Summoner Master Forum
November 23, 2024, 12:12:32 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: Crisis Valkyrie Extended:EX 02 ตัวแปรของความรัก??  (Read 8744 times)
0 Members and 7 Guests are viewing this topic.
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« on: August 08, 2009, 05:24:55 AM »

Crisis Valkyrie Extended


…………………..

ทวีป เมอริเซีย

…………..หลังการณ์สถาปนา นครมิราบิลิส ขึ้นเป็นราชอาณาจักรที่ 5 แห่งเมอริเซียได้เพียง 3 ปี
และเป็นการสงบศึกระหว่างอาณาจักรทั้ง 4 (Four Kingdom) ด้านการเมืองการสงครามและเศรษกิจ

นั้น ต่างฝ่ายต่างยังอยู่ในช่วงฟื้นฟู ขณะที่ ศึกจากภายนอกทวีป ได้เข้ามาเยือน
 เมื่อเกิดการล่าอาณานิคม ขึ้นจาก บรรดา ประเทศในทวีป อื่นๆ

ทั้ง จาก อาริมาเทีย ดิสอาปจูร่า เลาดิเชีย มิสรายิม ประเทศอาณานิคม ที่มาจาก ทวีป 4 ทวีปนี้
ได้ทำสงครามกันเพื่อจะยึดครองชัยภูมิ ที่สำคัญหรือก็คือ เมอริเซีย ทวีปอันเป็น ศูนย์กลางแห่งเทอร่า

การยึดครอง เมอริเซีย ได้ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางกว้างออกไปสู่การเข้ายึดอาณานิคม อื่นๆทั้งหมดได้ในทันที
ด้วยเหตุนี้ เมอริเซีย บัดนี้จึงกลายเป็นสนามรบของ การแก่งแย่งแผ่นดิน จาก อาณานิคมต่างๆ

สงครามดำเนินยาวนานเป็นเวลานับ 10 ปี และจบลงด้วยการล่มสลายของ เมอริเซีย ประชากร
ในทวีปแตกกระเซอะกระเซิงไปคนละทิศคนละทาง  ผืนแผ่นดินในทวีปถูกปิดล้อมด้วย กำแพงคลื่นพลังงาน
อันทรงพลังจาก การทำสงคราม และกลางเป็นแผ่นดินรกร้างไปในที่สุด

……………..

หลังจากการล่มสลายของ เมอริเซีย อาณานิคม ต่างๆเริ่มเห็นพ้องกันว่าการทำสงครามต่อไป ก็รังแต่จะสร้างความเสียหายที่ไม่อาจเรียกกลับคืนให้แก่กัน จึงได้รวมตัวกันทำสนธิสัญญาว่าจะเลิสงครามซึ่งกันและกัน ทว่าพวกกลุ่มหัวการเมืองรุนแรง และ พวกพ่อค้าอาวุธสงคราม ไปจนถึงองค์กรก่อการร้ายต่างๆนั้น

ย่อมไม่พอใจและเห็นด้วยกับสนธิสัญญานี้ ดังนั้นแม้สนธิสัญญาจะมีการบังคับใช้แล้วก็ตาม
แต่ทว่า ประเทศในบางอาณานิคม ก็ยัง คงทำสงครามกันภายในประเทศ หรือข้ามประเทศ กันอยู่

ในขณะที่ประเทศใหญ่ๆซึ่งมีขุมกำลังอำนาจก็จะพยายามกีดกันตัวเองจากความขัดแย้งเหล่านั้น
บางประเทศก็หาผลประโยชน์กับสงคราม ในประเทศ อื่น

เวลาผ่านไปนับ 200 ปีทว่ากลับไม่มีใครแลเหลียว ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะสงครามเลย
บรรดาประชาชนชาวเมอริเซีย ที่สูญเสียแผ่นดินเกิดลูกหลานของพวกเค้าก็ต้องออกมาดิ้นรน

เอาชีวิตรอดในต่างแดน ทั้งยังถูกกดขี่ข่มเหงสารพัดสารพันธ์ เช่นเดียวกับชนชาติอื่นๆที่แพ้สงครามให้กับ
อาณานิคมที่กล้าแข็งกว่า เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้ มนุษย์เรียนรู้อะไรขึ้นเลย พวกเค้ายังเพิกเฉยกับสงคราม
เหมือนที่ผ่านๆมา
………………………………
…………………………………………….

EX 01 คมดาบของพระองค์…

 แดดอ่อนในยามเช้าส่องกระทบลงมาที่ชายคาบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆของตัวบ้านซึ่ง
มีรั้วกั้นอาณาบริเวณไว้ เช่นเดียวกับบ้านหลังอื่นๆ ที่ปลูกตั้งเรียงราย กันไปเต็มสองฝั่งถนน

ลักษณะการจัดวางผังเมืองเป็นแบบหมู่บ้านในเขตชานเมืองหรือชนบท เสียงนกร้องที่ดังขึ้นในรุ่งสางนี้
เป็นดังบทเพลงขับกล่อมเพื่อปลุกผู้หลับไหลให้ฟื้นจากนิทรา และเริ่มกิจวัตรประจำวันของตน

สายลมหนาวได้พัดผ่านผ้าม่านสีชมพูริมหน้าต่างบ้านหลังหนึ่งผืนผ้าม่านปลิวพริ้วไสวไปกับสายลมโบก
ก่อนจะโรยตัวลงแนบชิดติดกันเหมือนเดิม ก่อนที่มือซึ่งมีผิวขาวนวลจะชักกางใบผ้าม่านรูดไปราวกับ
เพื่อบังแดดที่ส่องเข้ามา 

“ เช้าวันนี้อุณหภูมิ จะลดลงตั้งแต่…. ”
เสียงรายงานพยากร์อากาศดังขึ้น จากลำโพงเครื่องรับสัญญาณวิทยุ ที่ตั้งอยู่บน
โต๊ะไม้ข้างหัวเตียง และที่เตียงนั้น ร่างของหญิงสาวผมยาวสลวยสีทอง ซึ่งยุ่งกระเซิง

ในชุดนอนสีชมพูลายดวงดาว กำลังนอนอย่างสบายอารมณ์ ริมฝีปากอันอิ้มเอิบของเธอนั้น
เปื้อนคราบน้ำลายที่ไหลเยิ้มไปจนถึงแก้มซ้าย  โดยรวมแล้วเธอก็ดูเหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วๆไป
เพียงแต่ใบหูของเธอกลับเป็นหูของสัตว์จำพวกแมวปกคลุมด้วยขนสีดำ ที่ทำให้เธอดูแปลกไปจากทุกคน

“ พี่ครับ….พี่นี่เช้าแล้วนะครับ…ตื่นเถอะครับพี่ซาน ”
เสียงปลุกจากเด็กหนุ่มผมที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างห้อง ดังขึ้นเค้าเองก็มีใบหูเยี่ยงสัตว์ป่าเช่นเธอแต่คราวนี้
มันเป็นใบหูของสุนัขป่า หนุ่มน้อยผู้มีดวงตาแสนอ่อนโยน ผมสีดำคลับและเรียบมันเพราะถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ

และเสื้อเชิตสีขาวสวมทับด้วยสูทแขนยาวสีน้ำเงิน เดินตรงเข้ามาแตะเนื้อต้องตัวเธอ อย่างไม่รู้สึกกระดากกระด้างอะไร
เค้า เขย่าร่างของเธอ เบาๆเพื่อที่จะปลุกให้เธอตื่น

“ งืมๆ.....ขออีก 5 นาทีนะ เฟนท์ … ”
เธอครางเบาๆด้วยความงัวเงียก่อนจะพลิกตัวหนีน้อองชายของเธอ

“ พี่ซานครับ…พี่ขอตั้งแต่ที่ผมขึ้นมาปลุกรอบแรกแล้วนะ ไม่รีบตื่นเดี๋ยวก็ไปสายหรอกครับพี่ซาน ”
น้องชายของเธอ แย้งพลางดึงแขนเธอเพื่อจะดึงให้เธอตื่น แต่สุดท้ายไม่ว่าจะตื้อเท่าไหร่ เธอก็ไม่ยอมตื่น
ซักที จนเค้าต้องยอมแพ้

“ เฮ้อ~ พี่เนี่ย…งั้นผมไปก่อนนะ… ”
น้องชายของเธอ เปรยอย่างเซ็งๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“ งืมๆ…พุดดิ้งจ๋า~~ ”
และแล้วเธอก็ถูกทิ้งให้นอนอยู่ในห้องตามลำพัง

……………………………..

ที่ชั้นล่างของบ้านตรงหน้าบานประตูไม้ขัดสีขาว เฟนท์ กำลังยัดเท้าตัวเองลงไป
ในรองเท้าผ้าใบสีดำ ก่อนจะผูกเชือกรัดให้แน่น
แล้วจึงลุกขึ้นยืนเพื่อเคาะเท้าดูว่าแน่นดีแล้วหรือไม่ จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเป้สีดำขึ้นสะพายหลัง

แต่ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปเค้าหันกลับเข้ามาในบ้านแล้วตะโกนขึ้นมา

“ พี่ซาน คร้าบบบบ ถ้าไม่รีบจะไปสายนะคร้าบบบ!! ”
เฟนท์ ตะโกนก่อนจะปิดประตุบ้านแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่ประตูรั้ว ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปตามถนน เค้าหันกลับ
ขึ้นไปมองยังบานหน้าต่างชั้นสองของบ้าน

“ พี่ซานคงตื่นแล้ว…มั้ง ”
เฟนท์ พูดกับตัวเองก่อนจะออกเดินไปโดยไม่หันกลับมาสนใจ พี่สาวของตนที่
ตอนนี้ก็ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง

“ งืม~…พุดดิ้งเต็มไปหมดเยย มากินด้วยกันน้า…เรกกะ~~ ”

………………………………….
………………………………………………………….

เฟนท์ วิ่งไปตามทางเท้าบนถนนที่ทอดยาวเข้าไปสู่ตัวเมือง  ระหว่างทางคนที่เดินสวนมาก็ทักทายเค้าอย่างสนิทสนม
เค้าเองก็ทักทายตอบกลับไปด้วยอัธยาศัยที่ดี 

“ อรุณสวัสดิ์จ้า แหม เฟนท์ วันนี้ออกแต่เช้าเลยนะ ”
“ อรุณสวัสดิ์ครับคุณยาย ”
“ อ้าวๆ ไม่ต้องรีบวิ่งขนาดนั้นก็ได้เดี๋ยวก็หกล้มกันพอดี ”
“ อ๋อ ครับขอบคุณที่เป็นห่วงฮะ ”

ระหว่างทางที่เค้าวิ่งผ่านไปก็จะมีคนรู้จักเข้ามาทักทายอยู่ตลอดจนเมื่อ เข้าสู่ตัวเมืองแล้ว
ก็จะไม่มีใครทักทายแบบเมื่อรู่นี้อีก เพราะกิจวัตรของผู้คนในเมืองนั้น เร่งรัดกับเวลา
เอามากๆ ทุกคนจึงแทบไม่มีเวลาจะมามองหน้าหรือทักทายใคร

แต่ตัว เค้าเองก็ไม่ได้หวังให้ใครมา ทักทายไปตลอดทั้งทางี่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่กันขนาดนี้เพราะไม่อย่างนั้น
ทุกคนก็คงไม่เป็นอันต้องทำอะไรกันพอดี รวมถึงตัวเค้าเองก็จะสายด้วย

ย่างก้าวแรกที่เข้ามาในตัวเมืองนี้ เค้าค่อยๆลดฝีเท้าลง และเปลี่ยนเป็นเดินแทน เพราะผู้คนบนทางเท้าเริ่มมาก
ขึ้นเรื่อยๆและถนน หนทางก็เต็มไปด้วย ยวดยานพาหนะ ต่างๆ  เฟนท์ เดินมาจนถึงทางแยกเลี้ยวเข้า

ซอยแห่งหนึ่ง เค้าเดินเข้าไปในซอยนั้น ภายในระแวกแทบจะไม่มีผู้คนเดินผ่านเลย ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบกว่า
ถนนหลักข้างนอกนั่นเสียอีก และในระแวกนี้ นานๆทีจึงจะมี รถผ่านมา เข้าจึงเริ่มวิ่งเหยาะๆอีกครั้ง

เค้าวิ่งไปตามทางในซอย ก่อนจะมาหยุดที่หน้าประตูร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนทางสามแพ่ง
ซึ่งป้ายร้านเขียนว่า ร้านเค้ก Happy Material
เฟนท์ เดินไปเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะมีเสียงตะโกนดังตอบกลับมา

“ อ๊า~~ เฟนท์ นายมาแล้วเหรอ แปปนะ ฉันเกือบเสร็จแล้วล่ะ..หวา~~~ ”
“ เรกกะ อันนั้นไม่ใช่รองเท้านะ รองเท้าน้องอยู่นี่ต่างหาก ”
“ เหวอ! แล้วนี่มันอะไรครับ เนี่ย แว้กก!! ”
“ ว้าย เรกกะ อย่าเหยียบสินี่มันเป็นถุงแป้งรูปรองเท้านะ…ว้ายแป้งฟุ้งไปหมดแล้ว ”

โครมๆ คราม ตึงๆ ตุบ

ขณะที่ยืนรออยู่หน้าประตูร้านนี้ เสียงอึกทึกครึกโครม บ่งบอกถึงความวุ่นวายภายใน
ก็ดังมาไม่มีขาดสาย ก่อนที่เสียงจะเงียบไป ซักครู่ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า เรื่องข้างใน
คงจะจัดการเสร็จแล้ว ไม่นานประตูร้านก็เปิด ออกพร้อมกับรอยยิ้มแก้เขิน

ของเด็กหนุ่มผมสีทองทรงชี้แหลมและมีปลายผมที่โง้งขึ้นเพราะการหวีแบบตวัดปลาย
ในชุดเครื่องแบบนักเรียน เช่นเดียวกับเค้า

“ โทษนะ เฟนท์ พอดีวุ่นไปหน่อยก็เลย ต้องให้นายรอซะนานเลย~ ”
เด็กหนุ่ม เอ่ยปากขอโทษอย่างเก้ๆกังๆ

“ เอ่อ…ไม่เป็นไร ยังไงก็เจอแบบนี้ทุกเช้าอยู่แล้วหล่ะ ”
เฟนท์ ตอบก่อนที่พวกเค้าจะกล่าวลา พี่สาวของ เรกกะ แล้วจึงเดินไปด้วยกัน
ระหว่างทางก็คุยเรื่องสัพเพระ ไปตลอดทาง

“ นี่ๆ เฟนท์ เมื่อวานนายได้ดู แรทโตะเรนเจอร์(Rato Ranger) หรือเปล่าหุ่นรบสุดยอด ไดอาแมนคริสโตะ
ออกมาแล้วนา อย่างเท่ห์เชียวล่ะ ”

“ อ๋อ ที่รวมร่างสุดยอด กันระหว่างเทพมังกรทั้ง 6 น่ะเหรอ เจอแบบนั้นเข้าไปพวก
 วอลซาร์ด แพ้ยับไม่เป็นท่าเลยล่ะ ”

ทั้งสองคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ตลอดทางที่เดินไป  จนเมื่อเดินผ่านหน้าร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แห่งหนึ่ง
ซึ่งตั้งเครื่องรับสัญญาณภาพและเสียงเอาไว้ที่ตู้กระจกหน้าร้าน ภาพและเสียงของผู้บรรยายข่าวที่ปรากฏอยู่นั้น ทำให้
เฟนท์ หยุดชะงักไป


