Summoner Master Forum
November 26, 2024, 10:56:05 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 53 ราชาแห่งทะเลน้ำแข็ง @@  (Read 10259 times)
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: March 01, 2007, 06:25:38 AM »

Chapter 53 ราชาแห่งทะเลน้ำแข็ง

                          เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่คณะของฮารีซันเดินทางมุ่งสู่เมืองท่าแห่งแอนดิซอง   เสียงฟองคลื่นแตกที่หัวเรือบ่งบอกว่าลมทะเลเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ   ขณะที่ฮารีซันและทราเฮิร์นกำลังดูแผนที่การเดินเรือในห้องกัปตันอยู่นั้น   พลันลูกเรือคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
                          “ท่านฮารีซัน   ต้นหนเรือให้รีบมาแจ้งท่านว่าเมฆพายุกำลังลอยตรงมาทางนี้   ดูท่าว่าจะมีพายุใหญ่”
                          “เราจะเอายังไงกันดี?” ทราเฮิร์นถามเพราะพอจะรู้อยู่ว่าพายุในทะเลนั้นอันตรายอยู่ไม่น้อย
                          “ใกล้ ๆ นี้มีเกาะเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง   เราคงพอจะใช้จอดเรือหลบพายุได้” กัปตันเรือบอกเมื่อมองดูแผนที่บนโต๊ะ
                          “ดี   ทำตามที่ท่านว่าแล้วกัน” ฮารีซันเห็นดีด้วย   ก่อนจะแยกย้ายกันออกไปช่วยทุกคนหันใบเรือตรงไปยังเกาะเล็ก ๆ ทางตะวันออก
                          เมื่อเรืออ้อมมาถึงทางด้านหลังเกาะซึ่งมีลักษณะเป็นเชิงผาสูงชันได้   ฝนก็เริ่มเทลงมาแล้วและตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ สมอเรือใหญ่ถูกทิ้งลงเพื่อถ่วงเรือทันที   เสียงคลื่นลมและเสียงฟ้าคะนองจากอีกฟากของเกาะทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดที่สามารถอ้อมมาด้านหลังของเกาะได้ทันการณ์   ต้นหนเรือคาดการณ์ว่าพายุจะยังคงความรุนแรงเช่นนี้ไปอีกเกือบอาทิตย์   ทุกคนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ารอให้พายุผ่านไปอย่างสงบในที่พักของตน
                          วันรุ่งขึ้นที่ยังคงเต็มไปด้วยคลื่นลมและฝนกระหน่ำ   แทบไม่มีใครย่างกรายออกไปที่ดาดฟ้าเรือ   ทั้งวันทุกคนต่างก็มารวมกันที่ห้องที่ใหญ่ที่สุด   กินอาหารและหาเรื่องสนุกมานั่งคุยกันเพื่อฆ่าเวลา   แต่เมื่อเข้าวันที่สอง   ทุกคนเริ่มเบื่อที่จะทำเช่นนั้น   จึงมีบางคนที่พอกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายกลับไปนอนเล่นภายในห้องของตนเอง
                          ทว่าพอล่วงเข้าวันที่สาม   แม้สภาพอากาศภายนอกจะยังคงเฉอะแฉะไปด้วยสายฝนที่โปรยปราย   แต่ภายในเรือกลับมีเรื่องที่น่าตกใจเกิดขึ้น   เมื่อลูกเรือสองคนมีอาการประหลาดเกิดขึ้นคือทั้งคู่นั่งเหม่อลอยเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ   บางครั้งก็ยิ้มและพูดงึมงำคนเดียวโดยที่ฟังแทบไม่รู้เรื่องว่าพวกเขาพูดอะไร   เมื่อฮารีซันพยายามซักถามคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครทราบสาเหตุเท่าใดนัก   นอกเสียจากว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นทั้งสองยังปรกติอยู่คือตอนที่ทั้งสองคนเดินออกไปที่ดาดฟ้าเพื่อไปปลดทุกข์แล้วไม่กลับมาอีกเลยจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น   ฮารีซันและทราเฮิร์นหรือแม้แต่หมอประจำเรือก็ไม่อาจหาสาเหตุได้   จึงได้แต่จัดเวรยามคอยเฝ้าอาการไว้   เผื่อว่าเมื่อไปถึงแอนดิซองอาจจะมีหมอเก่ง ๆ ที่สามารถวินิจฉัยอากรของโรคได้   แต่แล้ววันถัดมาทุกคนก็ต้องว้าวุ่นหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อจู่ ๆ  อาการประหลาดนี้ดูเหมือนจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเพราะมีคนที่ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงสิบคน   ที่หนักไปกว่านั้นคือชายสองคนแรกพยายามออกไปที่ดาดฟ้าเรือและพยายามกระโดดลงทะเล   จนฮารีซันต้องตัดสินใจใช้เชือกมัดทั้งสองติดกับเสาต้นหนึ่งภายในเรือนั้น   และเมื่อถามถึงสาเหตุ   คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าว่าแรกทีเดียวนั้น   ชายคนหนึ่งในสิบคนบอกว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงอยู่นอกเรือ   เป็นเสียงที่ไพเราะมากอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงได้ชวนเพื่อนอีกสองคนออกไปด้วย   ทว่าจนเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นว่าทั้งสามจะกลับมาเสียที   หนึ่งในนั้นจึงออกไปตามแต่ก็ไม่กลับมาอีก   อีกคนหนึ่งจึงออกไปตามอีก   แล้วเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิมอีกจนเมื่อลูกเรือหายไปจนถึงสิบคนแล้ว   จึงไม่มีใครกล้าออกไปตามหาอีกจนกระทั่งรุ่งเช้าจึงได้พบว่าทั้งสิบคนนอนหมดสติอยู่ที่ท้ายเรือ
                          ฮารีซันมองทราเฮิร์นอย่างสงสัย   ทั้งคู่ต่างเชื่อว่าการออกไปนอกดาดฟ้าต้องเกี่ยวข้องกับอาการประหลาดของลูกเรือทั้งหมดแน่   แล้วเสียงเพลงที่พวกเขาบอกว่าได้ยินเล่า   ที่เกาะร้างกลางพายุเช่นนี้จะมีใครมาร้องเพลงอยู่ได้   ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจหรือทะเลนี้มีลับลมคมนัยที่พวกเขาไม่รู้จัก   เมื่อมองจากสภาพอากาศในเวลานี้ดูท่าพายุคงใกล้จะผ่านไปแล้วและคงจะสงบลงอีกในวันสองวันข้างหน้า   เขาจะออกเดินทางต่อทั้ง ๆ ที่ลูกเรือกว่าสิบคนมีอาการเช่นนี้ได้อย่างไร   อย่างน้อยถ้ารู้สาเหตุก็อาจจะพอหาวิธีแก้ไขได้ง่ายขึ้น   ดังนั้นทราเฮิร์นและฮารีวันจึงตกลงใจกันว่าคืนนี้พวกเขาจะเป็นคนอยู่ยามเอง
                          ตกดึกคืนนั้นเป็นเวลากว่าเที่ยงคืนแล้ว   และเสียงฝนเริ่มซาลง   ขณะที่ทั้งคู่กำลังรู้สึกล้าและหนังตาเริ่มจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จู่ ๆ พลันหูของทราเฮิร์นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง   ใบหูที่กว้างและตั้งขึ้นอย่างม้าของเขาขยับไปมาเหมือนพยายามหันไปหาที่มาของเสียง
« Last Edit: December 18, 2007, 09:55:08 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: March 01, 2007, 06:27:04 AM »

