Summoner Master Forum
November 26, 2024, 07:33:00 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยาย Chapter54 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ @@  (Read 9777 times)
0 Members and 5 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: March 29, 2007, 08:16:42 PM »

Chapter54 แสงแห่งสวรรค์และเงามืดใต้พิภพ
 


                         ฮารีซัน  ทราเฮิร์น และบรรดาลูกเรือชาวฟูดินันอาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพมาได้สี่วันแล้ว   วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว   เหตุการณ์การต่อสู้ที่รุนแรงที่ท่าเรือเก่านั้นดูราวเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง   ฮารีซันนั่งอยู่ที่หน้าโรงสอนหนังสือเด็ก ๆ ในค่ายผู้อพยพพลางมองดูบรรยากาศความเป็นไปในค่ายพร้อม ๆ กับคิดคำนึงถึงเรื่องที่ผ่านมา   เขายังจำได้ดีถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านผ่านโล่ของเขาเข้ามา   แววตาเย็นชาทว่าแข็งกร้าวราวกับไม่ยอมอ่อนข้อใด ๆ ของราชองครักษ์อองเดรทำให้เขาถึงกับรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาได้   ช่างดีเหลือเกินที่เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จมาห้ามการต่อสู้ไว้ได้ทันท่วงที   มิฉะนั้นแล้วเขาก็ยังจินตนาการไม่ออกว่าการต่อสู้นั้นจะจบลงอย่างไร   เพราะดูท่าว่าราชองครักษ์ผู้นั้นคงจะไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะแตกดับกันไปข้างหนึ่ง   ฮารีซันรู้สึกตัวจากห้วงความคิดเมื่อนายทัพเซนทอร์เดินมาตบที่ไหล่
                         “งัย! คิดอะไรอยู่หรือ?” ทราเฮิร์นถาม
                         “คิดถึงการต่อสู้ที่ท่าเรือเมื่อห้าวันก่อน” ฮารีซันตอบ พลางหันไปมองดูบรรยากาศรอบ ๆ ค่ายผู้อพยพ
                         “เราโชคดีที่เจ้าหญิงอลาน่าเสด็จมา   ข้าไม่คิดเลยว่าเราจะได้พบเจ้าหญิงเร็วขนาดนั้นหรือในลักษณะนั้น...อันที่จริงข้าไม่คิดว่าสตรีที่อยู่ในชุดนักบวชผู้นั้นคือเจ้าหญิงที่เราดั้นด้นมาพบด้วยซ้ำ” ทราเฮิร์น ส่ายหน้าช้า ๆ เมื่อหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
                         “นางก็ผิดจากที่ข้าจินตนาการไว้อักโขทีเดียว   ข้าคิดว่านางจะดูสง่างาม   สูงศักดิ์เหมือนเจ้าหญิงเรจิน่าแห่งฟีเลเซีย   ทว่านางกลับดูโอบอ้อมอารีมีเมตตา   ยิ่งได้มาเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่นางกระทำ   นางยิ่งดูสูงส่งเหมือนชาวสวรรค์เลย” ฮารีซันมองไปตามอาคารที่ถูกใช้เป็นที่พักพิงของผู้อพยพและคนยากจน
                         “จริงของท่าน   ไม่แปลกเลยที่ชื่อเสียงของเจ้าหญิงจะขจรขจายไปทั่ว   ตั้งแต่อาณาจักรฟีเลเซียไปจนถึงอาณาจักรใต้ทะเลอย่างเลอมูเรีย” ทราเฮิร์นกล่าวอย่างยกย่อง “จริงสิ ท่านเตรียมตัวไปงานเลี้ยงรับรองที่เจ้าหญิงอลาน่าทรงจัดขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเรารึยัง?”
                         “ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีพิธีรีตองเหมือนที่ฟีเลเซียรึเปล่า?   ข้าคิดว่าพอจะจำมารยาทแบบของชาวฟีเลเซียได้อยู่หรอก” ฮารีซันยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้ากับความทรงจำเมื่อครั้งที่ชาวป่าอย่างพวกเขาได้รับเมื่อตอนอยู่ที่ฟีเลเซีย
                         “ข้าคิดว่าข้าคงทำให้พวกเขาประทับใจได้มากกว่าที่ทำไว้ในฟีเลเซียละนะ” ทราเฮิร์นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังแต่ดวงตากลับพราวระยับไปด้วยความขบขัน   ทำให้ฮารีซันอดหัวเราะไม่ได้


                         การเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนั้นถูกจัดอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของเจ้าหญิงอลาน่า   แม้จะมีขุนนางหลายคนคัดค้าน   เพราะต้องการจัดให้ใหญ่โตและหรูหราอลังการที่สุดเพื่อโอ้อวดความมั่งคั่งของแอนดิซอง   แต่สุดท้ายด้วยการยืนกรานอย่างหนักแน่นของเจ้าหญิงจึงทำให้การเลี้ยงรับรองเป็นไปอย่างเรียบง่าย   ทว่าก็สมฐานะของผู้มาเยือนและฝ่ายผู้จัดเลี้ยง
