Summoner Master Forum
October 01, 2024, 08:28:56 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1] 2  All
  Print  
Author Topic: นิยายภาคคู่ขนาน แสงสว่างในความมืดและอสุราในแดนทิพ  (Read 10968 times)
0 Members and 8 Guests are viewing this topic.
lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« on: February 04, 2006, 03:18:07 PM »

ตอนที่ 1 ความเมตตาแห่งพระเจ้า
        เมื่อสงครามแห่งความว้างวุ้นและสับสนได้ผ่านไป การสละชีวิตของเจ้าหญิงอลาน่าได้ทำให้พื้นแผ่นดินกลับมาสงบอีกครั้ง แต่มันจะเป็นเช่นนั้นได้อีกนานแค่ใหน...
           วิโอเรีย พระราชินีแห่งแอนดิซอง(Vioria, the queen of annedisong) นางยืดครองอำนาจทั้งหมดของแอนดิซองเข้ามาไว้ที่ตัวนาง และให้อำนาจทางสมาคมพ่อค้าเก็บภาษีนำเข้าราคาสูง และแทรกแซงเหล่าราชสำนักในประเทศต่างๆ ไม่แม้แต่ประเทศในพันธมิตรอย่างฟรีเลเซีย แต่นางมิได้หวังเพียงเท่านั้น นางหวังในตัวของอองเดร(Andre, The military's regent of annedisong) ราชองค์รักผู้ตรอมใจตั้งแต่อลาน่าสละจิตสู่แดนสวรรค์
         ราชอาณาจักรซาโลมที่กำลังฟื้นฟูตัวอยู่นั้นโดยได้รับการช่วยเหลือจากฟุดินันในเรื่องอาหาร ม้าเร็วจากราชสำนักแอนดิซองตรงมายังมหาปราสาทใหม่ของซาโลม ปราสาทอิมพรีรา(Imprera, the grand castle of zalom) อันเป็นทองคำอันล้ำค่าล้วนๆ ส่องแสงสวยงามแต่ไกล
         "จักรพรรดิ์อิสฮาน(Ishan, The king of Zalom) มีสารจากราชสำนักแอนดิซองมาครับ"
            "วันนี้แอนดิซองจะขึ้นราคาสิ่งใดอีก"อิสฮานกล่าวจบก็เดินตรงไปที่พระบัญลัง ก่อนที่ประตูใหญ่จะเปิดออกรับคนส่งสาร
         "เรา ทาเลน แห่ง อิเลียน(Talen, the knight of illian) ผู้นำสารแห่งสมเด็จพระราชินีวิโอเรีย"
            "มีอะไรว่ามา ทาเลน ข้าฟังอยู่"
            "วันนี้ทางสมเด็จพระราชินีเล็งเห็นว่าทางซาโลมเริ่มฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้ง จึงมีพระประสงค์ ปรับราคาการแลกเปลี่ยนจาก 1 เอลอน(Alon)(เงินของแอนดิซอง)เป็น 1 กอนดาเซดอน(Gonda-Zedon)(เงินที่เป็นเหรียญทองคำของซาโลมซึ่งมีค่ามากที่สุด 1กอนดาเซดอน เป็น 1 พันเซดอน)เนื่องด้วยทางแอนดิซองต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการบูรณะเมื่องท่าทั้งหลายและปกป้องลุ้มน้ำที่ทางการค้ากับซาโลม อีกทั้งแอนดิซองนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมากจากซาโลม พระองค์ทรงเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะปรับอัตราการแลกเปลี่ยนของแอนดิซองกับซาโลมให้เป็นจริง"
            "อะไรนะ!"อิสฮานกล่าวพร้องกระโดดขึ้นจากบัญลัง หน้าแดงด้วยความโกรธ
         "กลับไปบอก สมเด็จพระราชินีของเจ้าว่าองค์จักรพรรดิ์ซาโลมได้รับสารแล้ว"เสียงของสตรีอันอ่อนโยนดังมาก่อนที่ประตูจะเปิดออกแห่งสว่างยามบ่ายที่ทอดสู่อาภรของเธอทำให้เกิดแสงสะท้อนราวกับเป็นนางฟ้าจากสวรรค์ อาภรของนางเป็นผ้ายาวลากพื้นและผ้าคลุมที่พลิ้วตามสายลม ที่ผ้ามีสัญลักษณ์ของฟูดินันอันสวยงามประดับด้วยดายแห่งแสง วานาแอน!(Wanaan, The high royal princess of fudenun) เมื่อทาเลนได้ฟังเช่นนั้นก็ขอตัวออกไป วานาแอนเดินตรงมายังอิสฮานกดเข้าให้นั้งลงบนสุวรรณบัญลังอีกครั้ง
         "ทำเช่นนั้นจะทำให้ซาโลมพินาศ"
            "ท่านก็ระมัดระวังเรื่องการแลกเปลี่ยนกับแอนดิซองขึ้น"
            "แต่ที่แอนดิซองทำมันหมายถึงจะทำการค้ากันบราชสำนักซาโลมโดยตรง"
            "เหตุใดละ อิสฮาน?"
            "กอนดาเซดอนเป็นเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนของพระคลังสินค้าในการค้าขาย นางกำลังบีบให้เราหล้มสลาย นางราชินีเลือดเย็น"
            "ถ้าไม่ทำเราก็รู้ดีว่านางจะทำสิ่งใด ลำพังตอนนี้เราก็สู้กองทัพของแอนดิซองไม่ได้ท่านก็รู้ว่าเราเสียมากแค่ใหนในสงครามครั้งที่แล้ว"
            "ข้าอยากถามเจ้าว่าถ้าสงครามครั้งนี้มิได้เกิดจากซาโลม ฟูดินันจะร่วมใหม"อิสฮานถามขึ้น วานาแอนมองเขาอยากไม่เชื่อสายตาว่าอิสฮานจะกล่าวคำนั้นขึ้นมา เธอถอยเล็กน้อย
         "ท่านต้องส่งสารไปที่ฟูดินันเอง"นางกล่าวจบก็เดินออกไป
         "จัดสารปฏิเสฐข้อตกลงกับแอนดิซอง!"อิสฮานกล่าวจบคนในท้องพระโรงก็วิ้งวุ้นจัดเตรียมของ
             
         ราชสารของอิสฮานถูกฉีกกับมือของนาง พระราชินีวิโอเรีย นางปาลงใส่หน้าของราชทูตของซาโลม
         "กลับไปบอกจักรพรรดิ์หนุ่มของเจ้าว่าจะรู้ว่าผู้ที่ปฏิเสฐความหวังดีของแอนดิซองจะเป็นเช่นใด" นางกล่าวจบราชทูตก็เดินทางกลับทันที ราชสำนักแอนดิซองเงียบไปสักพักก่อนที่นาง พระราชินีแห่งแอนดิซองจะหัวเหราะเสียงดังลันท้องพระโรง
         "ดี จัดทัพปิดล้อมทั้งลุ้มน้ำแห่ง ยักดราซิล(Yggdrasil river) โดยเฉพาะ ปากน้ำของอารีน่า(Arrena water zone)และเซียฟรอน่า(Siarfrona water zone)ห้ามให้มีผู้ใดเข้าออก"นางสั่งเสร็จทหารก็ลุกรับคำสั่งแล้วเดินออกไป
         "งานนี้เราควรส่งสารไปที่ฟรีเลเซียให้ปิดทางการข่นส่งทางบก"
            "ก็ดีถ้ามันไม่ทำก็ขู่ไปว่าจะปิดการค้าขายไปเลย"นางกล่าวจบด้านราชทูตก็รับคำสั่งแล้วลุกไป วิโอเรียมองหาอองเดรแต่เขาไม่อยู่นี้
         "ไปบอกผู้สำเร็จราชการจอมทัพว่า ให้มาพบข้า"วิโอเรียกล่าวจบข้าบใช้ก็รีบวิ้งไป สักครู่อองเดรก็เข้ามาเขาอยู่ในชุดเกราะเงินใบหน้าทรุดโทรมแต่ยังสูงสง่าเช่นเดิม เขาเคารพวิโอเรียแล้วก็นิ่งไป
         "ข้าจัดทัพปิดล้อมฟูดินันและซาโลม อยากให้เจ้าจงไป บัญชาทัพให้กับข้า"วิโอเรียกล่าวจบอองเดรก็รับคำมาง่ายๆแล้วเดินออกไป
             
         เกรกอรี่เดินวนอยู่ที่ลานของวิหารฟราเซสก้า ก่อนจะมองรูปเคารพฟราเซสก้าน้างฟ้าผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้มาช้านาน พลันดวงตาก็เหมือนฝ่าเลือน แสงสว่างสีสาดมายังรูปเคารพเหมือนจะสว่างขึ้นมันเข้มขึ้นจนเหมือนทั่วทั้งตัวของเขามีแต่แสงสว่าง แต่เขาก็รีบมองขึ้นสู่ฟากฟ้า ราวกับเห็นสรวงสวรรค์อยู่เบื่องหน้า เหล่าเทพเช่น โดมินิกา(Dominica, the power of heaven),เจนิเฟอร์(Jennifer, the holy wing), แกรนดิครอส(Grandicoss, the dragon of saint) และฟรานเซสก้า(Francessga, the angel of sword) และที่สายตาของเขาไม่พลาดและจำได้เม้นยำคือ อลาน่า!(Alana, the angel of holy water) นางเป็นเทพแห่งเทียรามหาสวรรค์แล้ว ในอุ้มมือของเทพทั้ง 5 มีแสงสว่างบางอย่าง ที่กำลังตรงมาที่เขา ขนนกสีทอง(Goldden feather of generationer)และสีขาว(Light feather of protector) กับผ้าสีแดงเลือด(Blood's sink of destructor) ที่ลอยรอบราชสารที่เกรกอรี่รู้ดีว่าเป็นราชสารใด มาจากผู้ใดลอยมาที่มือของเขาพลันเขารับราชสารของ 3 สิ่งก็อันตธารหายไปพร้อมกับแสงจากสวรรค์
         เกรกอรี่รีบเปิดราชสารอ่านและเข้าก็รู้ทั้นทีว่าราชสารนี้ไม่ใช้สารธรรมดาเมื่อเข้าเห็นตราประทับที่ราชสาร ภาษาที่เขียนเป็นภาษาที่เขาแทบอ่านไม่ออก อัขระแห่งสรวงสวรรค์(The holy word of heaven) แต่เขาก็หลี่ตาลงอ่านมันช้าๆอีกครั้ง สารนี้มาล้าช้า 32 ปี!
            ...มะ..มหา...เทพ 3 พระองค์...ได้...เสด็จลง...มาจากสวรรค์ จง..ตาม.หา.ผู้ที่มีสิ่งที่เจ้าเห็น เมื่อเขาพบกัน แม้น 4 ดาบ 9 คาฑา 5 โล่ 3 จอก(The power weapon of Midgard) ก็มิอาจต้านทานพวกเขาได้...
            เกรกอรี่อ่านจบก็เดินตรงไปที่ภาพๆหนึ่งของวิหารแห่งนี้
         "อเลทาดอส(Aletados, the protector god) ดิวาทอร์(Devator, the destructor god) และ จีเนรอส(Generos, the generationer goddes) พวกท่านลงมา!"เกรกอรี่กล่าวจบก็รีบเดินออกมา ตรงไปยังสภาของเหล่านักบวช
         ขบวนนักบวชจำนวนมากออกเดินทางจากวิหารฟรานเซสก้าอย่างรวดเร็วกระจายไปที่ต่างๆ
               
