Sub-Turn 7 Partner & Synchronize!
พ.ศ. 2700 หลังจากวิทยาการพลังงานอันมหัศจรรย์ ที่เรียกว่า เวทยาการ ซึ่งเป็นศาสตร์จากการ
ผสมผสาน วิทยาศาสตร์ และ เวทมนต์ เข้าด้วยกันซึ่งพลังนี้ได้นำซึ่งภัยพิบัติมาเยือน แก่มนุษยชาติถึงหลายครั้ง
หลายครา แต่กระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่ละทิ้งที่จะควบคุมพลังนี้เสียให้ได้ และในที่สุด ผลจากความทะเยอทะยาน
นั้นก็ได้สร้าง คาถาที่จะ สะกดพลังอันมหาศาล ของอสูรอัญเชิญ ที่เป็นตัวแทนของพลังเวทย์ เพื่อที่จะควบคุม
มันได้ในที่สุด ผนึก หรือ ยันต์คาถาที่อยู่ในรูปของแผ่น การ์ดบางๆซึ่งเรียกว่า Seal Scroll เป็นผลิตผลที่ประสบ
ความสำเร็จยิ่งยวดของมนุษยชาติ ด้วยผนึกสะกดนี้ เราจะสามารถ ผนึกพลังอันแข็งแกร่งของ อสูรอัญเชิญ
มาใช้ได้ ตั้งแต่นั้นมากิจการ เกี่ยวกับผนึกนี้ก็ได้รุ่งเรืองขึ้นมา และพัฒนาจนกลายมาเป็น เกมกีฬา
ในนาม ของ Summoner Master ซึ่งเรียกตาม ชื่อขานของเหล่ายอดฝีมือ ในอดีตที่ช่วยกัน ยับยั้ง
ภัยพิบัติ จากเหล่าอสูร เทพซึ่งกลายมาเป็นตำนานในเวลาต่อมา
ทว่า แม้จะรับรู้ผลจากการ กระทำอันโง่เขลาของตนแล้วก็ตาม มนุษย์ก็ยังจะดันทุรัง เดินหน้าทำในสิ่งนั้นต่อไป
สงครามที่เกิดจากความขัดแย้ง ทางเผ่าพันธุ์ อันนำมาซึ่งความคิดที่ว่า ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ระหว่าง มนุษย์
กับ DNA-Changer ซึ่งจนถึงบัดนี้ ก็ยังคงดำเนินเรื่อยมา จากนี้ไปโฉมหน้าเบื้องหลัง
ของความขัดแย้งนี้ กำลังจะเปิดเผยต่อ ธนัท และพรรคพวกในอีกไม่ช้า แล้วพวกเขาจะทำเช่นไร…..
………
…………….
“ ถ้านี่เป็นแค่สังหรณ์ที่ฉันคิดไปเอง ก็ตามที แต่ฉันก็ยังอยากจะเชื่อว่านายยังอยู่
ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้
ก็ตามที แต่ฉันก็จะทำเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เหลือให้ยึดถือ นอกจากนายแล้ว
ฉันก็ไม่เหลือใครอีกแล้วในโลกนี้.. ”
เสียงที่ดังขึ้นในจิตใจ ของใครซักคน ท่ามกลางความมืดมิดที่ เกิดจากหมู่ไม้ซึ่งบดบังแสงจันทร์
ในราตรี อันเงียบสงบ ที่กำลังจะกลายเป็น สนามรบในอีกไม่ช้านี้
“ มาราคัส ตรวจหารอบๆนี้ให้หมดเลย อย่าให้คลาดเชียวล่ะ ”
/Yes Sir/(รับทราบ)
โคทาโร่ สั่งขณะที่วิ่งทะลุ สวนหย่อม ออกไปยังสนาม เพื่อตรงไปยังประตูโรงเรียน โดยมี ธนัท วิ่งตามมาติดๆ
“ คราวนี้จะไม่ให้หนีไปไหนอีกแล้ว ”
โคทาโร่ คิดขณะที่พยายามเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก จนทิ้งห่าง ธนัท ไปมาก
“ เจ้าบ้านั่น…แฮ่กๆ..จู่ๆก็วิ่งออกมาเป็นอะไร..แฮ่ก..ของมันนะ ”
ธนัท กล่าวขณะที่ถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆจนลับสายตาไป เขาจึงชะลอฝีเท้าลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
/Why is Stop Idiot / (หยุดทำไมเจ้างั่ง )
คอรัส Note ของเขา กล่าวยั่วยุเขาขึ้นมา แต่ว่าตอนนี้เขาก็เหนื่อยเกินจะ เถียงโต้กับ คอรัส แล้ว
จึงได้แต่นิ่งเงียบให้ คอรัส บ่นไป โดยที่สายตายังคงมองไป ที่ประตูทางออกซึ่ง โคทาโร่ วิ่งหายลับไป
…………
…………………….
