Summoner Master Forum
November 27, 2024, 12:19:33 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 27 นางฟ้าประทานพร @@  (Read 10239 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: July 22, 2004, 03:20:02 AM »

Chapter 27 นางฟ้าประทานพร


                          ที่นอกเมืองฟีเลเซียเวลานี้คลาคร่ำไปด้วยกองทัพเรือนแสนที่ถูกเกณฑ์มาจากทั่วทุกสารทิศ   ธงฟีเลเซียนับพันโบกสะบัดด้วยแรงลมพริ้วไสวเหนือกองทัพดูงามสง่ายิ่ง   กองทัพประกอบไปด้วย พลธนูแห่งฟีเลเซียหนึ่งหมื่นนาย  อัศวินเซนทอร์ห้าพันนาย  นักรบมังกรสองพันนาย  พลมังกรห้าพันนาย  ผู้ฝึกสัตว์หนึ่งพันนาย  พลเปกาซัสห้าร้อยนาย  อัศวินแห่งฟีเลเซียสองหมื่นสองพันนาย  ผู้ฝึกมังกรหญิง(Felasia Dragoona)หนึ่งพันสองร้อยนาง  จอมดาบแห่งฟีเลเซีย(Felasia Swordsmaster)ห้าพันนาย นักบวชหนึ่งหมื่นองค์   มังกรดิมมินูวเลี่ยนแปดร้อยตัว   ซอร์กริฟฟินหนึ่งพันตัว  กริฟฟินลมสีน้ำเงินหนึ่งพันตัว  นกร็อคแดงสองพันตัว   มังกรแวว์เวริ์นขน(Wool Wyvern)ห้าร้อยตัว  ทหารฝีมือดีสองหมื่นนาย และทหารเลวอีกกว่าสี่หมื่นนาย
                          นายทหารทุกนายต่างก็ยืนประจำที่ของตนด้วยใจฮึกเหิมสมภาคภูมิ   ต่างพร้อมแล้วที่จะพลีชีพเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย   ไม่มีสีหน้าประหวั่นหรือหวาดกลัวอย่างคนขี้ขลาดให้เห็นแม้แต่น้อย
                          ซิกมันต์ที่3ในชุดเสื้อเกราะเต็มยศสีเขียวขลิบทองมันวาวยืนตระหง่านอยู่เหนือกำแพงเมืองเพื่อตรวจตราความพร้อมของกองทัพก่อนจะเคลื่อนพลสู่สมรภูมิรบ   ไม่ไกลนักราชินีอลิเซีย เจ้าหญิงเรจิน่า และเกรเกอรี่กำลังเดินเข้ามาสมทบด้วย   ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดเนื่องจากข่าวที่ฟอล์คเนอร์รายงานนั้นหนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อย   ไม่ว่าจะเป็นการเสียเมืองฟอร์เรนเชีย ข่าวกองทัพปีศาจของซาโลม หรือ ข่าวอาการบาดเจ็บปางตายของชาร์ล คราแลนซ์ ผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญของการรบในครั้งนี้   ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปทุกขณะ
                          ราชินีอลิเซียทอดพระเนตรใบหน้าแข็งกร้าว เย่อหยิ่ง และ ถือตัวที่เพ่งมองไปยังทิศตะวันออกของลูกชายด้วยความกังวลยิ่ง
                          “แม่เป็นห่วงน้องของลูกเหลือเกิน”
                          เรจิน่า ขมวดคิ้วน้อยๆเหลือบมองมารดาด้วยความสงสัย   ไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของพระนาง   อลิเซียหันไปหาลูกสาวกล่าวว่า
                          “แม่รู้จ๊ะว่าซิกมันต์มีฝีมือ ทั้งยังเก่งกล้าสามารถ   อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถปกครองประเทศ และนำกองทัพที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้   แต่ลูกดูสีหน้าและแววตาของเขาเวลานี้สิ   หากอารมณ์อยู่เหนือสติก็ง่ายนักที่จะพลั้งพลาดได้”
                          “ไม่เป็นไรหรอกเพคะสมเด็จแม่   ท่านบิช็อปเกรเกอรี่ก็ไปด้วย   ลูกเชื่อว่าท่านจะต้องสามารถเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำซิกมันต์ได้อย่างดี” เรจิน่าปลอบมารดาและหันไปทางเกรเกอรี่เพื่อขอคำยืนยันด้วยอีกแรง
