Summoner Master Forum
November 26, 2024, 08:23:30 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 59 การจากลา @@  (Read 9173 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: September 13, 2007, 06:07:25 AM »

Chapter 59 การจากลา

 
                          ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันอิกนิส(Ignis) ที่แสนจะร้อนระอุในอาณาจักรซาโลม   องค์ราชินีเนริมอร์ประทับอยู่บนบัลลังก์ยกพื้นสูงภายในห้องทรงงาน   ซึ่งบัลลังก์นี้ถูกสั่งทำขึ้นมาเป้นพิเศษโดยพระองค์เอง   เพื่อให้พระองค์สามารถหันไปมองพระโอรส ซาร์ อิสฮาน ลูกชายสุดที่รักของพระนางที่จะได้รับอนุญาตจากมหาอำมาตย์นาริสให้ลงมาวิ่งเล่นในอุทยานหลังจากที่ตั้งใจเรียกมาตลอดทั้งวัน   
                          แรกทีเดียวพระองค์ก็ไม่ใคร่จะพอใจนักเมื่อมหาอำมาตย์ไม่อนุญาตให้เจ้าชายลงมาเล่นอุทยานเมื่อใดก็ได้ตามที่เจ้าชายทรงต้องการ   โอรสของพระนางเป็นถึงว่าที่กษัตริย์แห่งอาณาจักรซาโลมในอนาคต   ความต้องการของพระองค์จึงสมควรจะได้รับการตอบสนองทันที   แต่ลึก ๆ ในใจแล้วคงจะเพื่อตัวพระนางเองด้วยที่ทรงอยากเห็นโอรสของพระองค์วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานทั้งวัน   พระองค์ทรงอยากเก็บภาพความสุขและรอยยิ้มของซาร์ อิสฮานไว้ให้มากที่สุดเพื่อที่พระนางจะสามารถทนมีชีวิตอยู่ในสนามรบที่ปราศจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กชายผู้ซึ่งเป็นดั่งดวงใจของพระนางได้เป็นแรมเดือน   แต่กว่าที่พระนางจะทรงยอมรับเหตุผลที่ไม่ยอมผ่อนปรนของท่นนาริสได้   พระนางก็เกือบทรงยั้งโทสะไว้ไม่อยู่   ระเบียบวินัยบ้างล่ะ ภาระหน้าที่ที่เจ้าชายพึงปฏิบัติบ้างล่ะ ความอดทนอดกลั้นบ้างล่ะ   พระนางไม่ทรงสนใจเรื่องไร้สาระนั้นหรอกขอเพียงให้พระโอรสของพระนางมีความสุขและพระนางเองมีความสุขเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว   แต่ก็เหมือนมหาอำมาตย์จะรู้ทันความคิดของพระองค์   จึงจบการโต้เถียงในครั้งนั้นว่าแสงแดดในช่วงอื่น ๆ ของวันนั้นร้อนแรงเกินไป   พระโอรสจะทรงประชวรเอาได้   เวลาแดดร่มลมตกอย่างช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ จนเกือบร่วงเข้าเวลาเย็นจึงจะเหมาะสมสำหรับพระโอรสที่จะทรงออกมาวิ่งเล่นมากกว่า   นั่นจึงทำให้พระนางทรงยอมรับได้ในที่สุด
                          “เสด็จแม่!” เจ้าชายอิสฮานทรงตะโกนเรียกเสียงใสขณะที่ทรงยืนอยู่บนชิงช้าเชือกพยายามโยกองค์ไปมาเพื่อให้ชิงช้าเหวี่ยงแรงขึ้นและสูงขึ้น   เจ้าชายยิ้มร่าคล้ายพยายามจะอวดความสามารถของพระองค์ให้ผู้เป็นมารดาชื่นชม
                          ราชินีเนริมอร์ทรงคลี่ยิ้มพลางโบกมือให้อย่างเอ็นดูโดยไม่ทรงสนพระทัยกองเอกสารที่พระองค์จะต้องประทับตราให้เสร็จภายในวันนี้ที่กองเป็นตั้งสูงบนโต๊ะสักเท่าใดนัก   บนโต๊ะนั้นมีถ้วยกระเบื้องเคลือบทองงานฝีมือชั้นเลิศจากแคว้นทางเหนือถูกรินน้ำชาสมุนไพรรสขมจนเต็มวางอยู่ข้างกองเอกสารเหล่านั้น
                          ขณะที่กำลังทอดพระเนตรพระโอรสอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น   เสียงประกาศการขอเข้าเฝ้าของมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน จากทหารหน้าประตูก็ดังขึ้น   ราชินีเนริมอร์ทรงขมวดคิ้วงามด้วยความสงสัย   ปกติท่านนาริสจะปล่อยให้พระนางได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้อย่างเป็นส่วนพระองค์   วันนี้จึงค่อนข้างน่าประหลาดใจอยู่สักหน่อย   กระนั้นพระนางก็ทรงให้สัญญาณอนุญาต
                          มหาอำมาตย์เฒ่าในชุดสีแดงขาวเดินก้าวผ่านประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว   ใบหน้าของชายสูงวัยนั้นแลดูคร่ำเคร่งและวิตกกังวลอยู่มากทีเดียว
                          “ถวายบังคม องค์ราชินี”
                          “ตามสบายเถิด ท่านนาริส   มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นในเมืองรึ?   ท่านดูสีหน้าไม่ใคร่ดีเลย”
                          “พ่ะย่ะค่ะ   มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น   แต่หาใช่ในเมืองหลวง   แต่เป็นในสนามรบต่างหาก   กระหม่อมเพิ่งจะได้รับทราบข่าวจากสนามรบเมื่อสักครู่นี้เอง” มหาอำมาตย์ทูลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและไม่สบายใจอย่างที่สุด   คิ้วเข้มที่มีสีขาวแซมนั้นขมวดเข้าหากันจนหว่างคิ้วกลายเป็นร่องลึก
                          เมื่อเห็นท่าทีดังนั้นเข้าราชินีเนริมอร์ก็เริ่มมีอาการวิตกกังวลขึ้นมาบ้าง ดวงพักตร์เริ่มซีดลง ดวงเนตรคู่งามเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย    หัวใจของพระนางเริ่มเต้นแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ
                          “เกิดอะไรขึ้น ท่านนาริส?”