                         ห้องอาหารนั้นมีโต๊ะยาวซึ่งปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวขลิบดิ้นเงินเนื้อดี   บนโต๊ะนั้นถูกตกแต่งด้วยผลึกน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้ชนิดต่าง ๆ   แขกผู้มาร่วมรับประทานอาหารค่ำนั้นถูกจัดให้นั่งบนเก้าอี้บุผ้ากำมะหยี่เนื้อดีสีน้ำเงิน   ที่หัวโต๊ะนั้นเจ้าหญิงอลาน่าประทับนั่งเป็นประธาน   โดยมีฮารีซันถูกจัดให้นั่งเก้าอี้ทางด้านซ้ายของเจ้าหญิง   ถัดไปจึงเป็นทราเฮิร์น  ในขณะที่ทางด้านขวานั้นมีราชองครักษ์อองเดรเป็นผู้นั่งเก้าอี้ตัวแรก   ถัดไปจึงเป็นตัวแทนจากทั้งสามสภา   โดยรูฟัสนั้นถูกจัดให้นั่งเป็นลำดับที่สี่   
                         การเลี้ยงรับรองในวันนี้ไม่ได้มากไปด้วยพิธีรีตอง   ซึ่งบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำนั้นก็ผ่อนคลายและไม่มากด้วยกฎระเบียบเหมือนที่อาณาจักรฟีเลเซียจนฮารีซันและทราเฮิร์นรู้สึกได้  ไม่มีใครมาคอยสนใจว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารกันถูกวิธีหรือไม่?   หรือกินอาหารชนิดใดคู่กับชนิดใด?   ทุกคนดูเหมือนจะสนใจแต่บทสนทนาของคู่สนทนาของตนหรือไม่ก็สนใจอาหารในจานของตนมากกว่า   แต่ที่สร้างความประหลาดมากที่สุดสำหรับชาวป่าทั้งสองก็คือ   ราชองครักษ์อองเดรที่รับประทานอาหารของตนด้วยอาการเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อนที่ต้องมานั่งตรงข้ามกับฮารีซัน ผู้ที่ตนต่อสู้ด้วยราวกับจะให้แตกหัก   เวลานี้เขากลับนิ่งเฉยไม่สนใจใด ๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสองวันที่ผ่านมา   ทั้ง ๆ ที่ฮารีซันและทราเฮิร์นต่างก็ทำหน้าไม่ถูกและรู้สึกประดักประเดิดตั้งแต่เห็นอองเดรเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับพวกตน
แต่ความประทับใจที่สุดของชาวป่าทั้งสองก็คงจะเป็นความโอบอ้อมอารีและเป็นห่วงเป็นใยของเจ้าหญิงแห่งแอนดิซองนั่นเอง   เพราะตลอดการรับประทานอาหาร   แทนที่พระองค์จะเล่าเรื่องของความรุ่งเรืองในอาณาจักรตน หรือคุยเรื่องสนุกสนาน   เจ้าหญิงจะถามถึงแต่เรื่องสงคราม   ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในอีกฟากหนึ่งของทวีป   ความทุกข์ร้อนของประชาชนแต่ละอาณาจักร ด้วยความห่วงใย และเอาใจใส่อย่างชัดเจน   เหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ชาวป่าทั้งสองรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจ   ทั้งฮารีซันและทราเฮิร์นก็จงใจเลี่ยงการเล่าถึงรายละเอียดบางอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   เพราะหลาย ๆ ช่วงของการเล่าเหตุการณ์อันโหดร้าย   เจ้าหญิงดูจะสะเทือนใจไปกับพวกเขาด้วยจริง ๆ   พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้อื่น   แม้จะไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือแม้กระทั่งประชาชนของอาณาจักรตนเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้มาก่อน   
                         และตลอดการสนทนาในค่ำคืนนั้น   นอกจากการสนทนากับเจ้าหญิงแล้ว   สิ่งที่น่ารำคาญตลอดการสนทนาก็คงหนีไม่พ้นพ่อค้าใหญ่รูฟัสที่พยายามหาจังหวะพูดแทรกระหว่างการสนทนาเพื่อขายและขอซื้อสินค้าราคาถูกจากฟูดินันตลอดเวลา   จนทำให้บางครั้งเจ้าหญิงต้องแสร้งกระแอมและปรายตาแฝงแววห้ามปรามบ่อย ๆ   ที่สุดเมื่อการแสร้งปรามของเจ้าหญิงไม่ได้ผล   องครักษ์ผู้เย็นชาจึงค่อมศีรษะขออภัยเจ้าหญิงก่อนจะกระแทกกำปั้นใส่โต๊ะเบา ๆ   พร้อมปรายสายตาที่เย็นชาจนจับขั้วหัวใจไปทางรูฟัส   นั่นจึงทำให้พ่อค้าใหญ่สงบปากลงได้ในที่สุด
                         ที่สุดเมื่อการเลี้ยงอาหารค่ำจบลง   เจ้าหญิงก็ทรงรับปากว่าจะนำคำร้องของพวกเขาที่จะให้แอนดิซองเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้เข้าหารือในที่ประชุมสามสภาโดยเร็ว   ซึ่งนั่นทำให้ฮารีซันและทราเฮิร์นต่างก็ยินดีและโล่งใจเป็นที่สุด
« Last Edit: March 29, 2007, 10:09:15 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: March 29, 2007, 08:19:32 PM »

