Summoner Master Forum
October 04, 2024, 04:23:05 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: [ประกวด] Cursed king กษัตริย์ต้องสาป [modify from {In the name of darkne  (Read 4165 times)
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
mantellumarydoll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 643


Email
« on: July 04, 2007, 11:25:11 PM »

กดปุ่มผิดนะครับ  กรุณาไปอ่านข้างล่าง
« Last Edit: August 31, 2007, 07:57:49 PM by mantellumarydoll » Logged


mantellumarydoll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 643


Email
« Reply #1 on: July 04, 2007, 11:28:52 PM »

     กว่าจะจบแทบกระอัก  พิมพ์จนมือหงิก    ช่วยแนะนำด้วยนะครับ
ป.ล. คู่รักในเรื่องนี้อาจจะแปลกไปหน่อยนะครับ   
(ขอโทษนะครับ  ที่รีโพสมากไปน่ะครับ)
« Last Edit: July 04, 2007, 11:31:01 PM by mantellumarydoll » Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #2 on: July 04, 2007, 11:51:07 PM »

อ่านแล้วปวดหัวเล็กน้อย ผมขอแนะนำให้เว้นบรรทัดเนื่อเรื่องบางส่วนออกจากกันดีกว่าครับ ไม่งั้นอ่านไปอ่านมาจะคนอ่านตาลายก่อนอ่านจบ

ด้านเนื้อเรื่องผมว่ามันแปลกๆอยู่นะครับ โดยเฉพาะที่ครุฑรักกับแมลง
Logged


singer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1256


Email
« Reply #3 on: July 05, 2007, 12:25:03 AM »

ตาลายครับ

จะพยายามอ่านแล้วค่อยเมนต์อีกทีนะครับ

ปล. อย่าลืมนะครับว่าจะต้องไม่ขัดกับอุปนิสัยตามเนื้อเรื่องนะครับ

ปล.2 no comment ครับ จริงๆนะ เพราะมีบางส่วนที่ยังคงแปลกๆ อย่าง buttterfirweนั้นเป็นผีเสื้อปีเพลิงที่อยู่อาศัยอยู่ในภูเขาไฟ เฮดัน(ภูเขาไฟที่ซาดินไปหาสมบัตินั้นล่ะ) อิคดราซิลเองเป็นเทพที่แสดงความรู้สึกด้วยการสั่นไหวของกิ่งก้านใบและจิต(ดังที่เห็นในนิยายของพี่จิง แต่ก็แหวกแนวนี้ ชายคนนั้นเดี๋ยวได้เป็น Yggdrasil Shaman แน่ๆ)  T_T

ขอโทษนะครับที่สับเละไปนิดนึง

แต่อ่านก็สนุก(มากๆ) + ขำ (นิดๆ) ^^
« Last Edit: July 05, 2007, 12:33:45 AM by singer_of_element » Logged


ХeЯхe$-КunG АррЯeйтiсЕ $Аiйт
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1816


« Reply #4 on: July 05, 2007, 12:55:03 AM »

ลองตรวจคำผิดอีกก็ดีครับ สนุกดีนะแต่จบแบบไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ (ท่านแม่ของแมลงสาบหายไปไหน-*-)
Quote
“ครับผมก็รักแม่เช่นกัน”
ประโยคนี้ดูแปลกๆไปจากเนื้อเรื่องจะแก้ไม่แก้ก็ไม่รู้นะ ::)

« Last Edit: July 05, 2007, 08:57:24 PM by <<{><}€12><€$Kun{G}>> » Logged


mantellumarydoll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 643


Email
« Reply #5 on: July 06, 2007, 12:38:27 AM »

การแสดงความรู้สึกนี้ของอิกดราซิลก็เป็นการเคลื่อนไหวของใบเหมือนกันนะครับ  (ลองไปอ่านดูดีๆนะครับ)  มีอีกอย่างนึงคือ  ชื่อของแมลงสาปนั้นน่ะ  มีความหมายโดยนัยด้วยนะครับ  ลองทายดู
ปล.ดีใจจังที่มีคนบอกว่า"สนุกดี"
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #6 on: July 06, 2007, 02:36:41 PM »

เว้นบรรทัดจัดหน้าบ้างก็ได้นะครับ เพราะไม่เกิน 7 หน้านี่ ผมแยกเรื่องการเว้นบรรทัดด้วยครับ

ชอบที่เอาเรื่องเล็ก ๆ ของสิ่งมีชีวิตอย่างพวกแมลงอะไรมาผูกเป็นเรื่องเป็นราวได้ครับ
แต่ยังไม่ได้อ่านละเอียด ไว้จะอ่านแบบละเอียดอีกทีตอนหมดประกวดครับ
Logged


mantellumarydoll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 643


Email
« Reply #7 on: July 06, 2007, 02:40:35 PM »

พี่ครับ  คือผมส่งเป็นอีเมล์ไปแล้วอ่าครับ  จะแก้ยังไงครับ  หรือว่า  ส่งอีเมล์ที่แก้แล้วไปอีกทีครับ
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #8 on: July 08, 2007, 05:40:05 PM »

ส่ง e-mail ใหม่มาก็ได้ครับ แล้วบอกว่าใช้แทนอันเก่า
ถ้าให้ดีให้แน่ใจว่าจะไม่แก้แล้วนะครับ
Logged


mantellumarydoll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 643


Email
« Reply #9 on: August 31, 2007, 07:58:38 PM »

     “ได้ปลาแค่นี้คงพอแล้วล่ะ  เรากลับกันเถอะ”  เสียงนุ่มๆของชายผู้หนึ่งเอ่ยดังขึ้นมาจากริมแม่น้ำ  เขาแต่งตัวด้วยผ้าฝ้ายทอมือที่ดูประณีตยิ่ง  สัญลักษณ์ประจำเผ่าฟูดินันที่ประดับอยู่ที่ไหล่เสื้อบ่งบอกได้อย่างดีว่าบุคคลผู้นี้มาจากไหน  เขาตวัดเบ็ตที่ถืออยู่กลับอย่างรวดเร็ว  สุนัขข้างกายเห็นดังนั้นก็พยักหน้าอย่างยินดี  แล้วจึงคาบตะกร้าสานด้านข้างมาให้แก่ชายผู้นั้น  เขาหยิบปลาที่ตกได้ใส่ลงในนั้นพลางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  “ไปกันเถอะ”  เขาพูดอีกทีพลางยิ้มให้กับสุนัขของเขาที่กำลังวิ่งนำหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว 
     
