Summoner Master Forum
November 28, 2024, 05:37:42 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: นิยายแสงสว่างในความมืดและอสุราในแดนทิพ ตอนท่ 29 สงครามแห่งความชิงชัง  (Read 1630 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« on: May 27, 2007, 01:43:15 AM »

ตอนท่ 29 สงครามแห่งความชิงชังตอนที่29 สงครามแห่งความชิงชัง
   เรจิน่าเห็นแสงไฟที่ห้องบรรทมของจีเนรอสนางก็รู้ว่าจีเนรอสกลับมาแล้ว เธอก็รีบเดินผ่านนางสนมหลายนางที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าประตู เรจิน่าถอนหายใจเพื่อรอให้ประตูเปิดให้เธอ
   จีเนรอสนอนอยู่บนที่นอนสีขามนุ่มสบายที่แสนงดงาม นำตาที่ใหลรินมาจากดวงตาทำให้ทองฟ้าทั่วทั้งอาญาจักรครื่มฝนที่ทำท่าจะทลายลงมาหลายต่อหลายวัน
   “ท่านจีเนรอส”เสียงของเรจิน่าสันเครือเมื่อถามออกไปอยากให้เธอผู้งดงามจนหน้าอิจฉานี้ได้สลัดความโศกเศร้าที่มีอยู่
   “เขามาแล้ว ดิวาทอร์ เขาคือคนคุมทพเอง” จีเนรอสลุกขึ้นช้าๆมือที่สั่นทังสองปรกใบหน้าขาวงดงามเอาไว้ “เขาเลือกพวกออร์ค เข้าจะยกทัพมาเซนทิริก มายังประตูสวรรค์และจัดการอเลทาดอส”
   “พระองค์ทรงยืนหยัดเพื่อพวกเรา พระองค์จะไม่มีวันพ่ายแพ้” เกรกอรี่เดินเข้ามา ไม้เท้าไม้ค่ำร่างที่โรยราด้วยเวลาที่เร็ววันขึ้นจากการใช่ห้องสมุดจูโน่
   “เกรกอรี่ราชฐานชั้นในไม่อนุญาตให้เจ้าเข้ามา”เรจิน่าชัดดาบทองคำงดงามขึ้นมาชี้ตรงไปยังเกรกอรี่”
   “เรื่องน้นข้าทราบดี แต่ไม่มีผู้ใดที่สามารถผ่านมาที่นี้ได้โดยไม่ได้รับคำยินยอมจากเทพีแห่งการลงทัณฑ์ เจ้าก็ทราบเรื่องนั้นดี”เกรกอรี่ปัดความสนใจของเขามายังราชินีผู้งดงาม “ข้าทราบว่าท่านออกไปนอกเมือง”
   “แม่ทัพซินแห่งความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นำทัพมา” จีเนรอสกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ดิวาทอร์นำทัพมา เป้าหมายของเขาก็คือเซนทิริก” จีเนรอสมองขึ้นไปบนทองฟ้าเมฆดำทมิฬที่ลอยมาหน้าเกรงกลัวนัก
   เสียงดังเอิกเกริกดังมาที่ท้องพระโรงแห่งเซนทิริก จีเนรอสก็รีบตรงออกไปราวกับรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น สายตาของเธอมองชายในชุดเกราะหนักสี่คนที่อยู่ที่ทองพระโรง แต่ละคนอุ้มร่างนางฟ้าของเธอและดูมีท่าทีกังวลเป็นอย่ายิ่ง โดยเฉพาะชายในชุดเกราะมรกตที่กระชับร่างของนางฟ้าแห่งสายลมของเธอแน่นในอ้อมกอด
   “นางฟ้าของข้า” จีเนรอสมองใบหน้าที่ซีดเผือกของนางฟ้าแต่ละองค์ “พลังจีเนรอสของพวกนางใกล้จะหมดแล้ว พวกนางคงใช้พลังจากดาบของดิวาทอร์” สายตาของจีเนรอสมองมาที่ดาบสี่เล่มที่จำได้แม่น “และนางมอบพลังจากดาบเหล่านั้นให้พวกเจ้า”
   “นางกระซิบบอกข้าว่าให้พาพวกนางมาที่นี้”ทุกคนกล่าวขึ้นเหมือนๆกัน ก่อนสายตาจะมองมาที่เกรกอรี่และเรจิน่าที่เดินตามออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านเรจิน่า”แมกกานัสร้องชื่อนั้นออกมาอย่างแปลกใจที่พบเธอที่นี้
   “ใช่ข้าเอง และครอบครัวของเจ้าก็อยู่ที่นี้รวมทั้งท่านซิกมันด้วย”
   จีเนรอสหลับตาไปชั่วขณะหนึ่งแสงสว่างจากทองพระโรงก็สว่างไสวขึ้นเป็นแถบแสงตรงมาที่นางฟ้าทั้งสี่โดยมีศูนย์รวมอยู่เบื่องหลังจีเนรอส
