Summoner Master Forum
November 27, 2024, 05:42:01 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@  (Read 11556 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: June 03, 2006, 08:00:03 PM »

Chapter 44 น้ำตานางเงือก
[/size]


                           สายวันหนึ่งท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวกลางดินแดนทะเลทราย   ภายในอุทยานหลวงของจักรวรรดิซาโลมที่ดูจะชุ่มชื้นกว่าส่วนอื่น ๆ ในดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้   เจ้าชายองค์น้อยผู้เป็นรัชทายาทหนึ่งเดียวของจักรวรรดิกำลังประทับนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างสระน้ำขนาดย่อม ๆ ที่มีร่มเงาพอจะปกป้องผิวบาง ๆ ของเด็กชายให้พ้นจากพิษแดดที่แผดเผาได้พอสมควร   เจ้าชายน้อยดูจะเซื่องซึมและมีสีหน้าอมทุกข์ ไร้ความสุข เอาแต่จ้องมองผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกเพราะแรงลม
                           นาริส สุไลมาน ผู้ซึ่งยืนสังเกตดูอยู่ห่าง ๆ มาได้ครู่ใหญ่แล้วจึงอดเป็นห่วงไม่ได้   ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พระองค์ไม่ได้เล่นกับพวกบรรดาลูก ๆ ของเหล่าเสนาฯอำมาตย์และเริ่มเก็บตัวอยู่คนเดียวเช่นนี้   ทั้ง ๆ ที่เวลาอยู่ในห้องเรียนก็ดูกระตือรือร้นดี   เพียงแต่บางครั้งเท่านั้นที่พระองค์ดูเหม่อลอย   ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นเพราะพระโอรสทรงคิดถึงพระมารดามาก   เด็กเล็ก ๆ มักจะรู้สึกไวต่อความว้าเหว่เมื่อต้องอยู่ห่างกับแม่ผู้เป็นที่รัก   ต่อให้จะเข้มแข็งสักเพียงไรเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ   จะทนความกดดันเช่นนี้ไปได้สักกี่เดือนกัน   ถึงเขาดูแลอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังไม่อาจทดแทนความรักของผู้เป็นมารดาอย่างราชินีเนริมอร์ได้
มหาอำมาตย์เฒ่าเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ พระโอรสน้อยอย่างเงียบ ๆ พลางพิจารณาดูใบหน้าเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างกาย
                           เจ้าชายน้อยเมื่อรู้สึกถึงการมาของนาริสก็รีบเบือนหน้าแอบเช็ดคราบน้ำตาบนสองแก้มออกอย่างรวดเร็ว   แต่ก็ยังคงก้มหน้าอยู่เพื่อจะซ่อนรอยแดงที่ขอบตาและจมูกเพราะการร้องไห้ไว้
นาริสโอบหลังเจ้าชายน้อยด้วยความห่วงใยพลางลูบหลังช้า ๆ เอ่ยถามเสียงเบา ๆ
                           “คิดถึงพระมารดารึพ่ะย่ะค่ะ?”
                           เจ้าชายน้อยไม่ตอบแต่ใช้การพยักหน้าแทน
                           “เมื่อไหร่ เสด็จแม่จะกลับมา?“   เจ้าชายอิสฮานเอ่ยถามเสียงเบาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้า
                           “ถ้าเทียบกับเวลาที่พระองค์ทรงจากไป....นี่ก็คงใกล้เวลาที่จะเสด็จกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นาริสทูลตอบแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย   เขาไม่อยากให้เจ้าชายน้อยต้องรอคอยด้วยความกระวนกระวายเพราะความหวังเล็ก ๆ
น้อย ๆ จากคำพูดของเขาที่หยิบยื่นให้
                           “เราหมายถึงกลับมาจริง ๆ ต่างหาก   ไม่ใช่ไป ๆ มา ๆ อย่างนี้   เมื่อไหร่สงครามจะจบเสียที? “
                           เจ้าชายน้อยวางคางลงบนเข่าที่เขาคู้กอด เปรยด้วยน้ำเสียงอึดอัดและระทมทุกข์จนนาริสสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเจ้าชายที่เพิ่งจะอายุเต็มแปดชันษาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา   จะมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นทุกข์ลึกเกินเด็กธรรมดาเช่นนี้   ราวกับพระองค์กำลังแบกโลกทั้งใบไว้เลยทีเดียว   เมื่อนาริสยังไม่ได้ทันตอบอะไร   เจ้าชายน้อยก็เปรยเสียงเศร้า
                           “ถ้าเราไม่เกิดมาคงจะดีกว่านี้ใช่ไหม? ท่านนาริส“ เจ้าชายน้อยตรัสจบก็ทรงเบือนหน้าไปจ้องมองระลอกคลื่น   ทรงกัดริมฝีปากล่างแน่นเหมือนพยายามจะไม่ร้องไห้
                           “ฝ่าบาท ทำไมตรัสเช่นนั้น ? “   นาริสสัมผัสถึงดวงใจน้อย ๆ ที่กำลังจะแตกสลาย
                           เกิดความเงียบไปพักใหญ่เมื่อเจ้าชายน้อยเอาแต่นั่งนิ่งเม้มริมฝีปากแน่น   พระองค์ไม่ทรงเหลียวมองนาริสสักนิด   น้ำตาค่อย ๆ ไหลลงมาตามร่องแก้ม   มือน้อย ๆ กำแน่นจนสั่นเทิ้มด้วยพยายามอดกลั้นจนไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมา   เมื่อเจ้าชายยังคงไม่ยอมตรัสใด ๆ   นาริสจึงยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น
                           “ฝ่าบาท!?!”
                           “เพราะเราเป็นต้นเหตุของสงคราม   เพราะคำทำนายที่บอกว่าเราเป็นดวงอาทิตย์“   เจ้าชายน้อยระเบิดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดและอัดอั้นตันใจพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะซบหน้าลงกับเข่าทั้งสองข้างสะอึกสะอื้นจนตัวโยน   นาริสใจหายวาบรีบคว้าตัวเจ้าชายน้อยมากอดไว้รู้สึกสงสารพระโอรสจับใจ   พระองค์ยังเล็กเกินไปที่จะแบกรับความจริงนี้
                           “พระองค์ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ”   นาริสถามเมื่อเสียงสะอึกสะอื้นเริ่มเบาลง
                           “เรา...เรา...ฮึก” เจ้าชายน้อยพยายามหยุดเสียงสะอื้น ”เราได้ยินพวกนางกำนัลคุยกัน...พวกนาง...พวกนางเพิ่งจะเสียลูก สามีและญาติพี่น้องไปในสนามรบ   พวกนาง...ฮึก...พวกนางร้องไห้และพูดว่าเราเป็นเหตุ...เป็นเหตุแห่งความพินาศของผู้คนมากมาย”   ตรัสแล้วก็ทรงสะอื้นไห้อีกครั้งพลางทุบขาของตนครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนทรงรังเกียจตัวพระองค์เอง “เราไม่อยากเป็น! เราไม่อยากเป็น!”
                           