     ระหว่างการเดินทางนั้น  เสียงกรอบแกรบของใบไม้ที่ถูกเหยียบก็ดังขึ้นตามจังหวะที่ก้าวเท้า  แสงวูบวาบถูกส่องมาจากเบื้องหน้าของพวกเขา  แสงเหล่านี้ถูกส่องมาจากใบสีเงินขุ่นของต้นอิกดราซิลที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น  “แปลก ฤดูกาลนี้ใบอิกดราซิลไม่น่าจะเป็นสีนี้นี่”  ชายผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยความสงสัยหลังจากมองใบไม้บนพื้นดิน  พลางกลับไปมองเบื้องหน้าเพื่อหาสุนัขของตน  แต่หาไม่พบสิ่งใดเลย  “หายไปไหนน่ะ”  เขากล่าวขึ้นแล้วจึงออกเดินหาสุนัขของตนอย่างเป็นห่วง  เขาเดินทางเข้าไปใกล้กับลำต้นของมหาพฤกษาอิกดราซิลเรื่อยๆ  จนถึงดงรากขนาดใหญ่ของอิกดราซิล   ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าสู่ที่นั่น  เสียงเศษดินรอบๆรากไม้เหล่านั้นก็ดังขึ้นอย่างน่าสงสัย  จากการเคลื่อนที่นี้เอง  ฝุ่นโดยรอบก็ฟุ้งขึ้นมาจนแทบมองไม่เห็นทาง  “เจ้ามีเหตุอันใดถึงได้มารบกวนข้าในยามพักผ่อนเช่นนี้”  เสียงปริศนาที่ฟังดูเข้มแข็งเอ่ยขึ้นโดยบุคคลที่มิมีใครทราบ  ชายผู้นั้นถึงกับขวัญเสียในทันทีที่เสียงนั้นปรากฏ  เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาจากหน้าของเขาจำนวนมาก  “ข้ามาตามหาสุนัข”  เขารวบรวมความกล้าแล้วจึงพูดออกไป  เสียงรากไม้ด้านข้างก็เคลื่อนที่ขึ้นอีกครั้งจนเขาล้มลง  “หากเรื่องของเจ้างี่เง่าเช่นนั้น  เจ้าก็จงออกไปซะ  ก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาสตามมันอีก” เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  พลันก็ปรากหมอกสีดำลอยออกมาจากเงามืดใต้รากไม้ยักษ์  ชายผู้นั้นเริ่มเช็ดเหงื่อเม็ดโตบนใบหน้า  แล้วจึงสอดสายตาไปโดยรอบเพื่อหาทางหนีทีไล่  “ออกไปซะ” เสียงนั้นตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง  ด้วยความตกใจชายผู้นั้นจึงวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว  “พวกแมลงต่ำต้อยเอ๋ย  อีกไม่ช้านี้  ข้าจะต้องปกครองโลกแห่งนี้ให้ได้” เสียงนั้นดังกู่ก้องขึ้นอีกครา 
     
     “อะไรกันอีกเนี่ย”  ชายหนุ่มคนเดิมพูดกับตัวเอง  เมื่อเขาพบกับฝูงแมลงนับร้อยที่บินผ่านหน้าเขาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงระหว่างที่เขาวิ่งกลับหมู่บ้าน  “ไปทางอื่นก่อนก็ได้”  ชายหนุ่มพูดขึ้นแล้วจึงวิ่งอ้อมไปอีกทาง  ซึ่งเป็นทางที่ผ่านทุ่งดอกไม้กลางอาณาจักรแห่งนี้  เมื่อเขาวิ่งไปนอกเขตป่าต้องตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง  เมื่อแมลงที่มีร่างขนาดเท่ามนุษย์หลากชนิดนับหมื่นตัวต่างบินมาที่ทุ่งแห่งนี้จากทุกทิศ  พวกมันพุ่งบินเข้าไปแล้วก็หายไปในอากาศราวกับมีเวทมนตร์  “เจ้าเป็นใคร”  เสียงของด้วงกว่างสีดำขนาดยักษ์กล่าวขึ้น  มือของมันจับที่คางอย่างมั่นคง  ชายหนุ่มผู้นั้นสะดุ้งเป็นลมในทันทีที่ได้ยินเสียงของด้วงตัวนั้น “เจ้านี้คงหลงทางมาแน่  เสียเวลาจริงเชียว”  ด้วงตัวนั้นกล่าวด้วยท่าทางหงุดหงิด  “งั้นข้าไปส่งมนุษย์คนนี้เอง  ท่านไปที่ห้องโถงเถิด”  เสียงของผีเสื้อตัวหนึ่งกล่าวขึ้น  “ขอบใจมาก  ข้าฝากด้วยนะ”  ด้วงกว่างพูดแล้วจึงบินไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ด้วงกว่างตัวนั้นบินเข้าไป ณ ใจกลางทุ่งดอกไม้แห่งนั้น  แล้วหายวับไปกับตาดังเช่นแมลงตัวอื่นๆ  “จะสายรึ
ปล่าวนะ”  มันพูดกับตนเองด้วยท่าทางรีบร้อนในขณะที่อยู่ในโลกแห่งใหม่ที่ดูกว้างใหญ่ยิ่งกว่า  พรรณไม้นานาพันธุ์เลื้อยพันกันจนเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม  ด้วงตัวนั้นตั้งสติขึ้นอีกครั้ง  แล้วจึงมุ่งเข้าไปทางปราสาทนั้น  มันผ่านทหารเฝ้าประตูอย่างรีบร้อนและเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง  ภายในถูกรากไม้ชนิดต่างๆเลื้อยขดจนคล้ายเก้าอี้วางเรียงรายตามพื้นห้อง  พื้นด้านในถูกยกระดับให้สูงขึ้นเรื่อยๆ  ด้านในสุดซึ่งอยู่เหนือที่นั่งอื่นๆเป็นเก้าอี้รากไม้ขนาดใหญ่สีเขียวสดที่ใครๆต่างเรียกมันว่า “บัลลังค์” แมลงตัวที่นั่งอยู่บนนั้นแต่งกายด้วยผ้าจากใยพืชบางๆ  ด้วงกว่างเห็นดังนั้นจึงเร่งเดินเข้าไปหาที่นั่งของตนเอง  “ท่านนายพลออบซิเดียน  ท่านมาสายอีกแล้วนะ” แมลงที่นั่งด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าอมยิ้ม  “แต่ก็ทันหมอหลวงเข้ามาใช่ไหม”  ด้วงกว่างพูดตอบน้ำเสียงหอบ  พลางมองไปทางเก้าอี้สูงด้านบน  ทุกคนต่างยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติแก่บุคคลที่เพิ่งเข้ามา  เขาสวมชุดสีขาวสะอาดตา  มากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล  “ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง  ปลอดภัยไหม”  แมลงบนบัลลังค์กล่าวถามอย่างตื่นเต้น  “โอรสของพระองค์ทรงมีพลานามัยแข็งแรงดี  ......แต่” “แต่เหตุใดล่ะท่านหมอหลวง” แมลงบนบัลลังค์กล่าวขึ้นด้วยอย่างเป็นห่วง  เช่นเดียวกับที่ทุกคนในห้องโถงลุกขึ้นอย่างสนใจ  “โอรสของพระองค์หามิใช้แมลงอย่างเราๆไม่  พระโอรสทรงเป็น.ม...แมลงสาป..พะย่ะค่ะ”  สิ้นคำตอบของหมอหลวง  พระองค์ก็ทรงตกตะลึงกับคำที่หมอหลวงกล่าวเช่นเดียวกับที่ทุกคนในห้องโถงกล่าวกันอย่างโจดจัน “เชิญทุกคนออกไปจากห้องโถงเดี๋ยวนี้  แล้วเจ้าจงเรียกแม่หมออารัคเน่มาพบข้าด้วย”ชายบนบัลลังค์พูดกับหมอหลวงหลังจากรวบรวมสติได้   
     
