Saga 18 Emperor Recca..
ยามเช้าที่มืดมิด ที่ซึ่งหิมะ โปรยปรายท่ามกลาง ทุ่งกว้างตัดกับต้นสนน้อยใหญ่ ทั่วทุ่งแห่งนี้
ที่เคยเต็มไปด้วยดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ และเปลี่ยนสีในฤดูร้อน ร่วงโรยเมื่อใบไม้ร่วง และเหี่ยวแห้งเมื่อ ลม
เย็นแห่งฤดูหนาว....มาเยือน ทุ่งแห่งนี้ก็ปกคลุมด้วยหิมะอันขาวบริสุทธิ ทว่าเงาของหิมะกลับไม่ทอประกายเป็น
สีฟ้า ในยามเช้าที่มืดมิดและหนาวเหน็บราวกับค่ำคืน ที่ยาวนานไม่รู้จบนี้ ความรู้สึกของ ฉันถูกทิ้งไว้
อย่างโดดเดี่ยว ความเงียบสงัดที่ราวกับจะกลืนกินฉันลงไป ความอ้างว้าง เมื่อปราศจากเธอ...
“ นาย...จะไปจริงๆเหรอ ”
R2 กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าๆ เมื่อ ชายตรงหน้าเธอนั้นกำลังจะเดินจากเธอไป ท่ามกลางทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บนี้
“ อืม..ทุกคนกำลังรอ เพื่อผืนดินแห่งใหม่ ”
ชายตรงหน้าตอบเธอโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“ ถ..ถ้าอย่างนั้นฉันจะไป... ”
“ ไม่ได้ ”
R2 กล่าวได้ไม่ทันจะขาดคำ ชายคนนั้นกลับตะคอกออกมา มือของเขาสั่นเทาด้วยความ
รู้สึกเช่นไรนั้น มิอาจรู้ได้ หากรู้เพียงแต่หัวใจของเค้ากำลังขัดขืนกับ อุดมการณ์
“ มันอันตราย...อันตรายเกินไปถึงเธอจะเป็นนักรบ...แต่ชั้นก็ไม่อยากให้เธอต้องไปเสี่ยง ”
ชายหนุ่ม กล่าวด้วยน้ำเสียงเทา ซึ่งนั่นได้ทำให้ R2 เข้าใจถึงความรู้สึกของเค้า ในขณะนี้
“ งั้นสัญญาได้ไหม...ว่าจะ..กลับมา ”
R2 กล่าวพลางก้มหน้าด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอก แม้จะอยากห้ามเค้าไว้แต่เธอรู้ดีว่า
ไม่อาจขัดขวางเขาได้
“ อืม..ชั้น..สัญญา.. ”
ชายหนุ่มกล่าวจบ ก็วิ่งเตลิดออกไปเพื่อไม่ให้เธอตามเขามา ทิ้งให้ R2 ยืนมองจนเค้าหายลับไปจากสายตา
........................
.............................