                        “มีอะไรรึ?” ฮารีซันหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อสังเกตเห็นท่าทางผิดปรกติของนายทัพครึ่งม้า
                        “ข้าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลง” ทราเฮิร์นพูดขึ้น “ฟังสิ มันไพเราะมากจริง ๆ   ใครเป็นคนร้องนะ?” ทราเฮิร์นนั้นมีหูที่ไวกว่ามนุษย์ธรรมดาจึงได้ยินก่อน   ฮารีซันพูดเตือนสตินายทัพเซนทอร์ทันที
                        “ระวัง ทราเฮิร์น   ท่านพูดเองว่าที่เกาะร้างกลางพายุไม่น่าจะมีใครมาร้องเพลงได้”
                        “ถูกของท่าน   ข้าต้องตั้งสติให้แน่วแน่กว่านี้ซะแล้ว...ว่าแต่ท่านไม่ได้ยินอะไรเลยรึ? ทราเฮิร์นอดถามไม่ได้   เมื่อเห็นว่าหัวหน้าเผ่าฟูดินันยังคงนิ่งอยู่
                        “ข้าเริ่มได้ยินแผ่ว ๆ แต่ข้าพยายามไม่สนใจ  เพื่อที่จะได้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของเสียงนั้น” ฮารีซันกล่าวตอบ
                        “คราวนี้ท่านได้เปรียบข้าเต็ม ๆ เลย   หูของข้ามันไวกว่ามนุษย์เช่นท่านอยู่ไม่น้อยเลยนะ” ทราเฮิร์นพูดแสดงท่าทางหงุดหงิดแต่ดวงตายังมีแววยิ้มขำ   เขามองหาเศษผ้ามาชิ้นหนึ่งก่อนจะฉีกครึ่งแล้วชุบน้ำแล้วยัดใส่หูของตน “ดีขึ้นหน่อย   แต่เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วคงต้องรีบทำความสะอาดหูของข้าทันทีเลย   เอาหล่ะ! จะไปลุยกันรึยัง?”
                        ฮารีซันอดหัวเราะการกระทำของนายทัพเซนทอร์ไม่ได้จึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงักแทนคำพูด   แล้วจึงนำเศษผ้าที่เหลือมาทำตามดูบ้าง   ทำให้ ทราเฮิร์น อดหัวเราะบ้างไม่ได้
                        ทั้งสองถือคบเพลิงเดินไปจนถึงท้ายเรือตรงที่พบร่างของลูกเรือที่นอนหมดสติอยู่  และเริ่มสอดส่ายสายตามองสำรวจรอบ ๆ บริเวณเพื่อหาที่มาของเสียงเพลงนั้น   ทันใดนั้นเองก็มีคลื่นน้ำโถมขึ้นสูงจนกระเซ็นสาดไปทั่วท้ายเรือ   คบไฟของฮารีซันที่ถูกน้ำสาดจนดับส่งเสียงดังพร้อมกับมีควันกรุ่น   ในขณะที่คบเพลิงของทราเฮิร์นยังคงติดอยู่แม้จะกระพริบถี่ ๆ เหมือนไฟที่พยายามสู้กับน้ำและลมที่ราดรดตัวมันแต่ก็ยังคงลุกโชติช่วงอยู่ได้
                        เมื่อทั้งคู่ดูจนแน่ใจแล้วว่าคบไฟยังคงใช้งานอยู่จึงหันหน้ากลับมาที่ท้ายเรืออีกครั้ง   ทว่าในครั้งนี้ทั้งคู่ต้องตกตะลึงจนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นอึดใจใหญ่ ๆ ทีเดียว   เพราะเบื้องหน้าคนทั้งคู่มีหญิงสาวสวยผมสีฟ้าเหลือบเขียว   นั่งส่งยิ้มหวานมาให้ทั้งคู่อยู่ที่บนขอบรั้วตรงท้ายเรือนั้นเอง
                        หญิงสาวนางนั้นยิ้มพลางยกมือขวาขึ้นกวักเรียกให้คนทั้งสองเข้าไปใกล้ ๆ  ทั้งสองเหมือนจะค่อย ๆ หลงลืมตัวเองและความตั้งใจต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นและเริ่มขยับเข้าไปใกล้   แต่เผอิญที่จู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาบนยอดผาที่พวกเขาจอดเรือไว้พอดี   จึงทำให้ทั้งสองสะดุ้งและได้สติ   ซึ่งคงต้องขอบคุณฟ้าผ่าเมื่อสักครู่จริง ๆ ฮารีซันและทราเฮิร์นพยักหน้าให้สัญญาณกันแล้วรีบก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันทีคว้าแขนทั้งสองกึ่งจูงกึ่งลากมาที่กลางลำเรือ   ถ้านางเป็นสาเหตุของอาการประหลาดที่เกิดขึ้นกับลูกเรือทุกคน   นางก็คงต้องมีเรื่องคุยกันยาวเชียวล่ะ
                        ทันทีที่ทราเฮิร์นและฮารีซันหันกลับมาสำรวจหญิงสาวให้ถ้วนถี่ก็ต้องตกใจแทบจะพร้อมกัน   เมื่อเห็นว่าท่อนล่างของเธอเป็นหางปลาขนาดใหญ่แทนที่จะเป็นขาสองข้างอย่างมนุษย์ทั่วไป
                        “เจ้าเป็นเงือกรึ?!” ทราเฮิร์นอุทานด้วยความตกใจเพราะไม่เคยเห็นนางเงือกมาก่อนเลยในชีวิต
                        เงือกสาวสะบัดหางไปมา   มองทั้งสองด้วยความหวาดระแวงสายตาเหลือบมองเศษผ้าที่ทั้งสองใช้อุดหู   ฮารีซันย่อเข่าลงข้างหนึ่งจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับนาง   ก่อนจะค้อมศีรษะกล่าวขอโทษ
                        “ขออภัยที่ล่วงเกินท่านเช่นนี้   แต่ข้าขอคุยกับท่านสักหน่อยจะได้ไหม?” ฮารีซันถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
                        เงือกสาวมองฮารีซันเหมือนจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าตกลง   ทั้งสองจึงเอาเศษผ้าชุบน้ำออกจากหูของตน
                        “ข้าคือ ฮารีซัน บันดารา และนี่สหายของข้าชื่อ ทราเฮิร์น” ฮารีซันแนะนำตัว
                        “ข้าชื่อ มารีน่า (Marina, The Mermaid) ” เสียงของนางเงือกใสราวกับหยดน้ำ
                        “ท่านเป็นคนทำร้ายลูกเรือของข้าใช่หรือไม่?” ฮารีซันถาม
                        มารีน่าเหลือบมองคล้ายจะอ่านความรู้สึกบนใบหน้าของชายหนุ่มก่อนจะตอบ “ใช่ข้าทำเช่นนั้น”
                        “พวกเราไม่ได้มีความแค้นต่อกันไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านต้องทำร้ายพวกเรา?”
                        “พวกเจ้าล่วงเกินข้าต่างหากข้าถึงต้องทำเช่นนี้” เงือกสาวแจ้ง
                        “พวกเราล่วงเกินท่านเมื่อไหร่กันหรือ?” ทราเฮิร์น ถามอย่างตกใจหรือจะมีลูกเรือคนใดไปล่วงเกินนางเข้า
                        “พวกเจ้าทอดสมอขวางทางเข้าถ้ำของข้า” มารีน่าพูดด้วยน้ำเสียงกล่าวหา
                        “ใต้เชิงผานี้มีถ้ำของท่านอยู่รึนี่?!” ข้าต้องขออภัยท่านจริง ๆ พวกเราหวังเพียงแต่จะหาที่หลบพายุ   ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าได้สร้างความเดือดร้อนให้กับท่านเช่นนี้   ท่านจะโกรธก็สมควรแล้ว   ขอให้ท่านโปรดอภัยให้พวกเราด้วยเถิด   ข้าจะรีบให้คนถอนสมอจากที่ตรงนี้ทันที “ฮารีซันกล่าวอย่างร้อนรน ขณะก้มศีรษะขอขมานางเงือกสาว
                        มารีน่ามองจ้องจับสังเกตความรู้สึกบนใบหน้าของฮารีซันตลอดเวลา   นางค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาในที่สุด “เจ้ารู้สึกเสียใจต่อเรื่องที่ทำลงไปจริง ๆ ข้ารู้สึกได้   เอาเถิดข้ายกโทษให้   ทันทีที่พวกเจ้าถอนสมอเรือข้าจะคลายคำสาปให้บรรดาลูกเรือของเจ้า”
                        “ข้าขอขอบคุณแทนพวกข้าทุกคนด้วย” ฮารีซันกล่าวขอบคุณด้วยเต็มใจ
                        “พวกเจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน?” มารีน่าอดถามไม่ได้   นางไม่เคยเห็นมนุษย์ที่มีนิสัยเช่นฮารีซันมาก่อน หรือถ้าจะมีก็คงนานมากแล้ว
                        “พวกเราเดินทางจากฟีเลเซียและกำลังเดินทางไปแอนดิซอง” ทราเฮิร์นเอ่ยตอบ
                        “พวกเจ้าไม่ใช่ชาวฟีเลเซีย   แม้เรือจะมีสัญลักษณ์ของฟีเลเซียอยู่   แต่พวกเจ้าไม่ใช่” มารีน่าตั้งข้อสังเกต
                        “ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว   พวกเราเป็นชาวฟูดินัน” ฮารีซันตอบ
                        “ชาวฟูดินันมาทำอะไรบนเรือของชาวฟีเลเซีย   แล้วเจ้าจะไปแอนดิซองทำไม?” มารีน่ายิ่งสงสัย
                        “เรื่องมันค่อนข้างยาว   แต่ข้าจะอธิบายให้ท่านได้เข้าใจ” ฮารีซันเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ   ที่เกิดขึ้นให้เงือกสาวฟัง   ตั้งแต่ที่เผ่าถูกรุกรานจนมาถึงการเข้าร่วมรบกับฟีเลเซียและความตั้งใจที่จะมาขอความช่วยเหลือจากแอนดิซอง   ทันทีที่เงือกมารีน่าได้ฟังเรื่องต่าง ๆ จนจบ   ก็อดนิยมชมชอบผู้นำชาวฟูดินันผู้นี้ไม่ได้
                        “ท่านเป็นคนที่ซื่อตรงจริงใจและมีน้ำใจมาก” มารีน่ากล่าวชมด้วยจริงใจ “ท่านคิดถูกแล้วที่มาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงอลาน่าแห่งแอนดิซอง   แม้ในทวีปเลอมูเรียดินแดนแห่งเงือกนี้   ชื่อเสียงของนางก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึง”
                        ทั้งฮารีซันและทราเฮิร์นได้ยินดังนั้นก็ยิ่งใจชื้นขึ้น   พวกเขาคิดถูกแล้วที่ดั้นด้นเดินทางมาทั้งสองหันมามองและยิ้มให้กัน   ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างมีความหวัง
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: March 01, 2007, 06:28:12 AM »

