Summoner Master Forum
October 05, 2024, 02:26:38 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: ถามเจาะเรื่องราวเหล่าMysticเทพยอดนิยม  (Read 6933 times)
0 Members and 7 Guests are viewing this topic.
Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« on: April 27, 2007, 02:47:03 PM »

ตั้งขึ้นมาเพื่อถามถึงเหล่ามิสติคDevasต่างๆที่อาจลงในWiserไปแล้วแต่ผมก็ไม่ได้รู้หมดทุกองค์จึงต้องตั้งขึ้นมาถามเรื่องราวของเหล่าDevasนี้นะครับ

เทพที่ผมอยากได้ข้อมูลก็ได้แก่

Bastet  Zeus  Odin  Athena  Cadmus  Aprodite  Gaia  Icarus  Osiris  Nephtys  Brighid  Nike  Enki

จะมากจะน้อยยังไงก็ได้ครับเพราะเทพบางองค์นั้นผมก็สงสัยว่ามันเป็นเทพตรงใหนเช่น Brighid   Icarus  Enki


Logged


Wonder~Tanu
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1526


Email
« Reply #1 on: April 27, 2007, 03:16:50 PM »

เอากว้างๆก่อนล่ะกันน่ะ (รายละเอียดลงไม่ไหว)

เทพอียิปต์

Basted เทวีหูแมวแห่งสุขภาพ

Osiris เทพแห่งแม่น้ำไนล์

Nepthys

เทพกรีก - โรมัน

Zeus เทพผู้ปกครองสวรรค์

Athena เทวีแห่งปัญญา + ทอผ้า

Cadmus ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งกรุงธีบส์

Aprodire เทวีแห่งความงาม

Gaia พระแม่ธรณี

Icarus ลูกชายของนักประดิษฐ์ดีดาลัส

Nike เทวีแห่งชัยชนะ

เทพยุโรปเหนือ

Odin เทพแห่งปัญญา

Brighid เทวีไฟแห่งครัวเรือน(เทียบได้กับHestia ในกรีก)

เทพสุเมเรียน

Enki
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #2 on: April 28, 2007, 12:51:07 AM »

Zeus







ประวัติซุส

ซุส เป็นเทพเจ้าของทางกรีก ขณะที่ทางโรมันจะเรียกว่า จูปิเตอร์   แทน   
ซุสเป็นบุตรคนเล็กของ โครนัส และ รีอา  ซุสเป็นมหาเทพเป็นบิดาเหนือทวยเทพทั้งมวล
เป็นผู้ปกครองเขาโอลิมปุสของบรรดาทวยเทพ เป็นเทพแห่งนภากาศ และ สายฟ้า  เป็นผู้นำสูงสุดผู้มีอำนาจเหนือเทพและมนุษย์ทั้งมวล และมีอำนาจสิทธิ์ขาดในเรื่องการบัญญัติกฎ ความยุติธรรม และคุณธรรม  เครื่องหมายประจำตัวของซุสคือ สายฟ้า ฟ้าผ่า คทาประจำกาย โล่อีจิส และนกอินทรี (นกอินทรีเป็นเสมือนนกคู่กายของซุส ซึ่งครั้งหนึ่งซุสก็เคยใช้มันไปลักพาตัวเจ้าชายของกรุงทรอยที่ตนชอบพอมาให้ด้วย)
   






นาม และ สมญานามต่าง ๆ ของซุส

ชื่อ Zeus เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับคำว่า Dios ของกรีก ซึ่งมีความหมายว่า ความสว่าง หรือ แสงสว่าง  นอกจากนี้ ซุสเองก็เป็นเทพอีกองค์หนึ่งที่มีสมญานาม ฉายาออกมาอย่างมากมายและหลากหลายเหมือนดังเทพที่โด่งดังองค์อื่น ๆ ที่มีสมญานามเรียกขานออกมาจำนวนมากเพื่อเป็นการยกย่องและให้เกียรตินั่นเอง  ซึ่งชื่อสมญานาม ที่เด่น ๆ ของซุสนั้นมีดังนี้

Kosmetas ผู้ควบคุมกฎระเบียบ
Soter ผู้ช่วยให้รอด
Polieos นายเหนือนคร
Eleutherios ผู้ประกันเสรีภาพทางการเมือง
Olympios ราชาแห่งโอลิมเปีย
Panhellenios องค์อุปถัมภ์แห่งกรีกทั้งมวล
Xenios องค์อุปถัมภ์ของผู้มาเยือน
Horkios ผู้รักษาซึ่งสัจจะ
Agoraios ผู้พิทักษ์อโกร่า



ลูก ๆ ของซุส


ซุสมีเรื่องราวอื้อฉาวกับบรรดาสตรีมากมาย ทั้งที่เป็นเทพเจ้าด้วยกันไปจนถึงมนุษย์เดินดินปกติ  และนั่นก็เป็นสาเหตุให้เชื้อสายลูก ๆ ของซุสมีออกมามากมายนั่นเอง ในบรรดาบุตรธิดาของซุสที่เด่น ๆ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีของพวกเราก็อย่างเช่น อพอลโล อาร์เธมีส เฮอร์มีส ไดโอนิซัส เพอร์ซิอุส เฮอร์คิวลิส แอริส อโฟรไดท์ และพวกมิวส์เป็นต้น (ออกมาเป็นการ์ด Devas ใน SMN เราซะเกือบหมดแล้วนะเนี่ย)


ประเพณี การสักการะบูชาซุส

ซุสเป็นเทพที่ได้รับการสักการะบูชาในหมู่ชาวกรีกมาแต่ช้านานแล้ว โดยเชื่อว่าเริ่มตั้งแต่ชนเผ่าชาวกรีกโบราณที่ให้การเคารพซุสในฐานะเทพแห่งดินฟ้าอากาศ ด้วยความเชื่อว่าซุสเป็นผู้ควบคุมและเป็นต้นเหตุแห่ง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า พายุฝนฟ้าคำรณ ต่าง ๆ นั่นเอง  เชื่อว่าเผ่าชาวกรีกพวกนี้มาจากทางใต้ของบอลข่านในช่วง 2100 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งในมหากาพย์ อีเลียด ของโฮเมอร์ ก็ได้กล่าวถึงซุสว่าเป็นผู้ส่งพายุฝนฟ้าคะนอง และ ฟ้าผ่าเข้าทำลายฝ่ายอริศัตรูด้วย


มีวัดวิหารมากมายถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติถวายแด่ซุส เช่นเดียวกับพิธีกรรมและเทศกาลงานฉลองต่าง ๆ ที่ถูกจัดขึ้นเป็นการฉลองในนามของซุส หนึ่งในวิหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของซุสอยู่ที่นครโอลิมเปีย ที่วิหารแห่งนี้มีรูปปั้นขนาดใหญ่ของซุสนั่งบัลลังก์ที่ทำมาจากทองและงาช้างประดับอยู่ นายช่างที่ปั้นรูปปั้นนี้ขึ้นมามีช่อว่า ฟิเดียส และผลงานชิ้นนี้ก็ถูกจัดเป็น 1 ใน 7 อัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณด้วย  ส่วนงานฉลองเทศกาลในนามของซุสที่เด่น ๆ ก็มี โอลิมปิค เกม และ นิเมียน เกมนั่นเอง


ตำนานการชิงบัลลังก์ของซุส


หนึ่งในตำนานที่โด่งดังที่สุดของซุสตำนานหนึ่งมาจากตำนานกำเนิดเทพเจ้า (Theogony) ซึ่งเป็นเรื่องราวการช่วงชิงนครแห่งทวยเทพของซุสจากบิดาของตน  ในตำนานกล่าวไว้ว่า โครนัส ผู้เป็นบิดาของซุสได้รับคำพยากรณ์เตือนมาว่า หนึ่งในบุตรธิดาของตนจะมายึดอำนาจไปจากเขา โครนัสรู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นของเหตุการณ์นี้ดี เพราะตัวโครนัสเองก็ช่วงชิงบัลลังก์มาจาก ยูเรนัส ผู้เป็นบิดาของตนเช่นเดียวกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และปกป้องบัลลังก์อำนาจของตน โครนัสได้กลืนกินบุตรธิดาของตนที่ได้เกิดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่นางริอาภริยาของโครนัส และไกอามารดาของนาง ได้นำก้อนหินไปห่อในผ้าแทนที่ทารกซุส ทำให้โครนัสกลืนก้อนหินเข้าไปแทน ส่วนตัวซุสจริง ๆ นั้นถูกพาไปที่ครีต ที่ถ้ำบนภูเขาดิคเต และได้รับการเลี้ยงดูจากสถานที่แห่งนั้น