         ด้านฟรีเลเซียเมื่อรับสารจากแอนดิซองก็ยิ่งวุ้นวายเดือดร้อนไปตามๆกัน สภาราชวงศ์ต้องเห็นด้วย แต่สภาขุนนางไม่เห็นบางไม่เห็นด้วยบ้างทำให้เป็นเรื่องที่พลัดผ่อนออกไปเรื่อย แต่คณะทูตของแอนดิซองก็บีบอยู่เสมอจนสุดท้ายก็ต้องตามสภาราชวงศ์
         "ส่งสารนี้ไปให้เกรกอรี่หรือยังซิกมัน"เรจิน่าถามขึ้นขณะที่ซิกมันกำลังเดินไปจัดทัพ
         "พี่ท่านทางเกรกอรี่น้องมิทราบว่าเกิดสิ่งใด กองทัพบีสของน้องแจ้งข่าวไปแล้วแต่เกรกอรี่พลัดผ่อนการแนะนำ และบอกว่าตอนนี้มีงานจากสวรรค์ที่ต้องทำ"
            "งานจากสวรรค์ งานอะไรอีกนะเหรอพี่อยากรู้จริงๆ"
            "น้องก็ไม่ทราบแต่น้องทราบมาว่านักบวชเกือบหมดออกจากวิหารไปตามที่ต่างๆ น้องสายมากแล้ว ต้องจัดทัพไปปิดชายแดนตะวันออก"ซิกมันกล่าวจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
« Last Edit: February 27, 2006, 11:45:15 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #1 on: February 04, 2006, 05:54:44 PM »

ตอนที่ 2 พบกันอีกครั้ง ประเทศใหม่ อลานิก้า
              หลังจากซาโลมได้ข่าวว่าฟูดินันโดนลอมก็รีบยกทัพลงมาเพื่อช่วยเหลือ ฟูดินันเองส่งสารไปให้คาร เจ้าของเผ่าทมิฬในป่า
              เมื่ออิสฮานเดินทางมาถึงฟูดินัน เขาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี นี้เป็นครั้งแรกที่ทัพของซาโลมเดินทางมาที่ฟูดินันอย่างสงบ
              "อิสฮานไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"ฮาริสันทักขึ้น
              "ครับเป็นไงบางครับที่นี้"
              "ก็เรื่อยๆไม่ค่อยมีอะไรเกิดขึ้นมากนักหรอกที่นี้ ได้ข่าวว่าฟรีเลเซียปิดชายแดนตะวันตกของซาโลมจริงเหรอ"
              "ครับก็คงจะโดนยายราชินีหน้าเลือดนั้นขู่เอา ตอนนี้ก็สั่งประชาชนไม่ให้เอะอะมากเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่อง แค่ตอนนี้ซาโลมก็ทำให้ฟูดินันแทบแย่แล้ว"
              "ได้ข่าวหรือยังว่ามาซิโอถูกปลดจากราชอำนาจของสังคราชใหญ่"
              "อะไรนะ!"
              "เมื่อวันก่อนแอนดิซองส่งสังคราชมาซิโอเดินทางไปสั่งให้เกรกอรี่ออกกฏอะไรบางอย่างนี้แหละที่มันไม่ค่อยดีต่อซาโลมเท่าไร"
              "คงเป็นเกี่ยวกับทรยศอะไรอีกนะสิ"
              "ใช่ๆ เห็นว่าเกรกอรี่ไม่ยอมเลยจะถูกนำปลดแต่อยู่ดีๆ เกรกอรี่ก็มีศิลาอาญาของพระเจ้าสั่งปลดมาซิโอก่อน เห็นว่าตอนนั้นเกรกอรี่พิโรษขึ้นด้วย ไปคุยกันต่อในปราสาทข้าเถอะ"
              "เดียวนี้ที่นี้สร้างปราสาทด้วยเหรอครับ"
              "เราเรียกมันว่า ปราสาทฟูดินันไฮคาเทียร"ฮาริสันกล่าวจบก็เดินนำเข้าปราสาทที่ตั้งอยู่บนหินผาที่นั้นถูกโอบรอมด้วยพืชพรรณจนคล้ายจะเป็นป่า
              อิสฮานเดินเขามากับฮาริสันก็พบกับวานาแอนกำลังอยู่ทามกลางเหล่าดอกไม้นานาพรรณที่เกิดขึ้นภายในปราสาทนางดูสวยไม่จางจนแทบจะสกดอิสฮานเอาไว้ก่อนที่นางจะลุกเดินช้าๆมาที่เขา
              "อิสฮานท่านจะทำยังงัยคราวนี้ ถ้าปิดแม่น้ำนานกว่านี้จะไม่เป็นผลดีกับฟูดินันแน่"
              "วานาแอนเขามาเหนื่อยๆเจ้าก็จะให้เขาไปสงครามเลยเหรอ"ฮาริสันกล่าวจบวานาแอนก็เดินออกไป
              "นางคงไม่โกรธข้าใช่ใหม"
              "โกรธเจ้านะสิพระว่านางไม่ชอบสงครามแม้แต่น้อย เจ้าพักสะหน่อยเดี๋ยวเย็นๆเราจะมาคุยกันเรื่องป้องกันฟูดินันเพราะดูเหมื่อนนางคงจะเอาให้เรียบทั้งฟูดินันและซาโลม"ฮาริสันกล่าวจบก็เดินนำพาอิสฮานไปยังห้องพักที่เตรียมไว้

              กองทัพเรื่อของแอนดิซองนับหมื่นที่นำโดยอองเดรกำลังเดินทางไปสมทบกับทัพที่อยู่ที่อ่าวฟูดินัน อองเดรมองคลื่นเบื่องหน้า มันตีคลื่นมาเป็นละลอกๆ ทุกคลื่นสูงเท่าๆกัน
              "ไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้จะเหมือนเดิมเช่นเจ้าเลย"อองเดรกล่าวจบพร้อมความเจ็บแปลบเข้าดวงใจ ครั้งหนึ่งที่เขาเคยยื่นอยู่ที่แห่งนี้ในอีกฐานะหนึ่งที่เข้ารักและอยากทำ มันหมดแล้วเป้าหมายในชีวิตของเขา พลันเขาก็รู้สึกเหมือนว่าเวลามันหยุดไปทั้งคลื่นทะเลและสายลม อองเดรคิดทันทีว่ามันคงถึงเวลาของเขาแล้ว เขาอาจจะหมดเวลามาตั้งแต่คราวนั้นแล้ว
               พลันเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างลอยลงมันคือคนที่เขารู้จักดี อลาน่า! เธอลอยลงมาหยุดอยู่หน้าเขา อองเดรคุกเข่าลงตรงหน้าของเธอทันทีมืออันอบอุ่นโอบกอดเขาเอาไว้พร้อมกับปีกทั้ง 8 คู่ของเธอที่อบอุ่นเข้าไปถึงในใจของอองเดร เธอมาเพื่อเขา เมื่อเธอคลายอ้อมกอดและลอยออกห่างจากอองเดร เขาก็มองเธอเอาไว้พร้อมทั้งหยดน้ำตาของชายอย่างเขาก็หยดลง อลาน่าสายศรีษะของเธอพร้อมทั้งร้องไหร้ออกมาก่อนจะลอยขึ้นสวรรค์อย่างรวดเร็ว
               "ข้าพระองค์ทราบแล้วความประสงค์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะอยู่ต่อเพื่อพระองค์เพราะพระองค์คือแอนดิซอง พระองค์คือนางฟ้าแห่งแอนดิซอง"อองเดรกล่าวจบก็รู้สึกว่าตัวเองกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งทหารจำนวนมากมองมาที่ตัวเขาอย่างแปลกใจ อองเดรลุกขึ้นก่อนจะหันมามองเหล่าทหารทั้งหลาย
               "ทหารทั้งหลายพวกเจ้ายังภักดีต่อองค์หญิงอลาน่าอยู่หรือไม่?"อองเดรถามขึ้นทหารก็เริ่มซุบซิบกัน
               "พวกเจ้ายังภักดีต่อข้าอยู่หรือไม่?"
               "พวกเราภักดีต่อท่านเสมอ ท่านผู้สำเร็จราชการจอมทัพ..."
               "พวกเจ้าภักดีต่อข้าเพราะข้าเป็นผู้สำเร็จราชการจอมทัพหรือเพราะข้าเป็นทหารเหมือนท่าน"
               "เพราะท่านเป็นทหาร..."
               "เอาละพี่น้องของข้าพวกท่านคิดยังงัยกับการปกครองของราชวงศ์ใหม่ พวกเขารีดไถ่พวกท่านมากขึ้นใช่ใหม พวกเขาไม่มีความเมตตาเหมือนดังราชวงศ์ที่ผ่านมาใช่ใหม ข้าของมีราคาแพงใช่ใหม พวกเราเหมือนจะกลับไปสู่ยุคแห่งความอดอยากอีกครั้งใช่ใหม  ตอนนี้แอนดิซองเข้าสู่ยุดมืดแล้วมีเพียงเราเท่านั้นที่จะกอบกู้แอนดิซองกลับมา บ้านเมืองพังเราซ้อมได้ พืชพรรณตายเราปลูกใหม่ได้ แต่ชีวิตของชาวเมืองแอนดิซองเราไม่อาจนำกลับมาได้ วันนี้ข้าได้พบกับเทพองค์หนึ่งที่มาเตือนถึงหายนะของส่งครามในเวลานี้ และเราจะไม่ร่วมส่งครามกับแอนดิซองอีกต่อไป ข้าขอออกจากผู้สำเร็จราชการจอมทัพ แต่ขอเป็นจอมทัพแห่งแอนดิซอง"อองเดรกล่าวจบทหารต่างโฮ่ร้องอย่างดีใจอองเดรชูมือให้ทุกคนเงียบไป
              "วันนี้แผนเราจะเปลียนเราจะไปยังเมืองท่าใหม่อลานิก้า และที่นั้นจะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของเรา พรุ้งนี้เช้าเราต้องได้นอนในเมื่องอลานิก้า"อองเดรกล่าวจบกองทัพก็เบนไปทางทิศใต้ลงไปหาเมืองอลานิก้า
              เมื่อมาถึงอองเดรก็ขับไล่พวกสมาคมพ่อค้าที่ยึดครองที่นี้อยู่ออกไปและปักธงใหม่ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศใหม่ อลานิก้า