« Last Edit: June 03, 2006, 08:01:46 PM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: June 03, 2006, 08:02:14 PM »

                          นาริสกอดพระโอรสผู้เต็มไปด้วยความสับสนโยกตัวไปมาเพื่อปลอบประโลม   ได้แต่นึกขุ่นเคืองเหล่านางกำนัลในใจที่ช่างสับเพร่าจนไม่ระวังคำพูดให้มาเข้าหูพระโอรสได้   ทว่าใครเหล่าจะตำหนิพวกนางได้ในเมื่อเหตุที่กษัตริย์ซาดินตัดสินใจทำสงครามครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคำทำนายนั่นและก็เพื่อพระโอรสโดยแท้   นาริสรอจนเสียงสะอื้นเบาลงจึงเอ่ยขึ้น
                           “ฝ่าบาท   บางครั้งโชคชะตาก็ดูเหมือนจะโหดร้ายกับเรานัก   เวลานี้พระองค์ยังเล็ก   ยังไม่มีพลังมากพอที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้   สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมัน   แต่อนาคตเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้   เมื่อถึงเวลาที่พระองค์เติบใหญ่และมีพลังแข็งแกร่งกว่านี้   พระองค์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้   อย่าทรงโศกเศร้ากับโชคชะตาเลยพ่ะย่ะค่ะ   เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและก้าวผ่านมันไปให้ได้”
                           “เราไม่เห็นเข้าใจเลย   เรียนรู้ยังไง? ก้าวผ่านมันไปอย่างไร?” เจ้าชายน้อยทรงจับแขนนาริสเขย่า ถามด้วยความท้อแท้และจนหนทาง   เหมือนคนจมน้ำที่พยายามคว้าทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อให้พ้นจากความอึดอัดทรมาน  
                           “ยิ่งพระองค์ท้อแท้และหดหู่เช่นนี้   พระองค์ก็จะยิ่งไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรได้เลย   พระองค์ต้องเปลี่ยนความท้อแท้นี้ให้เป็นพลัง   ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้มากที่สุด   รอเวลาที่พระองค์จะได้เปลี่ยนแปลงแผ่นดินนี้ให้ดีขึ้น” นาริสประคองมือน้อย ๆ ทั้งสองของพระโอรสขึ้น “โชคชะตาจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยสองมือนี้ของพระองค์”
                           “เราต้องทำเหมือนเสด็จพ่อใช่มั๊ย?” เจ้าชายน้อยเบ้ปาก “ต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตา   เราต้องไม่เป็นเหมือนเสด็จปู่ที่ก้มหน้ารับโชคชะตาใช่มั๊ย?   แต่เราไม่อยากเป็นเหมือนเสด็จพ่อ” เจ้าชายน้อยเต็มไปด้วยความสับสน   ทรงหันไปหยิบก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนั้นปาลงสระน้ำอย่างแรงจนน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกกว้าง   ด้วยเพราะอึดอัดในความไร้กำลังและความสามารถของตัวเอง
                           มหาอำมาตย์เฒ่ารีบคว้าอุ้งมือที่กำลังจะเขวี้ยงก้อนหินอีกก้อนหนึ่งไว้และคลายมันออก “พระองค์ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยความรุนแรงเสมอไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ   การเป็นนักปกครองที่ดี   เราจะต้องรู้ว่าเวลาไหนควรอ่อนโยน   เวลาไหนควรแข็งกร้าวเด็ดขาด   ไม่ใช่แข็งกร้าวตลอดหรืออ่อนโยนตลอด”  
                           “ยากจัง   แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเวลาไหนต้องใช้แบบไหน?” เจ้าชายทรงขมวดคิ้วยุ่ง   สูดจมูกแรง ๆ เพราะมั่วแต่คิดตามคำพูดของมหาอำมาตย์นาริสจนทำให้น้ำตาแห้งไปอย่างรวดเร็ว
                           “เพราะอย่างนี้พระองค์ถึงต้องตั้งใจเรียนอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ   เพื่อที่พระองค์จะได้รู้ว่าสิ่งไหนควรจัดการอย่างไร” นาริสทูลยิ้มอย่างให้กำลังใจ   มองดูเจ้าชายน้อยค่อย ๆ เติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างเข้มแข็ง   ท่ามกลางความทารุณของสงคราม ความจริงที่แสนโหดร้าย การพลัดพรากและความเจ็บปวดจากผลแห่งสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า   ชะตากรรมเช่นนี้จะหล่อหลอมให้พระองค์กลายเป็นกษัตริย์ที่มีอุปนิสัยเช่นไร?   คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้   มหาอำมาตย์กระชับมือพระโอรสพร้อมกับดึงตัวเจ้าชายน้อยให้ลุกขึ้น “เอาล่ะ   ทีนี้ก็ได้เวลาที่ฝ่าบาทจะต้องเริ่มต้นเรียนรู้วิธีแยกแยะเรื่องต่าง ๆ แล้วพ่ะย่ะค่ะ   ซึ่งห้องทรงหนังสือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”
                           อิสฮานพยักหน้าเงียบ ๆ แม้จะยังคงมีแววหมองเศร้าอยู่บนใบหน้า   ก็ใครเล่าจะลืมคำพูดที่แสนเจ็บปวดนั้นไปได้   ทว่าพระองค์ก็ยอมให้นาริสจูงมือเดินออกจากอุทยานไปแต่โดยดี  

