Summoner Master Forum
November 26, 2024, 01:59:16 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: [Fic] Smn ยุคหลังเจ้าชายเดวิดครับ(นิยาย) มาต่อแล้วครับ  (Read 4894 times)
0 Members and 4 Guests are viewing this topic.
The N
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 185


« on: April 22, 2009, 12:13:25 AM »

        เรื่องราวต่อไปนี้จะเกิดขึ้นในอาณาจักรเล็กๆที่ห่างไกลจากทวีปเมอร์รีเซียร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดสงครามระหว่าง
บรรดา อัศวินผู้กล้า กับSin โดยมีรัชทายาทของแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทวีปเมอร์ริเซีย
เพื่อศึกษาหาความรู้ กลับไปช่วยเหลือทวีปเล็กๆของตน ณ ดินแดนที่แสงแห่งพระธรรมจักรส่องไปยังไม่ถึง


       เปลวเพลิงโชติช่วง ชัชวาน สีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นราวกับจะไปให้ถึงสรวงสวรรค์ เสียงร้องระงมของผู้คนที่ต้องบาดเจ็บล้มตาย  จากไฟสงครามดังแซ่ซ้องไปทั่วทั้งเมือง แคว้นอคาดิเนีย   ดินแดนที่ถูกยกย่องว่าเป็น แผ่นดินของจอมเวทย์ เพราะที่นี่กอปรไปด้วยผู้หลงใหลในพลังและอำนาจแห่งมนตราที่เดินทางมาหาความรู้    หากแต่เวลานี้ภัยพิบัติได้ย่างกรายมาถึงแล้ว   ด้วยน้ำมือของ กองทัพอันเกรียงไกร และความวุ่นวายอันมิอาจเลี่ยงจึงตามมา


       บ้านเรือนและร้านค้าที่เคยมากไปด้วยผู้คนบัดนี้เหลือเพียงเศษซาก ดินแดนที่เคยรุ่งเรืองหลงเหลือเพียงเถ้าถ่าน ซากศพมากมายของผู้คนที่ต้องสังเวยให้กับการโจมตีที่รวดเร็วและโหดเหี้ยม ล้มระเนระนาดอยู่ทั่วไปทั้งถนนใหญ่ เสียงแว่วของการคร่ำครวญอ้อนวอนชีวิตจากผู้ที่หนีไม่ทันและกำลังจะถูกฆ่าดังจากหนทางที่ไกลออกไป แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า หากคนที่ตนเองร้องขอนั้นมิได้มีหัวใจ ความตายที่มิอาจหลีกเลี่ยงจึงตามมา


            ภายในเขตพระราชฐาน ณ วิหารที่สร้างด้วยทองคำทั้งหมดอันใช้เป็นที่กระทำพิธีและสักการะเหล่าทวยเทพอันแสนสวยงาม บัดนี้กลับกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่สำหรับเหล่าพ่อมดผู้เรืองอำนาจ บรรดาผู้รอดชีวิตมีอยู่เพียงหยิบมือเดียว ถูกรายล้อมไปด้วยอมนุษย์ต้นไม้ที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ อันเกิดจากมนตราผสานกับรากไม้ ก่อกำเนิดมาโดยมีลักษณะคล้ายมนุษย์ลำตัวถักทอไปด้วยเถาวัลย์พันเกี่ยวเป็นร่างกาย แววตาเขียวราวกับมรกต ร่างกายปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำทั่งทั้งตัวนิ้วมือก็ประดับไปด้วยใบไม้ประหลาดสีเขียวสด
 

          ในจำนวนเหล่าจอมเวทย์ที่ยังหลงเหลือชีวิต  มีราชาโซโรส เจ้าแห่งอคาดิเนียและพระมเหสี อนาตาเชียรวมอยู่ด้วย ราชาผู้เฒ่า สองมือเกาะกุมคทาสีทองในมือแน่น แววตาอ่อนล้าโรยแรง เนื่องจากตรากตรำการรบมาทั้งวันทั้งคืน มนุษย์ต้นไม้ไร้ซี่งชีวิต พากันกรูเข้ามาอย่างล้นหลามโดยหาได้มีที่ท่าหวาดกลัวรึเกรงเหล่าจอมเวทย์ทั้งกลุ่มเลยแม้แต่น้อย เหล่าจอมเวทย์เองก็เตรียมรับมือเช่นกัน

 
            “ข้าแต่ราชาแห่งเปลวเพลิงในสงคราม ขอจงเมตตาต่อผู้อัญเชิญท่านด้วยความเคารพ จงรับฟังคำของข้าผู้วิงวอนท่านด้วยเถิด”

 
            ราชาเฒ่าร่ายคาถาพลางขมวดคิ้วด้วยความกังวล เปลวเพลิงลูกหนึ่งปรากฏปลายของคทา มันมีขนาดเท่ากับกำปั้นของมนุษย์ เปลวเพลิงทรงกลมที่เปล่งประกายจ้าสว่างวาบขึ้น พร้อมกับการถูกขว้างออกไป กระทบกับร่างของอมนุษย์ไม้ตนหนึ่งที่รุกเข้ามาใกล้จะถึงพระองค์
 

            เปลวไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะลุกโชนไปด้วยไฟ นอกจากนี้มันยังแตกตัวออก เปลวเพลิงดวงเล็กๆพุ่งต่อกันโจมตีมนุษย์ไม้ตนอื่นๆเป็นลูกโซ่ ไม่นานทั้งหมดก็ถูกเผาผลาญจนสลายไป แต่นั่นมิได้แปรว่าจะปลอดภัย

 
       “รีบเสด็จเถิดฝ่าบาท หากช้าจะมิทันการ ราชาแห่งความตายคงกำลังคืบคลานมา ณ ที่แห่งนี้”อุปราชเวทย์ผู้หนึ่งสบถอย่างลนลาน แววตาหวาดผวาเมื่อเอ่ยชื่อที่เขาไม่อยากนึกถึง ก่อนที่ทั้งหมดจะค่อยๆออกจากวิหารทองคำอย่างระมัดระวัง

 
           ทันทีที่พ้นประตูวิหาร ขุมกำลังกลุ่มใหม่ก็เข้ามารายล้อมอีกครั้ง คราวนี้มาในรูปลักษณ์คล้ายๆกับแฟรรี่ ด้วยร่างกายสีเขียวสดกำยำ ปีกบางใสประดับทับซ้อนกันอยู่ด้านหลัง ดูงดงามแปลกตา หากแต่ว่าร่างกายที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ จำเพาะดวงตาที่แดงก่ำดุงโลหิต ใบหน้าแสยะยิ้มอย่างมีความสุขกับการล้างสังหารชีวิตของคนอื่น  สิ่งเหล่านั้นแหละที่แตกต่างจากแฟรี่ที่แสนอ่อนโยนและร่าเริง

 
               “เราจักหาวิธีเปิดทางส่งพวกเจ้าออกไป หลังจากนั้นจงเร่งรีบไปสมทบกับ มาแชลโลดี้ ที่รออยู่นอกอาณาจักร เข้าใจรึไม่” ราชาผู้เฒ่าดำริออกมาด้วยความร้อนรน เพราะเกรงว่าหากชักช้าจะมิทันการ ก่อนที่สายหาห่วงใยและเศร้าสร้อยจะปรากฏแด่ทารกน้อยในอ้อมแขนของพระมเหสีของพระองค์

