Summoner Master Forum
November 26, 2024, 05:03:06 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 61 เตรียมการ @@  (Read 9173 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: November 26, 2007, 11:06:20 PM »

Chapter 61 เตรียมการ

                       กลางดึกสงัดที่แสนจะหนาวเหน็บในดินแดนทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่   บรรดาผู้คนในอาณาจักรซาโลมต่างก็หลับใหลซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มขนสัตว์หนานุ่มและอบอุ่น   ทว่ามีใครคนหนึ่งกลับกำลังนอนกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุขในสถานที่ที่เรียกได้ว่าหรูหราและสะดวกสบายที่สุดในอาณาจักรทะเลทรายแห่งนี้
                       บนแท่นบรรทมที่แสนจะงดงามวิจิตรด้วยผ้าแพรหลากสีและลวดลายสลักเสลาที่ฐานอย่างประณีตเป็นรูปพญาวิหคเพลิงกางปีกอยู่โดยรอบ   เสียงพึมพำเบา ๆ ดังแว่วจากทางแท่นบรรทมเป็นระยะ ๆ   บ่งบอกว่าผู้ที่หลับใหลอยู่บนแท่นนั้นคงจะฝันถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์นัก   อุณหภูมิภายในห้องนั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผิดกับอุณหภูมิภายนอกที่ยังคงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
                       “ไม่... ปล่อยเขา...” เสียงพึมพำนั้นเริ่มดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน... อย่าไป... ซาดิน!!”
                       ราชินีเนริมอร์ทรงผวาลุกขึ้นจากแท่นบรรทมด้วยความตกพระทัย   ดวงพักตร์ของพระนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ   ทรงหายใจถี่ ๆ เหมือนคนที่เหนื่อยแทบขาดใจซึ่งพยายามสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายให้มากที่สุด   พระนางทรงเหลือบมองโดยรอบห้องบรรทมพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบอกและลำคอเพื่อบรรเทาอาการตื่นตระหนกจากฝันร้ายนั้น   ทรงรู้สึกคอแห้งผากจนแทบจะเป็นผงเหมือนคนขาดน้ำในทะเลทราย   แม้จะทรงตื่นตัวเต็มที่แล้วแต่ก็ยังรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย   ลมจากภายนอกหน้าต่างพัดลอดช่องหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดแง้มเป็นช่องเล็ก ๆ เข้ามา   สายลมเย็นยะเยือกสัมผัสถูกผิวกายที่ชื้นเหงื่อของพระนางจนทำให้พระนางสะดุ้งเฮือกด้วยความประหลาดพระทัย   พระนางเพิ่งจะสังเกตว่าอุณหภูมิในห้องสูงกว่าปกติ   เมื่อพระนางทรงพยายามข่มใจให้สงบ   อุณหภูมิในห้องจึงค่อย ๆ ลดลงจนเป็นปกติ
                       “นี่มัน...อะไรกัน?” ราชินีเนริมอร์ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงทบทวนความฝันทั้งหมดด้วยความวิตกกังวล   ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกประหลาดพระทัยเกินกว่าจะทำเป็นเพิกเฉยได้   พระนางจึงทรงรีบลุกออกจากแท่นบรรทม   ฉวยไม้สลักตีฆ้องเป็นสัญญาณเรียกนางกำนัลต้นห้องทันที   ไม่กี่อึดใจนางกำนัลต้นห้องที่ใบหน้ายังคงมีอาการง่วงงุนก็รีบวิ่งเข้ามาหมอบแทบบาทองค์ราชินีเพื่อรอฟังคำบัญชา
                       “ทันทีที่ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสง   จงรีบส่งคนไปเชิญผู้พยากรณ์นาซาอีแล้วให้นางไปพบข้าที่เรือนรับรองฝั่งตะวันออกทันที”
                       “เพคะ” นางกำนัลต้นห้องรับคำก่อนจะสาวเท้าออกจากห้องไปจัดการตามที่ได้รับบัญชาทันที

   
                       ราชินีเนริมอร์ทรงมองแสงสีทองที่ค่อย ๆ ทอแสงให้ความสว่างไสวแก่อาคารน้อยใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอย่างแออัดในเขตชุมชนขั้นในของอาณาจักรเพลิง   ไกลออกไปนอกกำแพงเมือง   เนินทรายสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่ถูกสายลมพัดจัดตลอดทั้งคืนนั้นหลงเหลือร่องรอยให้สังเกตเห็นได้จากบริเวณยอดเนินที่มีเส้นขอบโค้งคมกริบ   แสงสะท้อนสีทองของยามรุ่งอรุณทำให้มองดูเหมือนภูเขาทองคำอร่ามตา   ราชินีเนริมอร์ทรงถอนหายใจเบา ๆ   พระนางคงจะรู้สึกเพลิดเพลินในการชมทัศนียภาพยามเช้ามากกว่านี้   ทว่าวันนี้จิตใจของพระนางไม่สู้ดีเอาเสียเลย   หากไม่ใช่เป็นเพราะฝันประหลาดนั่น   พระนางถอนหายใจอย่างหงุดหงิดอีกครั้งเมื่อนาซาอียังเดินทางมาไม่ถึงเสียที   สตรีผู้สูงศักดิ์ทรงหย่อนองค์แรง ๆ ลงบนเบาะทรงกลมสีแดงใบใหญ่ที่ถูกจัดไว้บนแท่นยกพื้นสูง   เมื่อเห็นว่าผู้พยากรณ์คงจะยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะเดินทางมาถึงจึงได้เริ่มคิดพิจารณาความแปลกประหลาดของความฝันที่เกิดขึ้น   
                       อันที่จริงพระนางฝันร้ายติด ๆ กันเช่นนี้มาสามวันแล้ว   แต่เมื่อคืนนี้ความฝันดูชัดเจนและสมจริงจนเมื่อพระนางตื่นขึ้นกลับยังคงรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ในฝันเกิดขึ้นจริง ๆ ภายในห้องบรรทมนั้น   ซึ่งความฝันนั้นเริ่มขึ้นนับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก เบลส เซจ ว่าขบวนพระศพของกษัตริย์ซาดินที่ใช้ทัพนกโมฮาโดยคัดเอาแต่ตัวที่ฝีเท้าจัดออกเคลื่อนทัพทั้งกลางวันกลางคืนกำลังเคลื่อนมาใกล้เขตซาโลมแล้ว   ซึ่งคงจะมาถึงซาโลมในอีกสี่หรือห้าสัปดาห์ข้างหน้า   ราชินีเนริมอร์ทรงเบ้หน้าเมื่อนึกถึงการจัดขบวนพระศพสวามีของอุปราชเฒ่า   ช่างไม่สมพระเกียรติเอาเสียเลย   ซาดินเป็นถึงกษัตริย์แห่งจักรวรรดิซาโลม   พาหนะเทียมพระศพก็ควรจะเป็นมังกรมิใช่นกยักษ์ที่มีดาษดื่นเช่นนี้  นี่เพราะไม่ใส่ใจ, ไม่รู้ธรรมเนียม หรือโง่เง่ากันแน่   ยิ่งคิดก็ยิ่งชวนให้หงุดหงิด   เมื่อโอรสของพระนางเข้าพิธีปราบดาภิเษกเมื่อไร   พระนางจะให้เนรเทศเจ้าอุปราชเฒ่านี่ก่อนเป็นอันดับแรก   หน้าที่ดูแลถวายคำแนะนำและการรับใช้ข้างกายโอรสของพระนางมีท่านนาริสเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว   เมื่อทรงคิดได้ดังนั้นก็จึงค่อยสบายพระทัยขึ้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: November 26, 2007, 11:08:07 PM »