                           
                           กลางดึกในดินแดนอันแสนโหดร้ายเช่นนี้   เวลากลางวันก็ร้อนจนสุดขีดเช่นเดียวกับเวลากลางคืนที่หนาวเหน็บจนสุดขีดเช่นกัน   ในคืนเดือนมืดท่ามกลางอากาศที่หนาวจนถึงกระดูกของทะเลทรายแห่งจักรวรรดิซาโลมอย่างเวลานี้   ยามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ยิ่งทำให้บรรยากาศของทะเลทรายหนาวเหน็บยิ่งขึ้น   เจ้าชายน้อยแห่งราชวงศ์อิบริดประทับนั่งคุดคู้ทอดสายตาออกไปยังความมืดมิดภายนอกราชวังหลวง   พระองค์กระชับผ้าห่มแน่นอยู่ข้างหน้าต่างยอดโค้งที่หันหน้าสู่ทิศใต้   บานหน้าต่างฉลุถูกเปิดออกไปจนสุดทั้งสองบาน   ทั้งนี้ก็เพื่อที่พระองค์จะสามารถมองเห็นกองทัพหลวงได้ทันทีหากมีการยกทัพกลับนั่นเอง   แต่สายตาของพระองค์ก็จับภาพใด ๆ ไม่ได้มากไปกว่าแค่ความมืดในยามราตรี   ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าชายน้อยทรงประทับนั่งอยู่เช่นนี้จนดึกดื่นทุกคืน   พระองค์หวังจะได้เห็นเสด็จแม่และกองทัพของซาโลมที่เดินทัพกลับมา   พระองค์ทรงหดตัวลงด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องแหลมสูงของเฟียสเทอเรียน (Fierce Therion) สัตว์ดุร้ายแห่งท้องทะเลทรายที่มีปีกสีขาวขนาดใหญ่พร้อมกงเล็บสีแดงคมกริบและใบหน้าแข็งเหมือนหินสีแดงก่ำซึ่งออกหากินเฉพาะเวลาค่ำคืนที่ดึกสงัด   เสียงร้องของมันทำให้เจ้าชายน้อยต้องตัวสั่น   พระองค์ทราบดีว่าพระองค์ทรงปลอดภัยอย่างที่สุดเมื่ออยู่ในพระราชวัง   แต่ในความมืดเพียงลำพังพระองค์เดียวในห้องอันใหญ่โตเช่นนี้   ก็ทรงอดกลัวไม่ได้   เหมือนเด็ก ๆ ที่กลัวสิ่งเร้นลับในความมืดมิด   น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้น
                           “ถ้าเพียงแต่เสด็จแม่อยู่ที่นี่” เจ้าชายน้อยตรัสเสียงเบากระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้น   พยายามห่อตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้  
                           ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นที่ปลายหางตาของพระองค์   อิสฮานผวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ถอยหลังไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับความเย็นเชียบของกำแพง   พระองค์ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะวิ่งหนีออกจากห้องหรือจะยกผ้าห่มคลุมตัวให้มิดดี   แต่ก็ได้แค่คิดเพราะพระองค์ตกใจจนตัวแข็งไปทั้งตัว   จึงได้แต่ยืนนิ่งจ้องมองแสงสว่างตรงมุมห้องนั้นแทบจะทรงลืมหายใจ   ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองแสงวาบที่ค่อย ๆ จางลง   แต่ทันทีที่ดวงตาหายพร่า   รอยยิ้มก็ค่อย ๆ คลี่ออกจนกลายเป็นเสียงหัวเราะและตะโกนร้องอย่างดีใจสุดขีด
                           “เสด็จแม่!!”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: June 03, 2006, 08:04:43 PM »

