Summoner Master Forum
October 04, 2024, 02:26:36 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: [ประกวด] ทะเลทรายในเปลวเพลิง  (Read 3618 times)
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
Kaizer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 226


Email
« on: August 23, 2007, 01:51:45 PM »

ปฐมบท : การพบกันของทะเลทรายและเปลวเพลิง
“เรียนใต้เท้า กษัตริย์อิสฮานได้เสด็จมาถึงแล้ว” เสียงรายงานของมหาดเล็กได้ปลุกชายชราให้ตื่นจากภวังค์
“มาถึงแล้วรึ แล้วกำลังพลเล่า ยกมากันเท่าไหร่”
“ไม่มากขอรับใต้เท้า นอกจากกองกำลังรักษาพระองค์แล้ว เห็นมีเพียงเหล่าคนสนิทไม่เกินสิบคนขอรับ” มหาดเล็กหยุดนิดหนึ่ง แล้วจึงถามต่อ “พวกเขาขอเข้าพบใต้เท้า ท่านจะว่าอย่างไรขอรับ”
“ให้พวกเขาเข้ามา”

“ขอต้อนรับสู่แคว้นลาซาล กษัตริย์แห่งซาโลม” เสียงทรงอำนาจได้ประกาศต่อกลุ่มผู้มาเยือน
“ขอพระเจ้าอำนวยพรให้ท่าน ลอร์ดเยซีฮาน และบรรดาชาวลาซาลทุกคน” เสียงนุ่มของชายหนุ่มได้ตอบกลับ พร้อมทั้งแสดงอาการคารวะอย่างสูงเยี่ยงแสดงต่อญาติผู้ใหญ่อย่างไม่ถือตัว
“ท่านนาริส เราไม่ได้พบกันนานแล้วนะ” หยุดนิดหนึ่ง พลางมองหน้าหญิงสาวในชุดเผ่าฟูดินัน “ยินดีที่พบเจ้า ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามาก ท่านหญิงวานาอัน” และสุดท้ายไปที่หญิงอีกคนหนึ่ง “ใจคอจะไม่ทักทายพ่อหน่อยเลยรึ ซูไลก้า”
“ก็ข้าเห็นพวกท่านยังคุยกันไม่เสร็จนี่นา มันจะเสียมารยาทนี่คะ” เด็กหญิงแววซุกซนตอบ
“ลูกสาวกะโปโลของข้ารู้จักมารยาทด้วยเรอะนี่ เวลาช่างผ่านไปนานจริงๆ” ลอร์ดแห่งลาซาลยิ้มนิดหนึ่ง พลางมองหน้าอิสฮาน “พักเรื่องส่วนตัวไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน กษัตริย์แห่งซาโลม ท่านจะเอาอย่างไรต่อลาซาล”
กษัตริย์ซาโลมหันไปหานาริสนิดหนึ่ง พลางตอบ “ข้าได้ปรึกษากับท่านนาริสแล้วว่านับแต่อดีตมา แคว้นลาซาลได้เป็นแคว้นอิสระมาตลอด ตั้งแต่สมัยพระอัยกามา ท่านลอร์ดก็เป็นหนึ่งในเจ้าแคว้นในแถบทะเลทราย ถึงสมัยพระบิดาข้า กษัตริย์ซาดินได้รวบรวมแว่นแคว้นในทะเลทรายมาก่อตั้งเป็นอาณาจักรซาโลม ท่านก็เข้าร่วมโดยที่ไม่ได้เกิดจากการพ่ายศึก แต่เกิดจากที่ท่านหน่ายต่อสงครามและไม่ต้องการให้ชาวทะเลทรายต้องฆ่าฟันกันเอง ท่านจึงยอมเสื่อมเกียรติแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น ข้าคิดว่า... ข้าและท่านจะร่วมกันปกครองดินแดนทะเลทราย โดยที่ลาซาล และซาโลม จักเป็นดั่งเครือญาติที่ไม่ก้าวก่ายกันและกัน จะมีแต่ไมตรีต่อกัน ดังนี้ ท่านลอร์ดเห็นเป็นอย่างไร”
“ท่านกล่าวได้อย่างใจเรานัก กษัตริย์น้อย ดังนี้แล้วจงฉลองให้กับสันติภาพเถอะ!!”   

