วัยรุ่นไทย 'หูเสื่อม' ฟังเอ็มพี3 เสียงดัง-นานเกินไป แพทย์ด้านการได้ยินเผยวัยรุ่นไทย 1 ใน 4 มีความผิดปกติในการรับฟังเสียง สังเกตจากการพูดคุยเสียงดัง เหตุเพราะการฟังเอ็มพี3 ไอพอด และการใช้หูฟังมือถือ ด้วยการเปิดระดับเสียงที่สูงเกินไป .. วันนี้ (18 มิ.ย.) ศ.พ.ญ.สุจิตรา ประสานสุข แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินการพูด และการทรงตัว เปิดเผยว่า ปัจจุบันเด็กวัยรุ่นนิยมฟังเพลงโดยใช้หูฟังจากเครื่องเล่นเอ็มพี 3 หรือไอพอด รวมไปถึงการใช้หูฟังของเครื่องโทรศัพท์มือถือทั้งระบบธรรมดาและ บลูทูธ ส่งผลให้การได้ยินของเด็กไทยขณะนี้มีปัญหาค่อนข้างมาก การสำรวจโดยการสุ่มตรวจการได้ยินของนักเรียนวัยรุ่นในเขต กทม.จำนวนประมาณ 400 คน โดยกรมควบคุมมลพิษ ล่าสุด พบว่าร้อยละ25 มีความผิดปกติในการรับฟังเสียง
สังเกตได้ง่ายๆว่า เด็กและวัยรุ่นปัจจุบันจะพูดเสียงดังมาก เพราะเคยชินกับการได้ยินเสียงที่ดังๆอยู่ตลอดเวลา ศ.พ.ญ.สุจิตรา กล่าวต่อว่า การใช้หูฟังประเภทนี้นอกจากจะส่งผลต่อภาวะการได้ยินแล้ว สมองมีโอกาสที่จะได้รับรังสีคลื่นวิทยุด้วย เด็กบางคนใส่หูฟังทั้งวัน บางคนฟังจนกระทั่งหลับไปพร้อมกับหูฟัง เคยมีการทดลองว่า หากใช้หูฟังในสถานที่ที่มีเสียงรบกวนดังมากๆ เช่น ในรถไฟฟ้า หรือ ศูนย์การค้า ต้องเปิดหูฟังให้เสียงดังจนเกือบสุดจึงจะได้ยินชัด ซึ่งการเปิดหูฟังในระดับดังกล่าว ทำให้หูได้รับเสียงถึงระดับ 105 เดซิเบล ขณะที่โดยปกติหูคนเราสามารถรับเสียงได้ประมาณ 80 เดซิเบลเท่านั้น
ทั้งนี้ ศ.พ.ญ.สุจิตรา กล่าวอีกว่า การได้รับเสียงถึงระดับ 105 เดซิเบล โดยทฤษฎีแล้ว มีรายงานว่า สามารถที่จะทำลายประสาทการรับเสียงหรืออาจจะกระทบแก้วหู จนทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ โดยอาการเริ่มต้นของผู้ที่ประสาทหูผิดปกติ มีหลายอาการแต่ที่พบมาก คือ การได้ยินเสียงวิ้งๆในหู ทั้งที่ไม่ได้เปิดเพลง หรือถอดหูฟังออกแล้ว เพราะปลายประสาทเกิดการกระทบกระเทือนจากเสียงที่มากระตุ้น และยังอาจเกิดอาการทรงตัวผิดปกติ เช่น ตื่นนอนแล้วมีอาการมึนงง ทรงตัวไม่ได้ ฯลฯ ถ้าเริ่มมีอาการเหล่านี้ติดต่อกัน 2-3 วันไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
ศ.พ.ญ.สุจิตร กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญที่สุด คือ การปรับพฤติกรรมการฟังที่เหมาะสม ในการฟังเพลงหรือคุยโทรศัพท์ผ่านหูฟังเหล่านี้ มากที่สุดไม่ควรฟังติดต่อกันนานเกิน 2 ชั่วโมง
http://www.thairath.co.th/content/edu/13654