                         “ฝ่าบาทเพคะ   ท่านราชครูโรซาน่าขอเข้าเฝ้าเพคะ”
                          เจ้าหญิงอลาน่าทรงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะพลางยิ้มให้นางกำนัล   “ขอบใจจ๊ะ   เชิญซิสเตอร์เข้ามาเลยนะจ๊ะ   ฉันตั้งใจว่าจะพักสายตาอยู่พอดี”
                          เมื่อนางกำนัลออกจากห้องไปแล้ว   เจ้าหญิงจึงทรงวางปากกาขนนกลง   ลุกขึ้นเดินตรงไปยังชุดเก้าอี้ที่อยู่ริมหน้าต่าง   ซึ่งมีชุดน้ำชาวางอยู่เรียบร้อยแล้ว   วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เจ้าหญิงต้องทรงงานชดเชยวันที่พระองค์ออกไปช่วยเหลือคนยากจนและผู้อพยพ   การตรวจเอกสารจำนวนมากในวันเดียวแทบจะสูบเอาความสดชื่นไปจากตัวของพระองค์   ดังนั้นการที่ซิสเตอร์โรซาน่ามาขอเข้าพบจึงนำความกระปรี่กระเปร่ากลับคืนมาให้พระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง   ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก   เจ้าหญิงก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี
                          “ยินดีต้อนรับที่สุดเลยคะ ซิสเตอร์โรซาน่า   ซิสเตอร์เหมือนเรือช่วยชีวิตที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยฉันก่อนที่จะจมมิดอยู่ในกองเอกสารเลย” เจ้าหญิงทรงหัวเราะเสียงใส “มานั่งดื่มน้ำชาด้วยกันตรงนี้สิคะ ซิสเตอร์”
                          ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มไม่เต็มที่นัก   เดินตรงไปยังเก้าอี้ข้างที่ประทับ   เจ้าหญิงทรงจับสังเกตได้ทันทีจึงขมวดคิ้วน้อย ๆ วางถ้วยน้ำชาลงที่ข้างซิสเตอร์
                          “มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าคะ?” เจ้าหญิงถามเสียงเครียดขึ้น “เรื่องผู้อพยพรึคะ?”
                          “ไม่ใช่หรอกเพคะ” ซิสเตอร์หยุดคิดครู่หนึ่งใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น “แต่ก็มีส่วนอยู่บ้าง   จริง ๆ แล้วก็เนื่องมาจากการที่สภาศาสนาและสภาขุนนางลงนามเห็นชอบในการใช้กฎหมายบังคับเวนคืนที่ดินนั่นแหละเพคะ   พระองค์ก็ทราบว่ารูฟัสนั้นมีสายคอยเป็นหูเป็นตาอยู่ทุกที่   รูฟัสรู้ดีว่าพระองค์ไปพบท่านคาร์ดินัลก่อนการเปิดประชุมสภา      และยังรู้อีกด้วยว่าพระองค์ต้องการที่ดินผืนนั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพมากแค่ไหน   เขาตั้งใจจะโก่งราคากับพระองค์เต็มที่อยู่แล้ว   แต่เพราะกฎหมายเวนคืนทำให้เขาไม่สามารถโก่งราคากับพระองค์ได้   ซ้ำยังถูกบังคับให้ขายตามราคาจริง   ค่าตอบแทนจากการชดเชยโกดังในพื้นที่นั้นก็น้อยนิด   แม้จะเป็นไปตามสภาพความเป็นจริงก็เถอะ   นิสัยพ่อค้าถ้าไม่ได้กำไรมาก ๆ ก็ไม่อยากจะขาย   ยิ่งเป็นรูฟัสด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่   เพราะทั้งเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ทั้งเสียหน้า ทั้งเจ็บใจ”
                          “ฉันทราบดีคะว่าสิ่งที่ฉันทำเหมือนเป็นการท้าทายเขา   ก็เราไม่อาจทำสิ่งใดให้ถูกใจคนทุกคนได้นี่คะ   ฉันเลือกที่จะทำประโยชน์ให้คนหมู่มาก   ดังนั้นคนที่เสียผลประโยชน์ก็เป็นธรรมดาที่ต้องแค้นเคือง   ฉันเตรียมใจไว้อยู่แล้วคะว่าจะต้องเจ็บตัวบ้าง”
                          “แต่รูฟัสยิ่งทียิ่งเล่นงานพระองค์หนักข้อขึ้นทุกวัน” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวด้วยเสียงวิตกกังวล    
                          “คราวนี้พ่อค้าใหญ่เล่นงานฉันอย่างไรคะ?” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยรอยยิ้มแม้เสียงจะเครียดขึ้น
                          “คราวนี้เขาถึงขนาดบั่นทอนความมั่นคงของสถานภาพเจ้าหญิงและตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของพระองค์”
                          “ซิสเตอร์ทราบได้อย่างไรคะ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างตื่นตระหนก
                          “หลายวันมานี้หม่อมฉันสังเกตเห็นทหารรักษาการณ์ออกเดินตรวจพื้นที่ถี่และมากเกินปกติ   ก็นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล   แล้วเมื่อวันก่อนตอนที่หม่อมฉันออกจากอารามหลวงมาได้สักพัก   หม่อมฉันก็ทันได้เห็นราชองครักษ์อองเดรกระชากคอชายคนหนึ่งลากถูลู่ถูกังไปตามพื้นก่อนจะเหวี่ยงขึ้นรถขังนักโทษอย่างไม่ปรานีปราศรัย   ถ้าลองราชองครักษ์โกรธได้ถึงขนาดนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์แน่   ซ้ำในรถยังมีคนที่ถูกจับอยู่ก่อนอีกสองสามคนด้วย   หม่อมฉันจึงให้คนเข้าไปสืบเรื่องนี้ดู   ถึงได้รู้ว่าคนพวกนั้นคือพวกที่ปล่อยข่าวเพื่อทำลายพระองค์”
                          “ข่าวเพื่อทำลายฉันรึคะ? ”  
                          “เพคะ   แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นมั่นเหมาะ   แต่ก็เชื่อได้ว่าเวลานี้รูฟัสส่งคนไปทั่วเมืองปล่อยข่าวว่าพระองค์เอาเงินภาษีของประชาชนชาวแอนดิซองมาผลาญใช้กับพวกต่างชาติ   แทนที่จะเอามาช่วยเหลือชาวแอนดิซองด้วยกัน   เพราะการใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินแปลว่าเราได้ใช้งบประมาณแผ่นดินในการจ่ายเงินชดเชยให้เจ้าของที่   อีกทั้งการเอางบประมาณแผ่นดินมาช่วยพวกต่างชาติก็ยังทำให้ประชาชนที่ยากจนในประเทศแอนดิซองเริ่มไม่พอใจด้วยเช่นกัน   เพราะพวกเขาเริ่มรู้สึกว่าความช่วยเหลือที่ควรเป็นของเขา   ตอนนี้กลับต้องแบ่งให้พวกต่างชาติ      ข่าวต่าง ๆ เหล่านี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองท่าและเริ่มไปถึงแผ่นดินใหญ่แล้วด้วย   สร้างความไม่พอใจให้ทั้งชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่หลงเชื่อเป็นอย่างมาก”
                          “ไม่อยากจะเชื่อเลย!” เจ้าหญิงทรงตกใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น   ใบหน้างามซีดขาวไร้สีเลือด “ทำไมเขาช่างแปลงเจตนาดีของฉันไปได้อย่างร้ายกาจอย่างนี้?”  
                          “เมื่อแรกเริ่มเดิมที   ทุกคนก็ล้วนแต่ชื่นชมกับสิ่งที่พระองค์ทำ   แต่พอมีคนมาจุดประกายความคิดที่ร้ายกาจเช่นนี้   พวกชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ต้องเสียภาษีก็เริ่มไม่พอใจ   ส่วนพวกคนจนคนจรจัด...พวกเขาไม่ได้เสียภาษี   ดังนั้นก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรพวกเขา   แต่พวกเขาเริ่มอิจฉาที่พวกต่างชาติได้รับความช่วยเหลือจากเงินภาษีอย่างเต็มที่”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: June 03, 2006, 08:06:41 PM »

