Summoner Master Forum
October 03, 2024, 01:27:52 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: [ประกวด] Odilon's Tale : Mermaid's Love Story  (Read 3841 times)
0 Members and 5 Guests are viewing this topic.
luminous_star
Member
*****
Offline Offline

Posts: 5


Email
« on: June 29, 2007, 01:35:25 AM »

Odilon’s Tale : Mermaid’s Love Story


“เมื่อห้วงนทีนำพาเราให้มาบรรจบพบกันฉันใด มหัณณพนั้นไซร้จักเป็นสถานที่ของสองเราชั่วนิรันดร์ฉันนั้น”

- Elvira Odilon, the Mermaid -


        ท่ามกลางสายน้ำห้วงสมุทรที่เย็นยะเยือกแห่งอาณาจักรแอนดิซอ บนโขดหินที่ถูกความเย็นแห่งสายน้ำเกาะกุมจนแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งได้มีร่างของนางเงือกสาวตนหนึ่งผู้มีใบหน้างดงามหมดจด เรือนผมสีฟ้าครามนั้นขับให้ผิวขาวและนัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกนั้นดูมีมนต์สเน่ห์ดึงดูดใจ
        เงือกสาว เอลวิร นางนั้นกำลังนั่งสางผมของเธอด้วยเปลือกหอยแหลม ในขณะที่นัยน์ตาของเธอกำลังเหม่อมองไปยังเรือเดินสมุทรลำเล็กลำหนึ่งที่กำลังแล่นผ่านกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด และเหล่าโขดหินของมหาสมุทรแห่งนี้
        เธอหาได้สนใจสนเรือลำนั้นไม่เลยแม้แต่น้อยเพราะมันก็เป็นเพียงแค่เรือเดินสมุทรที่มีเหล่านักเรียนจากสถาบันชื่อดังโดยสารมาเพื่อการทัศนศึกษาธรรมดาลำหนึ่ง หากแต่นัยน์ตาของเธอกลับถูกตรึงไว้ยังชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งอยู่บนเรือลำนั้น
        อควารอ บุรุษหนุ่มผู้ซึ่งมีใบหน้าคมคาย เรือนผมสีน้ำตาลแดงของเขารับกับอาภรณ์ผ้าสีน้ำเงินครามเนื้อดีที่บ่งบอกได้ถึงฐานันดรของเขาว่าคงจะมาจากตระกูลผู้สูงศักดิ์เป็นแน่ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการถูกจ้องมองโดยนางเงือกตนนี้ เขาจึงหันมายังทิศทางที่เธอนั่งสางผมอยู่
ทว่าเงือกสาวตนนั้นก็หายไปเสียแล้ว เหลือไว้เพียงโขดหินน้ำแข็งที่ว่างเปล่า สร้างความฉงนสงสัยให้แก่ชายหนุ่มว่าสัมผัสที่ถูกจ้องมองเมื่อครู่นี้คือสิ่งใดกัน
        แต่จู่ๆก็เกิดเสียงดังขึ้น ดึงความสนใจของชายหนุ่มที่ครุ่นคิดให้กลับมา ด้วยเพราะเสียงเตือนภัยของการโจมตีจากมังกรร้ายแห่งท้องสมุรจอร์มอนการ์ ที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับท้องน้ำที่บ้าคลั่ง
ความสับสน ความอลหม่าน ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นในบัดดล เหล่านักเรียนผู้ซึ่งมาทัศนศึกษาบนเรือต่างตื่นตระหนกตกใจ และหวีดร้องอึงอื้อด้วยความหวาดกลัวต่อมัจจุราชร่างยักษ์ที่คลุ้มคลั่งตัวนี้
        ในฐานะผู้อำนวยการแห่งสถาบัน อควารอนจึงได้วิ่งเข้าไปยังกาบเรือเดินสมุทรลำนี้ เพื่อเผชิญหน้ากับงูยักษ์ร้ายสีฟ้าเข้มตนนั้นเพียงลำพังคนเดียว เพื่อถ่วงเวลาให้เหล่าอาจารย์ท่านอื่นได้ทยอยพาลูกศิษย์ของเขาไปยังชายฝั่งที่ปลอดภัย
        อัญมณีสีอความารีนบนปลายไม้เท้าเวทย์ของชายหนุ่มกำลังเปล่งแสงสีน้ำเงินครามอย่างเจิดจรัส พลังงานมนตราแห่งความเย็นกำลังก่อตัวเคลือบแข็งผืนแผ่นมหาสมุทรแห่งแอนดิซองให้กลายเป็นผลึกแข็งเพื่อตรึงรั้งร่างยักษ์ของจอร์มอนการ์ดไว้
        ทว่าการกระทำนั้นก็เป็นได้เพียงแค่การถ่วงเวลาเพื่อที่จะให้เหล่านักเรียนนับร้อยนั้นได้ทยอยกันอพยพหนีลงจากเรือเดินสมุทรที่ใกล้จะอับปางลงยังผืนน้ำเบื้องล่างนี้เต็มที
        การยื้อยุดและเหนี่ยวรั้งมังกรร้ายดำเนินไปได้เพียงแค่ราวไม่กี่นาที ธารน้ำแข็งที่ตรึงร่างมังกรร้ายตนนั้นมิให้อาละวาดก็ปริแตกออกด้วยแรงอันมหาศาลของเจ้าสัตว์ร้ายที่แสนน่าสะพรึงตนนี้
        ไม่ช้าเจ้ามังกรก็เป็นอิสระจากน้ำแข็งที่พันธนาการลำตัวอันเหยียดยาวของมันไว้ พร้อมกับพุ่งเข้ากระแทกเรือลำนั้นอย่างแรงเป็นการระบายความขุ่นเคือง !!

        ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมกับยิ้มขณะที่ร่างของเขากำลังร่วงหล่นลงจากกาบเรือกระแทกสู่ผืนน้ำ หากแต่เป็นการหลับตาและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิในเกียรติยศครั้งสุดท้ายของเขาที่เขาพึงกระทำ
        ร่างของชายหนุ่มได้จมดิ่งลงสู่ผืนมหานทีที่เย็นเฉียบพร้อมกับเรือลำนี้ที่อับปางลง ชายหนุ่มทำหน้าที่ของผู้อำนวยการได้ดีที่สุดแล้ว ด้วยการปกป้องความปลอดภัยของเหล่านักเรียนของเขา หากแต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเอง...

        3 วันต่อมาหลังจากที่เรือเดินสมุทรอับปางลง

        สัมผัสจากความเย็นชื้นของผ้าขนหนูสีขาวนุ่มที่บรรจงเช็ดลงอย่างแผ่วเบาบนแผ่นอกกว้างได้ปลุกชายหนุ่มขึ้นจากนิทราสติสิ้น แพนขนตาดกหนาของชายหนุ่มกระพือขึ้นเพื่อขับไล่ความมืดมนให้ออกไป และรับแสงอรุณยามสาย
เบื้องหน้าอควารอนคือหญิงสาวหน้าตาหมดจด เรือนผมสีบลอนด์หยักศกของเธอถูกรวบไว้อย่างลวกๆ หากแต่นั่นก็มิทำให้ความอ่อนหวานของใบหน้าเธอลดน้อยลงไปแม้แต่น้อยเลย อีกทั้งยังผิวพรรณที่ขาวละมุนดุจไข่มุกขับริมฝีปากแดงเรื่อนั้นให้ดูเอิบอิ่ม
        พวงแก้มขาวปลั่งของหญิงสาวปริศนาขึ้นสีเรื่อด้วยความขวยเขินพร้อมหลบตาที่จ้องมองของชายหนุ่ม เมื่อรับรู้ว่าบุรุษเบื้องหน้าที่เธอกำลังพยาบาลอยู่นั้นได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆดันตัวขึ้นอย่างสุภาพพร้อมกับเอ่ยถามคำถามแรกออกมาหลังจากที่ตื่นขึ้น

        “ที่นี่ที่ไหนกันครับ... อะ...โอ๊ย !!”