                          “ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บสาหัสอาการเป็นตายเท่ากันพ่ะย่ะค่ะ”
                          “อะไรนะ!!”
                          เพล้ง!!
                          ราชินีเนริมอร์ทรงพรวดพราดลุกขึ้นในทันใดด้วยความตกใจจนชนขอบโต๊ะอย่างแรง   หัตถ์ของพระองค์ปัดถูกถ้วยกระเบื้องเคลือบจนตกลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: September 13, 2007, 06:08:42 AM »

                        ขณะนั้น เจ้าชาย ซาร์ อิสฮานกำลังโล้ชิงช้าไปมาอย่างสนุกสนานโดยมีเหล่านางกำนัลคอยนั่งเฝ้าอยู่รอบ ๆ ต้นไม้ใหญ่นั้น   หลังจากที่ราชินีเนริมอร์กลับมาประทับอยู่ที่พระราชวังเพื่อน ๆ ของพระองค์ก็ไม่ค่อยมาเล่นด้วยเหมือนเวลาที่พระมารดาไม่อยู่   แม้พระมารดาจะไม่ทรงขัดข้องใด ๆ เวลาที่พวกเพื่อน ๆ มาเล่นกับพระองค์   แต่ดูเหมือนว่าบรรดาพ่อแม่ของพวกเขาเหล่านั้นจะยังไม่คลายความหวาดกลัวลง   กระนั้นพระองค์ก็ไม่ใส่ใจหรอก   เวลานี้พระองค์ก็อยากอยู่กับพระมารดาเพียงลำพังเช่นกัน
                        เจ้าชายน้อยทรงคิดพลางยิ้มอย่างมีความสุข   พระองค์ทรงเหลือบสายตาขึ้นไปทางห้องทรงงานอีกครั้ง   ครั้นแล้วพระองค์ก็ต้องหยุดโล้ชิงช้าและปล่อยให้มันโยกไปตามแรงเหวี่ยงของมันเอง   พระองค์ทรงกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ ขมวดคิ้วน้อยเข้าด้วยกัน   ทำไมเสด็จแม่จึงไม่ทรงหันมาทางพระองค์และโบกมือให้เหมือนเคย   ทุกครั้งเวลาที่พระองค์หันไปที่หน้าต่างห้องทรงงาน   เสด็จแม่จะต้องทรงมอง ยิ้ม ลแ โบกมือให้พระองค์เสมอ   แต่ทำไมเวลานี้พระองค์จึงทรงเบือนหน้าไปทางอื่นเล่า?  เจ้าชายยังคงประทับยืนอยู่บนชิงช้าที่แกว่งไกวแม้จะค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับความสนุกสนานของพระองค์ที่ลดลงตามแรงเหวี่ยงของชิงช้า
                        เพล้ง!!
                        ทันทีที่ได้ยินเสียงบางอย่างแตกดังมาจากทางห้องทรงงาน   เจ้าชายอิสฮานก็ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ   พระองค์ทรงกระโดดลงจากชิงช้าอย่างทุลักทุเล   พอทรงตั้งหลักได้ก็ออกวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่ขาสั้น ๆ อย่างเด็ก 8 ขวบจะทำได้   พระองค์ทรงมุ่งหน้าไปทางห้องทรงงานทันที   ทำให้บรรดานางกำนัลและมหาดเล็กต้องรีบออกวิ่งตามเสด็จกันหน้าตั้งเพราะเกรงอาญาจากพระราชินี
                        “เสด็จแม่! เสด็จแม่!” เจ้าชายตรัสเรียกพลางวิ่งพรวดพราดด้วยหน้าตาตื่นเข้าไปในห้องทรงงาน
                        “อย่าเพิ่งเข้ามา อิสฮาน” ราชินีเนริมอร์ได้ยินเสียงพระโอรสเข้ามาใกล้ก็เกรงว่าเศษกระเบื้องจะทำร้ายโอรสของพระนางจึงทรงรีบร้องห้ามในทันใด
                        เจ้าชายน้อยทรงหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูด้วยท่าทางกระหืดหระหอบ   ทรงมองพระมารดาทีหนึ่ง หันไปมองท่านนาริสทีหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองถ้วยกระเบื้องเคลือบที่แตกกระจาย   ซึ่งเวลานี้เหล่านางกำนัลกำลังช่วยกันเก็บกวาดอยู่เป็นการใหญ่   เจ้าชายอิสฮานทรงขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น   ท่านนาริสคงไม่ทำอันตรายเสด็จแม่แน่ ๆ ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าใจ   
                        “เกิดอะไรขึ้นรึ ลูกแม่?” ราชินีเนริมอร์ตรัสถามขึ้น
                        “ลูกได้ยินเสียงแก้วแตก” เจ้าชายอิสฮานตอบพลางใช้มือทั้งสองข้างกำม้วนชายกางเกงทรงหลวมที่พระองค์สวมอยู่   คล้ายเกิดความสับสนขึ้นภายในใจ
                        พระราชินีเนริมอร์ทรงได้ยินดังนั้นก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้   แม้พระองค์จะยังไม่คลายความตระหนกเมื่อสักครู่พระองค์อ้าแขนออก   และแทบจะทันที
                        “ลูกรัก   น่ารักจริง ๆ รู้จักเป็นห่วงแม่ด้วย” พระราชินีเนริมอร์ทรงบรรจงจุมพิตพี่พวงแก้มทั้งสองข้างของเจ้าชายประหนึ่งให้รางวัล
                        เจ้าชายน้อยยิ้มกว้างกว่าเดิม   แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ใคร่สดชื่นเหมือนปกติของพระมารดาก็ทำให้ต้องขมวดคิ้วลงอีกครั้ง   ยิ่งเมือหันไปเห็นสีหน้าไม่สบายใจของท่านนาริสด้วยแล้วก็พลอยมีสีหน้าสลดลงไปด้วย