“ หลังจากนั้นนายก็ไม่กลับมาอีกเลย...เดรค (Drake) บางทีชั้นอาจเห็นภาพของนายซ้อน
ทับกับใครบางคนในตอนนี้ซะแล้วสิ ”
R2 คิดขณะที่นั่งมอง เรกกะ ซึ่งกำลัง รอให้คณะสมาชิกจากทุกอาณานิคม ที่ยังคัดค้านกับการ เข้าร่วมกับสหพันโลก
เข้ามาจนครบ โดยมี เฟนท์ ลอว์เรนซ์ ยืนคุ้มกันอยู่ข้างๆ
“ เอาล่ะทุกท่าน ในที่สุดก็มากันพร้อมแล้วสินะ ”
เรกกะ กล่าวเมื่อเห็นว่า ทุกคนมากันพร้อมแล้ว เค้าจึง ถอดเอา หน้ากากตาขวาออก ก่อนที่ ดวงตาข้างขวาจะเปล่งแสงสัญลักษณ์แห่ง Genesis ออกมา
“ ในนามของ เรกกะ ไฮเดย์ พวกเจ้าจงอยู่ใต้อานัติของเรานับแต่บัดนี้ ”
สิ้นคำ แสงก็เปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วทั้งห้องก่อนที่ บรรดาคณะสมาชิก จะถูกสะกดด้วย Genesis
“ All Hari Recca….. All Hari Recca…. ”
สมาชิกทุกคนในห้องต่างลุกขึ้นกล่าวสรรเสริญ เรกกะ กันอย่างพร้อมเพรียง
“ เท่านี้ ไพ่ทุกใบในมือก็พร้อมแล้ว..หึๆ ”
เรกกะ เปรย ก่อนจะ สะบัดชายเสื้อคลุมออกแล้วเดิน จากไปพร้อมกับ
เฟนท์ ลอว์เรนซ์ และ R2 ที่ตามกันออกมา
“ อีกซักพัก ทาง สหพัน จะติดต่อเข้ามาระหว่างนี้ ท่านผู้นั้นอยากจะขอ
พบเพื่อพูดคุยกันซักเล็กน้อย ถ้าการติดต่อเข้ามาแล้ว จะไปตามให้ อีกที ”
อิจิกิ กล่าวขณะที่เดินสวนมามาตามทางเดิน จนพบกันระหว่างทาง
“ งั้นฝากด้วยนะ ”
เรกกะ ตอบก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง ก่อนที่ทุกคนจะตามไปด้วย ส่วน อิจิกิ นั้นเดินย้อนกลับทางเดิมไป
“ พลังของ เรกกะ ตอนนี้น่าจะทำได้..ทำให้ Dragoon Requiem สำเร็จ ”
เฟนท์ คิดขณะที่เดินตามไปก่อนจะนึกย้อนไปถึง เหตุการณ์บางส่วนของ ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
พวกเรา ได้เดินทางมาที่ หอคอยแห่งนภา Sky Pillar ที่ตั้งของ สมาคมมังกรนภากาศ หรือ สหประชาคมโลก
ซึ่งกุมอำนาจของ ทั้งเทอร่าเลยก็ว่าได้ ภายในองค์กร นั้นบริหารจัดการ กันโดย เหล่ามังกรชั้นสูงที่อยู่มากว่า
ร้อยปีชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมี
ทอลเมนอส มังกรแห่งรุ่งอรุณ(Tolmenos, the Golden Dawn Dragon) เป็นผู้นำฝ่ายตะวันออก
อิลคิมซูม มังกรแห่งพายุฝนอันบ้าคลั่ง (Ilkimsumm, the Tempest Dragon) เป็นผู้นำฝ่ายตะวันตก
คัลราซิลย่า มังกรแห่งนภาสีเงิน (Kallasilya, the Sky Dragon) เป็นผู้นำฝ่ายเหนือ
ซุเรเทอเลี่ยน มังกรแห่งพายุฝนฟ้าคะนอง (Suletirion, then Thunderstrom Dragon ) เป็นผู้นำฝ่ายใต้
การบริหารของ องค์กร นั้นจะใช้มุนษย์ฉากบังหน้า แล้วตัวเองคอยชักนำความเป็นไปขององค์กร
อีกที ซึ่งผู้นำสูงสุดที่มีสิทธิอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดก็คือ...
