Summoner Master Forum
October 02, 2024, 06:18:24 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: นิยายแสงสว่างในความมืดและอสุราในแดนทิพพ์ ตอนที่ 30 ดาบแห่งพระเจ้า เทพอาวุธ...  (Read 1473 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« on: May 29, 2007, 12:42:36 AM »

ตอนที่ 30 ดาบแห่งพระเจ้า เทพอาวุธของดิวาทอร์ตอนที่ 30 ดาบแห่งพระเจ้า เทพอาวุธของดิวาทอร์
     กองทัพออร์คไม่ได้บุกกระหน่ำเหมือนสี่วันก่อน พวกมันแค่โฮ่ร้องกระทืบเท้าเสียงดังและยิงปืนใหญ่ถล่มปืนใหญ่ยิงสววรค์ที่เขตปราการเมืองได้สองสามตัว
     วานาแอนยกอ่างน้ำที่เติมไปด้วยเลือดออกมาจากค่ายผู้ป่วย ใบหน้าของเธอซีดเผือกและดูเหน็ดเหนื่อยจากการช่วยชีวิตผู้คน อิสฮานเดินมามองดวงตาของเธอที่อิฐโรย “เจ้าทำตัวเหมือนอลาน่า”
     “ถ้าข้าเป็นได้ครึ่งหนึ่งของนางก็ดี แต่ข้าไม่สามารถรักษาแผลได้เช่นเดียวกับอลน่าทำ”วานาแอนเห็นสายตาเย็นเฉียบของอองเดรที่มองมาเมื่อได้ยินว่าเธอพูดถึงอลาน่า เธอก็ได้แต่ก้มหลบสายตานั้น
     “เจ้าไม่ควรมองนางแบบนั้น”ซิกมันร้องทักเมื่อวานาแอนเดินออกไปแล้ว มือเขาก็ง่วนอยู่กับการลับคมดาบประจำราชวงศ์ให้คมกรีบอยู่เสมอ
     “ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”อองเดรมองด้วยสายตาแบบเดิมกลับมาที่ซิกมัน “ว่าแต่เรจิน่า นางเป็นอย่างไรบ้าง”
     “เกรกอรี่บอกว่านางอาจต้องมนต์ของเอทาลัสแต่ข้าก็ยังไม่ห็นนางเปลี่ยนแปลงใดๆ”
     “ว่าแต่ว่าเทพจีเนรอสของเราจะกลับมาหรือเปล่า สารของดิวาทอร์บอกว่าจะรอนางมาในวันนี้”ฮาริสันเดินเข้ามาพร้อมคาร์นที่บาดเจ็บเป็นแผลฉกันยาวที่แขน
     “ราซิโอร่าฆ่าข้าแน่แท้”คาร์นนั่งลงจิบเหล้าเอลล์ “ข้ายังไม่ไปที่ค่ายของนางได้ข่าวว่าบาดจับเป็นพัน”
     “ก็ดีที่เหลือเป็นร่างกลับมา”อองเดรพูดก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเห็นสตรีร่างบอบบางที่เขาจดจำได้ เขาลองกลืนน้ำลายอีกหลายครั้ง สตรีร่างขาวผมสีทองที่เข้าไม่มีวันลืม อลาน่า “พระเจ้าทรงโปรด”เขาไม่คิดว่าเขาจะอุทานคำนั้นออกมา แต่ขาก็รีบก้าวตามร่างที่ถืออ่างน้ำนั้นเดินหายไปที่ค่ายพยาบาลโดยไม่สนใจว่าสายตาที่มองตามของเหล่ากษัตริย์องค์อื่นๆ
     “อองเดรท่านมีเหตุอันใดหรือเปล่า”วานาแอนถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่าอองเดรเข้ามาในเขตพยาบาล
     อองเดรมองซ้ายมองขวาไม่มีวี่แววของสตรีที่เขาเห็น เขาก็สายหน้าเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจกับคำท้วงอื่นๆของวานาแอนและอิสฮานที่มองอย่างส่งสัย