                          “พะย่ะค่ะ   ตราบใดที่กระหม่อมอยู่เคียงข้างฝ่าบาท   กระหม่อมจะให้คำปรึกษาและคอยแนะนำอย่างสุดความสามารถพะย่ะค่ะ” เกรเกอรี่ให้คำมั่น   เมื่อได้ยินดังนั้นราชินีอลิเซียจึงค่อยคลี่ยิ้มคลายความวิตกลงได้    
                          ครั้นทั้งสามเดินเข้าไปใกล้ซิกมันต์  กษัตริย์หนุ่มจึงค่อยหันมา ก่อนจะค้อมตัวเล็กน้อยให้แก่มารดา   สีหน้าของเขายังคงแข็งกร้าวและเคร่งเครียด   มีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่เหยียดขึ้นน้อยๆคล้ายจะยิ้มให้มารดา
                          “สมเด็จแม่  ท่านพี่  ท่านบิช็อป” ซิกมันต์เอ่ยทัก
                          “เตรียมการไปถึงไหนแล้วจ๊ะ” อลิเซียถามอย่างรักใคร่
                          “เราพร้อมจะเคลื่อนทัพในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้วพะย่ะค่ะ” ซิกมันต์ตอบเสียงเรียบ
                          “ระวังตัวนะลูก”
                          ซิกมันต์พยักหน้ารับคำ ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด “หม่อมฉันยังสงสัยว่าทำไมชาร์ลถึงเสียท่าพวกมันได้”
                          “ซิกมันต์  อย่าประมาทเพราะเห็นว่าเป็นพวกคนเถื่อนล้าหลัง   ถ้าสามารถทำให้ชาร์ลถึงขนาดบาดเจ็บปางตายได้แสดงว่าฝีมือของพวกนั้นก็ไม่ใช่กระจอกเลย” เรจิน่ากล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง
                          ซิกมันต์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นกว่าเดิม “ท่านพี่หมายความว่าพวกเราชาวฟีเลเซียฝีมือด้อยกว่าไอ้พวกนอกรีตนั่นหรือไง”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: July 22, 2004, 03:21:32 AM »

                          “พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย   พี่พูดเพราะเป็นห่วงน้องต่างหากล่ะ  อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักสิจ๊ะ” เรจิน่ากล่าวอย่างอดทน  
                          ซิกมันต์ได้ยินดังนั้นก็เกิดอาการประหม่าขึ้นเล็กน้อย   เขาลังเลที่จะกล่าวอะไรสักอย่างกับพี่สาวแต่ก็เงียบลงเสีย   ซึ่งเรจิน่ารู้ดีว่าน้องชายของเธอเสียใจที่ตีความหมายของเธอไปเช่นนั้น   แต่เขาก็เย่อหยิ่งเกินกว่าจะเอ่ยขออภัยต่อเธอได้  
                          เสียงแตรก้านยาวดังขึ้นเป็นสัญญาให้รู้ว่ากองทัพพร้อมที่จะเคลื่อนพล   ซิกมันต์จึงค่อยผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขอตัวเพื่อที่จะกล่าวปราศรัยกับเหล่าทหารหาญ
                          “ฟีเลเซีย!  วันนี้จะเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของพวกท่าน   พวกท่านคือผู้ที่จะนำเกียรติยศและศักดิ์ศรีอันสูงส่งกลับคืนสู่อาณาจักรฟีเลเซียของพวกเรา   วันนี้เราจะสั่งสอนไอ้พวกนอกรีตให้ต้องจดจำไปชั่วลูกชั่วหลานที่บังอาจมาหยาบเกียรติแห่งฟีเลเซีย!!  เพื่อเกียรติยศแห่งฟีเลเซีย”  สิ้นคำกษัตริย์หนุ่มเสียงกู่ร้องขานรับจากเหล่าทหารหาญก็ดังสนั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
                          “เพื่อศักดิ์ศรีแห่งสายลมศักดิ์สิทธิ์  เพื่อเกียรติ์แห่งฟีเลเซีย!!”