เฟนท์ ที่คิดมาจนถึงตรงนี้ พวกเค้าก็ได้มาถึงห้องเป้าหมายแล้ว เมื่อประตูเปิดออก ภายในห้องนั้น
เป็นห้องเล็กๆที่ประดับตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกใดๆมีเพียงโต๊ะวางแจกัน
กับ โคมไฟโบราณ 1 ดวงเท่านั้น
“ เข้ามาสิ ”
ที่กลางห้องเจ้าของเสียงเอ่ยเชิญชวญพวกเค้าให้เข้ามา ผู้ที่เชื้อเชิญนั้น เป็นมังกร กายสีเขียวมรกต และ
มีขนาดไม่ใหญ่มาก กำลังคอยพวกเขาอยู่ ด้วยทีท่าที่สงบนิ่ง
“ ผู้นำสูงสุดของสภามังกร นภากาศ มหามังกรนักปราชญ์ อีสควอเทีย (Isquatia, the Great Elder Dragon) ”
เฟนท์ คิด ขณธที่ทุกคนพากันเดินเข้าไป นั่งในห้อง ตามคำเชื้อเชิญ
“ ก็นึกอยู่แล้วว่าเธอจะต้องมา แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะเร็วอย่างนี้. ”
อีสควอเทีย กล่าวน้ำเสียงเรียบ
“ ที่จริงว่าจะมาแค่ ยับยั้งเรื่อง คาทราสโทฟี ตามที่ อาจารย์ บอกมาเท่านั้นเองน่ะครับ แต่ไปๆมาๆ
ก็เลยว่าจะทำให้ที่นี่มันเข้าที่เข้าทางไปด้วย ก็เลย...แต่ไม่นึกเลยนะครับว่า ประธานสูงสุดจะเป็น
อาจารย์ ไปได้น่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวแบบเขินๆ โดยพยายามแก้ตัวกับเรื่องที่พวกเค้าบุกมา ยังสภากลาง
ของที่นี่ แล้วก็ได้พบกับ อีสควอเทีย หลังจากที่คุยกันแล้ว ถึงได้รู้ว่า อีสควอเทีย เคยเป็นอาจารย์
วิชาประวัติศาสตร์ ที่ลอว์เรนซ์ เรียนด้วยตอนอยู่ที่อดีต เมื่อ สองร้อยกว่าปีที่แล้ว
“ ไม่มีใครเรียกว่า อาจารย์ มานานแล้วสินะ...นึกถึงเมื่อก่อนจริงๆ สมัยที่ยังสอนเธออยู่ตอนนั้นเธอกับ ก๊วนน่ะซนไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว ตั้งแต่ เหตุการณ์ เสียเมอริเซีย พอได้มาพบเธออีกครั้งแบบนี้มันรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันนะ ”
อีสควอเทีย กล่าวขณะที่ระลึกถึงความหลังสมัยนั้น ซึ่งแม้จะเลือนรางแต่ก็ไม่อาจลืมได้ ถึงวีรกรรมของ ลอว์เรนซ์
และพวกพ้องในครั้งนั้น ทั้ง ลอว์เรนซ์ เจนัส นีน่า ลากูน่า และ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะมนุษย์ เทพ หรือ ปีศาจ ที่ร่วมกันต่อสู้
เพื่อ ปกป้องเทอร่าให้พ้นภัย
“ จริงสิโทษทีนะได้มาพูดถึงเรื่องเก่าๆเลย คุยเพลินไปหน่อยเอ้อ โทษทีนะทุกคนพอดีเรื่องที่ชั้นจะพูด อยากจะขอคุยเป็นการส่วนตัวกับ เรกกะ แล้วก็ สองคนนั้นน่ะ ช่วยทีนะ ”
อีสควอเทีย กล่าวก่อนจะชี้ไปที่ เฟนท์ และ R2 ดังนั้น ลอว์เรนซ์ จึงกล่าวลาก่อน จะเดินออกจากห้องไป
“ เรื่องอะไรหรือครับที่จะคุยด้วยน่ะ ”
เรกกะ กล่าวถามด้วยความอยากรู้
“ ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพียงแต่... ”
อีสควอเทีย กล่าวก่อนจะหยุดไปแค่นั้น
“ เพียงแต่อะไรหรือครับ ”
เฟนท์ ก็ถามขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายเงียบไป
“ เพียงแต่ ฉันแค่เห็นว่า สิ่งที่พวกเธอกำลังจะเริ่มทำกันต่อไปจากนี้ หากผิดพลาด
เพียงน้อย เรื่องราวก็อาจไม่จบลงแค่นั้น เพราะฉนั้นจึงอยากจะให้พวกเธอได้ตริตรองอีกสักครั้ง ”
อีสควอเทีย กล่าวน้ำเสียงเรียบ
“ ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ เราเตรียมใจเอาไว้แล้วล่ะครับ ”
เรกกะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ แม้จะแผ่วเบาเมื่อนึกถึงการเตรียมใจในแผนการของพวกเค้า
ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ เฟนท์ ได้ยอมตกลงร่วมมือกับ เค้าอีกครั้ง
“ ฉันเองได้ฟังเรื่องของพวกเธอมาจาก ลอว์เรนซ์ บ้างแล้ว ที่ผ่านมาพวกเธอเจออะไรมา
บ้างฉันเองก็พอจะเข้าใจ
เพียงแต่ ที่ฉันอยากขอให้เธอตริตรอง ให้ดีก่อนจะลงมือ ก็เพราะ จุดจบของเรื่อง
มันอาจไม่เป็นอย่างที่พวกเธอต้องการ
ให้เป็นก็ได้ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จะไม่เคยเกิด เลยอยากจะเล่าเรื่องหนึ่งให้พวกเธอได้ฟังเอาไว้
มันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ”
อีสควอเทีย กล่าวทันทีที่เริ่มกล่าวถึงเรื่องนี้ ดวงตาของมังกรชราผู้นี้ก็ดูเศร้าสร้อยลง ในทันที
“ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกว่าพันปีมาแล้ว ในยุคนั้นเป็นการเริ่มบุกเบิกเมอริเซีย
ของบรรพบุรุษ ชาวฟีเลเซีย ในการออกหาดินแดนแห่งใหม่ ”
อีสควอเทียกล่าว ทว่าทันทีที่เริ่มเล่าออกมานั้น R2 ก็เริ่มมีสีหน้าแปลกๆเธอ
ขมวดคิ้วพลางเบือนหน้าหนีเล็กน้อยราวกับกำลังกลุ้มใจถึงบางเรื่อง
“ ตำนานของ อัศวินทาลิวิลย่า มันเริ่มขึ้นมาจากตรงนั้น เมื่อ บุรุษชาว ฟีเลเซีย คนหนึ่งได้
ปราบมังกรทมิฬ ที่อยู่บน
แผ่นดินน้ำแข็ง แอนดิซอง ลงได้ เนื้อหาของตำนาน ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา
เพียงแค่นั้นหากแต่ความจริงแล้ว วีรกรรม
นั้นก็แฝงมาพร้อมกับ เรื่องเศร้า ที่ไม่ควรจะเกิด ”
อีสควอเทีย กล่าว ในขณะที่ R2 นั้นดวงตาของเธอสั่นระเรื่อ ราวกับกำลังเกิดความทุกระทมในหัวใจ
เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ เธอกำมือแน่นจนข้อซีดขาว และเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พลางกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ทันทีที่ได้ฟัง ที่ อีสควอเทีย กล่าว ซึ่งในขณะที่ เรกกะ กับ เฟนท์ ไม่ได้สังเกต แต่