     ดิวาทอร์มองทิศที่จีเนรอสบอกเอาไว้ แสงอาทิตย์สาดทะลุเมฆบางๆและแสงที่สว่างมาแต่ไกลแหวกให้เหล่าออร์คถอยกรูกลับเล็กน้อย จีเนรอสอยู่บนวิหกษ์สวรรค์ตัวนั้น เธอลงบนระเบียงวังช้าๆและมองกลับมายังกองทัพของดิวาทอร์ที่จัดเตียมพร้อมรบ
     “ปวงประชาชาวเซนทิริก ข้าจะให้โอกาศเจ้าเปิดประตูเมืองให้ข้าหรือส่งทหารขี้ขลาดของพวกเจ้าออกมา ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายต่อพวกเจ้า”ดิวาทอร์ลันวาจาท้าท้ายออกไป มองกราดตรงไปยังประตูเมืองที่เปิดออกพร้อมทหารเซนทิริกและทหารของสี่อาณาจักรที่มาเสริมช่วยรบเดินตั้งแนวออกมา เขาโบกมือห้ามเหล่าออร์คที่กระเหี้ยมกระหืดอยากเข้นฆ่าอย่างเหลืออด
     เทออส(Te Os, the represent of Sentheric) ควบม้าออกมาพร้อมแม่ทัพมากมายมองตรงมายังดิวาทอร์ที่อยู่บนม้าศึกตัวใหญ่สีดำที่เห็นโดดเด่นอยู่หน้ากองทัพออร์คที่น่าเกลียดพวกนั้น “หากพระองค์มีพระประสงค์ใดโปรดชี้ทางด้วยเถิอด”เทออสมองขึ้นบนฟ้าอย่างคนผู้มีทุกข์
     อิสฮานจับที่ไหล่ของเทออสเอาไว้เป็นการปลอบกับหนุ่มที่ไม่เคยออกศึกรุนแรงมาก่อน “หากเจ้าคิดว่านี้เป็นเพียงจุดจบเจ้าก็จงทำมันให้ดีที่สุด” อิสฮานควบม้ากลับไปยังกองทัพของตนทีรออยู่
     อองเดรเห็นสตรีคลายอลาน่าอีกแล้ว เธออยู่บนท้องฟ้าสายตาที่เย็นชาตวัดกลับมาเมื่อซิกมันหยุดม้าอยู่เบื่องหน้า “หากท่านคิดว่านี้เป็นทางไปพบอลาน่าแล้วก็จงมอบคำสั่งบัญชาคนของท่านให้เรา”ซิกมันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านคิดจริงหรือว่าอลาน่าต้องการเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นนางคงไม่บอกให้ท่านไปอลานิก้า”
     “ขอบใจซิกมัน” อองเดรหันกลับมาที่กองทัพที่สั่นกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี้ไม่ใช่ศึกธรรมดา ไม่ใช่การต่อสู้ที่มนุษย์ทำต่อกัน มันเป็นปีศาจที่ชักจูงมา
     
    “ข้าเคยบอกพวกเจ้าว่าอย่างไรพี่น้องของข้า”ดิวาทอร์มองกลับมายังออร์คที่อยู่เบื่องหลัง “วันนี้เป็นวันของพวกท่านที่จะได้ออกจากความมืดมิดแห่งไฮเซนการ์ด วันนี้เป็นวันของพวกเจ้าที่จะพิสูจน์ว่าพวกเจ้าก็มีอิสระภาพ”ดิวาทอร์หันกลับมามองกองทัพเซนทิริกเบื่องหน้า “ถึงอเลทาดอส เราจะพิพากษาผู้ที่ถอดทิ้งเจ้าและปลดเจ้าออกจากความต่ำทรามทั้งมวล!” ดิวาทอร์ควบม้าออกไปทหารออร์คมากมายก็วิ่งขึ้นตีขนาบ สัตว์อสูร(Orceast, the lior) วิ่งนำหน้าไปประทะกองหน้าของเซนทิริกพร้อมเหล่าผู้ควบคุมที่ดุร้ายบนหลังของมัน (Orc temmer)
     อิสฮานควบหหอกไฟจู่โจมต้านเหล่าออร์คออกไป พวกมันมาร้าวกับเขื่อนน้ำที่ทลายลง ก่อนที่เจ้า ไรโนซุน(Rhinozchu) ตัวใหญ่ที่มีรูปร่างคลายแรดจะชนม้าของเขาจนเขาตกจากม้าต้องใช่ทหารหลายนายกว่าจะล้มมันได้ อิสฮานสัมผ้วถึงนางฟ้านางนางที่จับที่ไหล่ของเขา จิตปกป้องของเขามาช่วยเหลือในตอนนี้