                          ซิกมันต์ยืดอกขึ้นหันกลับมายิ้มอย่างภาคภูมิให้มารดา พี่สาว และ ท่านบิช็อป ซึ่งทั้งสามก็กำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจอยู่เช่นกัน   กองทัพที่มีเกียรติ กล้าหาญ และ เก่งกาจเบื้องหน้าคือความภาคภูมิใจแห่งฟีเลเซีย    กษัตริย์หนุ่มขยับเข้าไปสวมกอดมารดาและพี่สาวเพื่อร่ำลา   ซึ่งเขาก็ได้รับการสวมกอดตอบด้วยความรักใคร่
                          “ขอพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับลูกเสมอจ๊ะ” ราชินีอลิเซียยิ้ม กล่าวอย่างห่วงใย
                          “ขอบพระทัยสมเด็จแม่”
                          “ขอพระเจ้าทรงกางพระหัตถ์ปกป้องน้องจากภยันตรายทั้งปวงจ๊ะ” เรจิน่ายิ้มให้น้องชายอย่างอ่อนโยน  จึงทำให้ซิกมันต์ค่อยๆคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะรีบเม้มปากกลั้นรอยยิ้มไว้   เรจิน่ายิ้มกว้างขึ้นทันที “พวกทหารข้างล่างเขาไม่เห็นหรอกว่าน้องยิ้มให้พี่  น้องจะอายทำไม”
                          ซิกมันต์หลบสายตาเหลือบมองทหารเบื้องล่าง “ข้าไม่ได้อายเสียหน่อย  มันไม่เหมาะสมต่างหาก” เขาเหลือบไปมองท่านบิช็อปที่ยืนห่างออกไปอีกครั้งอย่างระวังระไว แม้ท่านบิช็อปอาจจะได้ยินคำสนทนาแต่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆทางสีหน้าแม้แต่น้อย   ซึ่งนั่นก็ทำให้ซิกมันต์ค่อยคลายความตระหนกลงได้
                          “จ๊ะ  ไม่เหมาะสมก็ไม่เหมาะสม” เรจิน่ายังคงยิ้มอยู่
                          ซิกมันต์ถอนหายใจเล็กน้อยซึ่งดูเหมือนเขาจะยอมรับในคำพูดของเรจิน่าในที่สุด   เขาเหลือบไปมองอาณาจักรฟีเลซียอีกครั้งก่อนจะไล่สายตามองทางมารดาของตน   เขาเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังมากยิ่งขึ้น กล่าวเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทุกถ้อยคำ นัตน์ตาสีฟ้าอมเทาฉายแววแห่งความเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวพี่สาวอย่างชัดเจน “ข้าฝากทางนี้ด้วยนะท่านพี่”
                          เรจิน่ายิ้มกว้างอีกครั้ง ขอบใจในความไว้วางใจที่น้องมีต่อตัวเธอก่อนจะพยักหน้ารับคำ
                          “ได้เวลาแล้วพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บิช็อปเกรเกอรี่เขยิบเข้ามาใกล้กระซิบเสียงเบา
                          กษัตริย์หนุ่มพยักหน้ารับรู้ กล่าวแก่สตรีทั้งสอง “รักษาตัวด้วย สมเด็จแม่  ท่านพี่” แล้วจึงผงกศีรษะเป็นสัญญาณแก่มหาดเล็ก   มหาดเล็กก็รีบเป่าแตรสัญญาณทันที   ฉับพลันนั้นเอง เสียงขานรับของม้าหนุ่มก็ดังก้องกังวานจากเบื้องบน   แกรนด์ ฮิลล์ เปกาซัส (Grand Hill Pegasus)สีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่ก็โผบินวนเหนือกำแพงเมืองหนึ่งรอบก่อนจะค่อยๆร่อนลงเคียงข้างกษัตริย์ซิกมันต์อย่างสง่างาม   บนตัวของมันครบครันไปด้วยชุดศึกสีเขียวเข้มขลิบทองมันวาวไม่ต่างจากนายของมัน ทั้งสนับขา เกราะอก และ หมวกเกราะที่ถูกขัดจนมันวาว   รูปร่างที่ใหญ่โตของมันเต็มไปด้วยมัดกล้าม   ปีกแข็งแรงทั้งสองข้างแผ่กางกระพืออวดความแข็งแกร่ง   ท่วงท่าการเยื้องย่างที่ถูกฝึกมาอย่างดีนั้นสง่างามสมกับเป็นพาหนะคู่บารมีของกษัตริย์แห่งฟีเลเซีย
                          ซิกมันต์เหวี่ยงตัวขึ้นทรงบนหลังแกรนด์ฮิลล์เปกาซัสอย่างองอาจก่อนจะชักม้าบินทะยานขึ้นเหนือกองทัพแห่งฟีเลเซียท่มกลางเสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมและวาวตาแห่งความชื่นชมในองค์กษัตริย์ของพวกเขา  
                          “รักษาตัวด้วยนะท่านบิช็อป   ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน” พระราชินีอลิเซียหันไปกล่าวกับเกรเกอรี่
                          “ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองท่านนะค่ะ” เจ้าหญิงเรจิน่ากล่าวโค้งให้บิช็อปเกรเกอรี่