“ เมื่อ คืนวานนี้ มหาสังฆราช มาเวล ที่ 13 แห่งจักรวรรดิ์ มาอิล ผู้คุมอำนาจฝ่ายใต้ของ
สหราชอาณาจักรซีราในทวีปเลาดิเชีย ได้ประกาศชัยชนะต่อการยึด นครเยรซาเลม จาก จักรวรรดิ์ ลาเดีย
รายงานสภาพการณ์ใน สหราชอาณาจักรตอนนี้ ยังคงอยู่ในความไม่สงบ จำนวนผู้เคราะห์ร้ายมีมากขึ้น
เรื่อยๆ…. ”

รายงานข่าวนี้ เฟนท์ จ้องมองมันด้วยดวงตาท่ายความเศร้าหมองออกมา ขณะเดียวกัน
เรกกะ กลับส่งสายตาไม่พอใจให้กับข่าวที่ได้รับนี้

“ พวก จักรวรรดิ์ คิดจะรบไปถึงไหนกันนะ ปากอ้างศาสนาอ้างพระเจ้า
 แล้วก็ไปฆ่าพวกที่ไม่เห็นด้วย ซักวันเถอะพระเจ้าจะลงโทษเอาหึ! ”
เรกกะ บ่นเสียงขุ่นกับเหตุการณ์บ้านเมืองในต่างแดน ที่ห่างไกลจากที่พวกเค้าอยู่นี่มากนัก

“ พระเจ้าน่ะ….ไม่มีจริงหรอก…. ”
เฟนท์ เปรยเสียงแผ่วขึ้นมา ทำเอา เรกกะ หันไปมองด้วยสายตาแปลกๆ
กับคำพูดของเค้า

“ ถ้าพระเจ้ามีจริงสงครามพวกนี้…ก็คงจะไม่เกิดขึ้นหรอก ”
เฟน เอ่ย ริมฝีปากสั่น เค้ากำหมัดแน่นเสียจนข้อมือซีดขาว ราวกับโกรธแค้น อะไรบางอย่างอยู่
เรกกะ ที่เห็นเช่นนั้น จึงเอื้อมมือไปแตะ ไหล่เค้า ก่อนจะพูดขึ้น

“ ไม่เอาน่า…รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวได้เข้าเรียนสายกันพอดี ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะชักลากชักจูงให้เค้าเดินตามไป

{ เรกกะ…ขอบใจนะ…เพราะมีนายฉันถึง… }
เฟนท์ คิดในใจเค้ารู้สึกขอบคุณ เรกกะ ที่ช่วยดึงเค้าออกจากความหมองหม่นในใจ รายงานข่าวเกี่ยวกับสงคราม
นั้นทำให้หัวใจของเค้าเจ็บปวด เพราะตัวเค้า เป็นลูกหลานชาวเมอริเซีย สงคราม ทำให้แผ่นดินเกิดของ
เค้าต้อง สูญสิ้นและถูกลืมตัวตนของการมีอยู่ ชาวเมอริเซียได้กลายเป็นกลุ่มบุคคล

ที่ถูกลืมเลือนจาก ประชาคมโลก เพราะในการเจรจา สนธิสัญญา ต่างๆของ ประชาคมโลก เมอริเซีย
ไม่มีตัวแทนที่จะเข้าร่วมในการ ลงนามสนธิสัญญา ดังนั้น พวกเค้า จึงเป็นแรงงานที่ไม่มีกฏหมายคุ้มครอง

ในบางประเทศ ถึงกับมีการใช้แรงงาน ชาวเมอริเย อย่างหนักถึงตาย และ บางประเทศก็ทำการทดลองผิดอย่างศีลธรรม
กับมนุษย์หรือ ครึ่งเผ่าพันธุ์สมิง อย่างพวกเค้า ได้ลงคอ ที่จริงแล้ว อะไรก็ตามที่มีความคล้ายคลึงมนุษย์
และถูกเป็นชาวเมอริเซีย ก็แทบจะถูกกระทำแบบนี้ทั้งนั้น

ในบางประเทศ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้บ้าง ด้วยการให้ความคุ้มครองแก่พวกเค้าแต่ก็ยังคง
กดขี่พวกเค้าให้เป็นแรงงานต่อไป ด้วยการออกกฏห้าม ชาวเมอริเซีย รับราชการ หรือเข้ารับการศึกษา
บีบให้พวกเค้าเป็นทาสเพียงอย่างเดียว แต่ที่ตอนนี้ ที่เค้าอยู่คือ โลกอส(Logos) ประเทศซึ่งเปิดเสรี

ไม่แบ่งแยกและให้โอกาส แก่ชาวเมอริเซีย อย่างเท่าเทียม แม้ว่าการกระทำนี้จะทำให้  โลกอส
ดูเป็นประเทศที่มีคุณธรรม แต่นั่นก็แลกมาด้วยการที่ต้องถูกประเทศอื่นเพ่งเล็งว่า แย่งแรงงานพวกเค้า
หรือโดนดูถูกว่ายอมให้กับพวกต่ำต้อย แต่ด้วยแสนยานุภาพสูงสุดของ ประเทศแห่งนี้ ซึ่งมี เจ้าหญิงมาเรียลูส

เป็นผู้สำเร็จราชการทรงปกครองประเทศอย่างเป็นเอกเทศ โลกอส มีกำลังทางการทหารที่นับได้ว่าสูงล้ำกว่า
อาณานิคมระดับกลางๆอยู่มาก
แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนฐานของอุดมการณ์ที่ว่า  “เราจะไม่รุกรานใคร และ จะไม่ยอมให้ใครมารุกรานเรา”

…………………….
………………………………….

โรงเรียน St. Mugnagus
เป็นโรงเรียน ที่ทางโบถส์ St. magnus ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนสหภายในประเทศอันสุขสงบ
จากภัยสงครามอย่างโลกอส นี้ ซึ่งที่นี้เน้นหลักการสอนให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยก ลูกหลานชาวเมอริเซีย

ที่เข้าเรียนที่นี่จะเยอะเป็นพิเศษ และด้วยกฎหมายคุ้มครองสิทธิของทุกคนอย่างเท่าเทียม จึงไม่มีการเหยียด ชนชั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะพระมหากรุณา ของเจ้าหญิง มาเรียลูส (Marialust) ผู้สำเร็จราชการปกครองแคว้นนี้อย่างเป็นเอกเทศ  พระองค์ทรงมีพระเมตตา ทรงห่วงใยราษฎร ทั่วหล้าโดยไม่แบ่งแยก ชาวเมอริเซีย ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์ถึงกับพูดเป็น เสียงเดียวว่าพระองค์คือ
เจ้าหญิงอลาน่า(Alana)ที่อวตารลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ อีกครา

………………………………………….

…………………………………..

“ คนต่อไป เรกกะ(Recca) เธอช่วยอ่านบทคัดย่อที่สามของหน้านี้ทีนะ ”
เสียงของอาจารย์ ดังขึ้นก่อนที่ เรกกะ ยืนขึ้นขณะที่ยกเล่มหนังสือปกอ่อน สีฟ้าซึ่งมีตรา นกพิราบขาว
แห่งสันติภาพ  ประทับอยู่ที่หน้าปก ตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นี้ แม้จะดูปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ทว่าเมื่อจ้องมองให้ ลึกลงไป
จะพบว่ามี ก้อนตะกอนอะไรบางอย่างฝังลึกอยู่ในแก้วตา ทำให้ตาดวงนั้นไม่สามารถมองเห็นได้

“ หลังจากการเข้ารับราชการ องค์หญิง มาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส ให้เปิดประเทศ โลกอส เป็นเสรี
ไม่ขึ้นกับใคร และดำรงอยู่บนรากฐานแห่งการอยู่ร่วมกัน… ”
เรกกะ อ่านบทความที่เขียนอยู่ในหนังสือ อย่างช้าๆและชัดให้ทั้งห้องฟัง ก่อนที่จะนั่งลง

“ เฟนท์ ต่อไปตาเธออ่าน แล้ว ”
อาจารย์ผู้สอน หันมามอง เฟนท์ ที่ตอนนี้กำลังเลิ่กลั่กอยู่กับหน้าหนังสือของเค้า

{ ย…แย่ล่ะสิ มัวคิดอะไรเพลินอยู่ก็เลยไม่ได้ฟังเลย เรกกะ นายอ่านถึงหน้าไหนแล้วเนี่ย }
เฟนท์ นึกในใจขณธที่ควานเปิดหน้าหนังสือไปมา จนเมื่อ อาจารย์ เร่งขึ้นมา เค้าจึง
ต้องจำใจยืนขึ้นอ่านในหน้าที่เค้าคิดว่าหน้าจะถึงแล้ว

“ อ…เอ่อ ตรงบทคัดย่อที่ ห้า อ..เอ่อ อยู่ตรงไหนนะ อยู่ไหน อ..เอ่อ องค์หญิงมาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส.. ”
 เฟนท์ อ่านเสียงอำอึ้งตะกุกตะกัก อย่างลนลานทว่าบรรทัดที่เค้าอ่านนั้นมันซ้ำกับ บรรทัดที่ เรกกะ อ่านไปเมื่อครู่นี้เอง

“ เฟนท์(Feint) ที่เธออ่านน่ะมันบทคัดย่อที่สาม เพื่อนๆเขาอ่านผ่านไปแล้ว ของเธอ ต้องขึ้นต้นเรื่องพระราชกรณีกิจของพระองค์ต่างหาก ”
อาจารย์ผู้สอน กล่าวเสียงหน่ายๆกับอาการตื่นผวา ของ เค้าที่เป็นเอาเสียทุกครั้งในทุกชั่วโมงเรียน
เฟนท์ มักเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง

บ่อย ครั้งการกระทำของเขา จึงทำให้ ทุกคนหน่ายไปพอๆกัน แม้แต่อาจารย์ผู้สอนเองก็รับไม่ค่อยได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผลการสอบทุกครั้ง เขาจะได้คะแนน ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

“ เฮ้อ เจ้า เฟนท์ เป็นอีแบบนี้ทุกทีสิน่า ”
เรกกะ ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่เสียงกริ่ง หมดชั่วโมงเรียนจะดังขึ้น

“ งั้นวันนี้พอแค่นี้นะนักเรียน ”
อาจารย์ผู้สอนกล่าวขณะที่ กลับไปยังโต๊ะเพื่อเก็บอุปกรณ์การสอนและหนังสือ ลงกระเป๋าหนัง

“ ทั้งหมดตรง…เคารพ ”
เสียงสั่งการของ นักเรียนหญิง ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับที่นักเรียนทั้งห้องลุกจากโต๊ะและ
ก้มลงทำความเคารพ

“ ขอบคุณ ครับ/ค่ะ ”
สิ้นเสียง นักเรียนทั้งห้องก็พากันเก็บของ ออกจากลิ้นชักโต๊ะ ลงกระเป๋าสะพาย และทยอยกันออกจากห้อง
ไป โดยยังมีบางส่วนนั่งสนทนากันอยู่ในห้องบ้าง

“ เรารีบกลับกันเถอะ เฟนท์  ”
เรกกะ กล่าวขึ้นขณะที่เดินมาหา เฟนท์ ที่โต๊ะ ซึ่งกำลังเก็บหนังสือและสมุดลงกระเป๋า

“ เรกกะ วันนี้ นายไปก่อนเถอะ พี่ ซาน (San) กับชั้น มีธุระต้องไปทำน่ะ ”
เฟนท์ ตอบ พร้อมกับสะพายเป้ขึ้นหลัง

“ อะไรกันนายก็ด้วยเหรอ วันนี้ เจ้า ไรด์(Ryad) เองก็บอกว่าติดธุระเหมือนกัน ว่าจะไปซื้อ ฟิคเกอร์
ไพทอน(Python Figure) กับการ์ด Rato ranger ชุดใหม่ที่พึ่งวางขายวันนี้ด้วยกันซะหน่อย เฮ้อ เอาเถอะ
ไปคนเดียวก็ได้ พรุ่งนี้เจอกันนะ  ”
เรกกะ บ่น อุบอิบ อย่างไม่สบอารมณ์ ที่เพื่อนๆของเขาพากันติดธุระหมด จนเขาต้องไปซื้อของคนเดียว



“ อ..อื้อ ไว้วันหลังชั้นจะชวน ไรด์ ไปด้วยละกันนะ ”
เฟนท์ กล่าว ขณะที่ เรกกะ เดินออกไปหลังจากโบกมือลา
ก่อนที่เขาจะเดินเลี้ยวออกไปอีกทาง ขณะที่เดินเหม่อลอยไปนั้น เขาก็ไปชนเข้ากับนักเรียน คนหนึ่ง

“ หวา..ข..ขอโทษด้วย ผมไม่ทันระวังเอง ขอโทษด้วย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ โค้งขอโทษขอโพย ปะหลกๆให้กับเด็กนักเรียนที่เขาเดินไปชนนั้น
…………………..

ขณะเดียวกัน ซาน พี่สาวของ เฟนท์ เธอพึ่งจะเดินออกมาจาก ห้องพักอาจารย์ โดยมีสีหน้างัวเงีย
และรู้สึกเบลอๆ เล็กน้อย

“ โธ่ เพราะ เฟนท์ ไม่ยอมปลุกแท้ๆ เลยโดนอาจารย์ พาเข้าไปเทศซะ
จนเลิกสายจนได้ เฟนท์ จะไปรอเราก่อนรึยังน้า วันนี้เป็นวันเริ่มภา…รกิจ ”
เธอ เดินไปบ่นไปตลอทางเดินในอาคาร ก่อนจะไปหยุดเอา เมื่อเห็น น้องชายเธอกำลังถูกกลุ่มนักเรียนรุ่น
น้อง ของเธอ รุมล้อม เฟนท์ เอาไว้


« Last Edit: August 12, 2009, 12:12:54 AM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #1 on: August 08, 2009, 05:28:44 AM »

“ หาเฮ้ยแกมัน ไอ้ครึ่งสมิงขี้แหย ห้อง A นี่หว่าเฮ้ยเอาไงพวกเรา ตื้บมันเลยมะ มันมาชนข้าอ่ะ ”
นักเรียนที่ เค้า เผลอไปชนเข้านั้น ตัวใหญ่กว่าเค้า นัก นอกจากนี้ยังมี เพื่อนกลุ่มนักเรียนเกเร ล้อมกรอบ
เค้าอยู่อีกหลายคน

“ เอาซี้ ลูกพี่กำลังคันไม้คันมือ อยู่เลย ”
เด็กเกเร คนหนึ่งในกลุ่มกล่าว ขึ้นขณะหักนิ้ว ตัวเองไปมา  เฟนท์ ถึงกับหน้าถอดสีด้วยความกลัว
ตอนนี้เค้ากำลังจะถูกพวกเด็กเกเร รุมรังแก ในใจของเค้าตอนนี้คิดอยากที่จะก้าวเท้าหนีไป
แต่ทว่าร่างกายกับไม่ยอมทำตาม เค้ากลัวเกินกว่าที่จะหนีไปได้

“ นี่หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกเธอน่ะ!!~ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับทันทีที่ พวกเด็กเกเร หันไปมองเจ้าของเสียง ต่างก็พากันหน้าซีด

“ แว้ก ยัยกรรมการคุมความประพฤติจอมเฮี้ยบนี่ หนีเร็ว ”
สิ้นคำของ หัวโจก ทั้งกลุ่มก็เผ่นแนบไปในทันที

“ เฟนท์ ไม่เป็นไรนะ ฮึ่มเด็กพวกนี้ เรียนก็ไม่เรียน ยังทำตัวเป็นอันธพาลอีกนะ ”
ซาน พี่สาวของ เค้าบ่นอย่างหัวเสีย ไล่หลังกลุ่มเด็กเกเร พวกนั้นไปขณะที่เดินเข้ามา
ปลอบน้องชายของเธอ ท่ามกลางสายตาของ บรรดาเพื่อนนักเรียนรอบๆที่จ้องมาที่เค้า

