Chapter 25 เกลียวคลื่นใต้ผืนน้ำ
ภายในพระราชวังแห่งเมืองท่าแอนดิซอง เวลานี้ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตา ด้วยเพราะวันนี้มีงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าวันแห่งชัยชนะ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นวันชาติของแอนดิซองเลยก็ว่าได้ เหตุที่ถูกเรียกว่าวันแห่งชัยชนะนั้นตามพงศาวดารเก่าแก่ของแอนดิซองได้กล่าวไว้ว่า ในยุคเริ่มแรกนั้นบรรพบุรุษจำนวนหนึ่งของชาวแอนดิซองซึ่งเดิมทีเป็นชาวฟีเลเซียได้เดินทางอพยพออกจากแผ่นดินใหญ่ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อสำรวจและตั้งรกรากในอาณาจักรแห่งใหม่ พวกเขาได้เดินทางมาถึงแอนดิซองดินแดนที่ความอบอุ่นและความหนาวเย็นผสมผสานกันอย่างลงตัว ที่ซึ่งต้นไม้แล้วน้ำแข็งสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างประหลาดจนเกิดภูมิประเทศที่สวยงาม ทั้งยังง่ายต่อการป้องกันภัยจากศัตรูผู้รุกรานอีกด้วย บรรพบุรุษในยุคนั้นจึงตัดสินใจที่จะตั้งรกรากบนเกาะที่สวยงามแห่งนี้ ทว่าบนเกาะแห่งนี้กลับมีมังกรดำเทียแมต(Tiamat, the Black Dragon)อาศัยอยู่ และได้ออกอาละวาดบริเวณที่ตั้งบ้านเรือนของชาวแอนดิซองหลายครั้ง เหล่าบรรพบุรุษจึงได้รวมกำลังกันต่อสู้กับมังกรร้ายอย่างกล้าหาญ การต่อสู้กับมังกรดำนั้นกินเวลาหลายวันทีเดียว จนในที่สุดมังกรร้ายเทียแมตก็สิ้นฤทธิ์และถูกบรรพบุรุษของชาวแอนดิซองสังหารได้สำเร็จ ในครั้งนั้นชาวแอนดิซองจัดงานเฉลิมฉลองชัยชนะกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนและได้จัดงานฉลองในวันเดียวกันนี้ทุกๆปีจนกลายเป็นประเพณีจนถึงทุกวันนี้
ในปีนี้งานเฉลิมฉลองก็ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้ปีใดๆเลย ไม่ว่าจะเป็นริ้วธงหลากสีสัน ทั้งเพชรนิลจินดาที่ประดับตกแต่งตามที่สำคัญๆต่างๆในเมือง ชาวแอนดิซองไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนต่างก็แต่งตัวกันด้วยชุดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของตนออกมาเดินตามท้องถนนเพื่อชมการแสดงมากมายที่จัดเป็นซุ้มๆตลอดทางเดินสายหลักของแอนดิซอง
แม้แต่ภายในพระราชวังเองก็คึกคักไม่แพ้กัน เหล่าขุนนางและพ่อค้าวาณิชทั้งน้อยใหญ่ต่างก็ทยอยกันมาคำนับเจ้าหญิงอลาน่าและร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้น ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยชุดสวยงามราคาแพงระยับที่สุดเท่าที่ตนจะหาได้ ผ้าคลุมกำมะหยี่ยาวกรุยกรายหลากสีประดับด้วยเพชร พลอย ทองและมุก
ทว่า แม้ทุกคนจะตกแต่งประดับประดากันมากสักแค่ไหนก็ไม่มีใครโดดเด่นและเป็นที่สนใจเท่ากับรูฟัส ประธานสภาพ่อค้าแห่งแอนดิซองไปได้ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความหล่อเหลาหรือเพราะเครื่องประดับล้ำค่ามากมายที่เขาประเคนใส่จนเดินแทบไม่ไหวเพราะความหนัก หากแต่เป็นเพราะความไร้รสนิยมโดยสิ้นเชิงของเขาที่นำเอาเครื่องประดับสารพัดชนิดมาประดับตัวโดยไม่คำนึงถึงชนิด ขนาด รูปทรง และสีสัน กระนั้นก็ดี รูฟัสกลับดูพออกพอใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าใครๆต่างก็สนอกสนใจมองดูการแต่งตัวของตนเช่นนี้
ไม่นานนักเสียงแตรก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณการเสด็จมาของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซอง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังประตูทองคำที่มีเพชรสีขาวเรียงประดับเป็นรูปกริฟฟอนเผือก(Albino Gryphon)อันเป็นประตูเชื่อมเขตพระราชฐานชั้นในซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของท้องพระโรง บานประตูค่อยๆเปิดออกช้าๆพร้อมกับการเสด็จมาของเจ้าหญิงผู้ทรงสิริโฉมงดงามยิ่ง จากวันที่เธอมาถึงเมืองท่าในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี มาในวันนี้แม้วันเวลาจะผ่านไปถึงเจ็ดปีแล้วก็ตามแต่ความงดงามดั่งหญิงสาวแรกรุ่นก็มิได้เลือนหายไปเลย ใบหน้าหวานยังคงเรียวงาม พวงแก้มอมชมพูด้วยเลือดฝาดของวัยสาว ปากอิ่มเต็มสีแดงระเรื่อ เธออยู่ในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มคอปาดที่ช่วยขับผิวขาวให้เนียนผุดผ่อง เธอแทบจะไม่ใส่เครื่องประดับใดๆเลยเว้นเสียแต่มงกุฎประจำตำแหน่งและสร้อยทองคำเส้นเล็กๆ แต่ในท่ามกลางผู้คนที่แข่งกันตกแต่งประดับประดาด้วยเครื่องประดับนานาชนิดจนดูไม่ต่างกับตู้โชว์สินค้า เจ้าหญิงที่ทรงแต่งองค์อย่างเรียบง่ายกลับดูโดดเด่นและงดงามยิ่งกว่าใครๆทั้งหมด ทำเอาบรรดาพ่อค้าและเหล่าขุนนางต่างก็ต้องกระดากอายกันไปตามๆกัน
ผู้ที่ตามเสด็จในลำดับต่อมาก็คือซิสเตอร์โรซาน่า และราชองครักษ์อองเดรนั่นเอง ซิสเตอร์โรซาน่าในชุดเครื่องแบบประจำคณะเดินอย่างสงบเสงี่ยมตามเสด็จเจ้าหญิงอยู่ไม่ห่าง ในขณะที่ราชองครักษ์อองเดรอยู่ในชุดเกราะเต็มยศสีน้ำเงินเข้มขริบทองเงาวาว ผ้าคลุมสีขาวผืนใหญ่พริ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดโบกยาวก้าวเดิน เขายังคงซ้อนใบหน้าไว้หลังหน้ากากสีน้ำเงินเข้มที่เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เย็นชาและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