Summoner Master Forum
November 28, 2024, 08:41:27 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: นิยายแสงสว่างในความมืดกับอสุราในแดนทิพพ์ ตอนที่33 ความมืดฉากหลังแห่งเงามืด  (Read 1976 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« on: July 12, 2007, 04:02:59 PM »

ตอนที่33 ความมืดฉากหลังแห่งเงามืดโทษทีนะค่ะ ที่ออกตอนนี้ช้ามากๆก็พอดีสอบติดกับแบบว่าแจกเกรดซัมเมอร์ชัวในตอนนี้
เหอะๆ ก็แบบว่าไม่อยากติดมาเรียนกับรุ่นน้องเลยต้องขยันหน่อยนะค่ะ
     ก็แบบว่าช่วงนี้พยาธิ แบคทีเรีย ไวรัส และพาราไซท์กำลังขึ้นสมองสักหน่อยคงได้จัดคนเป็นหมวดหมู่เช่น
อิสฮานอยู่ในสกุล Homosapient พวกออร์คเป็น Titanella orcii เอลฟ์เป็น Goderella elfei และตอนใหม่นี้เป็นเหมือนending ของสงครามชุดแรก
เพราะจะตัดตอนใหม่ขึ้นมาข้ามช่วงสงครามของเกรทน่าซินกราเดียนผู้ชั่วร้ายที่อยู่เบื่องหลังทั้งหมดกับดิวาทอรและจีเนรอสไปก่อน
     สำหรับตอนนี้เราจะพาไปท่องแดนแวมไพร์ มนุษย์หมาป่าและนักล่าที่อยู่ในสกุล
     Edmondella vampirei
     Pantiae wolfei
     Garrisonella slayerrei ล่อเล่นนะไม่เล่นชื่อวิทยาศาตร์หรอก เข้าเรื่องเลยดีกว่า

ตอนที่33 ความมืดฉากหลังแห่งเงามืด
     ดิวาทอร์เดินไปอย่างรวดเร็วไปยังท้องพระโรงของเซนทิริก ใบหน้ามีแต่ร้อยยิ้มที่บานเต็มใบหน้าเล่นเอาเหล่าข้าราชบริภารเขินอายไปตามๆกัน
     เมื่อเขาประทับเหนือแสงดาบเทพและนางฟ้าต่างก็เสด็จลงมาที่ขอบเขตของเส้าค่ำอาญาจักรทั้งสิบ(Ten wand of sorcerers) ดิวาทอร์รีบห้ามเทพีแห่งไฟ(Firia, angle of Firega) ที่พยายามแจ้งเหตุการณ์ในอาณาจักร
     “เรื่องของท่านไม่สำคัญเท่าใดนักเทพีฟีเรีย ถ้าท่านจะพูดเรื่องไฟที่อาจไหม้ป่าเอธีน่า(Athena, Holy forest)” ดิวาทอร์มองลงมาที่กษัตริย์เพียงสามพระองค์ที่ยืนอยู่ ซิกมันไม่อยู่แล้ว
     “ซิกมันจะรับข่าวสารผ่านเราเอง เขาไปตามหาเรจิน่า”อองเดรกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น
     “ข้าพระองค์อยากจะไปที่วิหารของเทพกาสม่า(Grasma Dominiigus, God of honor) ที่นั้นมีเครื่องเมทาลิอิส(Metaleis, Predictor) พวกบาสเซสยึดครองอยู่ อาจเห็นพระสารที่อเลทาดอสได้รับ”
     “ท่านโปรดรับรู้กันเอาไว้ว่าเอกาลอสยังไม่บรรลุภารกิจเขาจะยังไม่ก้าวออกมาจากนรก”ดิวาทอร์มองทุกคนอย่างเย็นชา “เขาจะต้องทำมันให้จบก่อนเพื่อประกันว่าการออกมาครั้งนี้จะต้องไม่เสียเปล่า”
     “แล้วเหล่าซินจะออกทัพอีกหรือเปล่า”ฮาริสันถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจในความสงบ
     “แม่ทัพซินแห่งสงครามหายตัวไปตอนที่ข้าบุกครั้งสุดท้ายข้าไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดและมาทิโร่ก็ดูจะหงุดหงิด เราสงสัยว่าเจ้าซินนั้นจะหนีทัพ”ดิวาทอร์ตบที่ไหล่ของฮาริสัน “พวกแม่ทัพซินที่เหลือก็ไม่เก่งพอจะเป็นทัพหน้าพวกมันไม่นำทัพในตอนนี้หรอก นอกจากเอกาลอสจะนำทัพมาเอง”
     “พวกออร์คจะอ่อนแอในคราวที่แสงแห่งเซนทิริกแพ่ไปทั่วแผ่นดิน”เกรกอรี่เสริมขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่เหล่าขุนพลที่ยืนอยู่ข้างๆ “ข้าพระองค์ได้รวบรวมบางสิ่งที่พวกออร์คต่างตามล่ามานานอยากให้พระองค์ได้รับรู้ และพระองค์อาจทราบว่าพวกออร์คต้องการมันไปทำไหม”
     ดิวาทอร์มองขุนพลที่ยื่นอัญมณีทั้งเก้าออกมา เหล่าหินสีแวววับเหล่านั้นส่องประกายมาสู่สายตาของดิวาทอร์ “อย่าให้มันใกล้กัน!” เขาตรงเข้าพาดมือของเหล่าขุนพลจนมณีทั้งเก้าลอยขึ้น
