Summoner Master Forum
October 03, 2024, 03:29:28 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: [ประกวด] กองทัพแห่งแอนดิซองปะทะมังกรปริศนา  (Read 3141 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
!~[D]~@/\/Ge|2ouS~X~! #[Evolution]#
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 563


Email
« on: July 08, 2007, 07:33:09 PM »

Summoner Master Side Story
กองทัพแอนดิซองปะทะมังกรใต้สมุทร

 ณ แอนดิซอง เมืองท่าเหนือผืนน้ำสีคราม ในยามรุ่งเช้าดวงตะวันล่องลอยเหนือสมุทร ผืนทะเลสีน้ำเงินครามสะท้อนแสงระยิบระยับราวกับเพชรพลอยล้ำค่าใต้ทะเล วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เจ้าหญิงอลาน่าทรงเสด็จออกเยี่ยมเยียนผู้อพยพจากแผ่นดินใหญ่โดยไม่กลับมายังพระราชวังเป็นเวลานาน ราชองครักษ์อังเดรที่ซ่อนใบหน้าอันเย็นชาไว้ภายใต้หน้ากากเหล็ก โดยเฉพาะสายตาที่เย็นยะเยือกของเขาที่จ้องมองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่รอบระเบียงทางเดินอย่างไม่สบอารมณ์ เสียงเกราะเหล็กกระทบกันของราชองครักษ์ดังกังวานทุกครั้งที่เขาย่างก้าว ชายผ้าคลุมลากไปกับพื้นตลอดจนเมื่อพ้นสุดทางเดินสายลมแห่งมหาสมุทรก็พัดให้ผ้าคลุมโบกสะบัดดั่งมีชีวิต

 อังเดรยืนสง่าอยู่เหนือระเบียงทางเดินหินอ่อนที่ยื่นออกมาจากตัวพระราชวังไปทางทิศของค่ายผู้อพยพ ชายฉกรรจ์กวาดตามองผ่านหน้ากากเหล็กไปรอบๆด้าน ไม่ว่าจะแลไปทางไหนในค่ายอพยพ เขาก็มักรู้สึกรำคาญใจจนอยู่ไม่สุข ไม่ทันที่สายลมจะอ่อนแรงอังเดรก็เร่งฝีเท้าก้าวลงบันไดที่เชื่อมไปยังพื้นด้านล่างข้างระเบียงทางเดินที่ยื่นออกมา เขาไม่รู้ว่าเจ้าหญิงอลาน่าทรงอยู่ส่วนใดของค่ายผู้อพยพแน่ แต่ด้วยความรู้สึกและสัญชาติญาณ เท้าทั้งสองข้างที่หุ้มด้วยรองเท้าเหล็กสีเงินก็นำพาร่างเขาไปพบเจอเจ้าหญิงอลาน่าในที่สุด พระองค์ทรงประทานอาหารและยารักษาโรคร่วมกับเหล่าซิสเตอร์ให้กับผู้อพยพที่อิดโรย

 อังเดรสาวเท้าเข้ามาหาเจ้าหญิงอลาน่าอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันที่กล่องอาหารจะถึงมือผู้อพยพวัยชรา ราชองครักษ์ก็คุกเข่าในฉับพลัน อังเดรก้มหน้านิ่งและทูลต่อเจ้าหญิงอย่างเป็นห่วงว่า “ฝ่าบาททรงเสด็จออกจากวังนานเกินไปแล้ว กระหม่อมเกรงว่าพระองค์จะประชวน กระหม่อมจึงมารับฝ่าบาทกลับพระราชวังพะยะค่ะ” อลาน่าได้ยินดังนั้นก็หันมามองตามต้นกำเนิดเสียงที่คุ้นหูทันที พลางส่งยิ้มให้กับอังเดรอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะส่งกล่องอาหารให้กับชายชราที่ก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงข้ามอังเดร

 “อังเดรจ้ะ ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก และที่สำคัญ เหล่าผู้อพยพนี้ลำบากมากทั้งโรคภัยจากกลางทะเล และอาการบาดเจ็บจากการเดินทางมายังเมืองท่าแอนดิซองแห่งนี้ จะให้ฉันเอาแต่นอนสบายกินสบายอยู่ในพระราชวังอย่างเดียวไม่ได้หรอกจ้ะ การที่เราอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นให้หายทุกข์ ก็เป็นหน้าที่หนึ่งของฉันที่พระเจ้าสั่งสอนไว้...”

 “กระหม่อมไม่ได้หมายถึงเช่นนั้นพะยะค่ะฝ่าบาท... แต่ว่า...” อังเดรไม่ทันพูดจบ เจ้าหญิงอลาน่าก็กระแอมปนหัวเราะอย่างสำรวม

 “เอาเป็นว่า อังเดรไม่ต้องเป็นห่วงฉันก็แล้วกันนะจ้ะ เมื่อไรที่ถึงเวลาฉันจะกลับไปพระราชวังเอง แต่ตอนนี้ฉันขอช่วยเหลือเหล่าผู้อพยพก่อนนะจ้ะ” เจ้าหญิงกล่าวอย่างนุ่มนวลพลางพยุงอังเดรให้ลุกขึ้นยืนหลักจากที่เห็นเขาคุกเข่าก้มหน้าอยู่นาน เมื่อรู้สึกตัวอังเดรก็รีบก้าวถอยไปในทันที

 “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลาพะยะค่ะ... พระองค์ทรงถนอมพระวรกายด้วย...” อังเดรเหลือบไปมองที่ซิสเตอร์โรซาน่าด้วยสายตาที่เย็นเฉียบจับใจก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วนๆว่า “ดูแลองค์หญิงด้วย” แล้วจึงเดินจากไป

