Summoner Master Forum
October 04, 2024, 06:30:47 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: [ประกวด] วีรบุรุษแห่งสายลม ( Hero of wind)  (Read 3392 times)
0 Members and 6 Guests are viewing this topic.
Therion Rider
Member
*****
Offline Offline

Posts: 35


Email
« on: July 29, 2007, 03:28:26 AM »

                      วีรบุรุษแห่งสายลม ( Hero of wind)
                     
                     ภายใต้แสงตะวันยามย่ำสนธยา  ส่องแสงสุดท้ายผ่านช่องเขาที่เผยให้เห็นลานกว้างใหญ่ ที่ผ่านการสู้รบมาหมาดๆ ควันไฟลอยละล่องคละคลุ้งไปทั่ว ประกอบกับเสียงร้องโอดโอยของทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิ  บ้างอวัยวะถูกตัดขาด บ้างถูกสะเกิดระเบิดแผลเหวอะหวะ บ้างโดนทหารผีรุมกัดจนไม่เหลือสภาพของมนุษย์   ศึกขับไล่ทหารซาโลมจากช่องเขาที่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองวอลเนียมาก่อนเพิ่งจบไป  ถึงชัยชนะจะตกแก่กองอัศวิน
ฟีลาเซีย  แต่ความเสียหายนั้น...ประเมินค่ามิได้
         ปึ้ง!!
   เสียงกำปั้นหนักๆทุบลงบนโต๊ะไม้ดังสนั่น ทำให้เห็นว่าชายคนนั้นกำลังโมโหอย่างรุนแรง
   “รองแม่ทัพทหารราบ เกล บิเอร่า ข้าสั่งให้เจ้าทำทหารไปสกัดหน่วยกองหนุนของไอ้ทหารเถื่อนพวกนั้น ถึงจะได้รับชัยมาก็เถอะ แต่ก็สูญเสียพลทหารมากเกินกว่าจะรับได้ คำถามคือ เพราะเหตุใด” ชาร์ล คาแรน นายทัพสูงสุดของฟีลาเซียถามขึ้นด้วยสายตาฉุนเฉียวเป็นที่สุด
   “ขออภัยครับท่าน.. เป็นเพราะผมไร้ฝีมือเอง เลยต้องเปลืองกำลังพลถึงขนาดนี้”ความจริงที่ยากจะยอมรับ แต่มันก็เกิดขึ้น แต่อันที่จริงแล้วการที่ทหารราบจะเอาชนะเหล่าทหารผีได้โดยไม่มี กองทัพนักบวชช่วย เป็นอะไรที่ยากมาก
   ชายหนุ่มชื่อ เกล บิเอร่า รองแม่ทัพทหารราบแห่งฟีลาเซีย (Felasia knight) เรือนผมสีเขียวตัดซอยสั้นๆรับกับนัยน์ตาสีเพทาย ใบหน้าขาวดั่งหยก ช่างคล้ายคลึงกับรองแม่ทัพคนก่อนซึ่งเป็นบิดาของเขามากเหลือเกิน ดาบที่เหน็บอยู่ข้างกาย ช่วยเขาฝ่าฟันในสนามรบเคียงข้างกับเขา ก็ได้รับสืบทอดจากบิดาเช่นกัน
   อาจจะดูแปลกที่เด็กหนุ่มอายุราว 17-18 จะมียศเป็นถึงรองแม่ทัพทหารราบ แต่ด้วยฝีมือดาบที่พ่อเขาเคี่ยวเข็ญให้ฝึกมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้น รวมกับแม่ทัพบางคนเคารพเทิดทูน บิดาของเขามาก จึงไม่เป็นการยากเลยที่เขาจะได้รับยศนี้มา แต่ด้วยความหนุ่มและอ่อนประสบการณ์ ความเห็นส่วนใหญ่ของเขาจึงไม่เป็นที่ยอมรับของแม่ทัพส่วนใหญ่ในที่นี้ โดยเฉพาะ ชาร์ล คาแรน นายทัพที่นั่งอยู่ตรงหน้า
   “เอาล่ะ เห็นแก่ความดีความชอบในอดีต จะยอมให้ซักครั้ง แต่อย่าให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก ไปได้แล้ว”แม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักรแห่งลม กล่าวด้วยสายตาเย็นชา แล้วหันไปสนใจรายงานบนโต๊ะตนต่อ ซึ่งเกลก็ได้แต่ทำความเคารพแล้วเดินออกจากห้องไป แต่สีหน้าแสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
   (ทำไม เราถึงไม่เคยเป็นที่ยอมรับ ทำไมกันเราถึงต้องถูกรังเกียจ ทำไมกัน ทำไม)
              _________________________
   