              วิโอเรียได้รู้ว่าอองเดรทรยศนาง นางก็พิโรษมากขึ้นกว่าเดิม
              "จัดทัพใหญ่ฉันจะไปฟูดินันด้วยตัวฉันเอง"
              "แล้วอลานิก้าละพระองค์เมืองท่านั้นเป็นเมื่องท่าสำคัญในการแลกเปลี่ยนละแวกนั้น..."
              "อลานิก้าบ้าบออะไรฉันยังไม่สนไฟในดับตอนใหนก็ได้แต่ไฟนอกถ้าไม่ดับมันจะลามมารวมไฟในแล้วเจ้าจะเอาปัญญาที่ใหนดับ!"วิโอเรียกล่าวจบก็เดินออกไป
              เช้าวันรุ้งขึ้นทัพเรื่อใหญ่ก็เดินทางมาถึงอ่าวฟูดินัน มันกินอาณาบริเวณทั้งหมดของอ่าวและดูยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่แอนดิซองยกทัพมา

               ม้าเร็วของฮาริสันส่งสารไปให้คาร์นเจ้าของเผ่าทมิฬ และ ริซซิลวาเจ้าแห่งเหล่านางไม้ เกี่ยวกับสงครามที่แอนดิซองยกทัพมา
               เมื่อทัพของคารน์มาถึงฟูดินันก็ได้รับการตอนรับเป็นอย่างดี อีกทั้งทัพจากแคว้นต่างๆของซาโลมก็ยกมาภาพทัพใหญ่สุดลูกหูลูกตาในทะเลทำให้อิสฮานเริ่มหวั่น ในค่ำคืนนั้นเองทัพของเหล่านางไม้ก็ยกมา เมื่อริซซิลวานางมีผิวที่ขาวสะอาดสูงดังเอล และมีกลิ่นหอมของพรรณไม้เห็นคาร์นทั้งสองก็เหมือนจะสู่กัน
               "ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้าเรียกมันมาด้วยฮาริสัน"ริซซิลวากล่าวขึ้น
               "เดี๋ยวก่อนพวกท่าน นี้มันเรื่องอะไรกัน"ฮาริสันงงขึ้น
               "พวกคาร์นเข้ามาฆ่าพวกเราในป่า"
               "พวกท่านก็เอาคนของเราไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ"
               "พอเถอะท่านวันนี้เรามาเพื่อปกป้องพืนดินเดียวกัน ข้าไม่ต้องการให้เราฆ่ากันตายก่อนที่จะได้ทำอะไรเพื่อที่นี้"ฮาริสันกล่าวจบทั้งสองก็ถอยออกจากกัน
               "ข้าไม่มีทางสู้ข้างราชสีห์ตัวเหม็นเป็นอันขาด"ริซซิลวากล่าวจบก็เดินไปที่พัก
               "ข้าก็ไม่มีทางสู้ข้างนางอักษรพิษแห่งป่าเขาอย่างเจ้าหรอก"คาร์นกล่าวจบก็เดินไปที่ค่ายของตน
Logged


@rsen Wenger
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1351


Email
« Reply #2 on: February 04, 2006, 05:55:50 PM »

ผิดบอร์ดนะ
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #3 on: February 04, 2006, 08:08:16 PM »

ตอนที่ 3 มหาพฤกษาในเหมัน
             ก่อนที่รุ้งอรุณของวันใหม่จะสาดสองมาที่ฟูดินัน เหล่าผู้นำทั้ง 4 ก็ได้ประชุมกันในเรื่องของการจัดทัพ
             "ที่เขตหาดจะให้ทัพของฟูดินันกับซาโลมเป็นผู้ต้าน เราอยากให้พวกท่านไปทางเขตป่าอิซิเลียนที่เป็นป่าในเขตป่าน้ำอารีน่า และเซียรฟรอน่า ที่นั้นพวกท่านจะสะดวกว่าในการรบ"
             "ก็ดีแต่ถ้าหากทัพใหญ่ขึ้นมาทางหาดเราจะแบ่งกำลังไปช่วยทางนี้ด้วยละกัน"
             "ไม่ต้องหรอกท่านคาร์นเรามีทัพของซาโลมอยู่หน้าจะพอต้านไม่ให้พวกมันเข้ามาได้"อิสฮานกล่าวขึ้นคาร์นก็พยักหน้า
             "แล้วแผนสำลองถ้าทัพแตกละ"ริซซิลวาถามขึ้น
             "เราจะถอยกลับป้อมฟาทเบอร์ชายแดนระหว่างซาโลมกับฟูดินันที่นั้นจะต้านศึกอีกทาง"
             "แล้วยักดราซิลละ"
             "วานาแอนจะร่ายประตูมิติพล่างท่านไว้ อย่างน้อยต้อนนี้ท่านต้องปลอดภัยที่สุด"
             "ก็ถือว่าดี ตอนนี้ชาวเมืองก็อพยพขึ้นเหนือหมดแล้ว"ฮาริสันกล่าวจบก็ลุกขึ้น
             "ถึงเวลาแล้วขอให้พวกท่านโชคดี"ฮาริสันกล่าวพร้อมกับจับมือทุกๆคน

             วิโอเรียเดินทางมาถึงดูเชิงของูดินันอยู่หลายวัน และวันนี้เธอจะจัดการให้เรียบสั่งสอนพวกเขาให้รู้ถึงอำนาจของแอนดิซองอีกครั้ง
             "พระราชินีกองทัพพร้อมแล้วครับ"
             "บุกเข้าไป จัดการให้เรียบ"วิโอเรียกล่าวจบกองทัพมหาศาลก็ตรงขึ้นไปบนหาดของฟูดินัน

             เมื่อกองทัพของแอนดิซองเข้ามาก็ตั้งโล่เพื่อป้องกันจากลูกธนูที่ตรงมาหมายชีวิตที่ราวกันสายฝนและต่างก็เดินตรงเข้าไปจนก้องทัพเข้าตลุมบอนกันอยู่ยกใหญ่ อิสฮานและฮาริสันต่างช่วยกันต้านศึกสุดความสามารถ ขณะที่ฮาริสันพลาดท่าก็มีเหล่าเซนทรอเข้ามาช่วยเอาไว้กองทัพของเหล่าเซนทรอที่ยกมาช่วย
             "ขอบคุณ โอเดน"ฮาริสันกล่าวขอบคุณเจ้าเซนทรอ
             "พืนแผ่นดินนี้ก็ของเราเหมือนกัน ฮาริสันไม่ต้องขอบคุณหรอก"โอเดนกล่าวจบก็ตรงเข้าสนามรบ

             ที่ป่าอิซิเลียนก็มีกองทัพของแอนดิซองมาแอบขึ้นฝั่งอย่างที่คาดเอาไว้ คาร์นให้สัญญากับกองทัพในการเก็บที่ละเล็กที่ละน้อย และริซซิลวาก็ให้เหล่านางไม้ค่อยๆเก็บทหารของแอนดิซองเรื่อยๆ ความเงียบของป่ายิ่งทำให้ที่นี้หน้ากลัวและวังเวงทำให้เหล่าทหารของแอนดิซองหวาดกลัวมากขึ้น
              "ตัดต้นไม้ให้หมดดูสิว่ามันยังจะมีอะไรอีกใหม"นายทหารคนหนึ่งของแอนดิซองกล่าวขึ้นทหารก็เริ่มตัดต้นไม้ทำให้เหล่านางไม้เริ่มหนี คาร์นเห็นไม่ดีจึงสั่งทัพประทะโดยตรงกองทัพของคาร์นกับแอนดิซองจึงเขาประทะกัน ขณะเดียวกันที่เหล่านางไม้ก็ออกมาจับศรยิงช่วยเช่นกัน
              คาร์นบุกเข้ามาตกอยู่กลางวงล้อมของข้าศึกเขามีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ริซซิลวาพุ้งเป็นลำแสงเข้าช่วยเหลือคาร์นเอาไว้มันทำให้ทั้งคู่อยู่ในวงล้อมของศัตรูทั้งคู่หันหลังชนกันหมุนไปรอบๆ
              "ใหนเจ้าว่าจะไม่สู้ข้างๆราชสีห์ตัวเหม็นงัยละ"
              "ขอบคุณที่ช่วยพวกนางไม้ในตอนนั้น ถ้าท่านไม่ทำเราคงเสียนางไม้ไปจำนวนมาก"
              "เรื่องนั้นช่างมันเถอะว่าแต่เจ้ามาทำไม รู้อยู่ว่าเจ้าอาจตายได้"
              "เพื่อนย้อมไม่ทิ้งกัน กษัตริย์ย้อมไม่ทิ้งเพื่อนกษัตริย์"
              "เจ้าเป็นราชินีมิใช่เหรอ"
              "ข้าไม่หน้าเข้ามาช่วยท่านเลย"ริซซิลวากล่าวจบทั้งสองก็สู้ต้านเอาไว้
              "ริซซิลวายิงที่พวกมัน"คาร์นบอกให้เธอยิงให้เขาแต่ลูกธนูลูกหนึ่งก็ปักมาที่แข็นของเขา
              "ขอโทษที"คาร์นมองเธอด้วยสายตาเอาเรื่องก่อนที่เขาจะดึงลูกธนูออกพร้อมหักออก ทั้งคู่สู้พรางถอยพรางเข้าสู่ป่า
              "ระวัง!"คาร์นกล่าวขึ้นเมื่อถูกลอบทำรายเขาจับริซซิลเวียโยนไปที่แขนอีกข้างเพื่อหลบการโจมตีเธอหลบโดยเคลื่อนที่ไปรอบตัวคาร์นราวกับนางไหลไปรอบตัวของคาร์น
             