                          “ขอบพระทัยฝ่าบาท   ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองฟีเลเซีย” เกรเกอรี่กล่าว  แล้วจึงเหลือบไปเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของทั้งสองเข้า  ซึ่งเขารู้ดีว่าทั้งสองยังคงกังวลถึงนิมิตของเขาในคืนนั้นอยู่จึงได้กล่าวสำทับว่า “พระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกๆของพระองค์   ขอฝ่าบาททั้งสองทรงวางพระทัย”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: July 22, 2004, 03:22:47 AM »

                          คำกล่าวนั้นทำให้สตรีทั้งสองค่อยคลายกังวลลงได้บ้าง   บิช็อปหนุ่มจึงโค้งให้ทั้งสองก่อนจะหมุนตัวลงบันไดที่พาออกนอกกำแพงเมือง   ณ ที่นั่นรถลากสีขาวขลิบทองเทียมด้วยม้าสีขาวปรอดสี่ตัวรอคอยท่าอยู่แล้ว   เกรเกอรี่ก้าวขึ้นนั่งบนรถด้วยกริยาท่าทางสงบเสงี่ยมสำรวม  
                         
เมื่อทุกฝ่ายเข้าประจำที่ของตนแล้วเสียงแตรก้านยาวก็ดังกระหึ่มกึงก้อง   กองทัพอันเกรียงไกรแห่งฟีเลเซียก็เคลื่อนพลมุ่งสู่เมืองเอรีมทันที   นักบวชจากวิหารต่างๆทั่วฟีเลเซียกว่าห้าพันรูปเดินนำขบวนส่งเหล่ากองทัพผู้กล้าสู่สนามรบอย่างศักดิ์สิทธิ์   ประชาชนชาวฟีเลเซียต่างโบกธงบ้าง  ผ้าขาวบ้าง  ทั้งยังโปรยดอกไม้เพื่อเป็นเกียรติและอวยพรเหล่าทหารหาญ   ซิกมันต์นำทัพเปกาซัสและทัพมังกรโจนทะยานขึ้นเหนือน่านฟ้าฟีเลเซีย  แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเสื้อเกราะของเหล่าทหารทั้งบนพื้นดินและบนอากาศทำให้เกิดประกายเจิดจ้าระยิบระยับไปทั้งกองทัพจนดูราวกับว่าพวกเขาเหล่านั้นคือกองทัพอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าก็ไม่ปาน  





ณ กระโจมใหญ่ภายในค่ายทหารซาโลม

                          กษัตริย์แห่งซาโลมกำลังประทับบนเบาะทรงกลมสีแดงใบใหญ่ในมือก็หมุนแก้วสุราไปมา   ทว่าสายตาที่แข็งกร้าวกลับจับจ้องไปที่กระถางคบเพลิงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆด้วยความรู้สึกรอนใจ หงุดหงิด และ ขัดเคือง ประสมปนเปจนเหล่าแม่ทัพนายกองต่างพาการอึดอัด และอยู่ไม่เป็นสุขนัก   ครั้นเมื่อบลาส เซจ และจอมเวทย์ดำแหวกม่านเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าองค์กษัตริย์แล้ว   ซาดินจึงค่อยเหลือบตากลับมายังบุคคลทั้งสอง
                          “เป็นยังไง?” ซาดินถามด้วยน้ำเสียงที่ข่มความเกรี้ยวกราดไว้ไม่มิด
                          “ทูลฝ่าบาท    ร่างกายของแม่ทัพใหญ่แม้อวัยวะภายในจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก   แต่ก็เสียเลือดไปมากจากบาดแผลภายนอก   หลายแห่งลึกมากจนทำให้ยากแกการสมานแผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่ช่วงท้องนั้นกว้างมาก   คงต้องใช้เวลาสักระยะในการฟื้นตัว   กระหม่อมเห็นว่าเราควรจะหยุดตรึงกำลังไว้...”
                          เพล้ง!!  
                          ซาดินใบหน้าถตัวเองทึงเขวี้ยงแก้วเหล้าใส่กระถางคบเพลิงใกล้ๆนั้นจนเปลวไฟลุกพรึบขึ้นมาอย่างน่ากลัว   ทำเอาเหล่านายทหารต่างสะดุ้งกันโหยง   แม้แต่บลาส เซจเองก็ยังผงะไปกับอารมณ์ที่ระเบิดขึ้นของกษัตริย์แห่งซาโลม
                          “งี่เง่าที่สุด! บ้าสิ้นดี! ไม่ได้ดั่งใจข้าสักคน” ซาดินระเบิดคำพูดอย่างหัวเสีย
                          “ฝ่าบาท...” บลาส เซจ เอ่ยขึ้น น้ำเสียงไม่มั่นคงนัก
                          “อะไร!” ซาดินกระแทกเสียงตอบ
                          บลาส เซจ เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อปรับน้ำเสียงและอารมณ์ให้มั่นคงขึ้น   ก่อนจะแจ้งข่าวที่จะเป็นเชื้อฟื้นชั้นดีให้กับเพลิงแห่งอารมณ์ให้กับชายผู้อยู่เบื้องหน้าของตน