   บ่ายวันรุ่งขึ้น เสียงนกน้อย เนเดีย ( naedia )ขับขานอย่างสุขสันต์ภายใต้ดวงตะวันที่ส่องประกายบนฟากฟ้า กระทบหมู่เมฆช่างเป็นภาพที่งามตายิ่ง แต่ในสภาวะระอุไฟสงครามเช่นนี้ คงมีน้อยคนนักที่จะสนใจ เหล่าทหารล้วนกำลังง่วนอยู่กับการฝึกรบ เกลเองก็เช่นกัน เขาเพิ่งประทับตรารายงานชุดสุดท้ายเสร็จ เลยเดินออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพมารับลมข้างนอก สายลมเบาๆพัดเรือนผมปลิวไสว ปลดปล่อยจิตใจให้ลอยไปกับสายลม และรู้สึกเหมือนการรบที่ดุเดือดเมื่อวานเป็นแค่เพียงความฝัน นับเป็นความสบายใจที่หาได้ยาก บรรยากาศชาวเมืองก็เป็นเช่นปกติราวกับไม่รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกกำแพงเมืองเลย
   แล้วเขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ (เอ จะว่าไป วันนี้มันวันสอบของยัยนั่นนี่นา ไปหาหน่อยดีกว่า)ว่าแล้วเขาก็รีบเดินผ่านตัวเมือง เป้าหมายคือโบสถ์หลวงของเมืองนี้ เนื่องจากวันนี้เขาไม่ได้ใส่ชุดเต็มยศ จึงไม่ได้เป็นจุดสนใจของชาวเมือง ไม่นานภาพโบสถ์ใหญ่ขาวสะอาดก็ปรากฏแก่สายตา เหล่านักบวชเดินกันขวักไขว่ โดยเฉพาะ เหล่านักบวชหญิงที่พากันรวมตัวอยู่หน้าประตูโบสถ์ เพื่อดูประกาศบางอย่างที่เกลเองก็เห็นไม่ชัดนัก เมื่อขยับเข้าไปอีกนิด ก็พบว่าประกาศที่เห็นนั้นเป็นรายชื่อของนักบวชหญิงที่สอบเลื่อนขั้นเป็นซิสเตอร์นั่นเอง
   “ขอโทษครับ คุณเห็นนักบวชหญิงคาเลียหรือเปล่าครับ”เขาถามนักบวชหญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
   “อ๋อ คาเลียหรือคะ เสียใจด้วยนะคะ คือเธอสอบไม่ผ่านน่ะค่ะ เลยร้องไห้วิ่งหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ค่ะ    
                     “งั้นหรือครับ ขอบคุณครับ” เขาหันหลังกลับแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เธอมองตามอย่างงุนงง
   เกลเดินทอดน่องไปเรื่อยๆผ่านป่าหลังเมืองคาร์มินยาร์ด ในใจกังวลถึงหญิงสาวที่ถามถึงเมื่อครู่ กิ่งไม้บังทางอยู่บ้าง แสงยามเย็นส่องผ่านรำไรในที่สุดเขาก็เดินมาถึงหุบเหวแห่งหนึ่ง ซึ่งน้อยนักที่คนจะรู้จัก สายตาเขามองหาอะไรบางอย่าง และในที่สุดเขาก็พบ ร่างบางของสาวน้อยคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่ตรงชะง่อนผานั่น
   เขาค่อยๆเดินไปยืนเคียงข้าง แต่ดูท่าว่าเจ้าตัวยังไม่รู้การมาของเขา
   “กะแล้ว ว่าเธอต้องมาอยู่ที่นี่ คาเลีย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ เมื่อฝ่ายหญิงได้ยินก็สะดุ้งเล็กน้อย และรีบเช็ดหน้าอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีน้ำเงิน ที่มีสีแดงเรื่อๆจ้องเขาทำให้รู้ว่าเธอเพิ่งร้องไห้มาไม่นาน ก่อนจะยิ้มกว้างให้
   “เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆนะคงรู้หล่ะสิว่าฉันต้องอยู่ที่นี่”เธอสะบัดเรือนผมสีดำขลับที่รวบไว้ข้างหลังเล็กน้อย
   “เอ้า รีบไปกันเถอะ” เธอพูดพลางลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินทางกลับเมือง พยายามเก็บงำอาการ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ แต่ก็ไม่สามารถหลอกสายตาของเกลไปได้ เธอเองก็รู้อยู่เต็มอก
        หมับ
   มือแข็งแกร่งคว้าแขนของอีกฝ่ายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะกระตุกข้อมือเบาๆ ร่างบางก็เซ ล้มลงมาแนบกับแผ่นอกกว้าง จนสาวจอมแก่นสะดุ้งสุดตัว และคำโวยวายต่างๆนาๆ ก็พรั่งพรูมาหาเขาทันที
   “ว้าย ทำอะไรน่ะ อีตา...”
   “นี่...ไม่ต้องกลั้นไว้หรอก น้ำตาหน่ะ ร้องออกมาเถอะ”เกลพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆ แต่พอเธอได้ฟังดังนั้น ก็ต้องกล้ำกลืนคำโวยวายลงไป สายน้ำอุ่นๆไหลรินจากดวงตาอย่างมิอาจควบคุมได้ และหนักขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงพูดปนสะอื้น
   “ฮือๆ เกล ชั้นทำไม่ได้ ชั้นสอบไม่ผ่าน ชั้นพยายามที่สุดแล้วแต่ก็ยังทำไม่ได้ ชั้นมันอ่อนแอที่สุด ฮือ” ถึงเกลจะรู้ว่าการสอบครั้งนี้สำคัญกับเธอแค่ไหน แต่เขาก็ได้แต่ลูบหัวปลอบใจเธอ ซักพักเสียงสะอื้นก็หยุดลง
   “นี่ดีขึ้นหรือยังล่ะ”เขาถามขึ้น ซึ่งเธอพยักหน้าเล็กน้อย แต่น้ำตาก็ยังไหลเรื่อยๆอยู่จนอกเขาเปียกไปหมด เขารู้สึกเหนื่อยใจกับเพื่อนสาวคนนี้เหลือเกิน
        พั่บ ๆๆๆ
   จู่ๆ ลูกนกพิราบขาวตัวน้อยก็โผบินจากรัง โฉบผ่านหน้าทั้งสองไป มุ่งหน้าไปยังดวงตะวันที่กำลังตกดิน
   “ดูสิ คาเลีย ลูกนกพิราบตัวนั้นเก่งน่ายกย่องจริงๆนะ”แต่เมื่อคาเลียมองเขาด้วยสีหน้างงๆจึงพูดต่อ “ช่วงแรกที่เริ่มบินนี่จะยากที่สุดในชีวิตนกเลย ต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะสยายปีกของตน และหวังว่าสักวันตนจะไปถึงดวงอาทิตย์ซักครั้ง” เขาเว้นวรรค แล้วหันไปมองหน้าคาเลียด้วยสีหน้าจริงจัง  “เธอก็เหมือนลูกนกตัวนั้นแหละนะ ถ้าเธอกล้าที่จะสยายปีกอันงามสง่าของตนออก ดวงอาทิตย์จะต้องมาหาเธอแน่นอน ฉันเชื่อ”เกลยิ้มกว้างให้เธอ แต่ไม่รู้ทำไม เธอสัมผัสได้ถึงความจริงใจและอ่อนโยนจากผู้ชายคนนี้ จนหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
   “เอาอย่างนี้สิ ถ้าเธอยังไม่มั่นใจหล่ะก็ ผมให้ยืมนี่ก็ได้” เกลเอื้อมมือไปปลดสร้อยคอตนออก แล้วส่งให้เธอ จี้รูปดาบสีเงินทอประกายอยู่บนลำคอระหง จนเธออายหน้าแดงกว่าเดิม เลยต้องแกล้งโกรธเพื่อลดความอาย
“ไม่ได้ เธอจะให้ชั้นฝ่ายเดียวได้ไง” เธอปลดสายสร้อยกางเขนของตนออกแล้วก้าวฉับๆเอาไปยัดใส่มือของเกล ความคิดของเธอเร็วจนเขาตามไม่ทัน พอเรียกสติคืนมาได้ก็สังเกตเห็นว่าความมืดเริ่มร่วงโรยรอบๆแล้ว
“เรากลับกันเถอะ” เมื่อเห็นคาเลียรู้สึกดีขึ้นแล้วเขาก็ได้เวลากลับซะที แต่พอจะก้าวขาก็ถูกเธอรั้งแขนไว้ จนเขาต้องหันกลับมา สาวเจ้าก็โถมเข้ากอดอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จนทำอะไรไม่ถูก คงเป็นเพราะไม่เคยถูกผู้หญิงคนใดกอดมาก่อน คนที่อายเลยกลับกลายเป็นเขาซะเอง ภายใต้แสงเดือนและแสงดาว ไหล่ที่เปียกโชกน้ำตาของหญิงสาวที่ไหลมาอีกระลอก เธอพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆ ที่สยบทุกสรพสิ่งในห้วงคิด    
“ขอบคุณนะ เกล ขอบคุณมาก”
      ___________________________