                       ภายในกระโจมที่พักของบลาส  เซจ นั้นเงียบสงัด   แม้จะเป็นเวลากลางวันแต่กลับดูมืดทึม   มีเพียงแสงสลัว ๆ ที่กระพริบริบหรี่อยู่ในตะเกียงน้ำมันที่ใกล้ดับเพียงดวงเดียวเท่านั้นควันจาง ๆ จากกระถางเครื่องหอมลอยเอื่อย ๆ อยู่รอบ ๆ ห้อง   กลิ่นควันนั้นหอมเครื่องเทศออกฉุนเล็กน้อยผสมกับกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ คล้ายกับกลิ่นคาวเลือดปีศาจที่เหล่าจอมเวทย์สายมนต์ดำชอบใช้
                       ที่กลางห้องนั้นเอง บลาส เซจ อุปราชเฒ่ากำลังเพ่งจิตเพื่อพัฒนาวิชาสายมนต์ดำของตนอยู่   ร่างกายของเขานิ่งไม่ไหวติงใด ๆ อยู่ ณ ใจกลางวงเวทย์อาคมที่ถูกวาดเอาไว้ด้วยเลือดมนุษย์ผสมกับเลือดปีศาจ   มือและเท้าทั้งสองข้างมีอักษรโบราณที่เขียนด้วยเลือดปีศาจด้วย
                       บลาส เซจ นั่งนิ่งดวงตาปิดสนิททว่าเขากลับมองเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ที่ไกล ๆ เบื้องหน้า   เขาพยายามเพ่งมองแต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร   แต่แค่เพียงเขาคิดจะขยับเข้าไปใกล้   ตัวของเขาก็เหมือนพุ่งเข้าไปหาแสงสว่างนั้นทันที   แสงนั้นทำให้ตาเขาพร่า   เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่ในที่ที่สว่างสุกใส   เขาไม่เคยเห็นที่แบบนี้มาก่อน   เขารอจนกระทั่งสายตาของเขาชินกับแสงสว่างนั้นแล้วจึงเริ่มมองไปรอบ ๆ
                       “สถานที่นี่ช่างแปลกจริง” บลาส เซจ ก้มลงมองใต้เท้าแต่ก็มองไม่เห็นพื้น   มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น   เหมือนเขาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง   บลาส เซจ มองเห็นประกายแสงสว่างเจิดจ้าระยิบระยับอยู่สูงขึ้นไปเหนือเขา   ความสว่างนั้นคล้ายกับแสงสว่างที่เขาเคยเห็นมาก่อนใช่แล้ว...ที่เหนือเมืองวอลเนีย   ก่อนที่กองทัพปีศาจทั้งกองของเขาจะหายไป   แต่แสงสว่างกว้างและเจิดจ้ากว่าหลายเท่านัก   เขาอยากรู้เหลือเกินว่าที่มาแห่งแสงนี้คืออะไร   แต่เพียงแค่คิดตัวเขาก็เหมือนจะลอยขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติทันที
                       “มนุษย์ผู้มีบาปอย่างเจ้าไม่สามารถล่วงล้ำไปมากกว่านี้” เสียงกังวานทรงอำนาจและเด็ดขาดดังออกมาจากใจกลางแห่งแสงนั้น
                       “เจ้าเป็นใครกัน?!” บลาส เซจ ถึงกับตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น   พยายามหรี่ตามองที่มาแห่งเสียงอันทรงอำนาจนั้น   เขามองเห็นแต่เพียงเงาราง ๆ ว่ามีปีกขนาดใหญ่มหึมา 6 ปีกกางแผ่เป็นวงภายในแสงนั้น   ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกกริ่งเกรงจนต้องซบหน้าลงกับมือ
                       “เราคือ เจนนิเฟอร์ (Jennifer, The Immaculacy of Heaven) จิตบริสุทธิ์ ผู้ได้ชื่อว่าความบริสุทธิ์แห่งสวรรค์   หนึ่งในหลักสวรรค์ทั้งห้า”
                       บลาส เซจ ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเข่าอ่อน   ตัวสั่นเทาเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงต้องเกรงกลัวถึงเพียงนี้
                       “เจ้ามาถึงที่นี่ด้วยอวิชาต้องห้าม   จงหยุดเสียก่อนที่มันจะกลืนกินเจ้า   จงกลับไปยังที่ ๆ เจ้าจากมาเดี๋ยวนี้”
                       ทันใดนั้น บลาส เซจก็รู้สึกว่าตนเองร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว   เขาร้องด้วยความหวาดกลัวคิดว่าจะตกลงกระแทกพื้นเบื้องล่างในอีกไม่กี่อึดใจเบื้องหน้า   ทว่าเพียงแค่คิดจิตของเขาก็หยุดอยู่กับที่   เขาลอยอยู่กลางอากาศที่ไหนสักแห่ง   ใต้ฝ่าเท้าของเขายังคงไม่มีพื้นรองรับอยู่เช่นเคย   เขามองไปรอบ ๆ แล้วจู่ ๆ เขาก็เห็นนางฟ้าองค์หนึ่งปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขา   ผมสีน้ำตาลเข้มของนางเหยียดตรงยาวสยายจนเกือบจะถึงข้อเท้าปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้างนั้นใหญ่จนห่อตัวนางได้มิด   มีเคียวคมกริบอยู่ในมือซ้าย   ใบหน้างามนั้นดูเศร้าสร้อยและทุกข์ระทม   นางมองมายังเขาและชี้นิ้วลงเบื้องล่าง   ทันทีที่เขามองตามมือนั้น   เขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าเวลานี้เขาไม่ได้ยืนอยู่บนความว่างเปล่าแล้ว   แต่เขากำลังยืนอยู่บนผิวน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล   มันทั้งลึกและไกลสุดลูกหูลูกตา
                       “นี่มันอะไรกัน? แล้วท่านเป็นใคร?” บลาส เซจ รู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเขากำลังเห็นอะไรกันแน่
                       “นี่คือน้ำตาของผู้ที่อยู่ในสงครามและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม   เราคือนางฟ้าแห่งน้ำตาจากสงคราม (Angel of War’s Tear) เรามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าจงหยุดการกระทำของเจ้าเสีย   น้ำตาของผู้คนที่ทุกข์ทรมานจากสงครามกำลังร้องหาความเป็นธรรมจากพระเจ้า   เจ้าผู้มีส่วนเป็นผู้ก่อความทุกข์ระทมใหญ่หลวง   จงหยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
                       บลาส เซจ รู้สึกระคายหูและไม่อยากจะได้ยินคำตำหนิติเตียนที่ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ   จึงรีบเบือนหน้าหนี พลางยกมือยกไม้ปัดป้องเป็นพัลวัน   แต่ในจังหวะนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อเขา   เสียงเรียกเริ่มดังแผ่วจนต้องเงี่ยหูฟังให้ดี 
                       บลาส เซจ รู้สึกว่าหลังของเขาเย็นวาบและขนอ่อนที่คอลุกซู่   เมื่อเสียงนั้นดังอยู่ที่ข้าง ๆ หูของเขานี่เอง   บลาส เซจผงะถอยออกจากที่ ๆ ตนยืนอยู่อย่างตื่นตระหนก  เขามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า   นางฟ้าเมื่อสักครู่หายไปแล้วเช่นกัน   เขารู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดสลัวลงแต่ก็ไม่ถึงกับมองอะไรไม่เห็น   เพียงครู่เดียวเขาก็สังเกตเห็นว่ามีปลายสุดขอบอีกฟากหนึ่งมีแสงกระพริบริบหรี่อยู่   ทว่ามันต่างจากแสงที่เขาเห็นครั้งแรก   เมื่อครั้งแรกนั้นแสงที่เขาเห็นมันดูเหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์   แต่แสงที่เขาเห็นคราวนี้มันดูเหมือนเปลวไฟ   คงมีใครสักคนก่อไฟที่บริเวณนั้นเพราะบรรยากาศโดยรอบมืดสลัวและหนาวเย็น   บลาส เซจได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาอีกครั้ง   คราวนี้เขาแน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศทางที่มีกองไฟก่ออยู่   เขาค่อย ๆ ตรงเข้าไปหาเปลวไฟนั้น   ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าจะสว่างขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน   และเสียงเรียกชื่อของเขาก็ดังถี่และใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย   จนเมื่อมาถึงกองไฟนั้นก็เป็นกองไฟขนาดใหญ่ที่สามารถกลืนกินเขาได้จนมิด
                       “เจ้าคือผู้ที่เรียกหาข้าด้วยจิตที่แรงกล้าเหลือเกิน” เสียงใครคนหนึ่งดังออกมาจากเปลวเพลิงนั้น
                       “ข้ารึเรียกหาเจ้า? เจ้าเป็นใครกัน?” บลาส เซจ เพ่งมองผ่านเปลวไฟแดงฉานที่เต้นเร่าคล้ายกับนกไปที่กำลังเริงระบำ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: March 29, 2007, 08:21:10 PM »