เวลาได้ผ่านไปจนซุสได้เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่ม ซุสก็ได้เดินทางกลับไปยังดินแดนของโครนัสผู้พ่อ และด้วยความช่วยเหลือของไกอา โครนัสก็ถูกบังคับให้คายบุตรธิดาทั้ง 5 ที่ถูกกลืนไปก่อนหน้านั้นออกมาทั้งหมด (บางตำนานว่าไว้ว่าโครนัสรับยาที่ทำให้อาเจียนเข้าไป จึงสำรอกบุตรธิดาทั้งหมดออกมา) หลังจากนั้น ซุสก็ได้จัดการทำสิ่งที่โครนัสเคยวิตกกังวลเอาไว้ คือกระทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากโครนัสผู้พ่อ และราชวงศ์ไตตันทั้งหมด  ก่อนที่จะขับไล่เนรเทศทั้งหมดไป  เมื่อซุสได้ยึดครองอำนาจทั้งหมดมาแล้ว ซุสได้นำจักรวาลทั้งหมดมาแบ่งกันในระหว่างพี่น้องทั้ง 5 ของตนให้แต่ละคนไปปกครองแต่ละสถานที่แตกต่างกันออกไป ผลของการแบ่งจักรวาลในครั้งนี้ ส่งผลให้ซุสเป็นผู้ครอบครองนภากาศฟ้าสวรรค์  โพเซดอนเป็นผู้ครอบครองผืนน้ำท้องทะเล และ เฮดีซเป็นผู้ครอบครองนรกโลกใต้พิภพ

อาณาจักรสวรรค์ของซุสเคยถูกรุกร่นหลายต่อหลายครั้ง  โดยผู้รุกรานที่เด่น ๆ ล้วนเป็นลูก ๆ ของไกอาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น กิกันเตส ไทฟอน หรือ อโลอาเด ซึ่งในทุกครั้งซุสก็ได้ทำการรบด้วยสายฟ้ากับโล่อีจิสของตน และได้รับชัยชนะมาด้วยดีตลอด และเช่นเดียวกับที่ซุสเคยทำกับพวกไตตัน ซุสได้ขับไล่เนรเทศบรรดาผู้รุกรานไปยัง ทาร์ทารัส ดินแดนที่อยู่ลึกที่สุดในโลก และลึกยิ่งกว่าใต้พิภพเสียอีก



ซุสในผลงานทางศิลปะ


ในทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด รูปปั้น หรือสื่อศิลปะอื่น ๆ  รูปลักษณ์ของซุสมักจะถูกแสดงออกมาเป็นชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราเฟิ้ม ลักษณะภายนอกดูภูมิฐาน และดูเปี่ยมด้วยพลังอำนาจ อาจจะมีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่แสดงถึงคุณลักษณะของซุสเช่น สายฟ้า คทา หรือ นกอินทรีใส่ลงไปประกอบด้วย  ศิลปินจำนวนมากต้องการที่จะสื่อถึงความทรงพลังอำนาจของซุสผ่านออกมาในงานศิลปะของตน ดังนั้นหนึ่งในท่าโพสของซุสที่ปรากฏออกมามากที่สุด คือภาพของ
ซุสง้างมือราวกับกำลังจะเหวี่ยงสายฟ้าลงไป (เช่นเดียวกับที่ปรากฏในการ์ด SMN นั่นเอง)
Logged


~+*_KiTTy_AzAr_*+~
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2658


« Reply #3 on: April 28, 2007, 12:52:58 AM »

โอ้ คนเขียนคอลัมน์ลงเอง

BastetเคยลงWiserไปรึยังอะครับ
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #4 on: April 28, 2007, 12:53:48 AM »

Athena








    อาธีน่าเป็นเทพของทางกรีก เป็นเทพีแห่งปัญญา การศึกสงคราม ศิลปะ งานฝีมือ ทอผ้า และ ความยุติธรรม ทางโรมันจะรู้จักนางในนามเทพี มิเนอร์วา (Minerva)  อาธีน่าเป็นเทพีที่เกี่ยวกับการรบ การสงคราม ดังนั้นภาพลักษณ์ของนางจึงเป็นเทพนักรบ ที่มักจะแต่งองค์ทรงเครื่อง สวมเกราะพร้อมรบเยี่ยงนักรบอยู่เสมอ

 อาธีน่านั้นต่างจาก อาเรส เทพผู้น้อง พอสมควร ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นเทพที่เกี่ยวกับการสงครามเช่นเดียวกัน
แต่ อาเรส จะเป็นเทพที่ใจร้อน ขี้หงุดหงิดอยู่เสมอ ดังนั้นการศึกสงครามสำรับอาเรสคือการรบราฆ่าฟันและการต่อสู้อย่างดุเดือดโดยไม่คิดชีวิต แต่สงครามสำหรับอาธีน่าคือการวางแผนการรบ วางกลศึก และกำหนดยุทธศาสตร์ทางการรบ ที่เป็นอะไรที่มากกว่าการเข้าไปรบอย่างบ้าคลั่งโดยไม่คิดอะไรอย่างอาเรส  นอกจากนี้อาธีน่ายังเป็นเทพประจำน่านน้ำเขตอีเจี้ยน (ช่วงทะเลเมดิเตอเรเนียนระหว่างกรีกกับตุรกี) ตั้งแต่ก่อนที่กรีกจะเกิดขึ้นมาอีกด้วย   อาธีน่าเป็นเทพีที่ถือซึ่งความพรหมจรรย์ ทำให้นางสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ นางจึงไม่มีคู่สมรสใด ๆ   อาธีน่าเป็นเทพอุปถัมภ์ของกรุงเอเธนส์ในกรีซ และมีต้นมะกอกกับนกฮูกเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว  โดยที่วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) ในกรุงเอเธนส์ เป็นวิหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของนาง


คำว่า  อาธีน่า นั้น เชื่อกันว่ามาจากคำว่า เอ เทโอ โนอา (A theo noa) หรือ อี เทโอ นอร์ ( E theo noa) ซึ่งมีความหมายว่า “จิตแห่งเทพเจ้า” ขณะที่บางหลักฐานเชื่อว่ามาจากภาษากรีกคำว่า อาเธอร์ (Ather) ที่แปลว่า “เฉียบคม” รวมกับคำว่า เอน (Aine) ที่แปลว่า “การสรรเสริญ”




กำเนิดอาธีน่า

    อาธีน่าได้ถือกำเนิดมาจากศีรษะของซุส โดยมี เมทีส เทพีแห่งปัญญาเป็นมารดา
ในขณะที่ในอีกตำนานหนึ่ง ได้กล่าวถึงคำพยากรณ์ที่ว่าไว้ว่า วันหนึ่ง เมทีสจะให้กำเนิดบุตรธิดาที่มีฤทธานุภาพเหนือยิ่งกว่าซุสเสียอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันเหตุอันไม่พึงประสงค์นั้น ซุสจึงสาปนางเมทีสให้เป็นแมลงวัน และกลืนนางเข้าไปในทันทีหลังได้หลับนอนกับเธอ  แต่ในเวลานั้นเองเมทีสก็ตั้งครรภ์เรียบร้อยแล้ว เมทีสในร่างของซุสก็ได้สร้างหมวกเหล็ก และเสื้อคลุม สำหรับทารกน้อยของเจ้าหล่อนขึ้นมา   โดยการสร้างหมวกเหล็กนั้นเมทีสจะใช้ค้อนทุบลงไปหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ได้สร้างความเจ็บปวดทรมานในศีรษะให้กับ
ซุสเป็นอย่างมาก  เมื่อไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป  ซุส จึงได้เรียกเทพ โพรเมทีอัส (ขณะที่แหล่งอื่น ๆ ว่าเป็น เฮเฟสทัส เฮอร์เมส หรือ พาเลมอน) ใช้ขวานมิโนอัน (มิโนอัน ชื่ออารยธรรมโบราณของเกาะครีต) ผ่าเข้าไปกลางศีรษะของซุส   ทันใดนั้นเองปรากฏร่างอาธีน่าที่โตเต็มวัย แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อม กระโดดออกมาจากกลางศีรษะของซุส อย่างปลอดภัย



วีรกรรมเด่น ๆ ต่าง ๆ ของอาธีน่า

เหตุกำเนิดเอริชโทนิอัส  (Erichthonius)
เทพเฮเฟสทัสพยายามจะมีสัมพันธ์พิเศษกับอาธีน่าแต่ก็ไม่สำเร็จ น้ำเชื้อของเขาได้หยดลงบนพื้นดินและให้กำเนิดเป็น เอริชโทนิอัส ขึ้นมา อาธีน่าได้เก็บเขามาเลี้ยงในฐานะแม่อุปถัมภ์ ในขณะที่ตำนานในแบบอื่น ๆ จะมีเนื้อหาต่างกันไปเล็กน้อยถึงวิธีกำเนิดของ เอริชโทนิอัส แต่เนื้อหาหลัก ๆ ก็ใกล้เคียงกัน

