Summoner Master Forum
October 08, 2024, 03:32:45 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: แต่งไปคลายเครียด"The Clock Reback Time"  (Read 3046 times)
0 Members and 6 Guests are viewing this topic.
Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« on: February 18, 2006, 03:05:27 AM »

*นี่เป็นฟิคเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาเองโดยอาศัยเหตุการณ์ช่วงระหว่างEp10-11นะครับและพื้นที่ในแผนที่อาณาจักรนี้ผมก็ขอเปลี่ยนนิดนึงถ้าเนื้อเรื่องสร้างความไม่พอใจให้ใครก็ต้องขอโทษด้วย

ตอนที่0 การเปลี่ยนแปลงใหม่แห่งซาโลม

หลังจากที่บลาสเซจและเหล่าจอมปีศาจโฉดชั่วซินทั้ง9ได้ถูกทำลายไปอาณาจักรซาโลมได้กลับสู่ความสงบสุขภายใต้การปกครองอย่างชอบธรรมของทายาทที่ถูกต้องอย่างอิสฮาน

"ฝ่าบาททรงตรัสอะไรออกมา?"
เหล่าอำมาตน์รวมถึงเหล่าแม่ทัพทหารเจนศึกต่างมีสีหน้าตกใจที่แสดงออกมาเห็นได้ชัดเจนผิดกับกษัตริย์หนุ่มในชุดสีขาวบนบัลลังค์ทองคำที่แต่งใหม่ด้วยผ้าสีขาวและกางเขนสีทองที่มีติดอยู่ตรงเหนือกับบัลลังค์สีทองซึ่งพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบเงียบ

"ก็อย่างที่เราได้กล่าวให้ท่านได้ทราบกันไปนั้นแหละว่าเรานั้นคิดว่าการที่เราจะทำการปกครองพื้นที่อันกว้างไกลของซาโลมนั้นก็ทำได้ยากลำบากและบางครั้งการช่วยเหลือก็ยังส่งไปไม่ถึงเท่าที่ควรเราจึงคิดว่าเราน่าที่จะทำการแยกแคว้นต่างๆออกเป็น5แคว้นด้วยกันและให้แต่ละแคว้นได้มีอิสระในการปกครองกันเองโดยที่มีแคว้นเขตซาโลมของเราสุดเขตไปถึงแคว้นลาซาลเป็นศุนย์กลางของดินแดนทะเลทรายแห่งนี้"


"แต่ฝ่าบาทการที่เราได้แบ่งดินแดนออกไปเป็นแค้วนต่างๆมากถึง5แคว้นแบบนี้แคว้นแต่ละแห่งอาจเกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกันก็เป็นได้ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงอาจเกิดการนองเลือดขึ้นมาอีกก็เป็นได้นะฝ่าบาทและถ้าหากอาณาจักรอื่นๆไม่ว่าฟีเลเซีย  ฟูดินันและแอนดิซองเกิดยกทัพมาตีเราแล้วตอนนั้นเราก็มิอาจต่อต้านอะไรได้เลย"

เหล่าที่ปรึกษาต่างพูดยกเหตุผลมาอ้างแต่สีหน้าของกษัตริย์หนุ่มก็มิได้วิตกอะไรเลย

"พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงอันใดไปหรอกตอนนี้ทางฟูดินันมีท่านฮาริสันปกครองถ้าเป็นท่านผู้นี้ก็ย่อมไม่ต้องเป็นห่วงอันไดไปว่าฟูดินันจะยกทัพมาเพราะข้ารู้ดีว่าชาวฟูดีนันเป็นยังไง"

"ถ้าหากที่ฝ่าบาทกล่าวมาพวกข้าก็สบายใจแต่พวกข้าหวั่นใจที่ทางแอนดิซองและฟีเลเซียมากกว่าเพราะว่า2อาณาจักรนี้ขึ้นชื่อในด้านทั้งการรบและเศรษฐกิจเลยทีเดียงถ้าหากในอาณาจักรนั้นเกิดมีผู้มีอำนาจต้องการทวงอะไรจากเราถ้าเราปฏิเศษพวกเขาไปทางเราจะเป็นอันตราย"

กษัตริย์หนุ่มมิได้มีท่าทางวิตกกังวลอะไรเลยกลับนั่งยิ้มอย่างสบายใจซะอีก

"ที่ฟิเลเซียน่ะพวกเค้าต่างเป็นยอดนักรบผู้ทรนงค์ตัวพวกเค้าถ้าจะยกทัพมาเพื่อจัดการเราพวกเค้าเหล่านั้นก็คงต้องหาสาเหตุกันเพื่อส่งสานท้ามาทางเราแน่นอนแต่ในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะทางเราก็ไม่ได้จะมีอะไรไปเพื่อทำร้ายอะไรเค้าถ้าเราไม่ไปทำอะไรเค้าก่อนเค้าก็ไม่ทำอะไรเรา"

"ที่ฝ่าบาททรงตรัสมาก็ถูกต้องแต่ทางแอนดิซองนี่สิเพราะทางอาณาจักรนั้นก็ได้รับผลกระทบจากการให้การสนับสนุนในคราวที่ท่านซาดีนทรงยกทัพไปตามคำยุแหย่ของบลาสเซจพวกเค้าอาจต้องการเรียกร้องอะไรมาก็เป็นได้"

"ถ้าเป็นทางด้านนั้นไม่ต้องห่วงอะไรเพราะท่านอลาน่ายังคงอยู่ในอาณาจักรนั้นคอยให้การช่วยเหลือพวกผู้คนยากไร้ตราบเท่าที่ท่านอลาน่ายังคงอยู่พวกแอนดิซองก็คงไม่อาจทิ้งเมืองมาได้หรอกเพราะท่านออนเดรก็คงไม่วางใจที่จะเดินทางระยะใกลโดยให้ท่านอลาน่าอยู่ดูแลคนยากไร้ด้วยมือท่านเองตลอดไปหรอก"
สิ้งคำพูดของอิสฮานเหล่าอำมาตน์ต่างมีสีหน้าผ่อนคลายสบายใจกันมากขึ้นยกเว้นเหล่าทหารแม่ทัพเจนศึกที่ยังคงมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่

"ฝ่าบาท!ขอประทานอภัยแต่ดินแดนซาโลมแห่งนี้นั้นท่านซาดินได้อุตสาหะพยายามเพื่อรวบรวมแคว้นต่างๆจนในที่สุดก็ได้ก่อตั้งอาณาจักรนี้ขึ้นมาได้สำเร็จแต่แทนที่ท่านจะทำการนึกถึงอนาคตของซาโลมด้วยการขยายพื้นที่ครอบครองแต่ท่านกลับกล่าววาจาอิจสตรีแบบนี้ท่านไม่คิดว่ามันจะดูน่าสมเพซเกินไปหรือพระย่ะค่ะ"

"บังอาจ!!เจ้าบังอาจพูดวาจาเสียงสีดูถูกใส่ฝ่าบาทถึงเพียงนี้สิ่งที่ท่านทรงกำลังจะทำอยู่นั้นก็เพื่อวามสงบสุขยืนยาวของอาณาจักรเราแต่เจ้ากลับมาวางอำนาจโต้เถียงแบบนี้มีเจตนาก่อกบฏรึยังไง?"

ฟาดริดที่สวมเสื้อที่มีผ้าสีขาวพาดตัวโชว์แขนเหล็กที่มีเล็บคมกริบซึ่งยืนอยู่ทางขวาของบัลลังค์ทองคำที่อิสฮานนั่งอยู่ลุกขึ้นพูดเสียงดังและทั้ง2ต่างจ้องมองสายตาซึ่งกันและกัน

"เอาล่ะๆพอก่อนเถอะท่านทั้ง2ท่านฟาดริดและท่านเซราล*(ตัวละครแต่งเอง)ท่านทั้ง2ต่างเป็นยอดนักรบของซาโลมในเรื่องนี้ข้ารู้ดีท่านเซราล..ท่านไม่รู้รึยังไงว่าการทำสงครามเพื่อการขยายดินแดนและอำนาจแบบที่ท่านกล่าวสิ่งนั้นแหละจะทำให้อนาคตและสันติสุขของชาวซาโลมทุกคนต้องสูญสิ้นไปชาวเมืองต่างต้องทนเข็ญกับความยากลำบากของสงครามแม่ลูกต้องพรากจากกันบิดาบางคนโดนไปเกณท์เป็นทหารต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนท่านคิดถึงพวกเค้าเหล่านั้นบ้างรึเปล่าว่าความรู้สึกของพวกเค้านั้นต้องเป็นมายังไงบ้างข้าว่าท่านน่าจะเคยเห็นภาพเช่นนั้นมาแล้วบ้าง"

แม่ทัพหนุ่มถึงกับหน้าถอดสีพูดโต้เถียงไม่ออกด้วยเหตุผลที่ดูเป็นธรรมและยอมรับได้

"เอาล่ะข้าจะขอกล่าวต่อที่ท่านบอกมานั้นเราเข้าใจว่าท่านเป็นห่วงว่าซาโลมจะเป็นเช่นใรล่ะสิเรื่องนั้นท่านไม่ต้องห่วงอะไรการที่ข้าได้แบ่งแคว้นต่างๆนั้นก็ไม่ใช่ว่าทางเราหมดอำนาจอะไรแต่เพียงแต่ว่าข้าว่าอำนาจนั้นการที่เราเป็นผู้ปกครองเพียงผู้เดียวนั้นทำให้เกิดปัญหาต่างๆซะมากกว่าดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาวข้าจึงได้ทำการแบ่งแคว้นต่างๆออกเป็น5แคว้นและให้แต่ละแคว้นต่างส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้แก่เราทุกๆ3ปีพอและแน่นอนทางเราเองก็ต้องส่งไปให้แก่ทางนั้นด้วยเพื่อแสดงถึงความเป็นมิตร"

"สำหรับในเรื่องทางการทหารนั้นข้าต้องขอรบกวนท่านฟาดริดช่วยเป็นมือให้แก่ข้าด้วย"

"ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับใช้ฝ่าบาทพะย่ะค่ะข้าขอสาบานต่อหน้าความศรัทธาในตัวพระองค์และพระผู้เป็นเจ้าว่าข้านั้นจะทำให้เหล่าทหารมีความสงบกันในกองทัพได้โดยข้าขอเอาหัวของข้าเป็นประกัน"