     เวลาผ่านไปหลายนาที  ห้องโถงที่ไม่กี่นาทีก่อนเต็มไปด้วยผู้คนก็โล่งว่างเหลือแต่ข้าราชการชั้นสูงกับข้ารับใช้ในราชวังเท่านั้น  เก้าอี้ที่วางเรียงรายในเมื่อครู่กลับหดกลายเป็นพื้นห้อง  ข้าราชการทุกคนต่างยังตะลึงกับคำกล่าวของหมอหลวงเมื่อครู่ไม่หาย  “แอ๊ด” เสียงเปิดประตูดังขึ้นจนทุกคนสะดุ้ง  แมงมุมสีดำขนาดใหญ่สวมกระโปรงสีแดงสดที่ดูไม่เข้ากับก้นขนาดใหญ่ของเธอตัวหนึ่งค่อยๆย่างเท้าเข้ามาในห้องโถงอย่างละเมียดละมัย  มันตรงไปยังหน้าบัลลังค์อย่างเงียบกริบ  และก้มลงอย่างนุ่มนวล  “เจ้าคงรู้หน้าที่ของเจ้านะ”  กษัตริย์บนบัลลังค์กล่าวขึ้นกับนาง  ซึ่งนางก็พยักหน้าอย่างรู้ใจ  แล้วจึงเร่งถักใยจากก้นของนางจนเป็นก้อนกลมอย่างรวดเร็ว  นางวางมันบนอากาศโดยที่มันไม่หล่นลงจากพื้นราวกับอยู่บนกระจกใส  แสงปริศนาส่องออกมาจากก้อนใยก้อนนั้นชั่วครู่  แล้วนางจึงเอ่ยปากพูดขึ้น “โอรสของพระองค์เกิดจากความชั่วร้าย  พระองค์เกิดขึ้นมาเพื่อทำลายล้าง  และจะไม่มีผู้ใดทำลายพระองค์ลงได้  จนกว่าพระองค์จะกลืนกินตัวของพระองค์เองจนหมดสิ้น  เมื่อถึงครานั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นดังเดิม”  เมื่อนางพูดจบก้อนใยก้อนนั้นก็หายไปในอากาศ  ดุจกับดวงใจของกษัตริย์ในบัดนี้  หายไปกับคำทำนายนั่นจนหมด  ร่างของพระองค์ร่วงลงสู่พื้นอย่างหมดอาลัย  ใบหน้าของพระองค์ฉาบไปด้วยความทุกข์ระทมอย่างที่สุด  แต่กลับไม่มีน้ำตาร่วงลงสู่ใบหน้าแม้แต่หยดเดียว  ไม่กี่นาทีต่อมา  พระองค์ทุบมือลงกับพื้นดิน  พลางค่อยๆพยุงตัวยืนขึ้น  “แม่ทัพออบซิเดียน  เจ้าจงนำโอรสต้องสาปของข้าไปสังหารในป่า  อย่าให้ผู้คนพบเห็นการกระทำนี้”  กษัตริย์ออกคำสั่งขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  “รับทราบพะย่ะค่ะ”  ด้วงกว่างสีเงากล่าวขึ้นพลางเดิมออกไปจากห้องโถง  “ข้าอยากอยู่คนเดียว”  กษัตริย์กล่าวขึ้นท่ามกลางทุกคน  “จะอยู่อีกทำไมเล่า  ออกไป  ...ออกไป”  พระองค์ตวาดไล่ทุกคนในห้องโถงด้วยความโกรธ ก่อนจะล่มตัวลงนอนกับพื้น
Logged


mantellumarydoll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 643


Email
« Reply #10 on: August 31, 2007, 08:00:06 PM »

ร่างของด้วงกว่างที่มีกรงเล็บสีดำขนาดใหญ่เดินอย่างเร่งรีบไปที่เขตพระราชฐาน  เขาหยุดอยู่หน้าห้องบรรทมของราชินีก่อนจะเคาะประตูอย่าเบามือ  แล้วประกาศต่อหน้าห้องต่อ“ข้าได้รับราชโองการจากพระองค์ให้มา...”  “ฉันไม่ให้เธอทำอย่างนั้นแน่กลับไปบอกพระองค์ได้เลย”เสียงแมลงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นขัดการพูดของเขา  นางเดินออกมาจากห้องนั้นอย่างทรงเกียรติ  อุ้งมือของนางโอบห่อผ้าสีขาวอย่างแนบแน่น  ทันทีที่แม่ทัพเห็นนางก็ก้มลงอย่างสุภาพพลางเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  “แต่ข้ามิสามารถขัดความประสงค์ของพระองค์ได้”  เขาพูดพลางเงยหน้าอย่างสุภาพ  “ใช่  เธอก็ไม่สามารถขัดความประสงค์ของข้าได้เช่นกัน” เสียงบุรุษที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น  เขาคือกษัตริย์ที่บัดนี้ปราศจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธดังเมื่อครู่ปรากฏแก่สายตาของทั้งสอง“แต่พระองค์  นี่คือโอรสของพระองค์เองนะ” เธอกล่าวขอร้องด้วยสายตาวิงวอน “หากนางขัดขืน  เจ้าจงกำจัดนางไปด้วยเลย” พระองค์กล่าวแก่ออบซิเดียนโดยมิสนคำขอร้องของนาง  แล้วเดินจากไปอย่างไม่ใยดี  “องค์หญิงทรงเข้าใจใช่ไหม”  ออบซิเดียนกล่าวด้วยความเห็นใจ  “งั้นเจ้าจงสังหารฉันลงเสีย  มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันทำอะไรแก่องค์ชายได้แน่”  นางกัดฟันพูดทั้งร่ำไห้กอดโอรสน้อยแนบแน่น  ซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้แม่ทัพคิดหนัก  เวลาผ่านไปหลายสิบนาที  แม่ทัพก็เฉลยความคิดออกมา “ถ้าเช่นนั้น  องค์หญิงควรหลบหนีออกไปจากวังให้เร็วที่สุด  ส่วนทางด้านนี้ข้าจัดการเอง” เขาบอกแผนการอย่างคร่าวๆ  “ข้าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”  ราชินีพูดอย่างซึ้งใจราวกับจะร่ำไห้อีกครั้ง  “มิได้องค์หญิง  แค่บ้านเมืองนี้ร่มเย็นข้าก็ยินดีพอแล้ว  แต่องค์หญิงต้องให้สัญญา  ว่าโอรสองค์น้อยจะต้องกลับมาดูแลบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง”  เขาตอบแล้วจึงจัดห่อสัมภาระก่อนจะส่งให้แก่นาง  ก่อนที่นางจะไต่ผ้าม่านที่ถูกผูกไว้ทางหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ  “ลาก่อน  องค์หญิง” แม่ทัพกล่าวก่อนจะโบกมือลา  ราชินีซึ่งบัดนี้ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีขุ่นกำลังวิ่งอย่างช้าๆผ่านอาณาเขตวังโดยไม่มีใครสังเกตเห็น  องค์หญิงเดินออกจากในเมืองมุ่งสู่ทางใต้ของอาณาจักรแมลงจนรุ่งเช้าโดยไม่ได้พักผ่อน ก่อนที่จะเป็นลมไปในที่สุด 