                       ระหว่างที่กำลังทรงเพลินอยู่กับความคิดนั้น   พลันความคิดของพระนางก็ถูกขัดจังหวะ   เมื่อจู่ ๆ เสียงประกาศแจ้งการมาถึงของผู้พยากรณ์นาซาอีก็ดังขึ้น   ราชินีเนริมอร์ทรงรีบโบกมือเป็นสัญญาณให้นายทวารทันที   บานประตูสลักถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับปรากฏร่างของสตรีในชุดสีแดงเพลิงคลุมใบหน้ามิดชิดยืนเด่นอยู่ระหว่างช่องประตูที่เปิดออก   ดวงตาของนางยังคงดูสงบนิ่งและคมเฉียบเหมือนเมื่อเกือบสิบปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน   คล้ายกับนาฬิกาชีวิตของนางเดินช้ากว่าคนทั่วไป   นางยอบกายลงเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ย่างเท้าเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าองค์ราชินี
                       เพียงแค่ผู้พยากรณ์เดินเข้ามาในห้องบรรยากาศโดยรอบก็ดูแปลกไปจากเดิมไม่น้อยเลยทีเดียว   บรรยากาศที่เปลี่ยนไปผนวกกับการหยั่งรู้และความแม่นยำในการพยากรณ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับนาง   ก็ทำให้ราชินีเนริมอร์ทรงอดมีความรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้   แม้ว่าองค์ราชินีจะทรงแสดงออกถึงความรู้สึกเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“นั่งลงสิ นาซาอี” ราชินีเนริมอร์ตรัสพลางผายมือไปทางโต๊ะเตี้ย ๆ และเบาะทรงกลมหนานุ่มที่พระนางให้เหล่านางกำนัลจัดเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าตรู่
                       นาซาอีค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วจึงหย่อนตัวลงนั่งตรงที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้   แต่ยังไม่ทันที่จะได้นั่ง   ราชินีเนริมอร์ที่ทรงเริ่มร้อนพระทัยอยากจะรู้ความหมายของความฝันก็รีบตรัสถามอย่างไม่รีรอ
                       “เจ้าคงจะสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงเรียกพบเจ้าแต่เช้าตรู่เช่นนี้”
                       นาซาอีหยุดชะงักเล็กน้อยพลางเหลือบมองใบหน้าผู้พูดด้วยสายตาเรียบนิ่งแล้วจึงส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะค่อยหย่อนตัวลงนั่ง
                       “เจ้าหยั่งรู้ได้หรือว่าข้าจะเรียกพบเจ้าในวันนี้?” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยความอัศจรรย์ใจมากกว่าจะเป็นคำถาม   พระนางคลี่ยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ “สมแล้วที่เป็นผู้พยากรณ์อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิซาโลม   แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ยังสามารถหยั่งรู้ได้... ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คงรู้สินะว่าข้าเรียกเจ้ามาพบด้วยเหตุอันใด?”
นาซาอีพยักหน้าครั้งหนึ่งพลางหยิบสำรับไพ่ทำนายขึ้นมา “ความฝันขององค์ราชินี”
                       “ถูกต้อง” ราชินีเนริมอร์ตรัสพลางเบิกเนตรคมขึ้น ประหม่ากับญาณหยั่งรู้ของสตรีเบื้องหน้า “ข้าฝันร้ายมาสามคืนติด ๆ กัน...”
                       นาซาอีแทบจะไม่ต้องฟังคำอธิบายใด ๆ ต่อเมื่อนางหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมาพลิกหงายวางไว้กลางโต๊ะ   ไพ่ใบนั้นเป็นรูปของกษัตริย์ในเครื่องทรงโบราณสีแดงนั่งอยู่บนบัลลังก์สวยงามทว่าไพ่นั้นถูกวางกลับหัวลง “กษัตริย์ซาดิน”
                       “ใช่   ข้าเชื่อว่ามันมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่   ข้าอยากจะให้เจ้าแปลความหมายของฝันประหลาดนี้...” ราชินีเนริมอร์ทรงเงียบเสียงลงเมื่อนาซาอีเริ่มวาดมือราวกับร่ายรำเนื้อสำรับไพ่   ไพ่ทำนายเริ่มขยับและกรีดสลับได้เองอย่างน่าอัศจรรย์   ดูเหมือนว่าวิชาอาคมในการทำนายของนางยิ่งจะแก่กล้าขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว   ไพ่ทำนายถูกดีดออกจากสำรับใบแล้วใบเล่า   มันลอยไปหยุดอยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ บนโต๊ะจนดูราวกับมันมีความนึกคิดของมันเอง   และทันทีที่ไพ่ใบสุดท้ายหลุดที่ตำแหน่งของมัน   นาซาอีก็ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน   ไพ่ทำนายทั้งหมดก็พลิกหงายขึ้นเองในบัดดล   
                       นาซาอีนิ่งสงบขงระอ่านไพ่ทำนายทีละใบ ๆ อย่างใจเย็น   ผิดกับองค์ราชินีที่รอฟังคำทำนายด้วยความร้อนพระทัยจนทรงอดชะโงกองค์ก้มดูหน้าไพ่ทั้งหมดบนโต๊ะไม่ได้   แม้จะไม่ทรงรู้ความหมายของไพ่แต่ละใบก็ตามที
                       “ไพ่บอกอะไรกับเจ้า?”
                       นาซาอีเหลือบสายตาขึ้นมองราชินีเนริมอร์ครู่หนึ่ง   แต่ก็เคลื่อนสายตากลับไปจดจ่อกับไพ่ทำนายของตนตามเดิม   เมื่อราชินีเนริมอร์ทรงเห็นดังนั้นก็ยิ่งร้อนพระทัยยิ่งขึ้นจึงตรัสเร่ง
                       “นาซาอี?!”
                       “ความตาย ความทรมานแสนสาหัส ความเคียดแค้นชิงชัง การล่อลวง และ...ทรยศ”
                       “ทรยศ!?” ราชินีเนริมอร์ทรงพรวดพราดลุกขึ้น   ดวงเนตรคมเบิกกว้าง ตรัสด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้นในทันที “เจ้าพูดว่าทรยศอย่างนั้นรึ?”  คำชั่วร้ายที่พระนางไม่ทันได้คาดคิดหรือเฉลียวใจแม้สักนิด   อารมณ์ความรู้สึกภายในของพระนางเริ่มพุ่งพล่านด้วยความกริ้วโกรธจนแทบคลั่ง   ชีวิตของพระนางต้องระหกระเหิน ลำบากลำบนตกอยู่ในอันตรายจนแทบถึงชีวิตกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เพราะการทรยศทั้งนั้น    พระนางพยายามเค้นเสียงตรัสรอดไรฟันที่ขบกันแน่นทีละคำราวกับกำลังตอกลิ่มลงในหัวเจ้าคนทรยศจนสุดแรง “ข้า...ต้องการ...รู้...การตายของซาดิน...ทั้งหมด! อย่างละเอียด! เดี๋ยวนี้!!”
                       นาซาอีผายมือทั้งสองออกวางแนบลงบนโต๊ะพลางเงยหน้าที่สบตาสตรีสูงศักดิ์เบื้องหน้า   ใบหน้าซ่อนเร้นอยู่หลังผ้าคลุมหน้าสีแดงสด   จึงไม่อาจรู้ได้ว่านางพูดด้วยความรู้สึกเช่นไร   ทว่าดวงตาของนางดูราวกับว่าได้เห็นอะไรบางอย่างมากเกินกว่าที่ไพ่ทำนาย
                       “แท้จริงแล้ว   กษัตริย์ซาดินทรงบาดเจ็บสาหัสก็จริงอยู่   แต่ไม่ถึงชีวิต   ทว่านอกจากพระองค์จะถูกละเลยจากการพยาบาลรักษาและการให้ข้าวยาอาหารแล้ว   พระองค์ยังถูกเปลี่ยนให้เป็นหุ่นศพทั้งเป็น   โดยปฏิปักษ์ผู้ได้รับความช่วยเหลือจากเปลวเพลิงแห่งความมืดมิด   พระองค์ถูกทิ้งให้ตายช้า ๆ ด้วยความเจ็บปวดทรมานและโหยหิว   บาดแผลทั่วทั้งตัวถูกหนอนกัดกินเน่าเฟะกัดกร่อนไปถึงกระดูก   แต่แม้เพียงเสียงครางเพราะความเจ็บปวดก็มิอาจทำได้
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: November 26, 2007, 11:09:14 PM »