                         “พรุ่งนี้เช้าพายุก็คงอ่อนกำลังจนพวกท่านสามารถออกเดินทางต่อไปได้” มารีน่าเงยหน้าขึ้นสังเกตเมฆและบรรยากาศเบื้องบน   ก่อนจะหันหลับมายังชายทั้งสอง “เส้นทางที่พวกท่านกำลังจะมุ่งไปเป็นเส้นทางผ่านของเรือผี(Ghost Ship)   เรือของเหล่าวิญญาณที่ตายอยู่ในทะเลนี้   มันจะเข้าโจมตีและจมเรือทุกลำที่ผ่านหน้ามันเพื่อหาสมัครผีไปเพิ่มบนเรือของพวกมัน   ข้าจะบอกเส้นทางที่ปลอดภัยและนำพวกท่านไปถึงแอนดิซองได้เร็วขึ้นให้”
                         ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความยินดี “ขอบคุณ ขอบคุณท่านมาก”

                                                           

                         ขณะที่อองเดรกำลังเตรียมตัวออกตรวจตราความสงบเรียบร้อยในเมืองท่า หรือที่จริงก็คือการลอบสำรวจความเป็นไปของเจ้าหญิงอลาน่าที่ทรงไปขลุกอยู่ในค่ายผู้อพยพทุกวันต่างหาก   เพราะทันทีที่ค่ายอพยพถูกสร้างเสร็จเขาก็แทบจะไม่ได้เห็นเจ้าหญิงในวังอีกเลย   วันนี้แหละที่เขาจะต้องหาโอกาสพาเจ้าหญิงกลับมาพักผ่อนในวังให้ได้
                         ทันใดนั้น   ทหารยามนายหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาอองเดรอย่างรวดเร็ว   ทันทีที่ทำความเคารพเสร็จนายทหารก็รีบยื่นสารฉบับหนึ่งให้เขา   อองเดรจำได้ทันทีว่าเป็นสารจากแม่ทัพเงือกอิริคนั่นเอง   ชายหนุ่มรีบเปิดอ่านข้อความที่อยู่ภายในทันที
                         “พวกตัวยุ่งยาก...” อองเดรกำมือแน่นจนสารยับยู่คามือ   เขามองออกไปทางทะเลน้ำแข็งอันหนาวเย็น   ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมหมุนตัวเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว


                         วิโอเรียตรวจดูเครื่องประดับและการแต่งกายของตนในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายพลางประพรมน้ำหอมราคาแพงลงบนผิวกายก่อนจะยิ้มให้ตัวเองในกระจก
                         “ในที่สุด   เจ้าก็ต้องมาหาข้า” พูดแล้วก็กลับหลังหันเดินนวยนาดไปที่ประตู
                         วิโอเรียค่อย ๆ เดินลงบันไดอย่างช้า ๆ ด้วยมั่นใจว่าท่วงท่าการเดินของตนนั้นทรงเสน่ห์อย่างที่สุด   มีรอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏอยู่บนใบหน้า ในขณะที่มองเห็นบุรุษที่ยืนรอตนอยู่ที่โถงหน้าประตูวังของตน
                         “กระแสน้ำพัดพาท่านราชองครักษ์มาเกยฝั่งที่หน้าวังของข้าหรืออย่างไร?” วิโอเรียถามพลางหัวเราะร่วน   แต่เมื่อเห็นว่าองครักษ์หนุ่มยังคงนิ่งเงียบจึงพยายามต่อ “หรือว่าท่านคิดถึงข้าขึ้นมาจึงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้” วิโอเรียพูดโดยไม่ทันคิดว่าตนตื่นสายจนเกือบเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
                         “ข้ามีงานหนึ่งอยากจะให้ท่านทำ” อองเดรตอบเสียงเย็นเยียบไม่สนใจคำพูดใด ๆ ก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายเลย
                         “ข้าเป็นหนี้เจ้าเมื่อไหร่ถึงต้องทำตามที่เจ้าสั่ง” วิโอเรียเสียงแข็งขึ้นทันที เมื่อถูกอองเดรเพิกเฉย   แต่เมื่ออองเดรยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นราวกับไม่สนใจอารมณ์ขึงโกรธของวิโอเรีย   หญิงสาวจึงเริ่มพิจารณาชายที่อยู่เบื้องหน้าด้วยดวงตาที่หรี่แคบก่อนจะเหยียดปากอย่างเย้ยหยัน ”งานที่สำคัญถึงขนาดที่คนอย่างเจ้าอุตส่าห์มาขอให้ข้าทำ   คงเป็นงานที่เกี่ยวกับอลาน่าละสิ”
                         อองเดรมองวิโอเรียด้วยสายตาเย็นยะเยือก เมื่อหญิงสาวเรียกเจ้าหญิงของเขาเพียงแค่ชื่อเฉย ๆ   วิโอเรียกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น   แต่ก็ไม่มีการถอยกลับแล้วสำหรับเธอ   หญิงสาวจึงเชิดหน้าขึ้นแสร้งทำเป็นตกใจกับสายตาแข็งกร้าวของอองเดรแม้ในใจจะอยากวิ่งหนีไปตั้งหลักให้ไกลกว่านี้อีกสักหน่อย
                         “มองข้าด้วยสายตาเช่นนี้   คิดจะทำร้ายข้าหรือไง?”
                         “ทำ หรือไม่ทำ?” อองเดรถามย้ำโดยไม่สนใจคำพูดวิโอเรียแม้แต่น้อย
                         วิโอเรียกัดฟันแน่น   ทำไมนะ   หล่อนถึงไม่เคยได้รับความสนใจใด ๆ จากชายคนนี้เลย    ไม่ว่าหล่อนจะทำอะไร  จะพูดอะไรก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาใด ๆ นอกจากคำพูดที่เย็นชาและท่าทางที่เฉยเมยเสมอ   หล่อนต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกร้องความสนใจใด ๆ จากเขาได้
                         “ถอดหน้ากากของท่านออกซิ” วิโอเรียทำใจกล้าออกคำสั่ง   ความทรงจำเมื่อคราวพบกันครั้งแรกหวนกลับมาอีกครั้ง   ครั้งนั้นหล่อนถูกเมินเฉยราวกับเป็นอากาศธาตุ   แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนก่อนแล้ว   ครั้งนี้หล่อนมีข้อต่อรองที่องครักษ์หนุ่มต้องการ   วันนี้แหละหล่อนจะต้องเห็นใบหน้าของเขาชัด ๆ  ให้ได้   เพราะตั้งแต่เขามาที่นี่หล่อนแทบจะไม่เคยเห็นใบหน้าของเขา   อย่าว่าแต่หล่อนเลยแม้แต่คนอื่น ๆ ก็แทบจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าของราชองครักษ์ผู้นี้   อย่างมากก็เห็นไกล ๆ ชั่วแวบเดียวหนึ่งในราชพิธีสำคัญ ๆ ที่จะจัดนาน ๆ ครั้ง   ใช่สิคนที่ได้เห็นใบหน้าเขาชัด ๆ ก็คงมีแต่แม่อลาน่ากับบริวารใกล้ชิดอย่างยัยซิสเตอร์โรซาน่านั่น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: March 01, 2007, 06:29:25 AM »

                      “ทำไม?” ราชองครักษ์ถามเสียงเย็นจนแทบจะหนาวไปถึงกระดูก
                      “เพราะข้าอยากเห็นนะสิ   ถ้าท่านเปิดหน้ากากให้ข้าดู   ข้าจะช่วยทำงานนั่นให้ก็ได้” วิโอเรียทำใจกล้าพูดออกไป
                      ราชองครักษ์มองวิโอเรียด้วยแววตาที่แทบจะลดอุณหภูมิในห้องจนแตะจุดเยือกแข็ง   เขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นานจนวิโอเรียคิดว่าหล่อนอาจโดนฆ่าในอีกวินาทีข้างหน้าก็ได้   แต่แล้วชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นจับที่เกระหน้าและขยับเปิดออก   วิโอเรียสูดหายใจเข้าและหยุดค้างอยู่เช่นนั้น   ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้น
                      “พอใจรึยัง?” อองเดรถามด้วยใบหน้าเฉยเมย
                      วิโอเรียได้สติจึงผ่อนหายใจอย่างแรงแล้วรีบพยักหน้าเร็ว ๆ เป็นคำตอบแทน   อองเดรจึงปิดหน้ากากกลับไปเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ก่อนจะกล่าวต่อ
                      “อย่าลืมสัญญาของท่าน   แล้วข้าจะส่งข่าวมาอีกครั้ง” กล่าวจบอองเดรก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองวิโอเรียอีกเลย

                      ทันทีที่อองเดรเดินหายลับไปแล้ว   วิโอเรียก็เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น   แข้งขาอ่อนพับจนเหมือนจะหมดแรงหญิงสาวพยายามสำรวจความรู้สึกของตัวเองเป็นการใหญ่   หล่อนกลัวรึ?  แน่ล่ะ! ก็ใครบ้างที่ถูกจ้องด้วยสายตาเช่นนั้นจะไม่รู้สึกกลัว   แต่ไม่ใช่เท่านั้นมันมีความรู้สึกอื่นอีก...ร้อนรุ่มหรือ?   ความอยากหรือ?   ใช่...หล่อนอยากจะให้ใบหน้านี้มองหล่อนด้วยความเทิดทูนและจงรักษ์ภักดีเหมือนที่มองอลาน่า   จิตใจของหล่อนร้อนรุ่มราวกับเพลิงสุมอก   ไม่สิ...มันต้องมากกว่าอลาน่า   ต้องมากกว่านั้น   คอยดูเถอะ

                                                                