   ขณะนั้นเองภายในโบราณสถานแห่งหนึ่งกลางทะเลทราย พบร่างมนุษย์2ร่างกำลังพูดคุยกันอยู่
   “แผนการที่ให้เตรียมการเสร็จหรือยัง เคลอส” เสียงทุ้มแห้งของชายคนหนึ่งในชุดดำสนิทเอ่ยขึ้น ภายในห้องสลัวๆ ที่มีคบไฟสีเขียวมรกตส่องทางเป็นช่วงๆ แบล็คไวเซอร์ จอมปราชญ์ทมิฬแห่งซาโลมกำลังจ้องมองบุรุษซึ่งอยู่ในชุดคลุมดำสีเดียวกับเขา นั่งชันเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างตั้งความหวัง นัยน์ตาสีแดงเลือดสบกันอย่างมีความหมาย
   “แผนการที่เตรียมไว้ทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์แล้วครับท่านอาจารย์ เหลือแต่ขั้นสุดท้ายที่ต้องให้ท่านเหล่านั้นไปหามัน เท่านี่ฟีลาเซียก็ไม่ต่างจากเมืองที่สูญสิ้นแล้วครับ” เคลอส รายงานด้วยสีหน้ายิ้มๆ
   “ดี ข้าขอชมที่เจ้าเลือกมันเป็นเป้า หึๆ รองแม่ทัพลมที่มีความมืดในส่วนลึกของหัวใจอย่างนั้นรึ หึๆ ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังสนั่นไปทั่วห้องโถง ดั่งเสียงร้องโหยหวนของปีศาจไม่มีผิด
         ___________________________

   คืนนั้นเกลนอนหลับไม่ลง ในสมองยังคิดกังวลถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งในสนามรบ เสียงโหยหวนของเพื่อนร่วมรบยังตรึงตราอยู่ในโสตประสาท แล้วยังไอ้แม่ทัพที่ไม่เคยให้ความดีความชอบกับเขาเลยนั่นอีก  คิดไปคิดมาก็ไปหยุดที่เรื่องของคาเลียซะอย่างนั้น รอยยิ้มของเธอช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก ภาพต่างๆหมุนวนอยู่ในหัว พยายามสะบัดให้หลุดไปจากหัวแต่ทำไม่ได้ซักที จนในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับไป
   (ร้อนจัง มันเกิดอะไรขึ้น) เกลสัมผัสได้ถึงความร้อนรอบๆกายจนต้องเปิดตามาดู แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบว่า เขาไม่ได้อยู่ในห้องนอนของเขาอีกแล้ว แต่กลับอยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิงแดงฉานไม่ต่างจากขุมนรก!
   “เจ้าคือเกล บิเอร่าใช่ไหม” เสียงต่ำทุ้มดังกังวานทั่วบริเวณ จนทำให้เขาขนลุกซู่
   “แกเป็นใครออกมานะ” เขาชักดาบออกมาตั้งท่าสู้ทันที พร้อมกับมองไปรอบๆหาต้นเสียง
   “อะไรกัน ทำไมต้องระวังตัวอย่างนั้นด้วยหล่ะ ข้าคือสิ่งที่เจ้าเรียกร้องไง ผู้ที่สามารถมอบสิ่งที่เจ้าปรารถนาทุกประการให้” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งที่ตรงหน้าเขา ทันใดนั้นเปลวไฟก็แหวกเป็นช่อง ลมพัดวูบ เผยให้เห็นผู้ที่พูดอย่างชัดเจน ปีศาจร่างดำทะมึน เขี้ยวโง้งออกจากมุมปากดูน่าเกรงขาม ดาแดงฉานดุจเลือด มือใหญ่ยักษ์ทำเอาเกลหัวใจแทบหยุดเต้น ปากพร่ำแต่คำว่า “ปีศาจ” จนเหมือนคนวิกลจริต
   “เฮอะ ปีศาจแล้วไง” มันคำราม “ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง เจ้าก็รู้อยู่ ทั้งๆที่ความสามารถของเจ้าเป็นแม่ทัพได้แทนเจ้าชาร์ล คาแรน นั่นได้ด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าต้องการนะ จงเรียกขานนามแห่งข้า ฟอลลาเซีย” มันพูดเสริมขึ้นมา
   “ใช่แล้ว” เสียงแหบห้าวดังมาจากด้านหลังของเขา พลันทันใดนั้น เปลวไฟรอบกายก็หายลับไปสิ้น คงเหลือไว้แต่ร่าง 2 ร่างที่ยืนตีขนาบเขาไว้ จนเมื่อเขาเริ่มตั้งสติได้ก็เริ่มพิจารณาทีละตัว แบบประเมินสถานการณ์ ตัวด้านหลังเขานั้น มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ในชุดคลุมดำทมิฬขี่หลังนกปีศาจสีน้ำเงินเข้ม มองเขาด้วยสายตาเย็นชา สร้างบรรยากาศกดดันและน่าสยดสยองเป็นที่สุด ไม่นานปีศาจที่ขี่นกปีศาจก็เริ่มพูดขึ้น      
   “เจ้าเองไม่รู้สึกอิจฉาบ้างรึ เจ้าแม่ทัพนั่นขโมยเอาทุกอย่างไปจากเจ้านะ ไม่ริสยาบ้างเลยรึ จำนามข้าไว้ ข้าคือ ซีลุส” ปีศาจขี่นกเสริมฟอลลาเซียทันที ถึงเขาจะไม่ไว้ใจปีศาจพวกนี้ แต่เริ่มรับฟังสิ่งที่มันพุดขึ้นบ้างแล้ว
   แต่คำพูดสุดท้ายที่พวกมันพูดถึงกับทำให้เขาสะดุ้งเฮือก
   “หรือเจ้าอยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน งั้นรึ” ทันทีที่มันพูดจบ ภาพในความทรงจำก็ผุดขึ้นมาเหมือนภาพสไลด์ ทีละฉาก 2 ฉาก จะสลัดมันออกเท่าไหร่ ก็รวมกันกลับเป็นอย่างเดิม ความทรงจำที่อยากลืม ภาพที่โดนกลุ่มเพื่อนรังเกียจ หรือภาพสงครามที่สองมือเต็มไปด้วยเลือด ไหลวนไปเรื่อยๆ จนถึงภาพสุดท้าย ภาพที่เจ็บปวดที่สุดและไม่อยากเห็นที่สุด ภาพที่ผู้เป็นพ่อถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา
   (ไม่เอาอีกแล้ว ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว)
   ทันใดนั้นดวงตาที่เคยสุกสว่างกลับมืดสนิทไร้แวว ปีศาจทั้ง 4 ที่สัมผัสได้ก็ต่างแสยะยิ้มให้กัน
   “คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว ยื่นมือเจ้าออกมา แล้วเจ้าจะได้สิ่งที่ต้องการ แค่รับใช้เราภายใต้นามแห่งพวกเรา”
   มือถูกส่งไปจากผู้หันหน้าเข้าสู่ความมืด ไกลออกไป ไกลออกไป
     วิ้ง
   จู่ๆ จี้ห้อยคอที่คาเลียให้มาก็เรืองแสงขึ้นจนเขาชะงักและสว่างขึ้นเรื่อยๆจนทุกอย่างกลืนอยู่ในแสงสีขาว
   “แฮ่กๆๆ” เกลสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง เขามองไปรอบๆก่อนพึมพำกับตนเอง “ฝันไปหรือนี่”
         ___________________________