     แต่สายไปแล้วเหล่าอัญมณีทั้งเก้ารวมตัวกันเป็นประกายคลายกับมงกุฎของราชินีผู้ถูกลืมแล้วเงาของสตรีควันสีขาวพริวไหวรวมตัวกันกลายเป็นสตรีในชุดสีขาวขาดพริวพร้อมเสียงหวีดร้องจากนรกที่ดังแว่วมาก่อนจะหายไปอย่างน่าหวาดกลัว
     ดวงตาสีดำและแสงแวววาวสีแดงที่ลืมตาขึ้นมองไปยังดิวาทอร์ที่ยืนอยู่เบื่องหน้า “เกรทน่าซินกราเดียน!(GreatnaSinGuardian, sin of god)” ดิวาทอร์คำรามเสียงดังทั่วท้องพระโรงพร้อมดาบทั้งหกที่รวมกันเป็นหนึ่ง (Represent of God sword) ควบทะยานตรงเข้าปะทะอย่างรวดเร็วแต่เพียงเกรทน่าซินกราเดียนยกมือขึ้นคมดาบก็หยุดอยู่ที่เล็บยาวที่ขบคมดาบเอาไว้
     “ทักทายพี่สาวของเจ้าเช่นนี้หรือดิวาทอร์”เกรทน่าซินกราเดียนสบัดมือออกทำให้เงาของปีสองแสนปีกที่มีสีดำเป็นส่วนใหญ่ปรากฏขึ้นเบื่องหลังของเธอแล้วร่างของดิวาทอร์ก็ลอยคว้างไปกระแทกที่บัญลังแห่งเซนทิริก เทพีลิบร้ามีและคีรี่เอมองลงมาอย่างเอาความแต่เกรทน่าซินกราเดียนมองกลับไปด้วยดวงตาไฟนรกก็ทำให้เทพีทั้งสองถอยห่างออกไป “พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
     “ในนามแห่งพระบิดา”คาฑาแสงส่องกาดมาพร้อมกับจีเนรอสที่เดินเข้ามา “ถอยออกไป”จีเนรอสยิงแสงจากคาฑาให้เกรทน่าซินกราเดียนถอยออกไปเหล่าขุนนางต่างแหวกออกอย่างเกรงกลัวกับปีศาจร้ายตนนี้ที่สามารถต่อกรกับดิวาทอร์ได้
     “น้องสาวสุดที่รักของพ่อ ชู้รักกับน้องชายผู้หยาบกร้านก็ตอนรับพี่สาวจากแดนว่างเปล่าได้ดีจังเลยนะ”
     “ถ้าท่านไม่ถอยไปพลังของข้าและอเลทาดอสจะขับไล่ท่านไปยังดินแดนว่างเปล่าตลอดกาล”
     “เจ้ากล้าเอยนามของเจ้าพี่ชายที่เห็นแก่ตัวคนนั้นต่อหน้าฉันเหรอ!”สายลมก่อตัวผลักให้จีเนรอสถอยไปโชคดีที่ดิวาทอร์รับร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน “เจ้าสูญพลังแห่งจีเนรอส”เกรทน่าซินกราเดียนหรีตามองก่อนจะยิ้มออกมา
     นางปีศาจเดินก้าวเข้ามาพร้อมเส้นผมสีม่วงเข้มประกายขนกายาวลากพื้นมาที่ดิวาทอร์ที่ประคองจีเนรอสอยู่มือสีดำที่มีเล็บยาวสัมผัสใบหน้าของดิวาทอร์และสายตาที่มองจีเนรอสที่หายใจหอบถี่อย่างเกรงๆ “อย่าเอยนามมันต่อหน้าฉันอีกจีเนรอส จงรู้ไว้และพลังของเจ้ากับอเลทาดอสไม่สามารถสาปส่งอะไรข้าได้ทั้งนั้นแม้คำสาปของพ่อก็ไม่มีผลต่อข้า” เกรทน่าซินกราเดียนสบัดมือตบใบหน้าของดิวาทอร์เบาๆก่อนจะผายมือออกให้อัญมณีที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศทั้งสี่ชิ้นมารวมตัวกันหมุนรอบอยู่ในรัศมีและวิถีรอบมือของเกรทน่าซินกราเดียน
     “ข้าไม่มีพี่สาวเช่นเจ้า”ดิวาทอร์ตอบไปอย่าหยาบกราว
     “แต่เจ้ามีพี่ชายอย่างอเลทาดอสเหรอ!”เกรทน่าซินกราเดียนถามกลับอย่างโมโห “เจ้านะก็เป็นความผิดพลาดของพ่อที่สร้างเจ้ามา เจ้าถูกเนรเทศให้ลงมาสู่พื่นดินสร้างดินแดนให้อดัมกับอีวา (Adam & Eve)เจ้าคิดหรือว่าเจ้าเป็นต้นแบบของทั้งสองคนนั้น เจ้าไม่ถือว่าเป็นมนุษย์ดิวาทอร์ เจ้าเป็นแค่อุปกรณ์ใช้สอยของพ่อเท่านั้นเจ้าก็รู้ดี เจ้าจัดสรรแผ่นดินและช่วยต่อกรกับสงครามหลายต่อหลายครั้งแต่ที่พ่อทำกับเจ้าละน้องรัก ผู้หญิงคนเดียวพ่อก็ให้เจ้าไม่ได้ เจ้าควรจะเชื่อหลานชายของเจ้านะ เอกาลอสจะพาเจ้าได้พบกับความสุขบนกาเล็กซิลิกกับนางน้องสาวแสนบอบบางคนนี้”
     “ข้าไม่ฟังเจ้าเกรทน่าซินกราเดียน จงอยู่ในที่ของเจ้าสะเถอะ”ดิวาทอร์ตอบออกไปร่างของจีเนรอสก็ถูกดึงไปด้วยพลังของเกรทน่าซินกราเดียน