     “อืม  ลมเย็นดีจัง”  พรานหนุ่มลืมตาตื่นอย่างมีความสุขพลันก็หันไปมองเบื้องล่าง  “บ..บนฟ้า เหนืออิกดราซิล  ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาพูดกับตัวเองพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างเกาะอยู่ที่หลังจึงหันกลับไปมอง  “ก็ข้าแบกเจ้าอยู่น่ะสิ”  เสียงของผู้ที่อยู่ด้านบนดังขึ้น เสียงปีกผีเสื้อสีแดงสดสะบัดเริ่มดังขึ้น  ซึ่งแน่นอนร่างของผู้นั้นคงต้องเป็นผีเสื้อแน่  ใบหน้าซึ่งดูไม่ออกเลยว่ามีอารมณ์เช่นไรหันมามองที่พรานหนุ่ม  “ข้าเป็นถึงนายพลผีเสื้อเพลิง  นาม  เบลเลอร์  อุตสาห์เสียเวลามาส่งเจ้าถึงหมู่บ้าน  เจ้ากลับทำให้ข้าลำบากอีก” มันกล่าวขึ้น “ข..ข้าขอบคุณละกัน”พรานหายใจอย่างโล่งอก  เวลาผ่านไประดับการบินก็เริ่มต่ำลงเรื่อยๆ  พรานจึงหันไปด้านบนอย่างสงสัย  แต่ก็พบกับใบหน้าที่หันไปมองทางการูด้าสาวบนกิ่งของอิกดราซิล “หากท่านมัวแต่มองสาวเช่นนั้น  เราจะไปถึงหมู่บ้านกันเมื่อไหร่น้า” เขาถามกวนเบลเลอร์จนสะดุ้งตื่นจากพวังนั้น  “ท่านชอบเธอหรือ”  พรานถาม  ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเล็กน้อย  “เอาล่ะถึงแล้ว”มันพูดตัดบทแล้วจึงมุ่งลงสู่พื้นดิน  วางตัวนายพรานลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล  แล้วจึงบินจากไป  ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่า  มันกำลังเขินอายอย่างที่สุด           
     
     “ที่...นี่ที่ไหน  แล้วลูกข้าล่ะ  ลูกข้าอยู่ไหน” ราชินีกล่าวอย่างมึนงงหลังจากที่สลบไป  พลางมองไปรอบๆซึ่งเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ไหนสักแห่ง  “บุตรเจ้าปลอดภัยดี  เหตุใดหน้าตาเจ้าช่างคล้ายกับราชินีเช่นนี้” ร่างของแมลงป่องตัวหนึ่งที่อุ้มห่อผ้าสีขาวเดินออกมาจากเงามืดอย่างน่ากลัว  จนราชินีต้องลุกขึ้นอย่างลนลาน  “ช...ชั้นคือราชินี  บุตรของข้าล่ะนำมาให้ข้า” เธอพูดพลันเหลือบไปเห็นบุตรของตนในห่อผ้า  “องค์ราชินี  หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ขออภัยพระองค์ด้วย” มันพูด  สิ้นเสียงนั้นเสียงฝีเท้านับร้อยก็ดับขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ  แสงในถ้ำเริ่มสว่างขึ้นเป็นจังหวะ  ภาพเบื้องหน้าราชินีในบัดนี้  คือ ฝูงแมลงจำนวนพอๆกับผู้คนในเมืองกำลังก้มแสดงความเคารพแก่ราชินีด้วยความเต็มใจ  ราชินีเห็นดังนั้นก็ตกใจจนล้มไปอีกครั้งหนึ่ง“พวกเรารอท่านมานานแล้ว  พวกเราคือกลุ่มแมลงนอกกฎหมาย  เราต้องการให้องค์ราชินีมาเป็นผู้นำของเรา” แมลงป่องตัวเดิมกล่าวขึ้นพลางอุ้มห่อผ้ามาให้แก่ราชินี  “นี่คือองค์ราชาพระองค์ใหม่ที่จะขึ้นครองราชย์ในไม่ช้า  พวกเราขอฝากการดูแลให้แก่พระองค์ด้วย”  มันพูดต่อพลางผายมือไปทางเก้าอี้ขนาดใหญ่ให้แก่ราชินี  “องค์ราชินีจะปกครองเราด้วยความสงบสุข” พูดจบแมลงทุกตัวก็ก้มลงกราบให้แก่ราชินีแมลงที่บัดนี้นั่งอยู่บัลลังค์แล้ว  “ชั้นจะต้องนำโอรสองค์นี้  กลับไปเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรแมลงให้จงได้”  นางพูดขึ้นอย่างมีอำนาจพลางยกบุตรของตนขึ้นเหนือหัว  พลันสายตาแห่งความเคียดแค้นก็ปรากฏขึ้นตาหน้าแมลงทุกตัวในอาณาจักรนอกกฎหมาย  “แล้วข้าพระองค์จะได้เห็นดีกัน”
     
     เวลาผ่านไป 3 ปี  แต่อาณาจักรก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก  บนบริเวณทางเข้าสู่อาณาจักร  ร่างซึ่งถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมสีดำร่างหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในปราสาทแห่งแมลงอย่างเร่งรีบ  แต่ก็ถูกทหารเฝ้าหน้าวังกักตัวไว้“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”ทหารหน้าปราสาทถามตรวจสอบตามปรกติ“เหตุด่วนนิดหน่อยน่ะ  ก็แค่.....กำลังจะมีสงครามเกิดขึ้นก็เท่านั้นเอง” ชายในผ้าคลุมกล่าวด้วยใบหน้าทะเล้น  แล้วจึงเดินเข้าไปในราชวังอย่างเร่งรีบ 
     
     “เจ้าว่าอย่างไรนะ  อาณาจักรครุฑกำลังจะทำสงครามกับเราน่ะรึ” เสียงกษัตริย์ผู้บัดนี้อยู่วัยชรากล่าวด้วยสีหน้าตกใจพลางมองไปที่ชายในผ้าคลุมซึ่งกำลังจะเอ่ยตอบ  “ใช่แล้วพะย่ะค่ะ  แต่เรายังมิทราบเวลาที่จะเริ่มสงครามดังนั้นข้าจึงขอ..”  “เดี๋ยวสิ  ว่าแต่เจ้าไปได้ข่าวนี้มาจากไหนกัน” พระองค์กล่าวอย่างสงสัย  ได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจในทันที  “ท่านรู้แค่ว่า  กำลังจะมีสงครามเกิดขึ้นก็พอแล้วล่ะ” ชายผู้นั้นพูดจบก็หันควับเดินออกไปจากหน้าแท่นประทับโดยไม่ให้เคารพแก่กษัตริย์เลยแม้แต่น้อย  กษัตริย์อึ้งไปสักพักเนื่องจากการกระทำอันน่าเกลียดของชายผู้นั้นก่อนจะตะโกนอย่างโทสะออกไป “ไปจับตัวผู้นั้นมาเดียวนี้”แต่เมื่อนายทหารออกไปหาบุรุษผู้นั้น  ก็พบแต่ทางเดินในราชวังที่ว่างปล่าวหาพบบุรุษนั้นไม่ 
     