 
             “นางอันเป็นที่รักแห่งข้า บัดนี้เวลาของข้าได้มาถึงแล้ว เจ้าจงนำราชบุตรแห่งเราที่เทพเจ้าประทานมาให้หนีรอดไปให้จงได้ เพื่ออนาคตแห่งโลกพิภพ ที่เราและเหล่าจอมเวทย์ทั้งหลายได้แผ้วถางไว้ด้วยชีวิตของพวกเรา”น้ำตาใสๆไหลออกมาจากดวงเนตร ที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและอาลัย ก่อนที่จะผลักนางไปอยู่ท่ามกลางการอารักขาของจอมเวทย์คนอื่นๆที่เตรียมตัวตามคำสั่ง

 
              “ไม่เพคะ ข้าจะอยู่กับพระองค์”พระนางกระชากเสียงอย่างรุนแรง ด้วยความอาลัยรัก ก่อนที่จะถูกตรึงด้วยมนตราจากพระสวามี  สายตาทอดอาลัยปรากฏขึ้นจากดวงหน้าที่มิอาจขยับอันใดได้ มีเพียงหมดน้ำตาเท่านั้นที่รินไหลลงอาบสองแก้มและความสิ้นหวังที่สะท้อนอยู่บนสีหน้า
 

               “จงจำเอาไว้เถิด…” ราชาผู้เฒ่าเกาะกุมสองมือที่นุ่มนิ่มและขาวนวลนั้น ราวกับจะให้ความรู้สึกแห่งความอบอุ่นที่สัมผัสได้นั้นติดตามตัวเองไปทุกภพทุกชาติ “ข้ารักเจ้าเพียงผู้เดียว อนาตาเชียร จงดูแลโอรสของเราให้เติบใหญ่ขึ้นมา ภาระทั้งมวลและการเดินทางสู่ทวีปเมอร์ริเซีย กำลังรอเขาอยู่” สิ้นดำรัสสองมือก็ผละออกจากนาง ก่อนที่โบกพระหัตถ์เป็นเชิงให้เหล่าจอมเวทย์ชั้นสูงที่ติดตามพระองค์มานานถอยร่นไป
 

              แฟรี่ปีศาจฝูงใหญ่มิอาจจะต้านต่อคาถาของเหล่าพ่อมดผู้สูงส่งแห่งราชสำนัก อคาดิเนีย ได้เลยแม้แต่น้อย พวกมันผงะออกอย่างร้อนรน เมื่อโดนเปลวเพลิงจากไม้คทาของเหล่าจอมเวทย์ชราที่ร่ายคาถากำกับไว้ ดังนั้นพวกมันจึงหันมาเล่นงานราชาเฒ่าผู้อยู่เพียงลำพัง แต่นั้นนับว่าเป็นการตัดสินใจผิดมหันต์

 
              “พระเพลิงเอ๋ย ท่านสถิตในสนามรบใช่หรือไม่? ขอได้ตอบรับคำเรียกขานของเราอีกสักคราเถิด ผู้ที่กำลังหวังพึ่งท่าน ด้วยความเคารพยิ่งชีวิต” ดวงตาที่หลับสนิท เหงื่อที่ไหลออกมาเพราะความเหนื่อย และเปลวไฟที่ร้อนระอุ ได้ลุกโชนไปทั่วทั้งวรกาย บัดนี้พระองค์มิต่างอันใดกับมนุษย์เพลิงเลยแม้แต่น้อย

 
               “แฟรี่ปีศาจทั้งฝูงถูกเผามอดไหม้ลงในเวลาไม่นาน แต่นั่นมิได้หมายความว่าราชาผู้เฒ่าจะปลอดภัย เพราะความน่าสะพรึงที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น เงาร่างสีดำสายหนึ่งปรากฏเบื้องหลังของ โซโรสอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ยังรับรู้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ก่อนที่จะหันหลังกับไปเผชิญหน้ากับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายนั้น

 
                “ซี…..”

 
                ฉั๊วะ …

 
          ยังมิทันจะได้กล่าวจบ ศีรษะของราชาผู้เปี่ยมไปด้วยมนตราก็หลุดลอยออกจากร่าง ใจของโซโรสที่เคยหมายว่าจะสร้างความเสียหายให้ราชาแห่งความตายผู้นี้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตแต่บัดนี้ ชีวิตของเขาสิ้นไปแต่กลับมิได้อะไรกลับมาเลย ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ พริบตาไฟที่ลุกลามตามร่างนั้นพลันมอดดับ ร่างสีดำทะมึนในชุดคลุมสีเขียวใบไม้ มองไปทั่วบริเวณ ก่อนที่หายวับไปกับความมืด…

 
         ถัดออกมาจากดินแดนที่กำลังล่มสลาย ในป่าลึกหญิงวันกลางคนผู้หนึ่ง ที่แต่งกายด้วยชุดสีสาวปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย ในอ้อมแขนมีทารกเพศหญิงคนหนึ่ง นางโอบอุ้มเด็กน้อยหันมองไปมาอย่างระมัดระวัง

 
             เงาร่างสายหนึ่งพึ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางผงะด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าตนเองจะสามารถรับรู้อนาคตได้ก็ตามแต่พอถึงเวลาจริงๆก็อดที่จะตะหนกมิได้ นางเอียงกายหลบอย่างว่องไว แต่มันยังไม่เพียงพอ ผ้าคลุมกายของนางถูกกระชากออกไปส่วนหนึ่ง นางชี้มือและร่ายคาถาโดยเร็ว

 
            “เทพแห่งอิกดราซิล อาณัติแห่งการพิทักษ์จงบังเกิด”

 
            ประกายแสงสีขาวกางกั้นรอบตัวของนางไว้ พร้อมกับขยายออกครอบเป็นบาเรียเวทย์สีขาวนวล ร่างที่โจมตีนางหยุดกะทันหัน ชายเสื้อคลุมสีเขียวสะท้อนแสงแวววับ ใช่แล้ว เขาคือผู้ปลิดชีวิตชราของกษัตริย์ นักเวทย์ โชโรส
 

            “มันจะขวางข้าได้หรือ หญิงรับใช้แห่งยักดราซิล” น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ยพร้อมกับมือขวาที่วางทาบกับบาเรียนั้น ประกายสีขาววนรอบมือของผู้มาร้าย พร้อมกับการรัดเกี้ยวไปทั้งฝ่ามือ หญิงชุดขาวหาได้มีความยินดีไม่ เพราะนางทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา จากรอยยิ้มที่ทำให้นางต้องขมวดคิ้วในทันที

 
             เปรี้ยะ….

 
        เสียงของมือที่ทะลุผ่านบาเรียเข้ามาได้ ถึงแม้ว่าจะถูกพลังนั้นคุกคามแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลอะไรเลยแม้แต่น้อย เล็บสีดำที่ค่อยๆยาวยืดออกก่อนที่จะพุ่งตัวอย่างรวดเร็วเข้าโจมตีเป้าหมายที่อยู่ภายใน นางก้มตัวหลบโดยพลัน แต่เล็บเหล่านั้นกลับงอตัวลงมาโจมตีได้อีก  นางจำต้องกลิ้งไปกับพื้นโดยใช้ร่างตัวเองกำบังทารกน้อย แต่น่าเสียดายที่ทารกน้อยได้รับแผลจากการโจมตีนั้นที่หัวไหล่
 

           ผู้มาร้ายสะบัดมือเบาๆก็ทำให้บาเรียสลายไปได้ ก่อนที่จะตวัดมือเบาๆดึงร่างของหญิงชุดขาวด้วยพลังให้เข้ามาหาตน  นางพยายามขัดขืนแต่มีรึที่มนุษย์จะต่อต้านเทพได้ นางพยายามเบือนหน้าไม่สบตากับร่างเบื้องหน้า
 