   รุ่งเช้า เกลเดินเล่นไปเรื่อยๆในตัวเมือง ขณะที่ในใจยังสับสนปนสำนึกผิด ฝันเมื่อวานช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ปีศาจพวกนั้น เขาอ่อนแอมากใช่ไหมที่ไปหลงเชื่อปีศาจ เดินมาเรื่อยๆก็มาถึงโบสถ์ที่มาหาคาเลียเมื่อวานนั่นเอง  (เข้าไปดูหน่อยดีกว่า)เขาคิด บานประตูสลักรูปเทวดาถูกแง้มเปิดออก ชายหนุ่มเดินเข้าไป แสงที่ส่องผ่านเข้ามาทำให้เห็นภาพสถาปัตยกรรมที่ชวนหลงใหล ก่อนมีเสียงทักดังมาจากด้านหลัง
   “อรุณสวัสดิ์ ท่านเกล มาโบสถ์แต่เช้ามีธุระอะไรหรือ” เป็นบิชอฟเกกอรี่นั่นเอง เดินเข้ามาทักอย่างสุภาพ
   “ท่านบิชอฟ ผมมีเรื่องจะปรึกษา” แล้วเกลก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เกกอรี่ฟังทันที
   “ผมคงอ่อนแอมากใช่ไหม คนเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ สู้เพื่ออะไรกัน ผมไม่เข้าใจจริงๆ” ขณะพูด ในใจกระวนกระวายจะตายอยู่แล้ว ส่วนเกกอรี่ก็ได้แต่ฟังเงียบๆ โดยไม่แสดงสีหน้าอะไร
   “ตามเรามา” องค์บิชอฟพูดสั้นๆ ก่อนเดินนำเกลไป ซึ่งเขาเดินตามมาติดๆพลางงงนิดๆว่า จะพาเขาไปไหน ทั้งสองเดินมาหยุดตรงรูปเทพธิดาแห่งดาบ ก่อนที่องค์บิชอฟเคาะรูปภาพเบาๆ รูปภาพก็ถูกดึงขึ้นไปด้านบน ด้วยพลังกลไก เผยให้เห็นอุโมงค์มืดๆที่มีคบเพลิงส่องทางเป็นระยะๆลึกเข้าไป แล้วทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง
   “ที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยองค์ซิกมันด์ที่2 เมื่อถูกความมืดครอบงำ” เกกอรี่พูดบ้างเดินบ้าง จนในที่สุดทั้งคู่ก็เดินมาถึงปลายทาง แสงที่ส่องผ่านกระจกโมเสกด้านบน ทำให้เห็นห้องผนังทรงกลม ภาพวาดเทวดาอันแสนวิจิตรหลายภาพประดับอยู่บนผนัง แต่ที่สะดุดตาที่สุด เห็นจะเป็นกรอบไม้ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเขา บรรจุแผ่นกระดาษลงอักขระสีทองดูงดงาม บันทึกไว้ว่า
   ( มนุษย์ผู้สับสนคนใดก็ตามที่พบที่แห่งนี้ จงรู้ไว้ว่า ช่วงหนึ่งความสับสนก็เกือบทำให้เราเดินทางผิด ปีศาจร้ายผู้ชักนำเราไปสู่ความมืดมิด แต่ในที่สุด เราก็เอาชนะมันจนได้ เราต้องสู้เพื่ออะไรนั้น เรารู้แล้ว สำหรับเราเราสู้เพื่อให้ชาวฟีลาเซียทุกคนมีชีวิตอย่างมีสุข และไม่มีใครเสียน้ำตาให้ความเศร้าโศกอีก เรามีความเชื่อ ท่านเองก็มีความเชื่อ ท่านไม่จำเป็นต้องทำตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะเราไม่ได้บริสุทธิ์มาแต่ต้นแล้ว แค่เดินตามความเชื่อไปจนสุดทาง ก็เท่านั้นเอง )
   พอเขาอ่านจบก็หันมามองเกอกอรี่เป็นเชิงว่า ให้เขามาดูสิ่งนี้หรอ ซึ่งเกกอรี่ก็พยักหน้า
   “เป็นธรรมดาที่คนเราจะหนี แม้กระทั่งเข้าหาปีศาจ ใช่เพราะอ่อนแอหรอก แต่เพราะหาสิ่งที่มั่นคงกว่าเพื่อตั้งหลักต่างหาก ท่านเปล่าอ่อนแอ ท่านแค่ไม่เห็นทางที่จะเดินต่อเท่านั้น ส่วนท่านอยู่เพื่ออะไรนั้น เราเองก็ตอบให้ไม่ได้เหมือนกัน” เกกอรี่จิ้มอกเขาเบาๆ “ให้ใจท่านตอบสิ มันอยู่ตรงนั้นแหละ”
   เท่านั้นเองเกลก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้เขาสับสนได้สูญสลายไปหมดสิ้น ใช่สินะ แค่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด จะเกิดมาเพื่ออะไรนี่อีกเรื่อง แต่ในจุดนี้ เราต้องทำอะไรนี่สิสำคัญ
   “เอาล่ะ ไปกันเถอะ เราคิดว่าท่านมีงานต้องทำอีกเยอะ” เกกอรี่ยิ้มน้อยๆให้เขา และทั้งคู่ก็พากันเดินมาจนถึงประตูทางเข้าโบสถ์ และได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา
   “ท่านเกล บิเอร่าครับ ท่านแม่ทัพใหญ่เรียกท่านไปพบครับ”
« Last Edit: August 01, 2007, 11:28:15 PM by Therion Rider » Logged