     “ภายนอกอาณาจักรในยามวิกาลเช่นนี้  ช่างสวยงามเหลือเกิน” เสียงเจื้อยแจ้วของครุฑสาวที่นั่งอยู่บนกิ่งใบของอิกดราซิลพูดกับแมลงที่มีปีกสีเพลิงข้างกาย  “ใช่จริงๆด้วย  ยิ่งมีเจ้าหญิงเดลิเซียอยู่เคียงกายเช่นนี้แล้ว  ข้ายิ่งรู้สึกว่าคืนนี้  ข้ามีความสุขอย่างที่สุด” ตัวนั้นกล่าวพลางกุมมือของครุฑสาวเอาไว้  “ฉันก็เช่นกัน  อยากอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแสนนาน” เจ้าหญิงพูดแล้วหันหน้าไปทางบุคคลข้างกายด้วยสีหน้าเขินอาย  ผีเสื้อปีกเพลิงหันมามองหน้าตอบในทันที“องค์หญิง  หากข้าจะขอท่านแต่งงานท่านจะว่า...” “ไม่ได้เด็ดขาด  จะให้องค์หญิงแห่งอาณาจักรครุฑมาแต่งงานกับแมลงอย่างเจ้าได้อย่างไรกัน” เสียงครุฑเฒ่าจากเบื้องหน้าดังขึ้นโดยมิมีใครสังเกตเห็นแต่แรก  “กษัตริย์ครุฑ  ข้าขอโอกาสด้วยเถิด”  ผีเสื้อตัวเดิมอ้อนวอนขอ  “ไม่มีโอกาสสำหรับคนอย่างเจ้า  กลับอาณาจักรเราเดียวนี้  เดลิเซีย” กษัตริย์ครุฑสั่งธิดาของตน  พลันครุฑอีกจำนวนหนึ่งก็ปรากฏรอบกายเจ้าหญิงและนำตัวเจ้าหญิงกลับไป  “ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้ข้าสัญญา”ผีเสื้อเพลิงตะโกนบอกด้วยความโศกศัลย์  และคำตอบที่ได้มาก็คือ  น้ำตาซึ่งรินไหลมาจากใจขององค์หญิงเดลิเซีย
     
     รุ่งเช้าหลังจากผ่านค่ำคืนอันยาวนานมา  ฝูงครุฑจำนวนหนึ่งได้บินร่อนเข้ามาในเขตอาณาจักรแมลง  แล้วจึงเดินตรงไปยังปราสาท  องค์กษัตริย์แห่งแมลงเห็นดังนั้นจึงเริ่มสงสัยในคำกล่าวของโลก้าเดสว่าจะเป็นจริงรึไม่  “ข้าคือราชทูตแห่งอาณาจักรครุฑ  มาขอเจรจานำตัวองค์หญิงเดลิเซียกลับคืนสู่เมือง” ครุฑตัวหนึ่งกล่าวขึ้น  ซึ่งก็ทำให้ทุกคนในวังแปลกใจ  “เจ้าว่าอะไรกัน  องค์หญิงที่ไหนกัน  หรือเจ้าคิดว่าอาณาจักรของเราลักพาตัวองค์หญิงของเจ้าไป”กษัตริย์กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ใช่  เพราะแม่ทัพของเจ้าลักลอบคบกับองค์หญิงเดลิเซียน่ะสิ” เสียงปริศนานั้นดังขึ้นมาจากประตูขนาดใหญ่ของห้องโถงจนทุกคนในห้องประชุมต้องหันไปดู ร่างกษัตริย์ครุฑขนาดใหญ่ร่างหนึ่งที่กำลังยืนพิงขอบประตูอยู่นั้นได้กล่าวขึ้น  “ที่อาณาจักรแห่งนี้ไม่มีผู้ใดทั้งนั้น” แมลงบนบัลลังค์กล่าว  “หากเจ้ายังคิดจะปกป้องแม่ทัพของเจ้าอยู่  เราจะได้เห็นดีกัน” กษัตริย์ครุฑพูดพลางชี้มือไปทางบัลลังค์แล้วจึงบินออกไปจากปราสาทอย่างรวดเร็ว  ตามต่อไปด้วยทัพครุฑบินตามออกไป  “ใช่จริงๆ  สงครามเกิดขึ้นตามที่โลก้าเดสกล่าวไว้จริงๆ...ว่าแต่องค์หญิงเดลิเซียหายไปไหนล่ะ” กษัตริย์แมลงนึกในใจ
     
     “เป็นไปตามแผนที่เสด็จแม่กล่าวไว้  อาณาจักรครุฑเริ่มเคลื่อนไหวจากการที่องค์หญิงเดลิเซียหายตัวไปแล้ว”  ร่างในผ้าคลุมผู้เดิมกล่าวกับบุคคลบนบัลลังค์ใต้ดินซึ่งกำลังถักทอเส้นใยสีดำอย่างน่ากลัว  “แต่เสด็จแม่  ข้ามีข้อสงสัยประการหนึ่ง” เขาพูดต่อ  พลันราชินีบนบัลลังค์ก็หันควับมามองด้วยสายตาสงสัย  “สิ่งใดเล่าที่เจ้าสงสัย” นางตอบด้วยเสียงแหลมแต่สายตาก็ยังจ้องเขาไม่เปลี่ยน “เหตุใดอาณาจักรแห่งนี้จึงเรียกบุตรที่เกิดเป็นแมลงอย่างข้าว่าเป็นแมลงต้องคำสาป” เขาตอบโดยไม่เอ่ยลักษณะร่างของตน “นานมาแล้วที่บุตรในอาณาจักรที่เกิดเป็นแมลง..อย่างเจ้า ภัยพิบัติต่างๆก็เริ่มคืบคลานเข้ามาทีละน้อย จนในที่สุดก็เกิดสงครามครั้งใหญ่เนื่องจากแมลงตัวนั้นตัวเดียว  ซึ่งจากสงครามครั้งนั้นเองอาณาจักรของเราจึงถูกย้ายไปในอีกมิติหนึ่งจนถึงวันนี้  ว่ากันว่า  แมลงตัวนั้นเกิดจากคำสาปที่ชั่วร้าย” นางเล่าประวัติตามคำขอ “ถ..ถ้าเป็..นเช่นนั้น  เหตุใดเสด็จจึงยังคงดูแลข้ากระหม่อมอยู่เล่า” ชายสวมผ้าคลุมถึงกับเข่าอ่อนเมื่อรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองพลางถามปากสั่นครือ ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นจากราชินีแมลง “ก็เพราะลูกเป็นลูกของแม่นะสิ  แม่ที่ไหนจะสังหารลูกได้ลงคอกันล่ะ” นางตอบแล้วจึงโอบมือทั้ง4คู่ของนางไปที่ชายในผ้าคลุมอย่างนุ่มนวล  “ครับผมก็รักแม่เช่นกัน”ชายซึ่งบัดนี้ผ้าคลุมที่ห่อหุ้มตัวเขาอยู่ได้ได้หลุดออกให้เห็นร่างอันอัปลักษณ์ของเขา  ร่างที่ในอดีตเคยเกือบจะถูกสังหาร  ร่างต้องคำสาปที่มิใช่แค่ในตำนาน  ซึ่งบัดนี้ได้อยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของราชินีแมลง
Logged


mantellumarydoll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 643


Email
« Reply #11 on: August 31, 2007, 08:01:36 PM »