                         “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ทำศูนย์ช่วยเหลือเพื่อผู้อพยพเท่านั้น   ฉันจะเปิดให้ชาวแอนดิซองที่ยากจนมีโอกาสเข้ามารับความช่วยเหลือด้วย   ฉันไม่เคยคิดจะแบ่งแยกพวกเขาอยู่แล้ว”
                          “ถ้าเช่นนั้นเราก็คงจะแก้ปัญหาชนชั้นล่างได้   และพวกเขาก็คงไม่คิดจะต่อต้านพระองค์อีก   แต่สำหรับพวกชั้นชนที่เสียภาษีจำนวนมาก   หม่อมฉันยังทราบมาว่าในหมู่ชนชั้นสูงเริ่มมีการปลุกปั่นยุยงให้มีการถอดถอนพระองค์แล้วเพคะ   ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้   ลำพังรูฟัสเองไม่น่าจะมีอำนาจพอที่จะยุยงบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงได้ขนาดนี้   แม้เวลานี้บรรดาขุนนางฝ่ายพระองค์จะยังมากกว่า แต่ต่างก็แบ่งเป็นสองฟักสองฝ่ายวุ่นวายกันไปหมด”
                          “เรื่องราวมันชักจะรุนแรงใหญ่โตมากขึ้นทุกทีนะคะ   เหมือนกับว่ายิ่งฉันออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่   ฉันก็ยิ่งถูกขัดขวางมากขึ้นเท่านั้น...” เจ้าหญิงตรัสพลางขมวดคิ้วลุกขึ้นตรงไปยังริมหน้าต่างห้อง   ทอดสายตามองไปยังบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่นอกเขตรั้ววัง
                          “ในยามที่มนุษย์เดือดร้อน ลำบาก ทุกข์ยากแสนเข็ญ และกำลังร้องหาพระเมตตาของพระเจ้าเช่นนี้   เจ้าพวกซิน(SIN)จ้าวแห่งความบาปชั่วช้าทั้งหลายก็อาศัยช่วงเวลานี้   พยายามใช้ความอ่อนแอและความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์มาทำให้มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้าอย่างสุดกำลังเช่นกัน” ซิสเตอร์โรซาน่าเอ่ย “ยิ่งพระองค์นำพระพรของพระเจ้ามาสู่มวลมนุษย์และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเช่นนี้   พวกซินก็ยิ่งโกรธเกลียดพระองค์มากขึ้นเป็นทวีคูณ   และค่อยหาโอกาสที่จะเล่นงานพระองค์โดยอาศัยคนรอบข้างพระองค์นี่แหละเป็นอาวุธ   พระองค์อย่าเพิ่งกลัวหรือท้อแท้หมดกำลังเลยนะเพคะ   พระเจ้าไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของพระองค์ต่อสู้เพียงลำพัง”
                          “ฉันไม่กลัวและไม่คิดที่จะยอมแพ้พวกซินหรอกคะ” เจ้าหญิงทรงหันมายิ้มตอบอย่างกล้าหาญ “ฉันก็จะยิ่งช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากขึ้นและมากขึ้นไปอีก   ฉันหวังแต่เพียงว่าบรรดาคนที่ตกเป็นเครื่องมือของซินจะรู้ตัวสักวันว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่”                
                          ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มอย่างชื่นชม   พระองค์ไม่เคยกล่าวโทษใคร ไม่เคยย่อท้อที่จะทำความดี และไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเหลือทุกคน   จะมีเจ้าหญิงพระองค์ใดที่ประเสริฐเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้อีก  
                          “หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะที่ได้ยินเช่นนั้น   การให้อภัยเป็นสิ่งประเสริฐ   แต่การรักแม้กระทั่งศัตรูนั้นประเสริฐยิ่งกว่า   พระองค์เป็นห่วงเขาที่ตกอยู่ใต้อำนาจซินจนมองข้ามความผิดของเขาได้   แสดงว่าหัวใจของพระองค์เปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า”
                          “ไม่หรอกคะซิสเตอร์   ฉันยังเป็นมนุษย์ธรรมดายังมีอารมณ์โกรธโมโหอยู่   แต่ถ้าฉันมั่วแต่จมอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น   ฉันจะทำกิจการที่ดีงามใด ๆ ไม่ได้เลย” เจ้าหญิงทรงยิ้มกว้างขึ้น “เราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่าคะ   เรามาหาวิธีจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้กันดีกว่า   สรุปว่าถ้าฉันไม่ใช้เงินภาษีของพวกเขาก็เป็นพอใช่มั๊ยคะ?   จู่ ๆ ฉันก็มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาภายในสมองของฉันคะซิสเตอร์   และมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเชียวคะ”
                          เจ้าหญิงทรงเดินกลับมายังที่ประทับและเริ่มเล่าถึงแผนของพระองค์      


s
[/b]