ด้วยความสมเพช แน่นอนแม้เค้าจะไม่ได้ยินที่พวก นั้นพูดหรือรู้ว่าพวกนั้นนึกอะไรอยู่
แต่เค้าก็ทึกทักไปเองแล้วเสียว่า ทุกคนต้องมองเค้าเป็นคนน่าสมเพช เป็นคนขี้ขลาดที่คอยหลบหลัง
ผู้หญิง ความกดดันนี้คือสิ่งที่เค้ารู้สึกได้จากสายตาของ คนอื่นที่มองมาที่เค้า


“ พี่ ซาน คร้าบ..ผม…ผม..ฮึก…ฮึก..ฮือ~~~ ”
หยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม เฟนท์ เค้ารู้สึกคับแค้นที่ตัวเองเป็นคนไม่เอาไหนแบบนี้
 จน พี่สาวต้องโอบกอดเพื่อปลอบใจน้องชายของตน

“ โอ๋ๆๆ..ขวัญเอ๋ยขวัญมาน้า…อย่าร้องตรงนี้สิจ้ะ เฟนท์  พี่อยู่นี่แล้ว โอ๋ๆๆ ”
ซาน ต้องปลอบอยู่นาน กว่า เฟนท์จะยอมหยุดร้อง

ปิ๊บๆๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นจาก กระเป๋าเสื้อของ เธอ ก่อนที่เธอจะคว้ามันขึ้นมา สิ่งที่ส่งเสียงนั้นเป็น อุปกรณ์
คล้ายกล่องยาวขนาดเล็ก ซึ่งมีปุ่มสั่งการ เหมือนกับเป็นเครื่องควบคุม ที่ตรงกลางกล่องมีจอแก้ว
ซึ่งแสดงค่าต่างๆ เอาไว้ เธอกดปุ่มหนึ่งเพื่อให้เสียงหยุด ก่อนที่ หน้าจอจะฉายภาพขึ้นมา มันเป็นข้อความ
ที่ส่งมาจากที่ไหนซักแห่ง

“ การรัฐประหาร ที่ ดิสอาปจูร่ากับสงคราม ศาสนาที่ สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งเลาดิเชีย เหรอ  ”
ซาน เอ่ยขึ้น หลังจากที่อ่านข้อความจากเครื่องนั้น

“ เฟนท์ หยุดร้องเถอะ มีภารกิจเข้ามาแล้ว ”
เธอกล่าวกับน้องชาย ซึ่งทันทีที่ ได้ยินคำพูดของเธอ เค้าก็หยุดสะอื้นทันที ก่อนจะเอาแขนเสื้อปาดคราบน้ำตา
สายตาหลังจากที่ปาดคราบน้ำตาไปนั้นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ดูมุ่งมั่งและเข้มแข็งกว่าปกติ

{ภารกิจ…จริงสิวันนี้เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง….เราจะมัวมาอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้…}
เฟนท์ คิดในใจก่อนจะหันไป บอกกับพี่สาว


“ งั้นเรารีบไปกันครับพี่ ”
สิ้นคำของ ทั้งสอง ก็ออกวิ่งไปตามทางเดินในอาคารเรียน อย่างรีบร้อน

{เราจะต้องเข้มแข็งขึ้นภารกิจ จากนี้ไปมันหน้ากลัวกว่าพวกเด็กเกเร พวกนั้นซะอีก….เราจะต้องเข้มแข็งกว่านี้}
เฟนท์ คิดขณะที่วิ่งไปด้วย แรงผลักที่ต้านต่อความกดดันเมื่อครู่นี้มันคือสิ่งเค้ากำลังจะไปทำ
ความรู้สึกที่ทำให้เค้า ต้องฝืนใจเข้มแข็งนี้มันคือ…….

…………………………..

…………………………………………………

สูงจากพื้นโลกจนถึงชั้นบรรยากาศ เหนือ ทวีป ดิสอาปจูร่า  เรือบินสีขาวลำใหญ่ กำลังว่ายอยู่
ท้องนภาซึ่งมีความกดอากาศต่ำ ตัวยานมีสีขาว หัวเรือมีรูปปั้นเทวทูต ประดับ และหางเสือเรือ มีรูปร่างเป็นปีกมีถึงสี่หางเสือ
เรือบินลำนี้ คือ Sky Cruiser ที่ได้รับการดัดแปลงให้ปล่อย ละออง อนุภาคสีเขียว
อันแปลกประหลาดซึ่งมีผลช่วยห่อหุ้มมันเอาไว้ไม่ให้ตกลงไป   



“ การชาร์จ ประจุ อิอ้อน(Ion) เสร็จสมบรูณ์แล้วค่ะ   ”
เสียงของพนักงานสาวซึ่งคุมเครื่องควบคุม ยานอยู่ภายในห้องควบคุม ที่กว้างพอจะจุ คนได้เป็นสิบ
นอกจาก แผงควบคุมที่อยู่ที่กับ กระจกหน้าของ ยานบิน และที่ข้างผนังห้องยังมี แผงควบคุมซึ่งตั้งแยกเอา

ไว้พร้อมกับเก้าอี้มีพนัก อีกฝั่งละสองตัว ภายในห้องนอกจากพนักงานสาวผมสีเขียวสด ในชุดเครื่องแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวมีกระดุมและกระโปรงสั้น สีน้ำเงิน กำลังนั่งเคาะแป้นควบคุม อยู่ด้านหน้าหนึ่งคนแล้วก็ยังมี พนักงานชายอีกสองคน


ซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวแขนเสื้อยาวสีเทา และคลุมทับด้วยเสื้อกั๊ก สีฟ้าอีกชั้น กางเกงยีนสีน้ำเงินอ่อน คนหนึ่งมีผมสีดำคุมแผงวงจร ด้านข้างฝั่งซ้าย ส่วนอีกคนผมสี บลอนด์ คุมแผงอยู่ข้างๆกับ พนักงานหญิง และที่กลางห้องมีเก้าอี้สำหรับผู้บัญชาการตั้งอยู่ ซึ่งผู้นั่งอยู่บนนั้นเป็น หญิงสาววัยแรกรุ่น ที่อายุมากกว่า พนักงานทุกคนในห้องเพียง
สองสามปีเท่านั้น เธอสวมเครื่องแบบ เช่นเดียวกับพนักงานหญิงทุกคน


“ แล้วทาง Valkyrier  ”
หญิงผู้บัญชาการ กล่าวถาม

“ เตรียมพร้อมอยู่ที่ ห้องส่งตัวแล้วครับ ”
พนักงานชาย ที่คุมแผงอยู่ข้าง พนักงานหญิงกล่าวตอบ

“ ดีล่ะถ้างั้นก็เริ่ม ภารกิจ แรกของเรากันเลย ”
ผู้บัญชาการหญิง กล่าวน้ำเสียงรื่น

……………………………..

ณ ห้องพักรับรองที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย มีเพียงโซฟายาวขนาดนั่ง สามคนต่อตัว ตั้งหันหน้าเข้ากันอยู่กลาง
ห้อง และ โต๊ะกระจกเล็กๆตัวหนึ่งวางขั้นระหว่างเอาไว้

เฟนท์ ซาน และ เพื่อนเด็กหนุ่มวัยเดียวกับ เฟนท์ อีก 2 คน นั่งรอคำสั่งอยู่บนโซฟา

คนหนึ่งมีผมทรงสีแดงปลายชี้กระเซิง สวมชุดเสื้อเกราะ สีน้ำเงินดำ และหากไม่สังเกตุให้ดีๆ
ใบหูของ เด็กหนุ่มคนนี้ เป็นหูของสัตว์เช่นเดียวกับ เฟนท์ และ พี่สาว เพียงแต่หูของเด็กหนุ่มผู้นี้

เป็นหูของพังพอน  ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มผมทรงสีเทาอมขาวราวกับหิมะ เค้าสวมชุดที่ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ต
และคลุมทับอีกชั้น  ด้วยสูทคลุมยาวถึงเข่า ใบหูของเด็กหนุ่มคนนี้เป็น แบบเดียวกับเฟนท์ คือ หูสุนัขป่าแต่เป็นขาวอมเทาเช่นเดียวกับสีผมของเค้า
 ตัว เฟนท์ เองก็สวมชุดเกราะที่คล้ายกันกับของ เด็กครึ่งสมิงพังพอน ส่วน ซาน นั้น
ชุดของเธอดูจะเป็นชุดวันพีซธรรมดาๆเหมือนกับของ เด็กหนุ่มครึ่งสมิงสุนัขป่าผมสีเทาอมขาว


“ ตอนนี้เราอยู่เหนือ พื้นที่ Mission  แล้วช่องส่งตัวที่ 1 เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญออกตัวได้ทุกเมื่อ  ”
เสียง ประกาศดังก้องขึ้นมาจากลำโพงที่ติดอยู่บนมุมเพดานห้อง เฟนท์ และ ซาน จึงลุกขึ้น
และเดินไปพร้อมๆกัน

“ โฮ้ย ขอให้โชคดีกับการแทรกแซงครั้งแรกนะพวก ”
ครึ่งสมิงพังพอน กล่าวพลางหยิบตาซ้ายยิ้มและยกนิ้วโป้งให้กำลังใจแก่ทั้งสอง

“ อ…อืม พวก ไรด์ (Ryad) ก็ระวังตัวด้วยล่ะ… ”
เฟนท์ หันไปรับคำก่อนจะเอ่ยกลับให้ตามมารยาท

“ นี่เราไม่ได้มาเล่นกันอยู่นะ พวกเรากำลังจะเริ่มการแทรกแซงสงครามนี่ คือภาระกิจ
เพราะฉนั้นตอนนี้พวกนายควรทำตัวให้เหมาะสมหน่อย ที่พวกเราทำกันอยู่ตอนนี้คืออาชญากรรมนะ ”
เด็กหนุ่มครึ่งสมิงหมาป่าที่นั่งข้างๆ ไรด์ บ่นอย่างไม่พอใจกับทีท่าที่พวกเค้าแสดงออก



“ อะไรกันน่ะ เอมิล(Emil) ไม่เห็นต้องเคร่งครัดขนาดนั้นเลยนี่ พวกเรารู้หรอกน่าว่าอะไรเป็นอะไร ”
ซาน แย้งหน้ามุ่ยด้วยความรู้สึกว่า เอมิล กำลังดูถูกพวกเธอ อยู่แต่ทว่า เอมิล ก็ไม่ตอบโต้
แต่อย่างใด



“ ร….เรารีบไปกันเถอะครับพี่ นี่มันสายแล้วนะครับ ”
เฟนท์  กล่าวพลางดึง แขนพี่สาว แม้เธอ อยากจะเคลียร์กับ เอมิล ให้รู้เรื่องไปเสีย แต่
ตอนนี้หน้าที่ต้องมาก่อน เธอจึงยอมเก็บกลั้นความรู้สึกส่วนตัวไปก่อนจะ เดินตามน้องชายของเธอ ออกจากห้องไป





เฟนท์ และ ซาน เดินไปตามทางเดินในยาน ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูลิฟต์
เฟนท์ ยื่นมือของเค้าไปแตะที่แผงวงจรข้างประตูแผงวงจรส่องไฟกระพริบก่อน

ที่ประตูจะเปิดออก พวกเค้า สองพี่น้องก้าวเดินเข้าไปในลิฟต์ และเมื่อบานประตูลิฟต์ปิดลง
พวกเค้าทั้งสอง ถูกย้ายลงมายังชั้นล่าง ทันทีที่บานประตูเปิดออก สิ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเค้า คือทางเดินที่

ทอดไปยังด้านนอกของยาน โดยที่บนพื้นทางเดิน มีรางต่อยาวจาก ทางออกเข้ามาจนถึงแท่นที่อยู่ด้านหน้าพวกเค้า
สอง พี่น้อง แยกกันไปประจำแท่นยืน ที่ตั้งอยู่ในร่องรางบนพื้นยาน

“ ช่องส่งตัวที่ 1 เตรียมพร้อมที่จะเปิดการใช้ระบบคาตาพัล ส่งตัวแล้วค่ะ เชิญออกตัวได้ทุกเมื่อ ”
เสียงประกาศดังขึ้นจาก ลำโพงที่อยู่ตรงมุมเพดานของ ทางเดินนี้

สองพี่น้อง ย่อตัวลงเหมือนกับนักวิ่งที่เตรียมจะออกตัวจากลู่วิ่ง  บนแท่นที่พวกเค้าขึ้นมายืนนี้ มี
ช่องที่อยู่บริเวณเท้าขวาสำหรับให้พวกเค้า สอดเท้าลงไปเพื่อยึดตัวไปว้กับแท่น
และที่เยื้องกันมาทางด้านซ้ายหลังนั้น เป็นแป้นสำหรับเหยียบ เพื่อทำการเลื่อนแท่นทีพวกเค้ายืนอยู่นี้
ไปตามราง ซึ่งหลักการก็คล้ายๆกันกับการเหยียบคันเร่งรถนั่นเอง
เฟนท์ สูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อสงบใจก่อนจะตะโกนขึ้นมาสุดเสียงอย่างหนักแน่น

“ เฟนท์ นีโอเวล Valkyrier Geraldine ออกตัว!! ”
สิ้นคำ เท้าซ้ายของ เฟนท์ ก็เหยียบลงไปบนคันเร่ง แท่นส่งตัว
เริ่มเคลื่อนออกไปอย่างช้าก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น เสียงแท่นเสียดสีไปราง
ดังหวีดขึ้น ขณะที่สายลมกรรโชกด้านนอกยานนั้น พัดถาโถมเข้ามาปะทะกับใบหน้าของเค้าจนรู้สึกเย็นวาบ
ไปทั้งใบหน้า เมื่อ แท่นยืนวิ่งไปจนสุดราง แรงส่งก็ถีบให้ตัวเค้า ทะยานออกไป อย่างรวดเร็ว ราวกับลูกกระสุน

“ เปิดระบบเตาพลังงาน อิออน ทำการกางเกราะอนุภาคลดแรงเสียดทาน ”
เฟนท์ ออกคำสั่งกับ สนับมือติดตั้งจักรกล ของเค้า อัญมณีสีเขียวสดบริเวณสนับมือทั้งสองข้าง
ของเค้า เริ่มกระจายละอองพลังงานอนุภาค สีเขียวออกมาห่อหุ้มร่างของเค้าเอาไว้

ทันทีที่ ละอองโปรยออกมาคละคลุ้งจนห่อหุ้มร่างของเค้าแล้ว แรงลมที่กระแทกเข้ามาปะทะเมื่อครู่ก็
ก็หายไป ละอองเหล่านี้เปรียบเสมือน ถุงหุ้มบางๆที่คอยกันลมที่หนาวเหน็บให้กับเค้า

มาถึงตอนนี้ ความเร็วของแรงส่งที่ ดีดตัวเค้าออกมาในตอนแรก ได้หมดสิ้นไปแล้ว
ก่อนจะร่วงหล่นลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เค้าก็ชิงถีบตัวเชิดหัวและลำตัวส่วนบนของตนขึ้น

ละอองที่ห่อหุ้มร่างของเค้าอยู่ตอนนี้ ช่วยพยุงให้ตัวเค้า ลอยขึ้นกลางอากาศ นี้ได้
ราวกับว่ายอยู่ในน้ำ

“ ยอดเลยนี่น่ะเหรอพลังของ Crisisor  ”
เฟนท์ เปรยขึ้นพลางไล่สายตามองไปรอบๆตัว บัดนี้เค้ากำลังล่องลอยอยู่บน
ท้องฟ้าอย่างอิสระ ราวกับนก

“ เฟนท์~~ ”
เสียงของ ซาน ดังแว่วมา ไม่นานเธอก็พุ่งตามมาสมทบกับเค้า อย่างทันท่วงที

“ เรารีบไปกันเถอะ เฟนท์ ข้างล่างนี่ การก่อรัฐประหารกำลังจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ”
ซาน กล่าว ร่างของเธอเองก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วย ละออง อนุภาคอิออน เช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่ผลิตมันออกมานั้น
คือ ปืนพก 2 กระบอกในมือของเธอ ซึ่งมีหน้าตาประหลาดกว่าปืนทั่วไป และมีกลไก พิเศษติดตั้งไว้อีกมาก

{ข้างล่างนี่ ความขัดแย้งกำลังเกิดขึ้น..ด้วยมือคู่นี้ของฉัน…ฉันจะเปลี่ยนแปลงมันให้ดู ด้วยสองมือนี้}
เฟนท์ คิดขณะที่มองดูสองมือของเค้า ด้วยปฏิพานที่ตั้งมั่น เค้ากับพี่สาวจึงดิ่งตัวลงสู่เบื้องล่าง
สู่สมรภูมิเป้าหมายของพวกค้าคือ……

……………….
………………….