 ราชองครักษ์อังเดรกลับมาถึงจวนที่พักของตนก่อนตะวันสาดแสงเหนือกลางผืนนภา ไม่ทันที่เขาจะก้าวข้ามธรณีประตูนายทหารคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเหงื่อแตกพลั่กตรงมาหาอังเดร เขาไถลตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังผ้าคลุมของราชองครักษ์พอดิบพอดีก่อนที่จะกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงหวั่นวิตกและอาการตกใจสุดขีดราวกับว่าเพิ่งไปพานพบสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตมาก็ไม่ปาน

 “รายงานท่านราชองครักษ์! ทางทะเลที่ผิวน้ำทิศตะวันตกเฉียงเหนือห่างจากเมืองท่าแอนดิซองไม่ไกลนักเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ จุดศูนย์กลางของน้ำวนจมลงไปแทบถึงก้นทะเลเลยขอรับ!” เจ้าทหารนายนั้นกล่าวรายงานเสียงสั่นอย่าตระหนก ดวงตาของนายทหารเบิกโพลงจนเห็นเส้นเลือดสีแดงแตกเป็นสายๆ

 “ว่าไงนะ” ราชองครักษ์เมื่อได้ยินข่าวไม่คาดฝันก็หันมาที่นายทหารทันควัน “จอร์มันกาน์ดหรือ?”

 “ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้นแต่พอข้าไปทูลถามท่านวิโอเรีย แต่กลับได้คำตอบมาว่า ไม่ได้ปลดผนึกจอร์มันกาน์ดเลยขอรับ!” ชายทหารกล่าวตอบโดยแทบไม่หายใจ เมื่อพูดจบเขาก็รีบสูดลมหายใจเข้าไปในปอดเหมือนกลัวขาดอากาศตายเสียทีเดียว

 “เป็นไปได้อย่างไร!! มีสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดน้ำวนยักษ์ได้นอกจากจอร์มันกาน์ดอีกหรือ!! เหตุเกิดเมื่อตอนไหน!” อังเดรมีท่าทีร้อนรนคุกรุ่นสังเกตุได้จากแววตาที่ฉายออกมาผ่านช่องหน้ากากเหล็กแต่ยังสามารถปรับปฏิกริยาให้คงสง่าอยู่ นายทหารกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ก่อนที่จะพูดตอบ “เมื่อวัน Ventus ที่ผ่านมาขอรับ”

 “เหตุเกิดเมื่อ 2 วันที่แล้วหรือ!!” อังเดรกำหมัดแน่น น้ำเสียงของเขาเย็นชาจนแช่หัวใจของนายทหารจนแข็งเป็นน้ำแข็ง

 “ม... เมื่อวันเกิดเหตุ เรือสำรวจถูกจู่โจมจากอะไรบางอย่างเบื้องใต้ทะเล โชคดีที่กัปตันเรือและลูกเรือส่วนหนึ่งสละเรือใช้เรือเล็กหนีออกมาได้ และยังต้องพยายามฝ่ารัศมีของวงน้ำวนออกมาให้ได้ทำให้การส่งข่าวล่าช้าขอรับ” นายทหารเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พานพบเจอเมื่อไม่กี่วันขนตามร่างกายก็ลุกโชน ราชองครักษ์ยืนครุ่นคิดอยู่นานพอสมควรก่อนที่จะตัดสินใจยื่นคำร้องประชุมสามสภาครั้งใหญ่ แต่ยอดขุนพลกำชับกับนายทหารไว้ว่าห้ามข่าวนี้รู้ถึงหูเจ้าหญิงอลาน่าเป็นอันเด็ดขาด

 ทางด้านเจ้าหญิงอลาน่า พระองค์ทรงอ่อนล้ามากขึ้นเมื่อมีผู้อพยพจำนวนมากมาขอความช่วยเหลือให้การรักษา เหล่าผู้บาดเจ็บจากแดนไกลโหมเข้ามาราวกับลูกคลื่นมรสุมขนาดใหญ่จนเหล่าซิสเตอร์ทั้งหลายรับมือแทบไม่อยู่ เจ้าหญิงอลาน่าและซิสเตอร์โรซาน่าวิ่งวุ่นอยู่ในบริเวณค่ายผู้อพยพจนแทบลมจับ แต่ระหว่างที่ทรงนั่งพักอยู่ในกระโจมกับเหล่าซิสเตอร์นั้นเอง พระองค์ก็ทรงได้ยินชาวป่าฟูดินันพูดคุยกันอย่างแตกตื่น ซิสเตอร์โรซาน่าเองก็พยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่ชาวป่าฟูดินันคุยกันโดยไม่ให้ตกไปเสียสักประโยคเดียว

 “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามหาสมุทรแห่งนี้มีปรากฏการณ์ไม่คาดฝันแบบนั้นอยู่ด้วย ข้าคิดว่าหลบภัยสงครามจากแผ่นดินทางฟากโน้นมาแล้ว ยังต้องมาเจอกับเหตุการณ์นี้อีก ตัวข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้วเชียว” ชายร่างกายล่ำสันกล่าวพลางทำท่าบรรยายประกอบแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เขาพบเจอมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นมันน่ากลัวขนาดไหน ชาวป่าอีกคนหนึ่งก็พยักหน้ารับรู้และส่ายหน้าอย่างเสียดายกับทรัพย์สินที่สูญไปกับน้ำวนยักษ์นั้น

 “เกิดอะไรขึ้นเหรอจ้ะ พวกท่านทั้งสองถึงได้สีหน้าไม่ดีขนาดนี้ พวกท่านไปเจออะไรมาในท้องทะเลหรือ?” เจ้าหญิงอลาน่าเดินเข้ามาหาคนทั้งสองและตรัสถามอย่างเป็นมิตร ชาวป่าทั้งสองหันมามองเจ้าหญิงพร้อมกัน เมื่อเห็นรูปลักษณ์และท่าทางของพระองค์ก็รู้ทันทีว่าพระองค์คือเจ้าหญิงอลาน่านั่นเอง แต่ด้วยความเคยชินของคนป่าที่อยู่รวมกันโดยไม่แบ่งชนชั้นจึงไม่ได้แสดงท่าทางและปฏิกริยาเท่าไรนัก