   นางฟ้าทั้งสี่ค่อยๆลืมตาขึ้นพวกเธอค่อยๆลุกจากอ้อมกอดอย่างสงสัยที่มาอยู่ ณ ทองพระโรงแห่งเซนทิริกแห่งนี้ “ท่านเทพจีเนรอส”นางฟ้าทั้งสี่เคารพเธออย่างช้าๆพลันจีเนรอสก็ทรุดกายลง
   แมกกานัสถือว่าตนเครื่อนที่ได้ว่องไวที่สุด็เคลื่อนตัวไปรับร่างของจีเนรอสเอาไว้ แต่ร่างใหญ่โตของเขาก็กระเด้นออกมาอย่างแปลกประหลาดโดยที่เจ้าตัวไม่ทราบสาเหตุ
   “เกราะแห่งดิวาทอร์!” เกรกอรี่ร้องขึ้นมาอย่างแปลกใจ “ท่านพบเขาแล้ว และท่านจุมพิศกับเขาหรือ” คำถามแบบขวานผ่าซากทำใหนใบหน้าของจีเนรอสขึ้นสีแดงอย่างปิดไม่มิด จีเนรอสได้แต่รับการประคองจากเรจิน่าเพื่อกลับไปยังห้องบรรทม แมกกานัสลุกขึ้นช้าๆแต่หลังเขายังเจ็บอยู่เลย เพียรีน่าก็ตรงไปช่วยเข้า
   “ไหนพวกนางว่าเป็นเทพจีเนรอส ใช่เทพในตำนานองค์นั้นหรือเปล่า องค์ที่มาช่วยข้าที่ฟาเทอร์และท่านที่วิหารฟรานเซสก้า”ฮาดิอัสมองใบหน้าของลาสิด้าแล้วตวัดสายตามาที่เกรกอรี่ “นางจะช่วยเราคราวนี้ได้จริงๆเหรอ”
   “อย่าปากเสียฮาดิอัส นางกำลังหมดเวลาแล้ว นางเป็นนางฟ้าของพระเจ้า และพระองค์ไม่มีความต้องการให้นางอยู่นานไปกว่าอายุ18 ตอนนี้นางถ่วงเกินมานานแล้วพลังยอมถดถอยเป็นธรรมดา” เกรกอรี่มองสีหน้าของทุกคน “นางกำลังพึงพลังของโลกใบนี้ พลังของจีเนรอสคือโลกใบนี้ ชีวิตของนางคือจิตใจของคนบนโลกใบนี้”ม่ทัพทั้งสี่ได้แต่พยักหน้าอย่างรับรู้ในข้อเท็จจริงนั้น
   “อีกสิบวันดิวาทอร์จะมาถึงกำแพงวายุ”จิเนรอสกล่าวเบาๆอย่างสิ้นเรี้ยวแรงขณะกำลังทอดกายขึ้นบนเตียงอุ่นๆ

   ดิวาทอร์ไม่ได้สนใจกับเสียงขบวนม้าที่เดินทางมาถึง ไม่สนใจเสียงเอะอะโครมคารมของเหล่าออร์ค เขากำลังลอยอยู่ในอากาศโดยน้ำจากนรกเหล่านั้น เสียงกระซิบของสองนางมารทำให้เขาสนใจ พวกแม่ทัพซินทั้งหลายเดินทางมาที่นี้แล้ว เอกาลอสกำลังแร่งทัพออกมาจากนรกนั้นคือสิ่งที่เขารู้สึกได้ก่อนจะถูกสองนางซินพาเขานอนลงบนเตียงอุ่นๆนี้ แน่นอนเขาจะไม่มีวันเจ็บเพราะจีเนรอสอีก

เสียงดังสนั่นของกองรบออรคดังมาตามสายลมแห่งไกล จีเนรอสสัมผัสได้พอๆกับเหล่าประชาชนที่สั่นกลัวอยู่ในกำแพงเมืองที่สูงใหญ่ สายตาของเธอกวาดมองยานรบและปืนใหญ่มากมายที่รายล้อมนครปราการดาบแห่งนี้ ไม่เพียงเพราะเหล่าทหารกล้าที่ย้อมพลีชีพเพื่อปกป้องอาณาจักรนับแสนกว่าชีวิต กองทัพของสี่อาณาจักรก็พร้อมแล้วเช่นกัน สัมพัสแรกที่เธอไม่มีวันลืมคือ จิตของดิวาทอร์ที่บ่งบอกถึงอารมณ์เดือดผล่าน และเขาก็อยู่เบื่องหน้าของกำแพงวายุแห่งนี้แล้ว
   ดิวาทอร์มองกำแพงวายุที่หมุนตัวอย่างเกลียวกราวแต่ไม่เท่าอารมณ์ของเขาในเวลานี้หรอก “ส่งทหารกองแรกเข้าไป” เสียงคำสั่งเยือกเย็นทำให้แม่ทัพออร์คไม่กล้าถกเถียงใดๆนอกจากส่งทหารกองหน้าเข้าไปก่อน
   เพียงว่าเขาเป็นเทพก็ใช่ว่าเขาจะปกป้องชีวิตของเหล่าทหารออร์คที่กล้าตายพวกนี้ได้ ความจริงนั้นปรากฏแก่ความคิดของกองทหารทำให้เดินเข้าไปอย่างไม่สมใจนัก
   เมื่อทหารคนแรกผ่าพายุทรายออกมาลูกธนูก็ตรงเข้าปักอกของเจ้ายักตนนั้นอย่างไม่พลาดเป้า ทหารกองหน้าที่อยู่ประชิดกำแพงวายุปลิดชีวิตออร์คที่เดินแตกแถวออกมาจนหมด จีเนรอสมองก็เห็นว่าดิวาทอร์คงประเมินกำแพงวายุนี้ตำไป เธอยืนอยู่ที่ระเบียงที่ทอดยาวยื่นออกมาจากปราการดาบ พร้อมเหล่าขุนนางมากมายที่ยืนอยู่ด้วย ธงคำสั่งที่อยู่ตามจุดต่างๆเป็นระยะๆส่งสีแดงมาสู่สายตาจนหลับหายไปที่เขตประชิดกำแพงวายุ
