Summoner Master Forum
October 04, 2024, 04:14:56 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: นิยายแสงสว่างในความมืดกับอสุราในแดนทิพพ์ ตอนที่ 34 แดนลี้ลับต้องคำสาปอสูร  (Read 1742 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« on: July 24, 2007, 04:27:45 PM »

ตอนที่ 34 แดนลี้ลับต้องคำสาปอสูรตอนที่ 34 แดนลี้ลับต้องคำสาปอสูร
     ป่าดำแห่งอีเอเบียปกปิดแผ่นดินลี้ลับแห่งสามเผ่าพันธ์ที่ถูกสาป เมื่อสมัยหมื่นปีก่อนเจ้าแคลนแห่งอีเอเบียนามว่าลอร์ดอเล็กซานดอร(Alexandor, the great)มีบุตรชายสี่คนและบุตรสาวอีกคนแต่ละคนมีความเก่งกล้าสามารถแตกต่างกันออกไป แต่ในสมัยที่เขามีชีวิตอยู่เขาได้สร้างปราสาทเกรนฟรอนเทีย(Grandfrontia) ป้องกันการรุกรานจากอริราชศัตรูทั้งหลายที่ปรารถนาเขายึดครองแผ่นดินของเขา บุตรทั้งห้าคนต่างสามัคคีกันจนกระทั้งวันหนึ่งที่เทพธิดาแห่งความจริง(Realitiae, goddess of reality) ได้มอบจอกแห่งความปรารถนา(Holy grail)ให้แก่อเล็กซานดอรตอบแทนในสิ่งที่เขาได้ช่วยเหลือพระเจ้าโดยการนำทัพไปช่วยเหลือประชาชนที่นับถือพระองค์ออกจากคุกนรกของเหล่าปีศาจที่หุบเหวหัวคน(Encephalic mountain)
     จอกที่นำมาซึ่งพลังแห่งพรที่พระองค์ประทานมาให้ ดึงดูดความต้องการจากลูกทุกคนแต่อเล็กซานดอรไม่ได้ใช้พรนั้นเขากับเก็บมันเอาไว้ในโถงปราสาทต้องห้ามที่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปได้คือเขาเอง
     เมื่อลมหายใจสุดท้ายของอเล็กซานดอรหมดลงไปพร้อมกับข้อกังขาที่ผู้ใดจะเป็นผู้ครอบครองจอกแห่งพรนั้น บุตรชายผู้หนึ่งนามว่าเบอร์นาดได้ชักจูงพี่ชายคนโตแย่งชิงจอกมาเป็นของตัวเอง แพนเทียบุตรคนรองได้ทราบว่าพี่ชายและน้องชายรวมทัพขึ้น ก็ได้รวมทัพด้วยเช่นกัน ความขัดแย้งกระจาออกไปจากเพื่อนรักกลายเป็นศัตรู จากสามีภรรยาที่รักกลายเป็นผู้อาคาดแค้นซึ่งกันและกัน แผ่นดินแห่งอีเอเบียเดือดขึ้นทุกวันพร้อมที่จะประทุเลือดของประชาชนในเมื่องออกมาทุกเมื่อ
     เอ็ดมันถึงจะมีอำนาจแต่ก็ไม่สามารถทำการใดๆได้เพราะอีกใจก็ไม่อยากเห็นเลือดไหลนองแผ่นดินของเขา เบอร์นาดได้นำซาตานมาสู่เขาและมอบความอมตะแห่งอสูรให้เขาและพวกพ้องความทั้งพรแห่งนรกที่จะมอดไหม้เขาไปเมื่อดวงจิตออกจากร่าง
     แพนเทียก็ได้เล่งเห็นถึงความแข็งเกร็งที่เอ็ดมันได้รับและมอบให้กับทหารของเขา ก็ได้ร้องขอแด่เทพแห่งความตาย(Lethalian, god of Death)ถึงพลังที่มากกว่า เทพแห่งความตายก็ด้ตอบรับพร้อมทั้งพรที่ได้มาซึ่งพลังที่ไร้ขีดจำกัดแต่ไม่เลยพลังนั้นกับถูกจำกัดไว้โดย ดาเรราย(Darerai, angel of Moon) โดยพลังนั้นจะมาได้ก็เมื่อพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