 “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าที่มหาสมุทรตรงโน้นมีน้ำวนยักษ์ที่ดักรอคร่าชีวิตพวกเราอยู่น่ะสิครับ” ชาวป่าที่นั่งอยู่ข้างๆ หนุ่มชาวฟูดินันชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้าหญิงอลาน่าทอดพระเนตรตามไปข้างหน้า พระองค์ทรงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เหนือมหาสมุทรเบื้องหน้ามีเมฆดำลอยต่ำและสายฟ้าฟาดอยู่เป็นช่วงๆ คลื่นทะเลซัดสาดแรงกล้าจนเรือเล็กบางลำถูกลูกคลื่นกลืนกินเข้าไปใต้ทะเล

 “ซิสเตอร์คะ... ท่านคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเช่นไรบ้าง” เจ้าหญิงอลาน่าหันไปถามซิสเตอร์โรซาน่าหลังจากคิดคาดการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสร็จสิ้น ซิสเตอร์โรซาน่าได้แต่ส่ายหน้าไม่รับรู้ “พระองค์อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีที่สุดนะเพคะ ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ฟากโน้นคืออะไร แต่หม่อมฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวเป็นดีที่สุด อีกไม่นานท่านราชองครักษ์ต้องจัดการเรื่องนี้ให้แน่เพคะ”

 “ไม่ได้นะคะซิสเตอร์ ถ้าเกิดส่งทหารไปที่นั่นแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา เหล่าทหารที่ไม่รู้เรื่องราวจะต้องเสียชีวิตกันหมดแน่ ฉันไม่มีทางให้เรื่องเป็นเช่นนั้นแน่ ซิสเตอร์อยู่ที่นี่ช่วยดูแลผู้อพยพแทนฉันก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปที่สระหลวงในโบสถ์ประจำตำหนักชั้นใน” กล่าวจบ เจ้าหญิงอลาน่าไม่ทันให้ซิสเตอร์ โรซาน่าได้ทูลถาม พระองค์ก็เร่งสาวเท้าไปยังโบสถ์ประจำตำหนักชั้นในด้วยอาการร้อนรนที่สุดเกรงว่าจะเกิดโศกนาฏกรรม การสูญเสียชีวิตภายในทะเล หากมีผู้เสียชีวิตหนึ่งชีวิตกับเหตุการณ์นี้พระองค์คงใจไม่สงบเป็นแน่

 เจ้าหญิงอลาน่าเดินตรงเข้ามาในโบสถ์อย่างรีบร้อนแต่สำรวมจนมาถึงสระน้ำหลวง เจ้าหญิงอลาน่าทรงใช้แก้วน้ำทองคำที่อยู่ในมือตักน้ำในสระใส่แก้วและใช้มือทั้งสองประคองมันไว้อย่างเบามือ พระองค์ทรงค่อยๆหลับดวงเนตรทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆก่อนที่จะท่องมนอธิฐาน เมื่ออธิฐานเสร็จเจ้าหญิงค่อยๆรินน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไปในอากาศ ของเหลวที่ไหลออกมารวมตัวกันเป็นแผ่นวงกลมเหนือพื้นราวกับเป็นกระจกลอยได้

 ไม่ทันไรแผ่นน้ำค่อยๆสว่างขึ้นฉายภาพที่เจ้าหญิงทรงปราถนา ภายในกระจกน้ำศักดิ์สิทธิ์มีเกรียวคลื่นหมุนวนและสายฟ้าฟาดอย่างบ้าคลั่ง พื้นที่บริเวณนั้นมืดมิดราวกับยามวิกาล เจ้าหญิงทรงมุ่นคิ้วเข้าหากันและพยายามเพ่งมองเข้าไปในเบื้องลึกของน้ำวนปรากฏให้เห็นอะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายงูยักษ์ว่ายวนเวียนอยู่บริเวณใต้น้ำวนนั้น เจ้าหญิงเมื่อเห็นก็เอามือป้องปากอย่างตกใจสีหน้าของพระองค์ซีดลงทันที

 “พระเจ้า… นี่มันอะไรกันนี่ จอร์มันกาน์ดเช่นนั้นหรือ?” เจ้าหญิงพยายามเพ่งออกมองอีกหนหนึ่ง “ไม่ใช่นี่ สิ่งนี้ไม่ใช่จอร์มันกาน์ด แล้วมันคือตัวอะไรกัน เป็นเช่นนี้ไม่ได้แล้ว เราต้องรีบไปบอกสามสภาอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอันขาด” ไม่ทันขาดคำ ภาพในน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆจางหายไปและเปลี่ยนภาพมาเป็นเรือรบแอนดิซองสีขาวกว่าสิบลำแล่นออกไปจากท่าเรือ และที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ ราชองครักษ์อังเดร และ วิโอเรีย ที่ยืนอยู่หัวเรือลำหน้าสุด สายลมกรรโชกแรงกล้าผ้าคลุมของอังเดรและเส้นผมสีฟ้าของวิโอเรียปลิวไสวไปในทางเดียวกัน ด้านใต้เรือรบมีกองทัพเงือกที่นำโดยอีริค และจอร์มันกาน์ดจ้าวแห่งท้องสมุทรที่ถูกวิโอเรียควบคุม ทั้งหมดมีเป้าหมายคือใต้เมฆดำต้นของเหตุการณ์ทั้งหมด