     “อย่าท้าทายข้าดิวาทอร์”เกรทน่าซินกราเดียนขยับอุ้มมือจีเนรอสก็บิดกายอย่างเจ็บปวด “ข้าฆ่านางได้โดยที่เจ้าไม่ทันขยับดาบขึ้นสนิมนั้นสักนิด อย่าคิดว่าข้ามีพลังน้อยกว่าเจ้าดิวาทอร์”
     “ถึงท่านจะมีพลังมากกว่าพ่อแต่พลังท่านก็มีแต่อำนาจของอา อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ท่านไม่กล้าไปต่อกรกับพ่อบนสวรรค์หรอก”
     “เจ้าจะรู้เองดิวาทอร์ว่าข้าจะไม่มีทางใจอ่อนเหมือนคราวนั้นอีกแล้ว”เกรทน่าซินกราเดียนมองกลับมายังเหล่าขุนนางทั้งหลายของเซนทิริกแล้วก็มองมายังกษัตริย์ที่แหวกออกหลีกทางให้เธอเดินไปที่ประตูของปราสาท “จงฟังนี้คือพันธสัญญาของพระเจ้า หากทัพของเกรทน่าซินกราเดียนไม่เหยียบแผ่นดินเซนทิริกก่อนหน้าแล้งเหล่ากองทัพแห่งเกรทน่าซินจะดิ่งสู่ห้วงนรกแห่งซาตานตลอดกาล”พลังของเธอผลักประตูปราสาทแล้วก็ทะยานออกไปอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
     ดิวาทอร์มองลงมาที่จีเนรอสที่ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ “นางไปแล้ว”เขากระซิบเบาๆ “ข้าขอโทษจีเนรอสข้าควรรอ”
     “ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าเลือกทางนี้เอง”จีเนรอสลูบที่สันใบหน้าตามไรเคราของดิวาทอร์
     “สัญญากับข้าจีเนรอสเมื่อถึงจุดแตกหักเจ้าต้องกลับไปอธิริก”จีเนรอสไม่ตอบมีเพียงการพยักหน้าเล็กน้อย

     ธงสีแดงมีสัญลักษณ์ของสัตว์ปีกผู้ล่ายามคำคืนที่เคียงมากับธงสีนำเงิ้นที่มีตราของนักรบนักล่าอยู่เห็นชัดมาแต่ไกลเหล่าราชทูตจากประเทศทั้งสองแสดงตราของตนต่อเทออสที่ออกรับหน้าให้ดิวาทอร์ซึ่งอยู่ในกองทหารเพื่อคัดเลือกทหารใหม่
     “เราต้องการพบกษัตริย์องค์ปัจจุบันของเซนทิริก”ชายร่างท้วมกล่าวขึ้นก่อนจะมองมาที่ชายที่อยู่ในชุดคลุมทั้งตัว “ว่าแต่ถ้าจะดีท่านน่าจะพาเราไปในท้องพระโรงของช่วงชั้นที่เก้าของอาณาจักรจะเป็นดีมาก”
     “ที่นั้นไม่ใช่ที่ต้อนรับราชทูต เราคงทำเช่นนั้นไม่ได้”
     “ถ้าเช่นนั้น”ชายในเสื้อคลุมพูดออกมาก่อนที่ชายร่างท้วมจะกระโดดใส่เทออส “เราขอแค่ผ้าหนาปกปิดแสงจากหน้าต่างของห้องและท่านโปรดช่วยตามกษัตริย์ของเซนทิริกทูลพระองค์ท่านว่าเป็นเรื่องด่วนจากแคลนเอ็ดมันราชประเทศด้านตะวันออกของเซนทิริก”
     “ราชประเทศของเซนทิริก”เทออสทวนคำอย่างงง ก็ในเมื่อเขาอยู่จนโตมาไม่เห็นมีขุนนางท่านใดกล่าวถึงดินแดนด้านตะวันออกที่ผ่านป่าลึกลับแห่งอีเอเบีย(Eabia, Mystery forest)
     “ตอนรับพวกเขาไปที่ราชฐานชั้นที่เก้า”จีเนรอสมองลงมาจากระเบียงที่ต่อไปยังราชฐานชั้นที่สอง “ดิวาทอร์จะไปพบพวกเขาที่นั้น”
     “องค์ราชินีทิชินเยอร์น่า ข้าพระองค์เรตัส(Retus, lord of Slayer)จากราชประเทศแกริสัน”จีเนรอสเพียงยิ้มให้ก่อนที่เรตัสจะพูดอะไรไปมากกว่านี้เธอก็รีบเดินออกไป
     “ราชินีจีเนรอสจะไปแจ้งเรื่องของพวกท่านกับองค์กษัตริย์ดิวาทอร์เองเจ้าคะ”นางข้าหลวงเดินมารับชุดคลุมที่เหม็นสาบของเรตัสก่อนจะเดินมาที่ชายที่อยู่บนหลังมา
     ม้าอีกตัวพุ่งเข้ามาพร้อมตราธงสีน้ำเงินของหมาป่าทำให้สาวใช่สดุงออกห่างไป “เขาคงจะไม่ให้เสื้อคลุมเจ้าหรอก”ชายบนหลังม้าโยนเสื้อคลุมให้กับนางข้าหลวง
     “รักษามารยาทเจ้าด้วยเจนาส(Jenas, lord of wolfman)”เสียงของชายในชุดคลุมดังออกมาก่อนจะควบม้าตรงไปตามทางขึ้นไปยังราชฐานชั้นที่เก้า