                          “กองทัพหลวงแห่งฟีเลเซียกำลังเคลื่อนพลมุ่งหน้าสู่เมืองเอรีมแล้วพะย่ะค่ะ   กองทัพคราวนี้กำลังพลมากเป็นเรือนแสน  นำทัพโดยกษัตริย์ซิกมันต์ที่3 และ บิช็อปเกรเกอรี่   จากที่สายรายงานมา กองทัพประกอบไปด้วยนักบวช อัศวิน ทัพเปกาซัส นักแม่นธนู นักดาบ ทัพนก และ ทัพมังกรมากมาย   โดยเฉพาะทัพมังกรนั้นนับได้หลายพันตัวทีเดียว   กระหม่อมคาดว่ากองทัพคงจะเข้าเขตเมืองในวันVentusที่จะถึงนี้พะย่ะค่ะ”
                          “ปัดโธ่เว๊ย!” ซาดินสบถอย่างขุ่นเคืองก่อนจะคว้าเหยือกเหล้าเขวี้ยงลงพื้นอย่างแรง “อีกสี่วันจะไปเตรียมการทันได้ยังไง   ราโชยูก็บาดเจ็บ เนอริมอร์ก็ยังไม่ถึงกำหนดกลับ   แล้วมังกรตั้งมากมายขนาดนั้น...มันไปหามังกรมาจากไหนของมันนะ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: July 22, 2004, 03:23:53 AM »

                          “ฝ่าบาท   ที่ฟีเลเซียมีมังกรมากมายขนาดนี้ก็เพราะว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับมังกรมาก   ถือว่าเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์มีเกียรติถึงขนาดว่าห้ามนักรบหญิงขี่มังกรที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โดยเด็ดขาด   แม้แต่ผู้ฝึกมังกรหญิงก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขี่มังกร   เช่นเดียวกับที่นักรบชายที่จะไม่สามารถขี่ยูนิคอร์น(Unicorn)นั่นเอง   ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการตั้งฟาร์มเพาะเลี้ยงมังกรโดยเฉพาะเพื่อเฟ้นหามังกรลักษณะดีมาใช้ในกองทัพ” แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
                          “เฮอะ! ไร้สาระ” อารมณ์ของซาดินยังคงครุกรุ่น “แล้วนี้เราจะวางแผนรับมืออย่างไรดี”
                          “ทูลฝ่าบาท   กระหม่อมเห็นว่าทางฝ่ายฟีเลเซียเองก็คงยังไม่ทำอะไรมาก  เพราะแม่ทัพฝ่ายนั้นเจ็บหนักยิ่งกว่าแม่ทัพของฝ่ายเราเสียอีก   กระหม่อมเห็นว่าเราควรจะรอเวลาอีกสักหน่อย   นี่ก็ใกล้จะครบกำหนดที่พระนางเนอริมอร์จะต้องเสด็จกลับแล้ว   คงไม่เกินต้นเดือนJamestonaresนี้   ระหว่างนั้นกระหม่อมเชื่อว่าร่างกายของราโชยูคงฟื้นกำลังเต็มที่แล้ว   เวลานี้เราเพียงแต่ตรึงกำลังรักษาดินแดนที่เราตีได้ให้ปลอดภัยก็เพียงพอแล้วพะย่ะค่ะ” บลาส เซจออกความเห็น
                          “เจ้าจะแน่ใจได้อย่างว่าพวกมันจะไม่คิดตีเมืองกลับในทันที” ซาดินตั้งข้อสงสัย
                          “กำลังสำคัญของฟีเลเซียอย่าง ชาร์ล คลาแรนซ์ ได้รับบาดเจ็บถึงขนาดนั้น และยังกองทัพทหารผีดิบของซาโลมที่บุกทลายเมืองฟอร์เรนเชียจนราบเป็นหน้ากลอง   นั่นคงจะมีผลต่อการตัดสินใจของฝ่ายฟีเลเซียไม่น้อย   ฟีเลเซียน่าจะใช้เวลาในการประเมินสถานการณ์และวางแผนอีกระยะหนึ่ง  พร้อมทั้งเร่งเสริมกำแพงเมืองให้แข็งแรงยิ่งขึ้น   ทั้งยังต้องถ่วงเวลาเพื่อให้แม่ทัพคลาแรนซ์ฟื้นตัวด้วย   กระหม่อมคาดว่าฟีเลเซียน่าจะเริ่มลงโจมตีใกล้ๆกับเวลาที่พระนางเนอริมอร์จะกลับมาเช่นกันพะย่ะค่ะ” อุปราชเฒ่ายังคงใช้ความคิดวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไป “ระหว่างนั้นเราก็เร่งสร้างกองทัพผีดิบให้มากขึ้น   หลังจากการรบที่เมืองฟอร์เรนเชียทำให้เรามีวัตถุดิบในการทำทหารผีอย่างเหลือเฟือ   ดังนั้นการที่เรารอเวลาอีกสักหน่อยกระหม่อมว่ามันก็คุ้มค่าแก่การรอคอยนะพะย่ะค่ะ”
                          เวลานี้ซาดินเริ่มอารมณ์เย็นลงบ้างเมื่อได้ฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ของอุปราชเฒ่า “ถ้าเช่นนั้น  เมื่อเนอริมอร์กลับมาแล้วเจ้าคิดว่าการบุกโจมตีของฝ่ายเราควรเป็นอย่างไร”
                          “เวลานี้เราก็ตีเมืองเข้ามาได้ลึกพอสมควรแล้ว   อีกทั้งทหารจากเมืองต่างๆก็ถูกเกณฑ์เข้าร่วมการทัพใหญ่ของฟีเลเซียจนเกือบหมด   กระหม่อมจึงมีความเห็นว่าเมื่อพระนางเนอริมอร์กลับมา   เราจะแบ่งกำลังเป็นสามส่วนแล้วบุกโจมตีสามเมืองพร้อมๆกัน   พวกมันคงคิดไม่ถึงว่าเราจะเริ่มบุกตีเป็นหน้ากระดานทำให้พวกมันต้องรีบแบ่งกองทัพออกเป็นสามทัพเพื่อรับมือกองทัพของพระองค์   ซึ่งนั่นทำให้กองทัพฟีเลเซียมีพิษสงน้อยลงพะย่ะค่ะ” บลาส เซจกล่าว ยิ้มเหี้ยมเกรียม
