กระนั้น ชีวิตภายในหุ่นศพนั้นกลับเลวร้ายยิ่งกว่าความเลวร้ายทั้งปวงที่โลกจะสามารถมอบให้มนุษย์สักคนหนึ่ง ในร่างวิญญาณนั้น ดวงจิตของมนุษย์จะรับรู้ถึงความจริงและรู้ดีชั่วในทุกสิ่งทุกอย่างและในทุกการกระทำตลอดชีวิตของเขา กษัตริย์ซาดินก็ไม่ต่างกัน เมื่อพระองค์ถูกบังคับให้กลายเป็นวิญญาณคนตายทั้งที่ยังมีลมหายใจ พระองค์ทรงรับรู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะวิญญาณของพระองค์ถูกจองจำอยู่ในร่าง วิญญาณที่ถูกกักขังก็ได้แต่กรีดร้องโหยหวนทรมานแสนสาหัสเพราะถูกปีศาจนับร้อยนับพันกลุ้มรุมกันกัดกินทั้งเป็น เพียงแต่ดวงจิตนั้นไม่มีวันสูญสลาย เมื่อถูกกัดกินจนหมดสิ้นแล้วก็กลับกลายร่างขึ้นมาใหม่ แล้วฝูงปีศาจก็จะกลุ้มรุมเข้ากัดกินดวงจิตนั้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จะเป็นก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้
และแม้ร่างกายจะหมดลมหายใจ แต่ดวงวิญญาณก็ยังต้องตกเป็ฯทาสและเหยื่อของเหล่าปีศาจไปอีกชั่วกัลป์ชั่วกัณฑ์...
นาซาอีหยุดพูดเมื่ออุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้นจนน่าตกใจ เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นภายในใจขององค์ราชินีล้นบ่าออกมาทั่วสรรพางค์กายราวลาวาเดือด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเล็บจิกจมเข้าไปในเนื้อ น้ำเสียงที่ลอดไรฟันออกมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนสุดบรรยาย
ข้าเข้าใจแล้วว่าปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นถึงสามคืนติด ๆ กันนั้นคืออะไร มันคือความคลั่งแค้น ความชิงชังไอ้สารเลวนั้นที่ซาดินส่งมาถึงข้า ดวงเนตรคมนั้นวาวโรจน์และเต็มไปด้วยจิตสังหาร ถึงเจ้าจะไม่เอ่ยชื่อไอ้อสรพิษนั่น แต่ข้าก็รู้ว่ามันต้องเป็นไอ้คางคกเฒ่าเบลซ เซจ มันคอยทำลายชีวิต ความสุข และ ความฝันของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้ามันช่างโง่งมนัก ข้าน่าจะฆ่ามันตั้งแต่แปดปีก่อน...ไม่...ข้าควรจะฆ่ามันตั้งแต่มันเข้ามารับราชการในซาโลมด้วยซ้ำ แต่นี่...ข้ากลับปล่อยมันไว้ ให้มันมาเป็นหนามยอกอก เป็นหอกข้างแคร่ของข้าอยู่นานนับปี จนมันกำเริบเสิบสาน อาจหาญก่อการใหญ่ถึงเพียงนี้ นี่มันคงคิดจะชิงอำนาจ...มันคิดกำจัดโอรสของข้าด้วยใช่ไหม?! ราชินีเนริมอร์ตรัสถาม แม้ว่าจะทรงรู้คำตอบอยู่เต็มอก ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม
ครั้นเมื่อนาซาอีก้มศีรษะลงรับคำ ก็ยิ่งทำให้พระนางเนริมอร์ระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมาไม่ต่างกับสาดน้ำมันรดกองไฟ น้ำในถ้วยชาบนโต๊ะทรงเตี้ยข้างกายพระนางเริ่มเดือดพล่าน
ไอ้เดรัจฉาน กล้าคิดจะแตะต้องโอรสของข้า มันจะต้องตาย มันจะต้องตายก่อนที่เท้าโสโครกของมันจะก้าวเข้ามาในวังนี้
จงอย่าเผชิญหน้ากับผู้เป็นปฏิปักษ์ ไม่ใช่เวลานี้ นาซาอีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ แต่อนิจจา ราชินีเนริมอร์ทรงจมดิ่งสู่มหาสมุทรแห่งความคลั่งแค้นเกินกว่าจะได้ยินเสียงของนางเสียแล้ว
s
ที่ชายป่าทางทิศเหนือของเผ่าฟูดินัน ใกล้กับเส้นทางหลักที่นำสู่มหาพฤกษาอิกดราซิล สาวน้อยวัยสิบสี่ปีกำลังนั่งง่วนอยู่กับการถักมาลัยคล้องคอด้วยดอกไม้ป่าอย่างมีความสุข เด็กสาวยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นว่ามาลัยที่ถักด้วยดอกไม้ป่าสีขาวอมชมพูจวนจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เผ่าต่าง ๆ โดยเฉพาะเผ่าฟูดินันต่างก็เร่งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือน ประรำพิธี และตามสุมทุมพุ่มไม้ด้วยผ้าหลากสี โคมไฟ ผลไม้ และ ดอกไม้นานาพันธุ์ที่จัดเป็นพุ่มช่ออย่างสวยงาม อาหาร เครื่องดื่ม และการแสดงรื่นเริงต่าง ๆ ถูกตระเตรียมไว้อย่างเต็มที่เพื่อรอคอยวันนี้ วันที่กองทัพแห่งฟูดินันจะเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ
ขอบใจนะจ๊ะ ขอโทษนะ เด็กสาวกล่าวกับดอกไม้สีขาวอมชมพูที่กำลังแย้มบานอย่างสวยงามก่อนจะบรรจงเด็ดดอกไม้นั้นขึ้นมาสอดก้านมัดปลายของพวงมาลัยเพื่อเชื่อมพวงดอกไม้ให้แน่นหนายิ่งขึ้น เธอยกขึ้นสำรวจความประณีตของพวงมาลัยก่อนจะยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
เสียงใบไม้ที่เสียดสีกันเบา ๆ ตามแรงลมทำให้เด็กสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างให้กับต้นไม้โดยรอบ ซึ่งแต่ละต้นก็โบกกิ่งพลิ้วไหวไปมาอย่างอ่อนโยนคล้ายกับว่าต้นไม้เหล่านั้นกำลังสื่อสารกับเธอ
ขอบคุณคะ วานาอันกล่าวขอบคุณแล้วก้มลงมองพวงมาลัยในมืออีกครั้ง
วานาอันนั้นมีความสามารถในการสื่อสารกับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก ทว่าความสามารถของเธอพัฒนาก้าวหน้ารวดเร็วขึ้นมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะสถานการณ์คับขันกระตุ้นให้ร่างกายของเธอพยายามพัฒนาขีดความสามารถให้มากขึ้นเพื่อให้เธอสามารถเอาตัวรอดจากภัยร้ายและไฟสงครามได้ เดี๋ยวนี้ เพียงแค่เธอเงี่ยหูตั้งใจฟัง เด็กสาวก็สามารถได้ยินเสียงของต้นไม้และสายลมที่ส่งผ่านมาถึงเธอ [/size]