ในงานเลี้ยง ลอร์ดเฒ่าได้ถามกษัตริย์หนุ่ม “เรื่องการปกครองในอาณาจักรท่านมีผู้ใดเป็นที่ปรึกษาเล่า”
“ท่านนาริส ได้ให้ความกระจ่างแก่ข้าเสมอมา” อิสฮานตอบ
“นาริส สุไลมาน เป็นผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดที่ข้ารู้จัก เขาเป็นผู้ที่เก่งทั้งด้านการรบ ยุทธศาสตร์และการปกครอง พระบิดาของพระองค์ได้การช่วยเหลือจากเขา จึงได้รอดมาจนตั้งอาณาจักรซาโลมได้ น่าเสียดายที่เขากลับมีความทะเยอทะยาน และไปหลงเชื่อเจ้าปลิ้นปล้อน เบลซเสจ ไม่เช่นนั้นเมอริเซียคงสงบสุขปราศจากไฟของสงคราม และประชาชนคงไม่ต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก”
“ฝ่าบาท” ผู้ที่เป็นหัวข้อสนทนาเอ่ย “เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ข้าพระองค์ได้เคยเล่านิทานถวายพระองค์ มาวันนี้ ข้าพระองค์จะขอเล่านิทานอีกสักเรื่องจะได้หรือไม่”
“ถ้าเป็นตำนานของจ้าวแห่งทะเลทรายละก็ เราก็อยากฟังอยู่พอดี” กษัตริย์รูปงามกล่าวพลางยิ้ม
“เช่นนั้น เรื่องมีอยู่ว่า…”
Logged


Kaizer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 226


Email
« Reply #1 on: August 23, 2007, 01:53:30 PM »

มัชฌิมบท : จ้าวทะเลทราย
ท่ามกลางแดดอันร้อนระอุของทะเลทราย ชาวเผ่าที่อยู่แถบนี้ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ขาดแคลนซึ่งอาหารและน้ำ มีเพียงจิตใจอันแข็งแกร่งไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เฝ้ารอคอยและเสาะแสวงหาถิ่นที่อยู่ หนึ่งในนั้นที่เราจะกล่าวถึง อยู่ในแถบเหนือสุดของแดนทะเลทราย ส่วนที่แร้นแค้น และลำบากที่สุดก็ได้หล่อหลอมให้เกิดจอมคนที่เข้มแข็งที่สุดได้เช่นกัน
“วันนี้มีสินค้าอะไรมาใหม่บ้างละยาย” ชายหนุ่มถามแม่ค้าเร่ร่อนในตลาด ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นลาซาล มีคาราวานสินค้าในแถบทะเลทรายมาค้าขายกันอย่างครึกครื้น รวมไปถึงการค้าข่าวสาร และทหารรับจ้าง
“เผ่าซาโลมได้ยึดแคว้นทางใต้ของทะเลทรายได้เป็นจำนวนมากแล้ว” เสียงแม่เฒ่ากระซิบ “มีความเป็นไปได้ว่าจะกรีธาทัพมายังลาซาล ฝ่าบาท”
“ลาซาลกับซาโลมมีศักยภาพ พอๆกัน เหตุใดที่เขาจะกล้ายกมาถึงลาซาลเล่า”ชายหนุ่มถามต่อ
“ฝ่าบาทยังจำเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนได้หรือไม่” แม่ค้าข่าวถาม “หัวหน้าเผ่าซาโลมที่มีใจอารีได้แบ่งปันโอเอซีสที่สมบูรณ์จนกระทั่งเผ่าต่างๆที่ละโมบต่างรวมกันขับไล่จนเผ่าซาโลมเกือบล่มสลาย มีเพียงนาริส สุไลมาน ที่ปรึกษาได้คุ้มครองลูกชายหัวหน้าเผ่าให้รอดตายมาได้ มาบัดนี้ เขาได้เติบใหญ่มีไฟความแค้นแน่นในอก ได้ประกาศต่อโลกว่าจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง มาบัดนี้ แว่นแคว้นทางใต้ได้ถูกเขารวบรวมไปจนสิ้น เมื่อใดที่พร้อม ซาดิน ยิบริด คงกรีธาทัพมาเป็นแน่” แม่ค้าหยุดพลางมองหน้าชายหนุ่ม “หากแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งที่สุดในแถบทะเลทรายด้านเหนือ คงเป็นอุปสรรคที่สำคัญแก่เขา องค์เยซีฮาน”
“แล้วท่านมีข้อแนะนำอะไรเราบ้างหรือไม่ ในฐานะของที่ปรึกษาด้านข่าวสาร” เยซีฮานถาม ในฐานะของเจ้าแคว้นลาซาล เขาไม่ต้องการให้เกิดสงคราม
“ส่งเสริมด้านการฑูต แต่จงอย่าทิ้งด้านการทหาร” อีกเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา เป็นเสียงใสของหญิงสาว
“อย่าสอดเรื่องผู้ใหญ่ อาซาร่า (Azara, Zuleika’s Royal Guard)” แม่เฒ่าดุ
“นาริส สุไลมานเป็นผู้มีความสุขุม และรักสันติ เขาจะช่วยชะลอศึกได้” เสียงใสอีกเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา “และตระกูลอาซาร์ ก็เป็นพลังที่ขาดไม่ได้”
“เจ้าก็อย่ายุ่งด้วย นาวาร่า (Nawara, Zuleika’s Royal Guard) พวกเจ้าสองคนนี่ชอบแย่งบทข้าจริงๆ”
“แม่นางทั้งสอง คงมีเรื่องที่จะกล่าวแก่เรา ขอให้ท่านเปิดโอกาสแก่พวกนางเถิด” เจ้าแคว้นลาซาลกล่าว
“หากฝ่าบาทไม่ตำหนิอันใด นางทั้งสองเหล่านี้ ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรบและหาข่าวสาร อันเป็นสายเลือดของหม่อมฉันเอง ทั้งคู่เป็นฝาแฝดที่มีความสามารถ และต้องการถวายงานรับใช้แก่พระองค์”
“ดังที่พวกเจ้าได้กล่าวมา” เยซีฮานเหลือบไปมองสองสาว “บาราซ อาซาร์ ผู้นี้” กล่าวพลางมองไปยังผู้ติดตามหนุ่มข้างกาย “เป็นนักรบเวทย์ผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพ และได้อยู่ข้างกายข้าแล้ว และข้าก็พร้อมให้การสนับสนุนเขา หากแต่การไปพบนาริส สุไลมาน เพื่อการสันติสุขนั้น ข้ายังไม่มีผู้ใดเห็นสมควร”
“เช่นนั้น” สองสาวกล่าวพร้อมกัน “เราขอถวายการรับใช้ท่าน เพื่อชะตาแห่งเหล่าชนทะเลทราย”
« Last Edit: August 23, 2007, 01:55:03 PM by Kaizer » Logged