                       กระนั้น ชีวิตภายในหุ่นศพนั้นกลับเลวร้ายยิ่งกว่าความเลวร้ายทั้งปวงที่โลกจะสามารถมอบให้มนุษย์สักคนหนึ่ง   ในร่างวิญญาณนั้น   ดวงจิตของมนุษย์จะรับรู้ถึงความจริงและรู้ดีชั่วในทุกสิ่งทุกอย่างและในทุกการกระทำตลอดชีวิตของเขา   กษัตริย์ซาดินก็ไม่ต่างกัน   เมื่อพระองค์ถูกบังคับให้กลายเป็นวิญญาณคนตายทั้งที่ยังมีลมหายใจ   พระองค์ทรงรับรู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่าง   แต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะวิญญาณของพระองค์ถูกจองจำอยู่ในร่าง   วิญญาณที่ถูกกักขังก็ได้แต่กรีดร้องโหยหวนทรมานแสนสาหัสเพราะถูกปีศาจนับร้อยนับพันกลุ้มรุมกันกัดกินทั้งเป็น   เพียงแต่ดวงจิตนั้นไม่มีวันสูญสลาย   เมื่อถูกกัดกินจนหมดสิ้นแล้วก็กลับกลายร่างขึ้นมาใหม่   แล้วฝูงปีศาจก็จะกลุ้มรุมเข้ากัดกินดวงจิตนั้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า   จะเป็นก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้
                       และแม้ร่างกายจะหมดลมหายใจ   แต่ดวงวิญญาณก็ยังต้องตกเป็ฯทาสและเหยื่อของเหล่าปีศาจไปอีกชั่วกัลป์ชั่วกัณฑ์...”
                       นาซาอีหยุดพูดเมื่ออุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้นจนน่าตกใจ   เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นภายในใจขององค์ราชินีล้นบ่าออกมาทั่วสรรพางค์กายราวลาวาเดือด   มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเล็บจิกจมเข้าไปในเนื้อ   น้ำเสียงที่ลอดไรฟันออกมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนสุดบรรยาย
                       “ข้าเข้าใจแล้วว่าปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นถึงสามคืนติด ๆ กันนั้นคืออะไร   มันคือความคลั่งแค้น  ความชิงชังไอ้สารเลวนั้นที่ซาดินส่งมาถึงข้า” ดวงเนตรคมนั้นวาวโรจน์และเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ถึงเจ้าจะไม่เอ่ยชื่อไอ้อสรพิษนั่น   แต่ข้าก็รู้ว่ามันต้องเป็นไอ้คางคกเฒ่าเบลซ เซจ   มันคอยทำลายชีวิต ความสุข และ ความฝันของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า   ข้ามันช่างโง่งมนัก   ข้าน่าจะฆ่ามันตั้งแต่แปดปีก่อน...ไม่...ข้าควรจะฆ่ามันตั้งแต่มันเข้ามารับราชการในซาโลมด้วยซ้ำ   แต่นี่...ข้ากลับปล่อยมันไว้   ให้มันมาเป็นหนามยอกอก เป็นหอกข้างแคร่ของข้าอยู่นานนับปี   จนมันกำเริบเสิบสาน อาจหาญก่อการใหญ่ถึงเพียงนี้   นี่มันคงคิดจะชิงอำนาจ...มันคิดกำจัดโอรสของข้าด้วยใช่ไหม?!” ราชินีเนริมอร์ตรัสถาม แม้ว่าจะทรงรู้คำตอบอยู่เต็มอก   ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม
                       ครั้นเมื่อนาซาอีก้มศีรษะลงรับคำ  ก็ยิ่งทำให้พระนางเนริมอร์ระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมาไม่ต่างกับสาดน้ำมันรดกองไฟ   น้ำในถ้วยชาบนโต๊ะทรงเตี้ยข้างกายพระนางเริ่มเดือดพล่าน
                       “ไอ้เดรัจฉาน   กล้าคิดจะแตะต้องโอรสของข้า   มันจะต้องตาย   มันจะต้องตายก่อนที่เท้าโสโครกของมันจะก้าวเข้ามาในวังนี้”   
                       “จงอย่าเผชิญหน้ากับผู้เป็นปฏิปักษ์   ไม่ใช่เวลานี้” นาซาอีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ   แต่อนิจจา ราชินีเนริมอร์ทรงจมดิ่งสู่มหาสมุทรแห่งความคลั่งแค้นเกินกว่าจะได้ยินเสียงของนางเสียแล้ว