          “รังเกียจข้ารึ? นางผู้รับใช้” ไม่มีเสียงตอบกลับ จนราชาแห่งความตายต้องหรี่ตามองอย่างสงสัยก่อนที่จะกระชากคอของนางด้วยอุ้งมืออย่างจริงจัง กรงเล็บแหลมคมจ่ออยู่ที่คอของนางเพียงเขาขยับเล็กน้อย นางก็คงลาโลกไปแล้ว

 
          “ท่านพลาดแล้วราชาผู้ชั่วร้าย” นางเผลรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก จากแววตาหวาดผวากลับกลายมาเป็นกระยิ่มยิ้มย่องใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ราชาแห่งความตายสะดุ้งรับผละออกจากนางทันที หากแต่ช้าเกินไป ของสิ่งหนึ่งพุ่งเข้าหาลำคอเขาอย่างรวดเร็ว มันตวัดรัดคอของเขาแน่น โดยมีลักษณะเป็นสร้อยประดับจี้รูปร่างแปลกประหลาดเส้นหนึ่ง

 
        “นี่มัน”ผู้หวังร้ายเปลี่ยนท่าทีในบัดดล เสียงสั่นเครือด้วยความวิตก แววตาซ่อนความกลัวเกรงเอาไว้ไม่น้อย ก่อนที่จะแข็งใจเงื้อกรงเล็บเข้าหานางอย่างรวดเร็ว

 
            “ไปตายซะ”ร่างแกร่งกระชากเสียงรุนแรง พร้อมกับเล็บแหลมยาวที่ตวัดลงอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ล่วงหน้า นางเบนหลบไปทันท่วงที โดยระวังทารกในอ้อมแขนไปด้วย

 
              “ขอพลังแห่งเหล่าทวยเทพ ขอพระพรแห่งอิกดราซิล เครื่องหมายแห่งจันทราผู้พิทักษ์อุบัติแล้ว ขอจงปัดเป่าความชั่วร้ายนี้ด้วยเถิด” เสียงอันกอปรไปด้วยความเคารพและวิงวอนเบาบางหลุดออกจากริมฝีบางงามๆของนาง

 
              ตามมาด้วยเสียงโหยหวนของร่างเบื้องหน้า ชุดสีเขียวใบไม้เริ่มลุกไหม้อย่างรุนแรง แววตาสิ้นหวังปรากฏออกจากร่างสีดำนั้น อย่างเด่นชัด

 
             “ข้าขอสาปแช่งเจ้า ขอสาปแช่ง ขอสาปแช่ง….”

 
             เสียงดังกังวานไปทั่วสารทิศพร้อมกับการมอดไหม้ไปจนหมดสิ้นของราชาแห่งความตาย รอยเล็บที่เด็กทารกได้รับ ปรากฏไอสีดำอย่างประหลาดและทอประกายสีเขียว นั่นคือสัญลักษณ์แห่งคำสาป หญิงชุดขาวได้แต่ถอนใจเบาๆ ก้มหน้ามองเด็กน้อยในอ้อมแขนของหล่อนอย่างสงสาร

 
        “ชะตากรรมได้ลิขิตหนทางที่เต็มไปด้วยน้ำตาให้แก่เจ้าเสียแล้ว” นางเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะหันไปทางดินแดนที่เคยรุ่งเรื่อง บัดนี้มีเพียงเถ้าถ่านไม่เหลือเค้าของความยิ่งใหญ่อีกแล้ว ก่อนที่นางจะหันหลังเดินจากไป….
« Last Edit: May 01, 2009, 07:02:12 AM by The N » Logged


The N
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 185


« Reply #1 on: April 22, 2009, 12:18:36 AM »


                 ไกลออกไปบนผืนแผ่นดินอันแสนกว้างใหญ่แห่งทวีป เซเมอร์เรียส  ดินแดนแห่งตำนานที่ยังไม่มีศาสนจักรบนผืนพิภพ ณ ที่ซึ่งจะถูกกล่าวขานต่อไปในภายภาคหน้าและบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ ในฐานะผืนแผ่นดินที่เป็นจุดเริ่มต้นของมหาสงครามระหว่างศาสนจักร กับ Sin
 

              ความแตกต่างของภูมิประเทศอันเกิดจากการรังสรรค์ของราชาแห่งผืนพสุธา ด้วยความเร่งรีบและเจ็บปวด อันส่งผลให้ดินแดนแห่งนี้ขาดความสมดุล อันเป็นสาเหตุแห่งความแตกต่าง แต่นั้นก็เป็นเครื่องบ่งบอกถึงวิถีทางแห่งการดำรงชีวิตของผู้คน โดยถูกกางกั้นด้วยความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละดินแดน


             หากแม้ความรักและความเมตตาประดุจแสงสว่างที่ส่องนำพาสรรพชีวิตสู่ความสงบสุข กิเลสตันหา ราคะ รัก โลภ โกรธ หลง ย่อมประดุจเงาของแสงสว่าง นั่นคือความมืดที่คอยชักจูงผู้คนสู่หนทางแห่งความเสื่อมและล่มสลาย

 
        สงครามจึงไม่เคยหมดไปจากโลก เพราะความอยากและความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเองสงครามครั้งนี้ได้ถูกจารึกลงไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ชนรุ่นหลัง ถึงบั้นปลายแห่งความไม่รู้จักพอ และสงครามที่สร้างเพียงแค่ความเสียหายโดยหาประโยชน์อันใดมิได้เลยแม้แต่น้อย

ราชอาณาจักร เดเวส
 
         ณ ดินแดนทิศตะวันออกของทวีปเล็กๆนาม เซเมอร์เรียส ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีป เมอร์ริเซีย ดินแดนที่เต็มไปด้วยป่าไม้และความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใดก็เห็นแต่ผืนป่าทอดยาวสุดลูกหูลูกตาทั้งยังอบอวลไปด้วยหมอกที่เกิดจากไอระเหยของน้ำให้ความชุ่มฉ่ำตลอดวันอีกด้วย ท่ามกลางทะเลหมอก หากสายลมพัดผ่านให้หมอกกระจายตัวออกเมื่อใด  จะเผยให้เห็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง นั่นแหละ เดเวส

 
            กำแพงไม้ถมดินอย่างเรียบๆ รายรอบตัวเมืองบ่งบอกว่าเมืองนี้ไม่มีการศึกนัก จึงไม่ได้จัดการป้องกันให้ดีเท่าที่ควร สภาพของกำแพงก็เก่าแก่เต็มที อาจเป็นเพราะที่นี่ตั้งอยู่ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยอันตราย แถมยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆ จึงไม่มีดินแดนใดๆต้องการจะครอบครองก็เป็นได้

 
          ถัดจากกำแพงเมืองดินดำไปก็เป็นตลาดในเมือง ที่มีผู้คนเดินจับจ่างใช้สอยหนาแน่นพอสมควร เสียงร้องตะโกนแข่งราคาสินค้าดังไปทั่วตลาด บ้างก็กำลังต่อรองสินค้ากัน ของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่หาได้ภายในอาณาจักร จำพวก เห็ด โสม ผลไม้ อาหารมังสวิรัติ และสัตว์ป่านานาชนิด โดยใช้เงินตรา เฟอดินันทรา ที่ใช้สกุลเดียวกันทั่วทั้งดินแดน พันธมิตรแห่งโลก