สิทธิในกรุงเอเธนส์
อาธีน่าแข่งขันกับโปเซดอนในเรื่องสิทธิเหนือกรุงเอเธนส์ โดยเงื่อนไขของการแข่งขันคือ ทั้งคู่จะต้องมอบของขวัญให้กับชาวเอเธนส์คนละ 1 อย่าง จากนั้นหากชาวเอเธนส์เลือกของขวัญของผู้ใด ผู้นั้นก็ได้รับชัยชนะไป
โปเซดอนใช้ตรีศูลย์ปักลงบนพื้นเรียกน้ำพุออกมา แต่น้ำจากน้ำพุนั้นเป็นน้ำเค็มเหมือนน้ำทะเล จึงไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้มากเท่าไหร่  ในขณะที่อาธีน่ามอบต้นมะกอกให้กับชาวเมือง ต้นมะกอกต้นเดียวที่ให้ทั้งไม้ น้ำมัน และใช้เป็นอาหารได้อีก  ดังนั้นชาวเมืองจึงเลือกของขวัญของอาธีน่า ทำให้นางเป็นองค์อุปถัมภ์ของนครเอเธนส์นั่นเอง

ทอผ้าแข่งกับ อารัคเน่  (Arachne)
มีสตรีนางหนึ่งนามอารัคเน่ ได้คุยโวไว้ว่านางเป็นช่างทอผ้าที่เหนือกว่าเทพีอาธีน่าเสียอีก อาธีน่าได้ยินคำคุยโวของเธอก็แปลงกายเป็นหญิงชรามาหาเธอ และบอกให้เธอสำนึกผิดต่อความจองหองของเธอที่ได้กล่าวล่วงเกินทวยเทพ แต่นางหาฟังไม่ กลับกันนางกล่าวท้าทายออกมาว่า ถ้าอาธีน่าเก่งจริงก็ให้มาท้าประลองกับนางเสียดีกว่า เมื่อได้ฟังดังนั้น หญิงชราจึงคืนร่างกลับเป็นเทพีอาธีน่าและรับคำท้าของนางอารัคเน่ในทันที
ในการแข่งขัน อาธีน่าได้ทอผ้าออกมาเป็นรูปเล่าเหตุการณ์เรื่องความขัดแย้งกับโปเซดอนเรื่องสิทธิเหนือกรุงเอเธนส์ ในขณะที่นางอารัคเน่ทอผ้าออกมาเล่าเรื่องความรักอันอื้อฉาวของซุส  อาธีน่าเห็นดังกล่าวก็เดือดดาลกับฝีมือของนาง และหัวข้อที่นางเอามาเล่น  (การแข่งขันครั้งนั้นไม่ได้ตัดสิน) นางอารัคเน่เห็นดังนั้นก็รู้สึกผิด คิดจะฆ่าตัวตายเสีย แต่อาธีน่าก็สาปเธอให้กลายเป็นแมงมุมแทน ทำให้อารัคเน่เป็นแมงมุมตัวแรกของโลก และสามารถทักทอเส้นใยของนางไปได้ตลอดกาล

ช่วย เพอร์ซิอุส (Perseus) ปราบ เมดูซ่า
อาธีน่าช่วยให้คำแนะนำเพอร์ซิอุสในการปราบเมดูซ่า ทำให้เชื่อกันว่าการที่โล่อิจิสมีศีรษะของเมดูซ่าติดอยู่ตรงกลางก็เพราะได้มาจากเพอร์ซิอุสในครั้งนั้นด้วย

เฮอร์คิวลิส (Heracles)
อาธีน่าได้บอกเฮอร์คิวลิส ถึงวิธีที่จะถลกหนังของสิงโต เนมีน ออกมา ซึ่งก็คือใช้กรงเล็บของสิงโตตัวนั้นเอง
หลังจากนั้นหนังของเจ้าสิงโตก็กลายเป็นเครื่องหมายหนึ่งของเฮอร์คิวลิสที่เขาสวมใส่ประจำตัว ร่วมกับกระบองที่ทำจากไม้มะกอก นอกจากนี้อาธีน่ายังช่วยเฮอร์คิวลิสในศึกต่าง ๆ หลังจากนี้อีกด้วย

สาปไทรีซีอัส (Tiresias) ให้ตาบอด
ชายนามไทรีซีอัสถูกอาธีน่าสาปให้ตาบอดหลังจากเขาไปแอบดูนางอาบน้ำ นางชาริโคลผู้เป็นมารดาของไทรีซีอัสได้มาอ้อนวอนขออาธีน่าให้ยกโทษให้กับบุตรของนาง และขอร้องให้รักษาตาให้กับไทรีซีอัสด้วย  แต่อาธีน่าปฏิเสธและมอบความสามารถในการพยากรณ์ให้กับเขาแทน





รูปปั้นอาธีน่าเต็มตัว กับเครื่องหมายต่าง ๆ


อาธีน่าที่ปรากฏในงานศิลปะต่าง ๆ มักปรากฏรูปโฉมในลักษณะของเทพีนักรบ แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมรบ มีหอกติดอยู่กับตัว ไม่ก็กำหอกนั้นไว้ในมือ  ถือหรือวางโล่อีจิสอยู่ข้างกาย มีรูปปั้นเทพีแห่งชัยชนะ ไนกี้ อยู่บนมือข้างหนึ่ง และมีนกฮูกเกาะอยู่ที่ไหล่ข้างหนึ่ง

จากภาพเป็นรูปปั้นอาธีน่าแบบเต็มตัวที่ถูกทำจำลองขึ้นมาจากของจริงในวิหารพาเธนอน โดยเก็บรายละเอียดทั้งหมดครบถ้วนชนิดไม่ผิดเพี้ยนไปจากของจริงเลยทีเดียว รูปปั้นนี้ถูกจัดแสงอยู่ในนคร อโครโพลิส ที่จำลองมาจากของจริง  ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมชนิดไม่เว้นวัน


รายละเอียดส่วนต่าง ๆ ของ รูปปั้น อาธีน่า

รูปประกอบ athena-in-acropolis
รูปประกอบ Aegis ใต้ภาพว่า โล่อีจิส
รูปประกอบ nike ใต้ภาพว่า เทพีแห่งชัยชนะไนกี้
อีจิส (Aegis) โล่แห่งอาธีน่า

อีจิสมีความหมายแปลว่า โล่ การคุ้มครอง การปกป้อง พิทักษ์ป้องกัน และความช่วยเหลือ  คำว่าอีจิสนั้นเชื่อกันว่ามีที่มาจากคำว่า เอสโซ่ (aisso) ที่มีความหมายถึงการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน รวดเร็ว และรุนแรง ซึ่งสื่อถึงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าของซุสนั่นเอง ในขณะที่นิรุกตศาสตร์เชื่อว่าคำว่าอีจิสนั้นมาจากคำว่า เอเจี้ยน (Aegean) ที่หมายถึงทะเลที่มีคลื่นถลาโถมรุนแรงเพราะทวยเทพทำให้สั่นไหวมากกว่า  แต่ในตำนานหนึ่งนั้น ซุสได้ห่อหุ้มโล่อีจิสไว้ด้วยหนังของแพะเทพเจ้านาม อามัลเธียร์ (Amalthea) โดยที่ในภาษากรีก ไอจิส (Aigis) จะแปลว่าหนังของแพะด้วย ดังนั้นชื่อของโล่อีจิสนี้ก็อาจจะมาจากความหมายตรงนี้ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน (แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกตำนานว่าหนังของแพะถูกนำมาทำสายคาดของโล่มากกว่า)  
อีจิสเป็นโล่ประจำตัวของเทพีอาธีน่า ซึ่งแต่เดิมนั้นโล่อันนี้มีเทพซุสเป็นเจ้าของ แล้วจึงถูกเปลี่ยนมือมอบให้กับอาธีน่าในภายหลังด้วยตัวซุสเอง โล่อีจิสเป็นสัญลักษณ์แห่งฟ้าฝนคำราม และเมฆฝนทะมึน เพราะเมิ่อใดก็ตามที่ซุสใช้โล่อันนี้ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง พลันบังเกิดออกมา  โล่อีจิสที่ปรากฏในงานศิลปะภาพวาดต่าง ๆ บางครั้งจะปรากฏในลักษณะโล่ที่มีเกล็ด และ งูประดับติดอยู่ ในขณะที่ตรงกลางจะมีศีรษะของเมดูซ่าผูกติดอยู่ (ดังเช่นรูปปั้นในภาพ) และแน่นอน เรามักจะเห็นอาธีน่าอยู่คู่กับโล่นี้เสมอ