s

                       ที่ชายป่าทางทิศเหนือของเผ่าฟูดินัน   ใกล้กับเส้นทางหลักที่นำสู่มหาพฤกษาอิกดราซิล   สาวน้อยวัยสิบสี่ปีกำลังนั่งง่วนอยู่กับการถักมาลัยคล้องคอด้วยดอกไม้ป่าอย่างมีความสุข   เด็กสาวยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นว่ามาลัยที่ถักด้วยดอกไม้ป่าสีขาวอมชมพูจวนจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
                       ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา   เผ่าต่าง ๆ โดยเฉพาะเผ่าฟูดินันต่างก็เร่งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือน ประรำพิธี และตามสุมทุมพุ่มไม้ด้วยผ้าหลากสี โคมไฟ ผลไม้ และ ดอกไม้นานาพันธุ์ที่จัดเป็นพุ่มช่ออย่างสวยงาม   อาหาร เครื่องดื่ม และการแสดงรื่นเริงต่าง ๆ ถูกตระเตรียมไว้อย่างเต็มที่เพื่อรอคอยวันนี้   วันที่กองทัพแห่งฟูดินันจะเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ
                       “ขอบใจนะจ๊ะ   ขอโทษนะ” เด็กสาวกล่าวกับดอกไม้สีขาวอมชมพูที่กำลังแย้มบานอย่างสวยงามก่อนจะบรรจงเด็ดดอกไม้นั้นขึ้นมาสอดก้านมัดปลายของพวงมาลัยเพื่อเชื่อมพวงดอกไม้ให้แน่นหนายิ่งขึ้น   เธอยกขึ้นสำรวจความประณีตของพวงมาลัยก่อนจะยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
                       เสียงใบไม้ที่เสียดสีกันเบา ๆ ตามแรงลมทำให้เด็กสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างให้กับต้นไม้โดยรอบ   ซึ่งแต่ละต้นก็โบกกิ่งพลิ้วไหวไปมาอย่างอ่อนโยนคล้ายกับว่าต้นไม้เหล่านั้นกำลังสื่อสารกับเธอ
                       “ขอบคุณคะ” วานาอันกล่าวขอบคุณแล้วก้มลงมองพวงมาลัยในมืออีกครั้ง
                       วานาอันนั้นมีความสามารถในการสื่อสารกับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก   ทว่าความสามารถของเธอพัฒนาก้าวหน้ารวดเร็วขึ้นมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา   อาจเป็นเพราะสถานการณ์คับขันกระตุ้นให้ร่างกายของเธอพยายามพัฒนาขีดความสามารถให้มากขึ้นเพื่อให้เธอสามารถเอาตัวรอดจากภัยร้ายและไฟสงครามได้   เดี๋ยวนี้ เพียงแค่เธอเงี่ยหูตั้งใจฟัง   เด็กสาวก็สามารถได้ยินเสียงของต้นไม้และสายลมที่ส่งผ่านมาถึงเธอ   [/size]
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: November 26, 2007, 11:10:29 PM »

                       กระนั้นก็ดี สภาวะคับขันที่เกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธออยู่มากทีเดียว   เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่   ตัวเธอก็ดูจะถูกไฟร้ายนั้นเผาผลาญความสดชื่นรื่นเริงของเธอไปด้วย   ยิ่งพี่ชายของเธอต้องนำทัพไปร่วมรบกับอาณาจักรฟีเลเซียเพื่อต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดิซาโลม   จนไม่ได้พบหน้ากันนานแรมปีโดยที่แทบจะไม่ค่อยได้ทราบข่าวคราวใด ๆ   เว้นเสียแต่ตามคำบอกเล่าของพวกพ่อค้าหาบเร่ที่นาน ๆ จะข้ามเขตเข้ามาในฟูดินันที   ซึ่งก็ยิ่งทำให้จิตใจของเธอห่อเหี่ยวลงเสมอ ๆ   จนใคร ๆ ก็ออกปากทักว่าเธอไม่ร่าเริงดังเก่า
                       ทว่าตั้งแต่ทราบข่าวว่ากองทัพฟูดินันซึ่งนำโดยฮารีซันกำลังเคลื่อนทัพกลับมา   แม้จะแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง   แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เธอร่าเริงและยิ้มแย้มมากขึ้นจนผิดตา   โดยเฉพาะวันนี้ที่เธออุตส่าห์ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมมาลัยคล้องคอไว้ต้อนรับพี่ชาย
                       ครั้นแล้วจู่ ๆ เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังประสานขานรับกันจนสนั่นลั่นไปทั้งป่า   เด็กสาวคลี่ยิ้มกว้าง แววตาพราวไปด้วยความโลดเต้นยินดี   ซึ่งก็ยิ่งทำให้ดวงหน้างามหมดจดนั้นดูอ่อนเยาว์สดใสไม่ต่างจากดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิเลยทีเดียว
                       “พวกเขามากันแล้วค่ะ” เด็กสาวชะเง้อมองไปทางป่าอีกฟากเหมือนอยากจะมองให้ทะลุไปยังฟากกระโน่นได้   เธอหันมาพูดกับบรรดาต้นไม้โดยรอบ “ไปก่อนนะคะ”     
                       เด็กสาวรีบบรรจงวางพวงมาลัยลงในตะกร้าก่อนจะลุกขึ้นออกวิ่งจนสุดฝีเท้า