                        “หม่อมฉันทำผิดอะไรรึพ่ะย่ะค่ะ?   ท่านนนาริส เราไม่ตั้งใจเรียนหรือ?” เจ้าชายอิสฮานทรงอดถามเสียงเบาไม่ได้
                        “หาเป็นเช่นนั้นไม่พ่ะย่ะค่ะ   ฝ่าบาททรงตั้งใจเรียนและเรียนได้ดีมากด้วย   หม่อมฉันได้เคยทูลพระนางเนริมอร์หลายครั้งทีเดียว” นาริส สุไลมานทูลตอบ   ซึ่งก็ทำให้เจ้าชายน้อยค่อยยิ้มออก
                        “ทำไมถามเช่นนี้เล่า ลูกแม่?” ราชินีเนริมอร์รงอดสงสัยไม่ได้
                        “ก็ถ้าไม่ใช่เพราะลูก   แล้วเสด็จแม่กับท่านนาริสกลุ้มใจเรื่องอะไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” เจ้าชายอิสฮานทรงเอียงคอมองพระมารดาพยายามจับสังเกตใบหน้าของพระองค์
                        ราชินีเนริมอร์ทรงหันไปทางมหาอำมาตย์เฒ่าเป็นเชิงว่ายกหน้าที่ในการแจ้งเรื่องนี้ให้กับเขา   ในขณะที่พระนางเองก็ทรงใช้แขนข้างหนึ่งโอบพระโอรสไว้ส่วนอีกข้างนั้นวางไว้บนตักของพระโอรส
                        เจ้าชายอิสฮานทรงเห็นดังนั้นก็คิดได้ว่าคงเป้นเรื่องสำคัญจึงพยายามนั่งตัวตรงตั้งใจฟัง   โดยทรงวางมือทั้งสองข้างบนมือของพระมารดาที่วางอยู่บนตักของพระองค์เองอีกทีหนึ่ง
                        “ฝ่าบาท   หม่อมฉันได้รับแจ้งข่าวจากกองทัพของเราในอาณาจักรฟีเลเซียว่า   เสด็จพ่อของฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก” มหาอำมาตย์จงใจละคำว่า อาการเป็นตายเท่ากัน ไว้
                        เจ้าชายอิสฮานทรงนั่งนิ่งพยายามทำความเข้าใจกับคำว่าเสด็จพ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส   ตั้งแต่เกิดมา พระองค์เคยได้ยินแต่ว่าเสด็จพ่อเก่งกาจแค่ไหน? รบทัพจับศึกเก่งเพียงใด?   แต่ไม่เคยได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงบาดเจ็บ หรือว่าพระองค์ไม่เคยใส่ใจฟังกันแน่นะ   แต่แล้วอีกความรู้สึกหนึ่งก็ค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นมา   เจ้าชายน้อยค่อย ๆ ยิ้มกว้าง
                        “แปลว่าเราจะไม่ต้องทำสงครามแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?   เสด็จแม่จะไม่ต้องไปออกรบแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
                        นาริส สุไลมานเห็นดังนั้นก็ให้เศร้าใจนัก   กษัตริย์ซาดินทรงเหินห่างกับพระโอรสมากเสียจนพระโอรสแทบจะไม่มีความรู้สึกสลดหรือวิตกกังวลเพื่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย
                        “ไม่แน่หรอกลูก   แม่อาจจะต้องกลับไปสนามรบเร็วขึ้นเพื่อไปดูอาการของเสด็จพ่อ” ราชินีเนริมอร์ตรัส   พระนางเองก็สับสนจนคิดอะไรไม่ออกเช่นกัน
                        “ไม่นะ เสด็จแม่   อีกแค่สี่วันก็ถึงกำหนดที่พระองค์จะต้องกลับไปที่สนามรบแล้ว   อยู่กับลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายอิสฮานทรงเขย่ามือพระมารดาพลางหันมามองท่านนาริสอย่างพยายามหาพวกทันที
                        “พระองค์อาจจะไม่ต้องทรงเสด็จกลับไปแล้วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ   หม่อมฉันยังไม่ได้แจ้งสารทั้งหมด   ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการมาด้วย” นาริส สุไลมานทูลเสียงเครียด
                        “ราชโองการอะไร?!” ราชินีเนริมอร์ตรัสถามอย่างตื่นเต้น   ใจก็เป็นห่วงสวามีแต่การที่ไม่ต้องกลับไปสนามรบและได้อยู่กับพระโอรสในซาโลมก็เป็นความใฝ่ฝันของพระนางตลอดหลายปีมานี้
                        “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำทัพหลวงไปปราบกบฏเยซีฮานที่แคว้นลาซาล   แล้วให้พระนางอยู่ดูแลบ้านเมืองที่ซาโลมแทน”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: September 13, 2007, 06:09:59 AM »

                         “อะไรนะ?” ราชินีเนริมอร์ทรงย้อนถามด้วยความตกตะลึง “นี่เขาคิดจะให้ซาโลมทำศึกสองที่ในเวลาเดียวกันเลยอย่างนั้นรึ?   นี่ซาดินกำลังคิดอะไรอยู่!”
                         “ไม่ได้นะ   ท่านนาริสจะไปรบไม่ได้นะ” เจ้าชายน้อยทรงร้องห้ามเสียงหลง   ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่พระองค์รักจะต้องจากพระองค์ไปทำสงครามด้วย
                         “ฝ่าบาท...”
                         “เราเกลียดเสด็จพ่อ   เกลียดเสด็จพ่อ” เจ้าชายน้อยทรงมีน้ำตาขึ้นเอ่อคลอขณะตะโกนเสียงดัง “ถ้าพระองค์ตาย...”