     สงครามแห่งเหล่าผู้กึ่งอมตะได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเพื่อเพื่อยึดครองปราสาทที่ซึ่งมีพระศพของบิดาของพวกตน โดยไม่ได้ล่วงรู้ว่าน้องชายอีกผู้และนางสาวที่นามว่าแกริสันและแอนนาสเตเซียได้ทำลายกลไกเข้าไปเอาจอกมาขอพรที่ทำให้นักล่าได้ถือกำเนิด
     สงครามระหว่างทั้งสามเผ่าดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลานานเบอร์นาดได้แยกไปตั้งประเทศของตนเมื่อเอ็ดมันประกาศว่าจะหยุดสงครามเสียที เขาไม่พอใจเขาต้องการจัดการลูกหลานของแกรริสันให้สาแก่ใจที่ทำให้เขาพลาดเป้าหมาย เขาต้องการแก้แค้นให้ความทุกข์ที่เข้าได้รับได้ปลดปล่อยออกมา อยากให้ลูกหลานของแกรริสันได้ความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับเขา
     เกรนน่าซินกราเดียนได้ให้พลังที่มากกว่าแก่เขา ได้ให้พลังที่ชนะซึ่งแสงสว่างยามรุ่งอรุน และราตรีแห่งดาเรราย ความชั่วรายของเขาก็ได้ย้อนกลับมาทำลายพี่ชายที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน อีกทั้งระดมเหล่าอสูรร้ายจากนรกเข้าบุกปราการใหญ่แห่งแกรริสัน
     แล้วแสงสว่างแห่งเซนทิริกก็ส่องประกายมาพร้อมกับแสงยานุภาพที่เอาชนะประเทศใหญ่ของทุกผู้ แม่ทัพพาลโตมาสและราชินีทาชินเยอร์น่าได้ปิดผนึกเบอร์นาดไว้ด้วยพลังของพระองค์ในปราการแห่งความตาย(Mortirian Castle)
     เอ็ดมัน แพนเทีย และแกรริสันได้มอบแผ่นดินให้อยู่ใต้แสงดาบแห่งเซนทิริกพร้อมทั้งสร้างปราการใหญ่แห่งบัญลังชั้นที่เก้าถวายราชินีแห่งเซนทิริก
     เวลาที่ผ่านไปเหล่าแวมไพร์ก็มีอำนาจมากขึ้นตามความนับถือทางอายุต่อเอ็ดมัน เหล่ามนุษษย์หมาป่าก็หลุดจากการวบคุมของเทพดาเรราย กลายร่างได้ตามที่ใจต้องการ แต่นักล่ากลับลืมเลือนการล่าและวิธีฆ่าแวมไพร์และมนุษย์หมาป่าไปเสียแล้ว
     แต่สิ่งเดียวที่กลับทวีขึ้นคือความโกรธแคนของเบอร์นาดที่ถูกราชินีแห่งเซนทิริกกักขังไว้โดยปรารถนาให้เขากลับใจ เขาโกรธธทุกสิ่งที่ผ่านมาและปรารถนาถึงการได้หลุดออกไปยังดินแดนของตนอีกครั้งเพื่อแบ่งความทุกให้กับทุกคนอีกครั้งดังที่เคยทำมา

     เทออสควบม้าที่เริ่มพยศตามเหล่าทูตทั้งสามคนที่ควบม้านำไปยังป่าอีเอเบีย ม้าของทั้งสามไม่สทกสะท้านถึงกลิ่นอายใดๆที่อบอวนอยู่ที่ป่าแห่งนี้
     “ป่าแห่งนี้เขาเล่าขานกันว่าเข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมา”
     “เพราะกลายเป็นอาหารของข้าที่อีกฝั่งนะสิ”เจนัสพูดออกมาอย่างแข็งๆ
     “เจนัส เจ้ากำลังทำให้ผู้สำเร็จราชการมองเจ้าในทางลบนะ”เรตัสเอ็ดใส่ดุเดือด “อย่างน้อยเจ้าน่าจะเห็นแก่หน้าท่านแพนเทียของเจ้า”
     “ควรจะเห็นแก่หน้ากษัตริย์อาทาลอทมากกว่า”โควกล่าวเอื้อย
     “พูดแบบนี้ เจ้าอยากให้แพนเทียตายมากละสิ”เจนัสแยกเขียวอย่างไม่เกรงกลัวใส่โคว
     “พอกันทีเราจะไม่ขัดพวกท่านอีกแล้ว หากพวกท่านจะฆ่ากันที่นี้ข้าก็ไม่เกี่ยงใดๆ ท่านเรตัสท่านรู้ทางไปปราสาทของท่านเอ็ดมันอยู่แล้วใช่ใหม”เทออสถามออกไป เรตัสก็ได้เพียงพยักหน้า “ดีถ้าท่านสองคนจะฆ่ากันข้าก็มีท่านเรตัสพาข้าเข้าไปถึงที่อยู่แล้ว”