ทวีป ดิสอาปจูร่า

“ เราจะไม่ยอม ให้รัฐบาลกดขี่อีกต่อไปแล้ว พวกเราจงจับปืนลุกขึ้นสู้ล้มล้างพวกโกงกินซะ ”
เสียงกู่ร้อง ของบรรดาประชาชน ที่เข้าต่อกรกับ ทหารของรัฐบาล ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ปะปนไปกับ เสียงปืน ขณะที่ การโค่นล้มได้รุดคืบหน้าไปนั้นเอง

ก็มีเพลิงบรรลัยกรร พุ่งเข้าหาฝูงผู้ทำการปฏิวัติ จนถูกไฟคลอกตายไปเสียส่วนหนึ่ง
พร้อมกับ เสียงคำรามอันกึกก้อง ที่ดังขึ้นมา ร่างสีแดงฉานซึ่งปล่อยไอร้อนระอุ ออกมาจากร่าง
มันมี 6 กรงเล็บ และร่างกายมหึมา มังกรหกกรงเล็บพิฆาต เฟอร์มาโคร(Fermacro, The Six Claws Dragon)
กว่า 10 ตัว ซึ่งมีทหารระดับแม่ทัพมังกร(Dragoon General) ซึ่งสวมเครื่องเกราะที่ประกอบด้วย
เสื้อเกราะ มารูค (Malooke, the Armour of Dragoon)โล่ เทอมารูค (Turmalooke, the Shield of Dragoon) และดาบ ฟอลควารูค (Falqualooke, the Sword of Dragoon) ทุกนาย จะควบคุม เฟอร์มาโคร คนละตัว



นอกจากนั้นด้านหลัง ปราการที่เกิดจากมังกรยักษ์ทั้ง 10 ยังมี เฟอร์มาครอส จ้าวมังกร อัคคีผลาญ (Fermacross, the Flame Dragon Lord)ซึ่งเป็นรูปแบบที่พัฒนาแล้วของ เฟอร์มาโคร อีกหนึ่งตัวคอยบงการ ทัพหน้าทั้ง 10 ตัว ซึ่งผู้ควบคุมมันนั้น เป็นผู้นำของ

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #2 on: August 08, 2009, 05:29:24 AM »

กองทัพมังกรเพลิง อันทรง อานุภาพ  แห่งอาณานิคม ดิสอาปจูร่า อันยิ่งใหญ่ที่ขึ้นชื่อด้านการพัฒนาและ
ฝึกฝนมังกรอัคคีที่มีพลังทำลาย รุนแรงที่สุดในบรรดามังกรสงครามทั้งปวง





“ มีคำสั่งลงมาจากเบื้องบนแล้ว ให้ย่างสดพวก กบฏ ซะ ”
สิ้นคำของผู้นำทัพ มังกรเฟอร์มาโครทั้ง 10 ก็อ้าปากพ่น เพลิง อัคคีอันร้อนแรงออกมาเพื่อหมายจะเผาร่าง
ของเหล่าผู้ปฏิวัติ ให้ม้วยสิ้น

“ Protection ”
เสียงทุ้มแหลมกังวานดังขึ้นก่อนที่ คลื่นเปลว อัคคี จะกระจายตัวกลืนกินทั้งคณะเข้าไป ผู้นำทัพมังกร
ซึ่งคุม เฟอร์มาครอส ฉีกยิ้มด้วยความลำพองในชัยชนะของตน ทว่าทันที ที่ เพลิงอัคคีดับมอดลง

พวกเขาก็ต้องตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่เพลิงอัคคีนั้น เผาไปคือ เกราะพลังงานสีน้ำตาลดิน ขนาดใหญ่
ที่ถูกกางกั้นขนาบไว้ระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้ที่สร้างมันขึ้น คือ เฟนท์ ซึ่งสวมเสื้อเกราะสีดำ
ที่มือสวมสนับเหล็กซึ่งมี พลอยประดับสีฟ้าใสราวกับน้ำทะเลฝังอยู่ทั้งสองข้าง 
ซึ่งเกราะพลังงานนั้น ถูกสร้างออกมาจาก พลอยเหล่านั้นน่ะเอง


“ Crisisor 001 Valkyrier Geraldine เริ่มทำการแทรกแซง… ”
เฟนท์ กระซิบขึ้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงและความตกตื่นของ กองกำลังทั้งสองฝ่าย
พลังไฟอันกล้าแกร่งของ จ้าวมังกรอัคคี นั้นยังมิอาจทะลวงกำแพงพลังงานที่ เค้าสร้างขึ้นมาได้ วิทยาการ
ที่เค้ามีอยู่ในตอนนี้ ก้าวล้ำเกินกว่าที่ จะมีสิ่งใดมาต่อกรได้

“ เฟนท์ ถอยมาที่เหลือพี่จัดการเอง ”
ซาน สั่งก่อนจะ ร่อนลงมายืนขวางหน้าน้องชายของเธอไว้จากทัพมังกรอัคคี พร้อมกับ
ชูปืนพกสองกระบอกในมือขึ้นประทับเล็งไปยังกลุ่มอัศวินมังกร ทว่ากลุ่มอัศวิน กลับ
ไม่เกรงกลัวและ ดูถูก กลับด้วยการหัวเราะเยาะ ที่เธอ คิดจะเอาปืนกระบอกเล็กมาสู้กับทัพมังกรไฟทั้งฝูง

“ ฮะๆๆ … นี่แม่หนูน้อยสงครามน่ะไม่ใช่เรื่องเล่นสนุกนะ คิดรึว่าปืนเล็กๆแค่สองกระบอกมันจะเปลี่ยนอะไรได้ ”
“ กระสุนธรรมดาน่ะ เจาะชุดเกราะเกล็ดมังกรของพวกข้าไม่ได้หรอกสาวน้อย ”

เสียงพูดเสียงวิจารณ์ดูถูกไปต่างๆนานา ของกลุ่มอัศวินมังกร ดังลั่นขึ้นมาต่อหน้าเธอ
คำพูดเหล่านั้นทีท่าแสดงการดูถูกเหล่านั้น ส่งผลให้ เฟนท์ เริ่มที่จะเก็บอาการไม่อยู่ เค้ากำหมัดแน่น

ด้วยความโมโห ละอองอนุภาคเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้น ทว่า ซาน ก็หันมาส่งสายตาปรามเค้าไว้
ด้วยคำสั่งของ พี่สาวเค้าจึงยอมสงบจิตสงบใจ และปล่อยให้เธอจัดการต่อไป

“ นั่นสิ ถ้าเป็นกระสุนธรรมดาๆก็คงทำอะไรพวกแกไม่ได้ แต่เสียใจ
ด้วยปืนของฉันน่ะไม่ได้ยิงกระสุนแต่เป็น ประจุอิออนต่างหากล่ะ ”
ซาน เอ่ยก่อนที่ ละอองอนุภาคที่ห่อหุ้มร่างของเธอไว้ จะ จะเริ่มฟุ้งกระจายและ
จับตัวเป็นก้อนพลังงานนับร้อยๆลูก

/Seraphic Pistol/
เสียงคุ้งแหลมดังขึ้นจากปืนของเธอ หลังนิ้วของเธอเหนี่ยวไกปืน ลูกพลังงานสีเขียวนับร้อยพุ่ง
ทะลวงกองทัพมังกรอัคีก่อนจะเกิดระเบิด รุนแรนเสียจนซากสิ่งก่อสร้างรอบๆถูก

แรงระเบิดพัดปลิวกระจายไปทั่ว กลุ่มผู้ทำการรัฐประหาร นั้นได้รับารป้องกันด้วย
กำแพงพลังงานของ เฟนท์ จึงไม่มีใครได้รับอันตราย ส่วนตัว ซาน เองก็

เร่งอนุภาคขึ้นมาสร้างเกราะพลังงานคุ้มกันตัวเธอด้วยเช่นกัน ผลจากการระเบิดของลูกประจุพลังงานอิออน
ได้สร้างละออง อิออน ฟุ้งกระจายออกมาจนคละคลุ้งไปกับฝุ่นควันหลังการระเบิด และเมื่อ

ฝุ่นควันกับละอองอนุภาค จางสลายไป สิ่งที่ปรากฏขึ้น ตรงหน้ามีเพียงหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิด
เพียงเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ซากหรือเศษชิ้นเนื้อของ เหล่าอัศวินหรือมังกรอัคคียัก เหลือให้เห็นแม้แต่น้อย

ทุกอย่างมลายสูญสิ้นหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย สร้างความตกตะลึง ให้กับบรรดาผู้ทำการรัฐประหาร
ไม่มีสุรเสียงใดจะลั่นออกมาบรรยาย แสนยานุภาพของ เหล่า Valkyrier สองพี่น้องนี้ได้

“ พวกเธอ…มาช่วยสนับสนุนการ รัฐประหารสินะ… ”
ผู้นำกลุ่มปฏิวัติ เดินเข้ามาถาม สองพี่น้อง โดยที่พวกเค้ายังไม่ทันตอบอันใด
กลุ่มผู้ทำการปฏิวัติก็ทึกทักเอาเองทันที ว่าพวกเค้า ถูกส่งมาช่วยสนับสนุนการทำรัประหารในครั้งนี้

“ ยอดไปเลยถ้ามีสุดยอดอาวุธแบบ นี้ล่ะก็พวกเราต้องโค่นล้างรัฐบาลได้แน่ ”
“ ไม่ต้องรอช้าแล้วบุกไปยึดทำเนียบกันเลย  ”
“ เฮ! ”

เหล่าบรรดาผู้ทำการปฏิวัติ ส่งเสียงโห่ร้องอย่างครื้นเครง ราวกับว่าฟ้าประธานชัยชนะให้แก่พวกเค้า
เฟนท์ ที่เห็นการทึกทักเอาเองของพวกเขา ก็ชักสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจขึ้นมา

ทว่า ก่อนที่ตัวเค้าจะได้อ้างเอ่ยอันใดออกไป กระสุนพลังงานอิออน ลูกหนึ่งก็พุ่งลงไป
ระเบิดพื้นที่ข้างๆ จนทำให้ ทั้งกลุ่มเงียบลงด้วยความตกใจ ซาน เองที่เป็นยิงเพื่อ
เพื่อให้พวกเค้าหยุดฟังสิ่งที่เธอต้องการจะพูด

“ พวกเราไม่ได้มาช่วยฝ่ายใดทั้งนั้น พวกเรามาที่นี่เพื่อขจัดความขัดแย้ง จงหยุดการทำรัฐประหาร
ซะ ฝ่ายใดก็ตามที่สร้างความรุนแรงขึ้นก่อน เราจะไม่ละเว้น! ”
ซาน กล่าวน้ำเสียงเด็ดขาดท่ามกลางความเงียบงันของกลุ่ม


“ พ…พวกเธอ…เป็นใครกัน ”
ผู้นำกลุ่ม ถามขึ้นน้ำเสียงสั่นระริก ด้วยความเกรงกลัวต่อ อำนาจของทั้งสอง

“ พวกเราคือ Valkyrier นักรบเทวทูต แห่ง Enpyrean Adjust (ผู้แทนจากสวรรค์) สังกัดทีม Celestial Saber(คมดาบเบื้องฟ้าสูงหรือ พระแสงขรรค์แห่งพระองค์)  ”  (Valkyrie แผลงเสียงกับ Warriorให้เป็นคำว่า Valkyrier
แปลได้คร่าวๆคือหมายถึงนักรบตัวแทนแห่งเหล่าวเทวทูต Valkyrie )

สองพี่น้องกล่าวขึ้นพร้อมๆกัน ก่อนจะสร้างละอองประจุอิออนห่อหุ้มร่างและ
ลอยตัวขึ้นหายลับไปบนฟ้า ทิ้งให้กลุ่มปฏิวัติ ได้แต่เพียงยืนมองด้วยความสับสน

“ Empyrean Adjust …งั้นเหรอ ”
ผู้นำกลุ่ม เปรยด้วยเสียงอันแผ่วเบากับการมาของ นักรบเทวทูต Valkyrier

…………………………
…………………………………..

ขณะเดียวกัน ที่ สหราชอาณาจักร ซีรา  ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้ารกร้าง ในทวีป เลาดิเชีย
สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งนี้ ปกครองอยู่ในระบอบ ศาสนจักร ทว่าเมื่อกว่าร้อยปี ที่แล้ว ได้เกิดเหตุพิพาท จนเกิดการ
แบ่งแยกทางศาสนา ขึ้นเป็นสองฝ่ายและสงครามศาสนา ก็เริ่มขึ้นผู้คนถูกหลอกให้เชื่อในคำสอนที่ผิด และเข้าต่อสู้กัน

ด้วยแรง ศรัทธา ที่มีอย่างล้นเหลือ จึงนำมาซึ่งการนองเลือด อย่างเหี้ยมโหดที่สุดเพราะต่างก็เชื่ออย่างมุ่งมั่นว่า
สิ่งที่ตนทำนั้นถูกแล้ว ควรแล้ว

“ จงสละชีวิต เพื่อพระองค์แล้วจะได้ไปยังสวรรค์ ”
“ จงเป็นแรงพลังแก่พระองค์เพื่อโค่นล้างพวกคนบาปให้สิ้นไป ”
“ เราจะสละชีพเพื่อพระองค์ จะใช้ค้อนเหล็กแห่งแห่งคุณธรรมพิพากษาพวกนอกรีต ”

ด้วยคำสอนจอมปลอม ที่ยั่วยุให้มนุษย์ทำร้ายกันเอง นั้นสงครามจึงดำเนินมาอย่างช้านาน
อยู่หลายปีโดยที่ไม่มีฝ่ายใดยอมซึ่งกันและกัน แม้แต่ เด็กๆเองก็ยังต้องจับอาวุธขึ้นสู้รบเยี่ยงทหารทั่วไป

ต้องสละตนสังเวยเป็นระเบิดพลีชีพเพื่อสังหารศัตรู ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยความสมัครใจของเหล่าเด็กๆที่ถูกหลอก
ใช้ด้วยคำพูดอันสวยหรูของพวกผู้หวังผลประโยชน์ในสงคราม และอำนาจทางการเมือง ทำให้ประชาชนตาดำๆ
ต้องตกเป็นเครื่องมือ เพื่อประโยชน์ส่วนตนของพวกนักการเมือง ที่เห็นแก่ได้

เด็ก ชายทุกคนเมื่ออยู่ในวัยเรียนรู้ก็จะถูกสอนให้ยึดมั่นในคำสอน และจากนั้นเมื่อพร้อมจะต่อสู้ก็จะถูกฝึกให้เป็นทหาร ซึ่งกองทัพหลักของทั้งสองฝ่ายนั้น แม้แต่เด็กอายุเพียง 10 ปีก็ต้องจับอาวุธขึ้นสู้ อย่างไม่กลัวตายแล้ว

ท่ามกลางการปะทะยังคงมีอย่างต่อเนื่องนั้น โดยบังคับบัญชาของนายทหารชั้นสูง
ที่จะคอยเคี่ยวเข็ญ ให้เหล่านักรบเยาวชน เหล่านี้ ออกไปสู้รบ