อีสควอเทีย ได้เหลือบไปมองเป็นครั้งคราวราวกับรู้ว่าเธอจะแสดงปฏิกิริยาเช่นไร เมื่อเล่าเรื่องนี้ขึ้นมา
“ เรื่องเศร้าที่แฝงมากับ ตำนานงั้นเหรอครับ ”
เรกกะ ภล่าว ซึ่ง อีสควอเทีย ก็ ผงกหัวตอบก่อนจะเอ่ยปากเล่าต่อไป
“ ในยุคนั้นการบุกเบิกแผ่นดินนับเป็นเรื่องที่อันตรายไม่น้อยเพราะ ต้องเผชิญทั้งกับ
สัตว์ร้าย โรคภัย หรือแม้แต่สงคราม ในระหว่างการเดินทางนั้น นักรบมังกรหนุ่มคนหนึ่งชื่อของ เค้าคือ เดรค
เค้าเป็น หัวหน้ากลุ่มบุกเบิก ที่เดินทางไปถึงแอนดิซอง โดย เดินทาง อ้อมผ่าน ไปยาวไกล ซึ่งระหว่างการเดินทาง เค้าได้พบกับ หญิงสาวชาวอาริมาเทีย ซึ่งเป็น นักรบมังกร เหมือกับเขา เธอชื่อ ลาชาฟ ลาเอล (Rasharp Rael) ”
วินาทีที่ ชื่อของ ลาชาฟ ถูกกล่าวออกมาสีหน้าของ R2 ก็ดูตกใจไม่น้อยแต่เธอยังคงเก็บอาการไว้อยู่
“ ทั้งสองได้พบกัน และเกิดรักชอบกันขึ้น ทว่าการเดินทาง นั้นก็ยังคงต้องมีต่อไป
ทั้งสองจึงต้องพรากจากกัน ฝ่ายชายสัญญาว่าจะกลับมารับเธอเมื่อการเดินทาง
ของเค้าสิ้นสุดดังนั้น ลาชาฟ จึงได้มอบ ดาบให้กับ เดรค เพื่อป้องกันตัวจากภัยต่างๆ ”
อีสควอเทีย เล่ามาถึงตรงนี้ ความสนใจของทุกคนก็จับจ้องอยู่ที่เรื่องที่เค้าเล่าอยู่ เมื่อเห็นดังนั้น
จึงเริ่มเล่าต่อในทันที เมื่อสังเกตว่า R2 นั้นเริ่มจะผ่อนคลายลงบ้าง
“ หลังจากที่แยกจากกัน ราชาฟ ก็ได้เฝ้าภาวนาให้ เดรค รอดปลอดภัยกลับมา ทว่า คำภาวนากลับไม่เป็นผล...
เดรค สู้กับมังกรทมิฬ ที่ปกครอง ผืนแผ่นดินที่พวกเค้าบุกเบิกไป การต่อสู้ในครั้งนั้น เดรค
สามารถจัดการกับมังกรร้ายลงได้ แต่เค้าเองก็ได้รับบาดเจ็บจากากรต่อสู้อย่างสาหัส และได้
สิ้นใจลง ณ ตรงนั้นท่ามกลางบ่อเลือดที่ท่วมท้นอยู่บนพื้นหิมะ วีรกกรมของ เดรค ได้ถูกยกย่องให้เป็น
ต้นกำเนิดของนักรบมังกรที่กลายเป็นอัศวินคนแรก ทาลิวิลย่า เรื่องเล่านี้ได้ขจรออกไป
พร้อมกับข่าวการตายของ เดรค.. ”
อีสควอเทีย เล่ามาถึงจุดนี้ ทีท่าของ R2 นั้นก็บอก ออกมาอย่างที่สุดว่าตัวเธอนั้นไม่ต้องการจะฟังอีกต่อไปแล้ว เธฮลุกขึ้นยืนและทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ขณะที่ เรกกะ กับ เฟนท์ ได้แต่นั่ง งงกับท่าทีของเธอ
“ ถ้าจะไปก็ฟังให้จบก่อนสิ.. ”
อีสควอเทีย กล่าว R2 ที่กำลังจะออกไปนั้นหยุดยืนอยู่หน้าประตูแทน
ก่อนที่ใครจะได้ทันกล่าวอะไร อีสควอเทีย ก็เริ่มเล่าต่อทันที