     อองเดรตวัดดาบน้ำแข็งออกมาคมดาบสร้างความเสียหายมากมายแก่ผู้ที่หวังจะเข้าใกล้ตัวเขา เสียงหมัดดังสนั่นของฮาริสันดังอยู่ใกล้ เขาเห็นธันเดอร์ริกที่ช่วยซิกมันต่อสู้อยู่ห่างออกไปไม่มาก อิสฮานอยู่อีกฝากหนึ่งของกองทัพ แต่เขาก็มองออเคเลสที่กระโดดตรงมาขยัมที่แขนของเขาพลานพาอองเดรตกจากหลังม้าศึกไปด้วย เขาตวัดคมดาบจัดการแต่อีกตัวกำลังตรงเข้ามาหาเขา สายตาที่เลือนลางเต็มที่เหมือนกับว่าเขาได้ตายไปแล้ว สตรีผู้นั้นอีกแล้ว เขาเห็นเธอในสนามรบแห่งนี้ อลาน่า
     อลาน่า (Alana, the angel of Generosity) ลงมาจากฝากฟ้าพร้อมปีกสีขาวงดงามที่กางออกเธอโบกมืออ่อนโยนไปเบืองหน้าแล้วสบัดออกไปอีกทางร่างของออเคเอสก็ลอยออกไปพ้นทาง ทุกสายตามองมาที่เธอ เจ้าหญิงผู้ที่ทุกคนรักใคร่
     “อองเดร ลืมตา”เสียงนั้นดังมาที่อองเดรเขามองเธอราวกับว่าจะไม่ได้มองมาที่ใบหน้างดงามนั้นอีก “ท่านปลอดภัย”เสียงนั้นทำให้อองเดรมองออกไปทหารต่างคุมกันเขาเอาไว้
     “อลาน่า เจ้าหญิงของข้าพระองค์”อองเดรกล่าวเบาๆซุกใบหน้าไปกับมือที่บอบบางของเธอที่ประคองใบหน้าที่ไร้เกราะของเขา
    ดิวาทอร์เห็นเทพองค์หนึ่งลงมาเพื่อช่วยเจ้าหนุ่มนั้นแล้วฮึมฮัมในลำคอมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างโกรธเครือง “เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกอเลทาดอส”ดิวาทอร์คำรามออกไปก่อนจะมองกราดไปรอบๆ เจ้าทหารสีคนที่มีดาบคุนตาของเขากำลังล้อมเขาอยู่
    แมกกานัส(Meganus, the general of Felasia)สวดพร้อมจูบที่คมดาบเวอนิทอล(Vernital, the Excariaberrea)แล้วควงอย่างคลองมือสายลมก็หมุนตามพร้อมประกาบไปแฉลบขึ้นตามคมดาบเมื่อฝุ่นดินปะทะ ทิมโบลัส(Timbolus, knight of Fudenun) รับดาบฮันไจด้า(Hungida, the Excariaberrea) ที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ลาซิมัส(Lasimus, the knight of Alaniga)ที่ดึงคมดาบชินเซียร(Cinxia, the Excariaberrea)ออกมาจากฝักดาบก็หลอมตัวเป็นน้ำแข็งเย็นเสยือก และฮาดิอัส(Hadious, the general of Zalom) ดึงดาบคาล์ลูเซอา(Calluzaer, the Excariaberrea) ตวัดให้ไฟนั้นโหมลุกบนคมดาบ นางฟ้าทั้งสี่ (Feriana, angle of North wind),(Wanisiga, angle of Holy stone), (Furiadenae, angle of Holy tear), (Lasida, angle of Volcano)ที่ลอยมาเคียงข้างนักรบแต่ละคน
     “ข้าไม่รังแกผู้หญิง”ดิวาทอร์มองนางฟ้าทั้งสีของดิวาทอร์ พวกนางกำลังแทบจะขบเขี้ยวเขาแล้ว “แต่ไม่ว่าก่อนหรือหลังก็ไม่มีผู้หญิงคนใดทำร้ายข้ามาก่อน” สายตาของเขามองตรงไปที่ระเบียงปราสาทที่ห่างไกล