                       เหล่านักดนตรีบรรเลงเพลงทันทีที่เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้น   บรรดาชาวป่าทุกคนต่างก็รีบวิ่งกรูกันมารวมตัวอยู่ที่บริเวณลานว่างขนาดใหญ่ที่ทุกคนช่วยกันเตรียมเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อไว้คอยต้อนรับกองทัพฟูดินันที่จะเดินทางมาถึง   บรรดาเด็ก ๆ ที่รออยู่แถวบริเวณนั้นตั้งแต่เช้าต่างวิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอย่างสนุกสนาน   ในขณะที่บรรดาพ่อแม่และชาวป่าคนอื่น ๆ ต่างก็พยายามชะเง้อมองหาขบวนกองทัพกันอย่างตื่นเต้น   รอคอยผู้ที่เป็นพ่อ เป็นญาติพี่น้อง เป็นสามี เป็นคนรัก เป็นลูก และ เป็นเพื่อนของพวกตน   
                       และทันทีที่บอกเห็นสัญญาลักษณ์มหาพฤกษาอิกดราซิลบนยอดธงที่โบกสะบัด   บรรดาชาวบ้านก็ปรบมือ ส่งเสียงไชโยโห่ร้องต้อนรับพร้อมกับโยนดอกไม้และกลีบดอกไม้หลากสีตามแต่ที่พวกเขาจะสามารถหามากันได้   ต่างก็โปรยให้กับขบวนกองทัพที่เคลื่อนผ่านจนกลายเป็นพรมดอกไม้ที่แสนงดงาม   บรรดาชาวบ้านที่ยืนอยู่แถวหน้าต่างก็ยื่นมือไม้ขอจับมือกับบรรดาทหารหาญทั้งหลายอย่างตื่นเต้นยินดี   เสียงตะโกนเรียกชื่อคนที่ตนรู้จักหรือไม่ก็ญาติพี่น้องของตน   บ้างก็ร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มดีใจที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง   แม้แต่ฮารีซันและบรรดาขุนพลทั้งสามก็ตกเป็นเป้าของพวกชาวป่าที่อยากจะสัมผัสและใกล้ชิดกันบุคคลระดับหัวหน้าด้วย   ทุกคนต่างมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มให้กันอย่างมีความสุข   
                       ฮารีซันชะเง้อมองไปตรงบริเวณหน้าประรำพิธีที่จัดเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้อาวุโสจากเผ่าต่าง ๆ   และแล้วเขาก็ยิ้มกว้างด้วยความยินดีเมื่อมองเห็นปู่ของตนยืนเด่นอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้อาวุโส   ซึ่งทุกคนต่างก็ยืนขึ้นปรบมือและยิ้มแย้มต้อนรับการกลับมาของกองทัพฟูดินัน   ทั้งทราเฮิร์น คาร์น และ ดามิก้าต่างก็ตรงเข้าไปทักทายบรรดาผู้อาวุโสจากเผ่าของตนอย่างยินดี   ฮารีซันเองก็รีบตรงเข้าไปหาและสวมกอดปู่ของตนด้วยความรักและคิดถึง
                       “ท่านปู่   ข้ากลับมาแล้ว”  ฮารีซันกอดปู่ของตน   รู้สึกว่าปู่ดูตัวเล็กลง ผอมลงกว่าที่ตนเคยจำได้   เขารู้สึกว่าร่างเล็ก ๆ ของผู้เฒ่านั้นสั่นน้อย ๆ มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ   มือที่เหี่ยวย่นแต่อบอุ่นนั้นกอดตอบเขาและตบหลังเขาเบา ๆ เหมือนเวลาที่เขายังเด็ก   กระบอกตาของเขาร้อนผ่าวแต่ก็พยายามฝืนไว้   ฮารีซันขืนตัวเองถอยห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อมองหน้าปู่ของตน   จึงเห็นว่าปู่วูจินก็มีดวงตาที่ฉ่ำชื้นด้วยเช่นกัน   
                       “ปู่ได้ยินจากเจ้าพ่อค้าหาบเร่โจซานว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส   อาการเป็นตายเท่ากัน   เจ้าได้ขี่พญามังกร และเจ้าสามารถสังหารกษัตริย์เพลิงด้วยมือเปล่า...”
                       ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขำออกมาทันที “ไม่จริงนะครับท่านปู่   โจซานพูดเกินจริงอีกแล้ว”
                       “ฮะ ฮะ ฮะ ปู่ก็คิดว่าโจซานคงจะโม้เกินจริงเพื่อขายของเหมือนที่เขาชอบทำนั่นแหละ   แต่ก็คงจะมีมูลความจริงอยู่บ้าง”
                       “แล้วนี่วานาอันไปไหนเสียล่ะครับ” ฮารีซันมองหาน้องสาวที่ควรจะอยู่ข้างท่านปู่เมื่อที่เธอจะทำเสมอ
                       “วานาอันน่ะรึ...” วูจินยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อนึกถึงหลานสาว
                       “พี่ฮารีซัน!” เสียงตะโกนเรียกที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักจากเด็กสาวดังขึ้น
                       ฮารีซันหันไปทางต้นเสียงแล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นน้องสาวที่รักวิ่งตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเต็มที่   ฮารีซันอ้าแขนรับน้องสาวที่วิ่งเข้ามาหาด้วยความรักใคร่เอ็นดู   เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเด็กสาวก่อนจะทำเป็นวัดระดับกับอกของเขา   
                       “นี่เจ้าตัวสูงขึ้นตั้งเยอะนะนี่   อีกหน่อยเจ้าต้องสูงทันพี่แน่ ๆ เลย”
                       “ฮ้า...ถ้าสูงทันท่านล่ะก็   นางคงเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวที่สุดในฟูดินันแน่ ๆ “ ดามิก้าโพล่งออกมาอย่างนึกสนุก   ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเมื่อนึกภาพเด็กสาวที่แสนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยผู้นี้มีร่างสูงใหญ่กำยำเหมือนพี่ชาย
                       “เหมือนเจ้าน่ะเหรอ” คาร์นพ่นลมหายใจแรง ๆ ก่อนจะพูดหยอกดามิก้าบ้าง   นั่นก็ยิ่งทำให้ทุกคนหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
                       วานาอันยิ้มกว้างก่อนจะหยิบพวงมาลัยดอกไม้สีขาวอมชมพูขึ้นมาจากตะกร้ายกชูขึ้นหาพี่ชายของตน   ฮารีซันยิ้มเขิน ๆ เล็กน้อยที่ต้องคล้อยพวงมาลัยดอกไม้ต่อหน้าทุกคน   แต่ความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องสาวก็ทำให้เขาก้มลงมาให้น้องสาวคล้องมาลัยดอกไม้รอบคอของตน   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: November 26, 2007, 11:12:10 PM »