ฟาดริดคุกเข่าก้มหน้าพูดซึ่งอิสฮานก็เข้าไปดึงตัวฟาดริดขึ้นมาจากท่านั่งคุกเข่า

"ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ข้ารู้ว่าท่านจงรักภักดีขนาดใหนข้าจึงต้องขอฝากเรื่องนี้ใว้ให้แก่ท่านด้วยยังไงเรื่องนี้ถือว่าสำคัญต่อพวกเราทุกคนมากข้าขอฝากท่านด้วยท่านฟาดริด"

ฟาดริรสีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้า

"พะยะค่ะ"

"เอาล่ะจากที่ข้าไปบอกกล่าวไปแล้วตอนนี้ก็อย่างที่ข้าบอกถึงยังไงข้าก็ต้องขอให้พวกท่านช่วยเป็นแรงให้แก่ข้าด้วย"อิสฮานก้มหัวให้แก่เหล่าอำมาตและแม่ทัพจนเหล่าอำมาตและแม่ทัพตกใจในท่าทีของกษัตริย์หนุ่มผู้นี้

"ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองพวกท่านทุกคน"

"ขอบพระทัยฝ่าบาท"
เหล่าอำมาตและแม่ทัพทุกคนคุกเข่ากราบเป็นเสียงเดียวกัน
Logged


Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« Reply #1 on: February 18, 2006, 02:27:43 PM »

ตอนที่1
เตรียมกลับบ้านที่คิดถึง

หลังจบสิ้นการประชุมในห้องท้องพระโรงด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่อิสฮานได้กล่าวออกมาทำให้เหล่าทั้งบรรดาแม่ทัพอำมาตต่างต้องรีบไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายแม้แต่อิสฮานเองก็ไม่เว้นที่จะเข้าไปดูและปรึกษากับเหล่าอำมาตต่างๆผิดกับพระบิดาของเขาลิบลับที่จะปล่อยให้หน้าที่อย่างนี้เป็นของท่านนาริส สุไลมานและท่านแม่เนริมอร์ส่วนตนเองก็จะเข้าไปเปรอปนความสุขในฮาเร็ม

"อย่างที่เราบอกท่านไปเราขอให้ท่านทำการยกเลิกฮาเร็มอะไรนั้นทิ้งไปซะแล้วส่วนนางบำเรอทั้งหลายก็ขอให้พวกนางกลับบ้านเกิดของตัวเองส่วนค่าใช้จ่ายอะไรนั้นข้าจะขอรับผิดชอบเอง"
อิสฮานบอกแก่ข้าใช้สตรีนางนึงซึ่งข้าใช้คนนั้นก็ก้มหัวตอบและรีบเดินออกไป

"อ้อท่านอำมาตกระทรวงกลาโหมข้าขอฝากท่านไปแจ้งแก่ประชาชนด้วยว่าทางราชสำนักของดเก็บค่าภาษีเป็นเวลา1ปีแรกและจะขอเก็บแค่ครึ่งเดียวเป็นเวลา3ปีหลังจากนั้นก็จะขอมาเก็บตามแบบปกติเพื่อให้ประชาชนได้มีการเก็บเกี่ยวและสร้างรายได้เต็มที่เพื่อการฟื้นฟูจากสภาวะสงครามและขอให้ท้องพระคลังสำรวจจำนวนเงินที่มีอยู่และรวมถึงเสบียงต่างๆด้วยและคำนวนให้พอเหมาะแก่ช่วงเวลา4ปีด้วยถ้ายังมีเหลืออยู่ก็จงนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่กำลังทุกข์ยากซะ"

"แต่ฝ่าบาทหากกระทำอย่างที่พระองค์กล่าวมานั้นทางราชสำนักเงินในท้องพระคลังอาจร่อยหรอก็เป็นได้นะพะย่ะค่ะ"

"ถ้าเงินต้องร่อยหรอแต่ประชาชนอยู่ดีมีสุขข้าว่ามันก็คุ้มค่าออกและท่านก็อย่าลืมด้วยล่ะว่ากำหนดการสร้างโบสถ์และพระวิหารสำหรับสักการะนั้นก็ให้สร้างอย่างทั่วถึงทุกแคว้นด้วย"

อำมาตถ์ก้มหน้าพยักหากแต่ยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อยซึ่งอิสฮานก็สังเกตุเห็นได้ทันที

"ท่านทำลังคิดว่าจะไปหานักบวชมาจากที่ใหนล่ะสิ"

อำมาตสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกษัตริย์หนุ่มผู้นี้คาดเดาใจได้ตรงเผง

"เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเพราะข้าจะขอทำหน้าที่นี้เอง"

"ฝ่าบาทข้าว่าเรื่องเช่นนี้พระองค์คงไม่ต้องที่จะไปกระทำก็ได้นี่ถ้าท่านแค่ไปขอร้องให้ทางฟีเลเซียส่งนักบวชมาคณะนึงก็น่าจะเพียงพอ"

"ก็ข้ายังกล่าวไม่จบเลยท่านก็รีบร้อนตอบซะแล้ว..สำหรับเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงข้าได้ขอให้ทางฟีเลเซียส่งนักบวชมาช่วยประกาศสักดาของพระเจ้าทางแคว้นอื่นเรียบร้อยแล้วที่ลาซาลก็มีพระนาง ซูไลก้าช่วยเหลือไม่ต้องเป็นห่วงอันไดไปหรอก"

อิสฮานยิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินออกไปจากห้องท้องพระโรงช้าๆ

แม้ในอาณาจักรซาโลมนั้นจะเป็นพื้นทะเลทรายที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแต่หลังจากที่อิสฮานได้เดินทางกลับมายังซาโลมแล้วจึงรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ได้ขาดความชุ่มชื้นไปนั้นก็เป็นสาเหตุให้ท่านพ่อต้องหลงผิดทำสงครามกับอาณาจักรอื่นซึ่งทางอิสฮานเองก็ได้ทำการแก้ไขโดยการสร้างสวนในพื้นที่ๆอยู่ระหว่างแคว้นลาซาลและพื้นที่ๆพบใหม่แถววังหลวงซึ่งก็ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปมาพักผ่อนคลายความเครียดจากภัยสงครามครั้งนี้ได้โดยการช่วยเหลือของเฟเบรอและธีโมที่2นักประดิษฐ์

"ฝ่าบาทเสด็จแล้ว"ข้าบริวารคนนึงตะโกนขึ้นประชาชนต่างคุกเข่าก้มหัวให้แก่กษัตริย์หนุ่มซึ่งกษัตริย์หนุ่มก็ยิ้มให้แก่ประชาชนและเด็กๆต่างก็มารุมล้อมอิสฮานและมอบช่อดอกไม้ที่บรรจงทำอย่างสวยงามให้อย่างให้อย่างมากมาย

"ท่านอิสฮานวันนี้ท่านวานาอันได้สอนพวกเราทำมงกุฏดอกไม้ด้วยท่านวานาอันบอกว่าให้นำสิ่งนี้มามอบให้แก่ผู้ที่เคารพซึ่งพวกเรานั้นก็รักและเคารพท่านอิสฮานมากที่สุดเลย"

"ผมด้วย,หนูด้วยค่ะ,ผมก็เหมือนกัน,ผมด้วย,หนูด้วย"พวกเด็กกำพร้าจากสงครามเหล่านี้ที่วานาอันขอทำหน้าที่เลี้ยงดูเด็กกำพร้าทุกคนต่างเข้ามารุมล้อมซึ่งอิสฮานก็ไม่ได้ปฏิเศษอะไรกลับยิ้มอย่างเป็นสุขใจและรับช่อดอกไม้จำนวนมากสร้างความพอใจให้แก่เด็กๆทั้งหลายมาก

"ท่านอิสฮาน"
เสียงอ่อนโยนของสตรีผู้นึงดังขึ้นตรงหน้าของเค้าผมสีดำของเธอช่างดูเข้ากันกับใบหน้าและริมฝีปากของเธอซะจริงๆยิ่งเธออยู่ในชุดสีเขียวแบบที่เค้าเห็นเป็นประจำก็ทำให้รู้ว่าเธอยังคงสบายดีอยู่ถึงแม้ต้องรับมือกับเด็กจำนวนมากกว่า20-30คน

"ท่าทางท่านจะดูเหนื่อยนะแปลว่าในราชสำนักยังคงมีการโต้เถียงกันมากใช่รึเปล่า"

"เปล่าซักหน่อยข้าน่ะรึจะเหนื่อยแค่นี้น่ะถ้าเทียบกับที่ทั้งท่านแม่และท่านนาริสทำมายังเล็กน้อยเลยแม้แต่ท่านพี่ของท่านอย่างท่านฮาริสันยังต้องควบคุมผู้คนหลายเผ่ามากหน้าหลายตายังทำได้ถ้าข้าทำไม่ได้ข้าคงต้องอายเค้าตายเลย"

อิสฮานพูดแก้ตัวพลางมองไปที่วานาอันที่นั่งลงบนพื้นหญ้าสีเขียวอ่อนกลางดอกไม้สีสันหลากหลายกลางเด็กที่รุมล้อมเธออยู่ก็เหมือนกับท่านแม่ที่เลี้ยงดูตนแบบนาง

"ข้าว่าท่านเองมากกว่าที่ต้องรับมือเด็กตั้ง20เกือบ30คนน่าจะเหนื่อยมากกว่าข้าซะอีก"

อิสฮานนั่ง
"ข้าไม่เป็นไรหรอกการที่ข้าได้อยู่กับเด็กๆเหล่านี้นั้นก็เหมือนกับว่าข้าได้อยู่ในฟูดินันนั้นแหละ"

พอนางพูดถึงฟูดินันใจอิสฮานก็นิ่งไปขณะนึงเพราะเขาเองนั้นก็คิดได้ถึงช่วงเวลาแห่งความสงบสุขที่ได้อยู่ในป่านั้นเสียงนกร้องบรรเลงเพลงเสียงคำพูดที่เป็นกันเองของชาวป่าที่หาได้ยากในซาโลมและนางเองความจริงก็คงอยากกลับไปที่ฟูดินันนั้นด้วยเหมือนกันเพราะนางจากบ้านมาก็เกือบ2ปีแล้วจึงไม่แปลกที่นางจะอยู่ดูแลเด็กๆพวกนั้น

"ท่าน..อยาก กลับไปที่ฟูดินันใช่รึเปล่า"
อิสฮานพูดเบาๆวานาอันถึงกับสะดุ้งมองหน้ากษัตริย์หนุ่มที่เธอเองเคยมองเค้าเป็นน้องชายแต่ตอนนี้ล่ะเธอมองเค้าในฐานะอะไร?