                        “อ้า ยิ่งเจ้าอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้ ข้าก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่เอ่อล้น   เจ้าช่างเหมือนอัญมณีล้ำค่าที่รอการเจียระไน "  เสียงจากเปลวเพลิงดังขึ้นอีก
                        บลาส เซจ ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่า   รู้สึกหัวใจพองโตจนคับอก   มันช่างแตกต่างจากคำพูดที่เขาได้ยินจากนางฟ้าและหลักสวรรค์เมื่อสักครู่เหลือเกิน
                        “เจ้าเป็นใครกัน?” บลาส เซจ ถามอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้ม “ออกมาจากเพลิงนี้   ออกมาให้ข้ามองเห็นเจ้าชัด ๆ “ น่าแปลกที่ บลาส เซจไม่ได้เอะใจเลยว่าจะมีใครเล่าที่สามารถอยู่ในเปลวเพลิงเช่นนี้ได้
                        “เจ้าอยากเห็นข้ารึ? อย่าเลย   เพราะเจ้าจะวิ่งหนีข้าด้วยความกลัวอย่างมนุษย์ที่อ่อนแอ หึ หึ” เสียงจากเปลวไฟหัวเราะในลำคอคล้ายจะเย้ยความอ่อนแอของมนุษย์
                        “บังอาจ คนอย่างข้าไม่เคยวิ่งหนีใคร” บลาส เซจ ทำปากกล้ากล่าวด้วยความขึงขังเพราะถูกกล่าวเย้ย
                        “หึ หึ หึ” มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงนั้น ก่อนที่เปลวไฟจะแหวกออกคล้ายมีลมพัดออกมาจากใจกลางกองเพลิงนั้น   เสียงไฟพัดเปลี่ยนทิศทางอย่างแรงคล้ายกับเสียงพายุพัดแรงกล้าเหนือยอดผา   ฉับพลันนั้นเองมือที่มีกงเล็บแหลมถึงสี่มือก็พุ่งออกมาจากเปลวเพลิง   และแหวกเปลวเพลิงให้แยกออกจากกันเผยให้เห็นปีศาจร่างยักษ์มีเขาโง้งยาวเป็นวงเดือนท้องของมันเปิดอ้าคล้ายปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมและเปลวไฟที่ลุกโชน   หางยาวและปีกอย่างค้างคาวทั้งสองข้างของมันโบกสะบัด   ยิ่งโหมเปลวไฟให้แรงกล้าขึ้น
                        ทันทีที่ บลาส เซจเห็นร่างปีศาจก็ผงะถอย เข่าอ่อน หลายหลังลงนั่งพยายามตะเกียกตะกายถอยหนีด้วยความกลัว“ปี ...ปีศาจ” บลาส เซจ กล่าวอย่างลนลาน
                        “กลัวรึ? เจ้ากลัวอะไร? สิ่งที่เจ้าเห็นมันก็เป็นเพียงแต่รูปร่างภายนอกเท่านั้น” เสียงใครอีกคนดังมาจากเงามืดทางเบื้องหลัง   บลาส เซจ รีบผงะถอยไปอีกทางด้วยความตกใจ
                        และแล้วที่ทางเบื้องหลังนั้นก็มีเงามืดสีดำขนาดใหญ่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างปีศาจยักษ์ที่มีปากและเขี้ยวขนาดใหญ่ที่งอกจากกรามด้านล่างจนเกือบถึงดวงตาสีแดงฉาน   ใบหูแหลมขนาดใหญ่มีขนขึ้นดูรุงรัง   หลังของมันมีขนหยาบยาวหนา   มือทั้งสองข้างใหญ่โตและดูทรงพลังมากเสียจน บลาส เซจ ซบหน้าลงกับพื้นและขดตัวด้วยความกลัวจนตัวสั่น
                        “ลุกขึ้นมาสิ บลาส เซจ อย่ากลัวผู้ที่มาเพื่อช่วยให้ความหวังของเจ้าเป็นจริงสิ” เสียงปีศาจตัวแรกกล่าวขึ้น
                        “แต่พวกเจ้าเป็นปีศาจไม่ใช่รึ?” บลาส เซจเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแต่ยังไม่กล้ามองสบตา
                        “ปีศาจแล้วเป็นอย่างไร?   พวกข้ามีฤทธิ์อำนาจบันดาลทุกสิ่งให้เจ้าได้” ปีศาจตัวที่สองพูดขึ้นบ้าง “เจ้าคิดว่าทำไมพวกเราถึงมีร่างกายน่ากลัวเช่นนี้?  เพราะพวกเราโดนกลั่นแกล้งยังไงล่ะ   พระเจ้าอิจฉาเรา   ที่เราช่วยเหลือมนุษย์จนมนุษย์รักเรามากกว่าพระเจ้า   จึงให้พวกทูตสวรรค์ทำร้ายและขับไล่เรา   และบอกพวกมนุษย์ว่าเราชั่วช้า   ทั้งที่พวกเราอยู่ข้างมนุษย์และมีแต่ช่วยให้มนุษย์สมหวัง”
                        “เจ้าพูดจริงรึ?” บลาส เซจ รู้สึกเชื่อแทบจะสนิทใจในทันที “เจ้า...”
                        “นามของข้าคือ ฟอลแลคเซีย (Pecca Fallacia, The Sin of Deception)”  ปีศาจแสยะยิ้ม “และแน่นอนที่สุดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น   พวกข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมกัน? เจ้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย   เจ้ามองไม่เห็นรึว่าใครกันแน่ที่อยู่ฝ่ายเจ้า   พร้อมที่จะทำตามที่เจ้าปรารถนา   แล้วใครกันที่ห้ามเจ้าและไม่อยากทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง”
                        บลาส เซจ ซึมซับคำพูดของปีศาจอย่างรวดเร็ว   ใช่ก็เพิ่งจะเมื่อกี้มิใช่รึที่เขาโดนหลักสวรรค์เจนนิเฟอร์นั่นขับไล่   และยังนางฟ้าแห่งน้ำตาสงครามนั่นอีก   ที่พูดเหมือนจะกล่าวโทษว่าเขาผิดและชั่วช้าเสียเต็มประดา
                        “ใช่แล้ว   เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมเหลือเกิน   ความจริงแล้วเจ้าน่าจะเป็นกษัตริย์ของซาโลมมากกว่า   กษัตริย์ที่ใช้แต่กำลังทว่าไม่รู้จักคิดวางแผนการรบอย่างนั้น   ซาดินจะไปใช้การอะไรได้   มันรังแต่จะทำให้รัศมีอันเจิดจรัสของเจ้าต้องมัวหมอง   มันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าเจ้าได้เป็นกษัตริย์แทนซาดิน   และได้ครอบครองทั้งทวีปเมอริเซียนี้”
                        “แต่ว่า.....” บลาส เซจคิดถึงคำพูดของเหล่านางฟ้า   ที่ดูเหมือนคำพูดเหล่านั้นมีอำนาจพิเศษในการปลุกมโนธรรมของเขาขึ้นมา ความรู้สึกผิดบาปในสิ่งที่ตนได้ทำไปนั้นยังคงเจือจางในส่วนลึกของจิตใจ
                        “เจ้าไปสนใจทำไมกับคนอื่น ถ้าเจ้าเลิกล้มและหันหลังกลับซะตอนนี้ พวกมันก็ร่าเริงหายทุกข์   ส่วนเจ้าจะได้อะไรล่ะ   กลับไปเป็นนักเวทย์นอกคอกให้ชาวบ้านขับไล่รังเกียจเหมือนแต่ก่อนหรือ?”
                        บลาส เซจรู้สึกได้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นดูราวจะหยั่งรู้ความคิดและจิตใจของเขา   แม้เขาจะไม่ได้พูดมันออกมา   และมันช่างเหมือนกับเสียงของเหล่าทูตสวรรค์ตรงที่มันช่างมีพลังในการโน้มใจเขามากเหลือเกิน   แต่กับฝ่ายที่พูดสนองกิเลสตัณหาเช่นนี้   จิตของเขาเพลิดเพลินไปกับมันมากกว่าหลายเท่านัก
                        “แล้วซาดินล่ะ  ไหนจะพวกที่จงรักษ์ภักดี...” บลาส เซจ อดแสดงความวิตกออกมาไม่ได้
                        “ก็ช่างหัวมันปะไร!  เวลาที่พวกมันได้ดี   เจ้ามันก็เป็นได้แค่ขี้ข้า   เวลาเจ้าตกต่ำมีพวกมันสักตัวมาเหลียวแลเจ้ารึ?” ปีศาจตนแรกร้องก้อง
                        เพียงได้ยินเสียงนั้น ใจของบลาส เซจ ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นทันที   อุปราชเฒ่าหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ   ใช่แล้วนี่แหละสิ่งที่ข้าอยากได้ยิน   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมานั้นถูกต้องแล้ว   นี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรมสำหรับเขา   ไม่ใช่ของพวกเทวดาหน้าโง่   หรือของพวกมนุษย์ขยะหน้าไหนทั้งนั้น   แต่เป็นของเขา   ของเขาคนเดียวเท่านั้น
บลาส เซจ มัวแต่จมอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าปีศาจทั้งสองแสยะยิ้มให้กันอยู่
                        “เจ้าบอก...เจ้าบอกว่าจะช่วยข้าใช่มั้ย?” บลาส เซจ ลนลานถามด้วยความห่วงและลิงโลด
                        “ใช่...แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย...นิดหน่อยเท่านั้นเอง” ปีศาจตัวแรกพูดเสียงเบาและแหบต่ำ
                        “ข้อแลกเปลี่ยนงั้นรึ?” บลาส เซจขมวดคิ้วมองอย่างระแวง
                        “แค่เจ้านมัสการและกราบไหว้ข้าเท่านั้น   และเจ้าก็จะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาในนามของข้า” ปีศาจตัวเดิมพูด