สามวันต่อมา ณ ทุ่งหญ้าโล่งกลางป่าใหญ่  เสียงตะโกนกู่ก้องประกาศว่า  ณ บัดนี้  สงครามระหว่างอาณาจักรทั้งสองได้เข้าสู่สถานะสงครามแล้วดังไปทั่วป่า  กองทัพของแมลงอันประกอบไปด้วยเหล่าด้วงชนิดต่างๆและทัพแมลงปอกลางเวหาซึ่งแม้จะได้เปรียบในเรื่องของความแข็งแรงในด้านร่างกายแต่ก็เทียบไม่ได้กับความรวดเร็วและการโจมตีที่ว่องไวของทัพครุฑอันทรงพลัง  เป็นเหตุให้ต้องถอยทัพก่อนเพื่อความปลอดภัย  ซึ่งแน่นอนในฐานะกษัตริย์ผู้ควบคุมกองทัพแมลงขนาดใหญ่นั้นต้องไม่พอใจเป็นแน่  จึงต้องวางแผนการรบใหม่ทั้งหมด  การประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด  ซึ่งผลที่ได้มาคือ  สนามรบแห่งใหม่ที่จะใช้ในการรบครั้งต่อไปนั่นคือ  ป่าทมิฬ
การเตรียมตัวของทหารในอาณาจักรแมลงนั้นวุ่นวายเอาเสียมากๆ  ตั้งแต่การเตรียมเสบียง  การวางกับดับหรือแม้แต่การซ่อมแซมอาวุธที่เสียหายไปจากการรบครั้งก่อน  ซึ่งในครั้งนี้  องค์กษัตริย์แห่งแมลงก็ได้เข้าร่วมรบด้วย   ยามเย็นเริ่มย่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ฉาบพื้นบริเวณนั้นจนเป็นสีเลือด  ทัพของอาณาจักรครุฑเริ่มเคลื่อนทัพเข้ามาในป่าอย่างไม่คิด  ราวกับเสือที่กำลังย่างเท้าเข้าสู่กับดักที่นายพรานตั้งเอาไว้
     
     สิ้นสุดเวลาที่แสงยามเย็นส่อง  ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นมืดจนมองทางแทบไม่เห็น  ทัพครุฑซึ่งมีทัพหน้าคือพลหอกครุฑนับพันนายเริ่มบินซอกซอนเข้าไปในป่าทมิฬอย่างไม่ทันระวังตัว  “นี่มันอะไรกัน” พลครุฑนายหนึ่งตะโกนลั่นหลังจากที่ร่างของมันได้ไปเกาะติดกับใยบางที่มองไม่เห็นพลันร่างของผู้นั้นก็หายไปกับความมืดในชั่วพริบตา  จนทำให้ทัพครุฑต้องงถอยออกมาจากเขตป่าลึกและบินขึ้นสู่ท้องฟ้าแทน  คราวนี้ทัพครุฑได้แต่ยิงลูกดอกลงสู่พื้นป่าโดยไม่มีเป้าหมาย  หากแต่ก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นมาตอบ  “ท่านแม่ทัพ  คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ” พลครุฑนายหนึ่งถามอีกาด้านข้าง  “รอดูอีกสักพักก่อน  ดูซิว่ามันจะมีลูกเล่นอะไรขึ้นมาอีก” มันตอบ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง  จนนายทหารทุกคนเริ่มแน่ใจว่า  สงครามครั้งนี้ยุติลงแล้ว  แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น  ฝูงธนูห่าใหญ่นับพันดอกถูกยิงขึ้นมาจากใต้ร่มป่า  ทำเอาครุฑหลายร้อยตัวที่ไม่ทันระวังร่วงลงสู่ผืนป่าอันดำมืด  ส่วนครุฑที่เหลือก็ตอบโต้ด้วยการยิงลูกดอกสวนลงไปตามต้นทาง  ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าเป็นการดวลธนูกันเลยก็ว่าได้  ภายใต้ความเงียบกริบของร่มใบใต้ป่าทมิฬ  เสียงออกคำสั่งของแมลงขนาดใหญ่เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมาจากรถม้าที่ถูกซ่อนไว้ใต้ร่มไม้  “จัดการเจ้าอีกาที่บินอยู่เบื้องบนนั่น  มันเป็นตัวออกคำสั่งให้แก่กลุ่มทหารนั่น”  กษัตริย์แห่งแมลงสั่งพลางชี้นิ้วไปเบื้องบน  “รับทราบ” แม่ทัพด้วงกว่างกล่าวตอบพลันกางปีกขนาดใหญ่และบินขึ้นไปบนท้องฟ้า  พระองค์ทรงมองตามออกไปบนอากาศพลางคิดในใจว่า  เมื่อไหร่สงครามครั้งนี้จะจบลงเสียที  หากแต่สิ่งที่ปรากฏบนเบื้องหน้าของกษัตริย์กลับมิใช่ท้องฟ้าอันสุกสกาว  กลับเป็นร่างในผ้าคลุมสีดำที่คุ้นเคย  “นั่นชายผู้นั้นนี่” พระองค์อุทานอย่างไม่เชื่อสายตา “ถึงเวลาที่ท่านจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ท่านทำแล้ว” มันพูด  แล้วจึงเปิดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นร่างแมลงอันอับลักษณ์ของมัน  “ล..ลูกข้า” พระองค์กล่าวน้ำตาไหลคลอ แต่สายตาที่จับจ้องพระองค์กลับมิใช่ความอาลัย  กลับแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง  “ลาก่อน  ท่านพ่อ” มันพูดพลางสะบัดข้อมือผ่านใบหน้าของพระองค์  เลือดจำนวนมากสาดกระเซ็นออกมาจากร่างนั้น “ข้าทำตามสัญญาแล้วนะ” โลก้าเดสกล่าวออกมาแก่บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง  บุคคลที่บังเอิญมาเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้  แม่ทัพออบซิเดียน
     
     รุ่งเช้าสงครามได้ยุติลงเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์แมลง  ซึ่งเป็นที่สงสัยแก่บุคคลทั่วไปในเรื่องของสาเหตุการตายอันเป็นปริศนา  การประชุมอันเนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ก็ได้เริ่มขึ้น  “ใครจะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังค์นี้ต่อไปล่ะ” แมลงอาวุโสตัวหนึ่งกล่าวขึ้นในที่ประชุม “แทนที่ท่านจะมาห่วงเรื่องนี้เหตุใดท่านไม่ห่วงเรื่องสงครามเลยล่ะ” ออบซิเดียนกล่าวทัก  “ใช่  ข้าก็คิดเช่นนั้น  แต่ว่าในสภาพที่เรายังไม่พร้อมเช่นนี้  ข้าคิดว่าเราควรที่จะขอสงบศึกลงก่อน” ผู้หนึ่งให้ความเห็น “จะไม่มีการสงบศึกใดใดทั้งสิ้น  สงครามจะยังคงมีต่อไป  และข้าจะเป็นผู้ที่ครองราชย์บัลลังค์แทนพระองค์เอง”เสียงเคร่งขรึมถูกเอ่ยขึ้นมาจากประตูที่ถูกแง้มเปิด  ร่างของแมลงสาปตัวหนึ่งค่อยๆย่างก้าวเข้ามาในห้อง “โอรส..ยังไม่ตาย”ทุกคนอุทานขึ้นมาพร้อมกัน  “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง  สงครามที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่มันจะได้อาจหาญมาทำสงครามกับเรา”โอรสกล่าว
     