        ชายหนุ่มเอ่ย ทว่ายังมิทันจะจบประโยคดีนัก อควารอนก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดที่บริเวณสีข้างที่ยังผลมาจากการกระแทกเข้ากับเศษซากไม้ของเรือที่แตกพัง

        “ระวังค่ะ! ค่อยๆนอนลงช้าๆนะคะ”

        เสียงกังวานใสที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาวปริศนาที่ตรงเข้ามาประคองร่างของชายหนุ่มให้นอนลงนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาด

        “คุณยังไม่หายดี ไม่ควรจะลุกนั่งหรือทำอะไรเร็วๆแบบนี้นะคะ”

        เธอเตือนด้วยความหวังดี ก่อนจะค่อยๆหยิบผ้าห่มสีขาวสะอาดมาคลุมปิดทับแผ่นอกกว้างของชายหนุ่มเอาไว้ จากนั้นจึงลุกขึ้นจากเตียงนอนสีขาวที่เธอนั่งอยู่เมื่อครู่

        “คุณเพิ่งฟื้นจากการสลบไปราว 3 วันคงจะหิว เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้ทานก่อนนะคะ”

         เพียงแค่ดวงตาสีครามของคนทั้งสองสบตากันอย่างมิได้ตั้งใจก็ราวกับโลกทั้งใบนั้นหยุดหมุน สายลมหนาวหยุดพัดเป่าเหลือเพียงความนิ่งสงบ เสียงเกลียวฟองคลื่นกระทบฝั่งกลับกลืนเงียบหาย สรรพสิ่งรอบกายราวกับว่างเปล่าดุจอณูอากาศธาตุ
        เนิ่นนานเพียงไรก็มิอาจชัดแจงที่หนุ่มสาวทั้งสองต่างจ้องมองซึ่งกันและกันราวกับตกอยู่ในภวังค์ ที่โลกทั้งใบนี้มีเพียงเขาสองคนเพียงเท่านั้น
        ทว่าการสบตาลึกซึ้งก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงท้องร้องของชายหนุ่มที่ดังขึ้นด้วยความโหยหิว อันเป็นการเรียกสติของคนทั้งสองคืนกลับมา หญิงสาวรีบหันหน้าหนีเพื่อซ่อนพวงแก้มที่แดงดุจลูกตำลึง พร้อมกับรีบเดินหายลับออกจากห้องนี้ไป
        ซึ่งท่าทางการแสดงออกที่ดูซื่อบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาเมื่อครู่ของหญิงสาวกลับตราตรึงลงในใจของชายหนุ่มอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่จริงแล้วชายหนุ่มก็เคยผ่านพบหญิงสาวหน้าตาสะสวยกิริยางดงามมามากมายก็ตาม แต่หญิงสาวเหล่านั้นกลับมิได้เป็นที่ต้องตาต้องใจเลยเขาเลยแม้แต่น้อย
        ราวกับเพียงแค่การสบตากันเพียงชั่วครู่จะทำให้เขาตกหลุมรักหญิงสาวปริศนาคนนี้ หญิงสาวที่ไม่รู้ซึ่งที่มาที่ไป หญิงสาวที่ไม่รู้จักซึ่งชื่อ หญิงสาวที่ซึ่งไม่เคยพานพบกันมาก่อน
        ทว่าโชคชะตาก็นำพาคนทั้งสองให้มาบรรจบพบกันหรือนี่จะเป็นลิขิตแห่งฟากฟ้าสรวงสวรรค์ที่พระเจ้าท่านทรงดลบันดาลให้ทั้งสองเป็นคู่แท้กันเล่าหนอ...

        เพียงไม่นานนักหญิงสาวคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับถือถาดไม้ที่วางชามลายเกลียวคลื่นที่บรรจุข้าวต้มหอมกรุ่นมาด้วย หญิงสาวค่อยๆเดินมาอย่างระมัดระวังก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆชายหนุ่ม

        “ทานข้าวต้มอุ่นๆรองท้องซักหน่อยนะคะ”

        เธอเอ่ยพร้อมกับบรรจงตักข้าวต้มกลิ่นหอมขึ้นมา แล้วเป่ามันให้คลายจากความร้อน จากนั้นจึงค่อยๆป้อนใส่ปากของชายหนุ่มที่ยังคงบาดเจ็บอยู่ ซึ่งชายหนุ่มก็ให้ความรวมมือเป็นอย่างดีอาจจะเป็นเพราะความหิวหรือสะกดนิ่งในทุกท่าทางอิริยาบถของหญิงสาวก็ไม่อาจทราบแน่ชัด
        ไม่นานนักข้าวต้มอุ่นๆก็พร่องไปราวครึ่งชาม ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น

        “ขอบคุณมากครับ... คุณ..เอ่อ...”