อสูรอีจิส

มีตำนานบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า อีจิสนั้นเป็นชื่อของสัตว์ประหลาดประเภทหนึ่งที่มีลมหายใจเป็นเปลวเพลิง มีรูปร่างแปลกพิสดารเหมือนกับพวกคิเมร่า แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ถูกสังหารลงโดยอาธีน่า ซึ่งนางได้นำหนังของอีจิสมาหุ้มเป็นเกราะป้องกันตัวนาง จนเป็นที่มาของคำว่าอีจิส ในขณะที่อีกตำนานหนึ่งเชื่อว่าหนังดังกล่าวเป็นของยักษ์นาม แพลลัส (Pallas) มากกว่า      


นกฮูก
นกฮูกเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา และความคงแก่เรียน ดังนั้นนกฮูกที่อยู่กับเทพีอาธีน่าจึงเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงนางที่เป็นเทพีแห่งปัญญานั่นเอง แม้แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ยังให้ความสำคัญกับนกฮูกมากจนถึงขนาดเอามันมาทำเป็นอักษรเฮียโรกริฟฟิคตัวหนึ่งด้วย ส่วนทางอาคาเดียก็มีเทพี ลิลิตู ที่มีนกฮูกเป็นสัญลักษณ์สื่อแทนเช่นเดียวกัน
ไนกี้ (Nike) เทพีแห่งชัยชนะที่อยู่ในมือของอาธีน่าคือรูปปั้นของไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะ ที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับอาธีน่าอย่างลึกซึ้ง  เชื่อกันว่าทั้งหมดเริ่มมาจากชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของชาวกรีกที่มีเหนือชาวเปอร์เซีย ในสงครามเกาะซาลามิส (Battle of Salamis) ในช่วง 480 ปี ก่อนคริสตกาล ตั้งแต่นั้นมาเทพีไนกี้กับเทพีอาธีน่ามักจะอยู่คู่กันเสมอในฐานะ เทพีผู้นำพาชัยชนะมาให้กับการศึกสงคราม และเพื่อให้ชัยชนะอยู่คู่กับสงครามเสมอด้วย  นอกจากนี้เทพีทั้ง 2 ยังมีนกฮูกเป็นสัญลักษณ์เหมือนกันอีกด้วย



Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #5 on: April 28, 2007, 01:00:04 AM »

Gaia







    ไกอา ถูกรู้จักในฐานะ พระแม่ธรณี พระแม่แห่งโลก พระแม่ผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง มาแต่ช้านาน
ชื่อ ไกอา มีความหมายเกี่ยวกับ พิภพ ธรณี โดยเสียง เก (Ge) เป็นคำอุปสรรคในภาษากรีก ที่มีความหมายเกี่ยวกับโลก และ ผืนพิภพอยู่แล้ว (Geo ก็เช่นเดียวกันที่มีที่มาดังนี้)  พระนางเป็นองค์เทวีแห่งพิภพในยุคแรก ๆ  และเป็นแม่ผู้ดูแลและโอบอุ้มโลกใบนี้ของทางกรีก ในขณะที่ทางโรมันจะรู้จักพระนางในชื่อ เทลลัส (Tellus) หรือ เทร่า (Terra) ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกัน





กำเนิดไกอา


   ตำนานการกำเนิดของ ไกอา ที่คลาสซิกและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดด้วยกันอยู่ 2 ตำนาน คือตำนานที่แต่งโดยกวีนาม โอวิต กับ เฮซิออด

ตำนานแรกของโอวิตนั้น เชื่อกันว่าไกอาถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่มสภาพของ เคออส (Chaos) สภาพอันสับสนว่างเปล่าและไร้ซึ่งกฎระเบียบของจักรวาล  ตามมาด้วยการกำเนิดของ อีรอส (รักกามารมณ์)  ซึ่งนำไปสู่การกำเนิดของ พอนตัส (ท้องทะเล) ยูเรนัส (ท้องนภา) และ ออเรียร์ (ภูเขา) 

    ส่วนอีกตำนานหนึ่งของเฮซิออด กล่าวไว้ว่า ไกอา ได้ถือกำเนิดมาจากสภาพ เคออส ก่อน แล้วจึงตามมาด้วย ทาร์ทารัส (Tartarus) ผู้เป็นเสมือนน้องชายของนาง (ทาร์ทารัส เป็นส่วนที่อยู่ลึกสุดลงไปใต้โลก ซึ่งลึกยิ่งกว่า เฮเดซ เสียอีก)
 ผู้ที่กำเนิดตามมาคือ อีรอส  ขณะที่สภาพเคออสยังดำเนินอยู่ ความมืด เอเรบัส (Erebus) และ น็อกซ์ (Nyx) ก็ได้กำเนิดขึ้นตามมา  หลังจากนั้นในยามนิทราของไกอา นางจึงให้กำเนิด ยูเรนัส  และ พอนตัส 


“ไกอา องค์เทวีผู้งดงามจุติ
แผ่ขยายด้วยความงดงาม
องค์เทวีผู้เป็นผู้รังสรรค์สรรพสิ่ง
ไกอาผู้แรกกำเนิด
กับดวงดาราแห่งสรวงสวรรค์ที่เทียบเคียงกับพระนาง
ปกคลุมรอบกายาทุกด้าน
และเป็นบ้านนิรันดรให้เหล่าทวยเทพ”
จากตำนานกำเนิด ไกอา ของ กวี โอวิต




ผู้กำเนิดจากไกอา

   ไกอา เป็นเทพองค์แรก ๆ ดังนั้นพระนางจึงเป็นเทพผู้เป็นต้นกำเนิด และให้กำเนิดเทพ และ สิ่งมีชิวิตอื่น ๆ ตามมา
(ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่พระนางเป็นพระแม่แห่งการกำเนิด จนเป็นสำนวนว่า Mother Nature หรือ Mother Earth )
ไกอา ในตอนแรกให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคู่ หรือ สามีเลย พระนางให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลขึ้นมาได้โดยลำพังตัวคนเดียว    แต่หลังจากพระนางได้ให้กำเนิด เทพองค์แรก ๆ ในธรรมชาติขึ้นมาแล้ว
พระนางก็ ได้รับเอา ยูเรนัส (ซึ่งเป็นบุตรของพระนางด้วย) มาเป็นสามี และได้ให้กำเนิดบุตรธิดามากมาย ซึ่งรวมถึง
ยักษ์ตาเดียว  ไซครอปส์ (Cyclopes) และสัตว์ประหลาดสามตัวที่รู้จักในนาม “เฮคาตอนชิเรส” (Hecatonchires) ด้วย
ส่วนยักษ์กิกันเตส (Gigantes) กำเนิดขึ้นมาจากเลือดของยูเรนัสที่หยดลงบนโลกจากบาดแผลจากการตอนที่กระทำโดย
โครนัส (Cronus) บุตรของตน    พระนางยังให้กำเนิดบุตร ธิดา อีกจำนวนมาก ทั้งโดยลำพัง หรือ อาศัยผู้อื่นเป็นสามี (ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง สามีก็คือบุตรของพระนางนั่นเอง)  และไม่ใช่เพียงทวยเทพเท่านั้น พระนางยังให้กำเนิดบุตรที่เป็นมนุษย์อีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ เอริคโทนิอัส ผู้ก่อตั้งกรุงเอเธนส์ขึ้นมา




บุตร ธิดา ที่ เด่น ๆ ของ ไกอา

-ยูเรนัส (ผู้เป็นสามีพระนางในภายหลัง)
-ยักษ์ 50 หัว 100 แขน อย่าง คอตัส บริอาริอัส ไกเกส
-ไซครอปส์ อย่าง บรอนเตส สเตโรเพส อาร์เกส
-ไตตั่น อย่าง โอซิเอนัส โคเออัส ครอัส ไฮเพเรี่ยน อิเอเพตัส โครนัส เธียร์ รีอาร์ ธีมิส เมโนไซน์ โฟบี้ เททิส
-เอริไนซ์ อย่าง อเลคโต้ ทิซิโฟน เมการา
-ยักษ์ ที่มีเกราะและถือหอก อย่าง ออชิซ
-เมเลียด หรือ นางไม้ต้นมะกอก
-เอ็ตน่า ยูริเบียร์ เนเรอุส โฟร์ไคซ์ ซีโต้ ทามัส แอ๊ตลาส อาเครอน อันเทอุส แอ๊คดิสติส เอริคโทนิอัส ฮิลัส ดรีมส์ ไพธ่อน