     ทั้งสามยืนมองไปตามผนังของท้องพระโรงหินเก่าแก่ที่สร้างมาเป็นเวลานาน เมื่อประตูเปิดออกทั้งสามก็มองไปยังดิวาทอร์ที่เดินเข้ามา
     “ข้าพระองค์ไม่คิดว่าราชวงษ์ของท่านจะมีอายุยืนนานเช่นนี้ท่านแม่ทัพพาลโตมาส”เสียงของชายในเสื้อคลุมทักท้ายดิวาทอร์ทันที
     “เราต้องขออภัยพาลโตมาสเป็นเพียงความจำเก่าๆของเรา”ดิวาทอร์กล่าวขึ้น “และตอนนี้เราคือดิวาทอร์และก็ไม่มีอายุเป็นหมื่นปีด้วยท่านโคว(Crow, lord of Vampire)”
     “เรามาด้วยเรื่องของประกาศิตย์ของท่านไม่สามารถกดพวกเบอร์นาดได้อีกแล้ว ท่านเอ็ดมัน(Edmond, king of Clane Edmond) ไม่สามารถต่อกรกับเจ้าปีศาจเหล่านั้นที่ออกมาอาละวาดตอนนี้ก็ล้อมแคลนแอนนาสเตเซีย”โควกล่าวอย่างเอื่อยๆ
     “กษัตริย์แพนเทีย(Pantia, king of Wolfman)ก็ถูกลอบทำร้ายอาการไม่สู้ดีตอนนี้อาทาลอท(Atalot, king of Pantia)บุตรของแพนเทียก็เดินทัพต้านอยู่ที่ชายแดนซึ่งท่านก็รู้ดีว่าพวกแวมไพร์ไม่ไว้ใจให้เรานำทัพเข้าใกล้แม้แต่น้อย”เจนาสพูดอย่างโมโหขณะมองมายังโคว
     “ท่านก็ทราบดีว่าผู้ใดเป็นคนที่ทำให้แอนนาสเตเซียหนีออกมาตั้งอาณาจักรเป็นของตัวเอง”โควกล่าวยำไปเจนัสก็ทำท่าจะกระโดดใส่ เงามืดของปราสาททำให้ปีกของโควกางออกมา เขียวเงาวาวของเจนัสก็แยกใส่โดยไม่สนใจว่าตนจะเป็นอย่างไรเมื่อสู้กับแวมไพร์สูงวัยว่าตนนี้
     “ใจเย็นท่านเจนัส”เรตัสห้ามเจนัสเอาไว้ “เราไม่ได้มาเพื่อฆ่ากันให้ท่านดิวาทอร์ชมนะ เวลานี้ท่านก็รู้ดีว่าเราต้องรวมมือกันเอาไว้ในเวลานี้หากเบอร์นาด(Bernads, crazy of Vampire)ออกมาอาละวาดแล้วละก็ดาบของท่านเอ็ดมันและพรของราชินีเอเรียเซียน่า(Ariaziana, queen of Clane Edmond) ก็สงบอสุรร้ายตนนั้นไม่ได้”
     “ก็พวกล่าหัวแวมไพร์กับมนุษย์หมาป่าอ่อนหัดเต็มเมืองของท่านไปหมด”เจนัสแดกดันเรตัสอีกคน
     “เบาๆด้วยท่านเจนัส”เรตัสกล่าวยำ “ท่านเอ็ดมันกล่าวผ่านเป็นกฏให้มนุษย์อยู่ภายใต้การคุมครองของแวมไพร์ในหลายพันปีก่อนและให้เหล่านักล่าแวมไพร์เป็นเครือสายราชวงศ์แกริสันเท่านั้น ท่านเดเวียน(Devian, king of Garrison) สายทายาทของท่านแกริสัน(Garrison, king of Slayer) ก็ประกาศให้เป็นร่างกฏหมายใหญ่ในปัจจุบัน และเหล่าทายาทก็ลืมเลือนไปเหลือเพียงปราสาทเกรนโฮลี่เกรล(Grand Holy Grail)ที่สองแสงทองอร่ามท่าท้ายแสงรุ่งอรุณไปวันๆ”
     ดิวาทอร์ถอนหายใจ “กองทัพส่วนใหญ่ของเซนทิริกได้เดินออกไปที่ประตูหินผาแล้ว และส่วนที่อยู่ก็มีเพียงเพื่อป้องกันเมื่อง”
     “ทางเราต้องพบศึกหนักจากกองทัพเกรทน่าซินกราเดียน ท่านก็ทราบดีว่านางร้ายกาจเท่าใด”จีเนรอสกล่าวขณะยืนอยู่หน้ารูปปั่นของอเลทาดอสที่อยู่หน้าบัญลังของปราสาทชั้นที่เก้า
    “เบอร์นาดเป็นหนึ่งในอสุรที่ได้รับพรของเกรทน่าซินกราเดียน นางคงทำลายประกาศิตย์ของข้า”ดิวาทอร์ขมวดคิวอย่างคุ้มคิดจีเนรอสเดินลงมาลูบที่ไหล่ของดิวาทอร์อย่างเป็นห่วง “พี่สาวตัวร้ายของเรากำลังบีบเราจีเนรอสถ้าเราเอาศึกหน้ากับนางฝั่งตะวันออกของเอ็ดมันก็พินาจ ถ้าเราแบงทัพรับศึกก็มีโอกาสที่จะแพ้ศึกทั้งสองด้านมากขึ้นไปอีก”ดิวาทอร์มองออกไปที่รูปปั่นของอเลทาดอส “ท่านว่าอย่างไรอเลทาดอส ทำอย่างไรดีละ”
     “ดิวาทอร์ต้องมีโอกาสบ้างสิอย่างน้อยเราก็ได้ให้โอกาสแก่ท่านเอ็ดมัน” จีเนรอสมองกลับไปที่เรตัสที่ยืนอยู่ห่างออกไปที่ก้มเคารพอย่างนอบน้อมพร้อมคนอื่นๆที่ก้มลง “ในตอนนี้ดิวาทอร์มียศเหนือกล่าวเรามาก และเราก็ไม่ใช่ทิชินเยอร์น่าด้วย”จีเนรอสกล่าวเรียบๆก่อนจะมองไปยังโควที่ก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ท่านคงเป็นสายเลือดของเอ็ดมัน แต่ไม่ได้มาจากเอเรียเซียน่า”