Therion Rider
Member
*****
Offline Offline

Posts: 35


Email
« Reply #1 on: July 29, 2007, 03:29:33 AM »

“ท่านจะให้ผมนำทัพไปสกัดทัพซาโลมหรอครับ” เกลถามขึ้นด้วยความแปลกใจ กับแผนการที่แม่ทัพใหญ่แห่งฟีลาเซีย แจ้งให้เขาทราบในที่ประชุมกองทัพ
   “ใช่ เราทราบมาว่าไอ้กองทัพเถื่อนมันผลิตกองผีดิบที่ทรงอานุภาพขึ้นมา เราจะให้มันยกไปสมทบกับกองทัพใหญ่ไม่ได้” เขานั่งท้าวคางบนโต๊ะ แล้วจ้องตาเกลในสีหน้าจริงจัง “ฉะนั้นในวันพรุ่งนี้ให้เจ้านำทัพ 5000 ไปสกัดทัพนั้น ส่วนข้าจะอยู่ป้องกันเมือง เนื่องจากได้ข่าวมาว่าทัพใหญ่จะยกทัพมาโจมตีเราในเวลาอันใกล้”
   “วันนี้เตรียมตัวให้พร้อม แล้วพรุ่งนี้นำชัยกลับมาให้ได้ ขอให้เจ้าโชคดี” แม่ทัพอวยชัยให้ ซึ่งเกลก็ยืนขึ้นทำความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องไป ระหว่างทางเขาได้พบกับคาเลียแวบหนึ่ง ซึ่งเธอบอกแค่ว่า”พรุ่งนี้จะได้ร่วมทัพไปด้วย” ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร คุณเธอก็หายจ้อยไปซะแล้ว
   ท่ามกลางทางเดินที่ทอดยาวไปข้างหน้า สงครามที่ยาวนานนี่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
         ___________________________