และอีกมากมาย~





ไกอา กับเรื่องราวต่าง ๆ

    ไกอา ได้หาทางปกป้องบุตร ธิดา ของพระนางจากสามีของพระนางด้วยการซ่อนพวกเขาทั้งหมดไว้ในตัวนาง ขณะที่อีกตำนานหนึ่งว่าพระนางซ่อนไว้กับทาร์ทารัสแทน  ภายหลังไกอาได้ขอให้โครนัสไปตอนยูเรนัสซะ เพื่อที่จะได้ไม่มีอสูรกายสัตว์ประหลาดกำเนิดขึ้นมาอีก (โดยที่ตรงนี้เป็นการแสดงถึงการแตกแยกจากกันของ ผืนพิภพ และ นภากาศด้วย คือการแยกจากกันของ ไกอา พิภพ กับ ยูเรนัส ท้องนภา เป็นสาเหตุให้ผืนดินผืนฟ้าแยกจากันถึงปัจจุบัน)

    และเพื่อให้แผนการนี้สำเร็จขึ้นมา ไกอาได้สร้างอาวุธขึ้นมาชิ้นหนึ่ง คือ เคียวที่ทำมาจากอาดามันไทน์ (Adamantine)
โครนัสหลังรับอาวุธไปก็ซ่อนตัวรอจนกว่ายูเรนัสจะมานอนกับไกอา แล้วจึงย่องเข้าไปใกล้ ใช้เคียวอาดามันไทน์เกี่ยวเพื่อทำการตอนยูเรนัสได้สำเร็จ (และเลือดที่หลดลงมาก็ให้กำเนิดบรรดายักษ์ และ ภูติพรายอื่น ๆ รวมถึงยักษ์กิกันเตสด้วย)

    หลังผืนพิภพ กับ ท้องนภาแยกจากกัน ไกอายังได้ให้กำเนิดบุตรธิดาอื่น ๆ ขึ้นมาอีกโดยอาศัยพอนตัส เป็นสามี โดยบุตรธิดาที่กำเนิดมาจากพอนตัสเป็นเทพแห่งท้องทะเลต่าง ๆ เช่น เนเรอุส ทามัส ฟอซิส ซีโต้ และ ยูริเบีย
ขณะที่อีกตำนานหนึ่ง ไกอา ได้ให้กำเนิดบุตรธิดากับทาร์ทารัส ออกมาเป็น เอคิดน่า และ ไทฟอน ซึ่งเป็นศัตรูกับ เทพซุส และ อพอลโล ในภายหลัง

    ไกอายังเป็นผู้ที่ช่วยซุสจากการถูกโครนัสกลืนหลังการกำเนิดของซุสอีกด้วย  โดยไกอาช่วยเรียร์อุ้มก้อนหินที่พันด้วยผ้าอุ้มทารก  เพื่อหลอกโครนัสว่าก้อนหินที่ถูกพันผ้านั้นเป็นซุส  ซึ่งโครนัสได้รับคำทำนายมาก่อนว่าบุตรคนหนึ่งของเขาจะทำให้เขาหลุดจากตำแหน่งนั่นเอง โครนัสจึงต้องการฆ่าบุตรของตนทั้งหมด แต่เพราะแผนการของไกอา ซุสเลยรอดชีวิตได้และถูกพาไปที่ครีตหลังจากนั้น




ทฤษฎีเกี่ยวกับไกอา

    มีทฤษฎีที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยอิงจากตำนานของไกอา ทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ นาม เจมส์ เลิฟล็อค (James Lovelock) ร่วมกับ ลิน มาร์กิวลิส (Margulis) นักจุลชีววิทยา ชาวอเมริกัน
ทั้งคู่ได้คิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้นมาโดยอิงตำนานการกำเนิดการสร้างของไกอา ในเชิงวิทยาศาสตร์และปรัชญาจากบริบทของตำนาน และเนื้อหาทางชีววิทยา ทฤษฎีนี้เชื่อว่าโลกที่เราอยู่ทั้งใบเป็นระบบชีวิตที่จัดการสมดุลในตัวเอง ซึ่งระบบนี่แหละคือ “ไกอา”  ระบบนี้เป็นระบบจัดการในตัวเองคือไม่ต้องการการแทรกแซงจากอิทธิพลของปัจจัยการจัดการภายนอก  ไกอาเป็นเสมือนผลรวมของรูปแบบชีวิตที่อยู่ร่วมกันตั้งแต่แบคทีเรีย ถึง ยูคายอติค ออแกนิซึ่มแบบหลายเซล  มาร์กิวลิสไม่สรุปว่าไกอามีชีวิตในตัวเองในฐานะ ซูเปอร์ออแกร์นิซึ่มที่ดำรงอยู่   แต่จากผลงานหนังสือล่าสุดของเธอ “Symbiotic Planet” เธอได้ยกข้อถกเถียงต่อแนวคิด ซูเปอร์ ออร์แกนิซึ่ม เมต้าฟอล และอธิบายว่า ไกอา “มีชีวิต”  เป็นรูปแบบชีวิตของดวงดาว

   เลิฟล็อค ยังไม่สรุปชัดเจนว่าไกอามีชีวิตหรือไม่ บางครั้งแนวคิดว่าไกอาเป็นรูปแบบชีวิตที่ทำงานด้วยตัวเองในรูปแบบชีวิตของดวงดาวอาจดูเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน ดังนั้นจะเป็นการดีที่สามารถสร้างความเข้าใจภาพรวมของไกอาที่สามารถถกด้วยกันอย่างเข้าใจง่ายมากกว่าให้มันซับซ้อนแบบนี้  ซึ่งทั้งเลิฟล็อคและมาร์กิวลิสต่างก็เห็นด้วยกับประเด็นนี้  มาร์กิวลิสมองว่าไกอาเป็น “รูปแบบการอยู่ร่วมกันของชีวิตที่สามารถเห็นได้จากมุมมองทางอวกาศ”  คือเป็นผลรวมระหว่างสิ่งมีชีวิตและไม่มีชิวิตในโลก  โดยมาร์กิวลิสได้ให้คำอธิบายด้วยการเปรียบเทียบว่า “เราแต่ละคน” อาจเปรียบได้กับเซลหน่วยนึงของไกอาหรือโลก ที่เป็นเสมือนร่างกายทั้งหมด

   ภาพยนตร์ Final Fantasy The Spirits Within เป็นภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่ได้ยกทฤษฎีไกอามาประกอบในเรื่อง โดยนำเสนอไกอาเป็นจิตวิญญาณของโลก เป็นรูปแบบพลังงานที่อยู่ใต้พื้นโลกโดยมีเปลือกโลกเป็นเหมือนผิวหนังหุ้มเอาไว้  แนวคิดที่สื่อในภาพยนต์นั้นสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ   ซึ่งจากตำนานของ ไกอา นี่เอง มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างอยู่  และประเด็นเหล่านี้ถูกนำมาถกทั้งในแง่ปรัชญา ศาสนา การเมือง จนไปถึงเรื่องของจิตวิญญาณ แนวคิดไกอามีความลึกล้ำและภูมิปัญญาโบราณซ่อนอยู่มากกว่าจะเป็นตำนานเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิง  แนวคิดทฤษฎีไกอานี้มีทั้งผู้ยอมรับและไม่ยอมรับ ทั้งในระดับการศึกษาและในวงการวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ยอมรับแนวคิดนี้ให้เหตุผลว่าเรื่องนี้เป็นเสมือนเรื่องทางจิตวิญญาณ ปรัชญา หรือ “แนวคิดสมัยใหม่” มากเกินไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดีก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไกอาเป็นทั้งตำนานโบราณที่น่าตื่นตาหลงใหล และเป็นทั้งแนวคิดทางปรัชญา ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ และแนวคิดสมัยใหม่  ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง ชื่อ “ไกอา” นี้ก็ถูกนำมาถกและพูดถึงประกอบเสมอ


Logged


เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1432


Email
« Reply #6 on: April 28, 2007, 01:04:35 AM »

Athena ก็เคยลงไปแล้วครับ(แต่พี่ลิงเอามาลงในนี้ใหม่)

ถ้าจะลงกันจริงๆคงอีกเยอะ -*-
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #7 on: April 28, 2007, 01:19:19 AM »