     เมื่อดิวาทอร์ชักดาบที่หลังของเขาออกมาชายทั้งสีก็ควบม้าตรงเข้ามา ดิวาทอร์เพียงยกมือขึ้นแสดงท่าทีเหมือนห้ามปรามเหล่าขุนพลทั้งสี่ที่กำลังเข้ามา “ในนามแห่งดิวาทอร์ข้าขอสั่งให้เจ้าจงหยุด” เมื่อวาจาของดิวาทอร์ลันออกมาดาบทั้งสี่ก็เหมือนหยุดลอยควางอยู่ในอากาศพลานดึงให้ทั้งสี่ขุนพลชงักดึงม้าเสียหลักไม่เป็นท่า
     แสงสว่างสาดส่องมาจากคาฑาของจีเนรอส “จงฟัง”เสียงของเธอกังกาลทั่วมหานครแห่งนี้ “นี้คือประบัญญัติของพระเจ้า อาวุธทั้งสี่แห่งดิวาทอร์จงสูญสิ้นจิตผูกพันธ์” ดาบทั้งสี่เหมือนกลับมาอยู่ในสภาพเดิมและสามารถกวัดแกว่งได้อย่างคล่องมือ
     ดิวาทอร์สบถสบานหลายคำก่อนจะชักดาบยักษ์ที่อยู่ในปลอกเบื่องหลังออกมา สายตาที่มองตรงไปยังแมกกานัสที่ตรงมาพร้อมกับฮาดิอัส เขาก็รู้ว่าประเมินพลังของดาบเวอนิทอลและคาล์ลูเซอาต่ำเกินไป คมดาบปะทะเกิดแรงระเบิดทำให้เขาเสียหลัก
   สายตาของเขารีบมองตรงไปที่ทิมโบลัสที่ดูช้ากว่าเขามากและเหมาะแก่การจัดการก่อนแต่เขาก็เหมือนประเมินพลังของดาบฮันไจด้าต่ำไปด้วยเหมือนกัน ดิวาทอร์ชงักจากการรับพลังดาบที่กวัดแกว่งรอบตัว เขารู้ว่าพลังของดาบพวกนี้ทำให้เจ้าขุนพลทั้งสี่พยองได้
   แรงระเบิดจากพลังดาบที่ประสานกันทำให้ทุกสายตามองตรงมาที่กลุ่มควันที่พวยพุ่งขึ้น จีเนรอสมองนิ่งอยู่นานก่อนจะกวัดสายตาขึ้นไปบนนภา น้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาหยดลงสู่พื้นดินบังเกิดทุ่งดอกเมอรริเซียรท่วมท้นสนามรบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
   เหล่าขุนพลทั้งสี่หอบหายไจมองร่างของดิวาทอร์ที่ปรากฏหลังกลุ่มควันที่อยู่ในท่ากึ่งคุกเข่า ชุดเกราะของเขาสลายกลายเป็นผงเหล็กลอยไปกับสายลม บาดแผลฉกรรน์มากมายที่ปกด้วยเลือดสีสดแดงฉาน
    แต่เมื่อร่างนั้นไหวติ่งบาดแผลก็เริ่มสมานตัวและดิวาทอร์ก็ลืมตาขึ้น มือที่ปัดคราบเลือดออกจากสันคิวและโหนกแก้มแกร่งมองไปโดยรอบก่อนจะลุกขึ้นร้าวกับว่าเขาเพียงโดนแอบตีหัวมาเท่านั้น
    “ขอบใจที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์อยู่บ้าง”ดิวาทอร์มองดาบพังๆในอุ้มมือก่อนจะขยับมัดกล้ามที่แขนเล็กน้อยดาบนั้นก็หักร้าวกับเศษไม้ กายของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงแบบชายดิบเถื่อนวันว้าวไปด้วยสีแดงเลือด มือเปล่าที่เอือมมาเบื่องหน้า “ชักสนุกแล้วสิ” ดิวาทอร์บิดมือก็ทำให้อากาศแปรปนหมุ่นเข้าประสานที่อุ้มมือของเขาอีกทั้งสายน้ำ ผืนดินและเปลวไปที่หมุนเข้ามารวมปรากฏด้ามของดาบเล่มหนึ่งสู่สายตาทุกคน
