Santo Nino
ซานโตนีโน่
อ่านแบบไทยๆน่ะครับ
จริงๆแล้วรูปพระกุมารเยซูลักษณะนี้ มีกำเนิดจากสเปนนะครับ
อันนี้เป็นประวัติครับ
พระกุมารเยซูแห่งกรุงปรากอันน่าอัศจรรย์
(The Miraculous Infant Jesus of Prague)วันฉลอง : อาทิตย์ที่ 3 ของเดือน พฤษภาคม
การอุทิศถวายตัวต่อพระกุมารเยซูผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคริสตศาสนิกชนคาทอลิกมาแต่ช้านานแล้ว ธรรมเนียมนี้เริ่มขึ้นครั้งแรกที่เบธเลเฮ็ม จากนั้นจึงแพร่หลายออกไป โดยที่ถือกันว่าการอุทิศถวายตัวนี้เป็นการแสดงความเคารพ และ ความยำเกรงต่อดวงหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระกุมารเยซู นักบุญจำนวนหลายต่อหลายท่านก็ได้อุทิศถวายตัวอย่างมุ่งมั่นต่อพระกุมารเยซู ดังตัวอย่างเช่น นักบุญ เทเรซ่า แห่งพระกุมารเยซู, นักบุญฟรานซิส แห่ง อัสซีซี, นักบุญ แอนโทนี่ แห่ง ปาดัวร์ และ นักบุญ เทเรซ่า แห่ง อวิล่า
ในปี 1556 มาเรีย แมนริเควส เดอ ลาร่า (Maria Manriquez de Lara) ได้นำรูปปั้นพระกุมารเยซู ซึ่งเป็นมรดกตกทอดอันล้ำค่าของตระกูลเธอ เดินทางไปยังโบฮีเมีย (ซึ่งปัจจุบันเป็นสาธารณรัฐ เชคโกสโลวาเกียไปแล้ว) หลังเธอสมรสกับผู้ดีชาวเชคโกสโลวาเกีย นาม วราติสลาฟ แห่ง เพิร์นสติน (Vratislav of Pernstyn)
รูปปั้นพระกุมารเยซูดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดยพระชาวสเปนตามแบบของนิมิตที่เขาได้รับมาจากพระกุมารเยซู
รูปปั้นนี้สูง 8 นิ้ว ทำด้วยไม้ และเคลือบแว็กซ์บางๆ เท้าซ้ายยื่นออกมานอกเสื้อคลุมยาวสีขาว ประดิษฐานบนฐานกว้าง มีปลอกเงินสูงระดับไหล่ถูกถืออยู่ทางขวาบน มือข้างซ้ายถือลูกโลกจำลองที่มีกางเขนติดอยู่ด้านบนเพื่อสื่อถึงความเป็นกษัตริย์สากลเหนือโลกของพระเยซูคริสต์ มือขวาแผ่ทำท่าอวยพระพรเหมือนท่าในการอวยพระพรทั่วไปของสมเด็จพระสันตะปาปา นิ้วสองนิ้วชี้ขึ้นเพื่อสื่อถึงพระธรรมชาติทั้งสองของพระเยซูคริสต์ ส่วนนิ้วโป้งและอีกสองนิ้วที่เหลือสัมผัสกันและกันเพื่อสื่อถึงธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพ
ในปี 1628 คุณหญิง โพลิซีน่า (Polyxena) ได้นำรูปปั้นพระกุมารเยซูมาให้กับพระนิกายโรมันคาทอลิกที่โบสถ์พระนางพรหมจารีย์มารีอาแห่งชัยชนะ รูปปั้นดังกล่าวภายหลังรู้จักกันในนาม พระกุมารเยซูแห่งกรุงปราก ได้เกิดอัศจรรย์ขึ้นมากมายจากรูปปั้นพระกุมารเยซูแห่งกรุงปรากองค์นี้ ทำให้มีผู้คนจำนวนมากมาอุทิศถวายตนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับไฟที่ลุกโชติช่วงลามไปทั่วโลก และหลังจากนั้นไม่นานในปีเดียวกัน พวก แซกซอน