 
         ผู้คนที่นี่แต่งกายด้วยผ้าน้อยชิ้น  ผู้หญิงใช้ผ้าพันช่วงอก และปิดกายช่วงล่าง ส่วนชาย มีเพียงผ้านุ่งห่มช่วงล่างไม่ยาวมากนัก หญิงสูงวัยส่วนมากใช้ผ้าคลุมไหล่เพื่อปกป้องความเย็นชื้น  ห้างร้านส่วนใหญ่  ทำมาจากต้นไม้มากอายุทำเป็นเสาและนำผ้าที่ถักทอสีครึ้มมาทำเป็นหลังคา บังเศษใบไม้เบื้องบนที่ร่วงหล่น และสามารถบังแสงแดดที่เล็ดลอดจากกลีบเมฆเบื้องบน อาจเป็นเพราะอยู่กลางป่ากลางเขาหมอกเยอะ เลยมิอาจใส่เสื้อผ้าเทอะทะให้อับชื้นก็เป็นได้  แต่ละคนมีร่างกายที่สมส่วนแต่ไม่ถึงกับกำยำ นัยน์ตาสีเขียวราวกับผืนป่ารอบข้าง ผิวกายสีขาวซีด คงเพราะมิค่อยได้สัมผัสกับแสงแดดเท่าไหร่นัก

 
           เลยจากตลาดไปก็ถึงเขตชนชั้นสูงที่กางกั้นด้วยกำแพงสีเขียวมรกต และบ้านเรือนที่ดูหรูหรากว่าเขตตลาดมากนัก ลึกเข้าไปยังชั้นในสุด นั้นคือเขตพระราชฐานอันวิจิตงดงามเป็นที่อยู่ของชนชั้นกษัตริย์ ปราสาทสีเงินสะท้อนแสงแวววับเด่นสง่าอยู่กลางพระราชฐานนั้นคือ ที่ว่าราชการแผ่นดิน
 

          ท้องพระโรงแห่งเดเวส ในวันนี้คับคั่งไปด้วยมุขมนตรีทุกฝ่าย เพราะทราบกันดีว่า ราชาโซโลมา ให้ราชทูตอัญเชิญราชสาสน์กับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายในทำนองเจริญทางพระราชไมตรี

 
           “จะทำอย่างไรกันดี?” บุรุษผู้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ เดเวสแต่งกายด้วยผ้าสีเขียวมรกตสวยงามประกับด้วยอัญมณีสีแดงระเรื่อมากมาย รูปกายกำยำ แววตารักสงบ เอ่ยอย่างแผ่วเบาเป็นทีถามความเห็น
 

            “การส่งราชสาสน์ มาทูลขอ ไม้ประดับแห่งอิกดราซิลที่พวกเราดูแลมานับสิบๆปี ชะรอยจะเป็นการหาเหตุในการรุกรานเราเป็นแน่แท้ หากเราโอนอ่อนต่อไปในภายภาคหน้า เขาก็จะกดขี่ข่มเหงพวกเราได้โดยง่าย” ข้อคิดเห็นหนึ่งดังมาจากอุปราชซ้าย เลดิวัส ที่กำลังขมวดคิ้ว เอามือลูบเคราสีขาวโพลนของตัวเองอย่างวิตก

 
       “บัดนี้โซโลมา มีกำลังกล้าแข็งเพราะล้มล้างและยึดครองดินแดนแว่นแคว้นต่างๆทั้งหมดที่อยู่เดิม ทั้ง เรโนเซีย   อีเวตรา  ไซรีส   และฮาโรร่า  มีกำลังกล้าแกร่งมากกว่าเราเหลือคณานับ หากเราปฏิเสธไปเสีย ก็จะกริ้วโกรธ แต่แท้ที่จริงจะสมใจที่โหยหาอำนาจเป็นแน่แท้” อุปราช ขวา มาฮาลทูลตอบใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวนลึกๆ
 

           “แล้วควรจะทำเช่นไร?” เสียงอันทรงอำนาจกังวานขึ้นอีกวาระ

 
          เลดิวัสลูบเคราอีกคราก่อนที่จะผสานมือตอบออกไปด้วยความเคารพ “ข้าแด่องค์ เลโมโนสผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเห็นว่าเราควรจะผัดผ่อนเวลาไปก่อน แม้ว่าจะเสียไม้ประดับไป แต่เรายังคงอยู่รอดได้อีกนาน หากจะทำการสงครามก็แลไม่เห็นทางที่จะชนะเลยแม้แต่น้อย ใยเรามิยอมโอนอ่อนไปก่อนละ?”

 
          “ไม่ได้” มาฮาล กระชากเสียงรุนแรงเรียกความสนใจจากเหล่ามุขมนตรี และราชา เลโมโนสได้อย่างดี แววตาฉายความขุ่นเคืองก่อนที่จะทำความเคารพและกล่าวออกไป

 
          “อันที่กล่าวมานั้น ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพระราชสาสน์นั้น เสแสร้งว่าทำทีมาเจริญไมตรี หากแต่ถ้อยคำแฝงอุบายหาเรื่องทำสงคราม  การใช้ไม้ประดับแห่งอิกดราซิล ส่งมอบไปให้โซโลมา แล้วนั่นใช่ว่าจะแล้วกันไป ทางโน้นจะต้องคิดว่าเรากลัวเกรง แล้วไหนเลยจะนิ่งเฉยได้เล่า ไม่นานก็หาเหตุครั้งใหม่ มาอยู่ดี ไหนๆก็จะรบอยู่แล้วทำไมไม่รบไปเลย จะมัวรออะไร?”

 
          ทั้งท้องพระโรงเงียบกริบไปหมดสิ้น กษัตริย์ผู้รักสงบได้แต่ถอนใจ รบวันนี้รึวันหน้าก็ไม่แตกต่างกัน จะหวั่นไปทำไม

 
           “ตอบสาสน์กลับไป”พริบตานั้นราวกับว่าเมฆหมอกแห่งไฟสงครามได้เคลื่อนเข้ามาปกคลุมดินแดนอันสงบสุขแห่งนี้แล้ว


           ในคืนแห่งดวงดาวระยิบระยับเป็นประกาย ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ดวงจันทร์มิอาจจะส่งแสงเทียบดวงดาวได้ ในป่าลึกเขียวขจีที่เงียบสงัด ลึกเข้าไปห่างไกลจากผู้คน มีต้นไม้อายุยืนนับพันปี ตั้งอยู่ใกล้ริมธารต้นน้ำ ที่ไม่มีผู้ใดจะเดินเข้ามาถึง  บนต้นไม้ใหญ่นั้น มีการขูดลำต้นไม้ เพื่อให้กลายเป็นบันไดสำหรับใครบางคนได้เดินขึ้นไปอย่างง่ายดาย ด้วยลำต้นไม้ที่ใหญ่นั้นทำได้ไม่ยากนัก ช่วงกลางลำต้นที่อยู่สูงประมาณสองเมตรขึ้นไป เริ่มมีการปักหลักทำเสายึดบ้านไม้ ที่ตัดและคัดมาจากป่าใหญ่ถูกสร้างเป็นบ้านใหม่หลังเดียวชั้นเดียว หากภายในที่จัดแจงแบ่งกั้นเป็นห้องๆ

                     แสงจันทร์นวลส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างให้ภาพสวยปรากฏเด่นชัด ดรุณีนางหนึ่งกำลังหลับนิทราอย่างเป็นสุขบนเตียงไม้ที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้สวยงามราวกับสวนดอกไม้บนสรวงสวรรค์ รูปหน้างดงามแม้ยามนิทรา ริมฝีปากบางยิ้มอย่างมีความสุข นางงดราวราวกับนางสวรรค์เลยทีเดียว
 

           “ระวังหน่อยซิคะ เดี๋ยวไวท์ก็ตื่นกันพอดีหรอกซินเวีย”

 
                    “จุ๊ จุ๊ เบาๆสิเธอ รีบไปกันเถอะ เลบาน่า”