     สายฟ้าฟาดร้าวกับพิโรธและแผ่นดินที่ไหวร้าวกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพระเจ้าที่มีต่อการกระทำของดิวาทอร์พระองค์ไม่ต้องการให้เขาดึงดาบเล่มนั้นออกมาจากมิติที่วุ่นวายนั้น แต่เขาก็กำลังดึงออกมา
     ดาบที่มีแผ่นสีทองขนาบอีกด้านด้วยแผ่นสีเงินที่มีคำจารึกบางอย่างอยู่ขนาบคมดาบสีดำทมิฬที่ใหญ่โตนี้ ดิวาทอร์เพียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและเหงือที่แตกตัวร่างกายของเขาล้างคราบเลือดออกเล็กน้อยแต่ฝุ่นดินก็เริ่มจับตามตัวดูเหมือนรูปปันดินทราย
    ดิวาทอร์ตวัดดาบขึ้นรับแสงที่สองลงมาให้ดาบนั้นเป็นเทพอาวุธของเข้าโดยสมบูรณ์(Sword of god) แสงสว่างที่ส่องประกายออกมาพร้อมอายนรก จีเนรอสจำได้ ดาบเล่นที่หายไปพวกออร์คนำดาบเล่มที่หายไปมาประสานให้ดิวาทอร์ด้วยพลังนรกนั้นเอง
     “จงฟัง-“
     “จงฟังนี้คือประกาศิทย์ของพระเจ้า”ดิวาทอร์กล่าววาจาดังลันสนั่นอาณาจักร ผืนแผ่นดินสั่นไหวตามคำพูดของเขา จีเนรอสได้เพียงแต่ทรุดลงนำตาตกอย่างไม่เป็นท่า เธอสู้พลังนั้นไม่ได้ พลังของดิวาทอร์มีมากกว่าเธอนัก เธอสู้ไม่ได้เป็นแน่
     ขุนพลทั้งสี่ตรงเข้ามาอีกครั้งแต่คราวนี้ดิวาทอร์สามารถรับพลังดาบเอาไว้ได้เขาตวัดสลายพลังและปักดาบที่ประทะกับแมกกานัสออกแล้วทั้งสี่ขุนพลก็ลอยคว้างออกรอบตัวเขา
     ลาซิมัสรู้ว่าเมื่อครู่เขาถูกมัดชกจริงๆ แต่ไม่มีทางที่ดิวาทอร์จะชกได้เร็วขนาดที่ชกสี่คนในเวลาไล่เรี่ยกัน หรือว่าเขาทำได้ ดิวาทอร์เดินช้าๆมาที่กลางวงก่อนปักดาบลงแรงพลังทำให้ทั้งหมดลอยขึ้นจากฟ้าแล้วตกลงมาอย่างแรงจนน่าเจ็บปวด
     “พวกเจ้าชนะข้าไม่ได้หรอก”ดิวาทอร์ตวัดดาบขึ้นอยู่เบื่องหน้า ...พระบัญญัติแห่งประกาศิตย์ของราชสารของพระเจ้า ผู้ครองคมแสงทรงอำนาจทั้งสามภพ... .คำจารึกอยู่บนดาบนั้นไม่มีทางที่จะเอาชนะได้เลยหรือ นางฟ้าทั้งสี่องค์รีบมาช่วยเหลือขุนพลทั้งสี่กลับสู่กำแพงเมือง
     “ข้าให้ชีวิตพวกเจ้าอีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้เซนทิริกจะเป็นเพียงอดีต” ดิวาทอร์ชีนิ้วเชิงคาดโทษไปยังระเบียงปราสาทเหมือนต้องการสื่อถึงจีเนรอสเท่านั้น
     
     อองเดรรีบเดินตรงไปที่ค่ายผู้ป่วยโดยคาดหวังว่าจะได้พบอลาน่าที่นั้น แต่ไม่เลยนางไม่ได้อยู่ที่นั้น “ท่านมาหาเจ้าหญิง ไม่ใช่สินางฟ้าอลาน่าใช่ไหม”วานาแอนถามก่อนจสดุงเมื่ออองเดรหันมาอย่างรวดเร็ว “คงใช้ท่านบอกว่าจะไปพบจีเนรอส”
     สายตาของวานาแอนมองไปที่ฮาริสันที่เดินตรงมาพร้อมแผลที่สีข้างก็ไม่สนใจว่าอองเดรจะรีบร้อนเดินทางไปแบบไหนทั้งสิ้น
     เมื่อประตูเปิดออกอองเดรก็กวาดสายตาหาอลาน่าเธอยืนอยู่เบื่องหน้าจีเนรอส เล่าบางอย่างให้เธอฟังและทำท่าจะบินหกลับสวรรค์แล้ว