   
                          “แกพูดว่าอะไรนะ!?” เสียงหญิงสาวตะโกนอย่างเกรียวกราด   ทำเอาเจ้าของบ้านร่างอ้วนสะดุ้งโหยงรีบเหลียวซ้ายแลขวาด้วยเกรงว่าจะใครได้ยิน
                          “ท่านจะเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม? “  
                          “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า   ข้าเป็นถึงพระญาติสนิทขององค์กษัตริย์นะ!” วิโอเรียยังคงใช้เสียงระดับเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน
                          พ่อค้าร่างยักษ์หน้าแดงด้วยความโกรธแต่แล้วก็กลายเป็นซีดขาวด้วยความกลัวสลับไปมา   ได้แต่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพยายามปรามเสียงของหญิงสาวให้เบาลง “ข้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าท่านมาที่นี่   ถึงขนาดให้บรรดาคนรับใช้ลงไปที่เรือนหลังเล็กจนหมด   แต่เสียงตะโกนของท่านพาลจะได้ยินกันทั้งคฤหาสน์แล้วกระมัง?”
                          หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงได้เบาเสียงลง “ข้าลืมไปเสียสนิทเลย   มัวแต่ตกใจกับข่าวของเจ้า   บ้าที่สุด...ทำไมอลาน่าถึงเจ้าเล่ห์อย่างนี้   ฉันเกือบจะได้ทุกอย่างมาอยู่ในมือแล้วเชียว”
                          “ข้าก็ไม่นึกว่าจู่ ๆ เจ้าหญิงนั่นจะประกาศโครมออกมาว่าจะใช้ทรัพย์สินส่วนตัวออกมาซื้อที่ดินนี้   การใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์อย่างนี้   นอกจากจะไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินแล้ว   ยังทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงนั่นสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว แล้วแถมประกาศอีกว่าจะจัดสรรที่ส่วนหนึ่งตรงนั้นสำหรับคนจน พวกเร่ร่อนจรจัดในแอนดิซองด้วย แบบนี้มีแต่คะแนนนิยมจะพุ่งขึ้นเท่านั้นเอง   ข้าอุตส่าห์ลงทุนลงแรงสร้างกระแสต่อต้านเจ้าหญิงไปตั้งเท่าไหร่   ดูสิ!เสียแผนหมด   เสียเวลาจริง ๆ ” รูฟัสกล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียด
[/size]
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: June 03, 2006, 08:08:07 PM »