 “อังเดร... เธอทำอะไรกัน... ที่นั่นมันอันตรายได้โปรดถอนทัพกลับมาเถิด ฉันไม่อยากสูญเสียใครไป... โอ พระเจ้า ช่วยลูกด้วย ลูกควรทำเช่นไรดี” เจ้าหญิงอลาน่าทรุดนั่งลงกับพื้นราวกับหมดเรี่ยวแรงในการพยุงตัวในฉับพลัน หยาดน้ำตาหยดลงบนกระจกศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาเดียวกันเกิดแสงสว่างส่องผ่านมาด้านหลังเจ้าหญิงอลาน่า พระองค์ปาดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้างและค่อยๆหันไปมองด้านหลัง สิ่งที่เจ้าหญิงอลาน่าทรงทอดพระเนตรเห็นคือ เงาของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง เด็กน้อยเดิยก้าวเข้ามาหาอลาน่าช้าๆ และมาหยุดยืนอยู่ข้างๆกระจกน้ำศักดิ์สิทธิ์ อลาน่ามองเห็นใบหน้าเด็กชายคนนี้ไม่ชัดเท่าไรนัก เพราะแสงสว่างจากตัวเด็กน้อย และหยาดน้ำตาที่คลอเบ้า เด็กน้อยใช้คทาที่ถือมาด้วยวาดลงไปในกระจกน้ำทวนเข็มนาฬิกา

 ภาพที่เจ้าหญิงอลาน่าเห็นคือความสงบของท้องทะเล และท้องฟ้าที่ปรอดโปร่ง ไม่มีวี่แววของพายุและเมฆดำพร้อมน้ำวนยักษ์หลงเหลืออยู่เลย อีกทั้งดวงอาทิตย์ยังส่องสว่างเจิดจ้ารุ่งโรจน์ เจ้าหญิงอลาน่าทรงปลาดน้ำตาอีกครั้งสิ่งที่พระองค์เห็นนั้นราวกับความฝัน ที่เป็นไปไม่ได้ ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ต่างจากในปัจจุบันลิบลับ องค์หญิงหันกลับมามองที่เด็กน้อยอีกครั้งเพื่อตรัสถามว่านี่คืออะไร แต่ก็น่าพิศวงเมื่อเด็กน้อยหายไปจากพื้นที่ตรงนั้นแล้ว และภาพในกระจกก็กลับเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งก่อนที่จะสลายหายไปกับอากาศ

 “พระองค์ยังไม่ทอดทิ้งเราใช่ไหมคะ... ในตอนนี้ ฉันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้ นอกจากจะอวยพรและอธิฐานให้พวกเขารอดชีวิตกลับมากันทุกคน พระองค์โปรดคุ้มครองพวกเขาให้รอดพ้นกับภัยครั้งนี้ด้วยเถิด” เจ้าหญิงอลาน่าคุกเข่าภาวนาสวดมนอยู่หน้าสระน้ำศักดิ์สิทธิ์

 คลื่นน้อยใหญ่ซัดสาดราวกับทะเลคลั่ง เรือรบแอนดิซองแล่นลอยอยู่เหนือผืนน้ำโคลงไปมามีหลายครั้งที่น้ำทะเลสาดกระแทกลำเรือจนเอียงคว่ำ จอมทัพผู้เกรียงไกรอย่างอังเดรยังคงยืนโต้ลมกรรโชกอย่างไม่หวั่นเกรง แม้สายน้ำจะซัดสาดแรงแค่ไหนร่างกายของเขาก็ยืนหยัดนิ่งดั่งภูผาน้ำแข็ง ราชองครักษ์หรี่ตาลงมองเมฆดำปนเทาด้านหน้าอย่างดุดัน มือข้างหนึ่งจับด้ามดาบคริสเตลาร์เมกระชับแน่น เส้นผมสีทองและชายผ้าคลุมสีขาวโบกพริ้วไปตามกระแสลม วิโอเรีย เดินเข้ามายังเบื้องหลังของอังเดรโดยไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าก่อนที่จะเอามือน้อยๆสีขาวแตะที่หัวไหล่ที่ใหญ่โตของราชองครักษ์
« Last Edit: July 08, 2007, 07:35:11 PM by !~[D]~@/\/Ge|2ouS~X~! #[Evolution]# » Logged


!~[D]~@/\/Ge|2ouS~X~! #[Evolution]#
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 563


Email
« Reply #1 on: July 08, 2007, 07:33:38 PM »

 “ที่ท่านพาข้ามาเพื่อใช้ประโยชน์ของจอร์มันกาน์ด ไม่ใช่ความต้องการตัวข้าโดยตรงสินะ” เสียงของนางฟังดูเรียบเฉยแต่ก็แฝงความขุ่นเคืองอยู่เบื้องลึก ดวงตาทั้งคู่ของนางหรี่เล็กลงอย่างเกลียดชังเมื่อคิดถึงหน้าเจ้าหญิงอลาน่า “แต่ถึงอย่างไร ในภัยพิบัติครั้งนี้ ข้าเชื่อว่า ข้ามีประโยชน์มากกว่าอลาน่าของเจ้าเสียอีก” วิโอเรียยิ้มกริ่มอย่างมีชัยในความเกลียดชัง

 “เรื่องนี้ข้าไม่อยากให้ฝ่าบาทรับรู้ เพราะไม่อยากให้พระองค์ต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้” อังเดรตอบเสียงห้วนๆอย่างรำคาญใจ เขาสลัดไหล่ออกจากมือของวิโอเรียและหันหลังเดินเข้าไปในตัวเรือโดยไม่พูดอะไรทิ้งท้ายไว้