………………………
กลุ่มเด็กนักเรียนกว่า 20 ถึง 30 คนซึ่งยืน ออกันเป็นฝูง อยู่กลางสนาม กำลังแหวกออกเป็น ทางให้คณะ ของ
มาริน่า เดินผ่านเพื่อเข้าไปยังอาคาร หมายเลข 5 ซึ่งเป็นอาคาร ที่อยู่ใกล้กับประตูทางออกโรงเรียนที่สุด
คณะของ มารีน่า เดินนำไปจนถึงหน้าทางเข้าอาคาร กลุ่มนักเรียน ที่ตามมาดู ก็หยุดเคลื่อนที่กันในทันที
มาริน่า และพวกเคียว ต้อง แปลกใจเล็กน้อยเพราะทุกคนต่าง แสดงสีหน้า หวาดกลัว และยังพากันชี้ไม้ชี้มือ
ไปยังกันสาดหน้าทางเข้าของอาคาร และเมื่อพวกเขาหันไป พวกเขาก็กระจ่างถึงสิ่งที่ทุกคนกลัว เงาสีดำ
ขนาดคนสามเงา ซึ่งมีดวงตา ส่องประกายในความมืด กำลังจ้องลงมายังพวกเขา
พวกนักเรียนเริ่ม แตกตื่น บ้างก็พากันวิ่งหนีออกห่าง บ้างก็คว้าเอา Note ขึ้นมาบันทึกภาพ
[ บอกไปหรือยังว่า Note เนี่ยสามารถบันทึกภาพเก็บลง Memory ในนามสกุลไฟล์ SAD(Spell Audio Data) ]
บ้างก็ส่องไฟฉายทีพกมา ขึ้นไปยังร่างเงานั้นบ้าง ทันทีที่ แสงไฟส่องไปยังร่างเงานั้น พวกมันทั้งสาม ก็หลบหายเข้าไปยังระเบียงอาคาร มาริน่า และสององครักษ์ ไม่รอช้ารีบวิ่งตามเข้าไปทันที
“ เคียว คอยคุ้มกันอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามเข้ามา เข้าใจนะ ”
มาริน่า ตะโกนสั่งกลับไปขณะที่วิ่งนำเข้าไปในตึก เมื่อเห็นว่า เคียว ชุติ และ แอน กำลังจะตามเข้ามา
“ ไม่ต้องมาสั่งน่า ”
เคียว ตะโกนกลับเสียงขุ่นด้วยความหงุดหงิด ขณะที่รวบตัว สองสาว กลับออกไป ก่อนจะแจง หน้าที่ให้ไป คอยคุ้มกัน พวกนักเรียน ที่มามุงดู ทว่าไม่ทันที่จะจัดทัพ ก็ถูกล้อมเสียแล้ว น้ำปริมาณมากไหล ออกมาจากท่อน้ำ
โดยไม่ทราบสาเหตุ จน เจิงนองไปทั่ว
ไม่นาน ก็มีบางสิ่งผุดขึ้นมาจาก น้ำขังที่เจิงนองอยู่ มันเป็นภูตร่างสีขาว ซีดราวกับกระดูก ผุดขึ้นมาจากน้ำ
ในมือ ถือหอกยาว มันไม่ได้มาเพียวหนึ่งหากแต่ผุดขึ้นมาจากน้ำเป็นร้อยๆ
“ อ..Aqua Wraith(เจตภูตวารี) ”
แอน กล่าวเสียงหลง ด้วยความตกใจอย่างที่สุด ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
“ อควอเรธ อสูรอัญเชิญสายกองทัพเจตภูต ถึงแม้จะเห็นว่ามาเป็น กองทัพแต่จริงๆแล้วนั่นเป็นร่างที่แยกออกมา
เพราะมันเกิดจากคาถาอัญเชิญ เดียวกัน ”
เคียว คิดขณะที่ประเมินสภาพของ ศัตรู
“ ย..เยอะขนาดนี้มันใช่อสูรไร้การควบคุมแน่เหรอ ”