« Last Edit: March 29, 2007, 10:45:33 PM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: March 29, 2007, 08:23:03 PM »

                      “ในนามของเจ้า?!”
                      “นามของข้า คือ อวารูเซจ (Pecca Avarusage, The Sin of Selfishness)”
                      ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ มวลอากาศรอบ ๆ ตัวก็เริ่มบิดเบี้ยวทั้งปีศาจฟอลแลคเซียและอวารูเซจก็ดูจะรูปร่างบิดเบี้ยวผิดไปจากเดิม   คำพูดของปีศาจกลายเป็นเสียงประหลาดเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวยานคางจนฟังไม่รู้เรื่อง   แล้วจู่ ๆ ร่างของเขาก็บิดเป็นเกลียวหมุนคว้างคล้ายถูกดูดผ่านช่องอากาศที่เล็กแคบและแสนจะอึดอัดทรมาน   จนเมื่อเขารู้สึกว่าไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป   จึงพยายามลืมตาขึ้นและสูดหายใจจนสุดแรง   ในทันทีนั้นเขารู้สึกว่าตนหายใจได้อีกครั้งและไม่รู้สึกอึดอัดอีกแล้ว   เขาลืมตาขึ้นมองรอบ ๆ และพบว่าตนนั้นนั่งอยู่ภายในกระโจมที่พักของตน
                      “เจ้าทำอะไรของเจ้า!” บลาส เซจตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธเมื่อเห็นแบล็ค ไวเซอร์ ยืนอยู่ข้างกระถางเครื่องหอม   เขารู้ทันทีว่า แบล็ค ไวเซอร์เรียกเขากลับมานั่นเอง
                      “เจ้าไปที่นั่นนานเกินไปแล้ว” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
                      “เกินไปอะไรกัน!?” ข้าเพิ่งเริ่มนั่งสมาธิเข้าญาณแค่ไม่ถึงสองชั่วยาม” บลาส เซจ กล่าวอย่างเดือดดาล  ทำให้แบล็ค ไวเซอร์ต้องส่ายหน้ามองด้วยดวงตาหรี่แคบ
                      “เจ้านั่งนิ่งอยู่เช่นนี้โดยไม่กินไม่ดื่มมาสามวันแล้ว” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวเสียงแหบแห้ง
                      “สามวันงั้นเหรอ !! เป็นไปได้ยังไงกัน   ข้าอยู่ที่นั่นไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วยาม...”
                      “เจ้าไปเจออะไรที่นั่นรึ?” แบล็ค ไวเซอร์ถามด้วยความสนใจ
                      “ข้าไป....” บลาส เซจ พูดเพียงเท่านั้นเพราะลังเลว่าจะเล่าให้แบล็ค ไวเซอร์ฟังดีหรือไม่  ถ้าเกิดแบล็ค ไวเซอร์แอบไปพบปีศาจอวารูเซจก่อนแล้วเจ้าปีศาจหันไปช่วยแบล็ค ไวเซอร์แทนที่จะช่วยเขา คงไม่ดีแน่   บลาส เซจ คิดดังนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “นี่เจ้ามีธุระอะไรกันถึงได้เรียกข้ากลับมา?”
                      แบล็ค ไวเซอร์ หรี่ตาแคบลงแม้สีหน้าจะยังคงนิ่งเฉย “กษัตริย์ซาดินเรียกหาเจ้าคงอยากจะให้เจ้าออกความเห็นเรื่องการรบ” แบล็ค ไวเซอร์ทำหน้าพยับเพยิบไปทางทิศตะวันตกที่ซึ่งเป็นที่ตั้งกระโจมของกษัตริย์ซาดิน
                      “ไอ้เจ้าโง่นั่น!” จู่ ๆ ความโกรธของบลาส เซจ ก็พุ่งพล่าน   ลุกขึ้นเตะกระถางเครื่องหอมอยางแรงจนลอยละลิ่วออกไปนอกกระโจม “เวลาข้าบอกให้มันทำอะไรก็ไม่ทำทีเวลาเช่นนี้จะมาขอความเห็นจากข้าที่เราพ่ายแพ้ในเวลานี้ก็ไม่ใช่เพราะมันรึงัย!?” บลาส เซจ กล่าวอย่างเดือดดาล   คำพูดของปีศาจอวารูเซจดังก้องอยู่ในหัวอุปราชเฒ่าอีกครั้ง ‘เจ้าน่าจะเป็นกษัตริย์ของซาโลมมากกว่า’ ใช่แล้ว...ข้าเหมาะสมมากกว่าเจ้ากษัตริย์งี่เง่านั่นเป็นไหน ๆ จิตใจของบลาส เซจจมอยู่กับคำพูดเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนต้องมนต์
                      “บลาส เซจ!?” แบล็ค ไวเซอร์ เรียกด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าอุปราชเฒ่านิ่งเงียบไปนาน
                      ทันทีที่ บลาส เซจได้สติอีกครั้ง   อุปราชเฒ่าก็ขบกรามแน่น   ก้มลงหยิบเสื้อคลุมก่อนจะสาวเท้าออกไปจากกระโจม   โดยมีสายตาหรี่แคบของแบล็ค ไวเซอร์ซึ่งมองพฤติกรรมที่แปลกไปของ บลาส เซจด้วยความระแวงสงสัย


s

                      ภายในห้องทรงงานของเจ้าหญิงอลาน่า   เจ้าหญิงทรงกำลังอ่านรายงานเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด   วันพรุ่งนี้มีการเปิดประชุมทั้งสามสภาเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลืออาณาจักรฟีเลเซียและฟูดินันตามที่ผู้นำฟูดินันร้องขอ   ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยากแก่การตัดสินใจเหลือเกินสำหรับพระองค์
                      เสียงขานชื่อผู้มาขอเข้าเฝ้าดังขึ้นจากนายทหารต้นห้องทำให้เจ้าหญิงเงยหน้าที่ยิ่งเคร่งเครียดหนักขึ้นกว่าเดิมและมองผู้ที่กำลังเข้ามา
                      “ถวายบังคมฝ่าบาท” ราชองครักษ์วัยฉกรรจ์ค้อมศีรษะคำนับอย่างหนักแน่น
                      “ตามสบายเถอะจ้ะ อองเดร” เจ้าหญิงตรัส
                      “กระหม่อม...”
                      “ฉันรู้จ้ะ ว่าเธอจะพูดอะไร   เธอจะเข้ามาพูดเรื่องที่เธอพูดกับฉันทุกวันตั้งแต่การต่อสู้ที่ท่าเรือนั่น” เจ้าหญิงตรัสอย่างอ่อนใจ
                      “พ่ะย่ะค่ะ   แต่พระองค์ก็ยังไม่มีรับสั่งเนรเทศผู้นำเผ่าฟูดินันและพวกพ้องออกไปจากเมืองท่า”
                      “และฉันก็บอกเธอทุกวันไม่ใช่หรือจ๊ะ   ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้” เจ้าหญิงทรงถอนหายใจ
                      “พระองค์ทรงทำได้   พระองค์มีอำนาจเหนือใคร ๆ ในเมืองท่าแห่งนี้   ขอเพียงพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวกระหม่อมจะจัดการให้ในทันที” อองเดรทูลเสียงเฉียบ
                      “เธอไม่เข้าใจ   อองเดร   พวกเขากำลังเดือดร้อนอย่างหนักและต้องการความช่วยเหลือจากเราอย่างยิ่ง   เช่นนี้แล้วเธอจะให้ฉันไล่พวกเขาไปโดยที่ไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ เลยได้อย่างไร?” เจ้าหญิงอลาน่าทรงส่ายหน้าช้า ๆ
                      “พวกเขามีแต่สร้างความลำบากและยุ่งยากให้กับพระองค์   ทำไมพระองค์จะต้องสนใจคอยให้ความช่วยเหลือพวกชอบสร้างความรำคาญพวกนี้ด้วย?   ทุกวันนี้พระองค์ก็มีภาระมากเกินพอแล้ว” อองเดรกล่าวอย่างเย็นชา
                      “ทำไมหนอ อองเดร?  จิตใจของเธอถึงได้เย็นชานัก” เจ้าหญิงทรงตัดพ้อด้วยไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนจิตใจของราชองครักษ์ผู้น่าสงสารผู้นี้ได้อย่างไร
« Last Edit: March 29, 2007, 10:42:19 PM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: March 29, 2007, 08:25:07 PM »