 
             เสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมาทำลายความสงบและฉุดหญิงสาวขึ้นมาจากการนอนอันแสนสุข เธอยกมือขึ้นมาลูบหน้าเบาๆเพื่อเรียกความตื่นตัว ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อยๆ เผยให้เห็นดวงตาสีครามที่งดงามทอประกายเอพยุงร่างขึ้นเบาๆก่อนที่จะเดินไปยังหน้าต่างอย่างงัวเงียเพราะพึ่งตื่น
 

                   เงาร่างของเจ้าของเสียงเมื่อครู่กำลังออกจากประตูไปอย่างแผ่วเบา เธอแอบเกาะชายผ้าม่านผืนบางจ้องมองร่างทั้งสองผ่านหน้าต่างอย่างสงสัย ก่อนที่ร่างนั้นจะลับสายตาไปอย่างช้าๆ

               
                   “ท่านพี่ ซินเวีย กับท่านพี่ลาบาน่าจะไปที่ไหนกัน?” เธอ อุทานออกมาพร้อมกับแววตาสงสัยที่ไร้เดียงสาราวกับเด็กๆ พลางขยับกายพาร่างบางไปที่ประตูและเดินลงบันไดไปสู่เบื้องล่าง ก่อนที่จะออกประตูตามพวกพี่ๆไป
 

                นี่เป็นครั้งแรกที่เธอก้าวออกจากบ้านต้นไม้มายังโลกภายนอกในยามราตรี ที่แสนสงัด แสงดาวระยิบระยับที่เธอได้มองผ่านหน้าต่างเล็กๆเท่านั้น บัดนี้เธอได้ออกมาสัมผัสกับมันจริงๆ แต่มันก็มิอาจทำให้เธอลืมจุดมุ่งหมายเดิมได้ เงาตะคุ้มไกลๆทำให้เธอรีบตามไปอย่างร้อนรนด้วยเกรงว่าจะไม่ทันพี่ๆ
 

              สาวสองนาง ร่างหนึ่งท่าทางอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้าหมดจดงดงามดวงเนตรอ่อนหวานทั้งคู่ ผมยาวสยายดำขลับถึงกลางหลัง ส่วนอีกคนหนึ่งผมสั้น ท่าร่างทะมัดทะแมง ดูเด่นกันไปคนละแบบ ยามนี้ทั้งคู่กำลังตัดผ่านพงหญ้ามาจนถึงกำแพงสูงใหญ่ของเดเวสอย่างรวดเร็ว

 
             “จัดการเร็วๆซิ ลาบาน่า เดี๋ยวทหารลาดตะเวนก็มาพบเข้าพอดีหรอก”ซินเวียเร่งเพื่อนสาวที่กำลังอืดอาดเพราะถือคนโทน้ำด้วยความร้อนรน ลาบาน่ามองอย่างสงสัยเล็กน้อยพลางหรี่ตามองไปรอบๆ
 

            “ยังไม่มีวี่แววทหารเลย จะรีบไปทำไมกัน? ช้าๆนะดีแล้วจะได้ไม่ผิดพลาดนะคะ คุณซินเวีย”
 

            “วันนี้ ท่านยายมาแชโลดี้ไม่อยู่ ถ้าเราไม่รีบเกิดว่าไวท์ตื่นขึ้นมาไม่เจอมันจะยุ่งไปกันใหญ่นะซิ” ซินเวีย กล่าวแต่นางคงไม่คิดหรอกว่า สิ่งที่ห่วงนั้นมันเกิดขึ้นแล้ว และคนที่กล่าวถึงบัดนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

 
            “จริงด้วยสิ ฉันลืมไปเลย” ลาบาน่าวางคนโทน้ำลงอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ยกสองมือขึ้นผสานกับเพื่อนสาวในท่าเต็นรำ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กันและเริ่มออกท่วงท่าร่ายรำอย่างงดงาม เสียงลมพัดพาในยามค่ำคืนมันดังแว่วหวานเป็นบทเพลงไพเราะจับใจที่ก้องไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว

 
“ท่วงท่า…ร่ายรำ…นำฝัน
คืนวัน…ละเมอ…เพ้อหา
เยื้องกราย…สะบัด…ลีลา
ดุจว่า…ดารา…รื่นเริง
เสียงหวาน…เย็บวาบ…สดชื่น
ชวนดื่ม…ด่ำใน…รสหวาน
ฝันรัก…ปักจิต…คิดการ
วันวาน…หวานสุด…สุขใจ
เสียงเพลงกล่อมฟ้านภากาศ
ดาราดาษเกลื่อนฟ้าแสงสวรรค์
วายุโชยโรยกลิ่นมาลาพลัน
หอมชวนฝันหลงจิตหลับนิทรา”

 
                สายลมผสานเสียงร้องของทั้งคู่พัดพาไปทั่วทั้งเมือง มนตราแห่งจอมคาถามาแชโลดี้สำแดงผล ให้ผู้คนเดเวสหลับใหลจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา ราวกับได้ยินเสียงเหล่าเทพยดา ขับกล่อมที่ปลายเตียง ทั้งสองหยุดร่ายรำและร้องเพลงทันทีเมื่อสายลมที่ผัดผ่านไปในเมืองหวนกลับมา เพราะนั่นหมายความว่า มนต์นิทราสุขสันต์สำแดงเดชแล้ว
 

              “ไปกันเถอะ”ทั้งสองหันมาสบตากันก่อนที่จะทะยานตัวด้วยสายลมพลิ้วไหวขึ้นไปบนกำแพงสูงชันของเดเวสและหายไปท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืน  พลอยให้ร่างที่หลบซ่อนอยู่ปรากฏตัวออกมาจากพุ่มไม้เล็กๆไม่ห่างจากที่นั่นนัก ไวท์ในชุดขาวละมุมราวกับนางสวรรค์ผู้งดงามจ้องมองกำแพงสูงเบื้องหน้าไม่วางตา
 

              “ทำไมพวกพี่ๆต้องเข้าไปด้านในนั้นด้วยละ แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไงนะ”
 
                 
              หญิงสาวมองไปรอบๆ ก็พบแต่เพียงความมืดมิด ไม่สามารถที่จะผ่านไปเช่นพี่ๆของนางได้ เนื่องเพราะปกตินายอยู่ภายใต้การดูแลและเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทั้งนางยังไม่ค่อยจะสนใจในการเรียนวิชาเวทย์มนต์ต่างๆ นั่นเพราะนางคิดว่าถึงอย่างไรนางก็มิได้นำมันไปใช้อยู่ดีโดยที่นางจะรู้ไหมว่าเพราะความคิดเช่นนี้จะทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปแบบที่มิอาจคาดคะเนได้เลยทีเดียว

 
         ตึก ตึก ตึก

 
             เสียงฝีเท้าเรียวบางของเจ้าหล่อนวิ่งดังแว่วพอสมควร เพื่อพาร่างงามเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไปตามด้านข้างของกำแพงสูงแห่งเดเวส สายตาของนางจดจ่ออยู่ที่ทิศทางเบื้องหน้าไม่วางตา ประกายดวงเนตรคมเรืองรองไปด้วยแสงสีน้ำเงินอันบริสุทธิ์ ภาพที่ปรากฏแก่สายตามันแจ่มชัดพอๆกับเวลากลางวันเลยทีเดียว

 
             ไม่นาน ไวท์ ก็มายืนอยู่เบื้องหน้าประตูบานใหญ่ที่สลักไปด้วยลวดลายสวยงามของเทวรูป แปลกประหลาดสองมือชูพันธุ์พืชเอาไว้ใบหน้าหนึ่งดุร้ายหนึ่งอ่อนโยน นางนองด้วยหางตา เพราะความรู้สึกในใจของนางหวาดผวาต่อบุคคลในภาพยิ่งนัก นางรีบผลักประตูบานใหญ่ที่ดูจะเกินแรงอันน้อยนิดของสตรี
 

             แอ็ด…….
 