   ดิวาทอร์ยิ้มเล็กน้อยก็ควบม้าตรงไปเบื่องหน้าของกำแพงสายลมนั้นก่อนจะยื่นมือไปเบื่องหน้า “ข้า ในนามแห่งดิวาทอร์ ข้าขอสลายเจ้าไปจากแผ่นดินนี้ตลอดกาล”
   สิ้นคำพูดของดิวาทอร์กำแพงวายั้นก็ระเบิดดังสนั่น มิหน่ำซ้ำยังผลักก้อนหินมากมายใส่ขบวนของทหารกองหน้าของเซนทิริกอีกด้วย
   แต่ที่ทำให้ทุกสติกลับมาก็คือกองทัพของเหล่าออร์คที่เฮกันเข้ามายังดินแดนของเซนทิริก เรือบินยิงตอบโต้กันสนั่นหวั่นไหว และปืนใหญ่ที่ยิงจากกำแพงปราสาทก็ดังสนั่นเพื่อต่อต้านสุดทำลัง กระสุนวิ่งตรงเข้าหาเป้าหมายที่อยู่แสนไกลอย่างแม่นยำ
   “ปืนใหญ่ยิงสวรรค์ (Junocannon) ไม่มีใครทัดเทียม” เทออสกล่าวอย่างชื่นชมในสิ่งที่ต้นได้พัฒนาขึ้น แต่กระนั้นสายตามากมายก็มองปืนใหญ่แห่งเซนทิริกที่ยิงต่อต้านเหล่ายานบินออร์คให้ร่วงดับก่อนถึงกำแพงเมืองชั้นนอก
       หมอกหนาทึบมืดครื่มรีตรงเข้าปิดกันแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้แสงสว่างจากคมดาบใหญ่ที่ตวัดเป็นแถบอยู่ที่ผืนแผ่นดินเซนทิริกจางหายไป เสียงดังสนั่นของกองทหารม้าเซนทิริก(Sentheric cavalry guard) ที่ประทะกับกองหน้าทหารออร์ค(Orc warrior) ฝูงสัตว์นรก(Montereoma, screaming of sore)ที่บินโฉบเฉี่ยวลงมาประทะกับกองทัพพญาปักษาอินทรีย์(Eaglemia, the king of sky)ที่ลงมาปกป้องเหล่าทหารเซนทิริกอย่าหวุดหวิด
    ซิกมันมองธันเดอร์ริกก่อนจะกระซิบบางอย่างให้นกเทพตัวนั้น ธันเดอร์ริกพยักหน้าอย่างรู้ความแล้วบินขึ้นสูงฟาดสายฟ้ารุนแรงผลักดันให้เหล่าอินทรีย์มีพลังมากขึ้นเป็นทวี
   ดิวาทอร์มองตรงมาที่พระราชฐานชั้นที่สิบของเซนทิริกระหว่างควบม้าตรงเข้ามาพร้อมกับเหล่าขุนพลของซินทั้งหลายที่ติดตามมา แม่ทัพซินแห่งความกลัว เซอร์นิส(Ser Niss, the grand-sin of fear) พุ่งตรงไปพร้อมกรงเล็บตะปบฉีกเกราะเหล็กของทหารดึงร่างที่โอดครวญมาดืมโลหิตคราว จีเนรอสชูคาฑาขึ้นส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์ดวงที่สองกระทบกับคมปราการดาบเบื่องหลังตีเป็นแถบแสงทอดออกไปกันเหล่าทหารกองหน้าที่กำลังล่าถอย ปีกข้างหนึ่งของเซอร์นิสหลบไม่ทันก็สลายไปทันที
   ดิวาทอร์มองขึ้นไปยังระเบียงที่อยู่ห่างไกลก่อนจะยกดาบของเขาตั้งขึ้นเป็นปืนใหญ่ยิงไปกระทบระเบียงวังนั้นสนั้นเพื่อขู่ขวัญของเธอและขัดขวางอำนาจที่กำลังใช้ เมื่อเห็นความแตกตื่นเล็กน้อยในกองทัพเซนทิริกที่การยิงเมื่อครู่สร้างความเสียหายให้กับระเบียงราชวังชั้นที่สิบดิวาทอร์ก็ยิมออกมาเล็กน้อย ก่อนจะลงจากม้าศีกเดินมาที่กองหน้าของเหล่าออร์คที่ตามผ่านแถบแสงไม่ได้
   ดิวาทอร์มองเหล่าทหารหนีเข้ากำแพงเมืองจนหมดแล้วก็ยิ้มเล็กน้อยเมื่อทหารอีกกลุ่มออกมาตั้งแนวรบที่ด้านหน้ากำแพงเมือง เขารู้ดีว่ากำแพงเหล่านี้ทำจากการเกะภูเขาทั้งสันเขาไม่มีทางมุดดินไปได้และไม่มีทางทำลายลงได้ง่ายๆแต่นั้นไม่ใช่ปัญหาที่เกินกำลังชาวออร์คแต่อย่างไร ที่เป็นปัญญหาคือแสงสว่าง