              "พวกนี้หน้าเบื่อจริงๆเลย หมดเวลาเล่นสนุกแล้วฟูดินัน"วิโอเรียกล่าวจบนางก็ชูคาฑาขึ้นฟ้าวาดรายเป็นคาถาเปลี่ยนแผ่นฟ้าบริเวณนั้นเป็นสีขาวบดบังแสงอาทิตย์จนดูท้องฟ้ามึดครื่ม แตรสังทัพให้ถอยของแอนดิซองดังขึ้นทหารแอนดิซองต่างวิ้งกลับมา

               อิสฮานมองกลุ่มเมฆนั้นก่อนจะคุ่มคิดว่าเป็นสิ่งใด
               "ยกทัพขึ้นเหนืออยู่หลังกองทัพเพลิง!"อิสฮานกล่าวจบทุกคนก็วิ่งไปอยู่หลังทัพซาโลม
               "นั้นคือสิ่งใดอิสฮาน"
               "นั้นเป็นมหาเวชสวรรค์ทลายฮาริสัน"
               "สวรรค์ทลาย!"ฮาริสันพูดขึ้นราวกับไม่เคยได้ยินมาก่อน พลันเสียงครืนราวกับฟ้าทล้มก็ดังขึ้นท้องฟ้าเหนือวิโอเรียก็แตกออก กลุ่มเมฆมันตกลงมาและไหลไปตามที่คาฑาของวิโอเรียสั่ง พลันที่มันสัมผัสกันพืนแผ่นดินแผ่นดินก็มีน้ำแข็งมาเกาะ และกระจายตัวออกผ่านทัพของซาโลมไปเหล่าจอมเวชไฟต่างรายคาถาสร้างบาเรียไปเอาไว้มันมาราวกับสวรรค์ทลายทุกแห่งถูกปรกคลุมด้วยน้ำแข็งเวชมนต์ที่แสงอาทิตย์ไม่สามารถละลายมันได้
               "ฮาริสัน! วานาแอนละ"
               "วานาแอนนางอยู่กับยักดราซิล"ฮาริสันพูดขึ้นอิสฮานก็รีบมองไปยังที่ๆยักดราซิลอยู่ ที่นั้นถูกปรกคลุมด้วยน้ำแข็งอิสฮานแทบหัวใจสลาย ทรุดลงกับพื้น
               "ถอยทัพเข้าป้อมฟาทเบอร์"ฮาริสันกล่าวจบทุกคนก็ถอยทัพไปยังชายแดนฟูดินันกับซาโลม เขาดึงอิสฮานขึ้นมาจากพื้น
               "น้ำแข็งเวชมนต์ไม่ฆ่าใครมันแค่ทำให้เราทำอะไรไม่ได้จงอย่ากลัว วานาแอนจะปลอดภัย"ฮาลิสันกล่าวจบอิสฮานก็เดินไปที่ม้าของเขาและรีบตรงไปที่ป้องฟาทเบอร์

                คาร์นกับริซซิลวาเห็นคลื่นน้ำแข็งวิ่งมาพวกเขาทั้งสองก็วิ่งหาที่หลบขณะเดียวกันเองก็ถูกไล่ล่าจากทหารแอนดิซองด้วยทั้งคู่วิ่งมาถึงธารลาวาใกล้ๆภูเขาไฟที่วอคิวรี่เบนด้าประทับอยู่ คาร์นเองก็หายใจราวกับจะสิ้นลมบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่งที่ทำให้เข้าแทบขาดใจ แต่เสียงทหารแอนดิซองก็ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ริซซิลวาจึงพยุงคาร์นขึ้นเดินต่อเข้าป่าใกล้ๆ
                ริซซิลวาสร้างประตูมิติภายในป่าทำให้พวกทหารไม่เห็นเธอและคาร์น
                "คาร์นห้ามตายเป็นอันขาด"
                "เจ้าสั่งข้าไม่ได้"
                "คาร์นข้าไม่ล้อเล่นเรื่องนี้"ริซซิลวากล่าวขึ้นก่อนจะหายหน้าไปนางหันมาอีกครั้งพร้อมก้มลงริมฝีปากของนางกำลังจะสัมผัสกับริมฝีปากของคาร์น
                "ห้ามเตะต้องตัวข้า! ไม่ข้าจะไม่ให้เจ้าแบ่งพลังของเจ้าให้ข้า"
                "ไม่ข้าก็ไม่ปล่อยให้เจ้าตาย พลังคืนให้ตอนใหนก็ย้อมได้ ถือว่านี้เป็นการสวามิภัรชั่วคราว"
                "อย่าทำ..."คาร์นยังไม่ทันกล่าวจบนางกับถ่ายพลังรักษาให้กับคาร์นริมฝีปากของทั้ง 2 แน่นขึ้นพร้อมกับการกอดรัดของคาร์น

                ข่าวฟูดินันกลายเป็นแดนน้ำแข็งก็ถึงหูของเกรกอรี่
                "เริ่มแล้ว สิ่งที่พระองค์คาดการหาเราช้ากว่านี้อีกคงพินาศสิ้นทั้งมิดการด"
                "แต่ท่านค่ะถ้าเราไม่ทำสิ่งใดมันจะดีเหรอค่ะ"
                "ศาสนจักรออกจากสงครามแล้วจงอย่าพูดเหมือนมาซิโอ"เกรกอรี่กล่าวจบก็มองภาพของจีเนรอสเอาไว้
                "หากยังร่วมไม่ครบขอเพียงพระองค์เท่านั้น จีเนรอส ขอพระองค์ทรงโปรดลูกๆของพระองค์ช่วยพวกเขาด้วย"
                "พระองค์หมายถึงเทพจีเนรอสหรือค่ะ พระองค์ทรงอยู่สวรรค์ที่เหนือกว่าเทียราแล้วพระองค์จะทรงเห็นสิ่งบนโลกหรือค่ะ"
                "ตอนนี้พระองค์ไม่แค่เห็นแต่พระองค์อาจจะทรงสัมผัสอยู่ก็เป็นได้"เกรกอรี่กล่าวจบก็มองไปยังแสงระยิบแต่ไกลของยอดน้ำแข็งที่เกาะตามเทือกเขาคิลีบันดา
« Last Edit: February 04, 2006, 08:10:19 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #4 on: February 04, 2006, 10:59:12 PM »

ตอนที่ 4 แสนต่อหนึ่งสตรีนิรนาม
             หลังจากที่กองทัพของซาโลมและฟูดินันถอยมาที่ป้อมฟาทเบอร์ประชาชนก็ต้องหลี้ภัยเข้าไปภายในซาโลมมากขึ้น
             "ฮาริสันที่นี้เป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายของเราแล้วนะ"
             "อิสฮานเราต้องผ่านมันไปได้ ครั้งนี้พระเจ้าต้องอยู่ข้างเรา"ฮาริสันกล่าวจบก็เดินตรวจเช็คทหารที่อยู่ตามกำแพง
             "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฮาริสัน แอนดิซองต้องชดใช้ให้กับฟูดินัน"อิสฮานกล่าวขึ้นฮาริสันได้แต่ขยับศรีษะเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าตนได้ยิน

             ฟรีเลเซียได้ทราบว่าฟูดินันกลายเป็นแดนเหมันไปเรียบร้อย ทางสภาขุนนางก็เริ่มประชุมกันพร้อมๆกับสภาราชวงศ์
             "แอนดิซองทำมากเกินไป หากเรายังคงสนับสนุนเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อเรา"
             "ใช่เราใกล้ชิดกับทางสวรรค์มากที่สุดหากเราทำอะไรที่มันผิดแปลก ข้าเกรงว่ามันจะทำให้เราจะถูกสวรรค์ทอดทิ้งเหมือนดังซาโลมในอดีด"
             "แต่ถ้าหากเราไม่ช่วยแอนดิซองท่านก็รู้ว่าเราจะเสียพันธมิตรที่แน่นแฝ้งมายาวนาน"ซิกมันกล่าวขึ้นเหล่าขุนนางก็เงียบไป
             "แต่ถ้าเรามองตามความชอบธรรมแล้ว รอบนี้แอนดิซองผิดนะพระองค์ อีกทั้งความแน่นแฝ้งของเรากับแอนดิซองมันก็กับราชวงศ์ก่อน เราควรจะเปลี่ยนแปลงไปตามความชอบธรรมของสวรรค์"
             "แต่ถ้าเราทำเช่นนั้นข้าเกรงว่าจะผิดคำกับอองเดรที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการจอมทัพอยู่"
             "เรื่องนั้นเพราะองค์ทรงทอดพระเนตรสิ่งนี้เถิอด"อสาทิม่าขุนนางผู้จัดการเรื่องสารต่างประเทศก็เดินนำราชสารแผ่นหนึ่งมาถวาย ซิกมันอ่านจบก็ลุกขึ้นจากบัณลังหินมือเขากำราชสารไว้แน่น
             "ถอนทัพที่ชายแดนซาโลม!"ซิกมันกล่าวจบเหล่าขุนนางก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
             เรจิน่าวิ้งมาตามทางเดินเพื่อมาพบน้องชายของเธอซึ่งกำลังจะนำทัพบิสของเขาออกไป
             "ซิกมันเจ้าจะไปแห่งใด"นางตะโกนเรียกเอาไว้เมื่อพบน้องชายกำลังขึ้นธันดอร์ริก
             "ข้าจะไปอลานิก้า เพื่อไปพบอองเดร"
             "มีเรื่องใดเกิดขึ้น"
             "ข้ากลับมาแล้วจะบอกท่านที่หลัง ตอนนี้ท่านเรียกแม่ทัพแมกกานัสมาป้องกันฟรีเลเซียก่อน กองทัพพรีกาซัสของเขาแขงแกร่งพอจะต้านศึกได้หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น"ซิกมันกล่าวจบก็ควบมังกรออกไป

             ด้านที่วังของซาโลมเหล่าขุนนางก็รวมตัวกันจับตัวราชวงศ์อื่นๆและเรียกรวมพล ใช่สิก็กองทหารที่ส่งไปให้กับอิสฮานมันทหารใหม่ทั่งนั้นอีกทั้งยังเป็นแค่ส่วนน้อยจากกองทหารที่มากมาย