ชุติ กล่าว เสียงสั่นเมื่อต้องเจอกับกองทัพ ภูตผีที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว
“ วิธี เดียวที่จะพิสูจน์ได้ ”
เคียว กล่าวจบก็ คว้างการ์ด ใบหนึ่งออกไปมันเป็นการ์ดมีหน้าที่ว่างเปล่า หลังการ์ดเป็นพื้นสี
ขาวประทับตรา แบบ การ์ด SMN ทั่วไปทันที ที่การ์ดพุ่งไปถึงกลุ่มของพวก เจตภูต การ์ดก็สลายตัวเองก่อนจะ
เกิดเส้นแสงวิ่ง ล้อมกรอบกลุ่มภูตไว้กลุ่ม
หนึ่ง เป็นลักษณะกรอบสี่เหลี่ยม พร้อมกับยกตัวขึ้นสร้างเป็นผนังแสงสีฟ้า จนมีลักษณะเป็นกล่อง
และเชื่อมปิดด้านบนจนล้อมขังไว้ทุกด้านกลายเป็นห้องๆหนึ่งที่ขังพวกเจตภูตไว้
พวกมันพยายามจะทำลาย ผนังแสง ทุกวิถีทาง ทั้งหอกฟาดฟัน แทงใส่ผนัง ทว่าก็อาจสร้าง
ความเสียหายให้แก่กรอบผนึกที่ล้อมพวกมันเอาไว้ได้เลย
“ ผนึก! ”
/Sealing/
สิ้นคำของ เคียว คาสเทเน็ต Note ของเขาก็ตอบรับก่อนจะปลดปล่อยละอองพลังเวทย์สีเขียว ออกมา
รวมกันที่อุ้งมือ ของเขาจนราวกับสวมถุงมือ แสงสีเขียวไว้ทันทีที่ เขาตวัดมือลง
กรอบผนึกที่ ขังพวกเจตภูตเอาไว้ส่วนนั้น ก็หมุนเหวี่ยงอย่างรวดเร็วและบีบอัด ขนาดของกรอบลง
ก่อนจะเกิดแสงวาบขึ้น และหายไปพร้อมกับปรากฏการ์ด ที่ขว้างออกไปขึ้นมา หน้าที่เคยว่างเปล่าบัดนี้
ได้มีภาพของกองทัพเจตภูตวารี ที่ถูกผนึกเอาไว้ กับข้อมูลของการ์ดปรากฏขึ้น
และหลังการ์ดที่เปลี่ยนเป็น สีน้ำเงินเช่น ซีลการ์ด ทั่วไป
ก่อนที่การ์ดจะพุ่งวกกลับมาที่มือของ เคียว
“ ผนึกได้ แสดงว่าพวกมันเป็น อสูรไร้การควบคุมจริงๆน่ะสิ ”
ชุติ กล่าวด้วยท่าทีเป็นกังวล
“ ถ้างั้นก็ต้องรีบหน่อยล่ะเพราะอสูรไร้การควบคุมอันตราย มากมันจะทำทำอย่าง
ด้วยความต้องการของมันเอง โดยไร้ซึ่งการควบคุม ถ้าไม่รีบหยุดเอาไว้ จะเป็นอันตารายได้ ”
เคียว กล่าวจบก็หันกลับไปเพื่อที่จะขอแรงพวกนักเรียน ที่มาดูการจับ ผีดูดเลือดของ พวกมาริน่า
แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะ ไม่มีใครที่มีใจกล้าจะสู้กันเลยเหลือก็เพียงแค่ สมาชิกชมรมSMN คนอื่นประมาณ สองสามคนที่มาช่วยเป็นกองหนุนให้
“ ช่วยกันต้านเอาไว้ อย่าพวกเข้ามาได้ รอจนกว่าประธานจะออกมา ”
“ รับทราบ ”
ทันทีที่ เคียว สั่งการจบ ชุติ แอน และพรรพวกอีก สามคน ต่างรับคำก่อนจะพากันไปประจำตำแหน่ง
ป้องกัน พวกนักเรียนคนอื่นๆ
…………..