      เจนัสทำเสียงให้ทุกคนเงียบ “พวกเบอร์นาด” เจนัสมองไปรอบๆดมกลิ้นที่คุ้นเคยถึงความอันตรายที่อยู่รอบกาย ก่อนจะให้สัญญาณระวังภัยอย่างแน่นอนแก่ทุกคน
     ดาบทั้งสี่เล่มถูกชักออกมาพร้อมรบค้างคาวยักหลายตัวพุ่งลงมาจากยอดไม้ตรงเข้าหาคนทั้งสี่ โควกระโดดขึ้นเหยียบตัวแรกเพื่อไปฟันตัวที่สองแล้วเขาก็อยู่ในระยะที่เห็นทุกคนจากฟากฟ้า ดาบของเขากางออกเป็นธนูด้วยคมดาบที่เยกออกจากกัน ลูกธนูลมยิงใส่ค้างคาวยักหลายต่อหลายตัว
     เจนัสตวัดดาบใส่ตัวที่พุ่งตรงเข้าหาเขาแล้วตรงไปยังขวานที่แนบอยู่ที่ถุ่งหลังม้าก่อนจะสับไปหลายตัวที่พยายามจะกัดที่คอของเขา เรตัสยืนอยู่แนบกันเทออสที่มองไปรอบๆเพื่อระวังภัย ก่อนที่เทออสจะได้ลงดาบก็ได้พบว่าด้ามดาบของเรตัวยืดยาวออกกลายเป็นทวนเขาจวงแทงไปก่อนแล้ว
     โควลงมาจากฟ้าพร้อมดึงเจนัสที่กัดคอของคางค้าวตัวหนึ่งในขณะที่กลายร่างอยู่ออกมา “พาท่านเทออสไปที่พระราชวังใหญ่ก่อน”โควบอกแก่คนอื่นๆ
     “ข้าจะอยู่สู้กับท่านเอง เรตัสพาเจ้าหนุ่มนี้ไปก่อน พวกค้างคาวผีพวกนี้ไม่มีทางชนะข้าหรอก” เรตัสมองอย่างไม่วางใจในความปลอดภัยของคนทั้งสอง “เถอะน่าพวกข้าไม่มีทางตายหรอก”
     เรตัสดึงม้ามาแล้วกระโดดขึ้น เทออสอยากจะกล่าวอะไรขึ้นมาแต่เจนัสตวาดใส่เสียก่อนทำให้เขาขึ้นมาและควบออกมาพร้อมเรตัสโดยไม่ได้แม้แต่เหลียวมองด้านหลังที่มีเสียงต่อสู้กันดังสนั่นหลังจากที่ออกมาแล้ว
     สายฝนได้ตกกระหน่ำลงมา เรตัสมองดูหินที่อยู่ที่คอที่ส่องแสงสว่างอยู่เรื่องรองก็สบถสบานอย่างไม่พอใจ “เทออสเอานี่” เรตัวโยนบางอย่างมา “เจ้าดูแผ่นที่เป็นใช่ใหมนั้นเป็นทางไปที่ปราสาทของเอ็ดมันเจ้าต้องเดินทางไปเอง”
     “แล้วท่านละ”
     “ข้าต้องไปอีกทาง ถอดเสื้อเกราะเจ้ามา”เรตัสโยนเสื้อเกราะสีแดงเข้มของตนไปให้เทออสขณะควบม้าเร็วจี๋ เทออสก็ถอดโยนกลับไปให้กับเรตัวซึ่งเขาก็ใส่อย่างรวดเร็ว “ไปตามทางนี้ จะอ้อมไปเล็กน้อย ไม่ต้องเลียวแล้วเจ้าจะไปอยู่ที่เมืองพาลโตเมียแล้วเดินทางตามแผ่นที่ ไป”เรตัสควบม้าออกห่างไปอีกทาง
     เทออสควบฝ่าสายฝนขึ้นตามแนวเขาสูง สายฝนที่สาดลงมาทึบหนาจนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน เทออสดึงม้าให้ช้าลงโดยหวังว่าพวกค้างคาวชั่วเหล่านั้นจะตามมาไม่ทัน สายตาที่แสบไปด้วยสายน้ำกับความเย็นของเกราะเหล็กที่หุ้มกายทำให้ร่างปวดไปทั่วร่างกาย
     เงามืดโฉบเฉียวลงมาข้างกายเขา ดีที่เทออสชักหัวม้าเบียงทิศทางหลบไปได้ก่อน แต่เขาก็มารู้ว่าอยู่ในวงล้อมของบางสิ่งที่เรียกได้ว่าอสูรร้ายยามคำคืนที่เขาจะได้ฟังมาตลอดยามเด็กไม่คิดฝันว่าจะมาพบร่างจริงในวันนี้
     ดวงตาแดงสว่างที่ส่องมาจากพุ้มไม้มากมายและเขียวขาวที่แยกออกสู่สายตาของเขา พวกมันสบัดขนเล็กน้อยเพื่อไล่น้ำที่จะถ่วงการโจมตีที่ร็วดเร็วของมันได้ ก่อนจะก้าวออกมาส่งเสียงคำรามในลำคอให้ม้าของเทออสกะสับกะสายไม่เป็นท่า