            ภายในป่าที่งดงาม อธิริก เรกซิลิกบันดาร ป่าแห่งความงาม ป่าแห่งคำสาป และป่าแห่งความสงบ ที่นี้มีสาวงามนางหนึ่งยืนอยู่หน้าดาบที่หักเป็นสองทอนดาบเล่มนี้มีขนาดใหญ่โต และสวยงาม วางอยู่บนแท่นศิลาซึ่งวางอยู่หน้ารูปปั่นของเทพองค์หนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักด้วยการเลือนหายไปตามกาลเวลา ตัวด้ามของดาบเป็นเพชรที่เป็นเนื้อเดียวเรียบเสมอ ที่ปลายด้านจับมีสัญลักษณ์ของพระเจ้าอยู่ และที่คมดาบมีแผ่นทองทอดตลอดแนวจบเกือบสุดคมดาบที่หักออกจากกัน บนแผ่นทองทีคำจารึกมากมายที่ไม่ใช่ภาษาใดๆบนโลกมนุษย์หญิงสาวมองดาบเอาไว้
            "ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่แห่งใดข้าจะตามหาท่าน"นางกล่าวจบก็เดินทางออกมาจากป่าแห่งนั้น

            เกรกอรี่เดินทางออกจากวิหารตรงไปยังวิหารของเทพกาสม่า เทพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเขาเข้ามาถึงก็ตรงไปหาสังฆราชใหญ่โดยทันที
            "พระเจ้าส่งเทพทั้ง3ลงมา"เกรกอรี่พูดขึ้นขณะยังเดินไม่ถึงฮาซิลม่าสังฆราชใหญ่แห่งกาสม่า
            "เจ้าว่าสิ่งใดนะ"
            "เทพอเลทาดอส ดิวาทอร์ และจีเนรอส"
            "พระองค์จะลงมาทำไม"
            "ตอนนี้พวกซินมันเงียบหายไป ข้ากลัวจะมีอะไรสักอย่าง ข้าขอใช่เมทาลิอิสมองหาพวกเขา"
            "ข้าให้เจ้าไม่ได้เมทาลิอิสต้องถูกใช้โดยผู้ได้รับเลือกจากกาสม่าเท่านั้น และตอนนี้เรากำลังรอพระสารแต่งตั้งจากสวรรค์อยู่"
            "แต่ถ้าข้ามีสิ่งนี้ละ"เกรกอรี่ชูแผ่นศิลาสัญลักษณ์ของสวรรค์ขึ้น
            "อย่าขู่ข้าเกรกอรี่"เกรกอรี่แปลกใจทันทีที่ฮาซิลม่าพูดเช่นนั้น
            "เจ้ากล้าต่อต้านพระอาญาแห่งสวรรค์หรือ..."
            "เขาไม่กล้าแต่ข้ากล้า"เสียงของบุคคลที่คุนเคยดังขึ้นมา ก่อนที่ควันสีดำจะเริ่มก่อตัวเป็นชายผู้หนึ่ง เบสเซก! เกอกอรี่ไม่เชื่อสายตาว่าจะได้พบเขาที่นี้เบสเซกร่ายคาถาใส่แผ่นศิลาพลังของเกรกอรี่และเบสเซกก่อให้เกิดหลุมอากาศและแสงสว่างกับประกายไปสับสนวุ้ยวายไปทั่วก่อนที่แผ่นศิลาจะแตกออกไปพร้อมกับเกรกอรี่ซึ่งกระเดนไปชนกับเสาของวิหาร เขาทรุดลงมือที่กลุมที่หน้าอกเอาไว้
            "ข้าไม่ฆ่าเจ้าตอนนี้หรอกเกรกอรี่ ไปสิไปเตือนโลกว่าข้ากลับมา ไปเตือนโลกว่าเทพแห่งการทำลายจะกลับมา กลับมาเพื่อเปลี่ยนโลกใบนี้สู่ยุคใหม่ที่ไม่มีสวรรค์และนรก"เบสเซกกล่าวจบเกรกอรี่ก็เดินออกมาจากวิหารขึ้นม้าแล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว

             อิสฮานซึ่งกำลังวางแผนการป้องกันป้อมอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกองทัพยกมาจากซาโลม เขาวิ่งออกไปก็พบทหารบาดเจ็บและแม่ทัพฮาดิอัสซึ่งมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่งที่มาถึงแทบล้มลงแทบเท้าของอิสฮาน
             "ฮาดิอัสเกิดสิ่งใดขึ้นที่ซาโลม"
             "สวาท่า ยึดราชวังและจับราชวงศ์ทั้งหมดเข้าควบคุมเอาไว้กระหม่อมสู้จนสุดชิวิตเพื่อป้องกันราชธานีแต่พวกมันมีกำลังมากกว่ามิสามารถรักษาเมืองไว้ได้ สายสืบของเราสืบได้ว่าพวกมันมีแผนให้ท่านกลับเมืองแล้วจึงลอบปลงพระชน พวกกระหม่อมจึงสละราชธานีเพื่อมาแจ้งข่าวกับพระองค์"อิสฮานได้ยินก็อึ่งไปสักพักเขาทรุดลงนั้งบนที่นั้งใกล้ๆ พระเจ้าทำไมถึงทรมารเขานัก เหตุใดพระองค์จึงไม่แลเหลียวเขา
             เสียงกลองศึกของแอนดิซองดังขึ้น พร้อมเสียงขู่คำรามของทหารแอนดิซองอันดังก้องที่ทำให้กำลังใจของทหารซาโลมและฟูดินันลดลงอย่างรวดเร็วแสงอาทิตย์สาดส่องมาจากทิศตะวันออกทอดมายังพื่นแผ่นดินเบื่องหน้ากองทัพของแอนดิซองระลอกแรกก็ตรงเข้ามา ขณะที่วิ่งมานั้นก็ปรากฎแส่งสว่างส่องมาจากทิศตะวันตก
             แสงที่สองอร่ามราวกับดวงอาทิตย์ดวงที่สอง มีจุดศูนย์รวมอยู่ที่ปลายคาฑาที่มีหินสีขาว รูปคาฑาเป็นปีกนกสองปีกบิดโอบลูกแก้วเอาไว้ปลายปีกสยายออกดูสวยงามที่ฐานเป็นลูกแก้วอีกดวงที่มีแสงหวาบหวามอยู่ภายใน ตัวคาฑาเป็นไพลินสีน้ำเงินดูศักดิ์สิทธิ์ภายใต้แสงสว่างนั้น ผู้ที่ถือคาฑาก็ควบม้านั้นมาหยุดที่หน้าประตูป้อม เมื่อแสงสว่างอ่อนแสงลงทุกคนก็ออกจากความตกตลึงกับสิ่งที่เห็นทุกคนก็พบว่าผู่ที่อยู่บนม้าคือหญิงสาวในชุดสีเงินใบหน้าของเธอขาวผ่อง เส้นผมยาวสรวยของเธอมีสีแดงอ่อนๆออกน้ำตาล รอยยิ้มของเธอและแววตาของเธอสวยสดใสจนเหล่าชายละสายตาจากเธอได้ยากผ้าที่แขนของเธอมีสัญลักษณ์บางอย่าง
             "เอล เธอเป็นเอล"อิสฮานกล่าวขึ้น
             "กษัตริย์แห่งอธิริก เรกซิลิกบันดาร มหานครอันสาปสูญของเหล่าเอลศักดิ์สิทธิ์"ฮาริสันกล่าวจบอิสฮานก็รีบหันกลับไปมองเธอเอาไว้พร้อมกับฝูกทหารที่ตรงมาที่กำแพงเมืองเพื่อดูเธอ
             หญิงสาวยิ้มให้กับทหารของแอนดิซอง ก่อนจะควบตรงเข้าไปหาก้องทัพของแอนดิซองเล็กน้อย
             "ในนามแห่งสวรรค์ ข้าขอให้พวกท่านจงถอยกลับไป"นางกล่าวจบก็ปักคาฑาลงพื้นเกิดแสงสว่างสาดสองเป็นคลื่นวงกลมขยายออก
             "นางคือผู้ใดบังอาจมาขวางกองทัพของข้า"วิโอเรียกล่าวขึ้นพร้อมมองออกไป
             "เตรียมพลธนูยิงนางให้ตายสะ"นางกล่าวจบทหารก็ให้สัญญาณยิงธนู สาวงามยังคงไม่หลีกทางแม้เห็นกองทัพธนูเบื้องหน้านางเพียงหลับตาลงเล็กน้อย เมื่อลูกธนูพุ้งตรงมายังที่นาง พลันนางก็ลืมตาลูกธนูทุกลูกก็หยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของเธอ
             "จงฟังนี้คือพระบัญญัติแห่งสวรรค์จงถอยไปจากที่แห่งนี้ สู่บ้านของเจ้าที่เจ้าจากมา"เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มเช่นเดิม
             "ข้าลำคราญจริงๆ ฆ่านางด้วยดาบของเจ้าทหาร!"วิโอเรียกล่าวจบก็ร่ายเวชแช่แข็งสตรีเบื้องหน้าพร้องั้งทหารที่วิ่งมายังเธอพลันน้ำแข็งนั้นก็แตกออก เธอเพียงแค่ตวัดคาฑาทหารนับหมื่นที่ตรงมาที่เธอก็ถูกแรงลมดันกระเดนออกมาตามๆกัน แรงลมพลักดันผ่านค่ายที่วิโอเรียอยู่เธอร่ายเวชต้านทานเอาไว้ พลันสตรีนิรนาม เธอก็รายเวชตอบ แต่เธอเองก็ไม่ยอมหยุดร่ายเวชมนต์หยุดวิโอเรียเอาไว้พลังทำให้คาฑาของวิโอเรียแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
             "วิโอเรีย เจ้าสิ้นอำนาจแล้วจงกลับไปสะ"หลังจากที่เธอกล่าวจบวิโอเรียก็หันหลังสั่งทหารถอยทัพกลับแอนดิซอง หญิงนิรนามหันกลับมาที่ป้อมฟาทเบอร์
             "จงจำไว้ว่าสวรรค์ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า"เธอกล่าวจบก็ควบม้าสีขาวที่วิ้งออกไปกลายเป็นหงษ์สีทองอร่าวบินขึ้นสู่ฟ้าแสงแห่งจากคาฑาของเธอสาดส่องไปทั่วฟูดินันละลายน้ำแข็งเวชมนต์จนหมดสิ้น พฤกษาพรรณต่างผลิใบออกดอกทั่วทั้งฟูดินัน
              วานาแอนลืมตาขึ้นมองแสงสว่างยามรุ่งอรุนที่ลัดเลอะมาตามชายป่าที่ลาดไปกับสายน้ำแห่งอูดินี่ แสงจากบางสิ่งที่สองแสงผ่านร่มแห่งมหาพฤกษายักดราซิลทำให้หญ้ากลับมาเขียวขจีอีกครั้ง
              "โลกกลับมาแล้ว โลกกลับมามีชีวิตแล้ว"วานาแอนกล่าวจบสิ่งมีชีวิตก็กลับมายังป่าแห่งนี้วานาแอนมองไปยังต้นเหตุของแสงก่อนที่เธอจะคุกเข่าลง แสงนั้นพุ้งหายไปทางทิศใต้สุดสายตาของเธอ
« Last Edit: February 06, 2006, 01:37:52 AM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #5 on: February 06, 2006, 05:18:38 AM »