     “ครับท่านหญิง ข้าพระองค์เป็นบุตรที่เกิดในช่วงสงครามจอกเงิน”
     “จีเนรอสเจ้าคิดว่าข้าควนจะเดินทางไปช่วยเหลือด้านนั้นก่อนดีไหม”ดิวาทอร์ก้มลงถามเบาๆจีเนรอสก็ได้เพียงมองกลับมาอย่างเอาเรื่อง “ข้าไม่ไปหรอกคนดี”เขากล่าวเสริมเมื่อรู้ว่าการพูดเล่นๆเมื่อครู่อาจมีเรื่องเป็นแน่ “เทออส”ดิวาทอร์เรียกเมื่อเห็นเทออสเดินเข้ามาในท้องพระโรง
      เทออสเดินมาอย่างรวดเร็ว เมื่อมองเห็นเขียวของเจนัสก็ชงักถอยมาเล็กน้อย “ท่านดิวาทอร์ พวกเขาไม่ควรเข้ามาลึกขนาดนี้”
     “พวกเขามีสิทธ์ เพราะพวกเขาเป็นผู้สร้างปราสาทในช่วงชั้นนี้”ดิวาทอร์มองไปทางด้านบัญลังของปราสาท คมดาบเงินของอาณาจักรก็พุ่งตรงมาหยุดที่เบื่องหน้าของเขา “เทออสเราจะแต่งตั้งให้เจ้าเดินทางไปเป็นตัวแทนเรา ในนามแห่งเทพดิวาทอร์เราของให้พลังของเราสถิตไปกับเจ้า”แสงสว่างจ้าแสงจากมือของดิวาทอร์ส่งให้แสงนั้นไปยังคมดาบเงิน(Silveremperal sword) แล้วดิวาทอร์ก็ส่งดาบไปให้กับเทออส
     “จงเดินทางไปกับท่านทูตทั้งสามแห่ง เอ็ดมัน แกรริสันและแพนเทีย และช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรู้ของเจ้าและความกล้าของเจ้า”จีเนรอสกล่าวเสริมแล้วจึงเดินออกไป
     ดิวาทอร์มองจนเธอเดินออกผ่านประตูสู่กำแพงปราสาทชั้นต่อไปก็หันมามองราชทูตจากทั้งสามอาณาจักร “เทออสจะเดินทางไปแทนเราให้ท่านเอ็ดมันได้ทราบไว้ เขามีอำนาจทางราชแผ่นดินเทียบเท่าเราในอาณาจักรนั้น และพลังของเราจะสถิตไปกับเขา”เหล่าราชทูตก้มเคารพลง “เจ้าควรไปลาราซิโอร่า และบอกให้นางมาอาศัยอยู่ที่ราชฐานชั้นที่แปดเราจะดูแลนางให้ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ เทออสต้านศึกเอาไว้เมื่อเราไล่พวกเกรทน่าซินไปได้และเซนนทิริกปลอดภัยแล้วข้าจะยกทัพไปเอง”เทออสเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินออกไป ดิวาทอร์อดถอนหายใจไม่ได้ที่ภาระหนักอกออกไปได้อีกลูก
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #1 on: July 12, 2007, 04:03:30 PM »

     เรจิน่าเดินตามเอทาลัสมาได้ไกลพอควรเธอมองสายน้ำที่นิ่งไม่ไหวติ่งและด้วยความใสทำให้เห็นปลาต่างถิ่นที่นี้ เธอฉุกคิดได้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องเดินตามออร์คที่อยู่เบื่องหน้าของเธอแม้แต่น้อย
     “ถ้าเจ้าวิ่งออกไปเจ้าจะหลงที่นี้มีอำนาจของเทพและปีศาจอบอวนอยู่”
     “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นละ”
     “เรื่องมันนานมาแล้ว”เอทาลัสมองกลับมาเห็นเรจิน่าตีหน้าขึงใส่ก็หยุดหันมามอง “ก็ได้ ก็ได้ เจ้านั้งพักก่อน”
     “ไม่ใช่เรื่องนั้นทำไม่ที่นี้ถึงมีพลังของเทพและมารอบอวนอยู่ละ ท่านพูดเช่นนั้นนะ”
     “เรื่องนั้นตั้งแต่เจ้าหญิงทิชินเยอร์กับแม่ทัพพาลโตมาสหลังจากที่ทั้งสองตายไปตอนนั้นเป็นช่วงหลังจากที่ทั้งสองได้รับการอภัยโทษจากพระบิดา ลูกชายและลูกสาวของทั้งสองนามว่าเซียฟรอน่าและอารีน่าได้รักกัน”
     “ก็ไม่เห็นผิดตรงไหนเล็ยพี่น้องก็ต้องรักกัน”เรจิน่าเห็นดวงตาของเอทาลัสที่ฉายแววขำขันมาให้เธอ