                       “ขอบใจจ๊ะ” ฮารีซันยิ้มลูบศีรษะของวานาอันอย่างเอ็นดู
                       “มีของทุกคนด้วยนะคะ”  วานาอันหันไปกล่าวอย่างอาย ๆ แล้วค่อย ๆ หยิบพวงมาลัยออกมาเดินไปคล้องให้เหล่าขุนพลคนอื่น ๆ    เริ่มตั้งแต่ดามิก้า ทราเฮิร์น และ คาร์น
                       แต่เมื่อมาถึงคาร์น ทุกคนก็ต้องหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน   เพราะความที่เป็นสมิงทำให้ร่างกายของเขาใหญ่โตกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว   ยิ่งเป็นสายสิงโตด้วยแล้วขนที่หนายิ่งทำให้ศีรษะของเขาใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดามากทีเดียว   มาลัยคล้องคอจึงค้างอยู่ที่รอบศีรษะไม่สามารถเลื่อนลงไปมากกว่านั้น   จึงดูเหมือนคาร์นได้รับมงกุฎดอกไม้มากกว่า   
                       “ขอโทษค่ะ” วานาอันทั้งสำนึกผิด ทั้งขำ ทั้งอาย ที่ลืมนึกถึงขนาดศีรษะที่ใหญ่โตของคาร์นเพราะโดยมากเธอจะไม่ได้มองหน้าของเขาตรง ๆ หรือนานมากพอที่จะกะขนาดศีรษะได้ถูก   ทว่าสมิงราชสีห์ที่ปกติวานาอันจะรู้สึกเกรงกลัวเมื่อเห็นเขาใกล้ ๆ เวลานี้กลับมองดูอ่อนโยนขึ้นและให้ความรู้สึกเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อมีมงกุฎดอกไม้สีขาวอมชมพูอยู่บนศีรษะ 
                       คาร์นก็คงจะอายอยู่เหมือนกัน   แต่ก็อยากจะถนอมน้ำใจเด็กสาวที่อุตส่าห์นึกถึงเขาและทำมาลัยให้   จึงขอให้เด็กสาวเปลี่ยนมาคล้องที่มือของเขาแทน   ซึ่งเด็กสาวก็คลี่ยิ้มเปลี่ยนมาคล้องที่มือให้แทน   
                       “มีของท่านปู่ด้วยนะคะ” วานาอันหันมายิ้มกว้างหยิบมาลัยพวงสุดท้ายขึ้นมาจากตะกร้า
                       “โอ...มีของปู่ด้วยรึ?   ขอบใจ ขอบใจ” วูจินกล่าวกลั้วหัวเราะ   ลูบศีรษะวานาอันอย่างเอ็นดูยิ้มขำหลานสาวที่ช่างประจบเอาใจ
                       “เอาล่ะ ๆ เราก็ทักทายกันพอสมควรแล้ว   ปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนเอาแรงเถอะ” วูจินพยับเพยิบไปทางกองทัพที่อยู่เบื้องหลังที่กำลังถูกพวกชาวป่ามะรุมมะตุ้มเข้าไปทักทายพูดคุยเล่นหัวกันด้วยความคิดถึง “พวกเจ้าก็ด้วย   เดี๋ยวคืนนี้เราจะได้มีการฉลองใหญ่กัน”
                       “เอ่อ...ท่านปู่ครับ   ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาหารือกับท่านและผู้บรรดาอาวุโสจากทุกเผ่า” ฮารีซันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
                       วูจินมองหาหลานชายอยู่ครู่หนึ่ง   ยิ่งโตขึ้นเขาก็ยิ่งหน้าตาละม้ายคล้ายลูกชายของตนที่จากไป   วูจินยิ้มพยักหน้าเบา ๆ “คงเป็นเรื่องสำคัญมากสินะ   หน้าตาของเจ้าบอกอย่างนั้น   นับวันเจ้าจะยิ่งหน้าเหมือนพ่อของเจ้ามากขึ้นไปทุกทีนะนี่”
                       ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี   ด้านวานาอันก็อดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไปด้วยไม่ได้
                       “ตกลง” วูจินกวักมือให้หลานชายและบรรดาขุนพลให้เดินตามมา “ไปเข้าประชุมกับบรรดาผู้อาวุโสกัน   วานาอันเจ้าช่วยดูแลความเรียบร้อยในการตระเตรียมงานแทนปู่ทีนะ”
                       “คะ ท่านปู่” วานาอันรับคำ ขณะที่ทุกคนเดินแยกจากไป

s

                       เป็นเวลาเกือบเย็นแล้วเมื่อฮารีซันเดินมาถึงมหาพฤกษาอิกดราซิล   เขาเดินคิดตริตรองเรื่องราวต่าง ๆ เรื่อยเปื่อยจนมาถึงที่นี่เลยทีเดียว   คงเพราะทุกครั้งที่เขามาอยู่ที่ใต้ร่มเงาของมหาพฤกษาอิกดราซิล   จิตใจของเขาก็จะสงบและมีสมาธิในการคิดอ่านเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง   ฮารีซันเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ขนาดมหึมาที่ทอแสงมีเงินระยิบระยับด้วยความชื่นชมและเคารพรัก   เขาไม่มีพลังในการสัมผัสธรรมชาติเท่าวานาอัน   แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่ามหาพฤกษาในความอบอุ่นและต้อนรับเขาอย่างยินดี   ฮารีซันยิ้มก่อนจะโค้งตัวลงคารวะมหาพฤกษาแล้วจึงเดินเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งพิงหลังกับรากแขนงหนึ่งของมหาพฤกษา   
                       ชายหนุ่มค่อย ๆ บรรจงหยิบห่อผ้าที่เหน็บไว้ที่กระเป๋าในอกเสื้อและเปิดมันออกช้า ๆ   เครื่องประดับศีรษะรูปปีกนกก็สะท้อนแสงเปล่งประกายหยอกล้อกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องใบของอิกดราซิลทันที   ฮารีซันใช้นิ้วไล้เบา ๆ ไปตามปีกนกพลางคิดถึงการประชุมอันแสนเคร่งเครียดกับบรรดาผู้อาวุโสจากเผ่าต่าง ๆ ที่กินเวลากว่าค่อนวันกว่าจะสามารถสรุปผลกันได้
                       “โอโห   สวยจังเลยค่ะ พี่ฮารีซัน”
                       ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกรีบตลบผ้าห่อเครื่องประดับนั้นพลางลุกพรวดดีดตัวออกห่างจากแหล่งที่มาของเสียงนั้นทันที   ตามสัญชาตญาณการระแวดระวังที่เขาได้รับการพัฒนาจากการศึกตลอดหนึ่งปีเต็ม  เมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาวของตนที่ตอนนี้ก็ตกใจกับท่าทีผลุบผลับของเขา   จึงก้าวถอยหลังจนสะดุดเข้ากับหินก้อนหนึ่งทำให้เสียหลักหงายหลังลงไปนั่งกับพื้นและมองตอบเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและงงงวย
                       “โอ๊ะ   วานาอัน...พี่ขอโทษ   น้องเจ็บรึเปล่า?” ฮารีซันใช้มือสอดเข้าใต้แขนทั้งสองข้างของเด็กสาวและยกขึ้นมาอย่างง่ายได้ราวกับไม่ต้องออกแรง   เขาวางน้องสาวลงนั่งบนปลายรากแขนงของมหาพฤกษาอย่างเบามือ   เขาย่อเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อช่วยเด็กสาวปัดเศษหญ้าและขี้ดินจากฝ่ามือและชายกระโปร
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: November 26, 2007, 11:13:40 PM »

