอย่าง



เรกุรัม
แปลว่า กฎ พ่วงหลังว่า ความเป็นกฎระเบียบแห่งสวรรค์
ชื่อไม้ตายเป็นภาษาละติน Fiat voluntas tua (ฟีอั๊ต โวลันตั๊ส ตูอา) แปลว่า ขอให้พระประสงค์ของพระองค์(พระเจ้า)จงสำเร็จเป็นจริงเถิด
« Last Edit: November 05, 2004, 06:50:22 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #10 on: November 05, 2004, 06:56:32 AM »

แวเลี่ยน แวสเล่ย์  และ ดาร์กเดสทินี่



แวเลี่ยนแวสเล่ย์ เป็น1ในนักเรียนของซาโลมอนอาคาเดมี่ เป็นอีก1ในบุคคลสำคัญของฟีเลเซีย และได้ชื่อว่าเป็นนักเวทย์ผู้น่าอัศจรรย์

แวเลี่ยนอายุ85ปีเมื่อตอนเกิดสงคราม เขาเก็บตัวเงียบไม่เกี่ยวข้อง แต่บันทึกเหตุการณ์ต่างๆของสงครามไว้ คือช่วงEp8-Ep11 โดยเน้นละเอียดในส่วนของฟีเลเซีย และฟูดินัน เพราะเขาเองไปเก็บตัวอาศัยอยู่ในป่าฟูดินัน

เขาเป็นนักเวทย์อัฉริยะที่แหกกฎทุกอย่าง จนทางซาโลมอนอาคาเดมี่ สั่งเก็บประวัติเขาเข้าชั้นพิเศษห้องสมุดกลาง โดยให้ผู้ใหญ่ หรือผู้มีการศึกษาสูงเท่านั้นที่ยืมได้ แต่งานเขียนหลายๆอย่างของเขายังคงใช้สอนทั้งในโซโลมอนอาคาเดมี่ และ เซนต์อไควนัส อาคาเดมี่

แต่เซนต์ อไควนัส อาคาเดมี่ กำหนดหลักสูตร ให้ชีวประวัติของเขาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียนทุกคณะในชั้นปีที่3
แวเลี่ยน ได้ทำนายการเกิดของประเทศมิราบิลิสไว้ ในหนังสือ"หลักการพยากรณ์สำหรับผู้อ่านหนังสือไม่ออก" เล่มที่1โดยเขาไม่มีเล่มที่2 แล้วข้ามไปแต่งเล่มที่3 โดยไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไม

แวเลี่ยนถูกนักประวัติศาสตร์หลายๆคนวิเคราะห็ว่าเป็นคนบ้า ขวางโลก และชอบทำตัวแปลก แต่คนที่ชื่นชมเขา เรียกเขาว่าวีรบุรุษ แห่งวิถีชีวิตเสรี และชีวิตอันไร้กรอบ

แวเลี่ยนมีชื่อเสียงที่สุดในกรณีที่สามารถจับ ดาร์คเดสทินี่ของตัวเองได้ และนำมาเลี้ยงเป็นคู่หู ซึ่งผู้ที่เป็นนักเวทย์สมบูรณ์นั้นจะมีสัตว์คู่หู เช่นแบล็คไวเซอร์มีเฮลลิสเบริ์ด และนักเวทย์คนใดที่มีสัตว์คู่หูที่เป็นตัวเดียวในโลก จะได้รับการยกย่องมาก แต่สำหรับแวเลี่ยน แมวดารค์เดสทินี่นั้นมีมากมาย แต่มนุษย์ที่เห็นและจับมันได้มีเขาคนเดียวในโลก

ดาร์ดเดสทินี่ของเขาชื่อ ทารอตโต้ ซึ่งเจ้าแมวจากโลกแห่งเงานี้เป็นบริวารของคณะเทพีเนเมซิส ซึ่งแจกจ่ายชะตากรรมให้มนุษย์ ซึ่งเข้าออกผ่านเงา จนมีคำกล่าวว่า "โชคชะตาติดตามเราดังเงาตามตัว" และที่สำคัญไม่เคยมีใครมองเห็นมันได้เพราะความว่องไวรวดเร็ว และทุกวันนี้ยังเป็นความลับอยู่ว่าเขาเห็นและจับมันได้อย่างไร ตั้งแต่วันที่เขาได้ทารอตโตเป็นคู่หู เขาก็เป็นมนุษย์ผู้ที่กำหนดชะตากรรมของตนเองทั้งหมด

เรื่องราวของแวเลี่ยน ถูกบันทึกไว้มากมายหลายแห่งเพราะวีรกรรมประหลาดของเขา แต่เราได้รู้ความคิดและนิสัยจริงๆของเขาจากจดหมาย จำนวน29ฉบับที่เขาเขียนตอบกับ จูดิธ มาเกอรี่ เพื่อนนักเรียนร่วมชั้น และเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่เขาคบหายาวนานตลอดชีวิต
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.109 seconds with 22 queries.