                        “แต่อลาน่าไม่น่าจะมีทรัพย์สมบัติเยอะแยะขนาดนั้นนี่   ข้ารู้ว่าหล่อนแทบจะไม่มีสมบัติล้ำค่าใด ๆ เลย   ห้องของหล่อนยังเหมือนแค่ห้องนอนของยาจกเลย   ห้องของข้าสิหรูหรากว่าเป็นไหน ๆ “ วิโอเรียกระหยิ่มอย่างชอบใจ
                         “ท่านประมาทเจ้าหญิงนั่นเกินไปแล้ว   เจ้าหญิงจะเอาสมบัติส่วนพระองค์ออกมาประมูล   แล้วถ้าการประมูลครั้งนี้สำเร็จละก็   คะแนนนิยมคงยิ่งท่วมท้น   แล้วยิ่งถ้าโครงการที่วางไว้สำเร็จ   นอกจากตำแหน่งเจ้าหญิงแสนดีในดวงใจของประชาชนจะไม่ถูกเราทำลายแล้ว   ยังจะยิ่งพุ่งขึ้นไปจนไม่มีใครลากหล่อนลงมาได้อีก” รูฟัสพูดเสียงรอดไรฟันด้วยความเจ็บแค้น  
                         “แล้วหล่อนเอาสมบัติอะไรมากมายมาประมูลกัน?” วิโอเรียสะบัดเสียงถามอย่างฉุนเฉียว
                         “ส่วนใหญ่จะเป็นสมบัติที่ได้รับพระราชทานหรือไม่ก็เป็นของกำนัลจากพวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด   และมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีค่ามหาศาลเป็นหนึ่งในของมีค่าไม่กี่อย่างที่หาไม่ได้อีกแล้วในอาณาจักรนี้   นั่นก็คือ...” รูฟัสกล่าวด้วยเสียงมาดมั่น “น้ำตานางเงือก(The Tear of Mermaid)”
                         “น้ำตานางเงือกหรือ? ทำไมถึงมีค่านัก? มีนางเงือกอยู่ในมหาสมุทรเยอะแยะไป” วิโอเรียเบ้ปากยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง
                         “นี่ท่านไม่รู้อะไรจริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่?” รูฟัสชักจะหงุดหงิด พลางคิดว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ประสาอะไรถึงไม่รู้จักน้ำตานางเงือก “น้ำตานางเงือกคืออัญมณีต่างหากล่ะ   มันคือเพชรสีน้ำเงินเข้มรูปหยดน้ำขนาดใหญ่   ใหญ่มากเสียจน...โอ้...มันอยู่ในอุ้มมือทั้งสองของข้าได้พอดีเลย   ข้าอยากจะใช้สองมือนี่ถือมันไว้ทั้งวันทั้งคืนเลยเชียวล่ะ” รูฟัสใช้สองมือทำท่าเหมือนถืออัญมณีในจินตนาการไว้หลับตาพริ้มอย่างฝันหวาน
                         “อลาน่าได้มันมาได้ยังไงกัน?” วิโอเรียถาม เริ่มมีน้ำโหเมื่อรู้ว่าอลาน่ามีของที่ล้ำค่ามากกว่าที่ตนมีอีกแล้ว
                         รูฟัสเหมือนโดนฉกน้ำตานางเงือกออกไปจากมือในทันทีทันใดเมื่อได้ยินวิโอเรียถามเช่นนั้น   พ่อค้าร่างอ้วนชักอารมณ์บูด “ท่านควรจะสนใจเรื่องอื่นรอบ ๆ ตัวบ้างนะ   ท่านไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับน้ำตานางเงือกสักอย่างเดียว”
                         “ถ้าเจ้าปากมากอีกทีละก็   ข้าจะร่ายมนตร์แช่แข็งเจ้าแล้วโยนลงทะเลน้ำแข็งไปเสียเลย   ว่าอย่างไร? อลาน่าได้มันมาได้อย่างไร?” วิโอเรียขึ้นเสียงข่มอย่างวางอำนาจ
                         รูฟัสหน้าบูดโมโหที่หญิงสาววัยคราวลูกวางอำนาจใส่   แต่เขาก็รู้ดีว่าหากร่วมมือกับวิโอเรีย   แผนการของเขาก็จะง่ายขึ้น   เพราะเธอมีอำนาจมากพอสมควร   โดยเฉพาะกับบรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ “น้ำตานางเงือกนั้นเป็นสมบัติของตระกูลโอดิลอน(Odilon)   ซึ่งได้ถวายเป็นของกำนัลแด่เจ้าหญิงตั้งแต่เมื่อคราวที่รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทน”
                         “ข้าจะต้องได้มันมา   น้ำตานางเงือกต้องเป็นของข้า” วิโอเรียประกาศ
                         “แต่...แต่ข้าก็อยากได้มันเหมือนกันนะ” รูฟัสใจหายวาบเมื่อคิดว่ามีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาอีกคน
                         “เจ้าจะเอาไปทำอะไร? เพชรพลอยเจ้าก็มีอยู่เยอะแยะแล้วไม่ใช่รึ?” วิโอเรียหัวเราะเสียงแหลมชี้ไปที่อกเสื้อและที่มือทั้งสองข้างของรูฟัส “เจ้าจะเอาไปห้อยไว้ที่ไหนอีก   ไม่มีที่ให้เจ้าประดับเพิ่มได้มากไปกว่านี้แล้ว”
                         “แล้วท่านล่ะ? ท่านจะเอาไปทำอะไร? ท่านถือมันทั้งวันไม่ไหวหรอก” รูฟัสพยายามต่อ
                         “ใครว่าข้าจะถือมันทั้งวันล่ะ เจ้าอ้วน? ฉันไม่ได้สนใจมากมายนักหรอกว่ามันวิเศษขนาดไหน   แต่ของ ๆ อลาน่าข้าจะต้องได้มันมา   ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร...ข้าจะต้องมีเหมือนกันและต้องมีมากกว่าด้วย”
                         “ถ้าอย่างนั้น   เราหาทางกำจัดคนที่หมายตาน้ำตานางเงือกก่อนดีกว่า   ของชิ้นอื่น ๆ แม้จะมีค่า   แต่ไม่น่าจะมีราคาสักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับน้ำตานางเงือกซึ่งคงมีมูลค่ามหาศาลทีเดียว   แค่ชิ้นเดียวก็คงพอจะซื้อที่ดินและโกดังทั้งหมดในแถบนั้นได้เลย   เราต้องช่วยกันกดราคาให้ต่ำที่สุด   แล้วจากนั้นเราค่อยมาตกลงกันว่าใครจะได้น้ำตานางเงือกไป” รูฟัสเสนอความคิดทันทีโดยไม่ทิ้งลายพ่อค้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองให้มากที่สุด
                         “ก็ได้   ยังไงก็ต้องทำให้การประมูลครั้งนี้ล้มเหลวให้ได้ก่อน   ไม่งั้นความนิยมในตัวอลาน่าคงท่วมท้นอีกแน่” วิโอเรียกัดเล็บอย่างเจ็บใจ “เจ้าไปสืบมาให้ได้ว่ามีใครจะไปงานประมูลครั้งนี้บ้าง   ที่เหลือข้าจัดการเอง”

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: June 03, 2006, 08:09:16 PM »

                       ภายในอารามประจำคณะของซิสเตอร์โรซาน่า   วันนี้เจ้าหญิงทรงมาอธิษฐานภาวนาเพื่อให้การประมูลในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าประสบความสำเร็จอย่างดี   อารามแห่งนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาอธิษฐานภาวนาด้วยเช่นกัน   แต่คนที่มาก็แลดูบางตาเพราะไม่ใช่อารามหลวงและเป็นอารามที่ค่อนข้างเงียบสงบ   ขณะที่เจ้าหญิงอลาน่ากำลังคุกเข่าภาวนาอยู่นั้นเอง   ซิสเตอร์โรซาน่าก็เดินตรงมาทางพระองค์ฝีเท้าแต่ละก้าวดูเชื่องช้าแต่ก็สม่ำเสมอ
                        “ท่านเสนาบดีกระทรวงศึกษามาแล้วเพคะ” ซิสเตอร์กล่าวเบา ๆ ขณะที่เดินผ่านพระองค์ไปทางประตูข้างโบสถ์และหายเข้าไปในนั้น
                        เจ้าหญิงอลาน่าทรงเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ   รออยู่อีกหลายอึกใจก่อนจะลุกจากไปเงียบ ๆ สู่ห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้