     “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีนะสิ ทั้งสองรักกันแบบชู้สาว เทพต่างกล่าวกันว่าเป็นเรื่องของการซ้ำรอยเดินก็เทพดิวาทอร์เป็นพี่ชายของเทพจีเนรอสอยู่ต้องล้านห้าแสนปี ส่วนเซียฟรอน่าเป็นพี่ชายของอารีน่าอยู่สิบห้าปีทั้งสองอยู่ห่างกันและก็ได้พบและรักกัน”เอทาลัสนั้งลงพิงที่หลัง “ทั้งสองไม่สามารถแต่งงานกันได้แน่ละว่าไม่สามารถอยู่ในสายตาของพระบิดาได้เป็นแน่ สงครามพลิกฟ้า(Get rid of Sin war) ทั้งสองได้สละวิญาณของตนเป็นขอบเขตปิดสวรรค์และนรกทำให้เทพและปีศาจออกมาอาลวาดแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว”
     “สงครามนั้นท่านถูกส่งไปนรกด้วยละสิ”
     “แน่สิ ข้าเป็นกองหน้าพิทักษ์สวรรค์ชั้นที่หก พวกนั้นหาว่าข้าเป็นตัวการให้ทัพสวรรค์ลงมาทำสงครามไร้เหตุผลนั้นข้าก็เลยถูกเนรเทศลงมา ตั้งแต่นั้นที่แห่งนี้ซึ่งเป็นธารโลหิตของเซียฟรอน่ากับอารีน่าก็มีพลังของเทพและปีศาจดุลอำนาจกันอยู่”
     “ท่านกำลังหลอกให้ข้ากลัวหรือเอทาลัส”เรจิน่ามองมาตาเขียวใส่เอทาลัสก่อนจะทุบที่แขนของเอทาลัสหลายต่อหลายครั้ง “ข้าไม่กลัวหรอกเอทาลัสถ้าท่านมีเรื่องแค่นี้”
     “ใครบอกละเรจิน่า ที่แห่งนี้เป็นแดนสนทยาถ้าเจ้าหลงจากข้าไปหรือข้าหลงจากเจ้าไปก็ไม่มีทางเห็นกันอีกทั้งชาติแน่ๆ ข้าต้องใช่เลือดของเจ้าและเจ้าต้องการเลือดของข้าเพื่อเปิดประตูออกไปทางเทือกเขาแห่งทอร์แล้วเจ้าจะเดินทางกลับฟรีเลเซียหรือจะไปทีไหนที่ปลอดภัยก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้วกัน”
     “เจ้ากล้าไปส่งข้าในฟรีเลเซียหรือ ที่นั้นเกลียดออร์คอย่างท่านเสียยิ่งกว่าอะไรอย่าลืมว่าท่านเป็นคนบุกแผ่นดินเรา และท่านก็ทำลายวิหารฟรานเซสก้ามาครั้งหนึ่ง”
     “ถ้าข้าต้องมีดาบเสียบหลังตอนออกจากปราสาทของเจ้าข้าก็ยอมในเมื่อเจ้าปลอดภัยอยู่ในปราสาทบ้านั้นหรือมีผู้ที่คุมกันเจ้าได้”
     “แน่นอนละว่าท่านโดนไม่น้อยเลยละ”เรจิน่าพูดพร้อมหน้าแดงขึ้นใบหู เธอโน้มกิ่งไม้ที่มีแอปเปิ้ลป่าลงมาหวังว่าจะมีอะไรทำระงับความอาย
     “ห้ามกิน ดูนะ”เอทาลสคว้าผลไม้มาก่อนพร้อมกำป้ายลงบนแขนของเขาควันก็โชยขึ้นพร้อมกับเศษแอปเปิ้ลที่กลายเป็นเฒ่าถ่าน “ทุกอยากที่นี้คือเลือดเนื้อของเซียฟรอน่าและอารีน่าห้ามเตะต้องเป็นอันขาด พลังของเทพจะทำร้ายเจ้า ที่นี้เป็นแผ่นดินที่ถูกสาป เจ้าหิวละสิ”
     “แน่ละข้ารู้ว่าท่านคงไม่รังเกียจนักหากจะกินข้าทั้งตัวแต่ให้รู้ให้เถอะว่าข้าก็ไม่สามารถทำแบบท่านได้”เรจิน่ามองใบหน้าของเอทาลัสที่ยิ้มลงมา
     “เอานี้”ขนมปังแข็งๆเหม็นสาปกายของเอทาลัสโยนลงมาใส่มือเรจิน่า “ชุ่มเหงือของข้าไปหน่อยข้าไม่ชอบอาหารนั้นหรอกแต่เก็บไว้นานแล้วรสชาติคงจะไม่แย่นัก”
     เรจิน่าฉีกขนมปังดำออกมาชิ้มรสชาติปนเหงื่อของเอทาลัสก็รู้สึกแปล่งๆแต่ความหิวทำให้เธอกินจนหมดก่อนจะรับน้ำที่เอทาลัสยื่นมาให้
     “ข้านึกว่าหมดแล้ว”เอทาลัสเอียงคอเล็กน้อยพร้อมมองเรจิน่าที่ดื่มไปหนึ่งอึกก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างโมโห “เอทาลัสนี้น้ำอะไร”
     “น้ำฉี่”เอทาลัสพูดจบเรจิน่าก็ปล่อยกระติกน้ำลงเอทาลัสใช่ความเร็วคว้าเอาไว้ได้ทันพอดี “ข้ายังหวังว่าเจ้ายังไม่ปลดทุกอยู่เลย เจ้ายังไม่ทำใช่ไหม”
     “ท่านมัน....”เรจิน่าหันหนีพร้อมทำท่าทางกระอักกระอวงที่ดื่มน้ำปัสสาวะ
    “เจ้าหญิงท่านควรรู้เอาไว้ว่าถ้าเจ้าไม่อยากตายเพราะขาดน้ำเก็บเอาไว้สะและมันเป็นเพียงแหล่งน้ำเดียวของเราในการเดินทางครั้งนี้”เอทาลัสจิบช้าๆก่อนจะปิดฝาขวดแล้วเดินมานั้งข้างๆเรจิน่า
     “มีอะรที่ข้าควรรู้อีกบ้างไหมว่าต้องเจออะไรอีก”