                        “น้ำเป็นน้ำแข็งด้วยความเยือกเย็น   เมื่อความเยือกเย็นทำให้น้ำที่อ่อนเหลวแกร่งแข็งขึ้น   มันก็ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน”  อองเดรกล่าวเสียงเรียบแต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น
                        เจ้าหญิงได้ฟังดังนั้นก็ทรงส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความเศร้าใจ “ผิดแล้วจ๊ะอองเดร   น้ำเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่มนุษย์ผู้ที่เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้านั้นมีชีวิตและจิตใจ   เธอจะเอามาตรฐานนั้นมาใช้กับจิตใจของมนุษย์ได้อย่างไรกัน?    มันรังแต่จะก่อให้เกิดความเย็นชา ความเฉยเมย และการละเลยไม่ใส่ใจต่อความดีงามทั้งปวง”
                        เมื่ออองเดรยังคงนิ่งเงียบ   แต่เจ้งหญิงก็ทรงทราบว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพระองค์   เจ้าหญิงจึงทรงถอนหายใจเมื่อเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของราชองครักษ์ได้   พระองค์จะต้องทำอย่างไรหนอจึงจะเปลี่ยนแปลงใจน้ำแข็งของเขาให้อบอุ่นและอ่อนโยนลงได้บ้าง
                        “เอาเถิดจ้ะ อองเดร   สักวันเธอคงจะเข้าใจวิถีทางของพระเจ้าและของฉันมากขึ้น   เวลานี้ฉันขออยู่ตามลำพังสักพักหน่อยเถอะ   ฉันอยากจะเตรียมตัวเพื่อการประชุมสามสภา”
                        ราชองครักษ์อองเดร ยืนรีรออยู่ครู่หนึ่ง   คล้ายจะยังไม่อยากจะยอมรับการตัดบทของเจ้าหญิง   แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงทรงก้มหน้าง่วนอยู่กับหนังสือบนโต๊ะและไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับเขาอีก   อองเดรจึงทำความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องไป   
                        เมื่ออองเดรเดินจากไปแล้วเจ้าหญิงจึงทรงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน   ภาระหน้าที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หนทางของพระองค์กลับถูกบีบให้เล็กลงทุกที   เจ้าหญิงทรงเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนคล้ายจะมองให้ทะลุไปถึงสรวงสวรรค์
                        “พระเจ้าข้าเพื่อให้ลูกได้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์   โปรดเปิดหนทางใหม่ให้กับลูกโดยเร็วเถิด”


s
           

                        ฮารีซันได้นั่งพักเป็นครั้งแรกของวันนี้หลังจากที่ได้ช่วยเหล่าผู้อพยพสร้างโรงเรือนที่พักหลังใหม่เสร็จ   เขารับถ้วยเครื่องดื่มร้อน ๆ จากเต็นท์แจกอาหารก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งพิงผนังของอาคารหลังใหม่ที่จวนเจียนจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว   การอยู่ตามลำพังเช่นนี้ทำให้เขามีเวลาคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น   เขาก้มลงมองเงาสะท้อนของตนเองที่ปรากฏบนผิวเครื่องดื่มร้อนในมือพลางหวนคิดถึงการดื่มน้ำชาแบบส่วนตัวระหว่างตน ทราเฮิร์น เจ้าหญิงอลาน่า และ ซิสเตอร์โรซาน่า หลังจากวันที่มีการเลี้ยงรับรองพวกเขา   เจ้าหญิงมีเรื่องไต่ถามมากมาย และมีเรื่องมากมายที่เจ้าหญิงพูด   ซึ่งทำให้เขาต้องนำมาขบคิดตลอดหลายวันที่ผ่านมาทีเดียว   เมื่อเจ้าหญิงเริ่มคำถามของพระองค์...
                        “เธอรู้สึกอย่างไรกับกษัตริย์ซิกมันด์จ๊ะ?” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสถามขึ้นก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าฮารีซันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “ฉันถามเพราะพอจะได้ยินกิตติศัพท์ด้านอุปนิสัยใจคอของเขามาบ้างน่ะจ๊ะ   เธอที่มีอุปนิสัยตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิงคงจะเข้ากันได้ยากอยู่สักหน่อย”
                        ฮารีซันหลบตาลงตริตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ “เจ้าหญิงพูดได้ถูกต้อง   แรกทีเดียวข้าก็รู้สึกโกรธและไม่ชอบใจเขาสักเท่าไหร่   แต่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กของเขามาบ้าง   มันก็ทำให้ข้ารู้สึกกับเขาดีขึ้นและเริ่มรู้สึกเห็นใจเขามากกว่า   แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้สึกยอมรับนับถือเขาอย่างจริงใจ   นั่นก็คือความเป็นผู้นำของเขา   เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุยังน้อย   ต้องดูแลอาณาจักรที่ใหญ่โตขนาดนั้นเพียงลำพังตั้งแต่อายุพียงสิบหกปี   จริงอยู่...แม้ข้าเองจะได้เป็นหัวหน้าเผ่าในวัยไล่เลี่ยกับเขา   แต่ก็ช่างเทียบกันไม่ได้เลยกับการเป็นเพียงหัวหน้าเผ่าเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันเหมือนครอบครัวใหญ่เสียมากกว่า   เผ่าของข้ายังเล็กกว่าเมือง ๆ หนึ่งในอาณาจักรฟีเลเซียด้วยซ้ำ   ซ้ำข้าก็ยังมีท่านปู่คอยให้คำแนะนำชี้แนะช่วยเหลือตลอดเวลา   ทว่ากษัตริย์ซิกมันด์ไม่มีใครเลย  แต่เขากลับสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้  นั่นคือสิ่งที่ข้ายอบรับนับถือในความสามารถของเขา”
                        เจ้าหญิงอลาน่า ทราเฮิร์น และ ซิสเตอร์โรซาน่าต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
                        “ใช่จ๊ะ   เขาปรีชาสามารถมากในเรื่องการปกครอง   คงเพราะการปลูกฝังอย่างเข้มงวดของชาวฟีเลเซีย จะว่าไปมันก็ยาวนานมากตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา”
                        เมื่อสังเกตเห็นว่าแขกต่างแดนทั้งสองดูจะมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย เจ้าหญิงจึงเสริมขึ้นว่า
                        “พวกท่านทราบหรือไม่ว่าอาณาจักรฟีเลเซียและอาณาจักรแอนดิซองนั่นมีบรรพบุรุษเดียวกัน” เจ้าหญิงอลาน่าตรัสเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชาวป่าทั้งสองอาจจะไม่รู้ประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ   
                        “เป็นไปได้หรือ?   ลักษณะอุปนิสัยใจคอของทั้งสองอาณาจักรนั้นแตกต่างกันจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่เหมือนกันเลยสักนิด” เซนทอร์ทราเฮิร์นอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้
                        “ข้าเองก็สังเกตว่าชาวแอนดิซองยอมรับความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์มากกว่าชาวฟีเลเซียเสียอีก   ข้ายังจำได้ดีถึงบรรยากาศที่แตกต่างระหว่างแอนดิซองและฟีเลเซียเมื่อเห็นกองทัพของพวกเรา   ทุกคนที่นี่ดูจะยอมรับความหลากหลายของพวกเราไม่ได้แสดงความรังเกียจใด ๆ ” ฮารีซันตั้งข้อสังเกต
                        “ข้าได้ยินมาว่ามีตระกูลหนึ่งที่บรรพบุรุษแต่งงานกับเงือกด้วย” ทราเฮิร์นกล่าวตามที่ได้ยินมา
เจ้าหญิงอลาน่าทรงยิ้ม “การที่พวกเรายอมรับความแตกต่างมากกว่าชาวฟีเลเซีย นอกจากเหตุผลที่เราติดต่อทำการค้ากับผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติแล้ว มันยังมาจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ด้วย ในพงศวดารบันทึกว่าเมื่อหลายพันปีก่อนบรรพบุรุษของฟีเลเซีย   ซึ่งในครั้งนั้นคือเจ้าชายหนุ่มนาม แมคซิมิเลียน(Prince Maximilian)   ได้เดินทางไปถึงดินแดนฟีเลเซียใหม่ ๆ และตั้งใจว่าจะตั้งรกรากที่นั่น   แต่ปรากฏว่านอกจากจะมีชนเผ่าต่างๆ และคนเถื่อนที่โหดร้าย   ยังมีสิงสาราสัตว์ และอสูรร้ายจำนวนไม่น้อย   ในขณะที่เจ้าชายกำลังลังเลว่า สมควรที่จะตั้งรกรากใหม่ที่นี่ดี หรือจะแสวงหาดินแดนที่ดีกว่านี้   ในเวลานั้น นักบวชประจำตระกูลนาม อินโนเซนต์ (Priest Innocent)    ก็ได้รับนิมิตจากนางฟ้าแห่งดาบนามว่าฟรานเชสก้า (Francessca, the Angel of swords)  ท่านแจ้งว่าพระเจ้าได้ทรงส่งท่านมาเป็นผู้พิทักษ์ดินแดนฟีเลเซีย   นางฟ้าฟรานเชสก้า ได้นำพระพรหนึ่งลงมาด้วย นั่นคือ การให้ดินแดนนี้กับลูกหลานของเจ้าชายสืบไป   แต่ทว่า พระองค์ต้องรักษาคำมั่นสัญญาในการรักษาความศรัทธา และความซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และยึดถือธรรมบัญญัติของพระองค์ตลอดไป   
« Last Edit: March 29, 2007, 10:51:47 PM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: March 29, 2007, 08:27:11 PM »