   ดิวาทอร์ถอดสนับแขนออกเดินตรงออกไปเล็กน้อย สิ่งที่เข้าเห็นคือลูกธนูนับแสนที่ยิ่งตรงมาที่เขา เพียงการตวัดดาบครั่งเดียวธนูทุกดอกก็สลายกลางอากาศ “แอเลิอทเซียนแดเมอเนอกุส โนส แด เทอมูส โดมิเนทุส(Alexandamenegus Nos de Temus Dominetus) ข้าขอสั่งให้เจ้าไปสู่แสงสว่าง!”ดิวาทอร์ประกอบสัญลักษณ์ที่แขนเหมือนกับที่วิหารฟรานเซสก้าอีกครั้งแสงสว่างจำนวนมากมายก่อตัวเหนือปราการดาบแห่งเซนทิริกดึงเอาความสว่างงดงามของคมปราการดาบไป
   ดิวาทอร์กำลังล่อเธอออกไป เขากำลังทำเหมือนกับที่เรียกฟรานเซสก้า แต่เธอไม่มีทางออกไป “แอเลิอทเซียนแดเมอเนอกุส โนส เด เทอมูส โดมิเนทุส ข้าขอวิงวอนให้เจ้าจงพิทักษ์แสงแห่งตัวเจ้าไว้”จีเนรอสประสานมือพร้อมเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าที่กำลังดูดพลังของปราการดาบแห่งนี้ เธอยอมให้อาณาจักรไร้แสงยามคำคืนไม่ได้แน่นอน
   ดิวาทอร์มองดูคมดาบไร้ความสามารถนอกจากให้แสงไฟยามคำคืนอย่างเยอะๆ อนุสรณ์ของอเลทาดอส คิดแล้วก็โมโหเข้าหันกลับมา “พี่น้องของข้า ท่านอาจจะเห็นว่าข้าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ท่านอาจจะเห็นว่าข้าเป็นพวกเดียวกับเหล่าอาหารหลังกำแพงนั้น แต่วันนี้ข้าน้องชายของอเลทาดอสเทพที่ทอดทิ้งพวกท่าน ขอปกป้องพ้องเรา ข้าจะเป็นเทพของพวกท่าน รบเคียงข้างพวกท่านและทำให้วันพรุ่งนี้ของเราเกิดขึ้น แด่ดินแดนแห่งเทพเจ้า”เสียงออร์คหลายแสนร้องกระหึมด้วยความคะนอง
   ดิวาทอร์ขึ้นม้าตวัดดาบออกมาควบตรงไปยังกำแพงเมืองพร้อมออร์คมากมายที่ตรงมาด้านหลังเขา สายตาเขามองทหารกองหน้าที่ตั้งแนวหอกสั่นๆ และโล่ที่อยู่เบียวไปนิดเพราะหวังว่าจะถอยตวหากเห็นว่าไม่รอด ก็ควบม้ากระโดดข้ามแนวหน้าไป
   การตะลุมบอนอยู่ไม่ไกลนักเสียงปืนใหญ่ยิงสวรรค์ยิงหวังผลภาคพื้นดิน แต่ก็ไม่สามารถกลบความกลัวของชาวเมืองได้ จีเนรอสสัมผัสทุกชีวิตที่ดับไปและทุกเสียงโอดร้องที่ดังเข้าสู่โสตประสาทของเธอ เสียงแตร์บุกของเซนทิริกทำให้เธอเปลกใจ
   ดิวาทอร์ถอยออกมาเล็กน้อยให้สัญญาณถอยทัพอย่างช้าๆทำเป็นเสียที ทหารของเซนทิริกก็คิดว่าชนะก็ได้ใจไล่ตามมา และเปิดประตูเรียกกองเสริมอย่างที่เขาคิดไว้
   แสงสว่างพุ่งตรงจากฟ้าลงมาในอุ่มมือของดิวาทอร์ จิตของดาบแห่งพระเจ้า จีเนรอสเห็นแสงสว่างนั้นแต่ไกลและรู้ว่านั้นคือแผนลวงที่เซนทิริกติดกับสะแล้วเธอออกคำสั่งให้ถอยทัพแม้จะมีคำคัดค้านจากเหล่าแม่ทัพใหญ่หลายนาย
   ดิวาทอร์ตวัดดาบเกิดคมของแสงสว่างตรงไปยังกองทัพของเซนทิริกที่ตรงเข้าไปหาแล้ว จีเนรอสพุ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกางปีกเทพนับหมื่นปีกของเธอ แสงสว่างจากคาฑากราดไปที่กลุ่มคนที่กำลงตรงเข้าไกลทัพออร์คที่จัดแนวรออยู่
   แสงจากดาบดิวาทอร์กลายเป็นเพียงแถบแสงว่างเปล่า เสียงแตร์ถอยทัพก็ดังขึ้น ดิว่ทอร์ก็ตวัดดาบตามทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผลมองดูกองทัพถอยกลับไป ดาบจางหายไปกับอุ่มมือของเขาพร้อมอาการหอบเหนื่อย
   จีเนรอสถอยกลับไปที่ระเบียง พร้อมปีกที่จางหายไป เธอทรุดลงในการประคองของเรจิน่า “พาเธอกลับเข้าไปในทองพระโรง”เอล่าโน่พูดกับเรจิน่าอย่างเป็นการเป็นงาน เธอก็รีบพาจีเนรอสเดินกลับไปยังท้องพระโรงทันที