……………….
……………………
“ วิโอริน สแตนบายน์ ”
/Sich Bereit Halten/(G(เยอรมัน): Get Set)
มาริน่า สั่งการให้ Note ของเธอเปลี่ยนรูปแบบ เป็นโหมดปลดปล่อยพลังมนตรา ทันทีที่ วิโอริน
รับคำ ก็ได้เปลี่ยนรูปจากจี้ห้อยคอ มาเป็นปลอกแขนจักรกล ประกอบเข้าที่แขนซ้ายของเธอ
ซึ่ง องครักษ์ทั้งสองของเธอ อิส กับ ฟรานซิสก้า ก็ได้ทำการ สแตนบายน์ เช่นกัน
เพราะขณะนี้ พวกเขาได้ไล่ต้อน เงาปริศนาทั้งสาม มาจนถึงทางเชื่อม อาคารหมายเลข 2กับ 5
แล้ว ทันทีที่ ข้ามผ่านทางเชื่อมมาได้ เงาทั้งสาม ก็แยกทางกันหนีทำให้พวกเขาต้องแยกกันตามไป คนละทิศ
โดย อิส วิ่งตามตัวที่หนีขึ้นบันไดไปชั้น ที่ 3 ฟรานซิก้า ไล่ตามตัวที่วิ่งลงบันได ไปชั้น 1 ส่วน มาริน่า
วิ่งตามตัวที่ตรงไปตามทางเดิน ระเบียงตึก
…………
………………..
ถนน ที่ตัดผ่านหน้าโรงเรียน ซึ่งมีรถวิ่งน้อยในช่วงดึก และยังมืดสลัวเพราะ มีเสาไฟเพียงไม่กี่ต้น
แสงไฟที่ส่องจากหลอดของเสาไฟ ได้ดับลงทีละดวงๆ ทุกครั้งที่เงาของบางสิ่งพุ่งผ่าน มันกระโดด
สลับขวาซ้ายไปเรื่อยๆ ตามเสาไฟ ก่อนจะหายลับเข้าไปยังตรอกซอย แห่งหนึ่งโดย มีโคทาโร่ วิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ
“ เจอตัวจนได้ คราวนี้จะไม่ให้หนีเลยคอยดูสิ ”
โคทาโร่ สบถ ขณะที่เร่งฝีเท้าถี่ขึ้น ตามเจ้าเงานั้น เข้าไปในตรอก และวิ่งลัดเลาะตามตรอกที่มืดสนิท
จนออกมาถึง ลานกว้าง ซึ่งถูกทิ้งให้มีหญ้าขึ้นรกร้าง ภายในลานพอจะมองเห็นสิ่งต่างๆอยู่บ้าง
เพราะเมฆที่บังแสงจันทร์ เริ่มจะเคลื่อนตัวออก ทำให้แสงส่องลงมาแล้วแน่นอน นอกจากข้าวของที่พุพัง
ซึ่งถูกทิ้งไว้ ท่ามกลางลานสนามที่เป็นทราย ซึ่งมีหญ้า ขึ้นรก ร่างเงาปริศนานั้น ก็ได้ปรากฏขึ้นใต้แสงจันทร์
มันมีขนสีดำนิล ขนาดร่างที่ล่ำสัน กรงเล็บและเขี้ยวที่พร้อมจะฉีกกระชาก ศัตรูให้เป็นชิ้นๆ
มันเป็นมนุษย์หมาป่าที่มีดวงตาสีนิลทอประกาย เสียงหอนของมัน
หากฟังแล้วคงเย็นเข้าไปถึงกระดูกราวกับ ถูกแช่แข็งทั้งเป็น
ไม่นาน นักพระจันทร์ก็ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับถูกย้อมด้วย โลหิต
“ มาราคัส สแตนบายน์ ”
/Get Set/
สิ้นคำของ โคทาโร่ Note ของเขาก็เปลี่ยนรูปเป็นชิ้นส่วน จักรกลชิ้นย่อยๆสาม ชิ้นก่อนจะ
เข้าไปประกอบติดกับ แขนซ้ายจนกลายเป็นปลอกแขนจักรกลซึ่งมีฟันเฟือน ติดอยู่ที่กลางแขน
ทว่าทันทีที่ฟันเฟือนเริ่มหมุน มันกลับหมุนอย่างๆช้าโดยที่ ความเร็วของรอบการ
หมุนไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย ละออง แสงซึ่งเป็นพลังเวทย์ที่ปล่อยออกจาก เฟืองจึงน้อยตาม ไปด้วย
“ ชิ…ที่เสียหายไปเมื่อวานมีผลจริงๆด้วยสินะ มาราคัสช่วยเร่งพลังเวทย์ให้อีกหน่อย ไหวไหม ”
/I will try/ (จะพยายาม)
โคทาโร่ กล่าวขอให้ Note ของเขาเพิ่มรอบการหมุนเพื่อส่งพลังเวทย์ ซึ่ง มาราคัส เองก็พยายามเร่งรอบการหมุน
ของเฟืองอย่างสุดกำลังแต่ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาไม่มากนัก
“ ชิ..สุดกำลังแล้วถ้าละอองเวทย์ เบาบางแค่นี้ล่ะก็ คงอัญเชิญ ซีล ระดับสูงไม่ได้ที่สุดก็ เลเวล 1 กับ
มิสติก อีกใบสองใบ ต้องลองเสี่ยงดู ”
โคทาโร่ คิดได้ดังนั้น ก็ไม่รอที่จะให้ เจ้ามนุษย์หมาป่า หนีหรือเข้ามาเล่นงาน เขารีบดึงไพ่ออกมาจากช่อง
สำรับซีล การ์ด ก่อนที่ละอองแสงจากเฟืองจะไหลมารวมกันที่ไพ่ ทันทีที่ ขว้างออกไป ก็เกิดแสงสว่าง
วาบขึ้นที่ไพ่ก่อนที่วงแสงจะขยายขึ้นและจางลง พร้อมกับการปรากฏร่างของ นักสู้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ขึ้น นักสู้เด็กมีผมสีน้ำตาลแดง สวมสนับมือเหล็ก ไว้ที่ข้อมือทั้งสองข้าง ได้ตั้งท่าเตรียมสู้ เพื่อปกป้อง เจ้านาย
ในขณะที่ มนุษย์หมาป่ายังคงนิ่งเฉย ดูท่าทีของ เขา
“ ให้เราบุกเข้าไปงั้นเหรอ ”
โคทาโร่ คิด ก่อนจะหยิบไพ่จากช่องสำรับ มิสติก ขึ้นมาสองใบ ก่อนจะร่ายมันออกไป
สนับมือ ซึ่งประดับด้วย อรัญมณี (Gemmed Gauntlet) และสนับมือซึ่งติดมีดไว้ที่ปลาย
(Daimyo Gauntlet) ทั้งสองชิ้น ได้ปรากฏสวมเข้าที่มือทั้งสองข้าง ของนักสู้เด็กหนุ่ม
“ นักสู้ฝึกหัด อาคามุ(Akamu Inzu, The Apprentice Pugilist) จู่โจม ”
โคทาโร่ สั่งการจบ นักสู้เด็กนาม อาคามุ ซึ่งเป็นอสูรอัญเชิญที่เขาร่ายขึ้นมาก็บุกเข้าไปจู่โจม ใส่
มนุษย์หมาป่า ตนนั้น
“ หึ..ถึงจะรวมร่างไม่ได้ เพราะพลังไม่พอก็เถอะ แต่ระดับพลังของแกอย่างมากก็แค่ 7 อาคามุ
มีความสามารถที่จะเพิ่มพลังเมื่อ มิสติกอุปกรณ์ ประเภท Gauntlet ถูกร่ายออกมา และบวกกับพลังของ
สนับมือพวกนั้น อาคามุ ของ ฉันอัดแกได้สบายๆอยู่แล้ว..อ… ”
โคทาโร่ ที่กล่าวอย่างได้ใจก็ต้องนิ่งชะงักไป เมื่อ อาคามุ ถูกมันซัดกลับ จนปลิวไปกองกับพื้น
อย่างง่ายดาย
“ อ..อะไรกัน ทั้งๆที่พลังของเราน่าจะเหนือกว่านี่แล้วทำไมกัน ”
ระหว่างที่ โคทาโร่ กำลังตะลึงใจอยู่นั้น เขาก็ไม่ทันที่จะระวัง