                         ดังนั้นแม้จะมีศัตรูอยู่รอบด้าน   แต่พระเจ้าจะอวยพรและช่วยปกปักษ์รักษาให้ชนชาติฟีเลเซียได้รับชัยชนะทุกครั้ง   บรรพกษัตริย์แมคซิมิเลียนก็น้อมรับพันธสัญญานั่นไว้อย่างเคร่งครัด  พระองค์ออกต่อสู้ทั้งสัตว์ร้าย และชนเผ่าต่าง ๆ ที่รุกราน และรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่น   รวมทั้งออกปราบสัตว์ร้าย สัตว์ประหลาด และมังกร   นอกจากนี้ยังทรงสนับสนุนส่งเสริมและปลูกฝังในการสอนหลักปรัชญาแห่งชนชาติที่พระเจ้าเลือก   ชนชาติที่เป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า ดุจสายลมที่สูงส่ง   ทั้งนี้พระองค์อาจจะคิดว่าหากผิดคำมั่นสัญญาที่นางฟ้าแห่งดาบให้ไว้   ชาวฟีเลเซียทั้งหมดจะพินาศไปและต้องออกจากดินแดนที่พระเจ้าประทานให้นี้   ดังนั้นเมื่อรุ่นต่อรุ่นผ่านไป สิ่งเหล่านี้เริ่มปลูกฝังเป็นเหมือนหลักศีลธรรมและคุณธรรมที่ชาวฟีเลเซียต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นนิสัยและวิถีชีวิตของพวกเขา   
                         ทว่าเจ้าชาย อเล็กซานเดอร์ (Prince Alexander) ผู้เป็นพระอนุชาของพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยเช่นนั้น   พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบกับวิถีทางเช่นนี้   พระองค์เชื่อว่า พระเจ้าจะมีวิถีทางอื่นให้เราได้หากเราร้องขอ   ทั้งสองพระองค์จึงมีปากเสียงกันบ่อยขึ้น   กษัตริย์แมคซิมิเลียนผู้ซึ่งเป็นทั้งอัศวินและเป็นนักรบผู้บุกเบิกเกรงว่าหากไม่ถือตามกฎอย่างเคร่งครัด   นางฟ้าแห่งดาบจะไม่อวยพรประเทศชาติของพระองค์และต้องออกจากดินแดนฟีเลเซียไป   ในขณะที่เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ก็เชื่อว่าคำมั่นสัญญานั้นไม่ได้หมายความตามอย่างที่ทรงเข้าใจ   เมื่อความเห็นขัดแย้งและไม่ลงรอยกันมากขึ้น   เจ้าชายอเล็กซานเดอร์จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกออกเดินทางอีกครั้ง   
                         ที่สุดจึงข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงแอนดิซองแห่งนี้   ซึ่งพระองค์ก็ได้พบว่าดินแดนแห่งนี้เองก็มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน   และชนพื้นเมืองที่นี่ก็กราบไหว้บูชามังกรดำเทียแมต (Tiamat, the Black dragon) และส่งเครื่องบูชายัญสังเวยมนุษย์ให้เจ้ามังกรดำนี้ทุกปีเพื่อไม่ให้มันออกอาละวาด   ในเวลานั้นชาวพื้นเมืองคิดว่าคณะของเจ้าชายที่มาตั้งค่ายที่ชายฝั่งจะมารุกราน และกำลังจะทำสงครามกัน   เจ้าชายได้ทรงส่งเครื่องบรรณาการจำนวนมากผูกมิตรกับชาวพื้นเมือง และส่งทูตสันถวไมตรีไปเจรจา   นอกจากสงครามจะไม่เกิดขึ้นยังได้เป็นมิตรกัน และจึงได้ทราบความทุกข์ร้อนของชาวพื้นเมืองที่นี่   เจ้าชายจึงทรงยกทัพออกไปปราบจ้าวมังกรดำเทียแมตจนสำเร็จ   ซึ่งผลจากการต่อสู้กับเทียแมตก็ทำให้ดินแดนแอนดิซองกลายเป็นน้ำแข็งไปครึ่งดินแดน  และหัวหน้าชาวพื้นเมืองได้ยกธิดาของตนให้แต่งงานกับเจ้าชาย   ทำให้เจ้าชายได้มีสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ในการปกครองดินแดนแห่งนี้
                         ก่อนคืนอภิเษก เจ้าชายเองได้รับนิมิตในความฝัน อมรา นางฟ้าแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์ (Amara, the Angel of Cups) ลงมาจากสวรรค์ และนำพระพรที่พระองค์แสวงหามานาน นั่นคือ การเป็นดังถ้วยที่ได้รองรับพระพรต่าง ๆ จากสวรรค์   นางฟ้าแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์ได้ให้คำมั่นสัญญาแก่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ว่า พระเจ้าจะอวยพรดินแดนของพระองค์ให้สุขสมบูรณ์และมั่งคั่ง   แม้ทรัพยากรธรรมชาติจะถูกทำลายไปครึ่งประเทศด้วยความหนาวเย็น   แต่ความอุดมสมบูรณ์จากทุกที่ทุกแห่งจะหลั่งไหลมาที่นี่   ดุจดั่งน้ำหลายสายที่หลั่งไหลสู่จอกใบเดียว   โดยที่เจ้าชายและลูกหลานจะต้องซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และรักษาธรรมบัญญัติของพระองค์   เจ้าชายอเล็กซานเดอร์จึงได้รับพันธสัญญาใหม่ที่แตกต่างจากพระเชษฐาของพระองค์   หลังจากทรงอภิเษกสมรสพระองค์จึงได้สถาปนาแอนดิซองขึ้นเป็นอาณาจักรและราชาภิเษกพระองค์ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งแอนดิซอง   พวกเราชาวแอนดิซองจึงมีปรัชญาที่สอนว่า มนุษย์นั้นเป็นเหมือนภาชนะที่รองรับพระพรต่าง ๆ จากพระเจ้า   ซึ่งสามารถแจกจ่าย และทำให้สิ่งดีงามหลั่งไหลผ่านความดีและการกระทำดีของเราได้   ซึ่งต่างกับชาวฟีเลเซียที่กล้าหาญที่อาจเปรียบตนเองเป็นดั่งดาบอันศักดิ์สิทธิ์ที่ต่อสู้ความชั่วร้ายและผดุงคุณธรรม
เมื่อข่าวของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ไปถึงกษัตริย์แมคซิมิเลียน   พระองค์ก็ทรงกริ้วมาก   พระองค์ทรงประนามว่าการที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ไม่ยึดถือตามพันธสัญญาเดิมที่พระองค์รับไว้   ซ้ำยังแต่งงานกับหญิงต่างชาติทำให้สายเลือดบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องแปดเปื้อน   ดังนั้นพระองค์จึงตัดความสัมพันธ์กับกษัตริย์อเล็กซานเดอร์และยิ่งเคร่งครัดและเข้มงวดในกฎต่าง ๆ แก่ประเทศฟีเลเซียมากขึ้น   และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ทรงประกาศเป็นกฎมณเฑียรบาล  ไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างชนชาติอื่นกับเชื้อพระวงศ์ชาวฟีเลเซีย…”