"...."วานาอันไม่ตอบกลับได้แก่ปากปิดแน่นไม่มีคำพูดอะไรเปล่งออกมาจากปากของนาง

"งั้นเราก็ไปกันสิวันมะรืนนี้วันSolum(โซลัม)เราก็ไปฟูดินันด้วยกันสิ"
ดวงตาของเธอเบิ่งกว้างด้วยความตกใจปกดีใจที่เธอนั้นจะได้กลับไปยังบ้านเกิดที่จากมานาน

"แต่ว่าถ้าหากให้ข้าไปคนเดียวข้าก็เกรง..."

"พูดอะไรกันมีหรือว่าข้าจะให้ท่านไปคนเดียว..ข้าก็จะไปด้วย"
วานาอันตกใจอีกครั้งกับคำพูดของอิสฮานแต่เธอเองก็ยินดีมากยิ่งขึ้นที่เขาจะเดินทางไปกับเธอด้วย

"เอ่อ..แล้วพวกเราล่ะครับ"
เด็กน้อยคนนึงถามขึ่นซึ่งอิสฮานก็ยิ้มตอบและพูดออกไป

"แน่นอนพวกเธอก็ไปด้วยกันสิ"
พวกเด็กๆต่างดีใจกระโดดโลดเต้นที่กษัตริย์หนุ่มจะพาพวกตนไปด้วย

"แต่ว่าถ้าหากท่านไปแล้วยังงี้ทางซาโลมล่ะ?"
วานาอันถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ท่านเยซีฮานได้รับปากไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือเองดังนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อมด้วยล่ะสำหรับการลับบ้านเกิดครั้งนี้"
วานาอันยิ้มด้วยความดีใจซึ่งอิสฮานเองก็ยิ้มให้เธอแบบเดียวกับที่เธอยิ้มให้เค้าแต่ทั้ง2ก็เกือบเผลอลืมตัวไปว่ามีเด็กๆจ้องมองอยู่จึงมาจ้องมองอะไรกันได้ไม่นาน

"งั้นข้าไปก่อนล่ะไว้เจอกัน"
อิสฮานเกาหน้าด้วยความอายพร้อมเดินออกไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้วานาอันนั่งยิ้มและหัวเราะอย่างเป็นสุขอยู่ข้างหลัง
Logged


Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« Reply #2 on: March 08, 2006, 02:37:14 PM »

ตอนที่2
ผู้ปกป้องแห่งฟูดินันที่ชั่วร้าย

ณ.อาณาจักรฟูดินันที่เงียบสงบยามค่ำคืนอากาศในตอนนี้นั้นถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่ก็ยังเย็นสบายพอดีด้วยพลังของธรรมชาติที่ปกคลุมล้อมฟูดินันแห่งนี้แต่ภายใต้ความร่มรื่นนี้กลับมีบุรุษแปลกหน้ายืนมองอาณาจักรนี้จากหน้าผาด้วยแววตาที่ไม่น่าเป็นมิตรซักเท่าใด

"หลับสบายเชียวนะพวกคนป่า.แม้แต่กษัตริย์แห่งแดนเหนือยังหลงใหลแก่ธรรมชาติที่เขียวขจีแบบนี้แล้วข้ารึจะมีทนใหว"เสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบแห้งและแหลมเสียดยิ่งนัก

"ไปแสดงเทศกาลได้แล้ว"ชายปริศนาเปิดผ้าคลุมเก่าๆที่ขาดรุ่งริ่งแล้วก็มีควันสีมืดทมึฬลอยไปเหนือเต้นในป่าฟูดินัน

ในป่า

"..วันนี้อากาศเย็นสบายดีจัง"ฟาดริดที่ตามอิสฮานมาด้วยได้รำพันกับธรรมชาติที่ร่มรื่นอย่างสบายใจตอนนี้ถึงเค้าจะมาออกตรวจตาความสงบแต่ก็รู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลายมากกว่าแต่ตัวเค้ากลับรู้สึกได้ว่ามีใครอยู่ข้างๆเค้าแทบไม่รอช้าที่จะกำกรงเล็บขนาดใหญ่ไว้แน่นมือพอมีใบไม้ตก1ใบเค้าก็ตวัดมือปีศาจไปในพุ่มไม้

"...ไม่ให้ซู่มไม่ให้เสียงเลยนะท่านคาร์น"ฟาดริดดึงมือขนาดใหญ่ออกมาแล้วกอดอกดูร่างขนาดใหญ่ของคาร์นยอดนักรบสิงห์ที่ได้แสดงพลังของชาวป่าให้เค้าเห็นครั้งตั้งแต่อยู่ร่วมประกาศกในคณะของเจ้าชายด้วยกัน

"เจ้าก็เหมือนกันด้วยเล่นตวัดมือมาแบบนี้ทำข้าคึกคื้นได้พอดูเลย"
คาร์นลุกขึ้นโชว์ร่างขนาดใหญ่ที่มีขนรุงรักตามตัวดวงตาที่คมกริบรอยแผลเป็นแถวดวงตาที่แสดงถึงการออกศึกอย่างโชกโชน

"มือข้ามักจะไปก่อนความคิดเป็นประจำโชคดีไปที่เป็นท่านคาร์นไม่งั้นข้าคงถูกฝ่าบาทตำหนิเอาได้ว่าก่อเรื่องตั้งแต่วันแรก"

"ว่าแต่ไม่เจอกันนานแล้วมาเจอกันหน่อยมั้ย?"
คาร์นชักดาบสีดำที่มีแถบสีแดงประกายขึ้นมาซึ่งฟาดริดก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับยกมือขนาดใหญ่ขึ้นมาแววตานิ่งแสยะยิ้มที่ปลายมุมปาก

"เอาล่ะ!!!"
ทั้ง2ตะโกนพร้อมกันและต่างพร้อมฟาดฟันใส่กันแต่ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะวาดลวดลายใส่กันก็มีเงาของสัตว์ขนาดมหึมา

ฮู้มมมมม!!!!

ทั้ง2เหลือบไปมองทางเดียวกันเห็นร่างขนาดยักษ์ของมังกร2หัวไพธ่อนที่เดินคลานมาอย่างช้าๆไม่รู้ว่าเพราะความมืดของท้องฟ้าหรืออย่างไรแต่เพราะทั้ง2ต่างเห็นว่าสีของไพธ่อนผิดแปลกไปเพราะสีตัวนั้นเป็นสีดำสนิทดวงตาของมันนั้นส่องประกายสีแดงซึ่งคาร์นนั้นกลับหวาดกลัวมากเพราะไพธ่อนนั้นเป็นผู้ปกป้องเขาคิริดาบันทำให้เป็นที่เคารพของผู้คนจำนวนมาก

"มัวแต่มองอะไรอยู่!!"
ฟาดริดตะโกนเรียกสติของคาร์นให้มามองที่เหล่าผีสีแดงเถือกปีกขนาดใหญ่ของมันนั้นพอที่จะโอบตัวคาร์นได้ทีเดียวและเคียวของมันนั้นก็ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร

"ดูท่างานนี้ต้องเกิดเรื่องแน่ๆ"
ฟาดริดพูดพลางกำมือแน่น

"ข้าไม่รู้แล้วว่าจะทำยังไงดีจะให้สู้กับไพธ่อนข้าก็ขอบอกคำเดียวว่าไม่มีวันชนะแน่นอน"

"เป็นไรไปลุงนี่กลัวมันรึไงกิ้งก่า2หัวแบบนั้น"

"หุบปากไปเลย!!เจ้าจะรู้อะไรถึงพลังของผู้ปกป้องแห่งคิริดาบัน"
ฟาดริดถึงกับอึ้ง

"แต่ตอนนี้พวกเราก็ต้องให้ฝ่าบาทมาช่วยกันคิดด้วยว่าจะทำยังไงดพราะพลังของเราก็รู้ดีว่าไม่มีทางแน่"

คาร์นพยักหน้าเห็นด้วยซ฿งทั้งคู่ก็วิ่งไปทางเต้นของอิสฮานพลางก็โจมตีเล่นงานปีศาจเคียวยักษ์ไปด้วย
Logged


MENN' !*
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2595


« Reply #3 on: March 08, 2006, 08:12:28 PM »

มีความขยันในการพิมพ์ที่สูงมากเลยครับ :o
Logged


Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« Reply #4 on: March 09, 2006, 12:19:37 AM »

ต่อจากตอนที่2นะคร้าบบบ

"ใครที่ยังใหวมาช่วยพาคนเจ็บไปเร็ว!!"
เสียงตะโกนของผู้นำหนุ่มแห่งฟูดินันแฮริสันดังก้องไปทั่วมืออีกข้างก็อุ้มเด็กที่เปื้อนเลือดไปพลางอีกมือนึงก็คอยปัดป้องจากการจู่โจมของพวกค้างคาวตัวกลม(Curse Ahriman)และพวกอินทรีปีกเหล็ก(Steel Feather Griffin)ที่คอบบินโฉบเฉี่ยวจิกผู้คนไปทั่ว

"แฮริสัน!!ทางโน้นไฟไหม้ใหญ่แล้วช่วยกันไปดับไฟเร็วเข้า"
ดามิก้าที่กำลังรับมือกับScartlet Reaperอย่างยากลำบากตะโกนดังก้องทำให้แฮริสันรีบออกคำสั่งขอความช่วยเหลือไปทางที่ดามิก้ากล่าวนั้นทันที

"อิสฮานมาพอดีเลยเจ้าช่วยพาวานาอันไปที่ทะเลสาบนิรันดาปลายทางหมู่บ้านอย่างด่วนที่สุด"

"ทำไมล่ะท่านแฮริสัน?"
กษัตริย์หนุ่มในชุดชาวบ้านฟูดินันถามด้วยความสงสัย

"ตอนนี้ไฟป่าที่กำลังลุกโหมนั้นแรงเกินที่จะต้านไว้ได้นานแล้ววานาอันเป็นคนเดียวที่สามารถขอพรแก่เทพีอันดีนได้ตอนนี้เราต้องขอให้ท่านเทพีอันดีนช่วยเราด้วยถึงจะประคองสถานะการณ์ได้"
แฮริสันอธิบายอย่างละเอียด

"เข้าใจแล้วครับไปกันเร็วท่านวานาอัน"
อิสฮานดึงมือวานาอันไปทางสุดสายทะเลสาบนิรันดาอย่างรวดเร็วพอถึงสุดทางสายน้ำที่อยู่ติดกับมหาพฤกษชาติยิกดราซิลแล้ววานาอันก็เริ่มทำการขอพรแด่เทพีสายชล