ก้อนหิน ซึ่งถูก เจ้าหมาป่าขว้างมา ก้อนหินพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ภาพนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา แต่มันก็สายเกินกว่าที่จะหลบเสียแล้ว ความแรงในการขว้างนั้น
เป็นระดับเดียวกับที่สร้างบาดแผลให้ ธนัท เมื่อคืนก่อน ซึ่งตอนนี้หินนั่นกำลังจะพุ่งเข้ามากระแทก
ตาของเขาให้ทะลุเสียแล้ว….ทว่าก่อนที เศษหินก้อนนั้นจะ ทันพุ่งเข้าใส่ โคทาโร่ ตุ๊กตามังกรซาลามันเดอร่า
สีแดงสด ก็ได้ถูกเหวี่ยงเข้ามาชนจนเศษก้อนหินนั้น เบี่ยงทิศไป ก่อนที่เจ้าตุ๊กตาซึ่งถูกแรงกระทบจนเด้ง
เข้าใส่หน้า เขาจนเซ เสียหลักล้มลงไปแทน โดยที่มี เจ้าตุ๊กตานั่งทับอยู่บนใบหน้า
“ ฮึ้ยยย..เจ้าบ้า นี่ดีนะที่ฉันตาม มาทันน่ะ ไม่งั้นป่านนี้ นายได้ปิดตาเป็นโจรสลัดแน่ ”
เสียงของ ธนัท ดังก้องขึ้นมาขณะที่ โคทาโร่ พยายามย้ายก้นเจ้าตุ๊กตาซาลามันเดอรี่
ออกจากใบหน้าของเขา
“ นี่แก จะฆ่าฉันรึไงเกือบหายใจไม่ออกตายแล้วรู้ไหม ”
โคทาโร่ ตะคอกใส่ ขณะที่ ยันตัวลุกขึ้นมา
“ นี่ฉันช่วยนายเอาไว้นะ ยังจะมาตะคอกใส่ฉันแบบนี้อีกนี่เหรอวิธีตอบแทนน้ำใจ ของนายน่ะ ”
ธนัท ตะคอก กลับขณะที่คว้าเจ้าซาลามันเดอรี่ดอล ขึ้นมา
“ อ๋อ พูดงี้นายจะหาเรื่องใช่มะ ”
“ นายน่ะแหล่ะชวนตีก่อน ”
“ นายแหล่ะ ”
“ นายน่ะแหล…. ”
การโต้เถียงของทั้งคู่ต้อง หยุดลงเมื่อ ร่างของ อาคามุ ถูกเหวี่ยงมากระแทก จนโคทาโร่
ต้องล้มลงไปกองด้วยกัน โดยที่สภาพของ อาคามุ นั้นโทรมจากการต่อสู้กับ มนุษย์หมาป่าตนนั้น
“ เจ้านี่มัน ”
/Scanning/(ทำการตรวจสอบ)
ธนัท กล่าวยังไม่ทันไร คอรัส ที่แสตนบายน์ เป็นปลอกแขนไว้ก่อนแล้ว ก็เริ่มทำการวิเคราะห์
ก่อน แสดงผลการวิเคราะขึ้นจอโฮโลแกรม
[MoonShine WereWolf At 9 DF 9 SP 4
Equipment: Bloody Moon
Owner: None ]
“ อย่างที่คิดจริงๆด้วย การที่ อาคามุ ซึ่งได้รับพลังทั้งจากความสามารถ และ มิสติก แล้วก็ยังไม่อาจชนะได้
ก็เพราะ มันได้รับการติดตั้ง มิสติก เอาไว้ด้วย แถมเพราะไม่มี เจ้าของเราก็เลยไม่สามารถ แชร์ข้อมูล
ที่ลงทะเบียนของมันได้ รู้แค่ ชื่อ กับค่าสถานะปัจจุบันเท่านั้นเอง ”
ธนัท กล่าวขณะที่เห็นค่าสถานะของอีกฝ่ายปรากฏขึ้นบนจอ
“ ชิ…เพราะสู้กับมันเมื่อคืน ไดนาเมซ (Dynamaze) ของ มาราคัส ก็เลยเสียหายจนเพิ่มรอบการปั่น
เพื่อเร่งพลังเวทย์ไม่ได้ แม้แต่ Scanning Mode ก็หยุดทำงาน ตอนนี้ฉันใช้ได้แค่เท่าที่มีนี่ล่ะ ”
โคทาโร่ รายงานสถานะของเขา ตอนนี้ให้กับ ธนัท ขณะที่ช่วยพยุง อาคามุ ให้ลุกขึ้น