และ พวกสวีเดน ได้บุกรุกรานเข้ามายังกรุงปราก พระสงฆ์ทั้งหลายต่างพากันหลบหนีกันไป ทำให้การอุทิศถวายตัวกับพระกุมารเยซูต้องมีอันหยุดลงชั่วคราว จนกระทั่งปี 1638 พระหนุ่มรูปหนึ่งนาม คุณพ่อซิริล (Fr. P. Cyril) ได้กลับไปที่โบสถ์และพบรูปปั้นพระกุมารถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังของโบสถ์ รูปปั้นนั้นชำรุดเสียหาย และมือของพระรูปหักหายไป คุณพ่อซิริลได้นำรูปปั้นมาทำความสะอาดและประดิษฐานไว้ที่ภาวนาสถานเพื่อการสักการะบูชา
ในขณะที่คุณพ่อกำลังภาวนาเบื้องหน้าพระกุมารนั้น คุณพ่อได้ยินพระกุมารตรัสกับคุณพ่อว่า
จงแสดงความเมตตาต่อเรา แล้วเราจะเมตตาท่าน จงนำมือมาให้กับเรา แล้วเราจะมอบสันติสุขให้กับท่าน ยิ่งท่านให้เกียรติเรามากเท่าใด เราจะยิ่งอวยพระพรท่านมากขึ้นเท่านั้น
การลงมือซ่อมแซมมือของรูปปั้นพระกุมารนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง เพราะว่าคุณพ่อซิริลและคนอื่นๆไม่มีความชำนาญที่จะทำเรื่องดังกล่าวได้ด้วยตัวเองเลย ที่สำคัญไม่มีแม้แต่เงินทุนที่จะใช้เสียด้วยซ้ำ
คุณพ่อซิริลได้ไปวอนขอความช่วยเหลือจากแม่พระในการขอเงินทุน ซึ่งพระกุมารก็ตรัสอีกครั้งหนึ่ง โดยบอกให้ประดิษฐานรูปปั้นนี้หน้าห้องสักการภัณฑ์แล้วท่านจะได้รับความช่วยเหลือ คุณพ่อซิริลได้ทำตามนั้น และไม่กี่วันต่อมามือของพระกุมารก็ได้รับการซ่อมแซมโดยชายที่มาที่ห้องสักการภัณฑ์ หลังรูปปั้นได้รับการซ่อมแซมจนเป็นปกติแล้ว ก็มีการอัศจรรย์บังเกิดขึ้นมากมาย ทำให้มีผู้มาเคารพสักการะรูปปั้นพระกุมารนี้เพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน
แท่นบูชาถูกสร้างขึ้นในปี 1641 ส่วนมงกุฎทองคำประดับเพชรนั้นถูกมอบให้โดย เบอร์นาร์ด อิคนาธิอัส (Bernard Ignatius) ในวันที่ 14 มกราคม 1651 ในระหว่างที่ขบวนแห่อัญเชิญรูปปั้นพระกุมารจากโบสถ์พระนางพรหมจารีย์มารีอาแห่งชัยชนะไปยังโบสถ์แห่งอื่นๆในกรุงปราก แต่มงกุฎถูกสวมให้กับพระกุมารจริงๆในวันที่ 4 เมษายน 1655 โดยอาร์คบิชอป โจเซฟ คอร์ธา (Josef Corta) โดยทำหน้าที่แทนพระคาร์ดินัล ฮาราร์ช ที่ 3 (Harrach III ) ที่ป่วยหนักอยู่
ในปี 1644 วัดน้อยถูกสร้างขึ้นแต่กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปจนถึงปี 1654 บรรดาเจ้าขุนมูลนาย ผู้ดี และ เชื้อพระวงศ์ จำนวนมากต่างพากันมาให้การสนับอุปถัมภ์กันอย่างเต็มที่ หนึ่งในนั้นมี คุณหญิง โพลิซีน่า รวมอยู่ด้วย ส่วนคนอื่นๆที่ร่วมอุปถัมภ์ให้การสนับสนุนที่มีชื่อเสียงก็มี กษัตริย์ เฟอร์ดินาร์ด แห่ง เชคโกสโลวาเกีย (King Ferdinard), กษัตริย์ ชาร์ล กุสตัฟ แห่ง สวีเดน (King Charles Gustav) และ เบอร์นาร์ด อิคนาธิอัส ของพระเจ้าแห่งมาร์ทินิค (Lord of Martinic) ผู้ซึ่งมอบมงกุฎทองคำประดับเพชรให้กับรูปปั้นพระกุมารเยซู