กลับมาทางด้านแฮริสัน

"ท่านแฮริสัน!กองทัพนักสู้มือเปล่ามาแล้วขอรับ"
หัวหน้าของเหล่านักสู้(Pugilist General)ที่ใช้เพลงหมัดและพลังของตัวเองเป็นอาวุธที่ว่ากันว่ากองทัพนี้เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งดุเดือดและพร้อมเพรียงในทุกๆเรื่องของฟูดินันว่ากันว่าฝีมือของกองทัพนักสู้นี้นั้นไม่ด้อยไปกว่ามือสังการซาโลม(Zalom Headman)หรือกองทัพเปกาซัสของฟีเรเซียเลยซักนิด

"ดีงั้นก็ให้พวกเค้าเหล่านั้นไปได้เลยอย่าลืมหน้าที่หลักคือปกป้องประชาชนพยายามอย่าให้ประชาชนตายมากกว่านี้"

"ทราบครับ"
หัวหน้านักสู้มือเปล่าทำเท่าเคารพรับแล้วออกคำสั่งให้เหล่านักสู้มือเปล่ารีบรุกไปเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อน

ทางด้านอิสฮานกับวานาอัน

"ท่านผู้ซึ่งเป็นดั่งพระมารดาของผู้มีชีวิตโปรดช่วยพวกเราทุกคนที่เทิดทูนท่านให้รอดพ้นจากความพินาศจากความโหดร้ายครั้งนี้ด้วย"
สิ้นคำพูดของวานาอันก็บังเกิดเกลียวคลื่นขึ้นในทะเลสาบแห่งนี้พร้อมใบของต้นยิกดราซิลสีเงินระยิบระยับที่ร่วงลงมาผสมผสานกับน้ำในทะเลสาบก่อให้บังเกิดร่างของเทพีอันดีนที่ดูสง่างามและบริสุทธิ์

"ท่านอันดีนโปรดช่วยพวกเราด้วย"
วานาอันพูดขอร้องซึ่งดูเหมือนอันดีนจะรับคำขอร้องของเธอแต่ขณะที่เทพีอันดันกำลังจะชูมือขึ้นนั้นการจับตามองก็ไม่ได้ลอดผ่านสายตาของชายปริศนาคนนั้นไปได้เลย

"เทพีอันดีนรึยิ่งดีเลย..มาเป็นข้ารับใช้ให้แก่ข้าเถอะ"ชายปริศนาพูดจบก็ท่องมนต์อะไรบางอย่างซ฿งเสียงนั้นกรีดร้องไปจนถึงเทพีอันดีนซึ่งพออันดีนได้ฟังเสียงนั้นก็ถึงกับเอามือปิดหูก้มหน้าบิดตัวไปมาอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส

"เทพีอันดีน?"
วานาอันกล่าวอย่างตกใจซึ่งพออเสียงกรีดร้องหายไปแล้วพออันดีนเงยหน้าขึ้นมาทั้ง2ต่างก็ตกใจเพราะดวงตาของนางนั้นเป็นสีแดงฉานและผิวของนางที่เป็นสีฟ้าอ่อนกลัวเริ่มคล้ำลงกลายเป็นสีดำแดงแบบพวกกองทัพปีศาจที่กำลังเล่นงานพวกแฮริสันอยู่

"เทพีอันดีน"
วานาอัลกล่าวเสียงอ่อนมือนั้นพลางยื่นออกไปแต่ก็โดนอิสฮานดึงตัวกลับมาแล้วกระชากตัวหลบจากการโจมตีด้วยเข็มน้ำแข็งของนาง

"ไม่จริงใช่มั้ย.."
วานาอันกล่าวพร้อมน้ำตาจ้องมองเทพีที่เธอเคารพเทิดทูนยิ่งกว่าใครๆซึ่งอันดีนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัววันนาอันนักแต่นางกลับมองไปทางที่พวกแฮริสันกำลังสู้กันอยู่

"รึว่า.."อิสฮานกล่าวพร้อมสีหน้าไม่สู้ดีนัก

เทพีอันดีบตวัดมือลงซึ่งก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่พัดพาทั้งต้นไม้บ้านเรือนหรือแม้กระทั่งกองทัพทั้งฟูดินันและพวกทัพปีศาจจนน้ำนั้นท่วมบดบังทุกอย่างอยู่ใต้น้ำซึ่งตัวนางเอวนั้นก็มีสีหน้าพึงพอใจอย่างมากก่อนที่จะหายกลับเข้าไปในน้ำ

"วานาอัน..วานาอัน..ท่านวานาอัน!!!"
อิสฮานเหมือนกับใจแตกสลายเพราะนางอันเป็นที่รักของเค้าได้หมดสติไปทันทีโดยที่ไม่ลืมตามาบอกกล่าแก่อะไรแก่เค้าทั้งนั้นแต่สิ่งที่เหลือมีเพียงกองทัพของฟูดินันบางคนที่โชคดีหนีรอดจากน้ำท่วมครั้งนี้ทันโดยการขึ้นไปอยู่บนเขาสูงหรือบางคนที่ตั้งเรือนใกล้ยิกดราซิลก็ไดรับการปกป้องจากมหาพฤกษชาติที่แสนมหัศจรรย์นี้
Logged


SuperJong
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 3322


« Reply #5 on: March 09, 2006, 05:47:05 PM »

สนุกดีนะ  แต่ว่าอ่านจนตาลายยไปหมดแล้วว
Logged


Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« Reply #6 on: March 11, 2006, 02:59:08 AM »

ตอนที่3
ความบาปคืนชีพ

หลังจากการถล่มของกองทัพผีร้ายและการเล่นงานจากพลังธรรมชาติของเทพีอันดีนที่หันมาทำร้ายมนุษย์อย่างโหดเหี้ยมอาณาจักรฟูดินันที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่ความเสียหายนี้ไม่แพ้ครั้งที่ซาโลมได้มาบุกเลยแม้แต่น้อยซึ่งความรู้สึกเสียใจนั้นก็ไม่ได้หนีพ้นจากกษัตริยหนุ่มแห่งซาโลมที่ย้อนกลับมาอีกครั้งนึงรวมถึงเหล่าชาวป่าเขาที่รู้สึกไม่ได้น้อยไปกว่าอิสฮานเลย

"เอ้าๆตรงนั้นน่ะมาช่วยกันหน่อยเร็ว"
เสียงพูดคุยที่ไม่มีทั้งเสียงหัวเราะของความรื่นรมและเสียงพูดคุยหยอกล้ออะไรกันอีกหลังครั้งตั้งแต่ที่โดนถล่มไปเมื่อแรมคืนทำให้ทุกคนต่างอยู่ในสภาพหวาดกลัวและว้าวุ่นอย่างถึงขีดสุด

"ท่านแฮริสันครับ"
ขณะที่แฮริสันกำลังช่วยซ่อมแซมบ้านที่เสียหายจากน้ำท่วมก็มีเด็กฝึกหัดนักสู้(apprentice Pugilist)คนนึงเดินถือจดหมายมาให้

พอแฮริสันหยิบขึ้นมาแกะซองผนึกดูก็หน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัดจนอาโซอิน อินซู(Arzoin Inzu) นักสู้หญิงต้องถาม

"เป็นไรไปท่านแฮริสันหน้าซีดเชียว"

"ท่านอาโซอินฝากตรงนี้ด้วย"
แฮริสันพูดจบก็วิ่งไปทันทีจนคาร์น อิสฮานและฟาดริดยังตกใจที่หัวหน้าฟูดินันที่มักจะมีความขรึมถึงหน้าถอดสีมากขนาดนี้

"แฮ่กๆๆ"
แฮริสันวิ่งไปจนถึงแถบเมืองวอลเนียที่เมื่อก่อนเคยถูกเปิดเป็นทางกว้าซึ่งตอนนี้ได้กลับมาลงที่เดิมเป็นเมืองเหมือนเดิทแล้วแต่พอไปถึงหน้าเมืองก็เจอกษัตริย์หนุ่มแห่งอาณาจักรสายลมแห่งนี้กำลังยืนหน้าเครียดพร้อมกันกองทหารกว่าอีก10000นายที่ยืนตัวนิ่ง

"ท่านซิกมันต์นี่มันหมายความว่าไงที่บอกว่าขอเจอกับเราเพื่อแก้ไขปัญหาที่ทางเราได้ไปบุกฟีเลเซียของพวกท่านแบบนี้มันหมายความว่าไงกัน"

"ก็อย่างที่ข้าได้เขียนไปในนั้นแหละที่พวกท่านได้ยกทัพไปทำลายกำแพงเมืองวอลเนียของพวกข้าแล้วยังเผาทำลายเมืองเสียหายไปถึง1ใน5แบบนี้ท่านจะคิดแก้ตัวอย่างไร!!"
ซิกมันต์ที่3พูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราดสายตาดุดันจนมือนั้นยังสั่นด้วยความโกรธที่แสดงบนสีหน้าได้อย่างชัดเจน

"กองทัพข้าบุกโจมตีเมืองท่าน?เดี๋ยวๆท่านพูดอะไรกันอาณาจักรฟูดินันไม่มีกำลังพลมากพอที่จะยกพลไปตีใครได้และไม่มีใครที่ต้องการไปหาเรื่องกับพยัคมังกรแบบฟีเลเซียของท่านหรอก"

"งั้นหรือพูดมันง่ายงั้นดูซะ!!"
ทหารนายนึงโยนเสื้อที่มีลวดลายคล้ายคลึงกับของฟูดินันอย่างมากไปกองกับพื้นแฮริสันที่เห็นถึงกับตกตะลึงและหยิบขึ้นมาดูซึ่งถึงจะไม่เชื่อว่าเป็นของฟูดินันแต่แต่เอามือสัมผัสก็รู้ถึงชนิดของเนื้อผ้าว่าเป็นของฟูดินันแน่นอน

"เป็นไงคงคิดไม่ถึงล่ะสิว่าขณะเกิดความวุ่นวายกองทัพฟีเรเซียจะสามารถหาหลักฐานมาได้ทีนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมากวันพรุ่งนี้เวลาที่ดวงอาทิตย์ตั้งกลางหัวให้กองทัพของทั้ง2มาที่ตรงนี้แล้วมาเจอกันใครดีใครอยู่ผู้แพ้ไม่ต้องว่าความอะไรผู้ชนะก็ไม้ต้องยุ่งกันอีก"

ซิกมันต์กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมเดินสะบัดผ้าคลุมแพรสีขาวกลับไปพร้อมกับกองทหารกว่าหมื่นนาย
ทิ้งให้หัวหน้าหมู่บ้านตกอยู่ในวังวนแห่งความกังวลและแปลกใจอย่างยิ่ง