     เทออสชักดาบเงินออกมาพร้อมแสงสว่างที่ส่องออกมาพร้อมคมดาบที่คมกริบ แต่แสงนั้นไม่ทำให้พวกมันเกรงกลัวเท่าไรนัก เพียงแค่ถอยห่างออกไปเล็กน้อย ตัวใหญ่ที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าฝูงตะกรายพื้นเล็กน้อยเหล่ามนุษย์หมาป่าก็กระโจนเขาโจมตีเขาอย่ารวดเร็ว
     คมดาบสาดคลื่นคมดาบเป็นรัศมีออกรอบๆทำให้หมาป่าหลายตัวการเป็นชิ้นเนื้อหล่นล่วงลงบนพื้น เทออสเห็นทางที่ฝ่าไปได้ก็ควบแหวกทางออกไป ม้าวิ่งออกมาได้ไม่ไกล้ก็เกิดตกใจตื่นทำให้เทออสตกลงมาจากหลังม้า เงาดำบางอย่างก็แหวกซัดลงมาพร้อมคมดาบที่บากเข้าที่คิวของเขาลาดลงมาตามแนวกรามและผ่าเกราะที่แผนอกของเขา
     น้ำสีแดงไหลออกมาตามสายฝนส่งกลิ่นคุ้งคาวไปทั่ว เทออสได้แต่เพียงทรุดลงด้วยความเจ็บปวดและตะกายตัวหนีจากเงือมมือของความตาย แล้วเข้าก็รู้สึกหมือนกำลังถะไลไปตามพื้นดินพร้อมกลิ้นชื้นและดินที่ถากชุดเกราะของเขาเสียงดังก่อนจะรู้สึกว่าตกลงไปในน้ำที่เย็นยะเยือก
    สายตาของเทออสมองเห็นหญิงสาวในชุดสีม่วงดูงดงามในอาคารที่ดูเก่าและมืดครึมแห่งนี้ เขาได้ยินเสียงเธอเรียกเอาไว้หลายต่อหลายครั้งเมื่อรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา
     เมื่อรู้สึกตัวคราวนี้เห็นแต่ห้องที่ตกแต่งอย่างโบราณ เขามองดูม่านทึบที่ดูสีเก่าๆ พอขยับกายก็เห็นได้ว่าเขาเจ็บแผลมาก เขารอดจากอาการไข้รุ้นแรงมาแล้ว
      ประตูบานใหญ่เปิดออกพร้อมหญิงสาวถือคาฑาแก้วเดินนำเหล่าชายในชุดเกราะหนักเข้ามา สายตาของเธอมองใบหน้าของเทออสแล้วก็ซีดเผือกไป
     มือของเทออสแตะที่แผลที่แสบร้อนอยู่บนใบหน้าของเขา “ขออภัยที่ทำให้ท่านกลัว”
     “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”หญิงสาวตอบพร้อมร่ายเวชเพื่อตั้งคาฑาไว้ข้างกายก่อนจะนั้งลงบนเตียงข้างๆเทออส “แผลของท่านเป็นเช่นใดบ้าง ท่านผ่านอาการพิษจากเชื้อสเตปไฟโลคอคคัส(Staphylococcus aureus)ไปแล้วอีกไม่นานท่านจะหายดี ท่านต้องกินสิ่งนี้”หญิงสาวยื่นเม็ดเล็กๆของบางอย่างมาให้เทออส
     “มันคืออะไร แล้วอะไรคือสเต โต โค คาส”เทออสรีบถามออกไปอย่างผิดๆถูกๆ แต่ก็ได้แต่ยิ้มของหญิงสาวกลับมา “แล้วที่นี้คือที่ใด”
     “ที่นี้ แคลนแอนนาสเตเซีย อาญาจักรแห่งแวมไพร์ของทูตแอนนาสเตเซียแห่งแคลนเอ็ดมัน”หญิงสาวมองเขาอย่างใคร่รู้ก่อนจะขยับเข้ามาเปิดบาดแผลของเทออส “ข้าต้องดูแผลของท่าน”หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเทออสดูเกร็งไป
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #1 on: July 24, 2007, 04:29:13 PM »

     “ข้า เทออสแห่งเซนทิริก มิเนทาริก ข้ากำลังจะเดินทางไปแคลนเอ็ดมันท่านพอทราบว่าไปทางใดหรือไม่”เทออสถามออกไปก็เห็นเพียงหญิงสาวดูเงียบไป เธอมองดูบาดแผลของเขาอย่างลอยๆก่อนจะหันไปหาชายที่อยู่ในชุดเกราะหนักที่อยู่ข้างๆเธอคุยกันถึงเรียงตัวถากดูดเลือดและยาบางอย่าง