Odin







นามของโอดีน

โอดีน เป็นมหาเทพที่เป็นหัวหน้าอยู่เหนือทวยเทพทั้งหลายในตำนานทางยุโรปเหนือ  ชื่อโอดีนมีความหมายแปลว่า “ตื่นเต้น” “โกรธา” และ “กวีนิพนธ์”   โอดีนมีบทบาทเกี่ยวพันละเป็นองค์อุปถัมภ์ของหลากหลายกิจการ ตั้งแต่ การสงคราม ปัญญา สงคราม และ ความตาย  นอกจากนี้ยังถือว่าโอดีนเป็นเทพเจ้าแห่งอาคมมนตรา การพยากรณ์ ชัยชนะ และการล่าสัตว์ด้วย


   โอดีนมีสมญานาม นามเรียกขานที่แตกต่างออกไปมากมาย ซึ่งนั่นก็มาจากรูปแบบทางกวีนิพนธ์ของทางยุโรปเหนือนั่นเอง เพื่อใช้คำที่อ้างสื่อถึงบุคคลเดียวกันแต่ใช้ชื่อเรียกขานแตกต่างกัน เป็นทั้งความงามสละสลวยทางภาษา และเป็นรูปแบบปริศนาสำหรับสอดแทรกในงานกวีนิพนธ์ด้วย  นามเรียกขานโอดีนอื่น ๆ ที่เด่นชัดก็มี อัลฟอร์ (บิดาแห่งทั้งมวล สื่อถึงโอดีนที่เป็นมหาเทพ บิดาแห่งทุกสรรพสิ่งนั่นเอง) อิก, โบลเวิร์ค, กริมเนียร์ เป็นต้น




ลักษณะทั่วไปของโอดีน

   โอดีนมีลักษณะปรากฏอย่างหลากหลาย ทั้งในแง่จอมปราชญ์อาวุโสผู้ดูคงแก่เรียน หรือนักรบที่ทรงหลังม้าอย่างกล้าหาญ โอดีนมีดวงตาเพียงข้างเดียวเท่านั้น เพราะเขาได้สละดวงตาข้างซ้ายใส่ลงไปในน้ำพุแห่งมิเมอร์ เพื่อที่จะได้มาซึ่งภูมิปัญญา องค์ความรู้แห่งยุคสมัย นอกจากนี้โอดีนยังเกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์ด้วย

   เมื่อนักรบผู้กล้าได้สูญเสียชีวิตตายลง วาลคิรี่จะนำพาดวงวิญญาณของนักรบผู้กล้านั้นมายังห้องโถงแห่งวัลฮาร่า สถานที่ซึ่งโอดีนจะให้การต้อนรับนักรบผู้กล้านั้นด้วยการให้เกียรติอย่างดี บรรดาวิญญาณของวิญญูชนเหล่านี้ จะถูกเรียกว่า เอนเฮอร์จาร์ จะได้รับความสุขสม ความชื่นชมยินดีเปี่ยมสุขอย่างเต็มที่ในงานเลี้ยงอันมิวันเลิกราที่จัดโดยโอดีน ร่วมฉลอง ร่วมชื่นชมยินดี ซ้อมรบ ซ้อมต่อสู้กันไปเรื่อย ๆ เป็นการเตรียมพร้อมก่อนจะถึงสงครามศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายที่พวกเค้าจะเข้าร่วมด้วย ซึ่งนั่นก็คือสงครามของบรรดาทวยเทพในวันแร็คน่าร็อคนั่นเอง

   โอดีนในฐานะเทพแห่งสงครามถือว่าเป็นผู้นำพามาซึ่งชัยชนะในสนามรบ ในบางตำนานทีกล่าวถึงบทบาทโอดีนในสนามรบไว้ว่าเป็นผู้เริ่มเปิดฉากการรบด้วยการขว้างหอก กุนกุเนียร์ หอกประจำตัวของตนออกไป เป็นการเปิดฉากสงครามการต่อสู้ในครั้งนั้น ก่อนจะส่งวาลคิรี่ทั้งหลายออกไปช่วยชักนำพาสงครามให้เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ

   โอดีนในฐานะ นักแปลงร่าง เชื่อว่าโอดีนมีความสามารถเปลี่ยนรูปร่างภายนอกของตนเองได้ดังใจปรารถนาด้วย ซึ่งหลายต่อหลายครั้งโอดีนก็ได้แปลงรูปร่างของตนเองออกมาเป็น ชายชราผู้มีตาข้างเดียว ถือไม้เท้าใช้ในการเดินทาง และมีเคราสีเทา แต่งตัวเหมือนชายชรานักเดินทางธรรมดาทั่วไป และใช้รูปลักษณ์นี้ในการออกผจญภัยไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกด้วย

   โอดีนในฐานะผู้รักษา จอมอาคมมนตรา และจอมพยากรณ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดแนวคิดทางชาแมนด้วย




วงศ์วาน
 
   โอดีนเป็นบุตรของเทพ เบสท์ลา กับ บอร์ มีน้องชายอีก 2 คนชื่อ วี กับ วิลี  ด้วยการร่วมแรงกันกับน้องชายทั้ง 2 ก็ยังผลให้โอดีนสามารถสยบยักษ์น้ำแข็ง ยเมียร์ ลงได้ และได้สร้างโลก มิดการ์ด ขึ้นมาจากร่างกายของยเมียร์
โอดีนมีภริยามากมายตามอย่างแนวคิดของเทพสมัยโบราณ และแน่นอนทำให้โอดีนมีบุตร ธิดา ผู้เปี่ยยมด้วยพลังและปัญญาออกมามากมาย  ซึ่งที่เด่น ๆ  ก็มีดังนี้

-ฟริกก์ ภริยาแรกสุดของโอดีนเป็นผู้ได้ให้กำเนิด บัลเดอร์ ตัวแทนแห่งความสุขสม ความดีงาม ปัญญา และ ความงาม
เรื่องความรักที่ฟริกก์มีต่อบัลเดอร์บุตรของนางนั้นเป็นที่เลื่องลือมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินท่องไปยังโลกของนางเพื่อปกป้องบุตรของนางจากชะตากรรมแห่งความตาย

-ยอร์ธ ยักษณีผู้นี้ ด้ให้กำเนิดเทพสายฟ้า ธอร์ ผู้มีชื่อเสียงออกมานั่นเอง

-ไกรเดอร์ ยักษณีเช่นเดียวกันและได้ให้กำเนิด วิดาร์

-รินดา ได้ให้กำเนิด วาลี

และอื่น ๆ ที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง ณ ที่นี่





ผู้ให้กำเนิดอักษร รูน

   เชื่อว่าโอดีนเป็นผู้คิดค้นให้กำเนิดอักษร รูน (Rune) ที่ทางยุโรปเหนือใช้ขึ้นมา โดยเชื่อว่าอักษรรูนเป็นผลขององค์ความรู้ที่โอดีนได้รับมาจากการแขวนตัวเองไว้กับต้นไม้โลกอิคดราซิล




สถานที่พำนัก

   โอดีนมีที่พำนักอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพ แอสการ์ด  

สถานที่แรกคือ กลัดเชม ห้องโถงขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับดำเนินการประชุมร่วมกับผู้คุ้มกฎทั้ง 12 และเป็นสถานที่สำหรับจัดการเรื่องราวทั่วไปที่เกิดขึ้นในแอสการ์ด

วาลาสคิอัลฟ์ อาคารสีเงินที่ยกสูงอยู่ในอากาศ

ฮิลด์สคิอัลฟ์ สถานที่อันเป็นที่ตั้งของบัลลังก์ของโอดีน สถานที่ซึ่งโอดีนสามารถนั่งสอดส่องเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกได้

สุดท้ายคือวัลฮาลา สถานที่เลี้ยงต้อนรับวิญญาณของบรรดานักรบผู้จบชีวิตลงอย่างกล้าหาญในสนามรบนั่นเอง
วัลฮาลาประกอบด้วยประตู 540 บาน ห้องโถงใหญ่ประดับประดาด้วยทองคำ และมีโล่ หอก และ เกราะทั้งหมดทำมาจากทองคำถูกทองห้อยประดับตกแต่งอยู่รอบ ๆ





ของวิเศษที่โอดีนครอบครอง

   มีของวิเศษและทรัพย์สมบัติเลอค่ามากมายที่โอดีนได้เก็บสะสมเอาไว้ บ้างก็ได้มาจากพวกดวาร์ฟ บ้างก็ได้รับมาจากเทพองค์อื่น ๆ ซึ่งของวิเศษที่เด่น ๆ ก็มีดังนี้