                        “ถวายบังคมฝ่าบาท” เสนาบดีวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานโค้งคำนับ   ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้แก่ซิสเตอร์โรซาน่าซึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ ที่มุมห้อง “ท่านราชครู”
                        “ตามสบายเถอะคะ ท่านเสนาฯ” เจ้าหญิงผายมือเชื้อเชิญไปทางเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ “คาดว่าท่านคงพอจะทราบว่าฉันเชิญท่านมาด้วยเรื่องอะไร?”
                        “พ่ะย่ะค่ะ   เรื่องน้ำตานางเงือกที่พระองค์จะทรงนำออกประมูล” เสนาบดีจากตระกูลโอดิลอนทูลตอบ
                        “ฉันหวังว่าตระกูลโอดิลอนจะเข้าใจในความจำเป็นของฉัน” เจ้าหญิงตรัสเสียงเบา
                        “ตระกูลโอดิลอนทุกคนเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ   เราชื่นชมที่พระองค์ทรงเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์และยินดีช่วยเหลือพระองค์อย่างเต็มที่เช่นกัน   เพียงแต่เราไม่อาจให้น้ำตานางเงือกตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่เหมาะสม”
                        “เรื่องนี้เราจำเป็นต้องขอให้ท่านเป็นตัวแทนของฉัน   เพื่อชี้แจงตระกูลโอดิลอนให้เข้าใจถึงทางเลือกอันน้อยนิดที่ฉันมี   ฉันเข้าใจว่าน้ำตานางเงือกมีค่าและมีความสำคัญมาก” เจ้าหญิงพยายามอธิบายถึงความจำเป็นของพระองค์
                        “ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท   ในที่ประชุมของตระกูลโอดิลอน   ทุกคนมีมติให้กระหม่อมเป็นตัวแทนของตระกูลในการประมูลน้ำตานางเงือกกลับคืนมา   ไม่ว่าจะใช้เงินมากแค่ไหนก็ตาม” เสนาบดียิ้มตอบอย่างมีความหมาย
                        “โอ้...” ดวงหน้าอันงดงามที่เต็มไปด้วยความเครียดเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เบิกบานขึ้นในทันทีที่เข้าใจในความนัยนั้น “ขอบคุณพระเจ้า   ขอบคุณสวรรค์ที่ทรงส่งท่านมาแจ้งข่าวที่น่ายินดีแก่ฉันในวันนี้คะ   ฉันกำลังวิตกอยู่เชียวเพราะได้ข่าวว่าทางรูฟัสกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง   ซึ่งคงไม่พ้นเรื่องกดราคาการประมูลในครั้งนี้”
                        “พ่ะย่ะค่ะ   กระหม่อมเพิ่งได้รับเทียบเชิญให้ไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านของเขาวันนี้เอง” เสนาบดีทูลตอบ “กระหม่อมตั้งใจจะส่งสารปฏิเสธเขาไปเย็นนี้”
                        “อย่าเพิ่งคะ” เจ้าหญิงรีบร้องห้าม “ฉันอยากจะขอความร่วมมือจากท่านอีกสักหน่อย”
                        “พระองค์ต้องการให้กระหม่อมรับคำเชิญของรูฟัสหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เสนาบดีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย  
                        “ฉันอยากให้ท่านรับคำเชิญ และแสร้งตกลงกับทุกแผนที่เขาวางไว้คะ   ฉันเกรงว่าถ้าท่านปฏิเสธเขา   เขาคงจะต้องดิ้นรนทางวิธีอื่นเพื่อที่จะก่อกวนงานประมูลในครั้งนี้”
                        “โอ้   กระหม่อมเข้าใจแล้ว” เสนาบดีกล่าวและยิ้มขำเมื่อนึกถึงแผนดัดหลังพ่อค้าใหญ่ในครั้งนี้ “การประมูลในครั้งนี้คงจะสนุกน่าดูชมทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกล่าวจบก็ลุกขึ้น “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมคงต้องรีบกลับไปเตรียมตัวสำหรับอาหารค่ำมื้อนี้เสียแล้ว”
                        “ท่านเสนาฯ   ฝากบอกทุกคนด้วยนะคะว่าฉันขอบคุณและซาบซึ้งในน้ำใจของโอดิลอนอย่างยิ่ง” เจ้าหญิงย่อเข่าลงด้วยความขอบคุณอย่างจริงใจ
                        “มิได้ฝ่าบาท” เสนาบดีรีบย่อตัวลงเช่นกัน “ตระกูลของเรายินดีที่ได้มีโอกาสรับใช้พระองค์   แต่กระหม่อมจะนำคำขอบคุณของฝ่าบาทไปถึงทุกคนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”  
                        “ขอบคุณคะ ท่านเสนาฯ” เจ้าหญิงตรัสอีกครั้ง ก่อนที่ท่านเสนาบดีจะโค้งคำนับและจากไป
                        “พระเจ้าทรงเมตตาฉันเสมอเลยนะคะ” เจ้าหญิงตรัสเมื่อประตูปิดลงสนิท
                        “พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งผู้ที่วางใจในพระองค์เพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลตอบอย่างยินดี
   
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: June 03, 2006, 08:09:45 PM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่เลยนะจ๊า~~~~~~~~


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=21817
« Last Edit: June 03, 2006, 08:12:02 PM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.108 seconds with 22 queries.