[Dynamaze คืออุปกรณ์ที่คล้ายกับไดนาโมพลังเวทย์ ที่เปลี่ยนพลังงานกลให้เป็น
พลังเวทย์แทนที่จะเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งในที่นี้ ก็คือเฟืองที่โผล่พ้นปลอกแขนขึ้น ซึ่งภายในเชื่อมกับ
อุปกรณ์แปลง พลังงาน ในที่นี้ จะใช้พลังเวทย์ขับเคลื่อน เฟืองก่อนเพื่อให้สร้างพลังเวทย์
มากขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นอุปกรณ์เร่งพลังเวทย์นั่นเอง]
“ งั้นเหรอ..เอาเถอะฉันคนนี้มาช่วยนายแล้ว เดี๋ยวเจ้าหมาเนี่ย โดนซาลามันเดอร่า ของฉันเป่าทีเดียว
ก็จอดแล้ว วางใจได้เลย เอ้าออกมาเลยซาลามันเดอร่า ”
ธนัท กล่าวอย่างมั่นใจขณะที่ ย้ายมือขวาไปยัง ช่องเสียบสำรับ ซีล
………….
…………….
“ เป็นอะไรเหรอ แอน ทำไมดูเหม่อๆล่ะ ”
ชุติ กล่าวถาม ขณะที่เธอ คอยควบคุม เจ้าไก่เหล็ก ค็อกคาซี(Cocka-C) สกัดพวก เจตภูตวารี
(Aqua Wraith)ไม่ให้เข้าใกล้
“ แอน เป็นห่วง ธนัท หน่า เพราะเขาทิ้งการ์ดทั้งหมดเอาไว้ที่ห้อง ก่อนออกไป หนาซี่ ที่พอจะมีติด
ตัวไปก็ ซีลกับมิสติกอย่างละใบที่ เขาถือเอาไว้ตอนเล่นกับ แอน หน่า นี่ไงสำรับทั้งหมดของเขา ”
แอน กล่าวจบ ก็ควักเอาสำรับ ของ ธนัท ขึ้นมา ซึ่งเกือบทั้งปึกอยู่ที่นี่
“ หวายตายแล้วอีตานั่น ทำไมถึงได้ลืมของสำคัญแบบนี้ไปได้ นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไงล่ะเนี่ย
แถมดูแล้ว ที่หมอนั่นพกไปน่ะ แค่ ซาลามันเดอรี่ดอล กับ ไลซิ่งซัน(Rising Sun) สองใบเอง ”
ชุติ กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ ไม่ต้องห่วงหรอกมั้ง ทางนั้นมี โคทาโร่ อยู่ด้วยทั้งคนนี่หนา ”
แอน กล่าวเสียงเหน่อ อย่างวางใจทำให้ ชุติ คลายความกังวลไปบ้าง
“ นั่นสินะ คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ..คิดว่างั้นนะ ”
ชุติ ลำพึงกับตัวเองขณะที่หันกลับไปรับมือ กับศัตรูต่อ
….แต่ในความเป็นจริงแล้ว…..
“ แว้กกก..ช่วยด้วย ”
ธนัท ร้องเสียง หลงขณะที่มือ ซ้ายควงเจ้าตุ๊กตาซาลามันเดอรี่ วิ่งหนีไปพร้อมๆกับ อาคามุ และโคทาโร่
ขณะที่ต้องวิ่ง ซิกแซกไปมา เพื่อหลบห่ากระสุนเศษหิน ที่แวร์วูฟแสงจันทร์
ระดมขว้างใส่ไม่หยุด ไปรอบลานกว้าง
“ ไหนว่าจะเป่ามันไง รีบๆทำเข้าสิ ”
“ ฉันลืม การ์ดทั้งหมด ไว้ที่ห้องชมรมตอนนี้ไม่มีอะไรจะสู้กับมันแล้ว ”
ไม่เป็นไรซะที่ไหน วิกฤติสุดๆเลยต่างหาก ตัดกลับไปที่ พวกมาริน่า ก่อนเถอะ
………….
………………