“ จงรุกไปข้างหน้าทวงเอาแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์มอบให้แก่เราคืนมา ”
“ จงทำลายพวกคนบาปเหล่านั้นให้สิ้น ”
เสียงประกาศที่ดังกึกก้องในสนามรบเพื่อปลุกใจเหล่าทหารเยาวชน
ให้สู้อย่างไม่กลัวตายดังอยู่เนืองๆตลอดเวลา

“ Reflexion ”
เสียงทุ้มแหลมกังวานดังขึ้นที่กลางสนามรบก่อนที่จะเกิดกำแพงใสปรากฏขึ้นขั้นกลางสนามรบ
กระสุนและอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายยิงเข้าใส่กัน นั้นเมื่อกระทบกับกำแพงก็สะท้อนกลับไปหาฝ่ายตนเอง
ทั้ง หมด ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดยิง กันเพื่อไม่ให้ทำร้ายกันเอง ท่ามกลางฝุ่น ควันที่ฝุ้งกระจาย นั้นเงาของเด็กหนุ่มสองคน ซึ่ง นั่งอยู่บนกำแพงใส นั้นได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน

“ เรียกหา พระเจ้าอยู่ใช่ไหม พวกเรานี่แหล่ะ ผู้แทนจากพระองค์ พวกเรานำสารจากพระองค์มามอบแก่พวกเจ้าแล้ว
ในฐานะ Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust สังกัดแห่งทีม Celestial Saber และสารจากพระองค์คือจง
หยุดสู้รบกันซะมิฉะนั้น เราจะลงทัณฑ์  พวกเจ้าในนามของพระองค์  ”

เสียงนั้นดังกึกก้อง ไปทั่วเหล่านักรบเยาวชน ต่างพากันทิ้งอาวุธ ลงด้วยเชื่อว่าพวกเขาคือ เทวทูต จากสวรรค์ จริงๆ
จากการได้เห็นถึงอำนาจที่ถูกสำแดงออกมาของพวกเขาทั้งสอง

“ อ..อะไรกันอย่าไปเชื่อที่พวกมันพูด นี่เป็นกล ลวงของพวกคนบาป ”
นายทหารที่ คอยบงการทัพนักรบเยาวชน ของทั้งสองฝ่ายกล่าวขึ้นก่อนจะต้องชะงักไป
เมื่อ มีบุคคลสองคน ถูกโยนลงมายังฝั่งของแต่ละฝ่าย ซึ่งบุคคลเหล่านั้น สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทั้ง
สนามรบเป็นอันมาก

“ ท..ท่านมหาสังฆราช ซาเอล ที่14 แห่งจักรวรรดิ ลาเดีย ”
“ แล้วก็ท่าน มหาสังฆราช มาเวล ที่13 แห่งจักรวรรดิ มาอิล ”
เสียงของ ทหารแต่ละฝ่ายต่างเรียกชื่อผู้ปกครองจักรวรรดิ ของตนด้วยความตกตะลึงเมื่อ
ผู้ปกครองจักรวรรดิ ของตน ได้มาอยู่กลางสนามรบ

“ เอ้าจะยิงก็ยิงมาเลย แต่สองคนนี้โดนลูกหลงไปด้วยสงครามก็จบอยู่ดี เอ้าไงพวกเจ้าทั้งสองคนจะให้พวกเราเจี๋ยนเอง หรือจะพวกตัวเองเจี๋ยนเอา ”
เสียงของนักรบแห่ง Empyrean Adjust ดังขึ้นโดยที่ฝุ่นควันที่คละคลุ้งนั้นยังคงปกปิดร่างของพวกเขาไว้

“ หรืออีกทางหนึ่ง สงบศึกซะ ศาสนาจอมปลอมของพวกแกน่ะ ไม่มีใครที่ไหนใน เทอร่า ยอมรับหรอก…. ”
อีกเสียงซึ่งฟังดูเฉียบขาดดังขึ้น ท่ามกลางความตกตะลึงของ ทหารผู้คุมกลุ่มนักรบเยาวชน
ที่ทำอะไรไม่ถูก และ สอง มหาสังฆราชตัวต้นเหตุ ที่หลงใหลได้ปลื้มกับอำนาจ จนก่อสงคราม
ที่สร้างความสุญเสีย ต่างมีสีหน้าซีดเซียวราวกับ กำลังจะถูกพิพากษาทัณฑ์

“ ม…ไม่ต้องไปสน พวกมันเป็นมาร จงสู้เพื่อพระองค์เสีย ช่วยท่านมหาสังราชจากมารร้าย… ”
เสียงสั่งการของ ทหารฝ่ายจักรวรรดิ์ มาอิล ดังขึ้นทว่า ไม่ทันที่คำพูดปลิ้นปล้อนหลอกลวง
จะออกจากปากจนหมด กังหันเหล็ก ก็พุ่งควงเป็นจักรพัดผ่านร่างของ ทหารผู้นั้นจนขาดท่อน

กังหันเหล็ก ได้ เหวี่ยง ย้อนกลับแหวกฝ่ากลุ่มควัน ไปหาเจ้าของมัน   ทันทีที่ถึงมือของ ผู้เหวี่ยงมันออกมา
ละออง อิออน ก็ถูกระบายออกมาจาก ร่องตรงแกนกลางกังหัน ซึ่งติดประกอบด้วยใบมีดคมกริบถึง 4 เล่มด้วยกัน
ควันได้สลายไปหมดแล้ว ไรด์ และ เอมิล ทั้งสองคน ยืนอยู่แท่นกำแพงพลังงาน ที่กั้นขวางระหว่างสองฝ่ายเอาไว้
โดย ไรด์ เป็นเจ้าของ กังหันเหล็ก และ เอมิล พาดหอกประกอบจักรกล ไว้บ่นไหล่

“ คงต้อง สำแดงให้เห็นอีกสินะ…อำนาจของพระองค์น่ะ… ”
เอมิล เปรยก่อนจะลดหอกลงกระชับมือ เพื่อเตรียมพร้อมการโจมตี ทว่า สองมหาสังฆราช นั้น
กลับตีโพยตีพายขอร้องให้เค้าหยุดก่อน จะหันไปสั่งกองกำลังของฝ่ายตนเอง

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #3 on: August 08, 2009, 05:30:19 AM »

“ ย….หยุดก่อน…นักรบสองคนนี้ ถล่มหัวเมืองหลักราบพนาสูญมาแล้ว ถ้าขืนสู้รบกับพวกเค้าที่นี่
เราจะตายกันหมด ”
สองมหาสังฆราช ลั่นวาจาออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว อย่างชัดเจน ทำเอา กองทัพของ ทั้งสองฝ่ายถึงกับ
อึกอึงไปทันที  ใช่แล้วก่อนที่จะลากตัว สองมหาสังฆราช นี้ มาที่นี่ ไรด์ และ เอมิล ได้บุกเข้าไปทำลาย

เมืองหลวงและกองกำลังหลักของกองทัพ ทั้งสองฝ่ายจนวอดวายมาแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทั้งสอง ฝ่ายจึงไม่มี
กำลังรบสนับสนุนใดอีกต่อไป นกเสียจากที่ยืนอยู่ตรงนี้เท่านั้น

เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแก่การที่สงครามความขัดแย้งทางศาสนาจะต้องจบลง
เพราะอำนาจที่เหนือกว่าราวกับเทวทูต ของเหล่า Valkyrier เข้ากำราบ
จนวอดวาย ไปหมด



………………………
……………………………..

“ แผนต่อไปกระจายแถลงการณ์ของเราออกไปให้สาธารณะชนรับรู้ ”
ผู้บัญชาการสาวสั่งลูกเรือทั้งหมดที่อยู่ในห้องควบคุมของ Sky Cruiser

“ รับทราบ ”
เสียงตอบรับคำสั่งจากลูกเรือทั้งหมดดังขึ้น ก่อนแผนการขั้นถัดไปจะเริ่ม

………………..
………………………..

ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์ (Barsingsei)  ประเทศ โลกอส

ตลาดร้านค้า ซึ่งตั้งอยู่บนสะพานไม้ ที่ต่อทอดยาวออกไปในอ่าว ซึ่งนี่เป็นเมืองท่า ที่มีเรือสินค้า
มาเทียบมากมายที่สุดในเขต ทวีป อาริมาเทีย ซึ่งแต่เดิมโลกอส เป็นประเทศที่ไม่มีพื้นที่ติดกับทะเล
หากแต่ชายฝั่งทะเลนั้น อยู่ไกลออกจากชายแดนไปเล็กน้อย ด้วยพระปรีชาของ องค์หญิง มาเรียลูส

ที่ทรงให้ทำการขุดคลองกว้าง ต่อไปยังอ่าวทะเล จากนั้นทรงพัฒนา ต่อให้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดใน อาริมาเทีย
เนื่องจากอาณาเขต ไม่ติดทะเลเกินไปจนยากแก่การขยายพื้นที่ ซึ่งระยะเวลาในการดำเนิน พระราชกรณีกิจ ของ

พระองค์นั้นใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆก็สัมฤทธิ์ผล ได้เพราะเมื่อครั้งที่พระองค์ เสด็จมายัง ประเทศนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้นำความหวังมาให้แก่ ประเทศ ที่ยากไร้ ซึ่งมีเพียง พื้นดิน ที่รกร้าง และมังกรร้ายอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนมากจะเป็น เชลยศึกที่หนีจากสงคราม มา เมื่อครั้งเสด็จมาเยือนเป็นครั้งแรก พระองค์ก็ได้ทรงวางแผน พัฒนาให้ประเทศนี้ เป็นที่ตั้งถิ่นฐานแก่ผู้ลี้ภัยสงคราม ซึ่งจากอุดมการณ์นี้ของพระองค์เอง ทำให้ผู้อพยพลี้ภัย

มานั้น ยอมให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ เนื่องด้วย อาริมาเทีย นั้นเป็นทวีป ที่มีการศึกษาวิจัย ทางมังกรศาสตร์
เป็นอันดับต้นของโลกอยู่แล้ว อีกทั้งในบรรดาผู้ลี้ภัย ยังมีส่วนมากเคยเป็น พลนักรบมังกร ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทวีป


เมอริเซีย ซึ่งมีวิธีการกำราบและสยบ มังกรร้ายให้อยู่ใต้บัญชา ได้อย่างหลากหลายเพราะเมอริเซีย ต้องเผชิญกับสงครามมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งผสานเข้ากับวิทยาการของ อาริมาเทีย จึงทำให้การ ควบคุมเหล่ามังกรร้าย เพื่อมา

ช่วยงาน พัฒนา ประเทศ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย การขุดลอกคลองเพื่อสร้างท่าเรือนั้น จึงมีกำลังอันมหาศาลของ มังกรเข้าช่วย ทำให้งานเสร็จได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำมังกรไปเป็นแรงงานในการพัฒนา ประเทศ จนในที่สุด โลกอส กลายเป็น ประเทศที่ มนุษย์ กับ มังกร จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันจากประเทศ ทุรกันดาร กลับถูกดลบัลดาลให้กลายเป็น

ประเทศที่มีวิทยาการ ล้ำหน้าที่สุดไปเลยทีเดียว ทำให้เสียงตอบรับของ เหล่าประชาชนที่มีต่อ องค์หญิง มาเรียลูส
นั้นยิ่งทวีมากขึ้น

และจากการที่เป็นเมืองท่าที่ยิ่งใหญ่ ทำให้มีสินค้ามากมายจากทุกนานา ประเทศมาลงที่นี่
 จนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าไปในที่สุด

บรรดาร้านค้า ที่ตั้งแผงลอยไว้บน สะพานนั้น มีมากมาย เสียจนแทบจะพูดได้เลยว่า นี่คือตลาดการค้า
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน

“ เฮ้อ อุตส่าห์ ถ่อมาจนถึง บาร์ซิงเซย์ แท้ๆ แต่ดันหมดไปก่อนซะได้นี่ ฟิคเกอร์ไพทอน กับการ์ด Rat Dragoranger ที่วางขายชุดแรก ที่ซื้อครบชุดจะมีแถม อัลตร้าแรร์ สุดหายากที่ผลิต ออกมาแค่ 1000 ใบแท้ๆ   ”
เรกกะ บ่นอย่างเซ็งๆที่ ตนมาซื้อของเล่นสะสมไม่ทัน นั่งหน้าบูดอยู่บนม้านั่ง ในสวนสาธารณะที่

อยู่ ห่างจาก ท่าเรือไม่มากนัก ด้านหลังเขานั้น มีอาคารบ้านเรือน ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ประกอบกิจการการค้า
แทบทั้งสิ้น  ซึ่งอาคารที่อยู่ถัดจากสวนสาธารณะนั้น มีจอ ภาพขนาดใหญ่ ตั้งเอาไว้ บนอาคาร เพื่อโฆษณาสินค้า
ต่างๆ


“ สวัสดีเหล่ามวลมนุษย์ในเทอร่า ทุกท่าน…. ”
เสียงที่ดังกึกก้องขึ้นจากทุกๆแห่งใน บริเวณนั้น เสียงทั้งหมดดังขึ้นจาก เครื่องรับสัญญาณภาพและเสียง ที่มีไว้เพื่อรับชมความบันเทิง ซึ่งมีตั้งอยู่เกือบจะทุกร้านค้า และกระทั่ง จอโฆษณาขนาดใหญ่ของอาคาร ที่อยู่ด้านหลัง เรกกะ

เองก็เช่นกัน ทุกจอภาพ ฉายภาพเดียวกันและส่งเสียงเดียวกันออกอากาศไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่แค่ใน
เขตของเมืองเท่านั้นแต่ บัดนี้ทั่วโลกกำลัง ออกอากาศแถลงการณ์นี้
 
“ กระผมคือ อดีตผู้ปกครองอาณาจักรซาโลม แห่งเมอริเซีย ที่ล่มสลายไปเมื่อนานมาแล้ว….. ”
เสียงกล่าวสุนทรพจน์ ของชายผมหยิกหยักศกสีน้ำตาล เขาสวมอาภรณ์สีขาวแต่งตัวคล้ายกับนักบวช
แน่นอน สำหรับชาวเมอริเซีย ที่มีบรรพบุรุษเป็น ชาวซาโลม คงจะจำเขาได้เป็นแน่ เขาคือ กษัตริย์แห่งจักรวรรดิเพลิง
อิสฮาน นั่นเอง

“ บัดนี้ทุกๆท่านคงได้ประจักษ์กับสิ่งที่ เกิดขึ้นไปแล้ว สงครามที่ทำให้ประเทศแผ่นดินเกิดของ กระผม
และชาวเมอริเซีย ต้องล่มสลายและย่อยยับไป นั้น จนถึงบัดนี้ พวกท่านก็ยังเมินเฉย ต่อผลที่จะเกิดขึ้นจากการ
ทำสงคราม ยังคงสร้างความขัดแย้งไปเรื่อย ด้วยเหตุนี้กระผมจึงก่อตั้งองค์กรติดอาวุธ เอกชนขึ้นมา
อุดมการณ์ของพวกเรามีเพียงหนึ่งเดียว………..  ”

เสียงกล่าวสุนทรพจน์  ที่ดังกึกก้องขึ้นทั่ว ทั้ง เทอร่า เพื่อที่จะให้มวลมนุษย์ทั้งหมด
ได้รับรู้ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

“ พวกเราคือผู้นำสารแห่งสวรรค์มาสู่ ผืนพิภพ Empyrean Adjust และจากนี้ไปพวกเราจะเข้าทำการแทรกแซงความขัดแย้งทั้งหมดใน เทอร่า นี้ และสงบมันลงด้วยกำลังอาวุธของ เหล่า Valkyrier ทั้ง 12 พวกเราจะพิพากษา
 เทอร่า นี้ในนามของพระผู้เป็นเจ้า…. ”
สิ้นเสียง นั้นการออกอากาศทั้งหมดก็ได้หยุดลงและกลับคืนสู่สภาวะปกติ รายการบันเทิง ข่าวสาร สาระ
ที่ถูกแทรกแซงไปได้กลับมาออกอากาศเช่นเดิม

“ ขจัดสงครามด้วยสงครามงั้นเหรอ…. ”
เรกกะ เปรยขึ้น สายตายังคงจดจ่อ อยู่ที่จอภาพ ซึ่งการแถลงการณ์ณ์ได้ยุติไปแล้ว ทว่าเสียง
นั้นยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา

………………….
………………………….