                         “ซาร์ อิสฮาน!” ราชินีเนริมอร์ตรัสปรามด้วยความตกใจ “ลูกไม่ควรพูดเช่นนี้กับเสด็จพ่อ”
                         เจ้าชายอิสฮานทรงเบ้ปาก น้ำตาร่วงพรูลงอาบทั้งสองพวงแก้มก่อนจะผละลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที
                         “เดี๋ยวก่อนลูก! อิสฮาน!” ราชินีเนริมอร์ตรัสเรียก   แต่ทว่าเจ้าชายอิสฮานก็วิ่งออกจากห้องไปแล้ว   พระนางจึงได้แต่ทอดถอนใจและมองมหาอำมาตย์นาริสอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
                         “ขอประทานอภัยฝ่าบาท   กระหม่อมถวายการอบรมสั่งสอนพระโอรสไม่ดี   ทำให้พระองค์ตรัสออกมาเช่นนั้น   ขอพระองค์ทรงลงพระอาญาหม่อมฉันเถิด” มหาอำมาตย์เฒ่าโค้งต่ำด้วยความสำนึก
                         “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ข้ารู้ดี   เงยหน้าขึ้นเถิดท่านนาริส   ข้ารู้ว่าลูกข้าพูดเพราะไม่อยากให้เราทั้งสองจากแกไปไหนไกล   เมื่อซาดินมีพระราชโองการออกมา   ก็เป็นธรรมดาที่ลูกข้าจะต้องโทษว่าเป็นความผิดของเขา   เรื่องที่อิสฮานเกลียดพ่อของเขาเอง   ข้าก็รู้มาตั้งนานแล้ว   เป็นเพราะซาดินทำตัวเองแท้ ๆ ข้าไม่โทษท่านหรอก” ราชินีเนริมอร์ตรัสเสียงเศร้า นัตน์ตายังตงจ้องอยู่ที่ช่องประตูที่เจ้าชายอิสฮานวิ่งจากไป
                         “ขอบพระทัยฝ่าบาท” นาริสเงยหน้าขึ้น   ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าและวิตกกังวลอยู่เช่นเดิม
                         “แล้วนี้เราควรจะทำเช่นไรกัน?” ราชินีเนริมอร์ตรัสถาม   สมองของพระนางแทบจะตื้อตันคิดอะไรไม่ออก
                         “กระหม่อมไม่เห็นด้วยกับการยกทัพไปตีเมืองลาซาลในเวลานี้เลย   กระหม่อมเคยทูลเหตุผลกับองค์ซาดินแล้ว   และพระองค์ในเวลานั้นก็ทรงเห็นชอบด้วย   นี้คงจะเป็นเจ้าอุปราชเฒ่าที่ทูลยุแยงพระองค์ให้ตัดสินพระทัยเช่นนั้น   กระหม่อมจะลองส่งสารถึงฝ่าบาทเพื่อให้ทรงทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง”
                         “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนท่านด้วย   ส่วนข้าเองก็คงต้องเร่งเตรียมตัวกลับกองทัพ   ถ้าสารของท่านเปลี่ยนใจซาดินได้สำเร็จ   ข้าก็คงต้องกลับทันทีเพราะถึงอย่างไรเขาก็คือสวามี”
                         เสียงและภาพของราชินีเนริมอร์มหาอำมาตย์นาริส สุไลมานค่อย ๆ จางและแผ่วไปในหมอกควันของเครื่องหอมที่ลอยพุ้งออกมาจากกระถางเหล็กภายในกระโจมของกษัตริย์ซาดิน   อุปราชเฒ่าใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธจ้องมองกลุ่มควันที่เริ่มกระจายตัวออกไปทุกทิศทุกทางไม่จับกลุ่มเป็นวงเหมือนทีแรก
                         “ทีนี้เจ้าจะเอาอย่างไร?” แบล็ค ไวเซอร์ใช้มือปัดควันตรงหน้าเหมือนเป็นการลบทางเชื่อมมิติให้ขาดจากกันโดยสมบูรณ์   ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “บอกตามตรงนะ   ตอนนี้ข้าชักจะตามเกมของเจ้าไม่ทันแล้ว   เจ้ายังคิดจะช่วยข้าแก้แค้นฟีเลเซียอยู่รึไม่?   แล้วเครื่องหอมนี่...เจ้าได้มาจากไหน?”
                         บลาส เซจ หันไปมองแบล็ค ไวเซอร์ด้วยสายตาไม่พอใจอยู่แวบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าได้มาอย่างไร...รู้แค่ว่าข้าเอามาให้ใช้เพื่องานของเราก็พอแล้ว   เจ้าสงสัยข้าได้ยังไงกัน?   เป็นข้ามิใช่รึที่ช่วยหาเลือดสด ๆ มาให้นกปีศาจที่ใกล้จะตายของเจ้าได้กิน   จนมันรอดอยู่ได้ถึงตอนนี้จะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่...แต่ก็รอด   แล้วดูสิ นี่ข้าไม่ได้กำลังรบกับฟีเลเซียตามที่เจ้าต้องการอยู่หรอกหรือ?”
                         “ก็ดี” แบล็ค ไวเซอร์ พยักหน้ารับแต่ดวงตายังคงจ้องมองบลาส เซจคล้ายจะค้นหาความจริง “เพียงแต่ระยะหลัง ๆ มานี้   เจ้าดูจะเริ่มทำอะไรโดยไม่ปรึกษากันก่อน” แบล็ค ไวเซอร์ เหลือบสายตาไปทางร่างของกษัตริย์ซาดินที่สีผิวเริ่มซีดเซียวลงจนแทบจะไม่เหลือสีเลือด   เบ้าตาดำคล้ำสายตามองจ้องเพดานนิ่งไม่ไหวติง   ซึ่งสภาพก็ดูไม่ต่างจากซากศพเข้าไปทุกที
                         “ไม่ต้องห่วง   แผนที่เราตกลงกันไว้ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง”
                         “แล้วเรื่องราชินีกับตาแก่นั่นล่ะ   จะเอาอย่างไร?” แบล็ค ไวเซอร์ถาม
                         “ข้าจะให้นังผู้หญิงนั่นกลับมาที่นี่ไม่ได้   มันจะทำลายแผนการณ์ของเราทั้งหมด   แล้วยังเจ้าแก่รู้มากนั่น   เราต้องรับกำจัดมันให้เร็วที่สุด” บลาส เซจ พูดพลางลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา   พยายามคิดหาวิธีรั้งมิให้ราชินีเนริมอร์กลับมาที่สนามรบอย่างเอาเป็นเอาตาย
                         “ฮึก...อัก”
                         จู่ ๆ ร่างของกษัตริย์ซาดินก็ทำเสียงประหลาดออกมาจนทั้งสองรับหันควับไปทางต้นเสียงแทบจะพร้อมกัน