-กุนกุเนียร์ หอกประจำกายโอดีน เป็นหอกที่โอดีนจะปาออกไปเป็นอันดับแรกในสนามรบเพื่อเป็นสัญญาณของการเปิดศึก เป็นหอกวิเศษที่ขว้างออกไปคราใดจะไม่มีวันพลาดเป้า

-สเลปเนียร์ เป็นม้าประจำตัวของโอดีน มีขา 8 ขา โอดีนได้รับม้าตัวนี้มาจากโลคิ เป็นม้าวิเศษที่วิ่งได้อย่างรวดเร็ว มิรู้จักเหน็ดเหนื่อย สามารถวิ่งเหิรไปยังอากาศและวิ่งข้ามผ่านไปยังแต่ละโลกได้

-แหวนทองคำวิเศษ ดราอุปเนียร์ มีความพิเศษอยู่ที่ว่า ทุก ๆ ค่ำคืนที่ 9 แหวนวงใหม่ 8 วงจะเพิ่มขึ้นมา

-อีกาคู่ ฮูจิน กับ มูนิน (ความคิด และ ความทรงจำ) อีกาวิเศษคู่ที่จะบินวนรอบโลกในแต่ละวัน และคอยรายงานเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกต่อโอดีนในวัลฮาลาในยามค่ำคืน

-หมาป่าคู่ เกริ และ เฟรคิ ผู้ดำรงชีพด้วยการดื่มแต่สุรา และ ไวน์





จุดจบของโอดีน
   
   ในสงครามแห่งทวยเทพ แร็คน่าร็อค นั้น โอดีนได้เข้าร่วมทำสงคราม และถูกเฟนเรียหมาป่าน้ำแข็งผู้เป็นบุตรของยักษ์โลคิ กัด และทำร้ายจนเสียชีวิตลงในที่สุด เป็นฉากสุดท้ายของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่




โอดีน กับ พระเยซู


   มีงานกวีนิพนธ์ของช่วงศตวรรษที่ 13 เปรียบเทียบความดสอดคล้องกันระหว่างโอดีน กับ พระเยซูหลายต่อหลายอย่าง ตัวอย่างเช่นการเสียสละตนเอง ผูกตัวเองไว้กับอิคดราซิลก็อาจสื่อได้กับการมอบตัวเองเป็นยัญบูชาของพระเยซูบนไม้กางเขน โอดีนห้อยตนด้วยเชือก ส่วนพระเยซูถูกตึงด้วยตะปู  มีแนวคิดจากบางแหล่งตั้งข้อสมมุติฐานขึ้นมาว่าเรื่องของโอดีนอาจจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระเยซูอีกทีก็เป็นได้

   ความสอดคล้องอีกอย่างที่นักวิชาการหยิบยกขึ้นมาคือ บัลเดอร์ บุตรของโอดีนผู้เป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้กับพระเยซู บุตรแห่งพระเจ้าและเป็นองค์แห่งความสว่าง เพราะในเมื่อมีชื่อของโอดีนว่าอัลฟอร์ที่หมายถึงบิดาทั้งมวลแล้ว ก็อาจทำให้เราเทียบได้กับพระบิดาในคริสตศาสนาที่เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง และมีบุตรเป็นองค์แห่งความสว่างเช่นเดียวกัน เมื่อมองผ่านจุดนี้แล้วทำให้เราเห็นความสอดคล้องของบัลเดอร์ กับ พระเยซูได้เด่นชัดยิ่งขึ้น
แต่ความสอดคล้องระหว่างโอดีน กับพระเยซู ก็ถูกนำขึ้นมาถกอีกครั้งโดย ริชาร์ด แวกเนียร์  ผ่านผลงาน
Notes of the Seminar  ในช่วงปี 1928-1930



Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #8 on: April 28, 2007, 01:29:13 AM »

Osiris
Nephtys










ชื่อนี้คือชื่อเทพรุ่นแรกสุดของอียิปต์ เป็นเทพที่ได้ชื่อว่ารังเกียจความรุนแรงจับใจที่สุดองค์หนึ่ง ความรังเกียจเช่นนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจจริงๆ ไม่ช้าไม่นานเมื่อท้าวเธอต้องกลายมาเป็นเทพผู้ปกครองอียิปต์พระองค์พบว่าประชากรอันมากมายเวลานั้นเป็นพวกป่าเถื่อนแบบบริสุทธิ์จริงๆ ทั้งไม่สามรถคิดอ่านอะไรเองได้เนื่องจากความไม่รู้ และยังไร้ศีลธรรมอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Osiris ก็ยังสามรถโน้มน้าวบรรดาประชาชนเหล่านั้นให้มาเชื่อฟังกฎระเบียบของเขาได้ เชื่อไหมว่า Osiris สอนด้วยวิธีสันติเพียงอย่างเดียวให้รู้ถึงการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ตั้งสังคมขึ้น และบริหารสังคมนั้นด้วยวินัยและศีลธรรม Osiris สอนให้มีการเพาะปลูกทั่วไป สอนให้ทำขนมปังเป็นอาหาร แถมยังสอนให้หมักไวน์และเบียร์เพื่อความสนุกสนานอีกซะด้วย


Osiris สร้างบ้านแปลงเมือง สร้างวัดวาอารามและมีการสร้างเทวรูปไว้บูชาเป็นรูปแรก และ สร้างดนตรีไว้เพื่อความเพลิดเพลินและการบูชาภายใต้การปกครองของ Osiris และมเหสีคือ  Isis
อียิปต์กลายเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ในโลกโบราณเชียวล่ะ แล้วตอนนั้นเองที่ Osiris ตั้งใจว่าจะเผยแพร่อารยธรรมไปทั่วโลก    แต่เนื่องจากเป็นคนที่เกลียดความรุนแรง ในการเผยแพร่อารยธรรมในครั้งนี้Osiris  จึงไม่ได้ใช้กำลังทางทหารเลยแต่กลับใช้เวทมนตร์ของดนตรีและบทเพลงของเขาเท่านั้น แต่ชาติแล้วชาติเล่าก็ต้อนรับอารยธรรมที่ Osiris นำไปให้ ท้ายที่สุดเมื่อ Osiris  กลับถึงบ้านก็ได้เผยแพร่ความเจริญให้กับส่วนอื่นๆ ของโลกจนครบ

 



ในตำนานนั้น  Seth อิจฉาที่ Osiris มักได้รับความสำคัญมากกว่าเขา
Seth จึงจัดงานเลี้ยงขึ้นมา โดยระหว่างงานเลี้ยงนั้น มีเก้าอี้ตัวงามสวยเด่นตั้งอยู่ในงาน ซึ่ง Seth
ได้ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่สามารถนั่งเก้าอี้นั้นได้อย่างพอดี จะได้รับเก้าอี้ตัวนั้นไปเลย ซึ่งก็ไม่มีใครรู้เลยว่า Seth จงใจทำขนาดเก้าอี้ตัวนั้นให้พอดีกับ Osiris อยู่แล้ว แน่นอนว่าคนอื่นๆที่ลอง ไม่มีสักคนเดียวที่จะนั่งได้พอดีกับเก้าอี้ตัวนั้น จน Osiris มาลองนั่ง Seth จึงตรึงร่าง Osiris ไว้กับเก้าอี้ แล้วโยนเขาลงสู่แม่น้ำไนล์
( สำหรับ Seth หรือ Set ซึ่งในยูกิ ชื่อนามสกุล ไคบะ เซโตะ ในส่วน เซโตะ นั้น สามารถอ่านได้เป็น “เซ็ต” ซึ่งคงเป็นเจตนาของ คุณ คาซุกิ ทาคาฮาชิ ที่เอาชื่อเทพ Set มาสื่อผ่านตัวละคร ไคบะ แบบนั้น อันที่จริงทั้ง Seth และ Osiris ก็เป็นบุตรของ Geb กับ Nut ด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง ทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน แต่ Seth แต่งงานกับ Nephthys ธิดาอีกคนเช่นกัน สรุปคือ 4 คนนี้เป็นพี่น้องกันหมด และ จับคู่แต่งงานกันเองในครอบครัว)
หลังจากนั้น Isis ก็ได้ออกเดินทาง ตามหาอย่างยากลำบาก จนได้ศพของ Osiris มา เธอเก็บรักษาไว้อย่างดี จนกระทั่งวันหนึ่งตอน Isis ไม่อยู่ Seth ได้มาพบเข้า และด้วยความโกรธ Seth ได้หั่น Osiris ออกเป็น 14 ชิ้นส่วน และกระจายชิ้นส่วนต่างๆไปทั่วอียิปต์  แม้ Isis จะเสียใจมากเมื่อรู้ความจริง แต่เธอก็ไม่ย่อถ้อ ยังคงออกเดินทางรวบรวมชิ้นส่วนทั้ง 14 ของ Osiris ต่อ ซึ่งแม้แต่ Nephtys ภริยาของ Seth และ Anubis บุตรแห่ง Nephyts ก็มาช่วยเธอค้นหาชิ้นส่วนเหล่านั้นด้วย