   “ข้าไม่เป็นอะไร  เจ้าไปดูว่าดิวาทอร์จะทำอะไรให้ข้าอีก”จีเนรอสพูดก่อนนั่งบนบัญลังทินแสงสว่างของเซนทิริก เรจิน่ามองอย่างเป็นห่วงเล็กน้อยเธอก็รีบเดินออกไป
   จีเนรอสมองไปรอบๆท้องพระโรงก่อนจะก้มหน้าลงอย่างช้าๆ “ออกมาจากเงาแห่งแสงดาบดีกว่า เจ้าไม่สมควรอยู่กับแสงดาบอันศักดิ์สิทธิ์นั้น” จีเนรอสชูคาฑาขึ้นพร้อมแสงสว่างที่กราดไปทั่วท้องพระโรงหินอ่อนงดงามนี้
เสียงกรีดร้องของซินสองตน อันทิมิสชันนาริส(Untimetionaris, the grand-sin of Beauty)และอาทิมิสชันนาริซ(Artimetionarize, the grand-sin of Love)ตกลงมาจากเพดานลงตั้งตัวได้ทัน เสียงของพวกนางกู่ก่องเพราะหินอ่อนเย็นแห่งนี้ช่วยขยายเสียงมากทีเดียว
              “เจ้าไม่มีวันได้พบดิวาทอร์อีกเป็นแน่ เขาเกลียดเจ้า เขาจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ”แม่ทัพซินแห่งความงามกล่าวขึ้นพร้อมเล็บที่ยาวสีขาวที่กรีดกายอากาศส่งเสียงน่ารำคราญ
              “เราจะจัดการเจ้าเพื่อเขา”แม่ทัพซินแห่งความรักกล่าวสนับสนุนพร้อมเส้นผมที่ลอยขึ้นตั้งท่าจู่โจม
              “เจ้ามิได้ชั่วร้ายอันใดกลับไปเถิอด เราจะไม่เอาผิดกับเจ้า”จีเนรอสกล่าวอย่างเงียบสงบแล้วมองไปยังซินทั้งสองที่อยู่เบื่องหน้า “ข้าจะหลับตาและไม่เห็นว่าเจ้าหมายชีวิตข้า สิ่งที่ข้าเห็นจะไม่ถึงพ่อ”จีเนรอสหลับดวงตาลงช้าๆไม่เกรงกลัวว่าทั้งสองจะตรงมาเอาชีวิตของเธอ
              อาทิมิสชันนาริซซินแห่งความงามตรงเข้ามาก่อน ลีบรามีก็ตรงเข้าประทะทันที เพียงไม่นานทั้งสองขุนพลซินก็ล้มลีบรามีกับไครี่เอได้
             “อันทิมิสชันนาริสข้าคิดว่านางมีลูกเล่น”ซินแห่งความงามเกรงกลัวขึ้นมาทันใด “นางอาจมีพลังของบัญลังปกป้องอยู่ก็ได้ เราไม่รู้ว่าที่แห่งนี้มีอะไรบ้าง ดิวาทอร์ไม่เปิดเผยความลับของที่นี้”นางกระซิบกับพี่สาวอย่างไม่ไว้ใจ
             “มันจะมีอะไรที่นี้คือมิดเอิร์ท เราเคยเป็นเทพชั้นเนเวอร์แลนด์ทำไมต้องกลัวด้วย ถ้าเจ้ากลัวก็อยู่ตรงนี้ข้าจะเชือดหัวใจนางเอง”อันทิมิสชันนาริสตรงขึ้นสู่บัญลังที่ส่งแสงสว่างงดงามอยู่ เบื่องหลังของจีเนรอสเป็นตราของอาณาจักรที่ได้รับการโอบอุ้มจากเทพและสัตว์นรกทั้งสองด้าน
              มันดูน่ากลัวที่เดียว ที่แห่งนี้มีความลับมากมายกว่าสุสานแห่งความรักเป็นแน่อันทิมิสชันนาริสสัมผัสได้ หินแสงที่เกะเป็นปีกคลายปีกของอเลทาดอสบนสวรรค์ ดูราวกับว่าที่แห่งนี้เป็นกาเล็กซิริกที่มีอเลทาดอสนั้งอยู่เบื่องหลัง เหมื่อนกับดักต่อสิ่งชั่วร้ายที่ก้าวก่ายที่แห่งนี้
             “เมื่อข้ากินเลือดของท่านความงามของข้าก็จะไม่สูญสลายไป ชายทั่วล้าแม้แต่ดิวาทอร์ก็ต้องหลงเสน่ห์ข้า”อันทิมิสชันนาริสกล่าวเมื่อยื่นอยู่เบื่องหน้าจีเนรอสที่นั่งสงบอยู่ เส้นผมดำสวยของนางลอยขึ้นก่อตัวเป็นคมดาบที่พร้อมเฉือดเฉือนร่ายของสตรีเบื่องหน้า “มาเป็นพลังของข้าเถิอดนางฟ้าของพระเจ้า”
              ผลันแสงสว่างส่องจากตราของอาณาจักร ต้านเส้นผมที่ตรงมาที่จีเนรอสแสงนั้นยังสาดส่องไปที่ร่างของอันทิมิสชันนาริสและตรงไปกระทบใบหน้าของอาทิมิสชันนาริซ แสงสว่างนั้นแผดเผาเรื่อนร่างของซินแห่งความรักและใบหน้าของซินแห่งความงามทันที