 “คอยดูเถอะ งานครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จได้เพราะข้า ไม่ใช่อลาน่า!! และเจ้าจะต้องรู้ว่าข้าสำคัญมากแค่ไหน” วิโอเรียกัดกรามแน่น ร่างของนางถูกสายน้ำซัดเข้าที่ด้านหลัง แต่ร่างของนางกลับยืนหยัดนิ่งอย่างแข็งกล้า วิโอเรียวาดคทาคู่กายขึ้นไปบนฟ้า ทันใดนั้นฟ้าที่คลอบคลุมมหาสมุทรก็ร้องคำราม สายฝนเริ่มโปรยลง ท้องฟ้ามืดสนิท วิโอเรียเริ่มท่องคาถาเพื่อถอนคำสาปจอร์มันกาน์ด ผิวน้ำมหาสมุทรเริ่มคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเก่า ฝนตกกระหน่ำจนมองไม่เห็นเมฆดำซึ่งเป็นจุดหมายอีกแล้ว เสียงกรีดร้องที่ดังกังวานหลังจากวิโอเรียร่ายคาถาเสร็จสิ้น ทำเอาลูกเรือและทหารทั่วเรือตกใจสะพรึงกลัว มีเพียงวิโอเรียที่ยืนท่ามกลางสายฝนพลางแสยะยิ้มอย่างสมใจ

 “รายงานท่านราชองครักษ์! สายฝนตกกระหน่ำ เมฆหมอกลงหนาจนมองไม่เห็นทางเบื้องหน้า และลูกคลื่นจากทะเลรุนแรงมากกว่าเก่า การเดินเรือค่อนข้างลำบากมากขอรับ” นายทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานหน้าตาตื่นตระหนกร่างกายเปียกโชกและหนาวสั่นไปทั้งตัว อังเดรขมวดคิ้วอย่างฉงนก่อนที่จะลุกขึ้นยืนช้าๆ “และมีข่าวรายงานจากนายทัพเงือกอีริค เรื่องต้นกำเนิดของวงน้ำวนยักษ์ขอรับ” นายทหารอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสุดกล่าวเสียงสั่นด้วยความหนาวเย็น

 “ว่ายังไง” ราชองครักษ์ถามเสียงเย็น

 “จากที่ทางกองทัพเงือกได้ไปสำรวจพื้นที่ใต้ทะเลบริเวณนั้น พบว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับมังกรยักษ์นอนหลับไหล ซึ่งจุดที่มันนอนอยู่นั้นคือศูนย์กลางของวงน้ำวนนั้นพอดีขอรับ ไม่แน่สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะมังกรตัวนั้นก็ได้”

 “มีมังกรที่มีพลังอำนาจเท่าเทียมกับจอร์มันกาน์ดอยู่อีกด้วยหรือ” อังเดร เดินผ่านนายทหารที่มารายงานทั้งหมดโดยไม่หันมาเหลียวมองกลับมา อังเดรเดินกลับมาที่ดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ราชองครักษ์พอจะเดาได้ว่าใครเป็นคนก่อพายุฝนในทะเลเช่นนี้ได้ เขาสาวเท้าเข้ามาหาวิโอเรียที่ยืนกอดอกอยู่บนหัวเรือ ดวงตาของนางจ้องเขม็งมาที่ร่างอันล่ำสันของอังเดร

 “ยังไม่ถึงเวลาที่จะปลดปล่อยมัน” อังเดรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แฝงความน่าเกรงขามเอาไว้ ดวงตาของอังเดรแทบจะแช่กายของวิโอเรียให้แข็งเป็นน้ำแข็ง แต่นางชินกับท่าทางของอังเดรเสียแล้วจึงไม่สะทกสะท้านกับกริยาของแม่ทัพ ก่อนที่จะสวนตอบกลับไปอย่างท้าทาย “ข้าพอใจ”

 “จะผนึกมันไว้หรือไม่” อังเดรเดินเข้ามาใกล้วิโอเรียหนึ่งก้าว ดวงตาจับจ้องที่ใบหน้าของวิโอเรียโดยไม่ละออกไป วิโอเรียกลืนน้ำลายึกใหญ่ก่อนที่จะเดินก้าวเข้ามาใกล้อังเดรอีกหนึ่งก้าวบ้าง

 “ยังไม่ถึงเวลา ข้าจะผนึกมันอีกครั้งเมื่องานนี้เสร็จสิ้น ท่านจงดูนั่นเสียก่อน” วิโอเรียชี้ไม้คทาไปยังด้านหน้าของอังเดร แต่กระนั้นตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้ากากเหล็กของอังเดร ชายฉกรรจ์ละสายตาออกจากหญิงสาวมองไปตามสิ่งที่นางชี้ เบื้องหน้าปรากฏสายฟ้าที่ผ่าลงไปยังใต้น้ำ แม้จะเลือนลางแต่อังเดรก็แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่นางบ่งใบนั้นคือน้ำวนยักษ์

 “น้ำวนยักษ์!” อังเดรเบิกดวงตาโตก่อนที่จะหันหลังกลับไปถ่ายทอดคำสั่งเตรียมการถอยให้ห่างออกจากรัศมีของน้ำวน และสั่งลงไปยังกองทัพเงือกเบื้องล่างให้เปิดศึกโจมตีมังกรยักษ์ทางใต้ทะเล แต่ไม่ทันที่คำสั่งจะไปถึงหูของพวกทหารเงือก ใต้มหาสมุทรก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นอีกครั้ง คลื่นทะเลสาดรุนแรงขึ้นกว่าเดิม น้ำวนยักษ์ค่อยๆอ่อนตัวลง และตามด้วยเสียงร้องคำรามของจอร์มันกาน์ด