     ในห้องบรรทมของกษัตริย์องค์ใหม่  เศษกระดาษที่เต็มไปด้วยรอยขีดฆ่านั้นกระจัดระจายไปทั่วห้อง  ร่างของกษัตริย์องค์ใหม่นอนครุ่นคิดถึงเรื่องส่วนตัวของตนเอง  จนคล้อยหลับไป “ลูกข้า  ลูกข้า  จงกลับมา” เสียงๆหนึ่งดังก้องเข้าไปในหูของเขา  เสียงนี้ดังซ้ำๆหลายรอบจนพระองค์แทบทนไม่ไหว  “แกเป็นใครน่ะ  บังอาจมาส่งเสียงรบกวนในห้องของข้า” พระองค์ตะโกนลั่นใส่บุคคลที่อยู่ในเงามืดเบื้องหน้า  แต่แทนที่จะได้รับคำตอบ  บุคคลผู้นั้นกลับเดินเข้ามาใกล้กับร่างของพระองค์เรื่อยๆ  จนเมื่อถึงต่อหน้าเงานั้นก็พูดขึ้นมาด้วยคำที่น่าสะพรึงกลัว  “สมแล้ว  ที่เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของข้า” พลันร่างนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตาองค์กษัตริย์  “แอ๊ด” เสียงประตูห้องของกษัตริย์เปิดขึ้นจนพระองค์ต้องสะดุ้งอีกครั้ง  “ข้ากระหม่อมคิดไว้แล้วตั้งแต่พระองค์เกิดมา  พระองค์มิใช่บุคคลธรรมดา” แม่ม่ายดำตัวหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพูดพลางกวาดสายตาไปรอบห้องบรรทม  “เจ้ารู้เรื่องที่ข้าเจอเมื่อครู่ด้วยหรือ” พระองค์พูดอย่างแปลกใจ  “ใช่  ก็พระองค์น่ะเป็นผู้ที่เกิดมาจากคำสาปที่มิมีใครแก้มันได้  มันเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายจากผู้ๆหนึ่ง” นางตอบพลางนั่งลงกับม้านั่งแกะสลัก “ใครกัน” พระองค์ถามด้วยท่า ทางสงสัย “ท่านผู้นั้นก็คือ อสูรที่ชั่วร้ายนามว่า ซาตาน ยังไงล่ะ” นางกล่าวเว้นเสียงเป็นจังหวะ  “ว่าแต่ตอนนี้องค์หญิงเดลิเซียเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” นางถามต่อพลางตะไบเล็บของตนกับม้านั่ง  “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกันล่ะ” “พระองค์ยังไม่ต้องทราบหรอก  ว่าแต่จะตอบข้าได้ไหม”นางถามอีกครั้งหนึ่ง “นางอยู่ในหอคอยกลางปราสาทนี้อย่างปลอดภัย” พระองค์ตอบโดยที่สายตายังคงสงสัยในความรู้ที่มากเกินไปของนาง “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ” พระองค์ถามคำถามนี้ไปอย่างกล้าๆกลัวๆ “อีกไม่นาน  เจ้าก็จะพบกับข้าอีก  เมื่อถึงเวลานั้น  ท่านก็คงจะรู้จักข้าดีพอแล้วล่ะ” นางเดินเข้ามาใกล้พระองค์จนเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของราชินีก่อนจะหันหลังกลับมามองตากษัตริย์แล้วจึงไต่ออกไปทางหน้าต่าง  “เพล้ง” เสียงอะไรสักอย่างแตกดังออกมาจากทางประตู “ใครน่ะ  ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” พระองค์ตะโกนออกไปด้วยความหวั่นเกรงอะไรสักอย่าง  “เมี้ยว”แมวตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากประตูแล้วจึงหนีไป  “ทำเอาเสียข้าตกใจหมด” พระองค์พูดแล้วจึงสะบัดตัวกลับไปยังเตียงที่ประทับของตนเอง“นี่เป็นเรื่องจริงรึนี่  กษัตริย์โลก้าเดสเป็นผู้วางแผนสงครามครั้งนี้ขึ้นมาทั้งหมด” เสียงเบาๆเสียงหนึ่งกำลังพูดกับตัวเอง “องค์หญิงเดลิเซีย  ข้าจะไปช่วยท่านเดี๋ยวนี้ล่ะ”ผีเสื้อเพลิงพูดพลางสะบัดปีกบินขึ้นไปสู่หอคอยกลางปราสาท  ซึ่งเป็นที่ใช้คุมขังนักโทษสำคัญๆเป็นสถานที่ที่มีการดูแลที่แน่นหนา แต่นั่นก็เป็นข้อยกเว้นให้แก่แม่ทัพผีเสื้อผู้นี้  เขาสามารถเข้าออกหอคอยได้อย่างอิสระ  เพียงแต่ว่าเขาค้นหาองค์หญิงเท่าไรก็ไม่เจอ
     
     รุ่งเช้าของวันที่จะเต็มไปด้วยสงครามได้เริ่มขึ้นด้วยท้องฟ้าสีหม่นแทนที่จะเป็นแสงยามเช้าอ่อนๆ  ทัพทั้งสองได้มาพร้อมหน้ากัน ณ ทุ่งดอกไม้กลางป่าหน้ามหาพฤกษายักษ์  แต่ในคราวนี้กษัตริย์ของอาณาจักรทั้งสองได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย  เสียงกลองสงครามดังระงมไปทั่วผืนป่าแห่งนี้ แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  ใบสีเงินของอิกดราซิลที่อยู่บนพื้นดินได้เริ่มหมุนลอยขึ้นกลางอากาศเกิดเป็นพายุขนาดยักษ์ท่ามกลางสมรภูมิรบ  แต่แทนองค์กษัตริย์ผู้นำทัพแมลงจะเป็นกังวล  ใบหน้าของพระองค์กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับว่าพระองค์เป็นผู้สร้างพายุนั้นเอง  ซึ่งตรงกันข้ามกับทัพของอาณาจักรครุฑซึ่งแพ้ทางลมพายุที่รุนแรงเช่นนี้  ลมพายุเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนแม้แต่แมลงที่มีน้ำหนักมากบางตัวก็ยังปลิวไปกับลมพายุนั่น  จนถึงจุดนี้กษัตริย์แมลงเริ่มกังวลเสียแล้วในเมื่อทัพของตนสูญเสียกำลังคนไปจำนวนมากขนาดนี้ พลันก็เหลือบไปเห็นสาเหตุของพายุครั้งนี้  มหาพฤกษาอิกดราซิล!“ท่านนี่มันช่างยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเหลือเกิน” กษัตริย์แมลงพูดกับมหาพฤกษา  แต่มามีเสียงใดๆตอบกลับไม่  แต่ลมพายุก็ยิ่งพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ“หุบปากของท่านลงเดี๋ยวนี้” พระองค์พูดพลางฟาดดาบในมือไปทางอิกดราซิล  แรงดาบของพระองค์ถึงขนาดทำให้เปลือกไม้ขนาดใหญ่ปริแตกไปส่วนหนึ่ง  เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นมาทันที  เปลือกไม้เริ่มแตกแยกออกมาเผยให้เห็นร่างของมังกรขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง “มังกรผู้พิทักษ์เทพอิกดราซิลในตำนาน  มารัคงั้นรึ” กษัตริย์แมลงพูดด้วยวาจาเย้ยหยั่น  พลางสะบัดดาบในมือขึ้นอีกที “นี่รึ ผู้ปกป้องเทพผู้ยิ่งใหญ่” แรงดาบครั้งนี้ถึงกับทำให้ป่าที่อยู่ในรัศมีดาบนั้นราบเป็นหน้ากลองไปพร้อมกับร่างมังกรผู้พิทักษ์  “จะไม่มีผู้ใด ยุติสงครามครั้งนี้ลงได้  นอกจากชัยชนะของข้าผู้เดียว” กษัตริย์หนุ่มกล่าวด้วยท่าทางดั่งปีศาจ ดวงตาชั่วร้ายสีแดงสดฉายไปทางทัพครุฑ
     