Kaizer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 226


Email
« Reply #2 on: August 23, 2007, 01:55:37 PM »

ในค่ายของซาโลม มีการเตรียมพร้อมเพื่อการศึกโดยตลอด เนื่องเพราะเจ้าเหนือหัวของเขาเหล่านั้น ซาดิน ยิบริด ผู้ซึ่งมีเพลิงสุมเต็มอุระ ด้วยใจกระหายจะแก้แค้น และกู้พระเกียรติยศแห่งพระราชบิดา การจะหาช่องทางไปพบกับ นาริส สุไลมาน อันเปรียบเสมือนกับมันสมองของกองทัพนั้น เป็นไปได้ยากยิ่ง หากแต่ตาข่ายฟ้า ย่อมมีทางหลุดรอด แม่สองสาวก็หาทางไปพบกับยอดอำมาตย์จนได้
   “ท่านนาริส” เสียงกระซิบดังขึ้นในกระโจมของมหาอำมาตย์แห่งซาโลม
   “...” เงียบนิดหนึ่ง “ผู้มาเยือน ขอเชิญลงมาพบหน้ากันเถิด” มหาอำมาตย์แห่งซาโลมเอ่ย
   “ท่านเป็นผู้กล้าหาญนัก” หนึ่งในสองสาวเอ่ย “ปกติแล้ว ข้าจะได้ยินเสียงการตามหาเหล่าทหารเพื่อมาปกป้องตน แต่ท่านกลับไม่”
   “ความกล้าหาญ จักมาจากความสามารถที่แท้ แม่หญิง” นาริสตอบ “หากแต่ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าทั้งสองมาฉันมิตร จึงหาได้มีความกริ่งเกรงไม่”
   “สามารถนัก” อีกเสียงสาวเอ่ย “สามารถทราบถึงการมาของเราสองได้ ท่านนับเป็นผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งซาโลมโดยแท้”
   “ช้าก่อน แม่นาง” ผู้ได้รับยกย่องขัดขึ้น “เราเป็นเพียงข้าราชบริพารแห่งองค์ซาดิน ผู้ทรงสามารถที่แท้”
   “เช่นนั้น ท่านจงฟังสารจากนายแห่งเรา เจ้าแห่งลาซาล”
   “เยซีฮาน มีอันใดแนะนำเรา”
   “จ้าวแห่งลาซาลไม่ประสงค์ต่อสงคราม ด้วยเป็นการทำร้ายแก่อาณาประชาราษฎร์ หากแต่ถ้ามิอาจเลี่ยงได้ ลาซาลก็จักมิยอมให้ซาโลมกดขี่ เหตุว่านายแห่งข้า มิได้ทำการข่มเหงต่อราชบิดาของซาดิน จึงเป็นการที่มีสิทธิต่อดินแดนแห่งทะเลทรายภาคเหนือ แต่หากต้องการยุทธกรีธาแล้วไซร้ ลอร์ดเยซีฮานและชาวลาซาลก็พร้อมสนองให้แก่ซาดิน และชาวซาโลมเฉกเดียวกัน” อาซาร่าประกาศกร้าว
   “เรารับทราบแล้ว แม่หญิง” มหาอำมาตย์เอ่ย “และเราก็ไม่ได้ปรารถนาต่อสงคราม หากแต่การเป็นข้าราชบริพาร เรามิอาจตัดสินใจได้เอง แต่เราจะพยายามสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อท่านเยซีฮานและประชาชนด้วย”
“เช่นนั้น” นาวาร่าเอ่ย “เราจะไปเรียนนายเราดังคำท่าน หากไม่ได้พบกันในสนามรบก็คงดีไม่น้อย” เมื่อกล่าวจบ แม่เสือสาวทั้งสองก็ได้จากไป ไม่เหลือแม้ร่องรอยเอาไว้
“หวังได้แต่ว่า การข้างหน้า จักไม่เป็นทางหายนะแห่งซาโลม” มหาอำมาตย์ได้แต่รำพึงกับตนเอง
Logged