“ หลังจากที่ ลาชาฟ รู้ว่า เดรค ตายแล้วด้วยความโศกเศร้า เธอจึงอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอมอบเวลาของเธอทั้งหมดให้กับ เดรค เพื่อให้เวลาของเค้านั้นกลับมาเดินอีกครั้งและแล้ว... ”
อีสควอเทีย กล่าวแล้วหยุดไป เมื่อจะเล่าต่อจากตรงนี้ R2 นั้นเลิกคิดที่จะออกไปแล้ว
“ หลังจากนั้นเป็นยังไงต่อเหรอครับ ”
เฟนท์ ถามขึ้น อีสควอเทีย จึงเริ่มเล่าต่อทันที
“ พระผู้เป็นเจ้าได้รับฟังคำภาวนาของเธอ และได้นำเวลาของเธอไปมอบให้กับ เดรค เพื่อให้เวลาของเค้าเดินต่อไป
เพื่อตอบแทนความรักของเธอที่มีต่อเค้า ด้วยชีวิตที่มอบให้แก่เขา และแทนกองเลือดด้วยกลีบกุหลาบ เดรค ฟื้นกลับ
ขึ้นมาอีกครั้งแต่ทว่าเมื่อเค้ากลับไปที่ อาริมาเทีย อีกครั้งเพื่อพบเธอ กลับต้องพบกับความโศกเศร้า ที่เวลาของเค้านั้นแลกมากับการสูยเสียคนที่รักยิ่งไป.. เดรคได้ ภาวนากับ พระผู้เป็นเจ้าให้มอบเวลาของเค้า คืนกลับให้แก่เธอ
จากนั้นจึงชักดาบที่ เธอมอบให้เค้า ใช้ป้องกันตัวจบชีวิตของเค้าลง... แต่เวลาที่ได้นำออกไปแล้วนั้นไม่สามารถ มอบ
คืนให้ได้อีก..แต่ด้วยแรงแห่งรักที่ทั้งสองมีต่อกัน ลาชาฟ ได้กลับฟื้นขึ้นมาพร้อมความเป็นอมตะ เพื่อที่จะอยู่ต่อไปใน
ส่วนของ ชายคนรัก ที่ยอมมอบชีวิตให้เธอ ด้วยชีวิตที่เป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย ทำให้เธอต้องอ้างว้าง
ด้วยรักที่มากเกินนำมาซึ่งความทุกข์ชั่วนิรันด์ เรื่องราวนี้ก็ได้แพร่ออกไป และเพื่อไม่ให้ตำนานที่
เป็นเหมือนความหวังนี้ต้อง เป็นเหตุ
ให้นึกถึงโศกนาฏกรรม ผู้คนจึงพากันลืมเลือนเรื่องนี้ไป และเล่าขานแต่เพียงวีรกรรมของ
เดรค ที่ต่อมาผู้สืบทอดกลายเป็นนามที่รู้จักกันในชื่อ ลอว์เรนซ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งตระกูลซราเบลด
ขึ้นและสืบทอดพลังของ ทาลิวิลย่ามา ส่วนดาบที่ ลาชาฟ มอบให้ แก่เดรคนั้นต่อมาได้ชื่อว่า มาคายาเดีย... ”
อีสควอเทีย เล่าจบทุกคนก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ เมื่อได้รับรู้ถึงเรื่องที่แฝงมากับตำนาน
“ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ”
เฟนท์ เปรยขึ้นเล็กน้อยด้วยความรู้สึก โล่งๆในหัวใจ
“ นั่นสิแต่ก็นับเป็นเรื่องที่น่าประทับใจนะ ”
เรกกะ เปรยตามพลางถอนหายใจ
“ อะไรกันน่ะ นี่มันเรื่องรักน้ำเน่าชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ รักกันไปรักกันมา แย่งกันตายแทน น่าเบื่อ ”
เสียงของ ทาลิคนัสก้องขึ้นในหัวของเรกกะ ทันทีที่ได้ฟังจนจบ
“ เฮอะ นายนี่ไม่หัวทางนี้เอาซะเลย ทั้งที่เรื่องออกจะ โรแมนติก ขนาดนี้ ”
ทาลิควอส แย้งขึ้นมาทันที