   เช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพถูกจัดเตรียมไว้พร้อม เสียงชุดเกราะกระทบกัน เสียงสัตว์ร้องดังระงมไปทั่วเมืองคาร์มินยาร์ด เสียงแตรก้านยาวคอยให้จังหวะเป็นระยะๆ ทัพต่างๆทยอยยกพลออกจากเมือง ไม่ว่าจะเป็นทัพมังกร ทัพเปกาซัส ทัพกริฟฟิน แม่ทัพเกล บิเอร่า คอยคุมทัพกลาง ส่วนพวกพวกนักบวชอยู่ที่ทัพหลังเพื่อคอยสนับสนุน และอีกเหตุผลที่ให้อยู่ทัพหลังคือ คาเลียอยู่ในกองทัพนั้นด้วย
   ไม่นานกองทัพอัศวินก็โยธาพลมาจนถึงช่องเขาไอวานที่กะว่าจะใช้เป็นสนามรบ เป็นช่องเขาต้องสาปที่เคยเป็นสมรภูมิมาก่อน แต่จู่ๆท้องฟ้าก็มืดครึ้ม หมู่เมฆเข้าบดบังดวงอาทิตย์สายฟ้าแล่นแปรบปราบ เสียงร้องของปีศาจดังลั่น ทำให้ขนลุกซู่ ขวัญกำลังใจเหือดหายไปหมด แล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัว กองกำลังผีดิบล้วนๆนับพัน ยกทัพมาอีกฟากของสนามรบ ที่พอเห็นว่าเป็นทหารมนุษย์ก็ทีแต่บริเวณรอบรถรบที่มีคนนั่งอยู่ตรงกลางกองทัพ คาดว่าเป็นผู้นำทัพ ทั้งสองทัพหยุดและเข้าประจันหน้ากัน สรรพเสียงเงียบกริบแม้กระทั่งเสียงสายลม
   “หึ ๆๆ ว่าแล้วว่าเจ้าพวกโง่เง่านั่นต้องส่งกองทัพมาสกัด แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเจ้า แสดงว่าท่านเหล่านั้นทำพลาดสินะ” แม่ทัพคนนั้นพูดเสียงเย็น แต่ในบรรยากาศเช่นนี้ จึงได้ยินไปทั่วทั้งสมรภูมิ
   “แกใช่มั้ย ที่ส่งไอ้ปีศาจเหล่านั้นมา หนอย บอกชื่อมา ข้าจะเชือดเจ้า แล้วปล่อยให้ฝูงแร้งมาจิกกิน” เกลคำรามด้วยความโกรธ ความสับสนในใจจนเขาเกือบต้องกลายเป็นทาสรับใช้ปีศาจ สาเหตุมาจากเจ้านี่
   “โอะๆ ไม่ต้องรุนแรงกันก็ได้ ใช่ข้าเอง ข้าชื่อ เคลอส อาเทม และจะเป็นผู้เผาผลาญวิญญาณเจ้าไม่ให้เหลือแม้เศษธุลี” เกลได้แต่ขบกรามแน่นด้วยความแค้น ก่อนหันหน้าไปทางกองทัพของตนและตะโกนออกมา
   “ทุกท่าน ขณะนี้ศัตรูที่รุกรานแผ่นดินเรา เข่นฆ่าเพื่อนเรา อยู่ตรงหน้าพวกท่านแล้ว ดาบของท่านจะกรีดเลือดและถลกหนังมันออกมา เสียงประดาบจะก้องแผ่นดิน ขอจงรู้ไว้ว่า จากนี้ไปท่านไม่ใช่แค่พลทหารแห่งฟีลาเซีย แต่ทุกท่านคือวีรบุรุษ แห่งฟีลาเซีย” สิ้นเสียงพูด เสียงเฮรับก็ดังขึ้น ขวัญกำลังใจกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ทั้งสองกองทัพเข้าห้ำหั่นกันภายใต้คำสั่งโจมตี เสียงดาบปะทะกันแว่วมาเป็นระยะๆ
   กองทัพม้าทางปีกขวาเข้าประจันกับฝูง อัศวินแห่งความตาย(Dread knight) ปีกขวาเข้าห้ำหั่นกับกองทัพเซนทอร์ปีศาจ (evil centaur) เสียงคมดาบกระทบกันไปทั่วสนามรบ ทางอากาศกองทัพกริฟฟินต่อสู้กับฝูงพลธนูกากอย (gargoyle sniper) อย่างถึงพริกถึงขิง ร่างของทหารฟีลาเซียค่อยๆล้มไปทีละร่าง สองร่าง แต่เกลกลับสังเกตว่ากองทัพผีไม่ได้ลดจำนวนลงเลย มันจะมีพวกมาเสริมอยู่ตลอด
   พลันสายตาเหลือบไปเห็นตรงสุดของกองทัพซาโลมก็รู้เหตุผลความไม่หมดไม่สิ้นของทหารผีทันที หน่วยนักบวชปีศาจ(Necromancer) กำลังเร่งผลิตผีดิบจากศพออกมาอย่างรวดเร็วซึ่งปล่อยไว้ไม่เป็นสิ่งดีแน่นอน
   “ถ่ายทอดคำสั่ง ใช้กระบวนทัพปากมังกร”คำสั่งเฉียบขาดมาจากนายทัพ ทันทีที่ธงสัญญาณโบกสะบัด ปีกซ้ายขวาก็เข้าขนาบข้างศัตรูเว้นช่องตรงกลางไว้ ทำให้ระหว่างเขากันกองทัพผี ไม่มีอัศวินฟีลาเซียขวางอยู่เลย
   เกลเร่งชักดาบของตนออกมาแล้วเพ่งสมาธิ “ข้าแต่สายลมอันศักดิ์สิทธิ์ โปรดมอบรอยแผลอันเจ็บปวดให้อริแห่งข้า คมเขี้ยวแห่งลม (fang of wind)” คมดาบถูกตวัดออก ก่อให้เกิดคลื่นลมยักษ์ในแนวตั้ง คมอากาศลากยาวผ่าร่างทหารผีนับร้อยราวตัดเต้าหู้นิ่มๆ จนสุดกองทัพ ในที่สุดกองทัพซาโลมก็ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน หน่วยนักบวชปีศาจต่างพินาศสิ้น สร้างความตื่นตระหนกเป็นอันมากแก่กองทัพทั้งสองฝ่าย
   ทันใดนั้นเสียงเฮก็ดังขึ้นทุกหย่อมหญ้า คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพตนจะเก่งกาจขนาดนี้ สร้างขวัญกำลังใจและความกล้าอย่างมหาศาล จากสงครามกลายเป็นไล่ฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เรียกเสียงสบถมาจากแม่ทัพซาโลมเล็กน้อย
   “หนอย ต้องเอามาใช้จริงๆด้วยหรือนี่ หึๆๆ” เคลอสหัวเราะในลำคอเรียกสีหน้าสงสัยให้เกลไม่น้อย “รู้มั้ยทำไมฉันถึงเลือกสนามรบเก่าแบบนี้เป็นสมรภูมิ เพราะมันมีวิญญาณมหาศาลรอให้เซ่นสังเวยไง”พูดจบก็เริ่มพึมพำร่ายมนต์ ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น วงเวทย์ดาว 6 แฉกปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ วิญญาณมหาศาลเข้าไปรวมกันที่ใจกลางวงเวทย์รวมถึงทหารมนุษย์และผีดิบทั้งหมดด้วย สร้างความงุนงงแกเหล่าอัศวินอย่างมาก
   “โปรดมารับเครื่องเซ่นเหล่านี้ วิญญาณที่เกลียดชัง ความมืดแห่งปีศาจร้าย และเลือดเนื้อแห่งมนุษย์ โปรดจงให้ข้ายืมพลัง ออกมา เจ้าชายแห่งมรณะภูมิ เมลเฟียส (malphas the hell knight)
   เมื่อร่ายเวทย์จบ มือมหาศาลก็โผล่มาจากวงเวทย์เพื่อดูดกลืนดวงวิญญาณไป พร้อมกับปรากฏเงาดำทะมึนทีสูงราว 5 เมตร อยู่กลางวงเวทย์ และเข้ารวมร่างกับเคลอสทันที ร่างปีศาจสีดำทะมึนในชุดเกราะดำสนิท ถือดาบเล่มมหึมา สายฟ้าสีดำแลบแปรบปราบบนแผ่นฟ้าสีเทา ดวงตาแดงฉานกระหายเลือด แค่มันตวัดดาบทีเดียว ทัพหน้าอัศวินทั้งหมดก็สลายหายไปกับตา สะกดทั้งทัพให้อยู่ใต้ความตะลึงงัน แข็งแกร่งเหลือเกิน!!!   
   “ฮ่าๆๆ เป็นไง นี่แหละพลังแห่งขุมนรก แก เตรียมตัวตายได้เลย ฮ่าๆๆ” สิ้นเสียง ดาบเงินมหึมาของอัศวินนรกถูกเงื้อขึ้น เหมือนมันทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน เหล่าทหารช่วยกันต้านอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไร้ผล
   เกลมองอย่างตะลึง เหงื่อเย็นเฉียบไหลผ่านใบหน้า (ไม่จริง เราทำอะไรมันไม่ได้เลย มันอะไรกันนี่) เขากำลังพ่ายแพ้ เขากำลังจะตาย..กำลังจะตาย นึกสมเพชตัวเองขึ้นมา และพึมพำเหมือนคนบ้า แต่แล้วเมื่อสถานการณ์บีบคั้นถึงขีดสุด เขาพลันรู้สึกเหมือนมีใครฉายไฟสว่างจ้าเข้ามาตรงหน้า   (แสบตาเหลือเกิน )
   เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็พบกับชายหนุ่มผมทองสยายในชุดเกราะโบราณ ถือดาบเล่มใหญ่สีทองนวล ใบหน้าดูหล่อเหลามากกว่าชายใดที่เคยพานพบมา ปีกสีขาวสะอาดตาเปล่งรัศมีอยู่เบื้องหลังคล้ายเทพบุตร แต่แปลก บุคคลรอบข้างเขากลับไม่มีใครสังเกตเห็นเทพผู้นี้เลย เทพองค์นั้นจึงเริ่มพูดด้วยเสียงนุ่มกังวานใส
   “สวัสดี เราคือ มิคาเอล มหาทูติสวรรค์แห่งอำนาจ เรามาตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อส่งปีศาจร้ายตนนี้กลับสู่ความมืดมิด เจ้าจะรับพลังของเราไว้หรือเปล่า” เทพผู้นั้นถาม ถึงเกลจะสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้ารับ ตอนนี้มีใครเสนอทางรอดเป็นใครก็ต้องคว้าเอาไว้ “แต่ด้วยข้อห้ามแห่งสวรรค์จึงทำให้เราไปสู้โดยตรงไม่ได้ แต่เราก็สามารถส่งพลังเล็กน้อยผ่านร่างทรงได้ ถึงกระนั้นมันก็ไม่มีพลังพอที่จะปราบ เมลเฟียส ได้”
   ในขณะที่เขากำลังงงกับสิ่งที่เทพองค์นี้กำลังจะสื่อ ใบหน้าของเทพมิคาเอลกลับจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง
   “เกล บิเอร่า เจ้าจะเลือกสิ่งใด ระหว่าง ความเชื่อของตน กับความสุขตลอดชีวิต”
         ___________________________
   