                          ซาดินพยักหน้าน้อย  สีหน้าบ่งบอกถึงความพึงพอใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา  “ดี   ไปเตรียมการได้   หวังว่าคราวนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาดอีกนะ”
                          “รับด้วยเกล้า พะย่ะค่ะ” บลาส เซจกล่าวอย่างหนักแน่น
       



                          ครั้นเมื่อล่วงเข้าเช้าวันVentusที่19  กองทัพอันเกรียงไกรแห่งฟีเลเซียก็เคลื่อนมาถึงเมืองเอรีมท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีจากบรรดาทหารและชาวเมืองเอรีม   ขวัญและกำลังใจของชาวเมืองเต็มล้นปรี่   กษัตริย์ซิกมันต์บนหลังอาชาบินควบทะยานนำกองทัพเข้าประตูเมืองอย่างองอาจสง่างาม   เสียงแตรก้านยาวแผดผสานดังสนั่น   เจ้าเมืองเอรีมและเหล่าข้าราชบริพารชั้นสูงต่างออกมาถวายการต้อนรับอย่างสมเกียรติ
                          เมื่อกษัตริย์ซิกมันต์ที่3 และ บิช็อปเกรเกอรี่ลงจากพาหนะของตนแล้ว   ทั้งสองก็รีบรุดไปดูอาการของแม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียทันที
                          ภายในห้องพักของแม่ทัพ ชาร์ล คลาแรนซ์    ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองสีหน้าเคร่งเครียดยืนมองบรรดานักบวชผู้มีพลังรักษานับสิบองค์รายล้อมอยู่รอบเตียงของแม่ทัพใหญ่   ทุกองค์มีสีหน้าเหนื่อยอ่อนและอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด   แสงสีขาวเรืองรองที่ถูกปล่อยออกมาจากมือของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์อาบทั่วร่างของแม่ทัพหนุ่มจนดูเหมือนว่าทั้งเส้นผมและผิวกายถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์   แม้เลือดจากบาดแผลต่างๆหยุดไหลแล้วแต่เห็นได้ชัดว่าระบบการทำงานต่างๆภายในร่างกายยังคงน่าวิตกอย่างยิ่ง   อกกำยำที่สะท้อนขึ้นลงตามการหายใจดูไม่เป็นจังหวะราวกับหายใจไม่สะดวก   เสียงหายใจดังฟืดฟาดอย่างน่ากลัว   ทั้งยังมีเสียงคำรามในลำคอเพราะความเจ็บปวดเป็นระยะๆ  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: July 22, 2004, 03:25:07 AM »

                          หัวหน้านักบวชสูงวัยผู้ดูแลการรักษาจอมทัพแห่งฟีเลเซียก้าวเข้ามาทำความเคารพบุคคลทั้งสองก่อน   ใบหน้ายังคงซีดเซียวและขอบตำดำคล้ำ  เขากล่าวรายงานเสียงอ่อน
                          “ท่านแม่ทัพร่างกายบอบช้ำมากพะย่ะค่ะ   อวัยวะภายในถูกทำลายไปหลายส่วน   ทั้งยังโดนไอปีศาจด้วยจึงทำให้การรักษานั้นยุ่งยากและลำบากกว่าปกติหลายเท่านักพะย่ะค่ะ”
                          “จะหายเป็นปกติไหม?” ซิกมันต์กล่าวเสียงเครียด
                          “กระหม่อมจะพยายามสุดความสามารถพะย่ะค่ะ  ฝ่าบาทมิต้องทรงกังวล   กระหม่อมจัดนักบวชผู้มีพลังรักษาพลัดเปลี่ยนเวรยามกันตลอดทั้งกลางวันกลางคืน   คาดว่าอีกไม่กี่วันท่านแม่ทัพก็คงจะได้สติ   ทั้งท่านแม่ทัพเองก็มีพลังชีวิตที่น่าทึ่งแม้โดนทำร้ายบาดเจ็บทั้งขนาดนี้แต่ก็ยังรอดมาได้    กระหม่อมเชื่อว่าท่านจะต้องฟื้นกำลังได้อย่างรวดเร็วหลังได้สติแล้ว” หัวหน้านักบวชออกความเห็น  ซึ่งทั้งซิกมันต์และเกรเกอรี่ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย  
                          “พวกท่านคงเหนื่อยกันมาก    เราจะอธิษฐานขอพรเพื่อเสริมกำลังให้พวกท่าน   ขอเชิญหยุดมือสักครู่เพื่อเราจะได้ภาวนาร่วมกันเถิดนะ” เกรเกอรี่กล่าวเชื้อเชิญบรรดานักบวช   ซึ่งทุกคนต่างก็ยินดีที่ประมุขแห่งศาสนจักรฟีเลเซียจะนำอธิษฐานขอพรให้พวกเขา   เมื่อทุกคนพร้อมแล้วเกรเกอรี่ก็ยกมือทั้งสองขึ้นสู่เบื้องบน   สายตามองทอดขึ้นไปไกลจนดูราวกับว่าทะลุไปถึงสรวงสวรรค์ และเริ่มต้นอธิษฐาน