                      ผ่านมาสามวันแล้วนับจากวันที่พวกฮารีซันแยกจากเงือกสาวมารีน่า   ลูกเรือทุกคนที่ตกอยู่ใต้คำสาปของมารีน่าหายเป็นปรกติทันทีที่ถอนสมอเรือขึ้นตามคำที่มารีน่าสัญญาไว้   ยังความโล่งใจและยินดีมาให้แก่คณะชาวป่าเป็นอย่างยิ่ง   จากนั้นการออกเดินทางตามเส้นทางที่นางเงือกมารีน่าบอกไว้ซึ่งก็ราบรื่นจนอดที่จะรู้สึกขอบคุณเธอในใจไม่ได้   ทั้งกระแสน้ำและคลื่นลมล้วนช่วยส่งเรือให้เข้าใกล้เมืองท่าแอนดิซองได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   ในท้องทะเลเริ่มมองเห็นแมวน้ำสองหาง (Two Tail Seal) และ สิงโตทะเลขนฟ้า (Blue Fur Sea Lion) ที่ออกมาหากินนอกชายฝั่ง   อันมีความหมายว่าแผ่นดินคงอยู่อีกไม่ไกล
                      แต่แล้วจู่ ๆ เมฆลมก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณใด ๆ มาก่อน   เรือรบเริ่มโคลงเคลงและท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มจนดูเหมือนเป็นเวลาใกล้ค่ำ   คลื่นในทะเลเริ่มก่อตัวสูงขึ้น   และสาดเข้าใส่กราบเรือทั้งซ้ายและขวา   ทุกคนบนเรือถูกเหวี่ยงไปมาจนยืนแทบไม่อยู่   เสียงตะโกนโหวกเหวกสั่งการให้เก็บใบเรือดังลั่นแข่งกับเสียงคลื่น
                      “นี่มันอะไรกันนี่?” ทราเฮิร์นเสียหลักเซถลาไปกระแทกกับกราบเรือด้านซ้ายเพราะความที่เซนทอร์มีเท้าเป็นกีบเหมือนม้า   จึงไม่มีอุ้งเท้าไว้ยึดเกาะพื้นผิวได้ดีเท่ามนุษย์   เขาจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น ๆ ในการที่จะทรงตัวให้อยู่บนพื้นเรือที่เปียกโชกและโคลงเคลงเช่นนี้   ทราเฮิร์นกระชากตัวเองขึ้นแล้วใช้แขนเหนี่ยวราวโลหะที่ติดไว้ตามแนวรอบนอกห้องเครื่อง   พูดเสียงลอดไรฟันแต่แววตาแฝงแววหยอกล้อไว้ “เตือนข้าด้วยนะว่า   ต่อไปจะไม่ลงเรือล่องทะเลอีก”
                      “จู่ ๆ ทะเลก็คลั่งคลื่นลมแปรปรวนไปหมด   เหมือนมีใครมากวนน้ำเล่นยังงั้นแหละ” ฮารีซันพยายามปิดหน้าต่างและช่องระบายอากาศรอบเรือเพื่อไม่ให้น้ำทะเลเข้าไปในตัวเรือได้
                      “ท่านฮารีซัน! ท่านฮารีซัน!” เสียงลูกเรือชาวป่าตะโกนด้วยความหวาดกลัวจนสุดเสียงดังมาจากทางหัวเรือ   ทำให้ฮารีซันและทราเฮิร์นรีบมุ่งไปทางหัวเรือทันที   ณ ที่นั้นทุกคนต่างต้องตกตะลึงจนสุดขีด   เมื่อเห็นมังกรน้ำสีน้ำเงินขนาดใหญ่   ลำตัวยาวกว่าเรือรบสิบลำเรียงต่อกัน      เสียงแผดร้องของมันทำให้ทุกคนบนเรือต้องรีบเอามันปิดหู   มันว่ายตรงรี่เข้ามาหาอย่างมาดร้ายและรวดเร็วจนน้ำทะเลเต้นเร่าแตกฟองราวน้ำมันเดือด   ทันทีที่หางของมันส่ายสะบัดน้ำทะเลก็เกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่หมุนวนไปรอบ ๆ ตัวของมัน   แม้จะยังอยู่ห่างในระยะไกล   แต่เรือทั้งลำก็โคลงเคลงจนน่ากลัวเหมือนกับว่ามันจวนจะแตกออกจากกันในเวลาอันใกล้   เหล่าชาวป่าทั้งลำเรือจากพยายามทรงตัวต้านแรงคลื่นอย่างสับสนอลหม่านพร้อม ๆ กับเสียงตะโกนเปลี่ยนทิศทางเรือดังไปทั่วเรือรบ

                      เวลานั้นเจ้าหญิงอลาน่ากำลังทรงแจกจ่ายอาหารให้แก่บรรดาผู้อพยพในค่ายที่เพิ่งสร้างเสร็จ   ค่ายแห่งนี้นับเป็นความสำเร็จและเป็นย่างก้าวที่สำคัญสำหรับจุดหมายของพระองค์   มันช่วยให้พระองค์เข้าใกล้ความฝันมากขึ้นหว่าครั้งไหนๆ   ผู้อพยพทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มและมีความสุข   หลายคนเริ่มหางานประจำในเมืองท่าได้แล้ว   เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือและ  อีกหลาย ๆ คนได้ฝึกอาชีพ   อีกทั้งบรรดาคนเจ็บป่วยก็ได้รับการรักษาจนเกือบจะหายดีและสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้ว   ผลจากความพยายามอย่างสุดกำลังของพระองค์และซิสเตอร์กำลังออกดอกออกผล
                      ทันใดนั้นจู่ ๆ ก็เกิดลมหนาวกรรโชกแรงจนทุกคนสั่นสะท้าน   เมฆบนท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เสียงคลื่นสาดกระทบฝั่งดังจนได้ยินมาถึงค่ายผู้อพยพ   มีกะลาสีเรือหลายคนวิ่งมาจากทางท่าเรือ   ร้องตะโกนโหวกเหวกเตือนว่าพายุหลงฤดูกำลังเข้ามา   ทำให้ทุกคนแตกตื่นรีบวิ่งกลับเข้าที่พักบ้างก็หาที่หลบพายุกันเป็นการใหญ่
                      “แปลกจริง   ฤดูนี้ไม่น่ามีพายุนี่นา” เจ้าหญิงอลาน่าทรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและหวั่นวิตก
                      “อย่างไรก็หาที่หลบพายุก่อนเถอะเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าทูล
                      “มันออกจะผิดธรรมดาอยู่นะคะ ซิสเตอร์” เจ้าหญิงยังคงสงสัย
                      “เพคะ   แต่เราต้องรีบกลับก่อนที่พายุจะเข้านะเพคะ   เดี๋ยวพระองค์จะล้มป่วยเอาได้”
                      เจ้าหญิงอลาน่าลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินทางกลับแต่โดยดี   ทันทีที่เสด็จถึงวังเจ้าหญิงอลาน่าก็ทรงขึ้นไปยังห้องทรงงานของพระองค์ที่หันหน้าเข้าทะเลและสามารถมองเห็นท่าเรือได้อย่างชัดเจน
                      “ทะเลและท้องฟ้าดูผิดปรกติมากนะคะ ซิสเตอร์   มันดูเหมือนช่วงเดือนที่เรากักมังกรจอร์มันกาน์ดให้ว่ายวนอยู่หน้าอ่าวของเมืองท่าเลย” เจ้าหญิงตรัสด้วยความกังวล
                      “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ   นี่ไม่ใช่ช่วงเดือนที่เราร่ายมนต์สะกดมังกรจอร์มันกาน์ดให้ว่ายวนในข่ายเวทย์ที่เราวางไว้นิเพคะ” ซิสเตอร์สูงวัยแย้ง
                      “ใช่   ฉันถึงบอกว่ามันผิดปรกติมากเกินไปอย่างไรเล่าคะ   ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรไม่รู้ค่ะ ซิสเตอร์” เจ้าหญิงอลาน่ามีสีหน้ากังวลมากยิ่งขึ้น ทรงเริ่มเดินกลับไปกลับมาอย่างคนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง   ที่สุดพระองค์ก็หยุดคล้ายจะตัดสินใจบางอย่างได้ในที่สุด   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: March 01, 2007, 06:30:42 AM »