Kaizer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 226


Email
« Reply #3 on: August 23, 2007, 01:56:52 PM »

วันเวลาผ่านไป สามทิวาการถัดมา จ้าวแห่งลาซาลได้จัดการประชุมเพื่อปรึกษาการศึกแก่เหล่าเสนาอำมาตย์
“หากซาดินยกทัพมา ลาซาลจะวางตนเช่นใด” จ้าวทะเลทรายเปิดแก่ที่ประชุม
“ทูลฝ่าบาท” บาราซ อาซาร์ ราชองครักษ์ พร้อมตำแหน่งที่ปรึกษา และสหายสนิทเอ่ย “ซาดินเปรียบตนเองดั่งเปลวเพลิง ที่สามารถส่องสว่างทั่วยังดินแดน แต่อีกนัยหนึ่ง เปลวเพลิงก็ยังความมอดไหม้แก่ผู้ที่อยู่ใกล้ หากแต่เราชาวลาซาล เปรียบดังเม็ดทราย หากต่างคนต่างอยู่ เราก็เป็นเพียงเม็ดทราย แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกัน เม็ดทราย ก็อาจกลายเป็นพายุทรายที่สามารถพัดพาทุกผู้ไปได้”
“เช่นนั้น เจ้าเสนอให้ต่อต้าน”
“หากเขาต้องการสงคราม ชาวลาซาล ก็พร้อมสนอง” บาราซกล่าว “และนี่เป็นการตกลงกันของสภาแห่งนี้ ที่พวกข้าพระองค์ได้ประชุมกันหาข้อสรุปแล้ว” สหายสนิทจ้องหน้า “หากท่านต้องการ พวกข้าพร้อมที่จะสละชีพเพื่ออาณาจักรแห่งพระองค์”
“ข้าไม่ปรารถนาสงคราม แต่หากเป็นสำนึกแห่งชาวลาซาลแล้วไซร้ ข้าก็ไม่ต้องการการข่มเหงจากชนเผ่าอื่น” เยซีฮานหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงประกาศด้วยเสียงอันดัง “เราชาวลาซาล จักยอมตายเพื่อรักษาเกียรติภูมิของแผ่นดิน หากมีผู้ใดมาข่มเหง เราจักยอมสละซึ่งชีพ เพื่อรักษาเกียรติแห่งลาซาล!!”

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ชาวลาซาลได้เตรียมเมืองเพื่อรับศึก ไม่ว่าจะขุดคูเมือง เตรียมหลุมเพลาะ หรือฝึกเหล่าทหารต่างๆ  แต่ในขณะเดียวกัน ทัพซาโลมก็ได้เคลื่อนทัพมาประชิด

“ทัพซาโลมช่างเกรียงไกรนัก” เยซีฮานเอ่ย เมื่อเห็นกองทัพเพลิงแห่งซาโลม
“พระองค์อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย จะสร้างความกังวลแก่เหล่าทหารเปล่าๆ” บาราซกล่าว “ข้าฯ รู้ว่าในพระทัยพระองค์มีแต่ความกระหายในการศึก เช่นเดียวกับข้า ฯ”
“งั้นเราไปเล่นสงครามกันเถอะ”

เมื่อประตูเมืองเปิดออก และมีสิ่งที่ดุจดั่งอสุรกายออกมาเข่นฆ่าเหล่าทหารแห่งซาโลม กำลังใจของทัพก็ตกลงเรื่อยๆ ด้วยว่าไม่เคยได้ยินถึงยอดนักรบแห่งลาซาล แม้กระทั่งซาดิน ยิบริด ยังอดรนทนมิได้
“ไอ้สองคนนั้นเป็นใคร ถึงได้ฆ่าทหารเราดั่งปลิดใบไม้” สุรเสียงโกรธเกรี้ยวตวาดออกไป
“น่าจะเป็น เยซีฮาน และบาราซ แห่งอาซาร์” นาริส มหาอำมาตย์ตอบ “จ้าวแห่งลาซาล และทหารคนสนิท”
“เหตุใดคนที่มีฝีมือขนาดนี้จึงไม่มีชื่อเสียงระบือไกล ท่านนาริส” กษัตริย์เพลิงถาม
“แคว้นลาซาล ถือคติว่าเป็นรัฐอิสระ ไม่ต้องการความยิ่งใหญ่หากแต่ต้องการเป็นเอกราช ดังนั้นแม้นักรบในแคว้นนี้จะเก่งกล้า แต่ไม่ใคร่มีโอกาสในการรบเท่าใด ผู้คนจึงไม่รู้จักชื่อเสียง”
“เราใคร่อยากลองฝีมือของผู้กล้าทั้งสองนัก” ซาดินกล่าวพลางสั่งทหาร “เอาเมอรห์แดดมาให้ข้า”