                         “เกิดอะไรขึ้น?” บลาส เซจถามด้วยความตกใจ
                         แบล็ค ไวเซอร์เดินเข้าไปใกล้แท่นบรรทมขมวดคิ้วแน่นมองอาการที่เกิดขึ้น   ทั่วบริเวณแท่นบรรทมนั่นตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเน่าและเหม็นสาบ   พ่อมดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กษัตริย์ซาดินที่อยู่ข้างในน่ะ   ทนพิษบาดแผลไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว   เขากำลังจะตาย”
                         “แล้วต้องทำยังไงกันดี?” บลาส เซจรีบถามด้วยความตกใจร่างของกษัตริย์ซาดินกระตุกและเริ่มมีอาการเกร็งจนสั่น
                         “ข้าก็ไม่รู้   รู้แต่ว่าร่างที่เคยใช้โลหิตปีศาจไปแล้วครั้งหนึ่ง   จะใช้ซ้ำอีกไม่ได้แล้ว   นี่แหละขีดจำกัดของร่างมนุษย์”
                         สักพักร่างทั้งร่างของกษัตริย์ซาดินค่อย ๆ คลายอาการเกร็งลง   บาดแผลที่ดูเหมือนเคยสมานกันดีค่อย ๆ ปริแยกเหมือนเมื่อครั้งที่ทรงได้รับบาดเจ็บใหม่ ๆ    เลือดปีศาจไหลซึมออกมาจากปากแผลต่าง ๆ พร้อม ๆ กับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ผ่านริมฝีปากแห้งคล้ำขงกษัตริย์ซาดินไป   มีเสียงหวีดร้องเหมือนเสียงลมดังหมุนรอบ ๆ ภายในกระโจมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: September 13, 2007, 06:12:24 AM »

                        “เขาตายแล้ว” แบล็ค ไวเซอร์ประกาศเสียงแห้ง มองดูสภาพศพของกษัตริย์ซาดินด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าต้องยอมรับว่าเขาทรหดมากที่มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่ยับเยินได้นานขนาดนี้โดยที่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ”
                        “หึ หึ หึ” บลาส เซจพยักหน้าหงึก ๆ หัวเราะในลำคอเหมือนกำลังฟังเสียงของใครบางคนที่อยู่ข้างกายมากกว่าจะฟังคำพูดของพ่อมดดำ “ทีนี้แหละ   ตาแก่นั่นมันจะต้องยอมยกทัพออกไปจากเมือง   มันไม่มีทางปฏิเสธคำสั่งสุดท้ายของกษัตริย์ซาดินแน่ ๆ ฮ่า! ฮ่า!”
                        “เราต้องรีบจัดการศพของกัตริย์ซาดินเสียก่อน   เจ้าคงไม่คิดจะส่งร่างนี้กลับอาณาจักรซาโลมในสภาพเช่นนี้หรอกนะ” แบล็ค ไวเซอร์เตือน
                        “จริงสิ   ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงสั่งทหารให้จัดเตรียมประรำเผาศพกษัตริย์ของพวกมันเลยเสีย   ข้าจะเขียนสารแจ้งข่าวการตายของมันไปที่ซาโลม   แล้วจะรีบตามออกไปสมทบกับเจ้า” อุปราชเฒ่ายิ้มร่าก่อนจะกลายเป็นหัวเราะลั่นราวกับคนวิกลจริต


S

                        ภายในค่ายของฟูดินัน   วันนี้ดูตึกคักและวุ่นวายมากเป็นพิเศษ   ทุกคนต่างก็ช่วยกันเก็บข้าวของวางเรียงกันไว้นอกกระโจมที่พักอย่างเป็นระเบียบ   มีเสียงหัวเราะดังมาจากกระโจมนั้นบ้าง กระโจมนี้บ้างเป็นระยะ ๆ    เหล่าทหารนั่งล้อมวงกันเป็นกลุ่ม ๆ โดยมีหม้อต้มเนื้อที่กำลังเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งค่าย
                        ฮารีซันและเหล่าแม่ทัพชาวป่าต่างก็กำลังนั่งล้อมวงทานซุปนั้นอยู่เช่นกัน   เสียงหัวเราะหยอกล้อกันดังลั่นซึ่งต้นเสียงก็คงไม่พ้นดามิก้าและคาร์น
                        “...แล้วทีนี้นะ   เจ้าทหารซาโลมนั่นก็วิ่งสะดุดขาตัวเองจนหน้าคะมำกันโด่งเลย   ข้าเลยใช้หน้าดาบหวดก้นมันสุดแรงจนร้องจ๊าก” ดามิก้า เล่าเสียงโหวกเหวก
                        “ในอนาคตเจ้าคงจะต้องเป็นแม่ใจยักษ์แน่ ๆ   ยังดีที่เจ้าไม่ให้เจ้านั่นกัดก้นมัน” คาร์นพูดหน้าตาเฉยพลางทำเสียงฟุดฟิดขึ้นจมูกชี้นิ้วไปทางอาลูปัสสัตว์เลี้ยงคู่ใจของดามิก้า   ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
                        “อาลูปัสมันไม่เลือกกัดอะไรเหม็น ๆ หรอก” ดามิก้าพูดจบก็หัวเราะร่วมไปกับทุกคน
                        ครั้นแล้ว ทราเฮิร์นซึ่งมองเลยไปทางด้านหลังอยู่ก่อนแล้ว   จู่ ๆ ก็แสร้งกระแอมแล้วลุกขึ้นยืน
                        “เออ...ข้านึกได้ว่ายังจัดสัมภาระไม่เสร็จเลย”
                        “เอ่อ...” คาร์นทำเสียงคำรามต่ำ ๆ ในลำคอ “ข้าด้วยเหมือนกัน   เจ้าด้วยใช่ไหม ดามิก้า?”
                        “ห๊า! ข้าด้วยรึ?” ดามิก้าซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ฮารีซันเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองด้วยใบหน้างงเป็นไก่ตาแตก
                        “ใช่สิ   เจ้าด้วย” ทราเฮิร์นพูดพลางพยักหน้าอย่างหนักแน่นยื่นมือฉุดดามิก้าให้ลุกขึ้นยืนตาม “ไม่ต้อง ๆ   ท่านฮารีซันนั่งอยู่นี่แหละ   ท่านจัดของเสร็จแล้วนี่   แขนท่านก็ยังไม่ค่อยหายสนิทดี   ว่าแต่ปล่อยท่านนั่งอยู่คนเดียวก็คงจะเหงา   เดี๋ยวข้าหาใครมาอยู่เป็นเพื่อนท่านดีไหม?”