             เสียงประตูบานใหญ่เปิดออกอย่างช้าๆด้วยแรงผลักของร่างบาง เหงื่อหยดเล็กๆบังเกิดตามใบหน้าขาวนวลนั้น รอยยิ้มอย่างพอใจปรากฏออกมา เมื่อนางพบว่าบานประตูถูกเปิดออกแล้ว แต่ที่นางสงสัยคือทำไมไม่มีคนออกมาจากด้านในเลยแม้แต่คนเดียว นางคิดพร้อมกับเดินเข้าไปด้านใน
 

           วงล้อแห่งชะตากรรมได้เริ่มหมุนแล้ว
Logged


The N
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 185


« Reply #2 on: April 22, 2009, 01:02:22 AM »


รอสักครู่นะครับ
« Last Edit: April 22, 2009, 01:29:18 AM by The N » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #3 on: April 30, 2009, 07:24:34 PM »

หายไปไหนแล้วครับเนี่ย

เพิ่งเริ่มเองน้ามาต่อให้ได้ซัก5 -6 บทก่อนแล้วค่อยพักยาวดีกว่าไหมครับ 

จะรอเน้อ
Logged


The N
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 185


« Reply #4 on: May 01, 2009, 06:59:13 AM »

           
          อีกมุมหนึ่งของฟากฟ้ายามราตรีแห่งชูราโคร่า รัตติกาลที่ดำมืดและเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะอิดสะเอียนแปลกประหลาดบางอย่าง มันเป็นกลิ่นอายของหยาดเลือดและเสียงร้องไห้คร่ำครวญของความตาม ราวกับว่าวงล้อแห่งหายนะได้เวียนมาบรรจบ ณ ดินแดนแห่งนี้แล้ว

             
               ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
   

              เสียงฝีเท้าที่ทะยานอย่างรวดเร็ว เพียงปลายเท้าสัมผัสพื้นผิวเบื้องล่าง ก็พลิ้วตัวอย่างคล่องแคล่ว ฝีมือระดับนี้ มิใช่คนชนชั้นสามัญ เครื่องแต่งกายที่เป็นสีดำนั้นกลับ กลมกลืนกับความมืดมิด หากเห็นเพียงเงาการเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพราะแสงจันทร์วันเพ็ญกระจ่างใสพ้นออกมาจากฟากฟ้า แม้เมฆดำทมิฬนั้นจะบดบังเสียส่วนใหญ่

           
          “กระจายกำลังให้ทั่ว ตามหามันให้พบ หาไม่แล้วพวกเจ้าหัวขาดแน่”เสียงตวาดก้องอันดุดันที่แว่วมาทำให้ ผู้ที่ถูกตามล่าหยุดชะงักเมื่อสองเท้าหยั่งลงบนปลายยอดหอคอยทรงระฆังคว่ำแห่งหนึ่งที่มีลักษณะสูงชะลูดเล็กน้อย ก่อนที่จะหันกายกลับมามองภาพเบื้องหลัง
 

              “ค้นให้ทั่วห้ามมีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น ลากตัวเจ้าโจรปลายแถวนั่นออกมาให้ได้” เสียงที่กระชากรุนแรงดังมาจากทิวคบเพลิงที่สว่างไสวเรียงรายกันไปทั่วถนนเบื้องล่าง ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวาย ของเหล่าชาวเมืองที่ถูกปลุกขึ้นกลางดึก ดังไปทั่วทั้งถนน

 
              “ดูท่าคงจะร้อนรนมากซินะ?”ชายหนุ่มปริศนาเอ่ยปากเป็นครั้งแรกอย่างเย็นชาพลางจ้องมองอัญมณีสีรุ้งที่อยู่ในมือของตนบัดนี้มันเรืองแสงทอประกายสวยงามราวกับค้นพบเจ้าของที่แท้จริงของตัวมันเอง ผ้าคลุมสีดำโบกสะบัดไปตามแรงลมด้านบนอย่างรุนแรงพอสมควร ผมสยายสีทองแหวกออกตามแรงของวายุเผยให้เห็นหน้ากากสีเขียวมรกตดูราวกับตัวตลกก็มิปาน
 

             “มันอยู่บนนั้น”เสียงทหารนายหนึ่งเบื้องล่างที่เหลียวมองด้านบนพบเข้าพอดิบพอดี แน่ละเพราะหน้ากากของเขานั้นเปล่งประกายประหลาดสีเขียวเรืองรองที่สามารถแลเห็นได้แต่ไกลนี่นา ทหารทุกคนหันคบไฟมายังเป้าหมายก่อนที่จะบ่นพึมพำอะไรบางอย่างคล้ายกับจอมเวทย์
 

             ลูกไฟขนาดเล็กใหญ่มากมายปรากฏออกจากคบไฟก่อนที่พุ่งเข้ามาหาชายุดดำคนนั้น ด้วยความเร็วและขนาดที่แตกต่างกันตามแต่พลังเวทย์ของแต่ละคน แน่ละที่ทหารจะมีเวทย์มนตร์เพราะที่นี่คือราชอาณาจักรโซโลมาอันเกรียงไกร ที่ครอบครองดินแดนหนึ่งในสี่ของทวีปชูราโคร่าเอาไว้ได้

 
            ชายลึกลับสะบัดผ้าคลุมอย่างฉับไวต้านรับลูกไฟที่พุ่งมาโจมตีไว้ได้หมดทุกนัดทันทีที่มันกระทบผ้าคลุมราวกับว่าดวงไฟเวทย์เหล่านั้นจมหายไปในมหาสมุทรไม่ส่งผลใดๆ ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือผ้าที่รับลูกไฟเอาไว้นับร้อยกลับไม่ปรากฏรอยไหม้แม้แต่น้อย
 

           “ยอดมาก นับว่าเจ้าไม่ใช่โจรชั้นปลายแถวแน่นอน แต่อย่าทำให้ข้าหมดสนุกเร็วนักละ”เสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้นพร้อมกับคมดาบสีแดงเพลิงแปลกตาที่ถลามาจากเบื้องล่างอย่างว่องไว ชายชุดดำพลิ้วกายกระโดดยันตัวจากปลายหอคอยขึ้นเบื้องบนทำให้พ้นวิสัยการโจมตีไปได้ ก่อนที่จะชูนิ้วชี้ของแขนซ้ายวาดเป็นวงกลม

 
           เปรี้ยง…………

 
           ประกายสายฟ้าจากเมฆครึ้มที่บดบังแสงจันทร์เอาไว้หมดสิ้น ฟาดลงที่ปลายหอคอยอย่างแรงบัดนี้ ชายผู้มาใหม่ควงดาบสีน้ำเงินเข้มในมืออีกข้างชูขึ้นก่อนที่ฟันเต็มแรง ผลที่ตามมาคือการพังทลายของยอดหอคอยและร่างที่ลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่างของชายหนุ่ม แสงจากคบไฟทำให้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน

 
            ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แววตาเข้มแข็งผมยาวสยายสีขาวประบ่าชุดคลุมสีแดงเข้มประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน จากเครื่องแต่งกายน่าจะเป็นชั้นสูง แววตาโกรธกริ้วจับจ้องไปยังประกายแสงสีเขียวรางๆบนฟากฟ้าก่อนที่จะกัดฟันกรอดเมื่อเท้าของเขาเหยียบพื้นดินอย่างสง่างาม