เมื่อกษัตริย์เพลิงได้กระบองคู่ใจแล้วก็ตะโกนกู่ก้อง เหล่าทหารที่ตะลุมบอนกันอยู่ก็โห่ร้อง พลางเปิดทางให้แก่เจ้านายของตน เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ประจันหน้ากัน ต่างก็รู้สึกได้ถึงความสามารถของอีกฝ่าย โดยไม่มีการกล่าวแก่กัน บาราซได้พุ่งเข้าไปลองเชิงก่อน เปลวเพลิงได้พุ่งออกมาจากมือทั้งสอง ข้างหนึ่งแปรสภาพเป็นดาบ อีกข้างได้ห่อหุ้มมือเป็นเกราะป้องกัน  ซาดินฟาดกระบองไปเท่าไร บาราซก็รับได้เท่านั้น และเมื่อผู้นำแห่งตระกูลอาซาร์ฟาดฟันดาบเพลิงไป กษัตริย์แห่งซาโลมก็ปัดป้องได้เช่นกัน ครั้นแล้วบาราซจึงเปลี่ยนกลยุทธการโจมตี เปลวไฟได้แปรสภาพเป็นดาบคู่ช่วยปัดป้องและจู่โจม การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนเวลาผ่านไป พลังเวทย์ของบาราซก็ได้อ่อนลง มือของเขาก็เต็มไปด้วยรอยช้ำ ในที่สุดดาบเวทย์ที่สร้างไว้ก็สลายเป็นเพียงไฟที่หุ้มมือเท่านั้น เหลือทิ้งไว้แต่เพลิงอันเกิดจากเวทย์มนตร์บนกระบองของซาดินเท่านั้น กษัตริย์เพลิงยิ้มอยู่ในหน้าพลางควงกระบองรอบหนึ่ง ไฟที่ติดอยู่ก็ดับไป จากนั้นฟาดไปใหม่ด้วยความแรงยิ่งกว่าเดิม กระแทกมือของบาราซจนแตกเลือดอาบง่ามนิ้ว เยซีฮานเห็นดังนี้จึงกระโจนเข้ามาร่วมศึกด้วย จ้าวทะเลทรายกวัดแกว่งดาบโค้งในมืออย่างแคล่วคล่อง ปัดการฟาดอันรุนแรงของซาดินได้อย่างน่าหวาดเสียว พลางกันให้สหายได้ถอยไปแนวหลังอย่างปลอดภัย แต่กษัตริย์เพลิงเป็นดุจเปลวไฟที่ได้เชื้อเพลิงเต็มที่ กวัดแกว่งกระบองฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง หลายต่อหลายครั้งที่เยซีฮานเกือบเพลี่ยงพล้ำ แต่จ้าวแห่งทะเลทรายก็ไม่ได้ไร้ซึ่งฝีมือ หากแต่จู่โจมจนซาดินต้องเสียวสันหลังก็หลายครั้ง
การปะทะอย่างดุเดือดของสองจอมคนผ่านไปหลายกระบวนท่า ด้านกษัตริย์เพลิงนั้นโดดเด่นด้านพลัง ส่วนจ้าวแห่งทะเลทรายนั้นได้เปรียบด้านกระบวนท่า ซาดินฟาดมาบน เยซีฮานก็ฟันไปล่าง จ้าวทะเลทรายบุกซ้าย กษัตริย์ซาโลมก็รุกขวา ไม่มีใครยอมแก่กัน กว่าร้อยกระบวนท่าผ่านไป ในที่สุดพายุแห่งการต่อสู้ก็เริ่มสงบลง ทั้งสองต่างมีแววเหน็ดเหนื่อยในใบหน้า สองมือสั่นระริก แต่แววตาคมกล้าเปล่งประกาย ด้วยว่าได้พบคู่ปรับชั้นยอดที่มีฝีมือสมศักดิ์ศรีกัน ถึงจะอยู่คนละฝ่าย แต่ต่างก็ยอมรับในกันและกัน
“ประมุขแห่งซาโลม ฝีมือไม่ได้อ่อนกว่าคำร่ำลือเลย” เยซีฮานกล่าว
“แต่เราประหลาดใจนัก ที่คนมีฝีมือเช่นเจ้า กลับไม่มีชื่อก้องฟ้า” ซาดินเอ่ยปาก ตาสีน้ำตาลหรี่ลงพลางกล่าวเสียงเครียด “ลาซาลจักมีคำตอบต่อซาโลมเช่นไร สวามิภักดิ์ หรือ สู้จนตัวตาย”
“ชาวลาซาลมิใช่คนขลาด” ลอร์ดแห่งทะเลทรายพูด “แต่ก็ไม่ได้เป็นพวกโง่งม ชาวเรานั้นรักสันติ หากแต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็จำเป็นต้องสู้ แต่ข้ามีข้อเสนอให้แก่เจ้า” เยซีฮานหยุดนิดหนึ่ง ในใจระรัวด้วยคำที่จะกล่าวไปนี้เป็นการเดิมพันต่ออนาคตของชนเผ่าทั้งหมด “ข้าขอเสนอให้ท่านปล่อยให้ลาซาลเป็นรัฐอิสระต่อไป โดยข้าให้สัญญาว่าจะไม่เป็นอริต่อซาโลม”
“แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าลาซาลจะคงเป็นรัฐอิสระไม่หันกลับมาแว้งกัดซาโลม”
“ข้า เยซีฮาน จะไปเป็นตัวประกันในฐานะขุนพลใต้บังคับบัญชาท่าน แค่นี้คงพอกระมัง”
ด้วยความตกตะลึงที่อีกฝ่ายยอมลดตนลงมาเพื่อชาวประชาขนาดนี้ซาดินนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงกล่าว “ท่านเป็นผู้นำที่ยอมเสียสละมาก เยซีฮาน ข้า ซาดิน ยิบริด ขอคารวะจากใจ” กษัตริย์เพลิงกล่าวพลางค้อมศีรษะให้ “ข้าขอประกาศให้ซาโลมและลาซาลเป็นแคว้นพันธมิตรต่อกัน ถือศักดิ์เท่าเทียม เป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน และข้าขอแต่งตั้งให้ลอร์ดเยซีฮานเป็นแม่ทัพใหญ่ มีอำนาจการสั่งการเหล่าทัพทั้งหมดรองจากข้า”
Logged