ตอนที่ 5 มหาภัยแห่งมิดการท การฟื้นชีพของซินแห่งพระเจ้า
             เกรกอรี่เดินทางมาถึงวิหารฟรานเซสก้าก็ถูกเหล่านักบวชรับเอาไว้ พลังของเบสเซกเปลี่ยนไปมากมันแข็งแกร่งเกินกว่าที่เข้าจะต้านทานเอาไว้ได้ และที่สำคัญพลังของเขาอาจมิสามารถสู้เบสเซกในตอนนี้ได้แม้แต่น้อย เกรกอรี่มองวิหารฟรานเซสก้าเขาก็เกรงขึ้นมาในอกว่าพลังแห่งสวรรค์ที่ลงมาปกป้องวิหารแห่งนี้อาจจะช่วยมิได้อีกแล้ว
             พลันเหล่านักบวชก็วิ้งไปดูลำแสงที่สาดส่องเหนือเขตแดนของฟูดินัน และหิมะที่เกาะบนคิริบันดารได้หายไปแล้ว เกรกอรี่ก็เดินออกมาดู
             "นางมาแล้ว เทพศักดิ์สิทย์ เทพแห่งการสร้าง จีเนรอส"เกรกอรี่กล่าวจบก็เดินเข้าไปถายในวิหารฟรานเซสก้า สายตาเขารีบมองหาภาพใดๆก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งการทำลายขณะที่เขาโล่งใจในสิ่งที่เขากังวลอยู่นั้นสายตายก็มองไปยังภาพๆหนึ่งก่อนที่เขาจะเดินอย่างรวดเร็วผ่านเหล่านักบวชควบม้าออกไปอีกครั้ง

             วิโอเรียกลับมานางก็โกรธจัดกับสิ่งที่นางได้พบเห็น นางเกลียดสตรีนิรนามคนนั้นเพราะเธอฉีกหน้านางต่อหน้าคนทั้งกองทัพและยังทำลายคาฑาเวชมนต์ที่ทำให้นางร่ายเวชมนต์มิได้อีกต่อไป วิโอเรียเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนดึกในท้องพระโรง ขณะที่เธอเดินอยู่เธอก็สัมผัสถึงความเย็นของบรรยากาศโดยรอบเธอหยุดมองไป ณ ที่แห่งหนึ่งพบคนใส่ชุดคลุมสีดำเดินทางมาที่เธอ เขาหยุดอยู่หน้าเธอเล็กน้อย
              "สถานที่แห่งนี้มีแต่คำสวดแห่งความศักดิ์สิทย์ แต่เหตุใดมิอาจจะลบเลือนความกลัวจากจิตใจของพระองค์ได้"
              "ท่านเป็นผู้ใด"
              "ข้านะเหรอ ข้าเป็นราชทูตแห่งซิน"
              "เจ้ามีธุระอันใดกับข้า"
              "ข้ารู้ว่าท่านต้องการสิ่งใด"ราชทูตกล่าวขึ้น วิโอเรียก็หันมาสนใจเธอมองปากอันหน้ากลัวของราชทูตอันเป็นส่วนเดียวที่เธอเห็นอยู่
              "พลัง ข้ารู้ว่าท่านต้องการมัน"
              "ข้าก็รู้ว่าเจ้ามีข้อเสนอมากกว่า"
              "ข้าขอเพียงใช่สถานที่แห่งนี้เท่านั้น แต่แลกกับท่านมีอำนาจที่มากกว่าสตรีนิรนามนางนั้น"ราชทูตกล่าวขึ้นยิ่งทำให้วิโอเรียสนใจ เขายื่นมือมา
              "รับข้อตกลงหรือไม่ละ"
              "ข้ารับ"วิโอเรียกล่าวจบนางก็จับมือของราชทูตพลันนางก็รู้สึกถึงพลังมากหมายที่ไหลเข้าสู่ตัวนางและรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ลำแสงสีเขียวพุ้งขึ้นสู่ฟากฟ้าพร้อมกับแสงสีทองที่รวมเขามาภายในราชวังของแอนดิซอง คลื่นพลังทำให้เมืองแห่งนี้แห้งเหี่ยวและอยู่ใต้ความมืดตลอดการ

              ซิกมันเดินทางมาถึงอลานิก้าก็ได้พบกับอองเดรทั้งคู่ตอนรับกันเป็นอย่างดีและเดินทางเข้าภายในเมืองที่โออ้าแข็งแกร่งแห่งนี้
              "ท่านแยกอกมาจากแอนดิซองแล้วเหตุใดจึงส่งสัญญาณให้ข้าช้านัก"
              "ข้าก็ด่วนตัดสินใจ เพราะท่านอลาน่าเองก็มาพบข้าแบบที่ข้าไม่ตั้งตัว"
              "เจ้าหญิงอลาน่าจริงเหรอ"
              "ใช่สิซิกมันเธอได้เป็นเทพของเทียราแล้ว"อองเดรกล่าวขึ้นอย่างสุขใจ ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่ปราสาทที่หันหน้าออกไปสู่วิวที่สวยงามของทะเล หากไม่มีเรือรบจอดอยู่ละก็ สถานที่แห่งนี้คือสวรรค์บนดินที่หนึ่งเลยที่เดียว
              "แล้วท่านจะทำสิ่งใดต่ออองเดร"
              "ข้าก็จะรวบรวมกำลังยืดอำนาจของแอนดิซองคืนมา"อองเดรกล่าวจบก็ยื่นจอกมาให้กับซิกมัน ซิกมันมองจอกเอาไว้ก่อนจะรับมา
              "ข้าเห็นมันแล้วคิดถึงดาบของท่าน มันคมกริบความ เย็นของมันข้ายังจำได้"
              "ข้าก็ยังจำเสียงกองทัพบิสของเจ้าได้ไม่หาย ทุกวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากมาย ทุกอย่างเหมือนกำลังทวงสิทธิ์ของตัวเขาเอง ห่างจากที่นี้ไปทางใต้ไม่มาก อาณาจักรแห่งเหล่าเหงือก อเลนดิสก็ตั้งอยู่ เดียวนี้ไม่ได้มีเราอยู่ในโลกเพียงผู้เดียวอีกแล้ว"
              "เกรกอรี่ก็กล่าวไว้ว่ามีอาณาจักรที่ถูกสาปให้หายไปและสาปให้ตัวเองหายไปมากมาย รอแต่เพียงให้ถึงเวลาอะไรสักอย่างข้าก็จำไม่ได้"
              "ศาสนจักรก็มีอะไรลึกลับมากมาย ข้าอยากรู้นักว่าพระเจ้าจะอยู่ใกล้เรามากเพียงใหน"อองเดรกล่าวจบก็มองออกไปสุดสายตาเขาก็เห็นเมฆดำก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก
              "มีอะไรบางอย่างที่แอนดิซอง"
              "ซาโลมตีกลับได้หรือเปล่าท่าน"
              "มหาราชวังแห่งแอนดิซองได้แสงแห่งสวรรค์ส่องไปที่ท้องพระโรง ไม่มีทางที่ฟ้าดำจะก่อตัวเหนือแอนดิซองได้"
              "ฟ้าฝนหรือเปล่าท่าน"
              "ข้าก็หวังว่าให้เป็นเช่นนั้น"อองเดรกล่าวจบก็มองไปที่แอนดิซองอย่างเป็นห่วงซิกมันจังสั่งผู้ควบคุมมังกร เรโน่และมังกรเอมิสการทไปตรวจที่แอนดิซอง