     “ไม่มีเดินทางอีกคืนเราก็จะถึงประตูออกไปแล้ว”เอทาลัสอุ้มเรจิน่าขึ้นมานั้งบนหน้าขาของเขา “เจ้าควรจะนอนพัก เอนพิงกายข้าเจ้าจะได้ไม่เจ็บตัวเหมือนนอนบนพื้นแข็งๆ”เรจิน่าเหนือยเกินกว่าจะเถียงใดๆกับเอทาลัสก็ได้แต่พิงกายกับแผงอกที่ปกคลุมด้วนปุยขนเหมือนสัตวป่าที่นุ่มและเริ่มมีกลิ่นสาบจางๆ
     “ท่านพาข้ามาเช่นนี้ท่านหวังให้ข้าเป็นภรรยาท่านใช่ไหม”
     “เจ้าก็รู้ตั้งแต่ต้นแล้ว”เอทาลัสกล่าวเบาๆขณะโอบแข็นกอดเอวของเรจิน่าเอาไว้แล้วขยับตัวให้ติดกับแผ่นหินข้างๆเพื่อให้สบายตัว
     “เคยมีเรื่องแบบนี้ ข้าหมายถึงมนุษย์กับออร์ค มีลูกด้วยกันด้วยหรือ”
     “ไม่เคยมีแต่ออร์คกับเอลฟ์ที่ได้พวกกอบลิ้นเป็นลูกหลาน”เอทาลัสหลับตาลง แต่เรจิน่ากลับลุกขึ้นจับลูบที่เขียวของเขาเล่น
     “ท่านตัวใหญ่น่ากลัวแถมมีเขียวใหญ่ดูอัปลักษณ์ ข้าว่าเด็กคงกลัวท่านน่าดู”
     “ก็มีส่วน”เอทาลัสมองใบหน้าของเรจิน่าที่คำตัวอยู่บนกายของเขา “แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหมละ”เอทาลัสโน้มกายของเรจิน่าลงมาเพื่อให้จูบริมฝีปากของเธออย่างดุดันและหิวกระหาย
    เอทาลัสตื่นมายามเช้าก็ดึงผ้าคลุมที่อยู่ใต้เสื้อเกราะเหล็กที่ถอดทับไว้เพื่อมาห้มให้กับเรจิน่าที่นอนขดกายหลบความหนาวยามเช้า เขารู้สึกดีวันนี้ก่อนจะลุกขึ้นแตกตัวเงียบๆและมองดูขนมปักหน้าตาน่าเกลียดในถุงผ้าสามก้อน เขาอิ้มมากพอแล้วเมื่อคืนนี้ก่อนจะเดินมาสะกิดเรจิน่าให้ตื่นขึ้น
     “หนาวจัง”เรจิน่าบ่นเบาๆ
     “ซุกมือมาที่อกของข้าสิคนดี”เอทาลัสบอกพลางดึงกายของเรจิน่าให้ลุกขึ้นมาแนบกายเขา
     “เกราะของท่านเย็นราวนำแข็ง”เรจิน่ากระซิบเบาๆ สายตามองมาที่ขนมปังแบบเมื่อวานนี้ “ท่านยังไม่ได้กินอะไรเลย”
     “ข้าอดอาหารได้เป็นเดือนๆเพื่อไปทำส่งคราม”เอทาลัสทุบที่อกอวดอำนาจของตน
     “แล้วท่านก็กินทุกอย่างได้ที่อยู่ในสนามรบด้วยนะสิ”เรจิน่ายังรู้สึกว่ารสของเอทาลัสติดอยู่ที่ปากของเธอ
     “เจ้าดูแปลกจากคนอื่น”เอทาลัสมองลงมาเมื่อเรจิน่าเก็บขนมปังที่เหลือแล้วฉีกแบบให้เขาจากที่เธอเก็บไว้
     “ข้าว่าก็ปรกติดี”เรจิน่าได้แต่เพียงมองดูเอทาลัสที่ถือขนมปังนั้นไว้ “ทานสิมันไม่ฆ่าท่านหรอกน่า”
     ขนมปังหายเข้าไปในปากของเอทาลัสเพียงครั้งเดียวแล้วเธอก็ค่อยๆทานตามมารยาทที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก “เราจะเดินทางในตอนสาย”เอทาลัสเดินมาเบื่องหน้าพร้อมจับที่ท้องของเธอ
      “ท่านจะทำอะไร”เรจิน่าถามเบาๆเมื่อเอทาลัสทำเสียงให้เบาๆในเธอเงียบ
     “เดราย(Derai) ปีศาจร้ายในป่าแห่งนี้เราต้องรีบเดินทาง ข้าไม่คิดว่ามันจะชอบกลิ้นของออร์คนัก แต่มันคงตามเจ้ามา”เอทาลัสชีไปยังสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่คลานอยู่ห่างออกไป มันมองตรงมาที่เรจิน่าอย่างไม่คาดสายตา
     “มันต้องการอะไร”
     “เนื้อของเจ้านะสิ แต่ไม่ต้องกลัวมันไม่กล้าสู้กับข้าหรอก”เอทาลัสรอจนเรจิน่าจัดการทุกอย่างเสร็จสัพทั้งสองก็เดินทางต่อไป สายตาของเรจิน่ามองเจ้าเดเรียที่เดินตามมาอย่างห่างๆ
     “เอทาลัส”เรจิน่าทำเสียงเบาๆลอดไรฟันใส่เอทาลัสจนเขาหนลงมา “เจ้าตัวนั้นยังเดินตามเรามาอยู่เลย”
     “ข้ารู้แล้วเดินต่อไปเราจะต้องไปให้ถึงประตูให้เร็วที่สุด”
     “ท่านพูดเหมือนเรากำลังโดนล้อมอย่างนั้น”เรจิน่าพูดหวังว่าจะเป็นอารมณ์ขันแต่เอทาลัสเงียบไปเธอก็รีบหันมามองใบหน้าที่ขึงขังของเอทาลัส “อย่าบอกข้าว่าเราโดนล้อมจริงๆนะ”