   “ท่านแม่ทัพ ตอนนี้เราจะต้านมันเอาไว้ไม่อยู่แล้ว” นายทหารคนหนึ่งตะโกนเรียกเขา ให้ตื่นจากภวังค์จิต เทพมิคาเอลหายไปแล้ว และสถานการณ์ตอนนี้เป็นแบบที่นายทหารคนนั้นบอกจริงๆ กองทัพเขา 3 ใน 5 ส่วนถูกมันทำลายไปด้วยเวลาอันเร็ว สภาพความเสียขวัญลุกลามถึงขีดสุด จนทหารหลายร้อยหนีทัพไปซะแล้ว
   “จัดทัพรูปปราการเหล็ก ให้นักบวชทั้งหมดประสิทธ์พรมาที่ข้า เร็วเข้า” เขาสั่งการอย่างเร็วพลางตั้งสมาธิ พระพรต่างๆประสิทธ์มาเพื่อจะเตรียมใช้ท่าคมเขี้ยวแห่งลมอีกครั้ง ใบดาบพลันเรืองแสงสว่างสีทองขึ้นมา
   ทันทีที่ใบดาบถูกตวัดออกไป กระแสลมถูกสร้างขึ้นอีกครา คมอากาศยักษ์สีทองบริสุทธิ์แล่นผ่าอากาศ กระแทกกับโล่มืดของนักรบปีศาจอย่างรุนแรงกลุ่มควันมหาศาลก่อกำเนิดขึ้นจนไม่รู้ว่าการโจมตีนั้นได้ผลหรือไม่
   (พระผู้เป็นเจ้า ขอพลังให้ผมด้วย เพื่อโลกที่บริสุทธิ์ของพระองค์ ) เขาปิดตาทำภาวนา จนที่สุดกลุ่มควันหายไป แต่ ปีศาจยักษ์ยังยืนอยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกชีวิต และยอมแพ้ต่อความตาย
   “ฮ่าๆๆๆ นี่แหละพลังที่มนุษย์อย่างแกมิอาจ เอื้อมถึง”เคลอสก็ตะคอกขึ้นมาพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
   ในขณะเวลาแห่งความปีติของมันนั้นเอง ความหายนะก็เกิดขึ้น ผิวหนังของเมลเฟียสเริ่มปริแตก เลือดสีดำไหลกระฉูดเป็นทาง มันคำรามลั่นอย่างแค้น ก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นเถ้าในที่สุด ร่างของเคลอสตกอย่างไร้ที่พึ่งสู่ทะเลมือเบื้องล่าง และถูกฉีกกระชากวิญญาณดูดหายไปในความมืด
   ทหารทุกนายมองตาค้าง ก่อนจะตะโกนร้องอย่างดีใจ ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาคือผู้มีชัย
      “เฮ้อ”
   เขาถอนหายใจและทรุดนั่งลงและเห็นคาเลียตรงรี่เข้ามาหาอย่างแช่มชื่น แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไร เขากลับเอานิ้วจิ้มปากเป็นเชิงว่าให้เงียบ “ไม่ต้องพูดแล้วฟังดีๆนะคาเลีย เพราะชั้นใช้พลังไปกับการโจมตีครั้งนั้นจนหมดแล้ว อีกไม่นานร่างเนื้อนี้จะสลายไป จึงทีเวลาพูดให้เธอฟังไม่นาน” คาเลียได้ฟังดังนั้นกลับค้างไปเลย
   “ไม่จริงน่า เธอล้อเล่นแน่ๆ” เธอยังยิ้มอยู่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของเกล รอยยิ้มก็เริ่มเฝื่อนลง
   “ชั้นอยากบอกเธอว่า ชั้นภูมิใจในตัวเธอมาก ไม่เคยนึกเลยว่าเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ต้องให้คอยปกป้อง ปลอบโยนจะสามารถเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้”เขาลูบใบหน้าเธออย่างแผ่วเบา ที่ชื้นน้อยๆกับน้ำตาที่รินไหลออกมา
   “ทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้” น้ำตารินไหลหนักกว่าเดิม แต่ไม่ใช่ร้องอย่างบ้าคลั่ง มันเหมือนดวงใจแตกเป็นเสี่ยงๆ นายทหารรอบๆเริ่มหันมาสนใจเสียงร้องของเธอ
   “ความเชื่อไงหล่ะ ชั้นเพียรหามาตลอดว่าชีวิตคืออะไรมา แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้ว ชีวิตนั้นแสนสั้นนัก คนเราจึงต้องใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด กินอะไรที่ชอบ ทำอะไรที่อยากทำ และ..” เขาดึงมือคาเลียมากุมไว้ “รักคนที่ตนรัก”
   ถึงจุดนี้ทั้งคู่ต่างโผเข้าหากัน พยายามซึมซับความรู้สึกที่จะได้เจอเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต “ชั้นดีใจที่ได้รู้จักกับเธอ” เกลกระซิบที่หูเธออย่างแผ่วเบา แต่มิอาจระงับเสียงที่สั่นไว้ได้ “ช่วงเวลาที่เรามีให้กัน” ภาพความทรงจำตั้งแต่วัยเด็กหลั่งไหลเข้ามาในห้วงสำนึก จนเธอรู้สึกได้ว่าเกลโปร่งแสงขึ้นเหมือนกับว่าจะเลือนหายไป “เอาล่ะ ถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว” ร่างของเกลค่อยๆสลายเป็นละอองแสงขึ้นสู่ท้องฟ้าตั้งแต่ปลายนิ้วมือ ไล่ไปเรื่อยๆ เธอสามารถสัมผัสความอบอุ่นนั้นได้อย่างชัดเจน “จงอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็ง” ในที่สุดร่างของเขาก็สลายไปจนหมด เหล่าทหารทั้งหลายพากันคุกเข่าทำความเคารพ วีรบุรุษที่สละชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขา ผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ตรงหน้า
   แต่แล้วคาเลียกลับสัมผัสถึงบางอย่างในอุ้งมือ มันคือสร้อยคอกางเขนที่เธอเคยให้เขาเมื่อวันก่อนนั่นเอง เธอหยิบมันมาสวม แล้วลูบอย่างแผ่วเบา หยดน้ำตาที่สะท้อนมาบนสร้อยสะท้อนล้อแสงอาทิตย์ยามเย็น
   “ฉันจะไม่มีวันลืมเธอ เกล ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เธอจะอยู่ในใจฉันตลอดไป ลาก่อน”
 