             “ข้าบอกเจ้าแล้ว อันทิมิสชันนาริส เจ้าอยู่ในพระเนตรของพ่อตลอด(In the vision of god) เจ้าไม่ควรถล่ำลึกแต่เจ้าตัดสินใจเอง”จีเนรอสหลบตาลงปีกนับหมื่นก็เป็นเงาปรากฏขึ้นผลักให้ร่ายที่ลุกไปด้วยไฟหายสินจากความทรมาร
สายตาของจีเนรอสมองมาที่อาทิมิสชันนาริซที่นั่งปกปิดใบหน้าที่เสียโฉมไปแถมได้ความแสบร้อนยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
             “เจ้าไม่ควรจะเป็นดังพี่สาวของเจ้า”จีเนรอสหยุดอยู่ใกล้ๆยืนมือมาให้ศัตรูของเธออย่างอ่อนโยน “เจ้าสามารถเดินออกไปตอนนี้ หายไปจากสงครามนี้ และใช่ชีวิตอย่างที่เจ้าต้องการ”
             “เจ้าทำลายพรของข้า เจ้าสาปข้า”ซินแห่งความงามรู้ดีถึงรูปโฉมในปัจจุบัน “เจ้าทำให้พรของข้าหายไป เจ้าควรจะเป็นมารร้าย”อาทิมิสชันนาริซเงยหน้าขึ้น “ดูสะนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องการ”
             “นี้เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ พรของเจ้าว่าอย่างไรละ ...จงงดงามดั่งดวงใจอันบริสุทร์ของเจ้าตลอดกาล...”
             “ข้ารู้....”อาทิมิสชันนาริสร้องออกมาเบาๆ “พระผู้เป็นเจ้า”มืออันสั่นเทากุมที่อกของเธอแล้วก็วิ่งหายไปจากท้องพระโรง
              “จบแล้วสินะเด็กน้อยผู้น่าสงสาร”เสียงเบาๆของจีเนรอสเอยขึ้นก่อนเธอจะมองเห็นเพียงเงาเลือนลางของเรจิน่าที่เปิดประตูท้องพระโรงเข้ามา

              ดิวาทอร์มองกองทหารที่บุกจู่โจมกันไม่หยุดหย่อน สายตาของเขาเห็นกองทหารที่จัดแนวออกจากกำแพงเมือง มาทิโร่ (Mathiro, the grand-sin of Respective)ควบม้าที่เข้ามาด้านข้าง
             “นางต้องกลับอธีริก (Atheric Rhexiricbunedan)พลังของนางเหลือน้อยเต็มที หน้าแปลก”ดิวาทอร์กล่าวโดยไม่ทันสนใจ
            “นางจะไปทางใดหรือท่าน”มาทิโร่ถามอย่างเล็งเห็นช่องทาง
            “เจ้าเห็นกองทหารนั้นไหม นางต้องไปท่าน้ำแห่งเมอร์คิวรี่เมอร์เมด (Mercury mermaid port) นางเงือกนั้นจะเนรมิตทางกลับอธิริกอย่างรวดเร็วแบบที่ข้าก็คิดไม่ถึง” ดิวาทอร์ควบม้าออกไปยังจุดที่มีทหารออลคั่งอยู่เบื่องหน้าโดยไม่สนใจมาทิโร่ที่โบกมือเรียกเอทาลัส (Atalus Kairos, the grand-sin of War)
             เอทาลัสควบม้าไปหามาทิโร่อย่างช้าๆ “มีอะไรอีก”
            “นางเทพหัวสูงกำลังอ่อนแอ รีบไปกำจัดนางสะ เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”มาทิโร่จับไหล่ของเอทาลัส “อย่าให้พลาดอีกเชียว”เอทาลัสได้แต่พยักหน้าก่อนควบม้าตรงไปยังลุ่มน้ำตะวันออกของเมือง

           จีเนรอสได้รับการช่วยเหลือจากเหล่านางสนมมากมายให้ขึ้นรถม้าเพื่อออกไปทางประตูเมืองตะวันออกที่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา รถม้าวิ่งฉลิวไปยังทางหินเก่าแก่ออกจากกำแพงเมือง
ลูกธนูหลายลูกจู่โจมกองคุมกันและเหล่าองค์รักษ์(Sentheric royal guard) ทหารต่างเปลี่ยนมาพร้อมรบและรับการประทะจากเหล่ามือธนูของออร์ค(Orc archer)
            เอทาลัสกระโดดลงมาขวางหน้รถม้าห่างไปไม่มากนักให้เอลาโน่(Alano, the represent of Atheric) เห็นก็ควบให้ม้าวิ่งเร็วขึ้นกะเหยียบเจ้าซินเบืองหน้าให้หายไปใต้พื่นดิน แต่เมื่อม้าศึกควบไปใกล้ เอทาลัสก็ต่อยม้าศึกสองตัวแรกทรุกลงข้างทางและอีกที่เหลือจนรถม้าอยู่อยู่ด้วยอุ่มมือของเขา