                        “เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอก   ข้าอยากนั่งเงียบ ๆ คิดอะไรสักพัก” ฮารีซันรีบปฏิเสธ
                        “คงไม่ได้หรอก” นายทัพเซนทอร์ตอบกลั้วหัวเราะ “ท่านนั่งเหม่อมาหลายวันแล้ว   เดี๋ยวอาการแย่ลงกว่านี้ข้าจะเอาพี่ชายที่ไหนไปคืนท่านวานาอันเล่า?” แม่ทัพเซนทอร์ยิ้มกว้างมองเลยไปทางด้านหลัง “เจ้าหญิงจะให้เกียรตินั่งเป็นเพื่อนสหายของข้าหน่อยได้ไหมล่ะ?” ทราเฮิร์นพูดเลยไปทางด้านหลังทำให้ฮารีซันและดามิก้าต้องหันตามไปดู
                        ทันใดนั้นดามิก้าก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่   ข้างฮารีซันก็รีบลุกขึ้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง   ด้านอีกฝ่ายก็หน้าแดงไม่แพ้กันแต่ก็ยังคงรักษาภาพพจน์ของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไม่บกพร่อง
                        “ข้ายินดีจะอยู่เป็นเพื่อนคุยให้ท่านฮารีซัน   แต่ข้าคงไม่ได้มารบกวนพวกท่านหรอกนะ   พวกท่านจะร่วมนั่งอยู่ด้วยกันก็ได้” เจ้าหญิงตรัสยิ้ม ๆ พยายามไม่สนใจใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวของพระองค์
                        “ไม่หรอก   พวกข้าขอตัวดีกว่า” ทราเฮิร์นกล่าวก่อนจะรีบต้อนสหายทั้งสองให้เดินออกไปอีกทางหนึ่ง
                        เมื่อทุกคนจากไปแล้ว   แต่สองหนุ่มสาวยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ กันอยู่พักหนึ่ง   ทว่าเจ้าหญิงดูจะได้สติก่อนจึงทรงยิ้มพลางตรัสเสียงใส
                        “ท่านจะไม่เชิญข้านั่งสักหน่อยหรือ?”
                        “โอ๊ะ!” ฮารีซันตกใจรีบผายมือออกไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม “ขออภัยที่ข้าไร้มารยาท”
                        เจ้าหญิงทรงหัวเราะคิกก่อนจะหย่อนองค์ลงนั่งข้าง ๆ เขาก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วท่านจะไม่นั่งรึ?”
                        ชาวหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งแทบจะทันทีทำให้เจ้าหญิงทรงอดหัวเราะท่าทางของเขาไม่ได้
                        “แขนของท่านดูดีขึ้นมากเลยนะ   หายดีรึยัง?”
                        “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ   ต้องขอบคุณบรรดานักบวชที่ช่วยใช้พลังรักษาให้ทันทีในตอนนั้น   พอได้รักษาควบคู่กับสมุนไพรที่นำมา   อาการก็หายเร็วขึ้นมา” ฮารีซันใช้มือขวาลูบผ้าพันแผลบนแขนซ้ายเพื่อประเมินอาการบาดเจ็บที่ยังหลงเหลืออยู่
                        “แล้วน้องชายของท่านล่ะ   กษัตริย์ซิกมันด์อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮารีซันถามขึ้นบ้าง
                        “หมอหลวงบอกว่าอาการดีขึ้นตามลำดับ   ข้ากำลังสงสัยว่าตามลำดับเนี่ย   มันดีขึ้นขนาดไหน?” เจ้าหญิงตรัสพลางหัวเราะเสียงใส “แต่เท่าที่ข้าดู   บรรดานักบวชก็ผลัดเวรกันใช้พลังรักษาให้ทุกวัน   ก็เรียกได้ว่าพ้นจุดที่น่าเป็นห่วงไปแล้ว   ตอนนี้ก็เหลือแต่ให้พักผ่อนมาก ๆ เพื่อฟื้นกำลังนั่นแหละ   ท่านบิชอปเกรเกอรี่ก็บอกว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้ว”
                        ฮารีซันพยักหน้ารับข้อมูลไว้เพื่อเป็นใช้ประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ต่อ
                        “นี่พวกท่านทำอะไรกินกันรึ?   ข้าเห็นหม้อต้มแบบนี้แทบจะทุกกระโจมเลย” เจ้าหญิงทรงชะโงกหน้ามองสตูว์สีส้มที่กำลังเดือดปุด ๆ ในหม้อ
                        “สตูว์แพะเขาทอง (Golden Horn Goat)    พวกเรามีธรรมเนียมว่าถ้าจะออกเดินทางไกลต้องทำสตูว์แพะภูเขา(Mountain Goat) กินกันเพื่อจะได้เดินทางโดยปลอดภัย   แต่แพะภูเขาแถบนี้หายาก   พวกเราเลยใช้แพะเขาทองแทน” ฮารีซันตอบ “เจ้าหญิงอยากจะลองชิมดูไหม?”