 
            “ท่าน คาคุรัสเป็นอย่างไรบ้างครับ”แว่วเสียงจากชายร่างอ้วนเทอะทะ ศีรษะล้านไร้เส้นผมแต่งกายด้วยผ้าสีขาวคลุมทั่วทั้งตัวดูคล้ายนักบวช วิ่งกระหืดกระหอบแหวกกลุ่มทหารเข้ามาอย่างทุลักทุเล ก่อนที่จะหยุดหอบหายใจเบื้องหน้าของหนุ่มผมขาว ที่ถูกเรียกขานนามว่า คาคุรัส  แต่เขากลับมิได้สนใจพร้อมกับกระโจนออกจากกลุ่มคนพุ่งไปด้วยความเร็วสูง
 

             “เจ้าสารเลว อย่าอยู่เลย ตายไปซะ”คาคุรัสคำรามพร้อมไฟโทสะก่อนที่จะเหวี่ยงดาบคู่ในมือไปมาทับซ้อนกับจนเกิดภาพลักษณ์มากมาย ราวกับมีดาบคู่ของเขาเพิ่มขึ้นนับสิบเล่ม สองเท้าของเขาปรากฏแสงเรืองรองสีขาว นั่นคือเหตุที่ทำให้เขาสามารถกระโจนได้สูงและทรงตัวอยู่ในอากาศได้

 
          “บังคับภูตแห่งสายลมได้ มิน่าถึงกล้ากำแหง แต่ก็นับว่าเยี่ยมยอดที่นับดาบมีฝีมือจะใช้เวทย์ได้เก่งขนาดนี้ ดูท่าเจ้าคงจะเป็นองค์รักษ์คนใดคนหนึ่งของราชาโซโลมาสินะหนุ่มน้อย”ชายชุดดำกล่าวด้วยความราบเรียบพร้อมกับปล่อยตัวให้ตกลงจากอากาศโดยไม่ใช้พลังเวทย์ทรงตัวร่างที่ดิ่งลงฉับพลัน ทำให้เงาดาบมากมายขาดเป้าหมายและสลายอานุภาพไปหมดสิ้น

 
                “เจ็บใจนัก”คาคุรัสกระชากเสียงเมืองเห็นคนร้ายรอดมือตนไปได้อีกครั้ง ชายลึกลับตวัดมือร่างที่กำลังตกลงเบื้องล่างก็หยุดชะงักพร้อมกับลอยขึ้นเหมือนเดิม ที่สองเท้าของเขาเองก็ปรากฏแสงสีขาวไม่แตกต่างจากคาคุรัสเลยแม้แต่น้อย

 
               “ไม่จริง โจรร้ายอย่างเจ้าไม่มีทางที่ได้ร่ำเรียนวิชาเวทย์มนต์จากราชสำนักได้ เจ้าเป็นใครกันแน่?” เขาเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เพราะแสงสีขาวที่สองเท้าของเขาและบุรุษปริศนานั่นมาจาก เวทย์วายุปีกแห่งการล่องลอย ที่ร่ำเรียนได้แต่องครักษ์ชั้นสูงของกษัตริย์โซโลมาเท่านั้นไม่มีทางที่คนภายนอกจะล่วงรู้ได้

 
              พริบตานั้นประกายแสงสีเขียวสว่างวาบเข้าดวงตาของเขาอย่างจัง แม้ไม่เป็นอันตรายใดๆ แต่นั่นก็พอเพียงสำหรับทำลายประสาทการมองเห็นของคาคุรัสได้ชั่วขณะ เขาไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากมิติสีขาวโพลนเท่านั้นเอง

 
              “แสงอะไรกันทำไมถึงได้แสบตายิ่งนัก?”


          ไม่ทันขาดคำปฏิกิริยาของคาคุรัสราวกับคนที่กำลังไร้หนทางเดินต่อไปข้างหน้า และสิ่งที่ตามมาก็มีเพียงความเจ็บปวดและแผลมากมาย เนื่องจากอาวุธขนาดเล็กบางอย่างที่รวดเร็วและคมกริบที่สามารถตัดชุดเกราะสีแดงเข้มของเขาให้ขาดได้ ซ้ำร้ายยังกรีดผิวหนังของเขาให้เลือดสาดกระจายออกมาได้พอสมควร

 
            อั่ก….

 
            ร่างของเขาลอยละลิ่วราวกับว่าวเชือกขาดลอยตามแรงกระแทกไปอย่างเร็ว ก่อนที่ภาพหน้ากากสีเขียวเข้มจะปรากฏเบื้องหน้าของเขาทันทีที่สายตาของเขาเริ่มกลับมามองเห็นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับปฏิกิริยาที่ว่องไว คมดาบสีแดงตวัดอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่าก็คือสองนิ้วที่มีปลอกนิ้วมือสีทองลักษณะคล้ายแหวนเรียวยาวกลับสกัดคมดาบของเขาได้ด้วยนิ้วเพียงสองนิ้วเท่านั้น

 
         “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”น้ำเสียงสั่นเครือแห่งความอัปยศและสิ้นหวังปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต เจ้าของหน้ากากงามๆนั้นบรรจงจุมพิตเบาๆลงที่ซอกคอของคาคุรัส ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆให้เขาได้ยิน
Logged


The N
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 185


« Reply #5 on: May 01, 2009, 07:00:31 AM »

                “นี่หรือองครักษ์อันดับหนึ่งแห่งโซโลมา มันก็เท่านั้นเอง ไม่ต่างอะไรกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”ถ้อยคำเย้ยหยันทำเอาหัวใจกล้าแกร่งของคาคุรัส รู้สึกราวกับถูกมีดคมๆบาดลึกเข้าไปภายใน ความภูมิใจของเขาถูกทำลายหมดสิ้น ใบหน้าฉายแววตระหนกไม่เหลือความดุดันอีกแล้ว
 


                “ทหารไร้กำลังใจรบ ไม่แตกต่างอะไรกับชาวนาผู้แก่เฒ่าหมดเรี่ยวแรง ไม่มีประโยชน์อันใดที่ข้า ราชาแห่งความตาย จะเสียเวลาด้วยอีกแล้ว” ชายชุดดำสบถออกมาพร้อมกับปล่อยร่างของคาคุรัสให้ร่วงหล่นลงไปเบื้องล่างอย่างช้าๆ ก่อนที่จะพลิ้วกายจากไปในความมืดมิดทิ้งไว้แต่เพียงเรื่องราวที่จะดังไปทั่วแผ่นดิน โซโลมา มิอาจจับกุมจอมโจรแห่งความตายได้ในราตรีนี้

 
               แม้ว่าจะเป็นแผ่นฟ้าผืนเดียวกัน หากแต่แสงจันทร์เหนือน่านฟ้า เดเวส กลับทอแสงสว่างเรืองรองแก้เบื้องล่าง ร่างบางนางหนึ่งเยื้องกรายผ่านห้างร้านที่เคยคึกคักเมื่อยามกลางวัน ที่บัดนี้เงียบเหงาและเต็มไปด้วยข้าวของวางอย่างเป็นระเบียบไม่ว่าจะเป็นเสาไม้ ผ่าร่มผืนบาง ห้างร้านถูกคลุมด้วยผ้าหยาบๆสีดำ เพื่อป้องกันฝุ่นผงที่จะมาเกาะสร้างความสกปรก
 

          ดวงตาใสกลมโตไร้เดียงสาเอียงมองสองข้างทางอย่างตื่นเต้น เพราะนางไม่เคยออกมานอกเขตบ้านต้นไม้เลยแม้สักครั้ง สิ่งแปลกตามากมายที่พบเห็นในเวลานี้ดึงดูด จิตใจของนางอย่างได้ผล
 