                         เพล้ง!!!!
                         เจ้าหญิงต้องหยุดลงเพราะตกใจเสียงแก้วกระทบจานรองที่ฮารีซันทำหลุดออกจากมือจนเกือบตกกระแทกพื้น   ทุกคนต่างมองไปที่ฮารีซันเป็นตาเดียว
                         “ตายจริง   เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ?” ซิสเตอร์โรซาน่าถามขึ้นในขณะที่สายตาก็ฉายแววสงสัยอะไรบางอย่างไว้เมื่อเหลือบมองทางเจ้าหญิงอลาน่า   ซึ่งในแววตาของเจ้าหญิงเองก็ปรากฏแววบางอย่างด้วยเช่นกัน
                         “ขออภัย” ฮารีซันกล่าวขอโทษด้วยความประหม่าพร้อมกับเก็บแก้วชาขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะเช่นเดิม “เชิญเจ้าหญิงกล่าวต่อเถิด”
                         ทุกคนต่างสังเกตเห็นใบหน้าที่เครียดเคร่งขึ้นของชายหนุ่ม จนเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ในวงสนทนา
                         “แต่ข้าเห็นว่าในกองทัพของเขามีเซนทอร์ด้วย” แม่ทัพเซนทอร์กล่าวขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้
                         “เรื่องของเซนทอร์นั้นยกเว้นจ๊ะ  เพราะเรื่องมีอยู่ว่าชนพื้นเมืองเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนฟีเลเซียนั่น   มีเผ่าเซนทอร์ด้วย   ซึ่งกษัตริย์แมคซิมิเลียนก็ทำศึกกับเผ่าเซนทอร์เป็นเวลานานหลายปี   แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถปราบปรามได้อย่างเด็ดขาด   จนกระทั่งนักบวชอินโนเซนต์ เสนอการทำการเจรจาสงบศึกในพระอารามหลวง   แม้กษัตริย์แมคซิมิเลี่ยนจะไม่ทรงเห็นด้วยมากนัก   แต่ในเวลานั้นทั้งสองฝ่ายสูญเสียกับสงครามไปมากจนไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า   เมื่อเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าเซนทอร์ได้เดินทางมาถึง และได้เห็นภาพวาดจิตรกรรมบนฝาผนังของโบสถ์   ภาพของทูตสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่มีร่างกายท่อนล่างเป็นม้า และมีปีกสีขาวงดงาม   ดูเหมือนกับ เทพีเนฟิเล่ (Nephele, the Goddess of Centaur) เทพีเซนทอร์ที่เหล่าเซนทอร์เคารพบูชาอยู่   และด้วยความที่เชื่อว่า เนฟิเล่และนางฟ้าฟรานเซสก้าอยู่ร่วมในสวรรค์เดียวกัน  การเจรจาสงบศึกจึงสำเร็จลงอย่างงดงาม   ดังนั้นเหล่าเซนทอร์ในฟีเลเซียจึงยอมรับการอยู่ร่วมกับมนุษย์ชาวฟีเลเซีย   โดยกษัตริย์แมคซิมิเลียนเองก็ได้จัดดินแดนบางส่วนทางใต้ให้เหล่าเซนทอร์ดูแลปกครองกันเอง   ดังที่ท่านได้เห็นแล้วว่าอาณาจักรฟีเลเซียยังคงการปกครองแบบกระจายอำนาจ   ให้หัวเมืองต่าง ๆ มีเจ้าเมืองของตนเอง” เจ้าหญิงตรัส
                         “อาณาจักรทั้งสองมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนานมากทีเดียว” ทราเฮิร์นกล่าวขึ้น
                         “ถูกต้องจ๊ะ   ฉันหวังว่าสิ่งที่ฉันแบ่งปันในวันนี้จะทำให้พวกท่านเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ และประวัติศาสตร์หลายร้อยปีที่หล่อหลอมให้พวกเรา เป็นอย่างที่พวกเราเป็น ทั้งฟีเลเซียและแอนดิซองมากขึ้น” เจ้าหญิงตรัส
                         “ขอบคุณเจ้าหญิงมากเหลือเกิน   ท่านช่วยให้ข้าเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้นจริง ๆ “ ฮารีซันกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาที่มีความกังวลปรากฏขึ้นจาง ๆ ชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะหายไป
                         แก๊ง  ๆ ๆ
                         เสียงสัญญาณเรียกระดมพลในค่ายผู้อพยพดังขึ้นทำให้ความคิดของชายหนุ่มสะดุดลง   ฮารีซันหันไปมองทางต้นเสียงจึงได้เห็นว่าบรรดาซิสเตอร์เริ่มลงมือแจกอาหารให้แก่สมาชิกในค่ายแล้ว
                         “ท่านเป็นอะไรรึเปล่า? สีหน้าท่านดูไม่ดีเท่าไหร่เลย” เซนทอร์ทราเฮิร์นที่เผอิญผ่านมาพบเข้าจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
                         “ไม่หรอก   ข้าคงจะหิวนิดหน่อยนะ” ฮารีซันกล่าวตอบพลางยิ้มให้นายพลครึ่งคนครึ่งม้าที่บัดนี้กลายมาเป็นเพื่อนรักของเขาไปแล้ว
                         “งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ   ไปสมทบกับพวกเขากัน” ทราเฮิร์นส่งมือให้ฮารีซันก่อนจะฉุดให้ลุกขึ้นยืน
                         “ไปสิ” ฮารีซันยิ้มตอบก่อนจะเดินไปพร้อมกับทราเฮิร์นโดยที่ในใจยังคงคิดถึงเรื่องที่คุยกับเจ้าหญิงอลาน่าในวันนั้นอยู่นั่นเอง


Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: March 29, 2007, 08:27:31 PM »

มามเทต่อกันที่นี่นะจ๊า

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2.0
« Last Edit: March 29, 2007, 08:32:32 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.104 seconds with 22 queries.