     “ท่านจะไปโดยไม่บอกลาข้าก่อนหรือ”อองเดรรีบกล่าวแทรกไป “เจ้าหญิงของกระหม่อม”เขาได้แต่เพียงรอยยิ้มกลับมาแล้วอลาน่าก็ลอยหายไปในทองพระโรงของเซนทิริก
     “นางจะกลับมาเมื่อถึงเวลา จงอยู่ต่อไปนักรบผู้เย็นชา”จีเนรอสมองดูใบหน้าเฉยเมยของอองเดรแล้วเธอก็เดิไปที่เรจิน่าซึ่งรออยู่หน้าบัญลัง “เราจะจัดทัพรับ เจ้าช่วยไปบอกหัวหน้านายกอง เราจะต้านศึกไม่ให้ถึงกำแพงปราสาทเท่านั้นในวันพรุ่งนี้ เรียกให้มีการรมประชาชนมาไว้ในเขตปราสาทชั้นใน”
    เรจิน่าเดินออกไปกระก็ยินเสียงเอะอะภายนอกแม่ทัพลิเกียน (Ligean, general of Sentheric) เดินนำขุนพลมากมายเข้ามาอย่างไม่สบอารมณ์ ราซิโอร่า(Rasiola, Protector of Sentheric crown)เดินมาขวางระหว่างจีเนรอสและชายผู้นั้นเอาไว้
    “หลีกไปเจ้าก็เกลียดนางข้ารู้ดี”ลิเกียนพ่นลมอย่างโมโห
     “นั้นคือตอนนั้น”ราซิโอร่าเชิดหน้าขึ้น “ในฐานะผู้ปกป้องบัญลังข้าไม่อนุญาติให้เจ้าเข้าใกล้นาง”
     “ในฐานะกบฎข้าต้องการให้นางลงจากบัญลังเดี๋ยวนี้!”ลิเกียนชักดาบเป็นเชิงขู่ไม่เกรงกลัวว่านางฟ้าทั้งสองที่เพ่งเลงมาที่ตัวเขา เทออสไม่ยอมอ่อนให้เช่นกันชักดาบของตนออกมาข่มเอาไว้
     “ในฐานะแม่ทัพเช่นกันท่านต้องผ่านข้าไปก่อนลิเกียน”เทออสคำรามออกมาไม่สนว่าเขาต่อสู้กับอาจารย์ของตน “ท่านควรเชื่อจีเนรอสเพราะเธอนำเราให้รอดพ้นมาหลายต่อหลายครา”
     “นางกำลังเล่นสนุกอยู่กับดิวาทอร์นะสิ และความสนุกของนางก็อยู่บนชีวิตของประชาชนเซนทิริกและทหารของประเทศที่มาพึงพิง”ลิเกียนคำรามออกมาไม่แพ้กัน “นางสามารถฆ่าดิวาทอร์ได้หลายต่อหลายครั้งแต่นางไม่ทำ แต่ปล่อยให้เจ้าดิวาทอร์นั้นข่มเหงเราอยู่ทุกๆวัน ในนามของประชาชนข้าไม่ต้องการกษัตริย์เช่นนั้น”เมื่อลิเกียนกล่าวจบก็ตวัดดาบใส่เทออส เทออสรับไว้ได้อย่างว่องไว้พอๆกับที่เคยเรียนสั่งสมมา
     “พอกันที!”จีเนรอสร้องออกมาอย่างเหลืออด “คงถึงเวลาของข้าแล้ว”เธอลุกขึ้นจากบัณลังหินที่เรืองรองแสงอยู่ก็เริ่มอ่อนแสงลง แสงไฟแห่งท้องพระโรงและการจากไปของไครี่เอและลิบร้ามีเมื่อเธอก้าวลงจากขั้นบัณลัง ผืนผ้าแสดงความเป็นราชินีแห่งเซนทอริกลอยหายไปในอากาศเบื่องบน ชุดเกราะของเรจิน่าแตกสลายกลายเป็นละอองของแสงสว่าง
     แต่ที่สร้างเสียงร้องหือด้วยความกลัวไปทั้งปราสาทคือความมืดมิดจากแสงแห่งปราการดาบได้สลายหายไป ทิ้งไว้แต่บรรยากาศเย็นและมืดให้กับมหานครแห่งนี้ แสงไฟเริ่มนำกลัมมาใช้อีกครั้ง มีการแขวนหินที่ส่องแสงสว่างตามทางเพื่อให้แสงสว่างแก่มหานครแห่งนี้