              ลำแสงสีเขียวจากท้องพระโรงขยายออกเปลี่ยนพื้นที่โดยรอบกลายเป็นวิหารขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือท้องพระโรงแอนดิซองมหาปราสาทลุกโชติช่วงสว่างไสวทีกองทัพขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนพลลงมาจากปราสาท ออร์ค! เหล่ายักแห่งความชั่วร้ายเดินทางจากไฮเซนการทสู่มิดการทดวงวิญญาณของเหล่าซินทั้ง 13 ตนที่สละชีพเพื่อปลดผนึกบางสิ่งก็มาสถิตที่ร่างแห่งขุนพลปีศาจทั้ง 13 เมื่อลำแสงความมืดพุ้งขึ้นทดแทนแอนดิซองก็เปลี่ยนเป็นแดนแห่งความตายอย่างแท้จริง
              วิโอเรียมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตกใจนางทรุดลงกับพื้นเมื่อพบว่าสิ่งที่นางทำไปทำให้แอนดิซองพินาศเพียงช่วงค่ำคืนเดียว
              "ราชินีแห่งความหนาวเหน็บ"เสียงอันอ่อนหวานของขุนพลตนหนึ่งดังขึ้น อาทิมิสชันนาริส มหาซินแห่งความงามเดินออกมา ชุดของนางราวกับเอลศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นชุดสีดำ ใบหน้าอันสวยงามดังที่ชายทุกคนหมายปอง เส้นผมหยักโศกของนางยาวถึงพื้นเป็นสีดำมันวาว สายลมที่พัดผ่านยิ่งทำให้นางสวยงาม แต่มีสิ่งเดียวที่ต่างออกไป ความหนาวเย็นของบรรยากาศโดยรอบ นางเดินตรงมาหาวิโอเรียพร้อมทั้งจับใบหน้าของวิโอเรียเชิดขึ้น
              "ห้ามเตะต้องนางมากกว่านี้ นางแม่มดร้าย"เสียงขุนพลอีกคนพูดขึ้น เอทาลัส คาร์อิรอส มหาซินแห่งสงคราม เขาเป็นออร์คร่างโตผิวสีเขียวที่มีรอยแผลกระจายอยู่ทั่วชุดสีเงินลวดลายทองคำราวกับทหารของสวรรค์ ใบหน้าดูยังเป็นออร์คหนุ่มมีแผลบากที่ระหว่างคิ้วเล็กน้อย เขี้ยวและกรามที่ได้รูปกับหนวดเคราทำให้เขาดูไม่เหมือนออร์คเสียเลย เขาเดินมาหยุดที่วิโอเรียก็ปัดมืออ่ทิมิสชันนาริสออกจากใบหน้าของวิโอเรีย
              "ข้ารู้ว่านางปรารถนาสิ่งใด"ลิโฟลบาส มหาซินแห่งโชคชะตา เขาใส่ชุดที่มีภาษานรกเขียนเป็นแถบปกของเสื้อคลุมพ่อมดของเขา คาฑาสีดำอันมีดวงวิญญาณของคนลอยอยู่รอบๆดูหน้ากลัวยิ่งนัก หัวของเขาคล้ายกับเพะ มือหนึ่งถือหมายเหตุนรกและสวรรค์อยู่ไว้ค่อยบันทึกความเป็นไปของนรกและสวรรค์ เขากล่าวขึ้นพร้อมเดินมาข้างๆอาทิมิสชันนาริส
              "วิโอเรียที่รักของข้า เจ้าจงไปสร้างทัพที่คู่ควรกับข้าให้ข้า"มหาซินแห่งสงครามกล่าวจบพร้อมจุมพิศวิโอเรียเอาไว้นางคล้อยตามเขาอย่างเห็นได้ชัด
              "ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใดวิโอเรีย จงเชื่อในพวกเราแล้วเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ"มหาซินแห่งโชคชะตากล่าวจบวิโอเรียก็เดินออกไปอย่างว่าง่าย
              "จุมพิศสวาทของเจ้ายังใช้ได้ผลไม่หายนะ"
              "จุมพิศแห่งเอทาลัส ผู้ใดก็รู้ว่าครั้งเดียวก็ตกเป็นทาสมัน ราวยาพิษหากไม่ได้รับจูบอีกภายใน 7 วันเจ้าก็จะกลายเป็นหินรอให้เขาไปจูบต่อ หน้าแขยะแขยงที่สุด"มหาซินแห่งความงามกล่าวขึ้นพร้อมเดินออกไป
              "อย่างน้อยข้าก็ไม่กินคู่นอนหลังจมขอนกับเขาทั้งคืนเหมือนใครบางคนหรอก"เอทาลัสกล่าวตามหลังอาทิมิสชันนาริส
              วิโอเรียมองเหล่าออร์ค
              "สถานที่แห่งนี้คือถิ่นของพวกเจ้าจงสร้าง สร้างอาวุธเพื่อมหาเทพของเรา จงสร้าง สร้างเผ่าพันธ์อันอุดมสมบูรณ์ของพวกเจ้าเพื่อสงครามในภายภาคหน้า"วิโอเรียกล่าวจบเหล่าออร์คก็โฮ่ร้องลั่นแอนดิซอง วิโอเรียก็ถูกรวบกอดจากเอทาลัส เขาจุมพิศเธออีกครั้งก่อนจะพาเธอหายเข้าไปภายในราชวังแห่งแอนดิซอง
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #6 on: February 06, 2006, 06:52:19 PM »

ตอนที่ 6 เซนทิริก มิเนทาริก มหานครแห่งกษัตริย์
              เกรกอรี่ควบม้าผ่านทะเลทรายชายแดนระหว่างซาโลมและฟรีเลเซีย เขาตรงไปยังตอนเหนือของทะเลทราย ที่แห่งนั้นมีพายุแห่งคำสาบที่ไม่เคยสลายตัว เกรกอรี่มองพายุที่หมุนตัวอยู่อย่างบ้าคั่งนั้นเอาไว้ก่อนจะควบม้าเอาไปช้าๆ
              เมื่อเขามาถึงก็หยุดอยู่หน้าสายลมที่รุ่นแรงนั้นก่อนจะหยิบเอากระดาษเก่าๆที่เขียนอะไรบางอย่างออกมา
              "แด่พระองค์ผู้ปกครองพื่นแผ่นดินแห่งกษัตริย์ ข้าพระองค์เกรกอรี่ขผ่านทางสู่มหานครของท่าน"เกรกอรี่กล่าวจบแรงลมก็เบาลง เขาก็ควบม้าเข้าไปภายในช้าๆ เกรกอรี่ผ่านสายลมที่มีทรายพุ่งอยู่แทบสำลักตายเมื่อเขาเห็นแสงสว่างก็รีบตรงไปหาก็พบกับนครเบื้องหน้า
              เซนทิริก มิเนทาริก เป็นมหานครขนาดใหญ่อันมีศิลปะที่สวยงาม ตัวเมืองถูกออกแบบอย่างวิจิตรแสดงถึงความสงบของที่นี้เป็นพันๆปี ลักษณะของเมืองเป็นปราสาทที่อยู่บนเนินตั้งอยู่ตอนกลางล้อมรอบไปด้วยบ้านเรือนของประชาชนในกำแพงที่สูงใหญ่ ตัวปราสาทเป็นสีขาวสะท้อนแสงแต่ไกล แต่สิ่งที่สดุดตามากที่สุดคือคมดาบที่สูงใหญ่ของราชวังตอนหน้าเมื่อกระทบแสงแล้วสาดส่องมายังเส้นทางของนครเป็นเส้นทางแห่งแสงสว่างที่สวยงาม ราชวังตอนหลังเป็นวังที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะอันงดงามรูปปั่นของเหล่าเทพเจ้าที่รายล้อมราชวังเอาไว้และลานสีขาวที่เป็นระเบียงยื่นออกมาจากราชวังทอดไปจนเกือบถึงคมดาบยักของวังเบื้องหน้า
             เกรกรี่ควบม้าช้าๆเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งนี้ผู้คนต่างมองเขาอย่างแปลกใจ ราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน เกรกอรี่ต้องหยุดเมื่อกองทหารของเซนทิริกเข้ามา
             "เจ้าเป็นผู้ใด"
             "ข้าเป็นสังฆราชของฟรีเลเซีย"
             "ฟรีเลเซีย...อ้อ...อาณาจักรแห่งคว่ามเสื่อมโทรม"ทหารกล่าวจบเกรกอรี่ก็สดุ้งกับคำพูดนั้น
             "ข้าพระองค์ขอใช้ห้องสมุดจูโน่"
             "ได้ข้าจะให้ทหารนำทางท่านไป ข้าลิธิรกาสผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งเซนทิริก มิเนทาริก"อิธิรกาสพูดขึ้นแล้วก็ควบม้าจากไป
             เกรกอรี่เดินทางมาถึงห้องสมุดจูโน่ที่ราชวังของอาณาจักรที่แห่งนี้เป็นห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด และอาคมแรงกล้าที่สุด ครั้งแรกในชีวิตที่เกรกอรี่จะต้องต่อสู้กับอำนาจแส่งสวรรค์เพื่อให้ได้ซึ่งเรื่องราวที่ข้องใจเขาอยู่ เมื่อเกรกอรี่เปิดประตูก็สัมผัสได้ถึงเรื่องราวต่างๆที่ไหลผ่านกายเขา ทุกก้าวที่เกรกอรี่ย้ามกรายก็รู้สึกถึงร่างกายของเขาจะอ่อนแรง และหนวดเคราที่ยาวเร็วยังกะเวลาผ่านไปเป็นปีๆอย่างรวดเร็ว สายตาของเขามองหาสิ่งที่เขาต้องการรู้ มองไปยังนิมิตต่างๆที่สะสมอยู่ภายในหอสมุดแห่งนี้ เมื่อเขาพบก็รีบเก็บรายละเอียดเอาไว้ด้วยความสามารถของเขาและจดจำทุกรายละเอียด
             ภาพของสตรีในชุดขาวเลือนลางวิ้งอยู่ในสนามรบนางถือคาฑาที่ส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์อีกดวง สายตาที่มองไปรอบๆก่อนจะมาพบกับ ชายสองคนที่ประทะกันอยู่คมดาบที่เกรกอรี่รู้ดีว่านั้นคือดาบอะไร ชายคนนั้นตวัดคมดาบผ่านร่างของชายอีกคนที่ดูหน้ากลัว ชายผู้ถูกฟัน เกรกอรี่รู้จักเขาดี มหาเทพเจ้าแห่งเหล่าซินเอกาลอส ซินแห่งพระเจ้า และชายผู้ที่ฟันคือ ดิวาทอร์ มหาเทพแห่งการทำลาย คมดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้เอกาลอสสลายไปพร้อมกับกองทัพมหาศาลของเขา พลันเมื่อดาบปักลงสุ่พื้นดินคามก็หักออกเป็นสองท่อน หญิงสาวเก็บมณีทั้ง 9 ที่เป็นของเอกาลอสมานางร่ายบางอย่างผนึกเอาไว้และมันก็กระจายหายไป ภาพนิมิตเริ่มเลือนลางเกรกอรี่ก็มองนิมิตใหม่ภาพของฟรีเลเซียและวิหารฟรานเซสก้าลุกเป็นไฟ อาณาจักรซาโลมที่ปกคลุมโดยน้ำแข็งและฟูดินันที่แห้งเหี่ยว และเมืองอลานิก้าที่ย่อยยับ ภาพของกษัตริย์ทั้งสี่ที่ถูกล้อมโดยทหารออร์ค และพลันเขาก็พบกับเอกาลอส เปลวไฟอันเย็นเฉียบถึงขั่วหัวใจ เกรกอรี่ก็ตั้งท่ารับแรงบางอย่างจากนิมิตเอาไว้ ก่อนที่เขาจจะถูกผลักออกมาจากหอสมุด
             "เอกาลอส มิดการทวุ้นแล้ว"เกรกอรี่กล่าวจบก็คิดถึงภาพนิมิตสุดท้าย เซนทิริก มิเนทาริกที่ลุกเป็นไฟ พลันเขาก็สัมผัสได้กับพลังของเอกาลอส ภาพเหตุการณ์ที่แอนดิซองก็เขามาในโสตประสาทของเกรกอรี่
             "มาแล้วมหาขุนพลแห่งซินทั้ง 13"เกรกอรี่กล่าวจบก็สังเกตว่าตนดูแก่ขึ้นมากหนวดเคราเริ่มเป็นสีขาวและผมที่เป็นสีขาว แต่กระนั้นเขาก็ไม่มีเวลามาโอเอ้ก็รีบควบม้าออกจากเซนทิริกกลับยังฟรีเลเซีย
 