     “...ฉันคิดว่าต้องใช่แวนโคไมซิน(Vancomycin)แล้ว บอกท่านแวนค๊อกกี่(Vancokie, Medical scientist)ว่าให้ท่านเตียมยานั้น ฉันคิดว่าในตอนนี้บอกให้ท่านเตรียมค๊อกซาซิลินรวมคลาวูลานิก(Cloxacillin&Clavulanic acid)มาในต้อนนี้ก่อนถ้าได้ผลดีอย่างน้อยท่านก็เก็บแวนโคเอาไว้เพื่อยาไม่ได้ผล” หญิงสาวหันกลับมามองใบหน้าของเทออส “ฉันเสียใจกับใบหน้าของคุณด้วยนะค่ะ แผลของคุณรุนแรงเอาการ”
     เทออสส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อหญิงสาวพูดในสิ่งที่เขาไม่รู้เรื่องอีกครั้ง “เดี๋ยวนะครับ ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ เทพแห่งความตายยังไม่ต้องการวิญญาณของผม”
      “วิญญาณของคุณ”หญิงสาวหัวเราะเล็กน้อยพร้อมทั้งแตะนิ้วเบาๆที่ปากแผลบนใบหน้าของเทออส “คุณเกือบตายด้วยโรคร้ายนะสิไม่ว่า” หญิงสาวกำลังจะก้าวออกไปเทออสก็ดึงเธอลงมา ทหารหลายคนก็ตรงเข้ามาทันทีหวังป้องกันเธอ แต่หญิงสาวยกมือห้ามเอาไว้ “เส้นทางถูกปิดแล้ว ท่านโชคดีแค่ใหนที่เราพบท่านก่อนที่ท่านจะลอยไปกับน้ำข้ามแดนไปเขตของเบอร์นาด”
     เทออสปล่อยมือของเธอไปเล็กน้อย “ข้าจะฝ่าออกไปได้หรือเปล่านะ”
     “อย่าคิดเป็นอันขาด ปราสาทแห่งนี้ได้พลังของเอเรียเซีย่าและท่านเอ็ดมันพิทักไว้เช่นเดียวกับปราสาทที่แคลนของท่าน ท่านจะปลอดภัยอยู่ที่นี้ ท่านไม่มีท่านฝ่าฝูงแวมไพร์และหมาบ้าพวกนั้นไปเหมือนคราวที่ท่านเดินทางผ่านเขตแดนอีเอเบียหรอก”
     “ข้าอยากพบท่านแอนนาสเตเซีย ท่านทูตอะไรสักอย่างที่เธอบอกมา”เทออสสังเกตว่าหญิงสาวเงียบลงไปใบหน้าดูหม่นหม่องไปทันที
     “ท่านพบผู้ใดไม่ได้แล้ว และในที่นี้ก็มีเพียงข้าเท่านั้นทีจะสั่งเป็ดหรือปิดประตูหมู่บ้านของปราสาทได้” หญิงสาวพยักหน้าให้ทหารคนรับใช้ที่ยืนเกเกกังกังอยู่ที่ด้านนอก “บราเมต(Bramet) จะดูแลท่านมีอะไรก็เรียกใช่เขาได้” หญิงสาวเดินออกไปโดยไม่มองแลหลังแม้แต่น้อย

     กลางสายฝนที่สาดลงมาชายในเกราะสีดำทะมัดทะแมงนั้งอยู่หลัง ถังไม้ใส่เหล้าเพื่อสังเกตเหล่าแวมไพร์ของเบอร์นาดที่กำลังจัดการลำเลียงเชลยมนุษย์และแวมไพร์เข้าไปภายในอุโมงที่พวกมันทำขึ้นเพื่อเก็บคนเหล่านี้ไว้เป็นอาหาร
     หินก้อนหนึ่งที่แนบอยู่ที่ขาของเขาส่องแสงขึ้นมาทำให้เขารีบถอยออกจากจุดสังเกตการณ์และย่องออกไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ที่จุดนั้นมีเพื่อนของเขาที่เปิดกลุ่มไม้ออกเพื่อให้เขาเข้าไปภายในที่ซ้อนตัว
     “ฟอลคอน(Falcon, prince of clan Edmond) มีอะไรเหรอ”หญิงสาวแวมไพร์ถามออกมาทันทีที่เขาเข้ามาภายในที่ซ้อนตัว
     “ท่านพ่อติดต่อมา”ฟอลคอนนำหินที่เรื่องแสงโยนลงไปในอ่างน้ำที่เตรียมไว้ แสงสว่างวาบประกายออกมาเมื่อหินนั้นแตะลงสู้ผิวน้ำทำให้แสงสว่างส่องสว่างเต็มปากอ่างแล้วร่างเล็กที่เป็นภาพของเอ็นมันก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