        หญิงสาวที่เห็นว่าอควารอนทำท่าว่าอิ่มแล้วจึงค่อยๆวางชามลงบนถาดเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเคอะเขินเจือความตื่นเต้น

        “ฉันชื่อ..อ...เอล... เอลวิราค่ะ”

        “แล้วคุณล่ะคะ...?”

        ชายหนุ่มระบายยิ้มบางๆออกมาขับให้ใบหน้าที่ซีดเซียวด้วยเพราะเพิ่งฟื้นจากอาการหมดสตินั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองอย่างเป็นกันเองกับหญิงสาวเพื่อให้เธอคลายความประหม่าลงว่า

        “ผมชื่อ อควารอน... อควารอน โอดิลอน”

        ชายหนุ่มสังเกตท่าทีที่แตกต่างของหญิงสาว ท่าทีที่แตกต่างจากคนปกติทั่วไปหลายๆคนที่มักเมื่อได้รู้ว่าตัวเขาเป็นบุตรผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลโอดิลอนอันทรงศักดิ์ ต่างก็มักจะแสดงทีท่าประจบสอพลอเพื่อหวังในอำนาจและบารมีของวงศ์ตระกูล
        ทว่าหญิงสาวก็ยังคงปฏิบัติกับเขาเช่นเดิมราวกับว่าเขานั้นเป็นเพียงแค่บุคคลธรรมดาสามัญผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากกว่าการถูกปฏิบัติด้วยท่าทีนอบน้อมและสอพลอ
        และแล้วมิตรภาพ ความผูกพัน ความเอื้ออาทรของชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้ก็เริ่มต้นไปอย่างราบรื่น จากการดูแล ปฐมพยาบาลให้แก่ชายหนุ่มด้วยใจที่ปรารถนาดีของหญิงสาวนั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดชายหนุ่มก็หายดีจากอาการบาดเจ็บภายในเวลาไม่นาน...

        เมื่อพบเจอ ก็ย่อมต้องมีการลาจาก... นั่นคือสัจธรรมอย่างหนึ่งที่ทั้งคู่กำลังประสบอยู่ ความรู้สึกดีที่ก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจของบุคคลทั้งสองที่กำลังจะดำเนินไปได้ด้วยดี หากแต่กลับต้องหยุดชะงักลง เมื่อหน้าที่นั้นสำคัญยิ่งเหนือกว่าความรู้สึกสำหรับชายหนุ่ม
        เมื่อถึงเวลาแล้วที่อควารอนจำต้องหวนคืนสู่สิ่งที่เขาจากมา สู่สังคมชั้นสูงของแอนดิซอง สู่หน้าที่การงานที่เขาละทิ้งล่วงเลยมาเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ ชายหนุ่มจำเป็นต้องลาจากเอลวิราไปด้วยความรู้สึกห่วงหาที่ซ่อนอยู่ลึกภายในใจ
        หากแต่ก่อนจะจากกันชายหนุ่มก็ได้ให้คำสัญญากับหญิงสาวไว้ด้วยความสัตย์ที่ตั้งมั่นว่า เขาจะกลับมาหาเธออีกครั้งภายในไม่ช้า... คำสัญญาที่หญิงสาวเชื่อมั่น คาดหวังด้วยรอยยิ้มและความสุขใจที่มีอยู่

        นานแล้วนานเล่า จากหนึ่งวันเปลี่ยนผันเป็นหนึ่งสัปดาห์ จากหนึ่งสัปดาห์แปรผันเป็นหนึ่งเดือน...

        ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนสำหรับใครหลายๆคนนั้นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น ทว่ากับเอลวิรานั้นมิใช่... หญิงสาวเฝ้ารอคอยอควารอนชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงใจของเธอด้วยความทุกข์ระทมแห่งความโหยหาและคิดคำนึงถึงแทบทุกห้วงลมหายใจของเธอ
        ราวกับเป็นบททดสอบแห่งฟากฟ้าที่ส่งลงมาทดสอบรักแท้ที่เกิดจากดวงใจสองดวงที่เชื่อมโยง ว่าจะผูกพันลึกซึ้งกันเพียงไรก็มิปาน
        แต่แล้วคำสัญญาที่ชายหนุ่มให้ไว้นั้นก็ราวกับเป็นเพียงแค่ลำปากที่พรั่งพรูออกมาก่อนจะลอยหายไปกับสายลมที่พัดนำพาความแห้งแล้งและอ้างว้างมาสู่จิตใจของหญิงสาวผู้โศกเศร้า

        ทว่าในที่สุดแล้วชายหนุ่มก็กลับมาหาเธออีกครั้ง ประดุจดั่งสายธารใสที่ผุดขึ้นหล่อเลี้ยงดวงใจที่แห้งผากไปด้วยความทุกข์ระทมของหญิงสาว แม้หญิงสาวจะทรมานเพราะการรอคอยอันเนิ่นนานเพียงไรนั้น ชายหนุ่มเองก็มิได้ทรมานน้อยหรือด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย....
        ยิ่งห่างไกลกันยิ่งทำให้โหยหา ยิ่งไกลจากกันยิ่งทำให้รู้ว่าคิดถึงกันมากเพียงไร ยิ่งจากกันนานเท่าไรยิ่งทำให้รู้ว่าชีวิตนี้ขาดฝ่ายตรงข้ามมิได้มากขึ้นเท่านั้น
        ณ ห้วงเวลานี้ชายหนุ่มรับรู้แล้วว่าชีวิตของเขานั้นทรมานมากเพียงไรหากต้องขาดหญิงสาวเบื้องหน้าผู้ซึ่งมีพระคุณช่วยชีวิตของเขาไว้... และผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจดวงน้อยของเขาทั้งดวง...

        ไม่ช้าชายหนุ่มก็ขอเธอแต่งงาน ท่ามกลางการคัดค้านของเหล่าวงศ์ญาติแห่งโอดิลอนผู้ทระนงในความสูงศักดิ์ของตนเอง ที่มิอยากได้สะใภ้ที่ไร้ซึ่งศักดินาหรือเกียรติวงศ์ใดมาร่วมตระกูล
        ทว่าอุปสรรคและการขัดขวางมากมายเพียงไรนั้นกลับยิ่งทำให้ความรัก ความผูกพันของคนทั้งสองแนบแน่นกันยิ่งขึ้น จนในที่สุดงานแต่งงานของคนทั้งสองก็ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ณ หาดทรายสีขาวสะอาด ลา เพลกบลู
        ชายหาดที่เป็นที่สถิตตั้งของวิหารสักการะนางฟ้าเมอร์เกล [Muirgheal, the Guardian Angel of Odilon] อารักขเทวดาผู้คุ้มครองตระกูลโอดิลอนมานานนับหลายชั่วอายุคน
        งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างง่ายๆมีเพียงคนในตระกูลโอดิลอนมาร่วมงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนทั้งสองที่มีพันธสัญญามั่นทางใจ หาใช่เพียงแค่พิธีการเปลือกนอกไม่
        ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองต่างอยู่อาศัยฉันสามีภรรยามานานนับปี จนกระทั่งให้กำเนิดบุตรสาวและบุตรชายขึ้นจำนวน 3 คน ซึ่งแต่ละคนนั้นล้วนเติบโตมามีพลังเวทย์สายน้ำที่สูงส่งจนหลายๆคนในตระกูลโอดิลอนต่างทึ่งและแปลกประหลาดใจในสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของเด็กๆเหล่านั้นเป็นอย่างมาก


        นานวันผันแปรเปลี่ยนเป็นนานปี จากห้าปี เป็นสิบปี จากสิบปีเป็นยี่สิบปี สามสิบปี...