     “เสียงเพลงนี้มัน  ขององค์หญิงมิใช่หรือ” ผีเสื้อหนุ่มผู้กำลังค้นหาองค์หญิงเดลิเซียบังเอิญได้ยินเสียงอันไพเราะของนาง  จึงตามเสียงนั้นเข้าไปจนไปถึงห้องที่อยู่บนชั้นบนสุด  เมื่อเข้าไปถึงเขาก็พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นในเวลานี้  ร่างของอสูรที่ชั่วร้ายที่สุดในนรกกำลังสะบัดข้อมือขององค์หญิงเข้าไปในอุโมงค์สีดำมืด  “ซาตาน” ผีเสื้อเพลิงกล่าวอย่างไม่เชื่อสายตา “รู้ชื่อข้าด้วยหรือ ว่าแต่เจ้ากำลังมาช่วยนางนี้ใช่ไหมล่ะ” ซาตานกล่าวด้วยสายตาชั่วร้าย  จนผีเสื้อเพลิงได้แต่พยักหน้าตอบไป “แต่เสียใจด้วยนะ  เพราะข้าต้องขอตัวนางไปก่อน  หากเจ้าอยากช่วยนางจริงๆ จงนำชิ้นส่วนจิตวิญญาณของข้ามาแลกแล้วกัน  แล้วข้าจะรอ” พูดจบก็นำตัวนางกระโดดลงไปในอุโมงค์หายไปและหายวับไปกับตา  “องค์หญิงรอก่อนนะ” ผีเสื้อเพลิงพูดกับตัวเอง
     
     “ไหนล่ะ  ผู้ใดมันจะมาประลองกับข้า” กษัตริย์แมลงเอ่ยวาจาเย้ยทุกผู้ที่อยู่ในที่นั้น แต่ก็หามีผู้ใดเอ่ยตอบไม่  มีแต่ผู้คนที่กำลังวิ่งหนีกันอย่างอลหม่าน พายุเริ่มสงบลงอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้หมอกสีดำกลับเคลื่อนเข้ามาบดบังแสงอาทิตย์แทน  “ลูกข้า  จงกลับมาสู่ร่างของข้า” เสียงๆหนึ่งดังก้องในหัวของพระองค์อีกครั้ง  “เจ้าเป็นใครกันแน่” พระองค์พูดกับตัวเองพลางกุมหัวด้วยความเจ็บปวด  “ข้าคือบุคคลเดียวกับเจ้า  ไม่สิเจ้าคือข้า” เสียงนั้นดังขึ้นอีกที  แต่คราวนี้  ต้นเสียงนั้นดังจากเงาเบื้องหน้าพระองค์  “ท่านคือ..” พระองค์กล่าวด้วยความตะลึงเมื่อบุคคลเบื้องหน้าคือ  ชายในผ้าคลุมที่มีปีกทั้ง4คู่  “ซาตาน ใช่เจ้าคือส่วนหนึ่งของข้า  จงกลับมาเถิดกลับมาสู่ร่างอันเป็นที่รักของข้า”  อสูรกายตัวนั้นเอ่ยวาจาชักชวนพลางสะบัดปีกทั้ง4คู่  “ไม่มีวัน  ข้าจะไม่กลับไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ใดทั้งนั้น” พระองค์กล่าวด้วยความกริ้วพลันสายฟ้าก็ฟาดลงไปยังจุดที่ซาตานอยู่เมื่อครู่  แสงของสายฟ้าเผยให้เห็นร่างที่ถูกปกปิดไว้  “ท่านแม่” พระองค์อุทานอย่างไม่เชื่อสายตา“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” สิ้นคำเงาด้านหลังก็กลับรวมตัวกันจนเป็นหลุมสีดำมืด  หลุมดำนั้นก็ดูดร่างขององค์ชายเข้าไปภายในนั้นอย่างรวดเร็ว  “เหตุใดท่านแม่จึงทำกับข้าเช่นนี้เล่า” พระองค์กล่าวในขณะที่ร่างกำลังถูกดูดลงไปในหลุมดำ  ชั่วพริบตานั้นเอง  มือของแมลงตัวหนึ่งก็คว้ามาจับข้อมือของพระองค์ไว้ได้  “พระองค์จับมือข้าไว้ดีๆนะ” ร่างของเบลเลอร์พูดขึ้น  “อีกนิดเดียวเท่านั้น” เขาพูดด้วยแรงเฮือกสุดท้าย  ก่อนที่จะได้ยินเสียงคมดาบแหวกอากาศตัดไปที่แขนขวาของพระองค์ “ไม่นะ” ผีเสื้อพูดพลางหันไปดูหน้าของบุคคลที่ทำเยี่ยงนั้น “ข้าอุตสาห์นำมาให้เจ้าเองแท้ๆ  ยังจะตกใจสิ่งใดไปเล่า” ซาตานยื่นแขนนั้นมาให้แก่ผีเสื้อเพลิงซึ่งกำลังมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง  “นี้ไง  องค์หญิงเดลิเซียที่ข้าสัญญาไว้น่ะ” มันพูดพลางส่งนางให้แก่เขา“ท่านจะไม่มีวันได้แขนชิ้นนี้ไปแน่นอน” เบลเลอร์นำแขนของกษัตริย์ยื่นเข้าใกล้ปีกของตน  “สิ้นสุดกันเสียที  ความชั่วร้ายครั้งนี้” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมจ้องมองแขนที่กำลังเผาไหม้ไปพร้อมกับร่างของซาตานที่กำลังลุกโชน  เพียงไม่กี่นาทีต่อมา  มันก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว 
     
     หลังจากสงครามสิ้นสุดลง  อาณาจักรทั้งสองก็ได้ฟื้นฟูประเทศของตนเองอย่างรวดเร็วจนในไม่ช้า  สภาพของสงครามก็กลับเป็นเช่นเดิม  หากแต่เมื่อจบสงครามไปแล้ว  ก็ไม่มีใครพบกับเบลเลอร์และเดลิเซียเลยแม้แต่น้อย  ซึ่งสร้างความโกรธเคืองให้แก่อาณาจักรครุฑจนอาณาจักรทั้งสองเป็นปรปักษ์กันมาจนถึงทุกวันนี้


                    จบแล้ว  หัวหมุนตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ  ช่วยติชมด้วยนะครับ
ปล.ช่วยติอีกครั้งนะครับ
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.098 seconds with 21 queries.