ในค่ำคืนนั้นในเต้นท์ร่วมประชุมของฟูดินันเหล่าทหารผู้เฒ่าเก่าแก่ของฟูดินันรวมถึงคาร์น ดามิก้า ทราเฮริน แฮริสัน วานาอัน และวูจิน รวมถึงคนของซาโลมอย่าง ฟาดริดและอิสฮานก็นั่งหน้าเครียดกันทุกคน

"ตอนนี้ข้าว่าเราไม่ควรออกไปตามคำท้าของพวกฟีเลเซียทันทีหรอก"
ทราเฮรินกล่าความคิดเห็นคนแรกซึ่งทุกคนนั้นต่างก็เห็นกันด้วยซะส่วนมาก

"ปัญหาคือทางนั้นจะสามารถทนพวกเราได้นานแค่ใหนนั้นแหละคือปัญหาเพราะถ้าหากเราไม่ออกไปตามคำท้าพวกนั้นก็ต้องหาทางมาตั้งกองทัพต่อไปเรื่อยๆแล้วยังงี้พวกประชาชนจะเดินทางไปออกหรือนักเดินทางไปมาก็จะลำบากมาก"
คาร์นคำรามเสียงดังออกมาซึ่งคนก็เห็นด้วยกันอีก

"ข้าว่าเราน่าจะประณีประนอมกันมากกว่า"
ดามิก้าแสดงความคิดเห็นบ้าง

"ยาก..พวกฟีเลเซียนั้นถือตัวยิ่งกว่าอะไรถ้าประณีประนอมกันดีไม่ดีพวกนั้นคิดว่าเราแกล้งไปแหย่มังกรเล่นเอาพวกนั้นจะยิ่งไม่พอใจน่ะสิขืนไปยั่วพวกมันให้โกรธมันคงขย้ำเราไม่เหลือซากพอดี"
ฟาดริดตอบทันควัน
"งั้นมีทางเดียวคือเราต้องยกทัพออกไปรึยังไงกัน?"

"ไม่มีทาง!ถ้าเรายกทัพออกไปฟีเลเซียจะยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ยังไงเราก็ไม่มีทางยกทัพออกไปรบกับฟีเลเซ๊ยแน่นอน"
อิสฮานตอบออกมาทันทีซึ่งทั้งแฮริสันวูจินและวานาอันก็ต่างเห็นด้วย

"งั้นจะทำยังไงดีล่ะพรุ่งนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องออกไปแล้วนะถ้ายังคิดวิธีไม่ออกแบบนี้ฟูดินันอาจถูกถล่มเอาก็ได้"
คาร์นพูดเสียงดังซึ่งแฮริสันก็ได้แต่กุมหัวคิดด้วยความกังวล

"งั้นข้าจะออกไปเองถ้าฟีเลเซียเป็นมังกรผู้ทรนงข้าก็ต้องออกไปตัวต่อตัวกับซิกมันต์ที่3เอง"

"แบบนั้นไม่ได้นะถึงยังไงแต่พวกนั้นก็ไม่มีทางยอมอะไรหรอก"
ดามิก้ากล่าวเสียงดัง

"ถ้าเหตุทั้งหมดเป็นเพราะฟูดินันจริงข้าก็ต้องขอรับผิดชอบด้วยตัวเองถึงแม้จะไม่จริงก็ตาม"
แฮริสันพูดสีหน้าเครียดซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่าถ้าแฮริสันทำสีหน้าเครียดแบบนี้แปลว่าไม่มีใครหยุดความคิดได้อีกต่อไปแล้ว

"ถ้างั้นก็จบการประชุมแค่นี้แหละไว้เอจกันพรุ่งนี้"
แฮริสันที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดจบก็เดินออกนอกเต้นท์ไปอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ท่านแฮริสัน!!"
อิสฮานพูดเสียงดังซึ่งทุกคนต่างก็ได้แต่ยอมรับเพราะไม่สามารถทำอะไรได้

ในเต้นท์ของแฮริสัน

"ท่านแฮริสันขออนุญาติ"
อิสฮานเดินเข้ามาดูแฮริสันที่กำลังขัดถุงมือคู่ใจของตัวเองแฮริสันนั้นก็ก็มองหน้าแล้วยิ้มให้อิสฮานนิดนึงแล้วขัดถุงมือคู่ใจต่อ

"ท่านแฮริสัน..วิธีที่ท่านบอกมาน่ะข้าว่ามันไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ข้าว่าเราน่าจะประนีประนอมแบบที่ท่านดามิก้าบอกน่าจะดีกว่า"

"ถ้าเรายิ่งปล่อยไว้นานภูเขาไฟที่คุกกรุ่นอาจระเบิดทำลายทุกอย่างอย่างบ้าคลั่งก็เป็นได้"
แฮริสันพูดแบบไม่มองหน้าอิสฮาน

"แต่ว่า.."

"อิสฮาน..ถ้าข้าเป็นอะไรไปฝากวานาอันท่านปู่และอนาคตขอฟูดินันด้วย"
อิสฮานได้แต่ตะลึงเพราะตนนั้นเดิมทีจะมาห้ามแต่กลับเจอคำพูดแบบนี้กษัตริย์แดนเหนือหนุ่มได้แต่แปลกใจกับคำพูดของหัวหน้าเผ่าคนนี้

"ท่านแฮริสันท่านโปรดอย่าพูดยังงั้นตอนนี้ผู้นำของฟูดินันมีท่านคนเดียวพวกของท่านรวมถึงพวกของข้าพร้อมให้การช่วยเหลือท่านเสมอ"

"รับปากมาก่อนอิสฮาน"
แฮริสันกล่าวเสียงเข้มอิสฮานถึงกับอึ้ง

"เข้าใจแล้วขอรับแต่ท่านก็ต้องสัญญาด้วยว่าจะปลอดภัยมารับตำแหน่งนี้เหมือนเดิม"

"ได้"
ทั้ง2ต่างจับมือกันโดยมีพวก วานาอัน ดามิก้า คาร์น ทราเฮรินและฟาดริดมองอยู่ห่างๆ

วันรุ่งขึ้นยามพระอาทิตย์กลางหัว

แฮริสันใส่ชุดคลุมนักรบสีเขียวของฟูดินันเดินออกไปทางเมืองวอลเนียโดยมีเหล่านักสู้มือเปล่าประมาณ100นายนักดนตรีมือกลองและพวกอิสฮานเดินตามไปด้วยความเป็นห่วงจนหัวหน้าแห่งฟูดินันได้มาเผชิญหน้ากับกษัตริย์หนุ่มแห่งฟีเลเซียที่ยืนผ้าคลุมพัดปลิวไปตามแรงลมเอาดาบปักพื้นด้วยท่าทีไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้นเบื้องหลังก็มีแม่ทัพชาร์ล แม่ทัพยูนิคอนเวโรนิก้า  เจ้าหญิงเรจิน่า บิชอปเกรกอรี่ทั้ง4ต่างยืนดูด้วยสายตาไม่สู้ดีนักโดยเฉพาะเจ้าหญิงเรจิน่าที่ดูท่าทางเป็นห่วงทั้งผู้นำแห่งขุนเขาที่มีใจชอบพอกันและน้องร่วมสายโลหิตอย่างซิกมันต์ที่ความเลือดร้อนที่ตนยังห้ามไม่อยู่

"เอาทหารมาแค่นั้นมาคิดจะดถูกกันรึยังไง"
ซิกมันต์พูดด้วยความหงุดหงิดที่แทนที่จะเห็นเป็นกองทัพเกรียงไกรยกทัพมาอย่างห้าวหาญแต่กลับมีทหารไม่กี่นายที่เหลือราวกับเป็นนักดนตรีมาบรรเลงเพลงซะมากกว่า

"ท่านซิกมันต์ที่3ข้าขอกล่าวเหมือนเดิมข้าไม่รู้เห็นถึงเหตุการณ์ที่คนของข้าได้ไปบุกเมืองของท่านเลยและข้าก็มั่นใจว่าคนของข้าไม่มีทางคิดที่จะไปบุกใครแน่นอนได้โปรดให้ท่านไตร่ตรองให้ดี"

"หึๆๆถ้าที่ท่ารนกล่าวมาก็แปลว่าคนของข้าพูดโกหกล่ะสิช่างน่าขันยิ่งนักแต่ตัวท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าคนของท่านตั้งใจที่จะมาทำลายเมืองของข้าแล้วยังงี้ท่านจะเอาเรื่องใดมาแกตัวอีก"

"ข้าไม่ขอแก้ตัวอะไรแต่ถ้าหากท่านไม่อาจเชื่อที่พวกเราได้กล่าวมางั้นก็มีทางเดียวเราทั้ง2ต่างมาประชันกันผู้ใดที่ชนะก็ถือว่าแล้วกันไปไม่ต้องมาถืออาฆาตอะไรกันต่อไปพวกทหารทั้งหลายก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนด้วยท่านว่ายังไง?"

"...ได้!!งั้นเตรียมตัวไว้วันนี้ข้าจะถือว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าเคยทำให้ข้าไม่พอใจจะจบลง"
ซิกมันต์ที่3พูดจบก็ลงจากเปกาซัสสีขาวแล้วหยิบดาบสีเขียบอ่อนที่วางอยู่ข้างๆตัวขึ้นมาซึ่งแฮริสันเองก็เอาถุงมือคู่ใจใส่ไว้ในมือทั้ง2อย่างทะมักทะแมง

"เอาล่ะทันทีที่เสียงกลองของฟูดินันเริ่มท่านก็เข้ามาเลย"

แฮริสันพูดจบช่วงเวลานั้นทุกคนต่างราวกับกลั้นหายใจเพราะนักดนตรีนั้นจะบรรเลงเพลงออกมายักยากที่จะกระทำได้เพราะผลที่ออกมานั้นไม่ว่ายังไงก็ต้องส่งผลกระทบต่อทั้ง2แน่

"ตึ้ง!!"
เสียงกลองแรกเริ่มบรรเลงซึ่งทั้ง2ก็กระโดดเข้าไปแทบจะพร้อมๆกันแต่เรื่องความเร็วแล้วดูซิกมันต์จะเร็วกว่าซึ่งทั้งดาบและถุงมือของทั้ง2นั้นก็ต่างเข้าไกล้กันเรื่อยๆ

ฟิ้ววววว!!!