“ นี่ความรักคืออะไรเหรอ มันเล่นได้รึเปล่า พูดได้ไหม ขยับได้ไหม ”
ทาไนซ ถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสา
“ ทาไนซ เจ้าน่ะยังเด็กนัก ความรักก็คือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีไง ”
ทาโซรอส พยายามจะอธิบาย
“ ความรักนั้นสง่างาม เป็นของคู่กับผู้ที่สง่างามเช่นเรา ”
ทาลูคัส แทรกขึ้นมากลางคันในทันที
“ ช่างเป็นเรื่องที่…เศร้าอะไรเช่นนี้ ”
ทาเวนทอส กล่าวเสียงซึมเหมือนจะร้องไห้
“ แต่ชั้นว่าพวกนายน่ะแหล่ะจะทำเรื่องออกทะเลเอา ”
เรกกะ สนทนาด้วยความคิดหลังจากที่ฟัง เหล่าบุคลิคอื่นๆเถียงกันไปเถียงกันมา
“ มันไม่ใช่เรื่องที่น่า ปลาบปลื้มอะไรแบบนั้นหรอก หมอนั่นก็แค่ไส
ส่ง คำสาปที่ฉันมอบให้คืนมาเท่านั้นเอง ”
R2 กล่าวน้ำเสียงประชดประชัน
“ R2 ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ดูเธอ อารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ”
เรกกะ หันไปดุใส่เธอ
“ นี่ขอถามหน่อยสิ ทำไมถึงแทนชื่อตัวละครเป็น ฉัน ล่ะ….หรือว่า ”
เฟนท์ หันไปถามบ้างเนื่องจากเอะใจในคำพูดของเธอ ซึ่งมาถึงตรงนี้ อีสควอเทีย
ก็หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นมา
“ อย่างนั้นสินะ เจ้ายังไม่ลืม เรื่องในอดีตไปหมดซะทีเดียวสินะ ”
อีสควอเทีย กล่าวจบ R2 ก็เปิดประตูก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกจากห้องไป
ด้วยหน้าตาบึ้งตึง
“ R2 ! ”
เรกกะ พยายามจะไปรั้งเธอไว้ แต่อีสควอเทียก็ห้ามเอาไว้ซะก่อน
“ ปล่อยเธอไปเถอะ ที่จริงคนผิดก็คือฉัน ที่ดันไปเล่าเรื่องที่เค้าไม่อยากนึกถึง
แต่ฉันเองก็แค่อยากพิสูจน์เท่านั้นเองล่ะนะ ”
อีสควอเทีย กล่าวจบ เรกกะ จึงยอมกลับมาโดยสงบ
“ นี่เรกกะ นายเคยบอกว่า R2 เป็นอมตะใช่ไหม ”
เฟนท์ ถามขึ้นมาทันทีที่ เรกกะ นั่งลงอีกครั้ง
“ อืมใช่ ยัยนั่นน่ะ เป็นอัศวินมังกรทาลิเลีย ที่ปราบอัลคารากอนลงได้ แล้วก็ผนึกพลัง
ของมันลงในร่าง เลยทำให้เธอเป็นอมตะ…ว่าแต่ถามทำไมเหรอ ”
เรกกะ กล่าวพร้อมหันไปถามหลังจากที่ตอบแล้วทันที
“ งั้นนี่หรือว่า… ”
เฟนท์ กล่าวพร้อมหันไปหา อีสควอเทีย เพื่อจะขอคำยืนยัน
“ ใช่ เฟนท์ เธอมีความรู้สึกที่ไวใช่ย่อยเลยนะ….อย่างทีเธอคิดนั่นล่ะ
นักรบหญิงในเรื่องก็คือเธอนั่นล่ะ R2 คือ ลาชาฟ ที่เคยมีใจให้กับ เดรค อัศวินทาลิวิลย่า ตัวจริง ”
อีสควอเทีย กล่าวขณะที่ เฟนท์ ซึ่งคิดเอาไว้แล้วนั้นก็ได้แต่ตีสีหน้าซึมๆ ด้วยความเวทนาที่มีขึ้นมาบ้าง
ขณะที่ เรกกะ ซึ่งไม่ได้นึกถึงมาก่อน จะหันกลับไปมองที่ประตูที่ R2 วิ่งออกไป