 “น้ำวนอ่อนแรงลงแล้วขอรับ!” นายทหารที่ยืนอยู่ข้างๆอังเดรกล่าวเมื่อเห็นว่าน้ำวนหดตัวลงจนแทบจะหายไป แต่สายลมจากพายุยังคงพัดกรรโชกอย่างแรงไม่ลดน้อยลงจากเดิมแม้เพียงนิดเดียว “แปลก...” อังเดรขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขายังไม่ถ่ายทอดคำสั่งอะไรเพิ่ม สายตาที่เย็นจับใจจ้องมองไปที่วิโอเรีย ที่กำลังยืนกอดอกอยู่ ณ หัวเรือ และหันหน้าโต้ลมกรรโชก

 เวลาผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ ผืนน้ำซึ่งอดีตเคยเป็นน้ำวนก็ปูดขึ้น เผยร่างมังกรยักษ์สองตัวเลื้อยพันกันและต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งจอร์มันกาน์ด และ มังกรน้ำวน ต่างรุกไล่กันโดยแลดูไม่ออกว่ามังกรตัวไหนเสียเปรียบอยู่ ร่างของมันทั้งดิ่งทั้งฟาดจนน้ำในมหาสมุทรแตกกระจาย และสร้างลูกคลื่นที่รุนแรงเป็นทอดๆจนทำให้เรือรบแอนดิซองแตกกระบวน ฟันอันคมกริบของจอร์มันกาน์ดฝังเข้าไปบนลำตัวของมังกรน้ำวนแต่มังกรน้ำวนกลับไม่สะท้าน อีกทั้งยังกัดตอบโต้จอร์มันกาน์ดจนเลือดสาดนองน้ำ เสียงของมังกรทั้งสองกรีดร้องดังกังวานจนไปถึงหูของอลาน่าที่เมืองท่าแอนดิซองเลยทีเดียว

 “ถ่ายทอดคำสั่ง… เคลื่อนทัพเรือปีกซ้ายสามรำเข้าหาเจ้ามังกรยักษ์นั่น!!” อังเดรกล่าวต่อทหารข้างกาย แต่สายตายังไม่ละไปจากการต่อสู้ของมังกรทั้งสอง สลับกับมองไปที่วิโอเรีย

 ไม่นานนักคำสั่งก็กระจายไปทั่วกลุ่มเรือปีกซ้าย เรือทั้งสามรำเคลื่อนที่เข้าไปใกล้รัศมีการต่อสู้ที่ดุเดือดและเล็งปืนใหญ่ไปที่มังกรน้ำวน แต่การที่จะยิงมันนั้นยากลำบากมาก อีกทั้งต้องมองผ่านสายฝนที่ปกคลุมจนมืดมิด และความสับสนวุ่นวายจากการปะทะกันของเจ้าแห่งทะเล และที่สำคัญ เรือทั้งสามโคลงเคลงจนแทบจะพลิกจมตามกระแสคลื่น

 “สั่งให้จอร์มันกาน์ดถอยออกมา” อังเดรกล่าวกับวิโอเรียด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบที่แฝงไปด้วยความเยือกเย็นและไร้ปราณี หากนางปฏิเสธ ซึ่งสังเกตได้จากดวงตาที่ดูดุกร้าวกว่าเดิมมากนัก

 “ถึงท่านไม่สั่งข้า ข้าก็ต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” วิโอเรียกัดกรามแน่นด้วยความหนาวเหน็บของสายฝน วิโอเรียชักไม้คทาแล้วชูขึ้นฟ้าพลางท่องคาถาภาษาโบราณ ทันใดแสงสีน้ำเงินครามปนขาวสว่างก็ฉายแววขึ้น สายฝนเริ่มโปรยอ่อนลงและหยุดลงในที่สุด เจ้าสมุทรจอร์มันกาน์ดร้องคำรามดังก้องก่อนที่จะถอนตัวออกมาจากการต่อสู้ แต่มังกรน้ำวนนั้นกลับไม่ยอมปล่อยให้ศัตรูหนีได้ มันตามไล่ฟัดจอร์มันกาน์ด แต่ทันใดนั้นกระสุนปืนใหญ่นับสิบลูกก็พุ่งออกมาจากเรือทั้งสามรำ ร่างของเจ้าสมุทรวังน้ำวนโดยกระสุนปืนใหญ่กระแทกเข้าอย่างจัง เกล็ดและผิวหนังของมันแตกจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว อังเดรสั่งเรืองของตนและเรือที่เหลือแล่นเข้าไปหามังกรที่ร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด

 ราชองครักษ์กระชับดาบคริสเตลาร์เมก่อนที่จะชักมันออกมา ใบมีดาบที่เป็นน้ำแข็งอันแหลมคมเป่งรัศมีแห่งความเย็นยะเยือกไปทั่วลำเรือ จนวิโอเรียยังต้องถอยออกไปให้ห่าง มังกรที่ได้รับบาดเจ็บชูคอขึ้นและแยกเขี้ยวขู่คำรามและพยายามว่ายวนอยู่บริเวณนั้นเพื่อเตรียมป้องกันตัวเอง เมื่อเรือเทียบเข้าใกล้ตัวมัน มันก็สลัดตัวจู่โจมเรือลำนั้นทันทีจนทำให้เรือรบแอนดิซองที่เข้าไปประชิดร่มจมสู่ใต้สมุทรเกือบครึ่ง

 กองทัพเงือกใต้ทะเลเองยังไม่อาจจะเข้าไปใกล้มันได้ อีริคพยายามหาจังหวะจู่โจมอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อส่งกองทัพเงือกเข้าไปเท่าไรก็ถูกคลื่นใต้น้ำกระแทกจนกระเด็นออกมา การกระทำของมังกรยักษ์สร้างความปั่นป่วนให้กับกองทัพเรือแห่งแอนดิซองอย่างมาก อังเดรเองก็พยายามหาจังเข้าจู่โจมมันหลายครั้ง แม้กระทั่งยิงปืนใหญ่ก็ยังล้มมันไม่ได้ ได้แต่เพียงสร้างบาดแผลเล็กๆน้อยให้กับมันจนกระทั่ง