                        “ข้าจำได้ว่าแพะเขาทองพวกเราชาวฟีเลเซียไม่กินกันเพราะมันมีกลิ่นสาบที่รุนแรงมาก” เจ้าหญิงตรัสอย่างลังเล
                        “ชาวฟูดินันเรา   เวลาทำอาหารที่กินได้ยากหรือเด็ก ๆ ไม่ชอบกิน   พวกเราจะใส่เครื่องเทศและเครื่องปรุงเยอะ ๆ เพื่อกลบรสและกลิ่นของมัน   ข้ารับรองว่าเจ้าหญิงจะไม่รู้สึกถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ของมันหรอก”
                        “ท่านจะหาว่าข้าเป็นเด็กช่างเลือกรึ?” เจ้าหญิงแกล้งตรัสยั่ว “ถ้าเช่นนั้นก็ตักมาเลย   ข้าจะกินให้ดู”
                        ฮารีซันยิ้มอย่างเอ็นดูพลางตักสตูว์แพะเขาทองใส่ชามให้ทัพพีหนึ่งก่อนจะยื่นส่งให้เจ้าหญิง   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงรับชาวไว้ในมือแล้วลองก้มลงใกล้ ๆ ชามเพื่อพิสูจน์กลิ่น
                        “จริงของท่าน   ข้าแทบจะไม่ได้กลิ่นสาบของมันเลย” เจ้าหญิงตรัสพลางใช้ช้อนตักเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปากค่อย ๆ เคี้ยวช้า ๆ “อืม เนื้อไม่เหนียว มีกลิ่นสมุนไพรเยอะแยะเต็มไปหมดเลย   แล้วรสชาดก็เข้มข้นมาก ๆ   ท่านคงเคี่ยวมาหลายชั่วโมงเลยสินะ   การเปลี่ยนกลิ่นเป็นรสของอาหารเป็นความคิดที่น่าสนใจเหมือนกันนะ” เจ้าหญิงตรัสพลางหัวเราะร่วน
                        “ที่นี่เขาไม่ได้ทำกันอย่างนี้หรือ?” ฮารีซันเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ 
                        “เวลาที่ข้าไม่ชอบอาหารชนิดไหน   เสด็จแม่ก็จะสั่งให้คนครัวหันมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปรุงประสมกับอาหารที่ข้าชอบ   แอบใส่ในจานนั้นนิดจานนี้หน่อย   จนข้าคุ้นเคยกับมันและสามารถกินมันได้อย่างปกติ” เจ้าหญิงตรัสยิ้ม ๆ เมื่อคิดถึงวัยเด็ก
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: September 13, 2007, 06:14:16 AM »

                      “ท่านสองพี่น้องมีมารดาที่ดี” ฮารีซันกล่าวชื่นชม
                      “ไม่ใช่เราทั้งคู่หรอก   อย่างที่ข้าเคยเล่าให้ฟังแล้ว   ซิกมันด์ถูกเลี้ยงดูโดนเสด็จพ่อ   เสด็จพ่อจะเข้มงวดมาก   เวลาซิกมันด์ไม่ชอบกินอะไร   เสด็จพ่อจะสั่งให้เขากินมันให้หมดก่อนที่จะเริ่มกินอาหารอย่างอื่นภายในจานได้”
                      ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งกับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดของอดีตกษัตริย์แห่งฟีเลเซีย   เจ้าหญิงทรงยิ้มตอบอย่างเข้าใจ “เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีไหม?   ข้าไม่ได้ตั้งใจมานั่งเล่าเรื่องในอดีตให้ท่านฟังสักหน่อย” เจ้าหญิงทรงหันไปมองกองสัมภาระของฮารีซันที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบที่ข้างกระโจมที่พัก   น้ำเสียงที่ตรัสฟังดูเศร้าสลดลง “ท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
                      “คงจะเป็นย่ำรุ่งพรุ่งนี้” ฮารีซันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สลดลงเช่นกัน “ส่วนกองทัพที่ยังคงประจำการณ์ที่นี่   ข้าได้มอบหมายให้ตัวแทนแต่ละเผ่าดูแลความเรียบร้อยแล้ว   แม่ทัพชาร์ลก็รับปากจะช่วยดูด้วย   เจ้าหญิงคงจะไม่ต้องเหนื่อยมากในการดูแลประสานงานกับกองทัพของเรา   เผ่าสมิงของแม่ทัพคาร์นอยู่ใกล้ฟีเลเซียมากที่สุด   เขาคงจะเดินทางกลับมาถึงที่นี่เป็นคนแรก”
                      “วางใจเถอะ   เวลานี้ตรงชายแดนเมืองอาวีเลียพวกเราก็วางกำลังแน่นหน้าดีแล้ว   ข้างซาโลมก็บอบช้ำไปไม่น้อย   แม่ทัพทุกคนต่างก็แน่ใจว่ากองทัพซาโลมคงจะยังไม่ดำเนินการใด ๆ ต่อในเวลานี้แน่ ๆ” เจ้าหญิงตรัสพลางหันไปทางชายหนุ่ม “ท่านคิดว่าจะใช้เวลาไปนานเท่าใด?”
                      “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน   ข้ามีบางสิ่งที่สำคัญที่ต้องนำเข้าที่ประชุมผู้อาวุโส   แต่ข้าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด” ผู้นำเผ่าฟูดินันให้คำมั่นสัญญา
                      “ข้าก็หวังว่าจะได้พบท่านโดยเร็ว” เจ้าหญิงตรัสเสียงเบาแสร้งเสมองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย
                      ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างรู้สึกว่าหัวใจพองโตจนคับอก   จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอในสิ่งที่เขาทำใจให้พูดมาหลายวันแต่ก็ไม่สำเร็จจนเขาถอดใจไปแล้ว “ถ้าเช่นนั้น...ข้า...ข้าขอบังอาจ   เอ่อ...ข้า...”
                      เจ้าหญิงที่ยังคงมีพวงแก้มสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอายทรงหันมาทางฮารีซันและเอียงคอมองชายหนุ่มพยายามตั้งใจฟังด้วยความอยากรู้   เจ้าหญิงทรงกัดริมฝีปากร่างอมยิ้มน้อย ๆ เหลือบตาสีเขียวมรกตขึ้นมองตรงเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่ม   เพียงเท่านี้เขาก็แทบจะลืมคำพูดใด ๆ ไปหมดได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองเจ้าหญิงอยู่เช่นนั้น
                      “แล้วกัน   ท่านเล่นจ้องข้าอย่างเดียว   แล้วข้าจะรู้รึว่าท่านอยากจะพูดอะไร?” เจ้าหญิงทรงหัวเราะคิกกับปฏิกริยาของชายหนุ่ม