        วัยชราได้ย่ำกรายเข้ามาสู่อควารอนผู้เป็นสามี ทว่าสำหรับเอลวิรานั้นนานวันความงดงามของเธอกลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ไร้ซึ่งริ้วรอยหรือสัญลักษณ์แห่งความร่วงโรยเลยไม่แม้แต่น้อย
        ความงามสะพรั่งที่นับวันจะยิ่งเพิ่มพูนนั้นยังความแปลกใจให้แก่ผู้คนในตระกูลเป็นอย่างมาก บ้างก็กล่าวหาว่าเอลวิรานั่นเป็นปีศาจร้ายที่คอยดูดกลืนวิญญาณของผู้อื่นเพื่อความงดงามของตนเองบ้าง บ้างก็ลือกันว่าเอลวิรานั้นมียาอายุวัฒนะสูตรพิเศษบ้าง
        แม้จะเกิดกระแสเสียงลือเสียงเล่าซุบซิบใดๆขึ้นมากมายรอบๆกายของอควารอน เขาก็มิได้สนใจหรือเคลือบแคลงในภรรยารักของตนเลยไม่ หนำซ้ำกลับยิ่งรัก ยิ่งหวง ยิ่งปกป้องเธอมากขึ้นไปอีก
        ทว่าในที่สุดมนุษย์อย่างอควารอนก็มิอาจต้านทานกาลเวลาที่ล่วงผ่านเลยเข้ามาสู่ความชราภาพได้ ยิ่งนับวันร่างกายของเขายิ่งอ่อนแอลง จากชายหนุ่มที่เคยแข็งแรง เดินเหินสะดวกสบาย กลับกลายเป็นชายชราที่ไร้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรงและมีโรคภัยมากมายมารุมเร้า
        แต่เอลวิรานั้นก็มิได้ทอดทิ้งสามีที่ชราภาพของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอกลับยิ่งดูแลปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดี ด้วยความรัก ความผูกพันที่มีให้ต่อกันและกัน และสัญญาที่ว่าจะดูแลกันไปตราบจนวันสิ้นลมหายใจ


        ในที่สุดห้วงเวลาแห่งความทุกข์เศร้าก็บังเกิดขึ้น ในเช้าของวันAqua ที่ 13 ของเดือน John ศักราช Anno Kyrios xxx วันที่มัจจุราชแห่งความตายได้มาพรากเขาไปจากเธอตราบชั่วนิรันดร
        อควารอนสิ้นลมอย่างสงบท่ามกลางหมู่วงศาคณาญาติ และเอลวิรา หญิงสาวผู้เป็นที่รักยิ่งของเขาตราบตั้งแต่แรกเริ่มที่พานพบกระทั่งจวบจนลมหายใจสุดท้ายที่หมดลง
        ก่อนที่จะสิ้นลมอย่างสงบนั้น อควารอนได้ฝากฝังคำสั่งเสียสุดท้ายไว้ด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข และสีหน้าที่เอิบอิ่มว่า

        เอลวิรา...ที่รักของผม...”

        “หากผมหมดลมหายใจลงแล้ว... คุณช่วยนำร่างอันไร้วิญญาณของผม”

        “กลับคืนลงสู่ผืนสมุทรอันเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่งด้วยนะครับ...”

        อควารอนกล่าวพร้อมกับพยายามยกมือของเขาขึ้นลูบใบหน้าภรรยาอย่างช้าๆ ราวกับจะเป็นสัมผัสสุดท้ายที่เขาจะสามารถกระทำได้ ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวเอลวิราลงมาเพื่อโอบกอดซึมซับไออุ่นกายเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจลงอย่างสงบ
        หยาดน้ำตาของเอลวิราร่วงหล่นลงมาจากนัยน์ตาสีครามแสนสวยตกต้องลงสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นสามีอันเป็นที่รักยิ่ง น้ำตาที่เย็นเหยียบแต่ก็มิอาจเทียบเท่าความเหน็บหนาวในหัวใจของเธอที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าเธอกลับยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มที่หมายจะมอบไว้ให้แก่อควารอนเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับก้มลงจุมพิตใบหน้าของเขาเบาๆราวกับจะกล่าวคำอำลาเป็นครั้งสุดท้ายแก่สามีผู้วายชนม์


        หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน...