            เอลาโน่เสียหลักพุ่งตัวไปข้างหน้าข้ามไหล่ของเอทาลัสที่มีเกราะหุ่มหนามอยางหวุดหวิด เขาโน้มตัวลงอย่างเบาตัวเพื่อเหยียบพื้นแล้วหันมาพร้อมดาบที่ส่องแสงของเอล
             ตาแก่นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เอทาลัสคิดพลางรับคมดาบที่กวัดแกว่งมา พร้อมยิ้มเยาะๆก่อนจะผลักออกด้วยพลังของเขาเต็มแรง เอลาโน่ก็ลอยควางไปที่ต้นไม้  เขาเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้ดิวาทอร์อาจได้กลิ้นเรื่องนี้ เมื่อเปิดประตูรถม้าก็พบว่าภายในว่างเปล่า แต่คมดาบที่เห็นไวๆสีทองดังที่เขาคิดว่าจะเห็นจากมุมป่าแห่งหนึ่ง และแน่นอนกลิ้นของหญิงชาวมนุษย์
            เอทาลัมรีบกระโดดลงวิ่งตามไปก็เห็นหญิงสาวในชุดเกราะทองคำที่ปิดชุดผ้าสีเขียวอยู่ที่ทางตรงไปยังท่าเรื่อ ผมสีทองของหญิงสาวที่ราวกับแสงอาทิตย์ยามสายทำให้เอทาลัสชงักเล็กน้อย
            เสียงดังของเกราะเบื่องหลังทำให้เรจิน่าหันกลับไป เจ้าอสูรตัวสีเขียวในเกราะสีทองนั้นยังตามเธอมา และคงขัดขวางเธอไม่ให้พาจีเนรอสไปถึงท่าเรื่อเป็นแน่ เรจิน่าตัดสินใจพาจีเนรอสนอนลงที่โขดหินข้างๆก่อนจะหันกลับมาประเชิญหน้ากับอสูรร้าย
             คมดาบสีทองโจมตีเอทาลัสทันทีที่เขาโพล่หน้าจากแนวหิน เธอว่องไวและมีความสามารถใช่ดาบเป็นเลิส แน่ละว่าเขาไม่อยากจัดการเธอในทันทีหรอก เมื่อได้จังหวะเอทาลัสก็ตวัดพลิกดาบออกจากมือของเรจิน่าและดึงเธอเข้ามากอดประคองแนบกาย
              “ปล่อยข้าเจ้าตัวเหม็น ชั่วร้ายหยาบคาย”เรจิน่าพยายามดิ้นออกจากอ้อมเข็นนี้แต่ไม่สำเร็จ “เจ้าจะกินข้าเหรอ อย่าหวังไปเลยข้าจะติดคอเจ้าให้เจ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด”
             “เจ้านะเหรอ ไม่หรอก เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าอยากได้อะไร ข้ามีพรของเทพ จุมพิศของข้าไม่เคยมีสตรีใดต้านทานได้ และข้าอยากได้เจ้ามาเป็นนางปรนนิบัติให้ข้าดูสิว่าเจ้านั้นจะยังปากเก่งอยู่ไหม
              เรจิน่าไม่ทันร้องใดๆเธอก็ได้ริมฝีปากหยาบช้านั้นบดลงมาที่ริมฝีปากของเธอ เขียวด้านๆของเอทาลัสกระทบกับฟันของเธอแต่ความมืดมิดก็มาครอบงำไปเสียก่อน
             เอทาลัสมองดูร่างที่สลบนิ่งราวกับตายไปแล้วในอ้อมแขน สายตาเขามองตรงไปที่จีเนรอส ที่ทำลังลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าเอทาลัสกำลังเดินตรงไปหาเธอก็รีบตะกรายลุกขึ้นวิ่งหนีช้าๆ ไม่มีอะไรสนุกเท่าตอนนี้อีกแล้วเอทาลัสคิด แต่เมื่อจะจับตัวของจีเนรอสเขาก็ชงัก “เกราะแห่งดิวาทอร์ (Devator-linked shield)”
              ดิวาทอร์สบถเสียงดังเมื่อรู้ว่าจีเนรอสกำลังอยู่ในอันตราย อย่างน้อยจิตเธอก็บอกเช่นนั้นใครบังอาจมาแตะต้องของๆเขา เขาจะสับเจ้าหมูโสโครกนั้นเป็นพันชิ้น
              ม้าศึกควบตรงออกจากสนามรบตรงไปยังที่ๆดิวาทอร์รู้ว่าจะพบจีเนรอส สายตาของเขากำลังส่องประกายเพลิงจากนรกที่พร้อมเผลาผลาญทุกสิ่งที่ทำให้เขาโกรธได้ถึงเพียงนี้