     “แน่นอนราถูกล้อมอยู่ พวกมันหิวโหยมานานแล้วและก็กำลังจะเล่นสกปรกกับเรา”เอทาลัสผลักเรจิน่าออกจาวิถีเมื่อเดเรียตัวแรกกระโดดเข้ามาหวังคาบที่คอของเรจิน่า ดาบของเอทาลัสประสานคมในความว่างเปล่าแล้วตวัดฆ่าตัวแรก เดเรียตัวที่เหลือก็กระโดดเข้ากินตัวที่ตายก่อนอีกตัวจะกระโดดเข้ากัดที่ไหล่ของเอทาลัส
     คมดาบตัวหัวอีกตัวที่กัดไหล่ของเขาจนเลือดไหลโชกแต่อีกตัวก็กระโดดเข้ามา เอทาลัสเตะเข้าให้จนกระเด้นออกไปไกลแต่ก็ถูกกัดที่แขนจนได้
     เรจิน่ายังช็อคอยู่ที่เจ้าตัวประหลาดขนาดใหญ่กว่าเธอนั้นเข้าสู้กับเอทาลัส และดูเหมือนจะชนะเขาเสียด้วย เรจิน่าชักดาบออกมาตวัดตัดหางของเดเรียตัวที่กัดเขนเอทาลัส เมื่อปากของมันอ้าออกกว้างเอทาลัสก็ฉีกปากของมันจนขาดหวิ่น
     “วิ่ง เดี๋ยวนี้”เอทาลัสดึงมือเรจิน่าวิ่งออกไปทางที่เขารู้ว่าจะพบกบประตูแห่งพันธสัญญา(Promised gate) เมื่อทั้งสองมาที่หน้าวิหารหินเดเรียหลายตัวก็รออยู่แล้ว
     ตัวจ่าฝูงส่งเสียงเรียกพวกพ้องมาที่แห่งนี้ เอทาลัสก็กันเรจิน่าไปไว้ด้านหลังพร้อมดึงดาบออกมาจากความว่างเปล่าเพื่อเตรียมรบ “เมื่อข้าพาเจ้าเข้าใกล้ประตูเจ้าต้องวิ่งไปที่ประตูแห่งพันธสัญญาก่อนที่เลือดของข้าจะแห้งติดดาบ” เอทาลัสปาดมีดที่แขนข้างหนึ่งของตนจนเลือดไหลออกมา
     เขาพุ่งตัวขึ้นพาเรจิน่าขึ้นสูง เจ้าเดเรียหลายตัวก็ตรงตามจ่าฝูงมา แต่เอทาลัสก็เหยียบมันลงกระแทกพื้นก่อนจะส่งตัวมาที่หน้าประตูวิหารได้ เขาปาดเลือดสีเขียวของตนไปที่คมดาบของเรจิน่าพร้อมผลักให้เธอวิ่งไป
     “แล้วท่านละ”เรจิน่าถามออกไป
     “ถ้าข้ามีโอกาศได้รักเจ้าจริงข้าจะปลอดภัย ถ้าพระบิดายังเห็นข้าอยู่นะ”เอทาลัสกล่าวออกมาก่อนจะตวัดดาบตรงเข้าหาฝูงเดเรียที่ล้อมวิหารอยู่ด้านล่าง เรจิน่าวิ่งลับหายไปในความมืดของวิหารโดยไม่แลหลังอีกเลย
     เอทาลัสรวมพลังเข้ามาที่คมดาบของตนแสงจากสวรรค์ก็ส่งลงมาด้วยพลังของเขาเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้ในครั้งนี้จนพลังของเทพและนรกระเบิดไปทั่วบริเวณ

     เอทาลัสเดินมาตามทางมาที่ประตูแห่งพันธสัญญาก็พบว่าเขามาไม่ทันแล้วประตูได้ปิดไปแล้ว เขาทรุดลงที่หินข้างๆประคองบาดแผลที่สาหัสเอาการ “และข้าก็ต้องตายโดยไม่ได้รักเจ้าเรจิน่า”เอทาลัสหรี่ตาลงช้าๆก่อนจะได้ยินเสียงขรุกขักในใจเขาก็คิดว่าไม่ว่ามันจะเป็นอะไรเขาก็ยอมตายแล้วในตอนนี้ “ข้าแด่พระบิดาพระองค์ไม่ทรงให้โอกาสแด่ข้าพระองค์ให้มีใครในหัวใจข้าสักครั้งเลยหรือ”
     “เอทาลัส”เรจิน่ากระซิบลงพร้อมประคองศรีษะของเขาขึ้นมองใบหน้าที่เปอะเปื้อนของเขา “พระองค์ทรงให้ท่านมาเพื่อข้าและข้ามาเพื่อท่านด้วย อย่าเป็นอะไรนะ”เรจิน่ากอดร่างของเอทาลัสไว้แน่นพร้อมรำไห้ออกมา “โปรด โปรดอยู่เพื่อข้า ข้ารักท่าน ข้ารักท่านจริงๆนะ”เรจิน่าฉีกผ้าที่รอบเอวของเธอเอามาปิดแผลของเอทาลัส
     “เรจิน่า”เอทาลัสพยายามลุกขึ้นพร้อมประคองร่างของงเรจิน่าที่สั่นกลัวขึ้นมาด้วย “ข้าไม่มีวันตาย ข้าไม่มีทางตายแน่ๆ ข้าต้องอยู่ ข้าจะอยู่เพื่อเจ้าทีรักของข้า”เอทาลัสพาเธอตรงไปที่ประตูแห่งพันธสัญญาพร้อมป้ายเลือดของตนไปที่เส้าแห่งโลหิต ก่อนจะมองเรจิน่าที่กรีดนิ้วเล็กน้อยแล้วแตะเลือดไปทีอีกเส้าประตูก็เปิดออกพร้อมแสงสว่างจากตะวันออกที่กระทบภูเขาแห่งเทพทอร์
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.081 seconds with 20 queries.