Kaizer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 226


Email
« Reply #4 on: August 23, 2007, 01:57:58 PM »

ปัจฉิมบท : เม็ดทรายในเปลวเพลิง
วันเวลาผ่านไป เมื่อซาโลมรวมเหล่าชนเผ่าทะเลทรายได้เป็นเอกภาพ โดยมีเยซีฮานและนาริส เป็นดุจดั่งแขนขาและมันสมอง แว่นแคว้นข้างเคียงก็เริ่มมาสวามิภักดิ์เพิ่มเติม หาไม่แล้วก็จะโดนรุกราน ในครั้งหนึ่งเป็นการรบที่สำคัญยิ่ง ด้วยว่าผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามนั้นคือ ราโชยู ผู้มีเคียวต้องสาปเป็นอาวุธ ได้ต่อสู้อย่างห้าวหาญสามารถเป็นที่ถูกใจกษัตริย์เพลิง จึงอยากได้มาใช้งาน แต่ราโชยูบอกว่าตนจะรับใช้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนเท่านั้น ซาดินจึงจะลงไปประลองด้วย แต่เยซีฮานได้เสนอตนไปประลองแทน
“ระวังตัวด้วย พี่ข้า” ซาดินเตือน “แม่ทัพนั่นฝีมือใช่เบาไปจากเราท่าน”
“ขอบใจ น้องเรา แต่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า เพราะคนที่สามารถจะเสมอข้าได้ต้องมีเพียงเจ้าเท่านั้น”

การประลองของทั้งสองเป็นไปอย่างดุดัน ไม่แพ้ครั้งที่ซาดินรบกับเยซีฮาน แม่ทัพทมิฬกวัดแกว่งเคียวอย่างคล่องแคล่วผิดไปจากร่างใหญ่เทอะทะ แต่เยซีฮานก็เป็นยอดนักรบ ดาบในมือของจ้าวทะเลทรายตวัดไปครั้งใดก็สร้างบาดแผลที่นั้น เวลาผ่านไปไม่นาน ทั่วร่างของแม่ทัพทมิฬก็เต็มไปด้วยบาดแผล โดยที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเยซีฮานได้เลย ในที่สุดแม่ทัพทมิฬก็ปักเคียวลงพื้นและคุกเข่ายอมแพ้ และยอมสยบให้กับจักรวรรดิซาโลม
เมื่อยอดนักรบในเผ่าได้ยอมสยบ ความวุ่นวายก็บังเกิด ขณะนั้นเองก็ได้มีนักเวทย์ผู้หนึ่งได้ออกมายอมสวามิภักดิ์ เขาได้แนะนำตนเองว่าเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดในเผ่า และการที่ฉลาดเกินไปทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ราโชยูบอกว่าเป็นเพราะความคิดที่ชั่วร้ายทำให้ผู้คนรังเกียจต่างหาก นักเวทย์นั้นคือ เบลซเสจ ผู้ซึ่งต่อมาได้สร้างความหายนะให้แก่ซาโลม
เบลซเสจเริ่มรับราชการในซาโลมโดยเป็นผู้ช่วยของนาริส สุไลมาน แต่เมื่อร่วมงานไปได้สักพักเบลซเสจรู้สึกเบื่อหน่ายต่อมหาอำมาตย์ที่ชอบนำเสนอแต่นโยบายทางการฑูต จึงได้ขอย้ายไปสังกัดกองทัพที่มีเยซีฮานเป็นหัวหน้า แต่เยซีฮานก็ไม่ได้บ้าสงครามดังที่พ่อมดคาดหวังไว้ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเยซีฮานหาได้เป็นชาวซาโลมแต่แรกไม่ แต่ว่ามาอยู่ในฐานะของเชลยศึก จึงได้หว่านล้อมให้เยซีฮานก่อกบฏ โดยได้เขียนแผนร่างไว้ว่าให้เยซีฮานทำทีว่าจะนำทหารของลาซาลมาฝึกทหารเพิ่ม แต่เมื่อถึงเขตซาโลมก็จะประสานทหารในเมืองที่เยซีฮานคุมอยู่ ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจจากซาดิน

“หากกระทำตามแผนนี้ ท่านแม่ทัพต้องสามารถยึดอำนาจจากไอ้กษัตริย์บ้าพลังนั่นได้แน่” พ่อมดกล่าว
“หากกระทำตามแผนนี้ ข้าก็จะกลายเป็นผู้ไม่รักษาสัจจะต่างหาก ไอ้คนปลิ้นปล้อน” เยซีฮานตวาดดังลั่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ไปเสีย ที่จริงความผิดของเจ้าถึงขั้นประหารแล้ว แต่ข้าไม่อยากให้เลือดชั่วๆต้องมาตกลงสู่อาณาจักรแห่งนี้”
Logged


Kaizer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 226


Email
« Reply #5 on: August 23, 2007, 01:58:32 PM »

นั่นเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของจ้าวแห่งทะเลทราย เพราะวันรุ่งขึ้น..

“นี่เกิดอะไรขึ้น น้องข้า” เยซีฮานถาม “เหตุใดจึงให้ทหารไปคุมตัวข้ามา”
“ไอ้กบฏ” ซาดินตวาด “ข้าอุตส่าห์แต่งตั้งให้เจ้าเป็นถึงแม่ทัพยิ่งใหญ่รองจากข้า เมืองลาซาลข้าก็ไม่ได้ทำร้าย แต่เจ้ากลับละโมบหวังจะเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว”
“น้องข้า ฟังข้าก่อน” เยซีฮานนึกออกทันทีว่าต้องเป็นเจ้าเบลซเสจนั่นแน่ที่รีบชิงมาฟ้องก่อน “หากข้าจะเป็นกบฏจริง ทำไมข้าต้องไปร่วมมือกับเจ้าเบลซเสจเล่า ข้าไปร่วมมือกับท่านนาริสที่มีอำนาจไม่ดีกว่าหรือ”
“เฮอะ ข้ายังไม่ได้พูดซักคำว่าเจ้าร่วมมือกับใคร นี่เจ้ายอมสารภาพออกมาเองนะ” ซาดินเอ่ยเสียงเครียด “งั้นลองให้เจ้าตัวเล่าเองแล้วกัน เบลซเสจ!!”
“เรียนฝ่าบาท” เบลซเสจเอ่ยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนข้าได้หารือเรื่องราชการกับท่านแม่ทัพ จู่ๆท่านแม่ทัพก็ถามว่าข้าไม่ชอบหน้าท่านนาริสใช่ไหม ข้าก็บอกว่าข้านับถือท่านนาริส แต่ว่าข้าไม่ถนัดในด้านปกครองจึงได้ขอย้ายมาอยู่ฝ่ายทหารดีกว่า ท่านแม่ทัพจึงหยิบนี่” พูดพลางหยิบแผนกบฏออกมา
“ไอ้สารเลว” เยซีฮานตะโกน “ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จ ระวังเงาหัวเจ้าจะไม่มี”
“หุบปาก” ซาดินตวาด “เล่าต่อไปซิ”
“ท่านได้กล่าวว่าท่านนาริสนั้นภักดีนัก จึงได้มาหาคนที่เพิ่งมาสวามิภักดิ์เช่นข้า แล้วเมื่อข้าปฏิเสธไปจึงยัดเยียดสิ่งนี้มาให้ข้า แล้วบอกว่าหากข้ายอมร่วมก่อการด้วย เมื่อสำเร็จการแล้วจะตั้งให้เป็นมหาอำมาตย์แทนท่านนาริส”
“ท่านเห็นเป็นเช่นไร ท่านนาริส” กษัตริย์เพลิงถาม
“ฝ่าบาท” นาริส สุไลมานเอ่ย “ต่างฝ่ายต่างก็กล่าวหากันเอง เยซีฮานนั้นเป็นแม่ทัพมีผลงานมหาศาล ส่วนเบลซเสจนั้น เป็นผู้มากราบทูลพระองค์ ข้าพระองค์ก็ไม่สามารถที่จะชี้ชัดไปได้ว่าผู้ใดเป็นผู้กล่าวเท็จ เช่นนั้นแล้ว ข้าพระองค์ขอเสนอให้ท่านเยซีฮานกลับไปอยู่รักษาแคว้นลาซาล จนกว่าจะมีคำสั่งอย่างอื่น ส่วนเบลซเสจนั้นก็แล้วแต่พระองค์จะตัดสิน”
“ปล่อยมันกลับลาซาลงั้นเรอะ” ซาดินกัดฟัน “เช่นนั้นมันก็วางแผนกบฏสบายใจเลยน่ะซิ”
“หากท่านเยซีฮานคิดกบฏแล้ว การที่พระองค์ให้คุมกำลังทหารในซาโลมอยู่ก็จะเป็นอันตราย แต่ที่ลาซาล แคว้นเล็กๆอย่างนั้นย่อมไม่สามารถโค่นล้มอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เช่นซาโลมได้” นาริสหยุดพูด หันมองที่เยซีฮาน “แต่หากท่านเยซีฮานไม่ได้มีใจคิดคดแล้ว เราก็จะได้ไม่ต้องเสียแม่ทัพฝีมือดีไป”
“ถ้าท่านกล่าวเช่นนั้น แล้วเยซีฮานเป็นผู้ทรยศ ท่านจะว่าเช่นไร”
“ท่านลืมไปแล้วหรือไร ฝ่าบาท ว่าใครเป็นผู้ฝ่าทางโลหิต นำท่านและท่านเนอริมอร์ออกมาได้ หากจำเป็นข้าก็จะนำทัพไปยังลาซาลด้วยตนเอง”
“เช่นนั้น เราก็จะยอมทำตามที่ท่านว่า”