              “ในที่สุดเราก็ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแล้วจีเนรอส”เอทาลัสตวัดดาบทำลายเกราะนั้นแล้วดึงกายของจีเนรอสมาซอกไชร้สูดกลิ่นหอมของเธอ มือของเขาแตะต้องกายอ่อนละมุ่นของจีเนรอสอย่างหยาบคาย
             “เจ้ากำลังหาที่ตาย เอทาลัส”
            “ข้ารู้แล้วว่าทำไมดิวาทอร์ถึงบ้าเจ้านัก เทพนางฟ้าสุ…”เอทาลัสพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกดึงออกพร้อมหมัดแรกที่ใบหน้าและหมัดที่สองที่ห่างกันเพียงไม่ถึงวินาทีที่หน้าท้อง หมัดนั้นทะลุเกราะเหล็กเข้าปะทะเนื้อของเขาผลักให้ลอยควางไปจากจีเนรอส
             เอทาลัสมองดูร่างจีเนรอสที่ทรุดเข้าในอ้อมแข็นของดิวาทอร์ และดวงตาที่ลุกเป็นเพลิงหน้ากลัว เขารู้ว่าถ้าไม่หนตอนนี้มีหวั่งได้กลับไปนรกเหมือนเดิมเป็นแน่
           “ใครสั่งมือสกปรกของเจ้ามาแตะต้องนาง”
           “ท่านทำให้เราเสียเวลาดิวาทอร์”
           “ข้าเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนั้น”ดิวาทอร์คำรามเสียงดัง แผ่นดินไหวร้าวกับรู้ถึงอารมณ์ของเขา
            “จัดการนางสะดิวาทอร์ เซนทิริกก็จะเป็นของท่านถ้าไม่มีนาง”
             “ไปให้พ้นสายตาของข้า ก่อนที่ข้าจะจับชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของเจ้ายัดหีบส่งกลับให้เอกาลอส(Agalos, the son of evil)”ดิวาทอร์มองเอทาลัสเดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์แล้วจึงมองใบหน้าที่ซีดเผือกของจีเนรอส
            “ปล่อยข้า!”จีเนรอสร้องออกมาเท่าที่กำลังมีอยู่
            “เจ้าเป็นอะไรมากไหม พลังในตัวเจ้าอ่อนมากพ่อไม่ให้พลังเจ้ามาหรือ”
            “ท่านไม่มีสิทธ์รับรู้ และปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ท่านไม่มีสิทธิ์...”
            “แตะต้องตัวเจ้า ข้ารู้จีเนรอส  ข้ามีสิทธิ์ในตัวเจ้าเสมอจีเนรอสตั้งแต่เจ้าประกาศตัวเป็นราชินีแห่งเซนทิริกแล้ว” จีเนรอสพาดใบหน้าของดิวาทอร์ด้วยฝ่ามือของเธอ มันทำให้อารมณ์ของดิวาทอร์ขาดพึ่งเขาดึงร่างนั้นมาจูบบดริมฝีปากสวยของเธออย่างกระหายราวกับเธอเป็นนำทิพที่เขากระหายมาดื่ม “รับพลังดิวาทอร์ไป”
            “ไม่ ข้าจะเดินทางกลับอธีริกอีก4วันข้าจะกลับมา”
           “ข้าจะรอ จีเนรอส”ดิวาทอร์อุ้มร่างงดงามมาที่ท่าเรือเขาหวีดเสียงเป็นสัญญาณเรือลำงามก็เข้ามาเทียบท่าเสียงม้าหลายตัวกำลังตรงมาคงเป็นพวกทหารของเซนทิริก “พานางไปอธีริกอย่างปลอดภัยถ้าข้ารู้ว่าเจ้าหลงทางข้าจะกลบสายน้ำแห่งนี้ด้วยมือของข้าเอง”ดิวาทอร์ขู่นางเงือกที่ลอยมาจับเรือรอบๆ
           จีเนรอสส่งเสียงหัวเราะเบาๆกับการขู่ของดิวาทอร์ “รุ่งอรุ่ณของวันที่สี่ข้าจะมาพร้องแสงอาทิตย์แห่งทิศประฉิม”เธอมองใบหน้าของดิวาทอร์ที่พยักรับก่อนจะเดินออกห่างให้เรื่อลอยห่างจนหายไปจากสายตา
          อย่างน้อยดิวาทอร์ก็หลบการนองเลือดที่ท่าเรื่อมาได้เมื่อเขาควบม้าออกมาได้อย่างหวุดหวุดกองม้าศึกของซิกมันและอิสฮานวันนี้เขาจึงอารมณ์ดีอย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อวานและอาจดีกว่าวันพรุ่งนี้
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.16 seconds with 20 queries.