                          “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน   ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรมายังเหล่าข้ารับใช้ของพระองค์ผู้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบอย่างดีเหล่านี้ด้วยเถิด   ขอพระองคืโปรดขจัดปัดเป่าความเหนื่อยล้าไปจากพวกเขา   เสริมกำลังกายกำลังใจให้พวกเขาเข้มแข็งเพื่อมีแรงในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังบาดเจ็บและรอการรักษาจากพวกเขาอีกมากมาย   ขอพระองค์โปรดเมตตาพวกลูกด้วยเถิด”
                          ฉับพลันนั้นก็ราวกับคำอธิษฐานของเกรเกอรี่ได้รับการตอบรับจากสวรรค์เบื้องบน   เมื่อจู่ๆก็มีแสงสว่างสีขาวนวลสว่างวาวทะลุลงมาจากเพดานอาบร่างทุกคนในห้อง   นักบวชองค์หนึ่งก็ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
                          “พระเจ้าข้า   พระองค์ทรงส่งนางฟ้าอเลซซานดร้า(Alessandra, the Angel of Blessing) มาอวยพรพวกเรา”
                          ทุกคนต่างก็มอบลงกราบจรดพื้นขอบพระคุณในพระเมตตาของพระเจ้าอย่างยินดี   ทั้งพยายามมองหาทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วยความตื่นเต้นไม่เว้นแม้แต่ซิกมันต์เองก็อดมองหานางฟ้าแห่งการอวยพรไม่ได้เช่นกัน   เมื่อแสงสีขาวค่อยๆจางไปทุกคนก็รีบถามไถ่ถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ทันที  
                          ทว่ามีเพียงบางคนเท่านั้นที่เห็นนางฟ้าอเลซซานดร้า   นอกนั้นเห็นแค่เพียงแสงสีขาวนวลที่ฉายลงมาเท่านั้น   แม้ว่าจะไม่ได้เห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า   แต่ทุกคนก็ได้รับพระพรจากการอวยพรของนางฟ้าเต็มเปี่ยม   ความเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าหายไปแทบจะปลิดทิ้ง   สีหน้าของทุกคนสดใสกระปรี่กระเปรา   ซึ่งแม้แต่ชาร์ล คราแลนซ์เองก็ยังดูมีสีเลือดฝาดขึ้นไม่ซีดเซียวเหมือนทีแรก   ทุกคนจึงต่างร้องสรรเสริญพระเจ้าอย่างยินดี กล่าวขอบคุณเกรเกอรี่ก่อนจะกลับไปรักษาแม่ทัพต่อ
                          “ขอบพระคุณท่านบิชอปเหลือเกินที่กรุณาขอพรให้กับพวกเรา” หัวหน้านักบวชกล่าวอย่างตื้นตันใจ
                          “พวกท่านต้องเหนื่อยตรากตรำดูแลรักษาเหล่าทหารจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว   น้ำใจดีของพวกท่านพระเจ้าทรงทอดพระเนตรตลอด   ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งทูตสวรรค์ลงมาอวยพรพวกท่านทันทีที่เราอธิษฐานวอนขอ   นี่ไม่ใช่เพราะความดีของเราเลย   แต่เป็นเพราะความดีและการเสียสละของพวกท่านต่างหาก  พระองค์จึงสดับฟังคำวอนขอ” เกรเกอรี่กล่าวอย่างชื่นชมบรรดานักบวช  ซึ่งก็ทำให้เหล่านักบวชหัวใจพองโตด้วยความปลื้มปิติ
                          “ท่านบิชอป เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วครับ   ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปดูแลการรักษาต่อเพื่อไม่ให้เสียชื่อที่ท่านบิชอปอุตส่าห์ชื่นชมเช่นนี้” หัวหน้านักบวชกล่าวอย่างนอบน้อม แต่ก็ยังคงยิ้มอย่างปลาบปลื้ม คำนับองค์กษัตริย์และบิชอปก่อนจะเดินกลับไปทำการรักษาต่อ   เกรเกอรี่จึงยิ้มตอบขอบใจ ก่อนจะหันไปหาองค์กษัตริย์
                          “ฝ่าบาท” เกรเกอรี่เอ่ยขึ้น “เวลานี้พวกเราอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์   กระหม่อมว่าเราไปวางแผนเตรียมรับมือพวกซาโลมกันจะดีกว่า”
ซิกมันต์พยักหน้าเห็นด้วยแล้วจึงหันไปมองอาการแม่ทัพอีกครั้งก่อนนะเดินนำออกจากห้องไป   เมื่อออกมานอกห้องแล้วซิกมันต์ก็อดไม่ได้ที่จะถามเกรเกอรี่ด้วยความสงสัย
                          “ท่านอัญเชิญทูตสวรรค์ลงมาอย่างนั้นรึ?”