“ท่านเยซีฮาน ต้องลำบากท่านแล้ว” นาริสกล่าวเมื่อมาส่งเยซีฮานที่ประตูเมือง
“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องสังเวยชีวิตแล้ว” เยซีฮานเอ่ย “ท่านต้องระวังเบลซเสจให้หนัก เจ้านี่เป็นอันตรายไม่เว้นแม้แต่ซาดินเอง อาจเสียท่ามันได้ถ้าประมาทมัน”
“ข้าจะระวังไว้ ท่านจงรักษาตัวให้ดี ข้าอยากให้มีผู้คอยรักษาอยู่ภายนอกบ้าง ภาระภายในจะได้เบาบางลง” มหาอำมาตย์ถอนหายใจ “หวังว่าจะได้พบกันอีก สหาย”
 
เมื่อเยซีฮานเดินทางกลับมาถึงลาซาล ก็ได้รับข่าวว่าซาดินได้แต่งตั้งให้เบลซเสจ และราโชยู เป็นเสนาบดีกลาโหม และแม่ทัพ ดำเนินนโยบายด้านการทหารอย่างเต็มที่ หากแว่นแคว้นเล็กๆไม่ยอมศิโรราบก็จะโดนบดขยี้เข่นฆ่าไม่เหลือแม้เด็กและคนชรา แต่หากแม้แคว้นใดยอมสวามิภักดิ์ ก็ยังถูกกวาดต้อนทรัพย์สิน ผู้คนไปเป็นทาสเป็นจำนวนมาก โดยที่มีเป้าหมายในการรวบรวมแคว้นต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียว

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาต้องหมายครองเมอร์ริเซียเป็นแน่” เยซีฮานรำพึง “แล้วสงครามครั้งที่ใหญ่ที่สุด คงทำให้ผู้คนล้มตายนับหมื่นแสน”

ความคิดของจ้าวแห่งทะเลทรายไม่ผิดแม้แต่น้อย เมื่อกษัตริย์แห่งซาโลมได้รวบรวมอาณาจักรเล็กน้อยจนหมดสิ้น ก็ชูธงฟีนิกซ์แห่งจักรวรรดิซาโลม แต่งตั้งให้เบลซเสจเป็นอุปราชและมุ่งเป้าในการรวบรวมทวีปเมอร์ริเซียให้เป็นหนึ่งเดียว ซาโลมได้เปิดศึกต่ออาณาจักรอื่นจนกลายเป็นมหาสงครามครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปเมอร์ริเซีย นำเอาความพินาศสูญเสียมาสู่ทุกผู้คน จ้าวแห่งทะเลทรายทำได้เพียงรักษาความสงบในลาซาลโดยไม่เข้าร่วมสงคราม ส่วนนาริส สุไลมานก็ทำได้เพียงเลี้ยงอบรม เจ้าชายน้อยของซาโลมเพื่อให้เป็นจอมกษัตริย์ที่เหนือกว่าบิดา สงครามได้สิ้นสุดลงโดยที่ทหารเกือบทุกนายของซาโลมคิดเหมือนกันว่า หากมีเยซีฮานที่คอยอยู่เคียงข้างซาดิน แทนที่จะเป็นเบลซเสจแล้ว สงครามครั้งนี้คงจะมีผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้
Logged


Suchan.poloplow
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1232


Email
« Reply #6 on: August 28, 2007, 01:41:33 AM »

หนุกมาก ๆ เลยครับ  เราจะแต่งได้เท่านี้มะเนี่ย...
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #7 on: August 28, 2007, 03:53:30 PM »

มีการแยกเป็รบท ๆ ดำเนินเนื้อเรื่องได้ต่อเนื่องอย่างไม่รู้สึกติดขัดได้ดีมากครับ
ภาษาและรูปแบบการนำเสนอก็น่าสนใจมากมาย 
Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #8 on: August 29, 2007, 06:33:46 PM »

สนุกดีครับ เอามาผสมกับเนื้อเรื่องหลักของSMNได้ลงตัวดีมากเลย
Logged


Kaizer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 226


Email
« Reply #9 on: August 30, 2007, 01:47:25 PM »

ขอบคุณมากครับ
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.138 seconds with 21 queries.