     ออร์คต่างโห่ร้องด้วยความปรีดาเมื่อปรากฏการณ์ที่ร้าวกับเป็นชัยชนะปรากฏขึ้น แสงแห่งเซนทิริกที่มอดหายไปจากปราการดาบ ดิวาทอร์เดินออกมาดูด้วยความขุนเครือง เขาสบถสบานหลายต่อหลายครั้งเมื่อเห็นว่าจีเนรอสไม่ได้เป็นราชินีแห่งเซนทิริกแล้ว นครแห่งนี้กลับไปอยู่ใต้ความมืดมิดแห่งความต่ำทราม
     แสงไฟจากระเบียงที่เป็นเขตเหนือแสงดาบบัญลัง(Sun Unify Tri Associated World-Territory And Nobility-Ancient God Of Rose Nation: SUTAWTANAGORN) คาดว่าภายในคงมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น ดิวาทอร์อยากเดินไปกระทืบประตูเมืองให้เปิดตอนนี้และกระชากคนที่บังอาจแตะต้องจีเนรอสมา
     ประตูเมืองเปิดออกพร้อมธงกบฏที่เขารู้ดีกว่าใครเพราะจำได้ว่าเป็นผู้ตั้งมันขึ้นมาเองเมื่อพันปีที่แล้วดาบที่เขารู้จักดี ดาบกบฏมหาราชกษัตริย์(Againster Emperor Sword) และแม่ทัพผู้นั้นที่ควบม้าหยุดรออยู่ ธนูทองคำประกาศศึกถูกยิงมาที่เขาดิวาทอร์คว้าได้และหักคามือของเขา ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าควบตรงออกไป
     สายตาของลิเกียนมองประเมินดิวาทอร์โดยเร็ว ก็รู้ว่าเจ้าแม่ทัพออร์คหรือกษัตริย์ของเซนทิริกโดยชอบธรรมนั้นอายุไม่ได้มากมายนัก เนื้อตัวแข็งแกร่งที่ดูผ่านศึกมาหลายต่อหลายครั้งแต่ที่ดูน่ากลัวคือตามเนื้อตัวของเขามีรอยที่เหล่าขานว่าเป็นการเฆี่ยนโดยไฟนรกที่ร้อนแรง ความคิดของลิเกียนก็ตรงไปที่เรื่องราวการลงทันฑ์เทพดิวาทอร์ที่อเลทาดอสสั่งการเมื่อหลายพันปีก่อน
     “เจ้าต้องการอะไร”ดิวาทอร์ถามออกไปโดยไม่สนใจสายตาของทหารที่มองเขาอย่างเกรงกลัวตามกำแพงเมือง “ถ้าพวกเขากลัวเจ้าก็กลับไปสะ พวกเขาจะได้ตามเจ้าไปด้วย”ดิวาทอร์พูดเรียบๆพร้อมควบดาบแห่งพระเจ้าขึ้นวางที่ตักบนหลังม้าราวกับอาวุธอันใหญ่โตนั้นเบาเป็นเศษไม้
     “ข้าจะปราบท่าน”ลิเกียนดึงดาบออกมาแสงสว่างของดาบพวกพุ้งออกมา ดิวาทอร์รู้สึกว่าดาบของพระเจ้าหนักขึ้นทันใด และรีบปล่อยลงปักพื้นทันที “ท่านรู้ดีว่าการต่อสู้นี้ปราศจากลูกไม้ใด้ทั้งสิ้น แม้ดาบของพระเจ้าก็ไม่มีข้อยกเว้นที่ท่านไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้”
     “และเจ้าคือผู้เดียวที่สามารถทำลายเกราะแห่งเทพคุมกันเข้ามาได้”สายตาของดิวาทอร์มองไปยังร่างของเทพสี่องค์ที่เป็นจิตปกป้องของลิเกียนท่เห็นอยู่เรือนลางในอากาศด้านหลัง “แม้แต่เทพปกป้องก็ปกป้องเจ้าจากคมดาบไม่ได้หรอกนะ เจ้าคิดใหม่ดีกว่าก่อนที่จะสู้กับข้า”
     “ข้าไม่มีทางย้อนคำพูดต้นเองหรอก กษัตริย์แห่งเซนทิริก”ลิเกียนโยนดาบเล่มหนึ่งให้ดิวาทอร์และยิ้มอย่างได้เปรียบ
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.071 seconds with 20 queries.