                          “มิได้ฝ่าบาท   พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ลงมาด้วยพระทัยเมตตา   กระหม่อมแค่ทูลขอพระเมตตาจากพระองค์เท่านั้น”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: July 22, 2004, 03:26:12 AM »

                          “ถ้าพระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์ลงมา  แล้วทำไมข้าถึงมองไม่เห็นล่ะ   แม้แต่พวกนักบวชเองก็มีแค่บางคนเท่านั้นที่เห็น”
                          “ฝ่าบาทพระพรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้มนุษย์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน   พระพรแต่ละอย่างก็เหมาะสมกับคนๆนั้น   การมองเห็นเทวดานางฟ้าก็เป็นพระพรอย่างหนึ่ง   แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มองไม่เห็นจะไม่ได้พระพรของพระเจ้าแต่อย่างใด”
                          “แล้วทำไมพระเจ้าจึงไม่ให้พระพรที่เหมือนๆกันกับทุกคนเล่า   เพื่อจะได้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย   อย่างนั้นไม่ดีกว่ารึ”
                          “พระเจ้าทรงยุติธรรมและทรงหยั่งรู้ถึงก้นบึ่งแห่งจิตใจมนุษย์อีกด้วย   ทรงรู้ว่าพระพรใดที่เหมาะสมกับเรา   ทรงรู้ว่าใครจะนำพระพรที่ประทานให้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้   ยิ่งเราใช้พระพรนั้นให้เกิดประโยชน์มากขึ้นเท่าไหร่พระองค์ก็จะยิ่งประทานให้เรามากขึ้น   แต่ถ้าหากเราได้เพระพรมาแล้วแต่เรากลับไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์   พระองค์ก็จะทรงริบเอาคืนไปเสีย   ในขณะเดียวกันถ้าพระองค์ประทานให้เหมือนกันหมด เท่ากันหมดโลกเราคงวุ่นวายน่าดูเหมือนกัน”
                          “วุ่นวายอย่างนั้นรึ   ข้าว่าไม่เท่ากันนี่แหละวุ่นวาย   ทำให้คนอิจฉาริษยากัน   เกิดความไม่พอใจกันก็เพราะความไม่เท่าเทียมกันไม่ใช่รึ”
                          “ฝ่าบาทลองพิจารณาดูเอาเถิด   หากสมมุติว่าทุกคนเก่งในด้านการสู้รบเหมือนกันหมดแล้วไม่มีใครเก่งด้วยการรักษา   เมื่อบาดเจ็บมาจะรักษากันอย่างไร   หรือถ้าทุกคนเก่งด้านการรักษากันหมดแล้วเช่นนั้นใครจะป้องกันราชอาณาจักรเวลาศัตรูมารุกรานเช่นในยามนี้เล่า”
                          “ก็จริงของท่าน   เอาเถอะ เราคุยกันนอกเรื่องมานานแล้ว   ข้าว่าเรารีบไปหารือเรื่องวางแผนรับมือพวกศัตรูกันดีกว่า   ข้าอยากรู้รายละเอียดต่างๆของฝ่ายนั้นเพิ่มเติมด้วย”
                          “พะย่ะค่ะ”  เมื่อเกรเกอรี่กล่าวรับคำ   ซิกมันต์ก็สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังที่ประชุมอย่างรวดเร็ว    
   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: December 19, 2004, 04:27:30 AM »

มาเม้ากันที่นี่เลยจ๊ะ

http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=7245;start=0#lastPost
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.086 seconds with 21 queries.