                                                                                                                   
Logged


Therion Rider
Member
*****
Offline Offline

Posts: 35


Email
« Reply #2 on: July 29, 2007, 03:32:07 AM »

     เพิ่งแต่งเสร็จก็เอามาลงเลย  ผมเป็นนักแต่งนิยายหน้าใหม่ครับ

ติชมด้วยนะครับ 
Logged


Wonder~Tanu
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1526


Email
« Reply #3 on: July 30, 2007, 12:21:11 AM »

“ขออภัยครับท่าน เพราะผมไร้ฝีมือเอง เลยเอาชนะทหารผีพวกนั้นไม่ได้”

 “อ๋อ คาเลียหรือคะ เห็นเธอสอบไม่ผ่านค่ะ เลยร้องไห้วิ่งหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ค่ะ น่าสงสารจริงๆ”

สองประโยคที่ยกตัวอย่างมานี้ คนพูดพูดรวดเดียวออกมาหมด มันเลย...แข็งๆ ดูน่ะ

อย่างเช่นประโยคที่2นี้ น่าจะพูดเชิงปลงมากกว่าน่ะ อันนี้เหมือนกับแจ้งข่าวร้ายโจ้งๆไม่ให้เตรียมใจเลย
Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #4 on: July 30, 2007, 12:27:16 AM »

ชื่อจริงของแบล็ค ไวเซอร์คือเคอร์วินครับ
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #5 on: August 01, 2007, 04:47:50 PM »

ถ้าส่งประกวด อย่าลืมส่งรายละเอียดส่วนตัวเพื่อการติดต่อกลับในการรับรางวัลด้วยนะครับ 
Logged


Therion Rider
Member
*****
Offline Offline

Posts: 35


Email
« Reply #6 on: August 01, 2007, 11:33:56 PM »

รายละเอียดส่วนตัวเดี๋ยวจะส่งให้ทางเมลนะครับ ขอบคุณครับ
ชื่อจริงของแบล็ค ไวเซอร์คือเคอร์วินครับ

เคลอสที่กล่าวถึงในเรื่องไม่ใช่ตัวแบล็คไวเซอร์นะครับ แต่เป็นศิษย์มือ1 ของเขาครับ 
Logged


==I{}*A*timazo *S*word >>>
Member
*****
Offline Offline

Posts: 283


« Reply #7 on: August 01, 2007, 11:43:05 PM »

อา....มาแต่งแนวเลือดกระฉูดเหมือนผม ผมก็มีคนมาเปรียบเทียบสิ


ง่าๆๆๆๆๆๆๆ
Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #8 on: August 01, 2007, 11:50:40 PM »

รายละเอียดส่วนตัวเดี๋ยวจะส่งให้ทางเมลนะครับ ขอบคุณครับ
ชื่อจริงของแบล็ค ไวเซอร์คือเคอร์วินครับ

เคลอสที่กล่าวถึงในเรื่องไม่ใช่ตัวแบล็คไวเซอร์นะครับ แต่เป็นศิษย์มือ1 ของเขาครับ 
เออจริงด้วยแฮะ หน้าแตกเลยเรา
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.087 seconds with 21 queries.