     “ขออภัยที่รีบติดต่อมา”เอ็ดมันกล่าวไว้ก่อนล่วงหน้าพร้อมทั้งยิบกระดาษที่เขียนเรื่องที่ต้องการในตอนนี้ “ฟอลคอนพ่อมีเรื่องต้องวานให้เจ้ามาที่แคลนแกรริสัน ท่านคลาเรนเซียนี่(Clarensianae) ต้องการความสามารถของเจ้าในการตามหาเทพค้ำจุน(Shadow god)”
     “แต่ว่า...ผมอยู่ไกลมาจากแคลนแกรริสัน ทำไมท่านพ่อไม่ให้คนอื่น... ท่านแม่ทัพราฟาเอล(Rafael, leader of Vampire) น่าจะทำเรื่องนั้นได้ดีและเดินทางมาได้สดวกกว่า”
      “ท่านราฟทำไม่ได้หรอก เจ้าต้องลงมาทำให้พ่อนี้เป็นคำสั่ง ออกจากเบอร์นาดสะจะช้าจะเร็วเจ้าเบอร์นาดก็จะออกมา เรื่องนั้นพ่อรู้ดีแล้ว”
     “ท่านพ่อแล้วเรื่องทูตที่มาจากเซนทิริก”
     “เขาอยู่ที่แคลนแอนนาสเตเซีย”เอ็ดมันแจ้งไปอีกครั้งพร้อมใบหน้าที่ดูคุ้มคิด “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นพ่อและท่านราฟกำลังหาทางไปนำเขาออกมา”
     “ไปที่ไหนไม่ไป แล้วท่านอาแพนเทียยอมรับในเรื่องของท่านทอาแอนนาสเตเซียหรือยังละครับ”
     “แพนเทียสิ้นแล้ว”เอ็ดมันกล่าวอย่างเรียบๆ “เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
     “ท่านอาแอนนาสเตเซียคงเล่นไว้เยอะที่ท่านอา...”
     “ฟอลคอน พ่อไม่ใช่นายข่าว เจ้าอยากได้ก็รีบเดินทางลงมาที่แกริสันเดียวนี้”ภาพของเอ็ดมันหายไปฟอลคอนก็คว้าหินขึ้นพร้อมมองใบหน้าของ คิเรเอน่า(Keriana)ที่ทำหน้าตื่นเต้นกับภารกิจใหม่ เธอเดินไปหาสามีของเธอที่ดูปากทางอยู่ด้านนอกเพื่อบอกเรื่องภาระกิจใหม่
     ระหว่างที่กำลังเก็บของกันอย่างรวดเร็วฟอลคอนก็สัมผัสได้ถึงจิตใจของเชลยที่อยู่ภายในถ่ำที่เปลี่ยนแปลงไป สายตาของเขามาองไปที่บาค(Bark) ที่ทำสายตาห้ามปราบเอาไว้เมื่อรู้ว่าฟอลคอนกำลังจะทำอะไร
     “บาคผู้หญิงในนั้นกำลังจะต่อสู้กับพวกที่อยู่ข้างในนั้น”ฟอลคอนบอกเพื่อเน้นขอความเห็นจากบาค
     “ท่านจะไปทำอะไรที่บอกว่าเรามาที่นี้ไม่ได้ฟอลคอน เบอร์นาดจะรู้ได้ว่าท่านเอ็ดมันหวังอะไรอยู่”บาครีบเตือนเอาไว้ “อีกอย่างถ้าเธอไม่สามารถพังคุกได้นางก็ไม่เป็นอันตรายหรอก”
     ฟอลคอนอยากจะเชื่อคำพูดนั้นจริงๆเลย แต่ไม่เขาถอยออกจากม้าศึกแล้วตรงไปที่ถ่ำทันทีโดยไม่ฟังเสียงทักของบาคที่อยู่เบื่องหลัง
     พลังนั้นดึงดูดเขา ผู้หญิงคนหนึ่งในนั้นกำลังเดือดเป็นไฟ เธอทำดืทุกอย่างและพลังจิตของเธอนั้นแข็งกล้า พลังนั้นดึงดูดให้เขาเข้าไปหาเธอ เขาอยากได้เห็นใบหน้าของหญิงที่มีจิตใจแข็งกล้าเช่นนี้
     เย็นเอาไว้ ฉันกำลังไป
     เย็นอยู่แล้ว เธอตอบกลับกระแสจิตของฟอลคอนอย่างรวดเร็วจนทำให้ฟอลคอนถึงกับชงักทันที เธอโตตอบทางจิตกับเขาได้ ฟอลคอนสายหน้าเล็กน้อยเพื่อปัดความคิดฟุ่งซานออกไปก่อนจะแชลบตัวเข้าไปที่กำแพงของถ่ำ(Bernad prison gate)