ภายหลังจากการค้นหาอยู่นาน Isis ก็สามารถรวบรวมชิ้นส่วนของ Osiris ได้ครบ และ ประกอบร่างได้ขึ้นมาใหม่ และเพราะการนี้เอง เธอจึงถูกจัดเป็นเทพธิดาของผู้ตาย และ พิธีศพด้วย

Osiris หลังคืนชีพขึ้นมา ก็เดินทางไปปกครองแดนนรก ในฐานะผู้มีชีวิตใหม่หลังความตาย โดยที่เทพแห่งอาทิตย์ Ra เป็นผู้คอยปลุกเขาทุกคืน ยามไร้แสงตะวันของโลก และ ทุกคนนิทราหมด
ทางฝ่าย Isis ก็กลับไปเลี้ยงบุตรของเธอที่มีกับ Osiris นามว่า Horus ซึ่งแน่นอนว่า เธอเลี้ยงดูเขาอย่างลับๆไม่ให้ใครโดยเฉพาะ Seth รู้ จนเวลาผ่านไปจน Horus โตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่ง
เขาได้เดินทางไปหา Seth เพื่อจะล้างแค้นให้กับ Osiris ผู้พ่อ ทั้งสองเจอกัน และได้เปิดฉากต่อสู้กัน ซึ่งกินเวลานานร่วม 3 วัน 3 คืน โดยไม่รู้แพ้ชนะกันซะที จนกระทั่ง Thoth ต้องเข้ามาแทรก และ นำตัวทั้งคู่สู่ศาลยุติธรรม Thot นั้น ได้ฟังความทั้งสองฝ่าย ทั้งของ Horus และของ Seth แต่หาเชื่อคำพูดของ Seth ไม่ ทำให้ผลการตัดสินคือ Seth ถูกตัดสินว่าผิด และ ถูกลงโทษ โดยการต้องแบกเรือที่ใส่ดวงอาทิตย์ข้ามผ่านท้องนภา และ ต้องปกป้อง ไม่ให้ งูแห่งรัตติกาลมากินดวงอาทิตย์ดวงนั้นด้วย    และเนื่องจาก Osiris ไม่อยู่แล้วบนโลกนี้แล้ว Horus จึงได้รับแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งทางโลกของบิดาของเขาต่อ


    ทางฝ่าย Isis ผู้แม่ ก็อยู่เคียงข้าง Horus ในฐานะผู้ดูแล และ ผู้สำเร็จราชกาลในเวลาเดียวกัน    Isis ได้รับการเคารพทั้งในฐานะ มารดาแห่ง Horus และ ภริยาผู้สื่อสัตว์ของ Osiris
ภาพวาดของ Isis มักถูกสื่อมาในรูปสตรีที่งดงามกับวงรัศมีอาทิตย์ระหว่างรูปวัว ที่อยู่บนศีรษะของเธอ (เป็นภาพที่แสดงการเปรียบเทียบกับเทพธิดา Hathor) รูปแบบอื่นๆของเธอก็มี แบบสวมมงกุฎ นั่งบัลลังก์ หรือ แบบมีภาพ Horus บุตรของเธอ นั่งอยู่บนตัก หรือ แบบอื่นๆที่มีแม้แต่ภาพเธอลอยอยู่เหนือร่างมัมมี่ของ Osiris     ความโด่งดังมีชื่อเสียงของ Isis นั้น ดำรงคงอยู่จนกระทั่งถึงยุคของโรมันเลยทีเดียว มีนักบวช หรือ มีแม้แต่วัดที่อุทิศให้แก่ Isis โดยเฉพาะ และ บนเกาะ Philae ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ มีวัดขนาดใหญ่สำหรับเธอตั้งอยู่




Nephtys หรือ เทพธิดาที่มีสมญานามนายหญิงแห่งบ้าน  (ว่ากันว่าบ้านนี้เปรียบเทียบกับท้องนภา ที่ Horus อาศัยอยู่)  Nephtys นั้นเปรียบได้กับเพื่อนของบรรดาผู้วายชนม์ หรือชื่อที่ชาวอียิปต์เรียกว่า Nebt-het, Nebhet
Nepthys  ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในอาณาจักรโบราณจากในงานบทประพันธ์เก่าเกี่ยวกับพิธีฝังศพในฐานะผู้นั่งอยู่บนเรือแห่งรัตติกาลแห่งแดนบาดาลและไปพบกับบรรดากษัตริย์ราชวงศ์ผู้วายชนม์เพื่อนำพวกเขาไปยังแดนสุขาวดีแห่งแสงสว่าง  นอกจากนี้ผมของเธอจะทำหน้าที่ในการห่อพันร่างของบรรดาผู้วายชนม์อีกด้วย  Nephthys เป็นเทพที่มักถูกแสดงออกมาในแง่สตรีเพศกับอักษรภาพฮีโรกริฟฟิค ที่แสดงสัญลักษณ์ภาพตามนามของเธอ คือ ภาพตะกร้า และ บ้าน กองสุมอยู่บนกันและกันอยู่สูงบนหัวของเธอ นอกจากนี้ยังมีการบรรยายเธออกมาในภาพแบบของนกอีกด้วย (สังเกตรูปปีกของเธอบนการ์ดแบบนก)  ในประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ Nephthys มักมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมการฝังศพ เธอถูกเคารพบูชาในฐานะผู้ที่ไม่ได้วายชนม์ตามด้วยหากแต่เป็นเพื่อนร่วมทางที่เป็นไกด์คอยแนะนำและนำทางผู้วายชนม์ที่มาใหม่ และในฐานะผู้ปลอบประโลมใจญาติพี่น้องของผู้วายชนม์


   Nephthys เป็นธิดาคนเล็กสุดของของ Nut เป็นน้องสาวของ Isis และ Osiris และเป็นชายาของ Seth  และภายหลังเป็นมารดาของ Anubis ผู้ที่กลายเป็นจ้าวแห่งความตายในเวลาต่อมา  ซึ่งการที่เธอเป็นมเหสีของ Seth ทำให้เธอมักไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยกันกับเขาเสียบ่อยๆ แต่อีกด้านหนึ่งเธอก็เป็นเพื่อนที่ดีและซื่อสัตย์กับ Isis และ Osiris ที่เป็นพี่น้องกับเธอ อย่างตัวอย่างเช่นในตอนที่เธอช่วย Isis ตามหาชิ้นส่วนร่างกายของ Osiris  นั่นเอง
Nephthys มีบทบาทต่อชีวิตผู้คนเท่าๆกับที่เธอมีบทบาทเกี่ยวกับเรื่องของความตาย เธอจะยืนอยู่ที่หัวเตียงยามที่สตรีมีครรภ์จะคลอดบุตรและคอยสนับสนุนแม่คนนั้น  Nephthys ไม่ได้มีวัดสำหรับการเคารพสักการะของเธอเองจนถึงช่วงหลังของยุคโรมัน แต่กระนั้นก็ดีนามของเธอมีบทบาทมากในวิถีชีวิตชาวอียิปต์ และนอกจากสัญลักษณ์แทนเธอจะมีเป็นนกแล้ว กระดูก และ หัวกระโหลกก็ยังเป็นสัญลักษณ์สื่อแทนตัวเธอด้วยเช่นกัน ธรรมเนียมประเพณีและแนวคิดเกี่ยวกับเธอแพร่หลายในนครแห่งอาทิตย์ Heliopolis





ส่วนที่เหลือ หากต้องการอ่านอย่างละเอียด ติดตามได้ใน Wiser นะครับ 
Logged


JuD@z,The LorD 0f NeVeRL@nD
Member
*****
Offline Offline

Posts: 580


« Reply #9 on: April 28, 2007, 01:52:05 AM »

เฮ้ย สาระ !!!

ปล. สาระจิงๆนะเออ 
Logged


โอปอ
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 264


Email
« Reply #10 on: April 29, 2007, 01:43:01 AM »

มีให้ เก็บ เข้า คลัง ปะ
น่า สน ใจ ดีง่ะ
Logged


Hanuman & The Poseidon No.17
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1527


« Reply #11 on: April 29, 2007, 08:54:51 AM »

ขอหมดทุกองค์เลยครับ ปักหมุดกระทู้นี้เลยก็ดีครับ ความรู้เน้นๆเลย 
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.103 seconds with 21 queries.