                       “ซิสเตอร์รออยู่ที่นี่ก่อนนะคะ   ฉันจะไปที่สระหลวงในโบสถ์ประจำตำหนักชั้นใน” เจ้าหญิงตรัส
                       “พระองค์จะทำอะไรรึเพคะ?” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลถาม
                       “ฉันจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกค่ะ แล้วฉันจะรีบกลับมา” เจ้าหญิงตรัสจบก็เสด็จออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
                       ที่โบสถ์ประจำตำหนักชั้นในนั้น เป็นโบสถ์เล็ก ๆ ที่มี่ไว้สำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเข้ามาสวดมนต์ภาวนาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น   ภายในโบสถ์นั้นถูกตกแต่งด้วยสีขาว เงิน และทองโดยเสริมความหรูหรางดงามด้วยเพชรหลากสี   ขนาดใหญ่   ทางปีกขวาของตัวโบสถ์นั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่จนเกือบจะเท่ากับความกว้างของโบสถ์   ซึ่งมีไว้สำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ ทางศาสนา
                       เจ้าหญิงอลาน่าทรงเดินตรงไปยังสระน้ำหลวงอย่างสำรวม   ในมือของพระองค์ถือถ้วยทองอันงดงามที่ถูกตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่า   ถ้วยนี้เป็นถ้วยที่พระองค์ได้รับเมื่อคราวรับตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการด้วยวัยสิบสี่ชันษานั่นเอง   เจ้าหญิงตรงย่อตัวลงนั่งที่ขอบสระพลางใช้ถ้วยทองนั้นตักน้ำที่ใสไม่ต่างกับคริสตัลของสระหลวงขึ้นมา   เจ้าหญิงทรงยกถ้วยชูขึ้นต่อสัญญาณแห่งแสงและทรงอธิษฐาน
                       “พระเจ้าข้า   ขอพระองค์ทรงโปรดทำให้น้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยพระอานุภาพของพระองค์   ให้น้ำนี้เป็นดังดวงตาของพระองค์ที่จะทำให้ลูกได้เห็นความจริง”
                       ตรัสเช่นนั้นแล้วเจ้าหญิงก็ทรงค่อย ๆ เทน้ำออกจากถ้วยทองคำ   น้ำที่ไหลออกมาเป็นสายกลับหยุดอยู่กลางอากาศและค่อย ๆ แผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง   ก่อนจะแผ่ออกเป็นแผ่นกลมขนาดใหญ่อยู่กลางอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์   ราวกับว่ามีกระจกที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่
                       “จงเผยให้ฉันเห็นสาเหตุแห่งความแปรปรวนของคลื่นลมที่เกิดขึ้น”
                       ทันใดนั้นแผ่นน้ำก็สว่างเรืองรองเป็นประกายระยิบระยับก่อนจะแหวกเป็นวงที่ใจกลางจากจุดเล็ก ๆ และขยายใหญ่จนเต็มแผ่นน้ำ   เหลือเพียงขอบเรืองรองที่กลายเป็นขอบวงแหวนรอบแผ่นน้ำ   ณ วงกลมที่เพิ่งปรากฏใหม่นี้เองก็เผยให้เห็นภาพที่เจ้าหญิงต้องอุทานด้วยความตกใจจนถ้วยทองคำเกือบหลุดจากมือ   ภาพที่ปรากฏนั้นคือ เรือรบของฟีเลเซียลำหนึ่งกำลังแล่นฝ่าคลื่นอันบ้าคลั่งโดยมีมังกรน้ำจอร์มันกาน์ดที่ว่ายหมุนวนจนทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในทะเลเป็นการใหญ่   เรือของฟีเลเซียถูกพัดออกห่างจากท่าเรือไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าเรือจะพยายามมุ่งหน้าเข้าท่าเรือเก่าที่อยู่ห่างจากท่าเรือปัจจุบันพอสมควร   ซึ่งท่าเรือนั้นแทบจะไม่ได้ใช้แล้วเว้นแต่เรือประมงและเรือโดยสารเท่านั้นที่ยังใช้ท่าเรือนั้นอยู่
                       เรือฟีเลเซียพยายามแล่นหนีมังกรน้ำและคลื่นยักษ์สุดกำลังแต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก   เพราะคลื่นลมดูแปรปรวนไปหมด   เรืออยู่ใกล้ท่าเรือแล้วเจ้ามังกรน้ำก็เช่นกัน   เจ้าหญิงทรงวิตกกังวลมากขึ้น  เมื่อเห็นมังกรจอร์มันกาน์ดเข้าใกล้ท่าเรือมากเกินไปจนอาจเป็นอันตรายต่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบท่าเรือได้   ภาพในวงกลมนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางไปยังยอดผาน้ำแข็งที่ขั้นกลางระหว่างท่าเรือเก่าและใหม่   ที่ยอดผานั้นปรากฏร่างของวิโอเรียพร้อมคทาน้ำแข็งที่กำลังโบกสะบัดร่ายเวทย์แห่งแม่มดน้ำแข็งบังคับมังกรจอร์มันกาน์ดและคลื่นลมในทะเลอย่างสุดกำลัง
                       เมื่อภาพกลับมายังเรือฟีเลเซียอีกครั้ง   เรือเข้าใกล้ท่ามากแล้ว   แต่แล้วที่บนท่าเรือนั้น   เจ้าหญิงอลาน่าก็ทรงเห็นร่างของชายที่จะยิ่งสร้างความวิตกให้พระองค์เป็นทวีคูณ

                                                                                            