หลังจากการ แถลงการณ์ของ Empyrean Adjust  ที่ราวกับจะเป็นคำเตือนก่อนเวลาแห่งการสิ้นสุดจะมาถึง
ได้สร้างความตื่นตระหนกขึ้นทั่วทั้ง เทอร่า สำนักข่าวต่างๆทั่ว เทอร่า ต้องทำงานกันเป็นประวิง
หลังจากที่ ข่าวการแทรกแซงของ เหล่า Valkyrier ได้ถูกออกอากาศ และรับทราบกันอย่างทั่วถึง
ในเวลาต่อมา


“ ว่ายังไงนะพึ่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไปได้แค่ สามชั่วโมง ทาง ดิสอาปจูร่า สั่งยกเลิกแล้วงั้นเรอะ  ”
“ สงครามความขัดแย้งทางศาสนา ที่สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งทวีป เลาดิเชีย ตอนนี้ประกาศสงบศึกกันแล้วครับ ”
“ เห็นว่ากองทัพอันเกรียงไกร ถูกโค่นล้มด้วยนักรบของพวกที่อ้างว่าเป็น Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust  แค่สี่คนเข้าล้มล้างทั้งกองทัพในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีครับ ”
“ นี่พวกมันคิดจะขจัดความขัดแย้งทั้งโลกจริงๆอย่างนั้นน่ะเหรอ Empyrean Adjust ”

เสียงโหวกเหวก โวยวายของ บรรดาสื่อทั้งหลายที่ดังอึกทึกไปทั่วนั้น คือเครื่องยืนยันอย่างดี ว่าบัดนี้ โลกได้เปลี่ยไปแล้ว
……………
………………….

{จากนี้ไปนี่หล่ะ พวกเรามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงเทอร่าใบนี้แล้ว ด้วยพลังนี่ พวกเราจะขจัดสงครามให้หมดสิ้นไป}
เฟนท์ คิดขณะที่ มองดูเหตุการณ์ต่างๆทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งเทอร่า พร้อมกับทุกๆคนในห้องบังคับการของ
ยาน Sky Cruiser


…………………….
…………………………………..

“ หลังจากสงครามใน เมอริเซีย ยุติลง ตราทั้ง 7 ก็ถูกแกะออกเรื่อยมา จนถึงตราที่ 6 แล้ว ”
เสียงหนึ่ง ดังขึ้นภายในห้องซึ่งเต็มไปด้วยจอภาพ ที่ฉายความสับสนอลหม่าน ทั่วทั้ง เทอร่า ไว้
ที่กลางห้อง มีเด็กหนุ่มกับ เด็กสาว ยืนมองความสับสนอลหม่านเหล่านั้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากจอภาพเหล่านั้นให้ความสว่าง


“ ค่ะ เริ่มจากตราที่ 1 สงครามในเมอริเซีย ยุติลง ปรากฏม้าสีขาว ผู้ขี่มันถือธนูและได้รับ มงกุฎ เขาขี่ม้าออกไปด้วยท่าทางแห่งชัยชนะ เมอริเซีย ยุติสงคราม ชัยชนะของเหล่ามวลมนุษย์ที่สามารถลามือจากสงครามได้  ”
เด็กสาวกล่าวตอบ ทันทีที่เธอกล่าวจบเด็กชายก็ยื่นมือ ออกไป ในมือของเด็กชายมีเหรียญอยู่ 7 เหรียญ เขาทิ้งมันลงไปหนึ่งเหรียญ



“ จากนั้นตราที่ 2 ก็ถูกแกะออก แล้วม้าสีแดงสดกับผู้ขี่ ก็นำสันติออกจาก แผ่นดินเขาได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง ”
เด็กชายกล่าว  ด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนจะทิ้งเหรียญลงไปอีกหนึ่งเหรียญ



“ สันติสูญสิ้น ทั้ง เทอร่า ทำสงครามกัน อย่างยิ่งใหญ่ เท่ากับความยิ่งใหญ่ของดาบที่ เขาได้รับ จากนั้นตราที่ 3 ก็ถูกแกะออก มีม้าสีดำออกมา พร้อมกับความวิบัติทางเศรษฐกิจ ข้าวสารีทะนานละ 1 เดนาริอัน ข้าวบาร์ลี ทะนาน ต่อ 1 เดนาริอัน แต่น้ำมัน และน้ำองุ่น ไม่ได้รับผลกระทบ ”
หลังจากสิ้นคำของเด็กสาว เด็กชายก็กล่าวต่อท้ายให้ในทันที



“ ข้าวยากหมากแพงเกิดจากสงคราม แต่สิ่งที่ชโลม ใจเหล่ามนุษย์ให้มุ่งมั่นทำสงครามต่อไปคือ บาป อันเป็นนิรัน
น้ำมัน คือเชื้อไฟแห่งสงคราม และน้ำองุ่น คือบาปที่มนุษย์ไม่อาจละทิ้ง ”
สิ้นคำของเด็กชาย เหรียญที่ สามก็ถูกทิ้งลงจากมือ

“ แล้วตราที่ 4 ก็ถูกแกะออก ม้าสีเขียวแกมเหลืองออกมาผู้ขี่มัน มีชื่อว่าความตายและนำแดนคนตายติดตามมาด้วย
เทอร่า 1 ใน 4 ถูกทำลายด้วยความอดอยากและโรคระบาด สัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน ค่ะ ”
เด็กสาวต่อคำในทันทีที่เหรียญตกถึงพื้น




“ ผลจากสงคราม เมอริเซีย ต้องย่อย ยับและสิ้นสลาย เทอร่าสูญเสีย แผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ไปเสีย 1 จาก 7 แต่ดินแดนอื่นก็ได้รับความเสียหาย จนบัดนี้ เทอร่า สูญเสียแล้วทั้งสิ้น 1 ใน 4 สินะ ”
สิ้นคำเด็กชาย เหรียญที่ สี่ก็ถูกทิ้งลง

“ ค่ะและตราที่ 5 ก็ถูกแกะออก คนที่ตายเพราะความศรัทธาในพระเจ้าได้รับ
การกำชับให้รอจนกว่าผู้ตายเพราะความเชื่อจะมีครบจำนวนก่อน การพิพากษา  ”
เด็กสาว รับคำต่ออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเหรียญที่ ห้า ถูกทิ้งลงจากมือของเด็กชาย


“ สงครามยังคงดำเนินต่อไปอยู่เรื่อยมาแม้ จะทำสัญญาสงบศึกแต่ชาวเมอริเซีย ผู้บริสุทธิ์ กลับถูกลืมเลือน เพราะไม่มี
ผู้นำที่จะเข้าร่วมประชุมสัญญา การพิพากษาสิทธิธรรม แก่ชาวเมอริเซีย จึงไม่เกิด และแล้ว ตราที่ 6 พึ่งจะถูกแกะออกไป ในวันนี้  ”
สิ้นคำของเด็กชาย เหรียญ ที่หก ก็ถูกทิ้งลงไป


“ ตราที่ 6 ครั้นเมื่อแกะแล้วไซร้ เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดวงอาทิตย์มืดดำ ลงดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด ดวงดาวบนฟ้าตกลงบนพื้นดิน บรรดามนุษย์ซ่อนตัว ”
เมื่อเด็กสาวกล่าวจบ เด็กชายก็ชักมือกลับ โดยเหลือเหรียญในมือไว้เพียงเหรียญ
เดียวซึ่งคือเหรียญ สุดท้ายเหรียญที่ 7

“ แผ่นดินไหวคือความสั่นสะเทือนที่ เทอร่า ได้รับจากการแทรกแซงของเรา  ดวงอาทิตย์ดำมืด อันบ่งบอกถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึง พระจันทร์สีเลือด หมายถึงสันติจะได้มาด้วยสงคราม ดวงดาวที่ตกลงไปคือ พวกเรา ผู้นำสารจากพระผู้เป็นเจ้า Empyrean Adjust และจากนี้ไป คือลำนา แห่งตราที่ 7 ซึ่งกำลังจะถูกแกะออกในไม่ช้า และการนั้นพวกมนุษย์ที่ สร้างสงครามก็จะพากันหัวหด ไม่กล้าก่อสงคราม หรือ ตราที่ 7 จะถูกแกะออกก่อนกัน เธอคิดว่าไงล่ะ
 ฮายาเตะ(Hayatei) ”
เด็กชายหันไปมองหน้าเด็กสาว ซึ่งสีหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิด เด็กชาย เอาเหรียญ ที่ เจ็ดขึ้นมาตั้งบน นิ้ว ก่อนจะดีดมันขึ้นไป เหรียญนั้นหมุนควงอยู่กลางอากาศ จนขึ้นไปสูงสุดก่อนจะค่อยๆร่วง
ลงมา


“ ภารกิจของพวกเรา คือการสยบสงครามและเพื่อการนั้น God Send (ของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า) ทั้ง 12 ที่เหล่า Valkyrie เคยปกปักษ์รักษาจะต้องถูกรวบรวม เพื่อแกะตราที่ 7 ออก จากนั้นลำนำแห่งการชำระก็จะเดินหน้าต่อไป ”
เด็กสาวกล่าวจบ เหรียญก็ตกถึงพื้นพอดี ซึ่งเหรียญไม่ได้คว่ำหน้าใดไว้หากแต่ ยืนตั้ง อยู่บนพื้นโดยไม่มีที่ท่าว่า จะเอนเอียงล้มไปทางใด ราวกับจะบอกว่ายังไม่ถึงเวลาแห่งการตัดสิน 


To be Continue


......................
...............................


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #4 on: August 11, 2009, 05:13:56 AM »

EX 02 ตัวแปรของความรัก??


“ ตลอด 4 สัปดาห์ ที่เราเริ่มทำการแทรกแซงมาเนี่ย ดูเหมือนจะลดความขัดแย้งลงไปได้ ถึง 10% แล้วนะ ”
เสียง ของหญิงสาวผู้ทำหน้าที่ผู้บัญชาการ เหล่า Valkyrier ดังขึ้นในที่ประชุมยาน ซึ่ง ประกอบด้วยตัวเธอ และพนักงาน ชายสองคน กับหญิง อีกคน นอกจากนี้ ก็ยัง มี เฟนท์ ซาน ไรด์ และ เอมิล ที่ไม่ได้สวมชุดออกรบแล้ว
ร่วมประชุมอยู่ด้วย


“ แต่ว่า กระแสต่อต้านพวกเราก็เพิ่มขึ้นมาเหมือนกันนะครับ แล้วยิ่งตอนนี้ นานา ประเทศ เองก็พุ่งความสงสัยไปที่ โลกอสกันด้วย แบบนี้มันจะไม่ทำให้แต่ละประเทศเกิดความระแวงกันเองเหรอครับคุณ เอลิซ่า(Eliza) ”
เฟนท์ กล่าวถามขึ้นอย่างกังวล เพราะจากการแทรกแซงของพวกเขา อาจทำให้ โลกอส ตกเป็นเป้าจู่โจม
จากนานาประเทศ และหากเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเขา นั่นเองที่จะก่อสงครามขึ้นแทนที่จะขจัดมันไป

“ อะไรกันไม่เอาน่า เฟนท์ ไม่เห็นต้องกังวลเลย เพราะถ้าเกิด โลกอส ถูกโจมตีขึ้นมา
จริงก็เท่ากับว่าเกิดความขัดแย้งและสงคราม เนอะ เอมิล ”
ไรด์ กล่าวพร้อมกับ หันไปขอคำสนับสนุนจาก เอมิล ครึ่งสมิงหมาป่า ขนสีเงิน
ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ อืม…ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็จะต้องเข้าแทรกแซงในฐานะของ Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust หน่วยทีมสังกัด Celestial Saber ที่มีหน้าที่หลักคือการแทรกแซงสงคราม และความขัดแย้งทางการ รบเป็นหลัก ”
เอมิล ตอบเสียงเรียบ

“ ไรด์ (Ryad) เอมิล (Emil)…น..นั่นสินะ จริงด้วย ถ้าเกิดสงครามพวกเราก็ต้องเข้าแทรกแซง
เพื่อขจัดสงครามให้หมดไป ”
เฟนท์ มองหน้าเพื่อนทั้งสองก่อนจะพูดออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ

“ ว่าแต่ทำไมพวกสื่อถึงได้มีข้อมูลเกี่ยวกับหน้าตารูปพรรณ สัณฐานของเรา ล่ะคะ แบบนี้มันจะไม่ทำให้ความลับเรื่องที่พวกเรานักเรียนของ St.Magnus ถูกสงสัยเอาเหรอคะ ถึงจะมีเผ่าพันธุ์ ครึ่งสมิงอยู่ทั่วไปให้เห็นก็เถอะ
แต่จำนวนก็น้อยจนแทบจะนับได้เลยนะ ถ้าเกิดการตรวจค้นขึ้นมาความจะแตกเอาได้ง่ายๆนะคะ ”

ซาน เริ่มยกประเด็นปัญหาขึ้นมาบ้างสีหน้าและแววตาของเธอสื่ออกถึงความกังวลอย่างชัดเจน


“ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ รู้สึกว่า ฮูกีนมูนีน(*) จะปล่อยข่าวออกไปเองตามแผนการน่ะค่ะ  ”
พนักงานสาวผมสีเขียวสด ในชุดเครื่องแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวมีกระดุมและกระโปรงสั้น สีน้ำเงิน
ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เอลิซ่า รายงานขึ้น

[ฮูกีนมูนีน(Hugin&Mugin)เป็นชื่อของ อีกา ที่เกาะอยู่บนไหล่ของโอดีน(Odin)
 มันทั้งสองได้รับหน้าที่คอยสอดส่องโลกเป็นหูเป็นตาแทน โอดีน ]



“ อืม  ก็อย่างที่ ลูลู่(Lulu) บอกนั่นล่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ เพราะถ้าทั่ว เทอร่า ได้รู้ว่ากองทัพทรงอำนาจอันเกรียงไกรของประเทศตัวเอง ดันมาแพ้เด็กหนุ่มสาวแค่ไม่กี่คน ก็จะทำให้อำนาจและความน่าเชื่อถือของกองทัพลดลง

และในที่สุด ก็จะเกิดกระแสต่อต้านกองทัพมากขึ้นหากกองทัพคิดจะเพิ่ม ประสิทธิภาพอาวุธของตัวเองมาสู้กับเรา
ที่ส่งเด็กแค่ สี่คนลงมาก็หยุดสงครามอันยาวนานที่แม้แต่ มหากองทัพซึ่งมีอาวุธทรงพลังยังยับยั้งไม่ได้… ”

พนักงานชายซึ่งมีผมสีดำสวมเสื้อยืดสีขาวแขนเสื้อยาวสีเทา และคลุมทับด้วยเสื้อกั๊ก
สีฟ้าอีกชั้น กางเกงยีนสีน้ำเงินอ่อน หันมาตอบให้แทน พนักงานสาวที่ชื่อ ลูลู่



“ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ถ้าเกิดความแตกขึ้นมาเท่ากับสวัสดิ์ภาพ ของฉันกับน้องชาย
แล้วก็เพื่อนๆนับว่าอยู่ในขั้นวิกฤติเลยนะ ”
ซาน กล่าวอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย



“ เอาน่า อย่างที่ ลูลู่ กับ อีลูมีเซ่(Elumeese) บอกไปถึงจะเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ แต่นี่ก็เป็นข้อสรุปของ ฮูกีนมูนีน
แล้วเราก็ต้องถือเป็นเอกฉันท์ อีกอย่าง การคาดการณ์ของสุดยอดสมองกลอย่าง ฮูกีนมูนีน น่ะไม่ผิดพลาดง่ายๆหรอก

ถ้า เกิดข่าวของพวกเธอรั่วออกมาจริง เดี๋ยว ฮูกีนมูนีน ก็จะทำการบิดเบือนข่าวสารเอง เพราะหน้าที่หลักของมันก็คือการ รวบรวมข่าวสารและประมวลผลกับมอบภารกิจ ให้กับพวกเราอยู่แล้ว ”

พนักงานชายอีกคนผมสี บลอนด์ แต่งชุดแบบเดียวกับ อีลูมีเซ่ กล่าวขึ้นมา



“ คุณ เอียน (Eian) คะ!! ”
ซาน หันไปยิงหน้ามุ่ยใส่ด้วยความไม่พอใจ ทำเอาเค้า สะดุ้งไปไม่น้อย

“ เอาเถอะนะอย่างไงก็ตาม การแทรกแซงของวันนี้ก็จบลงแล้ว พวกเธอกลับไปพักเถอะ
 พรุ่งนี้โรงเรียนเปิดไม่ใช่เหรอ ”
เอลิซ่า กล่าวก่อนจะปิดการประชุมของ Celestial Saber ถึงตรงนี้ก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างดีกันแล้วว่า
รูปแบบขององค์กร Empyrean Adjust นั้นจะแบ่งทำงานกันเป็นทีมๆ และเข้าไปทำการแทรกแซงความขัดแย้ง
 
ตาม ภารกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากสุดยอดสมองกล ฮูกีนมูนีน ซึ่งจากรูปแบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า Empyrean Adjust
มีขุมกำลังและอำนาจ มากกว่าที่เราเห็นในตอนนี้ นอกจาก ทีม Celestial Saber ก็อาจจะมีทีมอื่นๆใน Empyrean Adjust

ที่ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลส่งให้แก่ ฮูกีนมูนีน เพื่อทำการประมวลผลและส่งมอบภารกิจ แก่ทีมต่างๆเพื่อให้เหล่า Valkyrier ออกปฏิบัติการ และเหล่านักรบ เทวทูต Valkyrier นั้นก็มาจาก

เหล่า Valkyrie เทวทูตที่ได้มีหน้าที่พิทักษ์
ของที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้ บางทีความเกี่ยวกับพลังของพวกเขานั้นอาจเกี่ยวข้องกับ
ตำนานของเหล่า Valkyrie ในสมัยโบราณก็เป็นได้…

……………….
……………………
…………………………………

“ เฮ้อ~ พี่ซาน นะ พี่ซาน พอบอกว่าจะมาจ่ายตลาดหน่อย ก็รีบชิ่งหนีไปเลยนะ~~ ”
เสียงบ่นของ เฟนท์ ดังขึ้นอย่างหน่ายๆ ในตอนนี้ เค้ากำลังเดินอยู่บนทางเท้าในเขตตัวเมือง
เพื่อ จับจ่ายซื้อของต่างๆที่จำเป็น โดยปกติแล้วนี่คือหน้าที่ ที่เค้ามักจะเป็นคนจัดการอยู่เสมอๆ

เพราะพี่สาวของ ซาน นั้นแทบจะจับงานบ้านไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นงานครัวไปจนถึง
ซักผ้า หรือ จ่ายตลาด ตัวเค้าต้องออกมาทำเองหมด

ขณะที่ เฟนท์ กำลังเดินคิดไปเพลินว่าจะซื้อ อะไรบ้างอยู่นั้น ก็มีเด็กสาว วัยเดียวกับเค้า
เดินสวนมา เฟนท์ ที่ไม่ได้เดินดูทางจึงชนโครมเข้ากับ เธอ อย่างจังจนกลิ้งล้มไปทั้งคู่

โครม!

“ หวา…ข…ขอโทษครับ..ขอโทษด้วยจริงครับ ผมเดินไม่ดูทางเอง ขอโทษ! ขอโทษ! ”
เฟนท์ รีบยันตัวลุกขึ้น กล่าวขอโทษขอโพย ก้มหัวปะหลกอย่างทุกครั้ง
โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่าย

“ อ…เอ่อ…คือ… ”
“ ขอโทษ ครับ…ผมขอโทษ ขอโทษ ด้วย!! ”

ระหว่างที่อีกฝ่ายพยายามจะเรียกเค้า กลับทำให้ ยิ่งกลัวหัวหด และก้มหัวขอโท ถี่กว่าเดิมเข้าไปอีก

“ เอ่อ….เฟนท์ นี่ฉันเอง… ไอ(Ai) ไง ”
สิ้นเสียง เค้าจึงหยุดก้มหัวแล้วแหงนหน้าขึ้นมองดู ใบหน้าของเธอ รอยยิ้มแห้งๆจาความเขินอาย
ที่ประทับบนใบหน้าของเธอ นั้นทำให้เค้า รู้สึกใจเต้นพิกลๆ กับเธอ ผมสีทองยาวสลวย
และดวงตาสีฟ้า กับใบหน้าที่ผุดผ่อง  นั้นทำให้เธอดูเปล่งประกายในสายตาของเค้า

เฟนท์ จ้องเธอตาค้างอยู่นาน เสียจนเธอรู้สึกกระอักกระอ่วน เธอจึงทักเค้าอีกครั้ง

“ เอ่อ…เฟนท์ หน้าฉันมีอะไรติดอยู่รึเปล่า ”
เธอถามด้วยความเอียงอาย ใบหน้าของเธอเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวและแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
เฟนท์ ยังคงจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ แววตานั้นเหม่อลอยราวกับต้องมนสะกด
อยู่นาน กว่าจะรู้สึกตัว  เค้าจึงรีบหลบหน้าหนีเธอ ทันที 

“ ค…คือว่า ขอโทษนะ…เธอ…อ…ไอ..สินะ โทษทีนะผมไม่ได้ดูทางน่ะ  ”
เฟนท์ กล่าวตะกุกตะกัก โดยไม่หันมามองเธอ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเค้า แดงและร้อนผ่าว
ด้วยความเขินอาย จนไม่กล้าจะสู้หน้าเธอ ด้าน ไอ เอง เธอ ก็หน้าแดงไม่แพ้เค้าเช่นกัน
ทั้งสองหลบหน้ากันอยู่ซักพักจนเมื่อ เฟนท์ ตั้งสติได้เค้าลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันกลับไปช่วยจูงพยุงเธอลุกขึ้นมาจากพื้น

“ ไม่เป็นไรนะ ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม ”
เฟนท์ ถามขณะที่มองสำรวจไปรอบขาของเธอว่ามีบาดแผลหรือไม่ ด้วยความเป็นห่วง

“ ว…ว่าแต่ เฟนท์ จะไปไหน เหรอ ”
ไอ  ถามสวนขึ้นเพื่อที่จะปัดการตอบ ที่รังแต่จะทำให้ เฟนท์ วิตกหนักไปอีก เพราะที่ล้มไปก็ใช่ว่า
เธอจะไม่เจ็บเลย และเธอยังพยายามซ่อนรอยถลอกที่หลังข้อมือ ซ้ายของเธอไว้หลังกระโปง
ด้วย

“ ผม ออกมาจ่ายตลาดน่ะ ว่าแต่ ไอ…. ”
เฟนท์ ตอบก่อนจะปรับน้ำเสียง และเรียกเธอ ปฏิกริยา ของเค้าทำเอา เธอชะงักไปด้วยความระทึก
กับคำพูดที่จะตาม มาจากนั้นเป็นอย่างมาก

“ จ..จ้ะ ”
เธอรับคำตะกุกตะกัก ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือก เพราะ อยู่ๆ เฟนท์ ก็เข้ามาดึงข้อมือ ซ้ายเธอขึ้นมาดู
โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว รอยถลอกที่หลังข้อมือ ซึ่งเธอพยายามจะซ่อนมันไว้ได้ปรากฏแก่สายตาของ เค้าในทันที

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #5 on: August 11, 2009, 05:14:16 AM »

“ อ…เอ่อ คือว่าไม่เป็นไรหรอกนะแค่แผลถลอกน่ะ.. ”
เธอ รีบแก้ตัวทันที ขณะที่ เฟนท์ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ รอยแผลของเธอ ทำเอาใจเธอ เต้นไม่เป็นจังหวะกันไปเลยทีเดียว
แต่ทว่า สิ่งที่ เฟนท์ ทำต่อจากนั้นกลับทบจะทำให้เธอหัวใจหยุดเต้นไปเลย เมื่อ เฟนท์ เลียลงไปที่แผลของเธอ

เหมือนสุนัขเลียแผลเวลาที่มันต้องการจะบรรเทา ความเจ็บปวด สัมผัสที่ชวนให้รู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งร่าง
จี้ดขึ้นมาทุกครั้งที่ ลิ้นของเค้าปาดเอา คราบเลือดออกจากบาดแผลของ เธอ แม้ความรู้สึกตอนนี้มันจะชวนให้จั้กจี้
แค่ไหนแต่เธอก็คงหัวเราะไม่ออก เพราะนี่ผู้ชายกำลังเลียมือของเธออยู่

“ ทำความความสะอาดแผลเสร็จแล้วล่ะ โทษที ผมคงทำให้จักจี้มากสินะ เพราะผมเองก็ทำไม่เก่งเท่าพี่ ซะด้วย ”
เฟนท์ ตอบเสียงใสพร้อมกับสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนที่เค้าทำไปเป็นเรื่องปกติ ขณะที่ตอนนี้ ไอ ได้แต่
จ้องมองเค้า ด้วยสายตาตกตะลึง กับความคิดความอ่านของเค้า

{ป…ปกติเค้าทำกันแบบนี้เหรอ…ถ…แถม เฟนท์ เองยังบอกว่าทำม…ไม่เก่งด้วย….แง ไม่เข้าใจเลยค่า~~
พวกครึ่งสมิงเค้าคิดอะไรกันอยู่ล่ะเนี่ย!!}
ไอ คิดอยู่ในหัวจนเลยเถิดไปแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อซักครู่  เฟนท์ ที่สังเกตุอาการอ้ำๆอึ้งๆ
ของเธอ เกิดสงสัยเลยถามขึ้นมา

“ เป็นอะไรไปเหรอครับ…รึว่า เจ็บแผลเหรอครับ!! ขอโทษนะครับผมไม่ทันระวังเลยใส่แรงไปซะเต็มที่เลย… ”
“ ม…ไม่ช่นะคะ เจ็บเจิบ อะไรกัน เฟนท์ ทำได้ดีแล้วล่ะ!! ”
“ เอ๋ ดี…ผมเหรอ ”
“ อ…เอ้อ ช…ใช่ เฟนท์ ทำได้เก่งมากเลยล่ะ ฉันไม่รู้สึกสึกเจ็บอะไรเลย!! ”
“ เหรอ…งั้นเหรอ…. ”
“ อ…เอ้อ พอดีฉันนึกได้ว่ามีธุระด่วน ต้องรีบไปแล้วล่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ”
หลังจากที่ต้องแก้ตัวอย่างร้อนรน ไอ รีบหาข้ออ้างขึ้นมาก่อน จะปลีกตัววิ่งเตลิดหาย
ไปทันทีทิ้งให้ เค้ามองตามด้วยความสงสัย

………………

“ เฮ้อ~~ ”
ไอ ถอนหายใจขณะที่เดินมาเรื่อยเปื่อย จนมาถึงสวนสาธารณะ รอบสวนนี้ห้อมล้อมไปด้วยพุ่มไม้ประดับ
ริมทางและสวนหย่อมขนาดย่อมที่แสงแดดสาดส่องทะลุหมู่แกมไม้ลงมาเป็นหย่อมๆ
 โดยมีถนนคอนกรีต ตัดผ่านสำหรับ ผู้มาชมสวน ห่างออกไปไม่ไกลนัก

เป็นสนามหญ้า กว้างซึ่งเต็มไปด้วยเด็กๆกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน บรรดาครอบครัวที่มา ปิคนิคกันในสวน
ช่วงเย็นของวันหยุด ก็มีมากมาย และถัดไปจากสนามหญ้านั้น จะมองเห็นขอบฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ตัดกับท้องสีคราม เสียงลมและคลื่นที่ดังแผ่วๆมานั้นเป็นดั่ง บทเพลงที่คอยขับกล่อม ทุกชีวิตในสวน

บรรยากาศเหล่านี้ช่วยให้ เธอ ได้รู้สึกผ่อนคลายไปกับมัน ชวนให้ค่อยๆลืมเรื่องที่ เฟนท์ ปฏิบัติกับ เธอ มา
ขณะที่ที่เธอ หลับตาเพื่อที่จะสูดอากาศอันสดชื่นในยามบ่ายของ สวนสาธารณะแสนร่มรื่นย์นี้
ก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมา

“ ไอ!! ”
เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เธอหันกลับไปมองเจ้าของเสียงด้วยความสงสัย เรกกะ กำลังเดินเข้ามาหาเธอ
พลางโบกมือทักทาย

“ เรกกะ นี่!! มาทำอะไรเหรอ!? ”
เธอ ทักชื่อของ เค้า ก่อนจะถามขึ้น เรกกะ ขณะที่เดินเข้ามาหาเธอนั้น สายตาหลงใหลของเค้าจับจ้องมาที่เธอ
ราวกับได้ เทพธิดา ยืนอยู่ตรงหน้าก็มิปาน

{อา~~ ไอ เวลาเธอทำหน้าแบบนั้นมันดูน่ารักเป็นบ้าเลยนะ…โอยหัวใจฉัน หยุดเต้นดังแบบนี้ซักที เดี๋ยวเธอ
ก็ได้รู้กันพอดี ว่าฉันชอบเธอมากแค่ไหน}
เรกกะ คิดขณะที่พยายามจะระงับความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเข้ามาใกล้เธอ

“ ฉันกำลังจะไปตลาด บาร์ซิงเซย์…น่ะพอดีเลย….ไปด้วยกันไหม ”
เรกกะ เอ่ยปากชวนเธอ ไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด เท่าที่เค้าจะทำได้ ถึงแม้ว่าจะติดอ้ำอึ้งไปบ้าง
แต่ ไอ ก็ดูจะไม่ใส่ใจกับทีท่าของเค้าซักเท่าไหร่เลย

“ เห~ บาร์ซิงเซย์? นี่ เรกกะ จะไปซื้อของเล่นพวกนั้นอีกแล้วเหรอ? ”
“ อ…เอ้อ…ก็ประมาณนั้นล่ะ… ”
เค้าถึงกับชะงักไปเมื่อถูกเธอพูดจี้ใจเค้าขึ้นมา ก่อนจะตอบกลับไปน้ำเสียงตะกุกตะกัก
อย่างเขินอาย

“ เหรอ~ ขอโทษนะฉันขอตัวล่ะ พรุ่งนี้ต้องส่งการบ้านด้วย ฉันยังไม่ได้ทำเลยแล้ว เรกกะ ล่ะทำเสร็จแล้วเหรอ ”
“ เอ่อ..ย..ยังเลย ”
“ ไม่ได้นะ เรกกะ ถ้าไม่ทำการบ้านส่งล่ะก็เดี๋ยวคะแนนก็ออกมาแย่เหมือนคราวที่แล้วหรอก ”
“ อ…อืม ”
“ งั้นฉันไปก่อนนะ อย่าลืมทำการบ้านล่ะ เรกกะ ”
ไอ บอกลาก่อนจะ ตีจากเค้าไป โดยไม่ได้เหลียวกลับมามอง ใบหน้าที่ดูห่อเหี่ยวของเค้า
แม้แต่
 
“ โธ่ แม้แต่จะบอกลาเธอยังก็ไม่บอกเลย…..นี่คงเห็น เราเป็นแค่เพื่อนสินะ ”
เรกกะ เปรยออกมาด้วยความน้อยใจเล็กที่ผุดขึ้นมาในใจ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
แล้วเดินสลดไป ตามทางเค้าเดินไปด้วยท่าทีหดหู่ ตลอดทางจนออกมาถึง
หน้าสะพานไม้ ที่ต่อทอดออกไปในทะเล ตลาดบาร์ซิงเซย์ ที่ๆเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยและเรือสิ้นค้ามากมาย

ซึ่งพร้อมสรรพไปด้วยสิ้นค้ามากหน้าหลายตา จากทั่วทุกมุมเทอร่า เลยก็ว่าได้ ภาพของผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของในยามบ่ายกันอย่างเนืองแน่น และเสียงเจรจาต่อรองราคา เสียงอึกทึกโครมครามจากการขนย้ายสินค้า

ที่จริงนี่ควรจะเป็นสภาพของตลาดอย่างที่มันควรจะเป็น  ทว่าสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเค้ากลับ เป็น
ร้านค้าแผงลอยที่ที่ตังเรียงรายเป็นแนวยาวตลอดสะพานถูกปกคลุมด้วยไอควันสีดำที่ส่งกลิ่นฉุน

แสบจมูกตลบอบอวลไปทั่วท้องตลาด แน่นอน เรกกะ รู้สึกได้ถึงอันตรายของ ควันเหล่านี้ เพราะ
ผู้คนในตลาดต่างก็นอนเป็นศพเกลื่อนอยู่ทั่วในกลุ่มควันเหล่านั้น

“ น..นี่มันอะไรกัน ”
เรกกะ อุทานด้วยสายตาหวาดหวั่นกับสิ่งที่เห็น ขาของเค้าก้าวถอยหลังเองโดยอัตโนมัติ
ด้วยความหวั่นเกรงกับกลุ่มควันตรงหน้าที่ กำลังสลายตัวไปอย่างช้าๆ

ฮูมมมม!!