ขณะที่ทั้งคู่กำลังกระโจนใส่กันนั้นก็เกิดพายุแท่งน้ำแข็งพุ่งตรงใส่ทั้ง2ซึ่งทั้ง2ต่างใช้อาวุธของตัวเองปัดป้องทุกคนทั้งฟีเลเซียและฟูดินันต่างมองไปทางเดียวกันเห็นชายปริศนาที่ยืนอยู่บนยอดเนินที่ยื่นออกมาของเมืองวอลเนีย

"แกเป็นใคร!!"
คาร์นคำรามเสียงดังก้องไปทั่วซึ่งชายปริศนานั้นก็ดึงผ้าคลุมสะบัดออกไปซึ่งทุกคนต่างตกตะลึงที่เห็นชายผู้นั้น

"บลาสเซจ?"
อิสฮานกล่าวมาอย่างตกตะลึงยิ่งนัก

"ใช่ท่านเจ้าชายแต่ถ้าให้ถูกคือพวกข้าสิงร่างมันต่างหาก"
เสียง9เสียงที่ดังออกมาจากคำพูดคำเดียวซึ่งคำเดียวนั้นทำให้ร่างอิสฮานสะท้านไปทันทีเสียงนั้นเค้าจำได้ดีว่าเป็นอะไรสิ่งนั้นที่เค้าไม่อยากนึกถึงอีกความกลัวราวกับก้อนน้ำแข็งมาจับหัวใจของเค้าอีกครั้ง

"พวกเราไม่ขอรอช้าเชิญดูร่างของพวกเราได้ตามสบาย"
สิ้น9เสียงที่เปล่งออกมานั้นร่างของบลาสเสจก็ส่องแสง5สีกระจายไปทั่วตามปากตาจมูกหูซึ่งร่างนั้นถึงกับฉีกขาดกระจัดกระจายเป็นเศษเนื้อปรากฎร่างของเหล่าปีศาจที่หน้าตาไม่ซ้ำกัน

ตัวแรกผิวกายสีดำสนิทเขี้ยวที่งอกออกมาเห็น2ซี่นั้นคือซินแห่งหารโกหกหลอกลวง

ตัวที่2ที่ปรากฎออกมาผิวกายนั้นสีดำเหมือนกันแค่หน้าตาที่เป็นหัวกระโหลกของมันที่ยื่นออกมานั้นเค้าไม่มีวันลืม ซินแห่งความโกรธ

ตัวที่3ผิวกายสีเขียวน่ารังเกียจของมันเขียวของมันถึงจะไม่น่ากลัวมากนักแต่กายของมันนั้นก็สร้างความน่ากลัวได้พอสมควร ซินแห่งความขี้เกียจ

ตัวที่4ตัวของมันนั้นเป็นสีดำแดงส่วนสีดำที่ยื่นออกไปจากกายราวหางสัตว์หน้าตาที่เกือบถูกปิดมิดด้วนเนื้อสีแดงของมัน ซินแห่งความหยิ่งทรนง

ตัวที่5เทียบกับตัวอื่นแล้วรูปร่างผอมบางของมันนั้นดูเพรียวที่สุดแต่หน้าตาที่เป็นกระดูกสีขาวๆและขนตามตัวที่มีหลากสีรวมถึงเคียวที่มีขนาดใหฐ่ของมันทำให้ไม่อาจลืมมันได้ ซินแห่งตัญหา

ตัวที่6หัวที่กายปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมทรงแหลมสีดำที่ฉายแต่แววตาที่ส่องแสงสีขาวใต้ตัวมันนั้นมีสัตว์ที่รูปร่างคล้ายนกที่มีปกสีน้ำเงิน ซินแห่งความอิจฉา ริษยา

ตัวที่7 ขนาดตัวที่ใหญ่โตและเขาสีขาวลายที่งอกออกมาบนหัว2ข้างลวดลายของมันนั้นราวกับว่ามีความมืดใหลเวียนอยู่ในตัวเต็มเปี่ยมดาบอันใหญ่โตที่รวมเป็นมือของมัน ซินแห่งการแก้แค้น

ตัวที่8 ซินตัวนี้ร่างกายสีม่วงดั่งพิษร้ายของมันแต่ความร้ายกาจของมันนั้นนับว่าเหี้ยมยิ่งกว่าสิ่งใดๆหัวของมันที่แหลมยื่นออกมาคล้ายคมดาบปีกที่โพยพัดนั้น ซินแห่งความโลภ

ตัวที่9 ที่เค้าจำได้ดีต้นเหตุแห่งเรื่องราวมากมายที่มันได้ก่อคววามรู้สึกต่างๆที่แทบคุมไม่อยู่เมื่อได้เห็นผิวการสีแดงดั่งเปลวเพลิงปากอีกอันที่อ้าตรงตัวของมัน ซินแห่งความเห็นแก่ตัว

อิสฮานสามารถบรรยายได้อย่างแม่นยำปีศาจที่เค้าได้ปราบไปโดนถึงกับต้องสูยเสียครูที่เคารพที่สุดไปด้วยแต่ตอนนี้มันกลับออกมาตรงหน้าเค้าและพวกพ้องอีกครั้งนึงความกลัวความรู้สึกที่บรรยายไม่หมดได้เข้ามาจู่โจมจนเค้าได้แต่กำมือแน่นซึ่งทุกคนต่างก็ได้แต่มองด้วยความตะลึงใจในภัยร้ายที่อาจก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งในเมอริเซียแห่งนี้
Logged


Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« Reply #7 on: March 14, 2006, 02:57:04 PM »

ตอนที่4
น้ำตาของเจ้าชายแห่งสายลม

"ปีศาจอย่างพวกแกบังอาจนักมาถล่มเมืองของข้าพลธนู!!"

ซิกมันต์ยกมือขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พวกปีศาจแห่งบาปเหล่านั้นทำให้พระองค์ต้องกลายเป็นตัวตลกที่มาหาเรื่องผู้อื่น

"ยิง!!!!"
สิ้นคำเสียงของซิกมันต์ที่3ลูกธนูนับห่าฝนต่างถูกยิงไปที่เหล่าปีศาจซินพวกนั้น

"กระจอก!!"

ซินแห่งความโลภ(Greed)เพียงพัดปีกเล็กๆของตัวเองเบาๆลูกธนูถึงกับหยุดร่วงลงพื้นในทันทีซิกมันต์ถึงกับตกใจในความรุนแรงของพายุที่สามารถหยุดลูกธนูที่ยิงด้วยความเร็วและแรงที่สุดในฟีเลเซียได้อย่างง่ายดายแต่พระองค์ก็ยังไม่ยอมแพ้

"ทหารผู้หาญกล้าแห่งฟีเลเซียบุก!!"
สิ้นคำพูดของกษัตริย์แห่งดินแดนสายลมทหารนับหมื่นต่างวิ่งฮือบุกไปหาเหล่าปีศาจนั้นโดยแบ่งฝ่ายโอบล้อมพวกนั้นไว้แล้วค่อยๆใช้บันใดพาดตัวเองขึ้นไปแต่ดูเหมือนปีศาจเหล่านั้นจะไม่หวาดกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อย

"เจ้าจงไปต้อนรับพวกมันให้ดี"

ซินแห่งความโกรธแค้นใช้ดาบขนาดใหญ่ของมันปักลงพื้นทันใดนั้นก็มีลูกบอลทมิฬโผล่ขึ้นมาทุกคต่างจับตาจ้องมองไปที่ลูกบอลเหล่านั้นทันทีที่ซินแห่งความโกรธแค้นชูดาบขึ้นลุกบอลนั้นก็แตกออกแสดงร่างปีศาจตัวเล็กผิวสีม่วงอ่อนบินลงมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วยพวกนั้นต่างใช้ธนูยิงใส่เหล่าทหารแห่งฟีเลเซียจากข้างบนจยล้มฮือตายไปจำนวนมาก

"ไอพวกปีศาจ"

ซิกมันต์กล่าวอย่างเจ็บใจเพราะตอนนี้พวกปีศาจเหล่านั้นตั้งกองทัพไว้ที่สูงกว่ามากทำให้การบุกจู่โจมนั้นเสียเปรียบกว่าอย่างมากแต่พระองค์เองก็จะปล่อยไม่จับการอะไรก็จะเป็นที่ย่ำยีของผู้คนซะอีก

"ท่านชาร์ลฝากท่านดูแลเรื่องในกองทัพก่อนด้วย"
ซิกมันต์พูดจบก็ดึงดาบออกจากฝักพร้อมขึ้นไปบนเปกาซัสปีกสีรุ้งที่อยู่ข้างกายพระองค์

"ท่านซิกมันต์อย่าพึ่งไปโปรดรอก่อนตอนนี้กองทัพของเรายังสับสนวุ่นวายอยู่โปรดรอให้กองทัพสงบลงก่อนเถิด"ชาร์ลลงมาทำท่าเคารพคุกเข่าแบบทหารบอกแก่ซิกมันต์ทุกอย่าง

"ตลอดชีวิตของข้าข้าต้องให้ศัตรูย่ำเหยียบศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซียมาหลายต่อหลายครั้งข้าไม่อาจเห็นเกียรติ์ของพีเลเซียต้องถูกทำลายโดยไม่ทำอะไรได้อีกต่อไป"

ซิกมันต์พูดเสียงแข็งพร้อมควบเปกาซัสไปพร้อมเหล่ากองทัพเปกาซัสกว่า3พันนายซึ่งกองทัพเปกาซัสนั้นก็สามารถฝ่ากองทัพปีศาจไปได้อย่างไม่ยากเย็นนักจนตอนนี้ทั้งกองทัพได้มาอยู่ตรงหน้าปีศาจแห่งบาปพวกนี้แล้ว

"เจ้าปีศาจด้วยเกียรติ์แห่งฟีเลเซียแล้วข้าต้องสังหารพวกเจ้าให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่ซากธุลี"

ซิกมันต์กล่าวตวาดพร้อมควบเปกาซัสเข้าไปใกล้ปีศาจพวกนั้น

กิ้ง!!