                      ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ได้สติและยิ่งหน้าแดงยิ่งขึ้นเมื่อจะเริ่มพูดจึงเซมองไปทางอื่น “ข้า...เออ...ข้าขอบังอาจขอสิ่งของของเจ้าหญิงสักชิ้นไว้เป็นที่ระลึกเวลาอยู่ที่ฟูดินันจะได้ไหม?” พูดไปแล้วก็อายจนไม่กล้าหันกลับไปมองเจ้าหญิง
                      ฝ่ายเจ้าหญิงเรจิน่า ทันทีที่ทรงฟังจบประโยคก็รู้สึกว่าดวงพักตร์ของพระองค์ร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม   ทั้งดีใจทั้งขวยเขิน   ทำไมหนอชายผู้นี้ถึงทำให้พระองค์รู้สึกเขินอายและหน้าแดงได้บ่อยเช่นนี้   แต่ครั้นทรงมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มที่แกล้งมองไปทางอื่นจึงทรงเห้นว่าใบหูของเขาก็แดงก่ำเลยทีเดียว   เจ้าหญิงทรงเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ   เขาคงต้องรวบรวมความกล้ามากเลยทีเดียวกว่าจะพูดขอของที่ระลึกจากพระองค์ได้   เจ้าหญิงทรงแกะเครื่องประดับผมรูปปีกนกสีเขียวที่พระองค์ทรงโปรดมากและมักจะนำมันประดับผมอยู่เป็นประจำออกมา   แต่จะส่งให้เฉย ๆ ได้อย่างไร   เจ้าหญิงทรงคลี่ยิ้มอย่างซุกซน   พระองค์จึงทรงแกล้งยื่นมือไปแตะท่อนแขนของชายหนุ่ม   แม้พระองค์จะทรงเขินอายอยู่ไม่น้อยแต่รับรองว่าฝ่ายชายคงรู้สึกเขินอายมากกว่าพระองค์หลายเท่าทีเดียว   
                      “ท่านขอของที่ระลึกจากข้า   แต่ไม่หันมามองแล้วก็ไม่ยื่นมือมารับ   แล้วข้าจะส่งให่ท่านได้อย่างไรล่ะ?” เจ้าหญิงทรงแกล้งโน้มองค์เข้าไปใกล้ตรัสเสียงเบา
                      ชายหนุ่มตกใจรีบหันกลับมา   แต่พอเห็นว่าเจ้าหญิงเขยิบเข้ามาใกล้กว่าเดิมก็ตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออก   เจ้าหญิงทรงหัวเราะคิกหงายมือชายหนุ่มขึ้นแล้ววางเครื่องประดับลงในอุ้งมือนั้นก่อนจะถอยกลับไปนั่งที่เดิม   ถึงเวลานี้ชายหนุ่มก็ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมากก่อนจะพึมพำเสียงเบาเหมือนให้ตนเองฟัง   แต่ก็ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยิน
                      “ข้าหวังว่าจะมีภูมิต้านทานความน่ารักของเจ้าหญิงเร็ว ๆ”
                      ครั้นเจ้าหญิงทรงได้ยินดังนั้นก็กลับหน้าแดงขึ้นมาอีกพบางทรงนึกในใจว่าพระองค์เองก็หวังจะให้พระองค์มีภูมิต้านทานเขาได้เร็ว ๆ เช่นกัน
                      “ท่านชอบที่ระลึกของข้าไหม?” เจ้าหญิงตรัสขึ้นเมื่อมั่นใจว่าควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติได้แล้ว
                      “ข้าชอบมาก   ขอบคุณที่เจ้าหญิงเมตตาฟังคำขอของข้า” ฮารีซันตอบอย่างซาบซึ้งใจ   เขารู้ว่าเจ้าหญิงจะต้องชอบเครื่องประดับชิ้นนี้มากทีเดียวเพราะเขาเป็นพระองค์ใช้มันเสมอ ๆ    นั่นยิ่งทำให้มันมีค่าอย่างเหลือเกิน
                      “ถ้าเช่นนั้น   ท่านไม่คิดจะมอบของที่ระลึกให้ข้าบ้างหรือ?” เจ้าหญิงตรัสด้วยใบหน้าทำเป้นไม่รู้ไม่ชี้   แต่แก้มนวลทั้งสองข้างก็เริ่มมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
                      นั่นทำให้ฮารีซันทั้งดีใจและตื่นเต้นจนพูดไม่ออก   เขาแทบไม่กล้าคิดฝันเลยว่าหญิงที่สูงศักดิ์และแสนจะงดงามเพรียบพร้อมตรงหน้าจะอยากได้ของที่ระลึกจากเขาด้วยเช่นกัน   ฮารีซันก้มหน้าลงมองฝ่ามือเล็ก ๆ สีขาวผ่องที่เวลานี้แบออกและยื่นมาหาเขาเป็นการยืนยันว่าเจ้าหญิงทรงต้องการมันจริง ๆ    ชายหนุ่มยิ้มจนแก้มแทบปริ   แต่เขาจะให้อะไรเจ้าหญิงดี   เขาไม่ได้คิดฝันว่าเจ้าหญิงจะต้องการของที่ระลึกจากเขาจึงไม่ได้เตรียมของมีค่าใด ๆ ไว้ 
                      “ข้าไม่มีของมีค่าอะไรที่คู่ควรกับเจ้าหญิง” ฮารีซันตอบเสียงเบา   เริ่มโมโหตัวเองที่ไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้สำหรับเจ้าหญิงเรจิน่า   
                      “มันมีค่าคู่ควรกับข้ารึไม่?   ข้าจะเป็นคนตัดสินเอง” เจ้าหญิงตรัสตอบเสียงหนักแน่น
                      ฮารีซันได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา   คำพูดของเจ้าหญิงทำให้หัวใจของเขาพองโตได้เสมอ   ฮารีซันหยิบห่อผ้าที่เขาเหน็บไว้ที่ผ้าคาดเอวออกมาและเปิดมันออก   ในห่อผ้านั้นมีเข็มกลัดอำพันสีน้ำตาลทองวางอยู่ชิ้นหนึ่ง   เข้าหยิบมันขึ้นมาแล้ววางลงบนฝ่ามือขาวผ่องตรงหน้า
                      “ของแม่ข้า   ข้าพกติดต่อไว้เสมอ”
                      เจ้าหญิงทรงได้ยินดังนั้นก็ตาโตขึ้นด้วยความตกใจ “นี่มันมีค่ากับท่านมากนี่นา   ท่านเก็บเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ?”
                      “เจ้าหญิงเก็บเอาไว้เถิด   ข้าคิดว่ามันเหมาะกับเจ้าหญิงมากกว่าข้า   เว้นเสียแต่ว่าเจ้าหญิงจะไม่อยากได้” ฮารีซันกล่าวยิ้ม ๆ แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
                      “เหลวไหล   ข้าอยากได้สิ   ขอบคุณมาก   ข้าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสตอบด้วยความซาบซึ้งใจ
                      สองหนุ่มสาวต่างพูดคุยกันต่ออีกหลายชั่วยามจนอาทิตย์เกือบลับขอบฟ้าจึงต่างแยกย้ายกันกลับที่พักของตน
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: September 13, 2007, 06:14:37 AM »

มาเม้าส์กหันที่นี่นะก๊าบบบบ   


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=33379.0
« Last Edit: September 13, 2007, 06:18:09 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.09 seconds with 22 queries.