 “เคลื่อนเรือเข้าไปเทียบตัวมัน” อังเดรกล่าวอย่างแน่วแน่ แต่ทหารส่วนใหญ่ในเรือไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะวิโอเรีย “ท่านจะส่งเราไปตายหรืออย่างไร คำสั่งนี้ข้าไม่อนุมัติ!” วิโอเรียแว้ดเสียงขุ่นอย่างไม่พอใจยิ่งนัก

 “ข้ามีสิทธิออกคำสั่ง” อังเดรพูดสั้นๆแต่หนักหน่วง วิโอเรียถึงกับเงียบทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เรือของอังเดรเคลื่อนเข้าไปใกล้มังกรน้ำวนจนแทบเทียบข้าง ไม่ทันไรเจ้ามังกรยักษ์ก็พุ่งตัวเข้ามาหมายจะจมเรือพร้อมชีวิตทหารนับร้อยไว้ก้นบึ้งของทะเล แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น อังเดรเหวี่ยงดาบเหนือหัวฟันเข้าที่ปลายจมูกของมังกรยักษ์ แม้เพียงบาดแผลนิดเดียวแต่ด้วยความเยือดเย็นก็สร้างความเจ็บปวดให้กับมันมากพอสมควร

 ในจังหวะที่มันชูคอขึ้นและกีดร้อง อังเดรก็ใช้จังหวะนั้นกระโดดเข้าไปหาตัวของมันที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนผิวน้ำ ร่างกายพร้อมเกราะเหล็กหนักหลายกิโลกรัม สามารถยืนหยัดอยู่บนร่างที่เหวี่ยงไปมาได้แม้จะลำบากจนยึดตัวไม่ไหวก็ตาม

 ราชองครักษ์กลับด้ามดาบคริสเตลาร์เมและปักใบมีดน้ำแข็งเข้าไปบนผิวหนังของมัน เลือดสีแดงสดพุ่งเปื้อนเกราะเหล็กเงินของอังเดรตามด้วยเสียงร้องอันเจ็บปวดจนแทบสิ้นใจ หากเป็นเพียงมนุษย์ทั่วไปถ้าโดนคมดาบของอังเดรหนึ่งครั้งก็มิอาจยืนหยัดกายขึ้นได้อีก อังเดรไม่รอเวลาให้ผ่านไปสูญเปล่า เขาลากดาบตามไปกับผิวหนังอันหยาบกระด้าง จนมาถึงช่วงศีรษะของมัน ในฉับพลันเจ้ามังกรยักษ์ก็พลิกตัวดิ่งลงน้ำทันที ร่างของมันฟาดลงกับน้ำอย่างแรง สายน้ำในมหาสมุทรสาดพาเอาเรือรบหลายรำจมลงไปในน้ำ

 “อังเดร!!” วิโอเรีย ตะโกนร้องเรียก ใบหน้าของนางซีดเหมือนกับคนไร้ชีวิต สายตาของนางเริ่มขุ่นมัวลงอย่างใจสลาย นางวิ่งไปเกาะราวที่หัวเรือแลเห็นน้ำที่เคยเป็นสีน้ำเงินครามเข้มมาก่อน กลับกลายเป็นสีม่วงแดงเลือด หญิงสาวเอามือป้องปากอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่ทันใดนั้นไม่ทันน้ำตาจะไหลลงข้างแก้ม ร่างของมังกรน้ำวนยักษ์ก็ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ เป็นร่างอันไร้วิญญาณและไร้ศีรษะ วิโอเรียกวาดสายตาไปทั่วลำตัวของมังกรที่สิ้นชีวิตจนพบอังเดรยืนจังก้ากำดาบคริสเตลาร์เมแน่น ร่างกายของบุรุษเปื้อนไปด้วยน้ำทะเลและเลือดสีจาง

 ฟ้าเริ่มกลับมาโปร่งใสอีกครั้ง เรือรบที่เหลือรอดเพียงสองถึงสามลำกลับมาเทียบท่าอย่างปลอดภัย ใบหน้าของทหารแต่ละคนที่ผ่านภารกิจดูอิดโรยและอ่อนแรงกันเต็มทน สาเหตุจากการเมาคลื่นที่คลุ้มคลั่ง แต่ทุกคนต่างประทับใจกับฝีมืออันไร้เทียมทานของวีรบุรุษอังเดรจนอดไม่ได้ พวกเขานำเรื่องราวที่ได้ไปผจญมาไปคุยกับเพื่อนทหารด้วยกันที่ไม่ได้ออกภารกิจด้วยอย่างออกรส แต่อังเดรไม่ได้สนใจกับเสียงชื่นชมของเหล่าทหารเบื้องล่างนัก สิ่งที่เข้าต้องการคือไม่ให้เจ้าหญิงอลาน่าต้องเป็นทุกข์มากขึ้น หากเขาไม่สำเร็จเจ้าสมุทรปริศนาตัวนั้นก่อน เบื้องหลังจากนั้นมันอาจจะสร้างความวุ่นวายไปทั่วอาณาจักร และเจ้าหญิงอลาน่าทรงอาจจะทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น

 อังเดรเดินย่างเท้าเข้ามาถึงค่ายผู้อพยพโดยไม่กลับไปพักผ่อนเหมือนคนอื่นๆ เขามุ่งแต่จะมาหาเพียงเจ้าหญิงอลาน่าเท่านั้น เมื่อเขาพบกับเจ้าหญิงอลาน่า อังเดรก็เร่งคุกเข่าอย่างเข้มแข็ง พลางกล่าวคำทักทายและรายงานผลของภารกิจนี้อย่างเสร็จสรรพ