ซินแห่งการแก้แค้นเข้ามาแทกไว้พร้อมปัดดาบของซิกมันต์กลับไปได้อย่างง่ายดาย

"งั้นแกก็ต้องมาเป็นเครื่องบูชายัญของเกียรติ์แห่งฟีเลเซียก่อนใคร"

ซิกมันต์ควบเปกาซัสไปใกล้แล้วฟาดฟันใส่ซินแห่งการแก้แค้นอย่างหนักหน่วงแต่ไม่ว่าจะฟาดฟันยังไงปีศาจที่เต็มไปด้วยความอาฆาตนี้ก็รับได้ทุกกระบวนท่าถึงพระองค์จะตวัดดาบได้รวดเร็วยังไงแต่ปีศาจตนนี้ก็ยังรับได้หมดแถมท่าทางของมันนั้นก็ยังดูเหมือนเพียงเล่นๆเท่านั้นยิ่งทำให้กษัตริย์หนุ่มโกรธยิ่งขึ้นจนปีศาจซินนั้นปัดดาบของพระองค์ไว้ได้แล้วแทงไปที่เปกาซัสปีกสีรุ้งทำให้ม้าปีกสีรุ้งนั้นบินบิดไปมาอย่างเจ็บปวดจนร่วงสู้พื้น

"ท่านซิกมันต์!!"
ชาร์ล วิ่งเข้ามาดูตรงม้าปีกสีรุ้งที่นอนเจ็บออดแอดๆแต่พอดูแล้วก็ไม่เห็นร่างของกษัตริย์แห่งสายคมเลย

"ฮึ้ย!!"
ซิกมันต์สามารถเกาะเชิงหน้าผาไว้ได้แต่อีกมือนึงก็ต้องปัดป้องคมดาบของซินแห่งการแก้แค้นไว้อย่างยากลำบากแถมตัวพระองค์เองยังต้องคอยปัดลูกธนูจำนวนมากที่หลงมาจากปะทะกันของปีศาจเหล่านั้น

"ไอพวกปีศาจชั่วร้าย"
เรจิน่าถือดาบขึ้นพร้อมสาดคลื่นดาบสีเขียวที่ส่องประกายไปทั่วจนเหล่าปีศาจตัวเล็กตัวน้อยนั้นหายไปกว่าครึ่งกองทัพ

"ท่านแฮริสันข้ารู้ว่าตอนนี้เหตุการณ์คงทำให้ท่านต้องแปลกใจแต่ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องพึ่งพลังของพวกท่านอีกครั้ง"

"ไม่ได้!ท่านพี่ข้าเคยสัญญาต่อท่านนางฟ้าแห่งดาบไปแล้วว่าจะไม่ขอให้เกียรต์ของพระองค์ต้องหม่นหมองด้วยการต้องยื่นมือใครอีก"
ซิกมันต์กล่าวห้ามแต่เรจิน่าก็ต้องตะโกนกลับไปทันที

"ข้ารุ้ซิกมันต์แต่ศึกคราวนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักพลังของพวกเราก็ไม่แน่ว่าอาจเอาชนะพวกมันได้ถ้าหากต้องสูญเสียน้องไปทหารฟีเลเซียต้องหมดกำลังใจในการรบแน่ดังนั้นเราต้องรักษาชีวิตน้องไว้ก่อน"

ซิกมันต์ที่ได้ฟังพี่สาวบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงทำใหห้อึกอักจะปฏิเศษความหวังดีของพี่สาวก็ลำบากยิ่งนักเพราะตัวพระองค์เองถ้าต้องเสียชีพในการรบอย่างผู้แพ้จะกลายเป็นที่ครหาไปชั่วกาลปวสาน

"ข้าขอตกลง..ท่ารทราเฮรินโปรดไปออกคำสั่งให้กองทัพสมิง กองทัพเคนเทารอส กองทัพนักาในฟูดินันมาเพื่อช่วยเหลือฟีเลเซียในครั้งนี้"

"ทราบแล้ว!!"

ไว้มาต่อทีหลังนะครับ
Logged


Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« Reply #8 on: March 15, 2006, 02:21:37 PM »

มาต่อจากตอนที่4แล้วครับพอต่อแล้วคงหยุดแต่งไปพักนึงหน่อยเพราะต้องตั้งไอเดียที่ไม่ละเมิดลิคสิทธิ์ซัม

กองทัพฟีเลเซียและกองทัพฟูดินันได้เข้าร่วมฟาดฟันใส่กองทัพปีศาจของเหล่าบาปร้ายอย่างเต็มกำลังแต่มีเพียงซิกมันต์ที่3กษัตริย์แหงฟีเลเซียเท่านั้นที่ยังฟาดฟันกับ1ในบาปทั้ง9อย่างยากลำบาก


"โอ้ววว!!!!"

ซิกมันต์ควงดาบสีเงินเข้าไปฟาดฟันใส่ซินแห่งการแก้แค้นอย่างรวดเร็วกว่าครั้งใหนๆในชีวิตพระองค์แต่ราวกับว่ากายนั้นทำตามไม่ได้เต็มที่เพราะตนนั้นต้องถึงกับมาพึ่งกำลังของชาวป่านั้นก็นับว่าเป็นการยอมรับว่าพระองค์นั้นไร้ฝีมือที่จะปกป้องฟีเลเซียด้วยตัวเอง

"น่าเบื่อซะจริง"

ซินแห่งการแก้แค้นรำพันขึ้นมาพร้อมปัดดาบของซิกมันต์ไปก่อนทีนึงหลังจากนั้นซินแห่งการแก้แค้นก็ชูดาบสีนิลของตัวเองเหนือหัวของตนพร้อมใช้ดาบนั้นแทงเข้าที่หัวของตัวเอง

"ทำอะไรกัน?"

ซิกมันต์ได้แต่ครุ่นคิดด้วยความแปลกใจที่ซินแห่งการแก้แค้นนั้นเอาดาบทำร้ายตัวเองทำไม

แต่ขณะที่พระองค์กำลังคิดอยู่นั้นดาบที่ปักหัวของซินแห่งการแก้แค้นนั้นก็ได้ปล่อยคลื่นทมิฬที่แทบจะมองไม่เห็นออกมาแต่โชคของพระองค์ยังดีที่ก้มตัวหลบคมดาบได้ทันไม่งั้นนตัวพระองค์คงต้องขาดกระจุยเหมือนปีศาจตัวเล็กน้อยที่บินอยู่รอบๆพระองค์เสียแล้ว

"อา.."

ซิกมันต์นั้นก็ได้รับบาดเจ็บจากคลื่นนั้นเล็กน้อยแตเพียงถากๆก็ทำให้กายของพระองค์นั้นบอบช้ำได้หากโดนเข้าเต็มที่ชีพของพระองค์ก็คงต้องมอดม้วยไปด้วยแน่

แต่ทันทีที่พระองค์เงยหน้าดูก็เห็นหน้าของซินแห่งการแก้แค้นอยู่ตรงหน้าพระองค์แล้วเวลานั้นพระองค์ผู้ซึ่งกล้าหาญไม่เคยกลัวต่อสิ่งใดๆนั้นกลับเกิดความรู้สึกอย่างนึงในใจของพระองค์ความรู้สึกอยากเบือนหน้าหนีไม่อยากจ้องมองมันอีกต่อไปทำให้พระองค์ถึงกับต้องร่นถอยออก

"ตาย.."

ซินแห่งการแก้แค้นกล่าวพร้อมชูดาบขึ้นเหนือหัวของซิกมันต์แล้วฟาดฟันใส่อย่างเต็มแรงใบดาบสีนิลของมันนั้นได้ฟันเข้ากายของพระองค์จนเกราะสีเขียวมรกตแตกเป็นเสี่ยงๆเลือดสีแดงที่ใหลกระโชกออกมาจากกายนั้นถึงกับทำให้ซิกมันต์ที่3ตาเหลือกมองร่างตัวเองอย่างยากลำบากก่อนที่ร่างของพระองค์จะร่วงลงไปสู่พื้นข้างล่าง

"ท่านซิกมันต์!!"

บิช็อบป์ตะโกนด้วยเสียงดังก้องที่เห็นกษัตริย์แห่งฟีเลเซียได้ร่วงลงมาจากหน้าผาสูงด้วยสภาพกายเปลื้อนเลือดเกราะที่แตกเป็นเสี่ยงๆดวงตาของพระองค์นั้นก็หม่นหมองราวกับคนตายไปแล้วแต่ยังดีที่องค์หญิง
เรจิน่าที่กำลังสู้อยู่ใกล้ๆนั้นเข้าไปรับกายของกษัตริย์แห่งสายลมที่ตอนนี้นอนตาค้างน้ำตารินใหลอย่างไม่ได้สติอะไร

"ซิกมันต์!ซิกมันต์!!"

เรจิน่าพูดเสียงดังราวกับสิ้นสติเพราะร่างของน้องชายร่วมสายเลือดนั้นกำลังนอนน้ำตารินอย่างคนตายเธอนั้นแทบทำอะไรไม่ถูกแต่เธอก็ได้รบฝ่านำร่างของกษัตริย์แห่งสายลมออกไปก่อนที่จะแก้ไขอะไรไม่ทัน

"ข้าขอละกัน"

ซินแห่งความโลภที่บินพัดกระพือปีกอยู่บนฟ้าได้พัดปีศาจตัวน้อยจำนวนนึงมาพวกนั้นต่างถูกดูดเข้าไปในร่างของซินแห่งความโลภตัวนี้ทันใดนั้นร่างของมันก็ส่องแสงสีเขียวจ้าไปทั่วจนท้องฟ้านั้นเปลี่ยนสีไปเป็นสีดำครึ้มไปทั่วฟ้าซินแห่งความโลภนั้นบินสูงเหนือฟ้ามองมาที่เหล่าทหารแห่งดินแดนสายลมและภูผาที่ยังจ้องมองว่ามันจะทำอะไร

ทันทีที่มันเริ่มแบมือนั้นก็เกิดคลื่นแสงสีเขียวจากมือของมันระยะนั้นกว้างขวางมากมหาศาลรัศมีของคลื่นปีศาจของมันนั้นคอบคลุมไปถึงเมืองวอลเนียแทบที่จะคลุมไปถึงมหาพฤกษชาติได้แต่ขณะที่ทุกคนนั้นกำลังตกตะลึงก็มีดาบสั้นสีขาวเล่มนึงถูกเขวี้ยงลงมาที่พื้นหน้ากองทัพแห่งสายลมและภูผาเล็กน้อยทันใดนั้นแสงสว่างจ้าทำให้แม้แต่เหล่าซินต้องร่นถอยไปเล็กน้อยทันทีที่แสงสลายหายไปกองทัพแห่งแดนสายลมนั้นก็หายไปทันทีแต่เมืองวอลเนียนั้นกลับยังอยู่ดีไม่มีร่องรอยของการถูกจู่โจมแต่ใด

"..พลาดไปรึ..น่าเสียดายจริง"

ซินแห่งความโลภกล่าวแบบไม่รู้สึกอะไรนักก่อนที่เหล่าบาปทั้ง9นั้นจะสลายหายตัวกลายเป็นกลุ่มควันหลากสีก่อนหายไปพร้อมกับก้อนเมฆที่หายไปพร้อมกับเหล่าบาปวพกนั้น

Logged


Pa-5
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 157


« Reply #9 on: June 06, 2006, 12:16:11 AM »

ตอนที่5
หัวใจแห่งความทรนง

"ว้าก!!....อ้ากกกก!!.....ว้ากกกกกก!!!!"
กษัตริย์แห่งแดนแห่งสายลมที่ได้แต่ใช้ดาบของพระองค์ฟาดฟันใส่ต้นไม้ในเขตอุทยานของตนอย่างบ้าคลั่งโดยที่กายนั้นพัดไปด้วยผ้าพันแผลไปทั่วอกแต่พระองค์กลับฟาดฟันใส่ต้นไม้พวกนั้นอย่างคนไร้สติ

"ฝ่าบาท...ได้โปรดอย่าฉุนเฉียวอยู่เช่นนี้เลย...โปรดไปรักษาพระวรกายให้แข็งแรงก่อนเถอะ"

เหล่าทหารระดับแม่ทัพทั้งหลายต่างพยายามห้ามปรามกษัตริย์องค์นี้แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นราวกับเป็นเชื้อน้ำมันที่ไปจุดเติมไฟในตะเกียงทำให้ไฟนั้นลุกโหมกระหน่ำมากขึ้นพระองค์หยิบดาบไปฟาดฟันใส่ก้อนหินที่อยู่ข้างๆแทน

กิ้ง!!!!