เสียงคำรามที่ดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้สันหลังของเค้าเย็นวาบมาถึงหัวไหล่เลยทีเดียว
เมื่อหันไปสบตากับสิ่งนั้น ในวินาทีนี้ เค้าไม่รีรออะไรอีกแล้ว สองเท้าของเค้าทะยานก้าวออกไป
อย่างไม่คิดชีวิต วิ่งฝ่ากลุ่มควันเข้าไปในทันที อะไรบางอย่างกำลังไล่ตามเค้ามา

………………….
…………………………



“ ว่าไงนะ ก่อการร้าย ที่บาร์ซิงเซย์ เนี่ยนะ!! ”
เฟนท์ ถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้รับโทรศัพท์ จากพี่สาวของเค้าขณะอยู่ระหว่างจัดเก็บข้าวของที่ซื้อมาในครัว

{พวกมันคิดจะให้สงครามยืดเยื้อ ออกไปอีกหรือไง}
เฟนท์ ขบกรามด้วยอารมณ์ที่ครุกรุ่นอยู่ภายใน การก่อการร้ายนี้เปรียบเสมือนกับการท้าทาย
ให้เค้าและ องค์กร ไม่แม้แต่จะต้องตัดสินใจอันใดอีก เค้า รีบออกจาก บ้านไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะ
หันกลับมาล็อคประตูแต่ถึงยังงั้นข้างของที่จัดวางทิ้งไว้ก็ยังกองอยู่บนโต๊ะในครัวอยู่ดี

…………………..
…………………………………..

สูงขึ้นไปยังท้องฟ้าใกล้กับชั้นบรรยากาศ ยานเรือเหาะของ Empyrean Adjust หน่วยทีม Celestial Saber
 กำลัง ลอยตัวเพื่อตรวจสภาพการณ์ ด้านล่าง

“ ก่อการร้ายงั้นเหรอ ”
เอลิซ่า อุทานขึ้นทันทีที่ได้อ่านข้อมูล ที่ ฮูกีนมูนีน ส่งมาขึ้นจอในห้องบังคับการของ ยาน

“ งั้นจะมัว รอ อะไรอยู่ล่ะ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ ”
ไรด์ กล่าว ขึ้นขณะที่เตรียมจะออกไปทว่า เอลิซ่า ก็เรียกให้พวกเขาหยุดเสียก่อน


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #6 on: August 11, 2009, 05:14:29 AM »

“ เดี๋ยวถ้าเราออกไปตอนนี้ ทั้งเทอร่า จะคิดว่าองค์กร ของเรา ขึ้นตรงกับ โลกอส เอาได้นะ
ถ้าเป็นยังงั้นล่ะก็ การแทรกแซงก็จะไม่มีความหมาย เพราะ ประเทศอื่นๆจะพากันเชื่อว่า เราเป็นขุมอำนาจของ ชาติใดชาติหนึ่งเท่านั้น ”
เอลิซ่า เสนาธิการ ของยานกล่าวอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากพวกเขา
ลงไปทำการแทรกแซงตอนนี้ แม้ ไรด์ และคนอื่นๆจะไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องยอมตามยอมเพราะ
สิ่ง ที่ เอลิซ่า คาดการณ์ไว้นั้น ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน พวกเขาจึงต้องกัดฟันทน
นิ่งดูต่อไป

“ แล้วเราจะทำยังไงดีคะ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ก็เท่ากับว่า เราเพิกเฉยต่ออุดมการณ์ อยู่ดีนี่คะ ”
ลูลู่ พนักงานสาว หันมาถามจาก ที่นั่งหน้า แป้นควบคุม

“ จริงอยู่ สถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เราต้องทำการแทรกแซง แต่ว่าในกรณีนี้
 ไม่ ใช่ความขัดแย้งที่เกิดจาก กองกำลังที่มีสังกัดฝ่ายเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เป็นพวกผู้ก่อการร้าย ถ้าเราจะเข้าทำการแทรกแซงก็ต้องทำให้ เทอร่า ได้รับรู้เสียก่อนว่า นี่ความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายใดกับฝ่ายใด  ”
เอลิซ่า กล่าวขณะที่พยายามหาวิธี ที่จะเข้าไปทำการแทรกแซง

“ งั้น เราลอง ไปเก็บ ข้อมูลเพิ่มส่งไปให้ ฮูกีนมูนีน ก่อนไหมเพื่อช่วยในการตัดสินใจกับหาทาง แทรกแซง น่ะ ”
อีลูมีเซ่ พนักงานชายซึ่งคุมแผงวงจรฝั่งซ้าย ออกความเห็น

“ ก็ดีเหมือนกันนะ...ถ้างั้นให้ อัลบัส(Albus) ลดระดับลง 20 แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า ช้าๆจากนั้นใช้ กล้อง
ถ่ายเก็บข้อมูล ส่งไปยังเครือข่ายเลย ”
เอลิซ่า สั่งการจบ ยาน อัลบัส ก็ออกตัวจากชั้นบรรยากศลงมา

...................
..........................

ขณะเดียวกัน เฟนท์ เร่งฝีเท้าวิ่ง จากบ้านเข้ามายังเขตตัวเมือง เพื่อที่จะไปยังจุดหมาย ตลาดท่าเรือบาร์ซิงเซย์
ระหว่างทางนั้น เค้าบังเอิญไปชนเข้ากับ ชายคนหนึ่ง

“ เหวอ..ข..ขอโทษ ขอโทษด้วยคับ ผมกำลังรีบก็เลยไม่ทันระวัง ขอโทษด้วยครับ ”
เฟนท์ รีบกล่าวขอโทษขอโพย เหมือนอย่างทุกครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปดดยไม่รอฟังอีกฝ่าย

“ ตะกี้มัน….รึว่า ”
ชายที่ถูกชน เอ่ยขึ้นขณะที่มองตามแผ่นหลังของ เฟนท์ จนลับสายตาไป

“ มีอะไรเหรอ ลอว์เรนซ์~  ”
มังกรภูต(Fairy Dragon)ตัวจิ๋วบิน ออกมาจาก กระเป๋าเสื้อของเค้า ก่อนจะถามขึ้น
ตัวมันมีลักษณะทุกประการเหมือนกิ้งก่าที่มีปีกแมลงติดอยู่

“ เมื่อกี้แค่รู้สึกว่าเหมือนจะเห็นคนเหมือน เจนัส ก็เท่านั้นเองแต่คงตาฝาดไปมั้ง ”
 ชายผู้นั้นตอบ ก่อนจะออกเดินต่อไปโดยทิ้งความสงสัยนั้นไว้

………………………..
…………………………………




ยาน อัลบัส 

“ พวกเทอเรี่ยน หายไปหมดแล้วครับ ไม่มีสัญญาณของพวกมันเหลือเลย ”
อีลูมีเซ่ พนักงานชายที่คุมแผงวงจรฝั่งซ้ายของห้องบังคับการ รายงานขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

“ ที่บริเวณท่าเรือ พบสัญญาณพลังมหาศาล ค่ะ  ”
ลูลู่ พนักงานหญิง กล่าวขึ้นทันทีที่เห็นรายงานจากจอประมวลผล

“ นี่มัน.... ”
พนักงาน ชายที่คุมแผงวงจรฝั่งขวา อุทานขึ้น

“ มีอะไรเหรอ เอียน(Eian)  ”
เอลิซ่า หันไปถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ทุกคนเองก็พลอย หันมาสนใจกับท่าทีของ เอียน

“ สัญญาณพลังแบบนี้มันเหมือนกันมากเลย ถึงจะไม่ใช่แบบเดียวกันก็เถอะ พลังงานเมื่อครู่ คือ ประจุอิออน แถมยังมีความเข้มข้นมากเลย อย่างกับว่า... ”
เอียน กล่าวได้ไป ซักพักก็หยุดไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

“ อย่างกับว่า เทพเจ้ามาอยู่ตรงนั้นเลยใช่ไหมครับ เพราะประจุ อิออน ก็คือพลังงานของ เทพเจ้า การที่สามารถปลดปล่อย อิออน ได้ขนาดนั้น ก็มีเพียงเทพเจ้า ตัวจริงเท่านั้น ”
เอมิล ครึ่งสมิงหมาป่าขนสีฟ้า กล่าวเสียงเรียบ

“ อ้ะ จับภาพได้แล้วค่ะ ”
ลูลู่ กล่าวขึ้นเมื่อ สามารถจับภาพสถานที่เกิดเหตุได้

“ เอาขึ้นจอเลย ”
ไม่ต้องคิดอะไรใดๆอีกต่อไป เอลิซ่ารีบสั่งการให้นำภาพขึ้นจอ เพื่อไขข้อกระจ่าง
ภาพที่เห็นตรงหน้านั้น ทำให้พวกเขาทุกคนต้องนิ่งอึ้ง ราวกับต้องมนต์สะกด

“ อัศวินมังกรแท้ งั้นรึเนี่ย ”
เอลิซ่า เปรยเสียงเรียบ เมื่อภาพที่ฉายขึ้นมาบนจอ คือ ภาพของ อัศวินมังกรกายสีขาว
บริสุทธิ์ กำลังยืน มองเปลวเพลิงที่ เผาผลาญพวก เทอเรี่ยน เคียงคู่ไปกับ
อัศวินมังกรแท้หญิงเกล็ดสีแดงรอบกายเรียงตัวราวกับชุดเกราะ มือขวาของ นาง
กระชับ หอก ที่มีด้ามเป็นเกล็ดมังกรสีแดงเลือดหมู มือซ้ายติดโล่ เกล็ดมังกร สีแดงเลือดหมู เช่นกัน





.......................
................................

To be continue

เอาล่ะครับ ทุกท่านที่เคยอ่าน Legend Thaliwilya of Arimathea  คงจะงงกันล่ะสิว่า ผมเอาตอนของ
เก่ามาโพส ซ้ำหรือไงเนี่ย แล้วไหงถึงได้มีบางฉากที่มันไม่มีในภาค ทาลิวิลย่า ล่ะ

อย่างฉากเริ่มเรื่องก็ดูจะซูมแล้วซูมอีกไปที่ เฟนท์ ที่เป็นเพียงแค่พระรองในภาค ทาลิวิลย่า
นั่นเพรา Crisis Valkyrie Extended นี้คือการจับภาค ทาลิวิลย่ามา ขยายความโดย
ให้ เฟนท์ เป็นตัวเอกครับ วาเหตุที่จับมาขยายความเพิ่มน่ะเหรอ เพราะในภาค ทาลิวิลย่า
ตัวเอกของเราคือ เรกกะ เรื่องก็เลยซูมไปที่ เรกกะ ซะเป็นส่วนใหญ่ ทว่า ปมความรักกับเรื่อง
ความสัมพันธ์ต่างๆ ของ เฟนท์ และตัวละครอื่นๆฝ่าย Empyrean Adjust มันคลุมเครืออยู่มาก

ก็เลยจับเอามาเขียนขยายเรื่องซะเลย เพราะ ACE กำลังรอ ภาพอยู่ก็เลยยังมาลงไม่ได้
ตอนนี้เลยได้ ฤกษ์จับเอาภาคที่ สับสนที่สุดมาขยายความเพิ่ม แต่ที่จริงคืออยากเขียน เรื่องแนวหวานๆ
ของเจ้า เฟนท์ เพิ่มแค่นั้นเองหุๆ เฟนท์ เอ๋ยทำไมนายไร้เดียงสาเง้ ไปเลียแผลให้ ไอ เค้าเฉยเลย

ที่สำคัญ เรกกะ นี่นายชอบ ไอ อยู่เรอะ แล้ว ป้า R2 ล่ะ ซาน ล่ะ  เหอๆรอดูกันต่อไปไม่แน่ในจำนวนตอน 20
ตอนที่เคยลงในทาลิวิลย่าอาจมีตอน ศึกชิงนางที่ไม่มีให้เห็น มาขยายลงในตอนนี้ด้วยเลยนะเนี่ย

อ่อ เกือบลืม ผู้สนับสนุนการปฏิวัติครั้งใหม่นี้

Zero เหอๆ ทำไมน่ะเหรอ ในฐานะที่ เรื่องนี้ขยายความจากเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจจาก Code Geass
มาเต็ม(ซึ่งก็คงเดาได้สำหรับคนเคยอ่านภาค ทาลิมา ว่า เฟนท์คือเจ้าสาคู และ เรกกะคือ ลูลู่ ส่วนป้า R2 ที่เป็นทาลิเลีย
คือC2)

ดังนั้นจากตอนนี้ไปจะมีของแถมเป็นโดจิน เสื่อมๆของท่าน ลูลู่ และ สาคู มาลงเรื่อยๆ

ปล.ผมไม่ได้วาดเองนะ หาจาก Google เอาทุกรูปเลย

เอ้า โค้ด น่ารัก ตอนที่1

เปนไงกันบ้าง คงเสื่อมมิใช่น้อย เช่นนั้นแล้ววันนี้ปิดท้ายด้วยรูปสาคู แมวเหมียวนะคร้าบ

 

คลิกที่รูปเพื่อขยายได้
สุเคะ ลู่เซ่ะ บันไซ~~~
Logged


abeabeabe
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1127


Email
« Reply #7 on: August 16, 2009, 04:09:53 AM »

Pizza Hut อร่อยนะ 
Logged


Gee
Member
*****
Offline Offline

Posts: 32


« Reply #8 on: August 16, 2009, 04:35:15 AM »

Pizza Hut  ผู้สนับสนุนการปฏิวัติอย่างเป็นทางการสินะคะ

จำได้ว่าคำโฆษนาแบบนั้นเคยเขียนเป็นแคมเปญของกล่องพิซซ่า ที่ญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง
มิน่าถึงว่ามีแต่พิซซ่า เต็มเรื่องเลย เหอๆ
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.125 seconds with 21 queries.