     ฟอลคอนใช้เงามืดของกำแพงเพื่อเป็นที่ซ้อนตัว มือที่ชักดาบสันที่อยู่ที่ขาขวาขึ้นมาช้าๆอย่าระมัดระวัง เสียงเสียดของคมดาบอาจนำมาสู้ความตายของเขาได้ ฟอลคอนต้องรีบสงบจิตใจที่ถูกฝึกมาตลอดเวลาเมื่อรู้สึกถึงความกลัวของมนุษย์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายในที่เสียดออกมาพร้อมกับความเดือดดานของหญิงสาวที่อยู่ภายใน
     คำปฏิญาณที่เขาได้ให้ไว้แก่กษัตริย์ของเขา คำปฏิญาณที่เขาให้แก่พ้องมนุษย์ที่เขาให้สัตย์ไว้ว่าจะปกป้องให้รอดพ้นจากอันตรายใดๆได้ลอยอบอวนอยู่รอบหูของเขา ผลักดันให้เขาอยากกระโจนออกไปดับความกลัวนั้นจากกลุ่มคนที่อยู่ภายใน รวมทั้งอยากได้สัมผัสถึงจิตใจที่น่าตื่นใจของหญิงที่อยู่ภายในนั้นอีกด้วย
     มือของบาคดึงเขาไว้ทันก่อนที่ฟอลคอนจะทำในสิ่งที่อันตรายเกินกว่าจะแก้ไขได้ “ท่านต้องระวังตัวมากกว่านี้”บาคเตือนพร้อมทำมือให้ฟอลคอนสังเกตว่ามีทหารยามอยู่บนป้อม ก่อนจะให้สัญญาณกับคิริเอน่า
     ดอกธนูยิงจากมือของคิริเอน่าลอยแหวกอากาศอย่างเงียบงันตรงเข้าเสียบอกตรงเป้าของการฆ่าแวมไพร์ เมื่อทหารอีกคนที่อยู่ถัดไปเห็น ไม่ทันร้องใดๆศรอีกดอกก็ปักเข้ากลางอกของเขาเสียแล้ว
     บาคและฟอลคอนพยักหน้าให้กันพร้อมเคลื่อนตัวอย่างร็วดเร็วไปยังยามที่อยู่เบื่องหน้าทางเขาถ่ำก่อนจะใช่คมดาบสันบาดที่คอตามวิธีการฆ่าแวมไพร์โดยที่ยามทั้งสองไม่ทันรู้ตัวเพราะทั้งคู่ปิดกระแสจิตของตนไว้มิดชิด
     แล้วทั้งคู่ก็ตรงเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว แวมไพร์ด้านในกลับจับกระแสจิตของฟอลคอนได้เขาก็ตรงเข้ามายังฟอลคอนอย่ารวดเร็วเช่นเดียวกับที่ฟอลคอนทำได้
     ปะกายไฟของดาบที่ปะทะกันทำให้สายตาของแมรี่(Marry, princess of Garrison)หันไปมองเธอเห็นแต่ชายในชุดเกราะสีดำที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วรับการโจมตีของทหารแวมไพร์ที่เคลื่อนที่เร็วกว่า เธอได้โอกาศที่เจ้าแวมไพร์ชั่วที่หวังจะดูดเลือดของเธอมองไปยังผู้ท่บุกเข้ามาชั่วครู่ เข่าของเธอก็แทงขึ้นมาตามที่เคยฝึกมาตลอดเวลาใส่เข้าให้ที่คางของเจ้าสกปรกนั้น
     เมื่อตั้งตัวได้แมรี่ก็ทรงตัวขึ้นพร้อมทั้งแตะให้แวมไพร์ที่เสียหลักอยู่เบื่องหน้ากระเด้นออกไป เธอพร้อมจะกระโจนเข้าใส่ทหารแวมไพร์อีกตัวที่กำลังตรงเข้ามาช้าพอที่เธอจะจัดการได้แต่แขนแกร่งของชายในชุดเกราะสีดำก็คว้าเอวของเธอลั่งให้ถอยห่างออกมา
     “เธอสู้กับพวกมันไม่ได้หรอก”เสียงทุ้มหนักของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าปลอดภัย ดาบเงินที่ชักออกมาพร้อมหินที่ส่องแสงสว่างกระทบกันทำให้คมดาบส่งแสงสีน้ำเงินที่เธอคุ้นๆว่าจะเคยเห็นมาก่อน ใช่แล้วเขาต้องเป็นนักล่าแน่ๆ เธอเห็นเพียงแต่ดาบที่กวัดแกว่งอยู่ภายนอกและเสียงร้องอย่างโหยหวนของทหารที่บุกเข้ามา