                       ราชองครักษ์อองเดรยืนกระชับดาบในมือมั่น  สายตาจับจ้องเรือรบฟีเลเซียที่กำลังเข้าใกล้ท่ามากขึ้นทุกที   โดยที่ไม่สนใจน้ำทะเลอันหนาวเหน็บและลมกรรโชกเย็นยะเยือกที่พัดสาดอยู่รอบ ๆ  ตัว   ดูเหมือนว่าน้ำและอากาศที่เย็นจัดยังไม่สามารถเอาชนะความมุ่งมั่นของเขาได้   อองเดรตวัด ดาบคริสเตลาร์เม (Cristalarme, the Sword of Andre) ในมือขึ้น   ใช้สองมือยกดาบน้ำแข็งชูขึ้นเหนือศีรษะท่ามกลางสภาพอากาศอันเย็นยะเยือก   น้ำฝนและน้ำทะเลที่สาดซัดเข้ามาถูกดาบคริสตัลที่เย็นจัดเปลี่ยนให้เป็นน้ำแข็งเกาะอยู่บนแผ่นดาบจนมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่เรือแล่นมาอยู่ในระยะใกล้พอ   อองเดรก็ฟาดดาบใส่พื้นน้ำที่เชี่ยวกราดจนสุดแรง   น้ำทะเลกระจายตัวออกและกลายเป็นเหมือนดาบน้ำแข็งพุ่งเป็นทางตรงไปยังเรือรบฟีเลเซียในพริบตา   น้ำแข็งจับน้ำรอบลำเรือและบริเวณโดยรอบจนกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด   เรือรบฟีเลเซียบัดนี้เหมือนติดอยู่ในกับดักของแมงมุมร้ายจนไม่สามารถแล่นไปทางไหนได้   และแล้วโดยที่ไม่มีใครทันคาดคิด   มังกรน้ำจอร์มันกาน์ดก็พุ่งเข้าโจมตีเรืออย่างแรงจนเรือรบแตกเป็นเสี่ยง ๆ  บรรดาลูกเรือต่างว่ายน้ำขึ้นฝั่งหนีตายกันจ้าละหวั่น
                       นอกจากจะต้องว่ายหนีมังกรน้ำแล้ว   น้ำทะเลที่เย็นจัดยังทำให้การเคลื่อนไหวในน้ำยิ่งยากลำบากเป็นทวีคูณ   ซ้ำยังต้องว่ายหลบดาบน้ำแข็งที่พุ่งมาจากท่าเรือที่คอยสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นฝั่งได้อีก   เวลานี้ฮารีซันและบรรดาลูกเรือเหมือนเหยื่อที่จนตรอก   ทุกคนต่างพยายามอย่างสุดกำลังที่จะว่ายไปให้ถึงฝั่ง   เสียงร้องของบรรดาลูกเรือชาวป่าดังโหวกเหวกแข่งกับเสียงคลื่นและพายุจนสับสนอลหม่าน
                       ฮารีซันที่เปียกโชกและหนาวสั่นพยายามมองหานายทัพเซนทอร์เป็นการใหญ่เพราะรู้ดีว่าเขาเสียเปรียบกว่าคนอื่นหากต้องว่ายอยู่ในน้ำเช่นนี้   ใช้เวลาเพียงไม่นานฮารีซันจึงเห็นว่าทราเฮิร์นกำลังว่ายตรงเข้าหาฝั่งโดยแขนข้างหนึ่งเกาะถังไม้ไว้   ส่วนอีกข้างพยายามว่ายพาตัวเองขึ้นฝั่ง   ฮารีซันว่ายตรงเข้าไปหาทันที   เสียงร้องของมังกรจอร์มันกาน์ดที่ดูเหมือนจะเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำลายเรือรบให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่วอ่าวที่ยังไม่หายคลั่ง   และกำลังมุ่งเป้ามายังพวกตนแทน   ทุกคนต่างรีบว่ายเอาชีวิตรอด   แต่ก็มีหลายคนที่ถูกดาบน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่จนจมหายไปต่อหน้าต่อตา
                       ทันทีที่ฮารีซันว่ายไปถึงทราเฮิร์นเขาก็รีบคว้าแขนนายทัพเซนทอร์และออกว่ายตีขาอย่างแรง   เพื่อหนีมังกรน้ำที่ว่ายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่แล้วพลันสายตาทั้งคู่ก็เห็นน้ำทะเลแหวกกระจายขึ้น   สายน้ำพุ่งเป็นทางยาวและกลายเป็นน้ำแข็งในบัดดลและกำลังพุ่งตรงมาหาพวกตน   ฮารีซันรีบยกโล่ขึ้นป้องกันทันที   ดาบคลื่นน้ำแข็งกระแทกถูกโล่เต็มแรงก่อนจะแตกกระจายกลายเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อยไปทั่วบริเวณ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: March 01, 2007, 06:32:10 AM »

                         “รู้สึกว่าเราจะไม่เป็นที่ต้อนรับอย่างยิ่งเลย   ถึงได้รับการต้อนรับสุดโหดขนาดนี้” ทราเฮิร์นกัดฟันออกแรงว่ายน้ำหนักขึ้นด้วยความหนาว
                         “อดทนอีกนิด   ใกล้จะถึงแล้ว” ฮารีซันมองตรงไปข้างหน้าเห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีน้ำเงินวาวมองตรงมายังพวกตนด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกในมือของเขาตวัดดาบขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนแท่งผลึก