          ไวท์เดินผ่านเขตตลาดที่เงียบเหงามาถึงประตูบานใหญ่ที่เปิดอ้าไว้ เหล่าทหารรักษาการต่างนอนหลับใหลเพราะมนต์สะกดของ ซินเวียและเลบาน่า เธอมองก่อนที่จะหัวเราะออกเบาๆ เมื่อนายทหารรายหนึ่งนอนน้ำลายไหลยืดลงบนเสื้อทหารสีดำเข้มเป็นทางยาว แถมยังละเมอเพ้อพกถึงคนรักอีกต่างหาก

 
         ไวท์พาร่างบางก้มลงหยิบผ้าห่มผืนเล็กๆมาห่มให้ทหารผู้นี้ที่กำลังเริ่มเหน็บหนาวอย่างอ่อนโยน ด้วยแววตาห่วงใยก่อนที่จะทรงตัวขึ้นเดินข้ามผ่านไปในเขตชั้นในกว่าเดิม บ้านเรือนสวยงามยิ่งกว่าเขตตลาดมากนักดูท่าจะเป็นบ้านของเหล่าผู้มีอันจะกินทั้งหลายในเดเวส

 
        “สวยจังเลย” เสียงหวานๆพร้อมกับสายตาที่โลดแล่นไปกับสิ่งแปลกตาต่างๆที่มาเคยพบเจอมาก่อนในชีวิตของไวท์  ก่อนที่นางจะหยุดชะงักเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ที่สามารถเรียกร้องความสนใจจากตัวเธอได้

 
         “อะไรกัน?” ไวท์รีบวิ่งไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนที่สำนึกบางประการภายใจจิตใจได้ร้องเตือนเธอว่า อย่าไป? แต่มันไม่เพียงพอที่จะฉุดรั้งความต้องการจะทราบ ของตัวเธอ ทันทีที่ไวท์ วิ่งพ้นจากมุมบ้านหลังนั้น เธอก็พบกับภาพที่น่าหวาดเสียว เมื่อร่างกายหนึ่งกระแทกพื้นใกล้เธอ ศีรษะของร่างนั้นกระเด็นกลิ้งมาก่อนที่สงบทันทีที่ถึงเท้าของเธอ แววตาที่มิอาจหลับได้เนื่องเพราะไม่ยินยอมรับความตาย จ้องมองมายังสาวน้อยที่บัดนี้ตื่นกลัวสุดขีด

 
         กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด

 
        เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วบริเวณ เบื้องหน้าของเธอเวลานี้ เต็มไปด้วยศพของเหล่าทหารนับสิบคน แต่ละร่างล้วนอยู่ในสภาพที่ไม่สมประกอบทั้งสิ้น เธอหวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก คนผู้หนึ่งแต่งกายด้วยผ้าคลุมสีดำปกปดในหน้า แต่แววตาสีแดงที่ทอประกายรับแสงจันทราจากเบื้องบน กอปร กับหยาดโลหิตที่เปรอะเต็มชุดคลุมนั้น ราวกับจะย้อมมันให้กลายเป็นสีแดง ยิ่งแลดูน่ากลัวยิ่งเหนือสิ่งใด

 
        “มีคนเห็นด้วยแฮะ” เสียงเย็นชาแผ่วเบาลอดผ่านผ้าคลุมหน้าออกมา ก่อนที่ร่างนั้นจะหายไปในความมืดอย่างว่องไว สำนึกของไวท์บอกแก่ตัวเองว่า รีบหนีไป สองเท้าเรียวเล็ก พาร่างบางวิ่งหนีสุดแรงเกิด เธอพยายามจะหนีทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ใด ความรู้หวาดผวาเริ่มครอบงำจิตใจของเธอ

 
         “นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ ทำให้ในเมืองแปลกประหลาดนี้ ถึงมีสภาพโหดร้ายเช่นนี้ได้ เมืองที่งดงามย่อมมีแต่สิ่งดีงามไม่ใช่รึ?”ไวท์ ทบทวนกับตัวเองเพราะคนที่ไม่รู้จักโลกภายนอกเช่นนาง ทำให้คิดว่าดินแดนที่สวยงามและเต็มไปด้วยผู้คนย่อมมีแต่สิ่งที่สวยงามเท่านั้น มันช่างเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาเกินไป
 

           ฉัวะ  ฉัวะ  ฉัวะ
 

           เสียงของมีคมเรียวเล็กแหวกผ่านอากาศ เข้าเฉือนชุดนอนเรียวบางของไวท์โดยไม่ทำอันตรายใดๆแก่เรือนร่างแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้เก่งกาจเพียงใด ยิ่งเธอลาลานหนีมากเท่าไหร่ เสื้อผ้าก็ยิ่งขาดวิ่นมากขึ้นเท่านั้นเอง

 
           โครม

 
         “ว๊าย…..”

 
           เสียงร้องดังขึ้นเมื่อร่างบางสะดุดกับร่างของทหารนายหนึ่งที่นอนอยู่กับพื้น ส่งผลให้ไวท์ล้มคะมำลงกับพื้นในทันที ก่อนที่จะพลิกตัวกุมหัวเข่าขาวนวลที่มีรอยถลอก พร้อมๆกับเลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่นั่นกลับทำให้ คนที่นางต้องการจะหนีตามมาทัน

 
          “อ้าว เลิกหนีแล้วรึไงสาวน้อย?” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมเสียงยียวนราวกับหยอกล้อกันเล่น ปรากฏพร้อมๆกับผ้าคลุมที่ปลดออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลแววตาดุดัน ราวกับมิใช่มนุษย์ ร่างนั้นเงื้อมืออย่างว่องไว ของมีคมชิ้นหนึ่ง ปรากฏออกมาจากชายเสื้อช้าๆ

 
           “อย่าเข้ามานะ เจ้าปีศาจ” ไวท์สบถด่าเสียงสั่นเครือพร้อมกับให้มือลากตัวเองทั้งที่ยังนั่งอยู่ให้ถอยหนีไปด้านหลัง สายตาจดจ้องอยู่กับรอยยิ้มชั่วช้าและการเคลื่อนไหวของร่างนั้นอย่างไม่ละสายตา
 

            “จุ๊ จุ๊  พูดแบบนี้ได้เช่นไรสาวน้อย อย่ามากล่าวหากันซิ อืมว่าแต่เคยไปเที่ยวที่ไกลๆ ไหม? ฉันพาไปเอาไหมละ” ร่างของปีศาจในสายตาของไวท์ เดินเข้าหานางช้าๆ ร่างงามพยายามตะกุยตะกายข้าวของแถวนั้นขว้างปาใส่ทันที แต่นั่นดุเหมือนยิ่งเพิ่มความรำคานและโทสะแก่คนผู้นั้นมากขึ้น
 

             “เฮ้อ หมดอารมณ์เลยแฮะ งั้นก็ลาก่อนที่รัก” สิ้นเสียงของมีคมในมือก็ถูกซัดออกไปอย่างว่องไวเป้าหมายก็คือลำคอของนาง ไวท์หมายจะหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว…
 

              กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
 

             เพล้ง

 
            เสียงอาวุธเรียวบางนั้นแตกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับร่างกายกำยำสมส่วนร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของฆาตกรร้าย พร้อมกับตวัดมีดสั้นในมือสังหารร่างนั้นอย่างรวดเร็ว โดยที่คนร้ายไม่ทันได้หันกลับมามองด้วยซ้ำว่าใครเป็นผู้ประทานความเจ็บปวดและความตายให้กับตนเอง
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.087 seconds with 21 queries.