ในปี 1741 รูปปั้นพระกุมารถูกย้ายไปประดิษฐานที่ปูชนียสถานที่งดงามแห่งหนึ่งใกล้ๆกับโบสถ์พระนางพรหมจารีย์มารีอาแห่งชัยชนะ ซึ่งสถานที่แห่งหนึ่งกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งหนึ่งในภายหลัง
ในปี 1739 พระนิกายโรมันคาทอลิกจากออสเตรเลีย ได้บัญญัติให้การอุทิศถวายตนเป็นสิ่งแพร่หลายสำหรับบรรดาศิษย์ของตน
ชื่อเสียงและเรื่องราวของกษัตริย์พระองค์น้อย, พระกุมารเยซูแห่งกรุงปรากแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไปในหลายต่อหลายประเทศในช่วงศตวรรษที่ 18
พระสันตะปาปาลีโอที่ 13 (Leo XIII) ได้ทรงยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นพระกุมารเยซูแห่งกรุงปรากในปี 1886 และทรงอนุญาตให้ผู้คนสามารถนมัสการพระกุมารได้
พระสันตะปาปาปิอัสที่ 10 (Pius X) ได้ทรงก่อตั้งคณะกรรมการทางศาสนา ภายใต้การแนะนำของพระองค์ เพื่อประโยชน์ในการแพร่ขยายให้การอุทิศถวายตนเป็นไปในวงกว้างมากขึ้นสำหรับผู้คนในศตววรษนี้
จากคำภาวนาของพวกเรา เราผู้ต้อยต่ำภาวนาขอพระกุมารเยซูให้เราหลีกหนีห่างไกลจากความปรารถนาส่วนตัว เพื่อให้เราสามารถปฏิบัติตัวกับคนรอบตัวเรา เพื่อนพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย ตลอดจนถึงตัวเรา ตามอย่างที่พระองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้ ด้วยการยอมจำนนทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระองค์ ศรัทธา และ วางใจในพระวาจาของพระองค์ เหมือนที่พระองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า
จงขอเถิดแล้วท่านจะได้รับ จงเคาะเถิดแล้วประตูจะเปิดออก
ดังนั้นเราจึงควรกระตือรือร้นที่จะถวายคำภาวนา และ ถวายความต้องการทั้งหมดของเราให้กับมือน้อยๆของพระกุมาร ด้วยความหวังว่าพระองค์จะทรงทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตเตามอย่างพระองค์ได้
พระกุมารเยซูทรงเป็นองค์อุปถัมภ์แห่ง บรรดาเด็กๆ วิทยาลัย ชีวิตครอบครัว พันธกิจในต่างแดน อิสรภาพ การเงิน สุขภาพ สันติสุข โรงเรียน มหาวิทยาลัย การเดินทาง และ กระแสเรียก
ชาวฟิลิปปินส์ และชาวสเปน เรียกรูปพระกุมารเยซูนี้ว่า ซานโน นินโย แปลตรงตัวว่า เด็กน้อยผู้ศักดิ์สิทธิ์
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=4054.0http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=3827.0