คือวันนึงผมไปดูหนังกับเพื่อนมา เราก็ไปกันตัดสินใจว่าจะดูเรื่องอะไรดี
มีเรื่องนึงเป็นหนังไทย อีกเรื่องเปนหนังฝรั่ง
เพื่อนบอกดูหนังฝรั่งกัน ผมก้ถามทำไม ไม่ดูไทยอะ
เค้าบอกว่าให้ลองคิดดูนะ หนังไทย กับ หนังฝรั่ง เสียเงินค่าเข้าชมเท่ากัน
แต่การลงทุน ในการสร้างหนังมันต่างกัน ของไทย 10 ล้าน ของต่างประเทศ ร้อยล้าน
อะไรงี้ แล้วถ้าจะดูอันไหนที่คุ้มกว่ากัน?
เป็นความคิดที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ
และเป้นความคิดที่ทำให้ประเทศเล็กจะเป็นเบี้ยล่างประเทศใหญ่ไปตลอดกาล
คุณคิดว่าเขาลงทุนร้อยล้านนี่ ได้กลับมากี่ล้านครับ อเมริกาประเทศเดียวใหญ่กว่าประเทศไทย10เท่า ค่าครองชีพสุงกว่าเราเกือบ10เท่า และประชากรมากกว่าเรากว่า5เท่า ดังนั้นเขาสร้างหนังที ถ้ามีคนแค่2ใน10ของเขาเสียตังไปดูนี่ ก็เท่ากับทั้งประเทศไทยไปดูแล้วนะครับ ดังนั้นหมายความว่า ถ้าเราลงทุนเท่าเขา ถามว่า จะไปดูให้ทั้งประเทศคนละ5รอบได้ไหม
เขาลงทุนร้อยล้านบาท แต่ได้กลับมาแน่นอนทันทีที่ฉายในประเทศก็หลาย100ล้าน (หนังแย่ๆบางเรื่องที่มาฉายเมืองไทยได้เงินแค่หลักแสนบาท แต่ของเขาเขามีคนดูสัก5ล้านเหรียญก็เท่ากับ150ล้านบาทไทยแล้ว)
แต่เมืองไทยไปลงทุนเท่าเขา มีหนังกี่เรื่องครับที่เคยมีคนไปดูถึงร้อยล้านบาท นอกจากหนังท่านมุ้ย ก็แทบจะนับเรื่องได้ แล้วลงทุนร้อยล้านได้กลับมาแค่ร้อยล้านนี่ก็คือเจ๊งนะครับ เพราะหักต้นทุนหักส่วนแบ่งโรงหนังไปนี่ คือขาดทุน จะกำไรล้วนๆต้องสัก150ล้าน
แล้วแบบนี้ใครจะบ้าลงทุนร้อยล้านไปขาดทุนแน่ๆครับ
อย่างองค์บาก2เองที่ลงทุนไป300ล้านนี่ เสี่ยแกแถลงออกมานานแล้วนะครับว่าไม่ได้หวังว่าจะกำไรในไทย เพราะมันไม่มีวันได้เลย แต่หวังขายเมืองนอกให้ได้ แล้วถามว่าต้องขายได้กี่ประเทศกันมันถึงจะได้200ล้าน(ตอนนี้ได้ไปแค่100ล้าน)
อย่าว่าแต่หนังไทยเลย หนังเอเชียทั้งหมดแม้แต่เกาหลีญี่ปุ่นเอง จะลงทุนถึงร้อยล้านแค่บางเรื่องเท่านั้น เพราะปัจจัยเรื่องขนาดประเทศและจำนวนประชากรล้วนๆ ไม่มีทางเทียบอเมริกาที่มีประชากรมากกว่าเป็นสิบเท่าได้
แต่คนเกาหลีกับญี่ปุ่น เขาไม่เคยมีความคิดไม่ลึกซื้งแบบคนไทยนี้นะครับ เขากลับคิดแบบชาตินิยมกันมาก คือถ้ามีตัวเลือกคือหนังนอกคุณภาพกับหนังชาติตัวเองคุณภาพ (ไม่ใช่วัดที่จำนวนเงินที่ลงทุน) พวกเขาพร้อมจะเลือกบริโภคของตัวเอง จึงทำให้เขามีหนังของชาติตัวเองที่ประสบความสำเร็จในบ้านตัวเอง และสามารถขยับขยายไปตีตลาดต่างประเทศได้ด้วยมากกว่าเรา
ประเทศที่ลืมตาอ้าปากทางเศรษฐกิจได้เหล่านี้ เขาไม่ได้คิดอะไรแบบคนไทยตรงข้าม เขาพยายามพึ่งพาและสนับสนุนประเทศตัวเอง
เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเชีย คือ3ชาติที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจเร็ว และมั่นคงขึ้นมากในบรรดาชาติเอเชียด้วยกันในช่วง10ปีนี้ ทั้ง3ชาติ ประชาชน เน้นใช้รถยี่ห้อที่ผลิตในประเทศตัวเอง ถ้าอะไรที่ประเทศพวกเขาทำได้โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญเช่นรถที่บางคนบอกเป้นปัจจัยที่5 เพราะคนมีรถก่อนมีบ้านกันอีก
แต่เมืองไทย การใช้ของนอกคือความโก้หรูครับ
ที่ญี่ปุ่นตอนที่คนญี่ปุ่นคิดถ่านไฟฉายได้เองครั้งแรก คนญี่ปุ่นทั้งหมดแทบจะเลิกใช้ถ่านนอกหันมาใช้ถ่านประเทศตัวเองกันหมด เพียงเพราะว่า มันเป็นของชาติเรา
เกาหลีเมื่อปีที่แล้วมีปัญหาเรื่องกิมจิของจีนเข้ามาตีตลาด มันถูกกว่าของในประเทศมาก แค่นายกรัฐมนตรีเกาหลีพูดว่า "คนเกาหลีน่าจะกินกิมจิของเกาหลี เพราะเป็นอาหารประจำชาติเราเอง" แค่นี้เอง โดยไม่ได้พูดเลยว่าอย่าไปกินของนอก เท่านั้นเองก็มีการเคลื่อนไหวทั่วประเทศ ชาวบ้านรณรงค์กินกิมจิเกาหลี ตลอดจนบอยคอตร้านอาหารที่ใช้กิมจิจากจีนกันเอง จนเกิดการลดจำนวนนำเข้าลงไปเอง และแม้ของนอกจะถูกกว่าอย่างไร เขาจะซื้อของประเทศเขาก่อน
ถ้าเป็นเมืองไทยคงเลือกของถูกไว้ก่อน
กลับมาเรื่องหนัง เมืองฮอลลีวูดมีหนังลงทุนต่ำ(สำหรับเขานะ) หนังทุนสูงของเขาคือร้อยล้านเหรียญ ขึ้น แต่ถ้าต่ำกว่า30เหรียญ เขาจัดเป็นหนังทุนต่ำสำหรับเขา เมืองไทยเรา30เหรียญก็คือ 900ล้านบาทแล้ว
แค่ลงทุน100ล้านนี่ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกำไรแล้ว จะมาวัดกันที่เงินทุนเพื่อแสดงความคุ้มล่ะก็
คงไม่ได้ดูหนังไทยกันชั่วชีวิต
แล้วคนที่คุ้มที่สุดไม่ใช่คนดูไทย แต่เป็นฮอลลีวู้ดที่ได้เงินจากประเทศตัวเองแล้ว ยังได้ดูดเงินจากประเทศโลกที่3ที่ชอบคิดอะไรแบบนี้ได้อีก