        บนเรือเดินสมุทรลำหนึ่งที่เหล่าผู้คนในตระกูลโอดิลอนโดยสารกำลังแล่นไปสู่ใจกลางมหาสมุทรลึกแห่งแอนดิซอง เหล่าผู้คนต่างร่ำไห้กับการจากไปของอควารอนอย่างเงียบๆ ด้วยการสงวนท่าทีของเหล่าชนผู้มากด้วยศักดิ์
        ทว่าคงมีเพียงแต่เอลวิราเพียงผู้เดียวเท่านั้นกระมังที่แสดงออกถึงความเศร้าเสียใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้เหล่าบุตรและบุตรีของเธอต่างจะเข้ามาปลอบประโลมดวงใจที่แสนจะปวดร้าวของเธอให้คลายความเศร้าลง ทว่ามันก็มิอาจผ่อนคลายลงได้เสียเท่าไหร่นัก
        ไม่ช้านักบวชแห่งตระกูลก็เริ่มต้นทำพิธีสวดมนต์เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับค่อยๆปล่อยเรือลำเล็กที่บรรทุกร่างอันหลับใหลชั่วนิรันดร์ของอควารอนลงสู่ห้วงมหานทีสีน้ำเงินเข้มที่แสนเย็นยะเยือกเบื้องล่าง

        แต่แล้วก็เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น สิ่งที่ทำให้สายตาทุกคู่บนเรือเดินสมุทรลำนั้นต้องตกตะลึง เมื่อจู่ๆเอลวิราก็ผละตัวเองออกไปจากเหล่าบุตรของเธอ พร้อมกับกระโจนลงจากเรือทันที !!
        ด้วยความสูงจากตัวเรือและผืนน้ำนั้นมากพอที่จะคร่าชีวิตของเธอได้ ทำให้เหล่าผู้เป็นบุตรต่างร่ำไห้กับความคิดของเธอที่ต้องการจะฆ่าตัวตายตามสามีของเธอไป...


        ทว่าจู่ๆเหล่าผู้คนบนเรือเดินสมุทรต่างก็ต้องตกตะลึงเมื่อจู่ๆ ก็มีเงือกสาวตนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากท้องน้ำสีน้ำเงินเข้ม เงือกสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเอลวิรา เรือนผมสีฟ้าครามยาวสยายดุจเกลียวฟองคลื่นของเธอ ขับให้ใบหน้าของเธอนั้นดูโดดเด่นยิ่งกว่าสรรพสิ่งใดๆ
        นางเงือกตนนั้นได้กระโจนขึ้นสู่เรือลำเล็กที่บรรทุกร่างของสามีเธอไว้ พร้อมกับโอบอุ้มร่างอันไร้ซึ่งจิตวิญญาณของสามีเธอขึ้นไว้แนบกับอก ก่อนที่จะนำพาร่างนั้นกระโจนลงสู่ผืนน้ำทะเลลึกสีทมิฬ หายลับไปจากสายตาหลายคู่แห่งชนชาวโอดิลอนที่เฝ้ามองด้วยอาการที่ตกตะลึง


        นับตั้งแต่บัดนั้นตราบมาก็มิเคยมีผู้ใดอีกเลยที่จะได้ยลโฉม หรือพานพบกับเงือกสาวเอลวิราแสนสวยผู้ซึ่งหลงรักมนุษย์จนกระทั่งปลอมตัวมาเพื่อแต่งงานและอาศัยอยู่กินกับมนุษย์เป็นเวลานานนางนี้อีกเลย...
        เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ตำนานความรักอันมั่นคงที่แม้ความตายก็มิอาจจะพรากจากของเธอไว้ ที่จะเล่าขานสืบต่อกันเรื่อยมาตราบนานเท่านาน

“เพียงเราสองพานพบรักสลักจิต
คะนึงคิดคำนึงหวนครวญถึงพี่
เราบรรจบพบกันด้วยสายนที
ห้วงวารีแห่งสถานของสองเรา”


…The End of Odilon’sTale…
« Last Edit: June 29, 2007, 01:36:57 AM by luminous_star » Logged


singer
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1256


Email
« Reply #1 on: June 29, 2007, 01:41:30 AM »

เหมือนเรื่องเล่าขยายความตำนานเงือกของโอดิลอนนะครับ

ในฐานะ คนประกวดเหมือนกัน ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

แต่ในฐานะคนแต่งนิยาย

เยี่ยมสุดๆครับ ^^ b
Logged


♦♦♣[A]pprentic[€]+♠+[M]agisterMag[ii]♣♦♦
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1584