 “สุดท้าย... การต่อสู้มีผู้ได้ชัย ก็ต้องมีผู้สูญเสีย ทางที่จริงฉันไม่อยากให้ทุกคนต้องออกไปต่อสู้กับใครเลย เพราะการต่อสู้นั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ เช่นเดียวกับสงคราม... ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็สูญเสียเช่นกัน....” เจ้าหญิงอลาน่ารำพึงกับตัวเอง แต่ทุกคำอังเดรก็ฟังได้ไม่มีตกหล่น

 “การต่อสู้ต้องมีการเสียสละ หากเอาแต่หลบหลีกไม่เร่งตอบโต้ อาจจะทำให้ยิ่งสูญเสีย...” อังเดรพยายามจะกล่าวแย้ง แต่ก็ไม่กล้าสบสายตาเจ้าหญิงอลาน่า

 “การมาเยือนของสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นศัตรู อาจจะไม่ใช่ศัตรูเสมอไปนะจ้ะอังเดร เช่นเดียวอย่างเช่นตอนที่ฮาริซันมายังเมืองนี้เพื่อขอยืมกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ เขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่เพราะเป็นเธอด่วนตรัสสินเองเสียก่อนทำให้ต้องมีผู้เคราะห์ร้ายเป็นจำนวนมาก และครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราเองยังไม่รู้ว่ามังกรตนนั้นมาได้อย่างไรและจะสร้างอันตรายหรือไม่ แต่กลับด่วนตรัสสินว่าเขาคือศัตรูแล้วจึงรีบไปปราบปรามเขาก็ไม่ถูก…”

 “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรพะยะค่ะ” อังเดรถามอย่างสงสัย

 “พระเจ้าสามารถบอกเราได้จ้ะ” เจ้าหญิงอลาน่ายิ้มอย่างอ่อนโยนลีเมตตา เธอไม่ได้โกรธอังเดรแม้แต่น้อย หลังจากเสร็จภารกิจช่วยเหลือผู้อพยพ เจ้าหญิงอลาน่าก็เข้าโบสถ์พร้อมกับเหล่าซิสเตอร์และส่วนมนต์ให้กับผู้ล่วงลับจากการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเต็มใจ
« Last Edit: July 08, 2007, 07:36:42 PM by !~[D]~@/\/Ge|2ouS~X~! #[Evolution]# » Logged


!~[D]~@/\/Ge|2ouS~X~! #[Evolution]#
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 563


Email
« Reply #2 on: July 08, 2007, 07:42:52 PM »

ดองไว้นาน ไม่ได้เอามาลงเหอๆ ไม่ค่อยว่างเลยครับช่วงนี้ (ติดหญิงอ่ะ) แก้ไขไปได้แค่นิดหน่อยเอง เดี๋ยวว่างๆค่อยมาแก้ไขเพิ่ม ขอคุณทุกความเห็นหลังจากนี้นะครับ
Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #3 on: July 08, 2007, 08:11:36 PM »

สนุกดีครับ มีคติท้ายเรื่องด้วย
Logged


Suchan.poloplow
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1232


Email
« Reply #4 on: July 08, 2007, 08:24:24 PM »

หนุกดีนะเนี่ย  ถ้าไม่บอกนึกว่าพี่จิงมาอัพนิยายเอง
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #5 on: July 09, 2007, 03:35:01 PM »

เข้าถึงธรรมชาติอุปนิสัยของตัวละครในเรื่องและถ่ายทอดออกมาได้ดีครับ 
Logged


Levi
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 540


Email
« Reply #6 on: July 15, 2007, 01:37:53 AM »


 “การมาเยือนของสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นศัตรู อาจจะไม่ใช่ศัตรูเสมอไปนะจ้ะอังเดร เช่นเดียวอย่างเช่นตอนที่ฮาริซันมายังเมืองนี้เพื่อขอยืมกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ เขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่เพราะเป็นเธอด่วนตรัสสินเองเสียก่อนทำให้ต้องมีผู้เคราะห์ร้ายเป็นจำนวนมาก และครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราเองยังไม่รู้ว่ามังกรตนนั้นมาได้อย่างไรและจะสร้างอันตรายหรือไม่ แต่กลับด่วนตรัสสินว่าเขาคือศัตรูแล้วจึงรีบไปปราบปรามเขาก็ไม่ถูก…”

 “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรพะยะค่ะ” อังเดรถามอย่างสงสัย

 “พระเจ้าสามารถบอกเราได้จ้ะ” เจ้าหญิงอลาน่ายิ้มอย่างอ่อนโยนลีเมตตา เธอไม่ได้โกรธอังเดรแม้แต่น้อย หลังจากเสร็จภารกิจช่วยเหลือผู้อพยพ เจ้าหญิงอลาน่าก็เข้าโบสถ์พร้อมกับเหล่าซิสเตอร์และส่วนมนต์ให้กับผู้ล่วงลับจากการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเต็มใจ

เช็คคำบ้างก็ดีนะครับ
แล้วคำว่า "เช่นเดียวอย่างเช่น" เปลี่ยนเป็น "เช่น" หรือ "เช่นเดียวกับ" จะดูดีกว่ารึเปล่า
Logged


JZK
Member
*****
Offline Offline

Posts: 508


« Reply #7 on: July 15, 2007, 04:01:50 AM »

มันมาติด ญ คนเดียวกะผมซะงั้น
Logged


Wonder~Tanu
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1526


Email
« Reply #8 on: July 18, 2007, 04:05:22 AM »

แหะๆ ตอนแรกนึกว่าอังเดรจะพูดว่า "ถ้าไม่เสียสละ ชัยชนะก็ไม่เกิด"ซะแล้ว
ป.ล. ประชวนนี้รู้สึกจะเขียนเป็นประชวร รึเปล่า?
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.085 seconds with 20 queries.