                       “น้องจะมาบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วยามงานฉลองก็จะเริ่มแล้ว   เออ...น้องทำให้ตกใจรึคะ?” เด็กสาวถามด้วยสีหน้ากังวล
                       “ก็นิดหน่อยจ๊ะ   พี่ไม่ทันได้ตั้งตัวน่ะ   มัวแต่คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่” ฮารีซันยิ้มตอบพลางคิดในใจว่าหากเป็นเจ้าหญิงเรจิน่า   นางคงหัวเราะชอบใจกับปฏิกิริยาของเขาและมองเขาด้วยสายตาซุกซนคอยหาโอกาสที่จะแกล้งแหย่เขาอีก   เมื่อคิดถึงท่าทางของนางแล้วก็ชวนให้อดยิ้มขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้
                       “พี่ฮารีซันคิดถึงอะไรอยู่รึคะ?” วานาอันเอียงคอมองอาการของพี่ชายด้วยความสงสัย
                       “ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ   พี่ก็คิดนู่นคิดนี่เรื่อยเปื่อยน่ะ” ฮารีซันยิ้มกลบเกลื่อนพลางหย่อนตัวลงนั่งกับพื้น   วานาอันจึงกระโดดลงมาจากปลายแขนงรากแล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ ๆ 
                       “พี่ฮารีซันจะนั่งอยู่ที่นี่อีกสักพักก็ได้นะคะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อคะเนเวลา “ยังมีเวลาเหลืออีกหน่อย   น้องรู้ว่าเวลาพี่ฮารีซันอยากจะใช้สมองหรือคิดอะไรเงียบ ๆ พี่มักจะมานั่งที่นี่เสมอ”
                       ชายหนุ่มยิ้มอย่างเอ็นดูพลางลูบศีรษะเด็กสาว   วานาอันติดตนและท่านปู่มาก   ตั้งแต่จำความได้วานาอันก็วิ่งตามเขาต้อย ๆ ไปในทุกที่ตั้งแต่เด็ก   เพราะชีวิตของวานาอันขาดทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่เกิด   ทำให้เขาและท่านปู่เป็นยิ่งกว่าพ่อและแม่สำหรับเธอ   ตั้งแต่เล็กวานาอันยอมไม่ไปเที่ยวเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ ถ้าตนและท่านปู่อยู่บ้าน   ท่านปู่เคยบอกไว้ว่าวานาอันกลัวว่าหากตนหรือท่านปู่หายไป   เธอจะต้องอยู่คนเดียวเพียงลำพังในโลกใบนี้   ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กสาวจะตามหาเขาและไม่ยอมห่างไปไหนเช่นนี้   คงอีกสักสองสามวันกว่าเด็กสาวจะหายคิดถึงจนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติเหมือนเดิม
                       “ที่ติดผมอันเมื่อกี้สวยจังเลยค่ะ   พี่ได้มาจากไหนรึคะ?” เด็กสาวถามเหมือนนึกขึ้นได้ถึงต้นเหตุที่ทำให้ตนล้มหงายลงไปนั่งกับพื้น
                       “อ๋อ...เออ...มันเป็นของที่ระลึกน่ะ   เอาไว้พี่จะเล่าให้ฟังแล้วกันนะ” ฮารีซันตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก “จริงสิ...ไม่รู้ว่าเจ้าจำเจ้าหญิงเรจิน่าได้รึเปล่า   พวกเราเคยพบนางที่ชายป่าสุดเขตเผ่าฟูดินัน   มันนานมากแล้วล่ะ   ที่เราช่วยกันนำนกเนด้าที่บาดเจ็บมาให้ท่านปู่รักษากันน่ะ”
                       “น้องคิดว่าพอจะจำเรื่องนกที่บาดเจ็บได้นะคะ  แต่...น้องจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว” วานาอันตอบเสียงอ่อย “ทำไมรึคะ?   แล้วเจ้าหญิงเรจิน่านี่หมายถึงเจ้าหญิงของอาณาจักรฟีเลเซียใช่มั๊ยคะ?” 
                       “อืม...จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก” ฮารีซันยิ้มตอบ “คือพวกเราเคยได้พบเจ้าหญิงเรจิน่าเมื่อสมัยเด็ก ๆ   ก็ตอนที่พวกเราช่วยเจ้านกเนด้านั้นแหละ   แล้วพี่ก็ได้พบเจ้าหญิงอีกครั้งเมื่อตอนไปรบที่ฟีเลเซีย   เจ้าหญิงดำรงตำแหน่งเป็นผู้ดูแลประสานงานระหว่างกองทัพของเรากับกองทัพของฟูดินัน”
                       “โอ... เจ้าหญิงคงจะเก่งกล้าสามารถมากสินะคะ”
                       “ใช่   เธอเก่งกาจมาก  และเจ้าหญิงก็มีความจำดีเป็นเลิศเชียวล่ะ   นางจำน้องได้ด้วย   แล้วนางยังฝากความระลึกถึงมาให้น้องด้วยนะ” ฮารีซันกล่าวพลางยิ้มขำเมื่อเห็นวานาอันหน้าแดงขึ้นและยิ้มอย่างอาย ๆ   
                       “น่าอายจังค่ะที่น้องจำเจ้าหญิงไม่ได้”
                       “ไม่เป็นไรหรอก   ตอนนั้นเจ้าก็ยังเล็กมาก   ไม่มีใครตำหนิเจ้าได้หรอก”
                       วานาอันยิ้มกว้างอย่างเบาใจก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิคะ   วันนี้พี่ประชุมอะไรกับบรรดาผู้อาวุโสรึคะ?  น้องเห็นพี่ทำหน้าเคร่งเครียดเชียวตอนที่กำลังเดินเข้าไปในห้องประชุมกับท่านปู่   และน้องสามารถสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดจากทุก ๆ คนแผ่ออกมาจากภายในที่ประชุมด้วย   แต่ถ้ามันเป็นความลับพี่ไม่ต้องบอกน้องก็ได้นะคะ”
                       “อืม   มันก็ไม่ใช่ความลับหรอก   พวกเราก็จะประกาศเร็ว ๆ นี้อยู่แล้ว   อาจจะภายในงานฉลองนี้เลยก็ได้” ฮารีซันยิ้มอย่างเกร็ง ๆ “วานาอัน...พวกเรากำลังจะสถาปนาฟูดินันขึ้นเป็นอาณาจักร”