« Reply #2 on: June 29, 2007, 01:54:33 AM »

ดีมากครับ

แต่เค้าให้ที่ต้องเจ็ดหน้าไม่ใช่เหรอ

เอาให้คุ้มเลย ;D
Logged


Sun Ce
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1887


« Reply #3 on: June 29, 2007, 02:19:07 AM »

ดีครับ แต่ผมว่าเหมือนเอาเรื่องเดิมมาขยายความ
ต้องเติมบทพูด ตรงกลางเรื่องครับ จะเยี่ยมเลย ;D
Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #4 on: June 29, 2007, 05:25:42 PM »

สำนวนดีมากๆเลยครับ ;D ถ้ามีบทพูดเพิ่มอีกนิดหน่อยจะดียิ่งกว่านี้อีก :)
Logged


ХeЯхe$-КunG АррЯeйтiсЕ $Аiйт
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1816


« Reply #5 on: June 29, 2007, 10:13:00 PM »

จบแบบเป็นกลอนเลย ;D สงสัยอยู่อีกอย่างไม่รู้จะผิดกฏตรงนี้รึเปล่ากระผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ (แต่ไม่น่าจะใช่แต่ถ้าได้คำตอบก็คงดีมาก)
Quote
9. เนื้อหาต้องไม่ได้มาจากการดัดแปลง คัดลอก ทำซ้ำ หรือ ขโมยผลงานของผู้อื่นมา
ปล.เรื่องเนื้อที่นี้สำหรับผมต้องบอกว่าแค่7หน้าครับ= = ถ้าซัก10 หน้าจะเยี่ยมมาก (แต่งไปได้3หน้าแล้ว)
« Last Edit: June 29, 2007, 10:17:09 PM by <<{><}€12><€$Kun{G}>> » Logged


luminous_star
Member
*****
Offline Offline

Posts: 5


Email
« Reply #6 on: June 29, 2007, 10:52:12 PM »

จริงๆตอนแต่งครั้งแรกผมจัดหน้าแบบเว้นบรรทัดซะถี่มันเลยเกิน 7 หน้าอ่ะครับ

ก็เลยต้องลบพวกบรรทัดเปล่าที่คั่นระหว่างย่อหน้าลงไปหมดเลย T_T

มันก็เลยดูติดกันเป็นแพแบบนี้ไปหน่อยอ่ะครับ

ส่วนเรื่องบทพูด ผมไม่ค่อยอยากเขียนมากอ่ะครับ เพราะว่าผมไม่ค่อยเข้าใจอารมณืคาแร็กเตอร์ของตัวละครมากเท่าไหร่

กลัวว่าเขียนออกมาจะสื่อได้ไม่ดีมากอ่ะครับ (แต่ก็นะตัวละครพูดแบบว่าอย่างกับกำลังเล่นละครเวทีอยู่เลยแฮะครับ >_<)


อนึ่งขอบคุณทุกเสียงคอมเมนต์นะครับ ผมจะได้เอาไปพัฒนาฝีมืองานเขียนของตัวเองในอนาคตต่อไป ^^v
Logged


เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1432


Email
« Reply #7 on: June 29, 2007, 11:24:04 PM »

อ่านแล้วซึ้ง.....

บทพูดระหว่างตัวเอกน่าจะเยอะกว่านี้ครับ จะซึ้งกว่าเยอะ

โดยรวมถือว่าดีครับ

ป.ล.แต่งเรื่องอื่นด้วยจิ จะอ่าน
Logged


Suchan.poloplow
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1232


Email
« Reply #8 on: July 01, 2007, 07:53:50 PM »

สุดยอดเลยครับ   การบรรยายเนื้อเรื่องนี่เห็นภาพตามมาก ๆ เลย  อ่านแล้วซึ้งหลาย ๆ ด้วย
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #9 on: July 01, 2007, 11:49:01 PM »

นำเรื่องราวจาก counter ในพรีคอนมาต่อยอดขยายความเป็นเรื่องเป็นราวได้น่าสนใจดีครับ 
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.083 seconds with 21 queries.