แทบไม่เชื่อสายตาของทุกๆคนที่มองอยู่รอบๆ...ดาบเล่มงามที่อยู่ข้างกายพระองค์ตลอดมาอาวุธที่ฟาดฟันใส่อริศัตรูของพระองค์จนดาวดิ้นมานับไม่ถ้วน....อาวุธที่พระองค์ได้หวงแหนมาตลอดในตอนนี้ได้ใบดาบได้หักออกเป็น2ท่อนลอยลิ่วไปปักอยู่บนพื้นดินสะท้อนแสงตะวันที่ฉายบนท้องฟ้าจนซิกมันต์ที่3นั้นก็ได้แต่มองด้วยดวงตาเปิดโผล่กว้าง

"...แม้แต่ท่าน...แม้แต่พระเจ้าก็ยังหันหลังให้แก่ข้างั้นรึ..."
ซิกมันต์ทรุดลงกับพื้นมองดูด้ามดาบของตนที่ใบดาบกับด้ามดาบนั้นแยกออกจากกันเป็น2ส่วนโดยมีเหล่าแม่ทัพทหารชั้นเลวนักบวชรวมถึงพี่สาวร่วมโลหิตเรจิน่า บุคคลที่พระองค์วางใจมากที่สุด บิชอลป์ หรือแม้แต่บุคคลที่พระองค์เคยดูหมิ่นในตอนวัยเยาว์อย่างแฮริสันรวมทั้งน้องสาววานาอันและอิสฮานที่ดูอยู่ห่างๆ

"หึ...ฮ่าๆๆๆๆน่าสมเพสจริงๆ"

"ข้า...คงไม่เหมาะที่จะเป็นกษัตริย์แห่งฟีเลเซียอีกต่อไปแล้วสิ...งั้นอยู่ไปก็อายต่อฟ้าข้าขอตายดีกว่า!!!!!"

ซิกมันต์หยิบด้ามดาบที่ยังพอมีใบดาบยาวเล็กน้อยขึ้นและพุ่งแทงเข้าที่ร่างกายตัวเอง

เคร้ง!!!

ด้ามดาบปลิวกระเด็นไปเสียบบนพื้นหญ้าสีเขียวอ่อนท่ามกลางความตื่นตกใจของเหล่าทหารแม่ทัพคนสนิทโดยมีร่างของคาร์นชาวสมิงอันใหญ่โตยืนอยู่เหนือพระองค์

"ช่างน่าสมเพส..."
คำพูดของคาร์นทำให้ซิกมันต์มองด้วยแววตาชิงชังชาวป่าตรงหน้ายิ่งนักที่พระองค์ต้องมาถูกชาวป่าไร้ยศถานันดรศักดิ์มาพูดจาแบบนี้ใส่

"เจ้า...บังอาจกล่าววาจาไม่ให้เกียรต์พระองค์เช่นนี้"
แม่ทัพคนนึงจะชักดาบออกจากฝักแต่ก่อนที่ดาบนั้นจะออกจากฝักมือสีแดงฉานก็โผล่มาที่คอของแม่ทัพคนนั้น

"ขออภัย...แต่ข้าว่าท่านควรฟังเหตุผลของคาร์นดูก่อน"

แม่ทัพได้แต่สะอึกกลืนน้ำลายตัวเองแล้วเก็บดาบของตัวเองลงอย่างช้าๆพร้อมร่อนถอยออกไป

"ตัวท่านในตอนนี้ข้าว่าไม่มีวันที่จะไปสู้กับใครได้อีกต่อไปแล้ว...อย่าว่าข้าเลยทั้งฟาดริด ท่านแฮริสันท่านอิสฮานก็เอาชนะท่านได้ด้วยซ้ำไป"

"เจ้า!!!"
ซิกมันต์โพล่งออกมาด้วยโทสะที่โพยพุ่งเหล่าแม่ทัพและทหารต่างพยายามเข้าไปแยกคาร์นออกมาเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อกษัตริย์แห่งแดนสายลมไปมากกว่านี้แต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะพละกำลังของคนเป็น10ก็ยังลากคาร์นให้ออกไปไม่ได้แค่คาร์นสะบัดกายเบาๆพวกนั้นต่างกระเด็นไปหลายทิศทาง

ตึ้ง!!!!

คาร์นปักดาบสีดำขนาดใหญ่ลงบนหญ้าตรงหน้าซิกมันต์ที่3ซึ่งคาร์นเองนั้นก็ได้เดินห่างซิกมันต์ที่3ออกมาประมาณ10ก้าวได้พร้อมชักดาบสีดำแดงออกมา

"กษัตริย์แห่งฟีเลเซียซิกมันต์ที่3...ถ้าท่านยังคงเป็นผู้ซึ่งทรนงในสายเลือดแห่งกษัตริย์นักรบเหมือนที่บรรพชนของท่านได้ทำขึ้นอยู่ก็จบจับดาบมาสู้กับข้า..."

ซิกมันต์มองสายตากลมโตของคาร์นอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมจับดาบเล่มนั้นยกขึ้นอย่างมั่นคง

"รับมือ!!!!"
ซิกมันต์ที่3วิ่งเข้าไปพร้อมฟาดดาบใส่คาร์นด้วยความรุนแรงและความรวดเร็วแต่คาร์นกลับใช้ดาบสีแดงดำของตนรับดาบที่ซิกมันต์ฟาดใส่ได้อย่างง่ายดาย

คาร์นพลิกดาบกลับด้านเป็นด้านที่ไม่มีคมแล้วปัดซิกมันต์กระเด็นไปกระแทกต้นไม้ทรุดลงนั่งบนพื้น

"ท่านซิกมันต์!!"
เหล่าทหารต่างชักดาบหอกของตัวเองออกมาแล้ววิ่งไปขวางร่างอันใหญ่โตของคาร์นไว้ให้ห่างจากร่างของกษัตริย์หนุ่มที่นั่งหมดอาลัยตายอยาก

"ท่านซิกมันต์...บรรพชนของท่านกำลังร้องให้"
คำพูดของคาร์นทำให้ซิกมันต์สะดุ้งขึ้นมาแต่ก็ยังไม่เงยหน้ามองใครทั้งนั้นคาร์นกล่าวซ้ำอีก

"ข้าได้ยินมาว่าท่านซิกมันต์ที่2ได้เข้าจ่อสู้กับมังกรไฮดราที่ดุร้ายและมีพิษอันร้ายกาจอย่างห้าวหาญจนตัวต้องสิ้นไปแต่ก็ยังสามารถที่จะปราบมันลงได้ถ้าท่านซิกมันต์ที่2ได้มาเห็นสภาพท่านในตอนนี้วิญญาณของท่านก็คงไม่อาจกลับสู้ความว่างเปล่าได้ชั่วนิรันด์"

"...แก..."

"ข้าจะให้เวลาท่าน10วันในเวลาที่ดวงตะวันตั้งอยู่กลางฟากฟ้าให้ท่านมายังหน้าเมืองวอลเนียของท่านเองเพื่อแสดงให้เห็นว่ากษัตริย์แห่งนักรบนั้นได้พ่ายแพ้ต่อชาวป่าเผ่าสมิงอย่างหมดสิ้นสภาพ"

"หากแกกล่าววาจาเสียมารยาทต่อฝ่าบาทอีกพวกข้าจะขอลงโทษพวกแกเอง!!!"
เหล่าแม่ทัพต่างมองคาร์นด้วยแววตาชิงชังโกรธแค้นราวกับว่าพร้อมที่จะพุ่งสรรพอาวุธใส่ในทันที

"พวกท่านก็เหมือนกัน...ข้าหวังว่าพวกท่านจะช่วยให้กษัตริย์ของพวกท่านกลับมาเป็นวีรชนที่น่าศรัทธาอีกครั้งนึง...ถ้าพวกท่านทำได้ข้าจะขอมอบหัวของข้าให้เพื่อเป็นการขอโทษที่ล่วงเกิน...แต่..."

คาร์นมองไปที่ซิกมันต์ที่ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

"ถ้าหากพวกท่านทำไม่ได้...วิญญาณของท่านซิกมันต์ที่1และ2คงต้องไร้ที่หลักแหล่งไปชั่วนิรันดิ์"
พวกแม่ทัพทหารต่างได้ฟังคำพูดของคาร์นแล้วต่างโทสะเต็มใบหน้าของทุกคนเพราะที่คาร์นกล่าวถึงนั้นคือการทำลายสุสานที่พักพิงทางวิญญาณของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียทั้ง2ในอดีตนับว่าเป็นการหยามเกียรต์ของแดนนี้อย่างสูงสุด

"10วัน...ท่านซิกมันต์ที่3...10วัน"คาร์นเดินออกไปจากอุทยานของเมืองวอลเนียโดยทุกสายตานั้นต่างมองอย่างชิงชังโดยพวกแฮริสันนั้นก็ได้แต่แปลกใจเปล่งเสียงพูโม่ออกด้วยซ้ำไป

« Last Edit: June 06, 2006, 12:47:57 AM by Pa-5 » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.1 seconds with 20 queries.