                       “อะไรนะคะ?” เด็กสาวมองตาปริบ ๆ ถามด้วยความไม่เข้าใจว่าการสถาปนาฟูดินันเป็นอาณาจักรนั้นคืออะไรมากกว่าจะถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
                       “เราจะตั้งฟูดินันขึ้นเป็นอาณาจักรเหมือนบรรดาอาณาจักรทั้งสามที่อยู่รอบ ๆ เรา   เหมือนอาณาจักรซาโลม ฟีเลเซีย และแอนดิซอง”
                       เด็กสาวพยักหน้าตามช้า ๆ พยายามทำความเข้าใจกับข้อมูลที่ได้รับ “ทำไมล่ะคะ?”
                       “เพราะการที่เรากระจัดกระจายกันเป็นเผ่าเล็กเผ่าน้อยเช่นนี้   ทำให้เรารวมตัวกันลำบาก   และไม่มีอำนาจต่อรองหรือกรกับอาณาจักรใหญ่ ๆ ทั้งสามได้   ก็เหมือนกับฝูงสัตว์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่   เวลามีนักล่าหรือมีภยันตรายเข้ามาใกล้   การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ก็สามารถให้ความช่วยเหลือดูแลปกป้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าฝูงสัตว์ที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในท้องทุ่ง   หรือแม้แต่ศักดิ์ศรีและการให้เกียรติจากอาณาจักรต่าง ๆ ที่จะมีต่อชาวป่าอย่างพวกเราก็จะดีขึ้น   ไม่ใช่เป็นแค่ชาวบ้านป่าเมืองเถื่อนไร้การศึกษาอย่างที่หลาย ๆ คนคิดและดูถูกพวกเรากัน”
                       “พวกเราไมได้รับการต้อนรับจากบรรดาผู้คนในอาณาจักรอื่น ๆ หรือคะ?” วานาอันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ   เด็กสาวไม่เคยไปออกห่างจากเผ่าฟูดินันไปไกลเกินระยะเดินเท้าเกินหนึ่งวัน   เรื่องราวอาณาจักรต่าง ๆ ก็ได้ฟังจากคำบอกเล่าจากบรรดาพ่อค้าหาบเร่บ้าง คนจรบ้าง   เธอรับรู้เพียงแต่ว่าอาณาจักรเหล่านั้นสวยงามเพียงใด หรูหราขนาดไหน ผู้คนดำเนินชีวิตกันอย่างไร   ซึ่งล้วนแล้วแต่ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจ   ทว่าเธอไม่เคยนึกถึงเลยว่าผู้คนอีกฟากของเทือกเขาจะมองพวกชาวป่าอย่างหล่อนยังไง
                       “ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้นหรอกนะ   เพียงแต่ว่าคนที่ไม่คิดดูถูกหรือให้เกียรติเราแบบนั้น...มันมีจำนวนน้อยจริง ๆ “ ฮารีซันกล่าวพลางคิดถึงช่วงแรก ๆ ที่ไปถึงอาณาจักรฟีเลเซีย
                       “แล้วบรรดาผู้อาวุโสว่าอย่างไรกันบ้างคะ?”
                       “ก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนั่นนะ   ผู้อาวุโสบางคนก็กลัวการเปลี่ยนแปลง   กลัวในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก   แต่ก็ยังมีบางพวกที่พี่คิดว่าปัญหาอยู่ที่ใครจะเหมาะสมพอที่จะได้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรนี้มากกว่า”
                       “ก็พี่ฮารีซันอย่างไรล่ะ” วานาอันไม่รีรอทีจะเสนอชื่อพี่ชายของเธอทันที
                       “ฮะ ฮะ  แล้วน้องรู้รึเปล่า?   ถ้าพี่เป็นกษัตริย์... เจ้าก็จะต้องมีตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงด้วยเหมือนกันนะ”
วานาอันทำตาโตขึ้นอีกครั้ง   คำว่าเจ้าหญิงทำให้เด็กสาวหน้าแดง   เธอไม่ได้คิดถึงว่าตัวเองจะได้ตำแหน่งไปด้วย   คิดเพียงแค่ว่าพี่ชายของเธอเก่งกล้าสามารถและเหมาะสมที่สุด “น้องไม่ได้หวังว่าตัวเองจะได้เป็นเจ้าหญิงนะคะ”
                       “พี่รู้” ฮารีซันยิ้มให้กำลังใจเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเธอ   แต่ตัวเขาเองก็มีความรู้สึกสับสนในตัวเองอยู่ไม่น้อยด้วยเช่นกัน   ภาระของผู้เป็นกษัตริย์ย่อมต้องยิ่งใหญ่กว่าการเป็นแค่หัวหน้าเผ่าแน่ ๆ
                       “แล้วในที่ประชุมสรุปได้รึเปล่าคะว่าจะตัดสินใจอย่างไร?” วานาอันจงใจทำเป็นไม่สนใจกับยศตำแหน่งอีก   มันเป็นเรื่องที่ใหญ่โตและไกลเกินไปสำหรับเด็กสาวธรรมดา ๆ อย่างเธอ
                       “เราจะสถาปนาฟูดินันขึ้นเป็นอาณาจักรโดยรวบรวมเผ่าทุกเผ่าเข้าด้วยกัน   หัวหน้าของทุกเผ่ายังมีสิทธิ์อำนาจในการปกครองดูแลเผ่าของตนอยู่   แต่ก็ต้องเปลี่ยนคำเรียกเผ่าเป็นเมืองหรือแคว้นแทน   เรื่องพวกนั้นเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่เราจะต้องมาหารือกันอีกที” ฮารีซันกล่าว
                       “แล้วถ้าอย่างนั้น...ใครได้รับเลือกให้เป็นปฐมกษัตริย์ของฟูดินันคะ?” วานาอันอดถามไม่ได้
                       “พี่เอง” ฮารีซันตอบ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: November 26, 2007, 11:14:53 PM »

มาเม้าท์กันที่นี่จ๊า

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=35735.0
« Last Edit: November 26, 2007, 11:17:06 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.088 seconds with 21 queries.