                         “ถ้าเจ้าพวกดื้อด้านนี่อยากจะขึ้นฝั่งมากันให้ได้   ก็จงขึ้นมาอย่างร่างไร้วิญญาณเสียเถิด”  ราชองครักษ์หรี่ตาแคบมองความสับสนอลหม่านกลางท้องน้ำ   เขาจะไม่ยอมให้ใครหรือสิ่งใดก็ตามมาเพิ่มภาระให้เจ้าหญิงต้องแบกรับอีก   อองเดรตวัดดาบฟาดขนานไปกับพื้นน้ำเป็นแนวขวางเต็มแรงทำให้น้ำทะเลระเบิดขึ้นก่อให้เกิดน้ำแข็งพุ่งขึ้นจับเป็นกำแพงขวางระหว่างท่าเรือและบรรดาพวกชาวป่าไว้ทันที
                         บรรดาชาวป่าที่กระเสือกกระสนหนีตายว่ายเข้ามาใกล้ฝั่งพอเห็นกำแพงน้ำแข็งเบื้องหน้าก็แทบจะถอดใจ   มังกรน้ำก็อยู่ใกล้เข้ามาทุกที
                         “ท่านพาเรามาตายหรือ?”
                         “พวกเรากำลังจะตาย”
ชาวป่าบางคนร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง   บางคนก็พยายามใช้เศษซากเรือที่ตนอาศัยเกาะว่ายเข้าฝั่งทุบน้ำแข็งอย่างจนตรอก
                         “ไม่! พวกเราต้องไม่ตาย” ฮารีซันสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนง้างกำปั้นควงหมัดกระแทกใส่น้ำแข็งสุดแรงเกิด
                         ทันใดนั้นเสียงปริร้าวก็ดังกระจายไปทั่ว   รอยร้าวเริ่มจากจุดที่ฮารีซันกระแทกหมัดใส่และแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว
                         “ย๊าาาา...!” ฮารีซันร้องเสียงลั่นก่อนจะกระแทกหมัดใส่กำแพงน้ำแข็งอีกครั้ง   กำแพงน้ำแข็งก็ระเบิดกระจายกลายเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อยลอยเกลื่อนทะเล   ทุกคนจึงรีบต่างรีบจ้วงแขนว่ายเข้าฝั่งด้วยความยินดีและโล่งใจ   ทว่าบนฝั่งยังมีเรื่องให้หนักใจไม่แพ้กัน
                         ทันทีที่บรรดาชาวป่าที่สามารถรอดพ้นจากการโจมตีของจอร์มันกาน์ดตะเกียดตะกายขึ้นฝั่งมาได้   ราชองครักษ์อองเดรก็พุ่งเข้าโจมตีทันที      ราชองครักษ์อองเดรก็ตวัดดาบพุ่งเข้าจู่โจมในทันใด   ชาวป่าเคราะห์ร้ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดแต่แล้วปากก็เริ่มสั่นเหมือนคนหนาวจนจับขั้วหัวใจ   ใบหน้าเริ่มซีดขาวละริมฝีปากเขียวคล้ำเพราะความหนาวยิ่งเข้มขึ้นจนกลายเป็นม่วงคล้ำ   ก่อนจะค่อย ๆ  ทรุดลงไปกองกับพื้นและตัวแข็งราวกับถูกแช่เย็นไปในทันที
                         ฮารีซันไม่รอให้ใครต้องสังเวยดาบน้ำแข็งอีกจึงรีบพุ่งตัวยกโล่ขึ้นรับดาบผลึกน้ำแข็งอย่างแรงจนเสียงดังสะท้อนไปไกลกระทั่งทุกคนในบริเวณนั้นได้ยินกันทั่ว
                         “ท่านนายทหาร   ได้โปรดฟังพวกเราก่อน   พวกเราไม่ใช่ศัตรูของอาณาจักรนี้   ได้โปรดเก็บดาบของท่านก่อนเถิด” ฮารีซันรีบกล่าวอย่างร้อนรน
                         “กลับไป หรือจะตายอยู่ที่นี่ จงเลือกซะ!” อองเดรตวัดดาบพร้อมอีกครั้ง
                         “ท่านนายทหาร   เราเพียงแค่มาขอความช่วยเหลือ...”
                         อองเดรตวัดดาบผลึกหมายจะให้เจาะเข้าที่หัวใจของฮารีซันทันทีโดยไม่ฟังเสียง   ฮารีซันจึงรีบยกโล่ขึ้นปัดป้องทันทีเช่นกัน
                         “พวกเราไม่มีเจตนาร้าย   พวกเราเพียงแค่อยากมาพบเจ้าหญิงอลาน่า” ฮารีซันพยายามอีกแต่ยิ่งพูดชื่อเจ้าหญิง   ก็ยิ่งเหมือนพายุโถมใส่ทะเลคลั่ง   อองเดรยิ่งจู่โจมใส่ฮารีซันหนักหน่วงขึ้นจนดาบผลึกเกิดประกายไฟทุกครั้งที่กระทบกับโล่ของฮารีซัน   ซึ่งหัวหน้าชาวป่าก็พยายามปกป้องสุดกำลัง   ผ้าคลุมสีขาวของอองเดรพริ้วสะบัดตามจังหวะการลุกไล่ของเขาจนมันโบกสะบัดราวกับมีชีวิต   ทุกครั้งที่กวัดแกว่งดาบ   ไอเย็นจัดจะแผ่ซ่านออกมาจากดาบคริสเตลาเมจนทุกคนรู้สึกได้   ดาบผลึกกระทบถูกแสงทุกครั้งที่ตวัดดาบจนเกิดประกายสะท้อนแวบวับอยู่ตลอดเวลา   เสียงแหวกอากาศของดาบผลึกก่อนกระแทกใส่โล่ที่ยกขึ้นป้องกันชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านต่างกับเสียงพายุหิมะ
                         ฮารีวันรู้ตัวดีว่าดาบในมือของนายทหารชาวแอนดิซองนั้นมีอานุภาพร้ายกาจเพียงใด   จึงพยายามยกโล่ปัดป้องอย่างเต็มที่   ความพยายามที่จะพูดให้นายทหารผู้นี้เข้าใจดูจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย   ในเมื่อไม่ยอมรับฟังกัน   การต่อสู้ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว
                         อองเดรพยายามเล็งดาบไปที่อกซ้ายของฮารีซันอีกครั้ง   เมื่อชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบได้   อองเดรก็พลิกข้อมือตวัดกลับโดยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ลำคอแทน   ฮารีซันยกหมัดขึ้นขวางพลางตวัดขาเตะใส่สีข้างของอองเดรเต็มแรง   แต่อองเดรเอี้ยวตัวหลบก่อนจะตวัดดาบใส่ท่อนขาของฮารีซันแทน   ฮารีซันกระโดดหมุนตัวหลบก่อนจะเตะขาอีกข้างขึ้นสวน   อองเดรยกดาบขึ้นรับทำให้ดาบพลาดเป้าฟาดลงกระแทกพื้น   พื้นบริเวณท่าเรือก็ทะลุเป็นรูกว้างจนน้ำทะเลพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าราวกับน้ำพุที่มีแรงขับเคลื่นมหาศาล   และทันใดนั้นน้ำทะเลที่พุ่งขึ้นก็แปรสภาพกลายเป็นน้ำแข็งทันที   ฮารีซันหมุนตัวกลับมายืนเหนือนายทหารก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดคล้ายรวมพลังทั้งหมดก่อนจะกระแทกเข้าใส่อองเดร   ทว่าอองเดรเอี้ยวตัวหลบในชั่วเสี้ยววินาที   ทำให้หมัดของฮารีซันพลาดเป้าไปถูกพื้นท่าเรือ   ทันใดนั้นทั่วทั้งท่าเรือก็สั่นสะเทือน   สะพานเรือแตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยจมลงไปในท้องทะเลอันเชี่ยวกราด   บรรดาชาวป่าต่างก็รีบวิ่งหาพื้นที่ที่มั่นคงพอจะทนต่อแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น   แรงสั่นสะเทือนแผ่ขยายวงกว้างจนไปถึงพื้นทะเล   เกิดคลื่นปั่นป่วนไปทั่วผิวน้ำ   เกลียวน้ำม้วนตัวสูงกระแทกออกไปทุกทิศทุกทาง   แรงสั่นสะเทือนนั้นมีมากถึงขนาดทำให้มังกรจอร์มันกาน์ดตกใจว่ายหนีไป   
                         บรรดาชาวป่าต่างมองดูการต่อสู้ของคนทั้งสองอย่างด้วยใจระทึก   เรือรบฟีเลเซียก็แตกและอับปางไปแล้ว   มังกรน้ำก็คงยังคลุ้มคลั่งอยู่ที่ไหนสักแห่งกลางทะเล   ที่พึ่งสุดท้ายก็คืออาณาจักรแอนดิซอง   ทว่าพวกเขากลับต้องเผชิญกับการขับไล่ไสส่งอย่างรุนแรงเช่นนี้   ทุกคนต่างก็รู้สึกมืดแปดด้านและสับสนด้วยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
                         อองเดรยังคงโจมตีใส่ฮารีซันอย่างดุเดือดและไม่ลดละ   ข้างฮารีซันก็ได้แต่ยกโล่ขึ้นปัดป้องไม่สามารถจู่โจมกลับได้แต่อย่างใด   ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ กับฝ่ายตรงข้ามได้   จนที่สุดเมื่ออองเดรฟาดดาบเหมือนจะวัดพลังของอีกฝ่ายว่ายังเหลือแรงอีกสักแค่ไหน   ต่างฝ่ายต่างก็ยันกันด้วยแรด้วยแรงทั้งหมดที่มี
                         ฮารีซันรู้สึกได้ถึงไอเย็นจัดที่แผ่ซ่านมาจากดาบผลึกผ่านโล่มาสู่แขนของเขา   ความเย็นที่แทรกผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เขารู้สึกว่าแขนของเขาเริ่มเย็นจัด   หากอยู่นานกว่านี้อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าความเย็นคงเข้าไปแทรกถึงในกระดูก   และแขนของเขาคงจะต้องเริ่มชาและหมดความรู้สึกแน่   ฮารีซันสังเกตเห็นว่าโล่ของเขาเริ่มมีละอองคล้ายเกร็ดน้ำแข็งเกาะตามความโค้งของผิวโล่ทั้งด้านในและด้านนอก
                         “หยุดนะ  อองเดร!”
                         เสียงหญิงสาวดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงในทันที   และทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหญิงสาวผู้งดงาม ใบหน้าหมดจดและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี   ทว่าแววตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อมองมายังสภาพท่าเรือที่ถูกทำลายจนแทบพินาศย่อยยับเพราะชายทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้า   ฮารีซันเหลือบมองสตรีผู้มาใหม่แวบหนึ่ง   ก่อนจะมองกลับมาที่นายทหารตรงหน้าอีกครั้ง   แววตาของนายทหารมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป   ทันทีที่สตรีผู้มาใหม่เรียกชื่อเขา   นายทหารจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยแววตาแข็งกระด้างเย็นชาแต่เหมือนมีความลังเลอยู่ในใจ   ก่อนจะตวัดดาบเก็บเพื่อยุติการต่อสู้แทบจะทันที   สตรีผู้นี้คือใครกันหนอ? เพียงแค่คำพูดคำเดียวก็สามารถยุติการต่อสู้นี้ได้
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: March 01, 2007, 06:32:37 AM »

เม้าส์แตกที่นี่จ๊ะ


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=27952.0
« Last Edit: March 01, 2007, 05:52:42 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.106 seconds with 22 queries.