     เมื่อเสียงสงบลง เสียงกุญแจถูกตัดก็ดังไปทั่ว ชายที่ช่วยเธอก็ตรงเข้ามาภายในพร้อมยื่นมือขึ้นมาดงเธอขึ้นยืน “เราต้องไปเดี๋ยวนี้ พวกทหารกำลังมา ฉันคงสู้ทั้งกองทัพไม่ได้”ทั้งคู่วิ่งออกไปพร้อมคนอื่นๆที่
     “เดี๋ยวค่ะ เพื่อนของฉัน เธอต้องพาแม่ที่ป่วยหนีฉันต้องไปช่วยเธอ”
     “แสงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ตอนนี้ต้องเป็นหน้าที่ของคนอื่นแล้วละ เราต้องหนีไปให้ไกล้ที่สุดก่อนที่แสงอาทิตย์จะหายไปด้วยเมฆปีศาจ(Greatnasinguardian cloud)”ฟอลคอนดึงให้เธอวิ่งฝ่าสายฝนไปกับเขา “เธอจะไปที่ไหน”เขาถามเมื่อช่วยให้เธอขึ้นไปบนหลังม้าก่อนที่เขาจะขึ้นไปบนหลังม้าแล้วลั่งให้เธอนั่งแนบชิดกายของเขาเพื่อไม่ให้เธอพลาดตกม้าเมื่อม้าเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
     “แกรริสัน ฉันจะไปแกรริสัน”หญิงสาวสันเล็กน้อยเมื่อสายลมที่พาหยาดน้ำฝนที่เย็นเฉียบปะทะกายของเธอราวกับเข็มที่ทิ่มแทงกายของเธอ ผ้าขนสัตว์ผืนหนาคลุมมาให้เธอเพื่อขจัดความเจ็บปวดนั้นไปทำให้เธอมองขึ้นไปบนใบหน้าคมเข้มที่ดูเกลี้ยงเกลาไม่เหมื่อนจะเป็นนักล่าที่ออกทำงานภาคสนามแบบนี้
     “เรื่องเดินทางนั้นฉันก็กำลังไปแกรริสันเหมือนกัน มีอะไรหรือเปล่า”ฟอลคอนถามขึ้นมาทำให้เธอสดุง “ฉันไม่ได้ทำให้เธอกลัวหรอกนะ”
     “คุณเป็นนักล่าหรือค่ะ”
     “แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นอะไรละ คิดว่าฉันเป็นแวมไพร์หรือเปล่า” สายตาของแมรี่มองแขนของฟอลคอนที่กระทบแสงแดดก็หันขึ้นมาสบกับดวงตาที่จองมองเธออยู่
     “ไม่ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นแวมไพร์หรอก ถ้าคุณเป็นแวมไพร์คุณคงกลายเป็นถ่านไปแล้ว”ฟอลคอนได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้ารับรู้ความคิดนั้น “ถ้าคุณไม่ใช่นักล่าคุณเป็นอะไรละ หรือเป็นมนุษย์หมาป่า”หญิงสาวชักสีหน้าซีดขาวให้ฟอลคอนทำให้เขาหัวเราะออกมา “ไม่ตลกเลยนะฉันจะไม่ผ่านแคลนแพนเทียกับคุณเป็นอันขาด”
     “ฉันไม่ใช่ทั้งสองอย่างที่เธอว่ามาเลย แล้วแต่เธอจะคิดแล้วกัน ไม่ต้องห่วงอะไรหรอก เธอจะเดินทางถึงแกรริสันอย่างปลอดภัย”
     “คุณจะบอกฉันได้หรือเปล่าว่าคุณเป็นใครกันแน่”
     “ขอโทษที เรียกฉันว่าฟอลคอน”
     “เรียกฉันว่าแมรี่ค่ะ แต่ฉันไม้ได้หมายความอย่างนั้นคุณทำอะไร ฉันอยากรู้เรื่องนี้มากกว่า”
     “ผมเป็นทหารคุณรู้แค่นี้แหละดีแล้ว”
      “ถ้าเช่นนั้นคุณก็เป็นทหารของแกรริสันจริงๆนะสิ”หญิงสาวอมยิ้มเมื่อข้อข้องใจหายไป ฟอลคอนพอใจที่เธอคิดไปเองเช่นนั้น เมฆทึบปิดแนวแสงอาทิตย์จนพื้นดินมืดสนิด แต่ไม่เป็นปัญหาใหญ่กับฟอลคอนเลย
     กระแสจิตของบาคส่งมาบอกฟอลคอนถึงการป้องกันท้ายของเขาไว้ให้ ฟอลคอนยังแอบได้ยินเสียงบ่นในใจของบาคเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่สนใจ
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.079 seconds with 20 queries.