              อองเดรและซิกมันได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่แอนดิซองก็ดูเกร็งๆไป โดยเฉพาะอองเดรที่เงียบช็อคไปกับเหตุการณ์ที่ปรากฏทั้งสองผละออกจากตามังกรเอมิสการท
              "จัดทัพ เราจะไปแอนดิซอง"อองเดรกล่าวขึ้นกับแม่ทัพของเขา
              "อองเดรท่านโปรดช้าก่อน"
              "เหตุใดซิกมัน พวกซินมันยึดแอนดิซองเอาไว้แล้ว"
              "ลำพังเราตอนนี้เกรงว่าจะตีผ่านพวกออร์คแห่งไฮเซนการทมิได้นะสิ"
              "แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร"
              "เราควรขอความช่วยเหลือจากฟูดินันและซาโลม"ซิกมันกล่าวจบอองเดรก็หยุดคิดแล้วพยักหน้าให้กับเขา ซิกมันก็สั่งให้กองหน้าของกองทัพบีสเดินทางไปยังฟูดินันและซาโลม

              ชาวเมืองของฟูดินันกลับมาบ้านเมืองของตนอีกครั้ง พืชผลที่งอกงามเกินปรกติทำให้ชาวเมืองต่างดีใจและจัดงานเฉลิมฉลองอยู่หลายวันหลายคืน ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานอย่างสุดเหวี่ยงอยู่นั้นก็มีกองกำลังของเผ่าทมิฬนำราชสารมายังฟูดินัน เฮริสันก็ใจไม่ดีเพราะตั้งแต่วันที่ฟูดินันแตกนั้นก็ไม่เห็นคาร์นอีกเลย เขาหยิบราชสารมาอ่านแล้วก็หันไปที่อิสฮานด้วยความช็อค
              "คาร์นแต่งงานกับริซซิลวา"ฮาริสันกล่าวจบทั้งสองต่างหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่ฮาริสันจะจัดเครื่องบรรณาการตอบแทนที่คาร์ทและริซซิลวานำทัพมาช่วยเหลือฟูดินัน
              ในรุ่งเช้าของฟูดินันอิสฮานตื่นขึ้นพบวานาแอนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเธอสวยทุกครั้งที่ต้องแสงแดด มันทำให้เขาอยากจะกอดกายของเธอให้แนบแน่นทุกวันๆ แต่เขาก็ทำไม่ได้
              "เมื่อคืนท่านดูไม่ได้เลย"
              "ก็ต้องฉลองให้กับคาร์นและริซซิลวา"พลันอิสฮานกล่าวจบ วานาแอนก็เขาอ่อนล้มลง

              ในป่าที่ลึกลับ อธิริก เรกซิลิกบันดาร หญิงในชุดขาวนั้งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆระเบียงที่สวยงาม ลวดลายของมันอ่อนชอยและโปร่ง วังของที่นี้ดูอ่อนชอยไปตามสภาพแวดล้อมดูสวยราวกับสวรรค์บนโลกา ชายอีกคนเดินมา เขาสวมชุดราวกับจอมเวชสีสรรธรรมชาติดูเข้ากับสถานที่ที่เข้าอยู่ เมื่อเข้ามาใกล้เธอหนักสือนั้นก็หล่นร่วงลงสู่พื้น
              "พ่อรู้ว่าเจ้ารอเขา แต่ที่นี้พลังของจีเนรอสเริ่มอ่อนลง เจ้าจงรีบไปยังเทียราเถอะ"
              "ท่านพ่อข้าเลือกแล้วว่าข้าจะเป็นเช่นไร"
              "จีเนรอส ข้าตั้งชื่อเจ้าตามเทพแห่งการสร้าง และเจ้าก็สวยดั่งเป็นนาง และเจ้าก็เป็นลูกที่ดีขงข้าเสมอ"
              "ท่านพ่อเวลาของลูกน้อยเต็มที หากเรายังหาเขาไม่พบลูกเกรงว่าพลังของเอกาลอสจะทำให้ลูกสูญสิ้นอำนาจจีเนรอสก่อน"
              "เจ้าก็รู้ว่าพ่อไม่ยอมให้พวกมันกลับมาหรอก"
              "แต่พลังของมันเริ่มก่อตัว เงามืดก็กำลังจะมาถึงที่นี้"จีเนรอสกล่าวจบพ่อของนางก็ลูบหลังอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบลูกสาวของตน
              "ขนนกสีทอง! มันมออยู่กับเจ้าคราวใด"
              "ลูกมิทราบ"จีเนรอสกล่าวจบพ่อของนางก็มองนางเอาไว้ เขาถอยออกห่างจากเธอแล้วเดินจากไป
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #7 on: February 09, 2006, 04:12:05 PM »

ตอนที่ 7 มณีทั้ง 9 แห่งกษัตริย์
           เกรกอรี่เดินทางมาถึงฟรีเลเซียก็ตรงเขาพบกับซิกมันทันที เมื่อเขาตรงเขาสู่ราชฐานก็ได้รู้ว่าซิกมันไม่อยู่ เรจิน่าเดินอย่างรีบร้อนตรงมาที่เขา
           "เกรกอรี่ตอนนี้เกิดสิ่งใดขึ้น"
               "ข้าพระองค์ยังอธิบายตอนนี้ไม่ได้ ข้าพระองค์ขอให้ท่านเตียมราชสารเชิญผู้นำของประเทศต่างๆมาประชุมที่วิหารฟรานเซสก้า"
               "ตอนนี้ซิกมันไม่อยู่ และข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด"
               "อลานิก้า ส่งสารไปให้เขาที่อลานิก้า"เกรกอรี่กล่าวจบก็เดินออกไป

           ช่วงเวลาที่เกรกรี่รอคอยอยู่ที่วิหารมันช่างยาวนาน เขาเดินวนไปวนมาหลายรอบก่อนจะรู้สึกถึงกลุ่มเมฆดำที่ลอยมาจากแอนดิซองมาปรกคลุมที่แห่งนี้ เขามองลงมาจากวิหารก็โล่งใจ เมื่อเขาเห็นขบวนของซาโลมและฟูดินันเดินทางมา ขณะที่กองทัพไฟของซาโลมอีกกองก็ยกทัพมาเผชิญหน้ากัน กองทัพทั้งสองหยุดอยู่หน้าวิหารตั้งท่ารบราวกับจะก่อสงครามที่นี้
           "จงหยุดเดี๋ยวนี้!"เกรกอรี่ลอยลงมาขวางหน้ากองทัพพร้อมทั้งปล่อยแสงสว่างออกจากคาฑาเขามองไปรอบๆ จนทหารต่างลดอาวุธขบวนของซาโลมและฟูดินันเดินทางเขาไปในวิหารแต่ขบวนของซาโลมเดินทางกลับ
           เมื่อเกรกอรี่พบกันฮาริสันและอิสฮานกษัตริย์ทั้งสองก็ตกใจที่ชายแก่เบื่องหน้าคือเกรอรี่ เมื่อเกรกอรี่แนะนำตัวอีกครั้งทั้งสองจึงพูดคุยกับเขา ฮาริสันพูดถึงตอนที่เกรกอรี่ห้ามสงครามขึ้นมาและพูดถึงเรื่องที่ป้อมฟาทเบอร์
           "ข้าไม่นึกว่าจะพบเอลบนโลกนี้ ท่านเกรกอรี่ มันราวกับว่าโลกหยุดหมุนที่เดียวตอนเธอมา"
               "เจ้ารู้ใหมว่าเธอเป็นใคร"
               "เธอเป็นกษัตริย์ของป่าอะไรซักอย่างข้าจำมิได้แล้ว"
               "อธิริก เรกซิลิกบันดาร"อิสฮานกล่าวขึ้นเกรกอรี่ก็หันมา
           "ที่เจ้าพูดเป็นความจริงใช่ใหม"
               "ใช่เกรกอรี่ข้าจำได้แล้ว ที่ผ้าคลุมของนางมีสัญลักษณ์บางอย่างและมันก็เขียนเอาไว้ว่า กษัตริย์แห่งอธิริก เรกซิลิกบันดาร"ฮาริสันยำเกรกอรี่ก็นิ่งไป
            กองทัพของซิกมันและอองเดรก็เข้ามา เกรกอรี่จึงเรียกทุกคนเข้าประชุมทันที
           "เจ้ารู้กันใหมว่ามีบางอย่างกำลังคลืบครานออกจากนรก"เกรกอรี่พูดขึ้นทุกคนก็เริ่มปรึกษากันเบาๆ
           "เอาละฟังข้าก่อน ตอนนี้เราเจอปัญหาที่ยากแท้ เจ้าเคยได้ยินเรื่องมณีทั้งเก้าใหม"
               "ข้าเคยแม่ของข้าเล่าให้ฟังว่า ถ้าผู้ใดได้ครอบครองมันจะควบคุมโลกได้ทีเดียว"อิสฮานกล่าวขึ้น
           "แล้วเจ้ารู้ใหมว่ามันเป็นของใคร"เกรกอรี่รอคำตอบ
           "มันเป็นของซินแห่งพระเจ้าเอกาลอส"เกรกอรี่กล่าวจบทุกคนก็หันมาสนใจเขามากขึ้น
           "ครั้งหนึ่งพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาได้สร้างคนสี่คนเพื่อเป็นเจ้าของสี่เผ่า พระเจ้าสร้างอเลทาดอสผู้มีอำนาจแห่งการปกป้องเพื่อปกครองไตตันและออร์ค เอกาลอสผู้มีอำนาจแห่งเวชทั้งเก้าเพื่อปกครองเหล่าภูติพรายและผีนรก ดิวาทอร์ผู้มีอำนาจแห่งการทำลายมหากษัตริย์แห่งมนุษย์ และจีเนรอสผู้มีอำนาจแห่งการสร้าง มหาราชินีของเหล่าเอล สงครามเริ่มขึ้นเมื่อเอกาลอสรู้ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่และควบคุมอำนาจทั้งเก้า ขยายอิธิพลไปทั่วมิดการท เขาได้อำนาจแห่งเกรทาซินดา มหาราชินีแห่งนรก และกลายเป็นซินที่ไม่มีผู้ใดต่อต้านได้ มหาซินแห่งพระเจ้า!"
                "แล้วสงครามคราวนั้น"อองเดรถามขึ้น
                "ดิวาทอร์กษัตริย์แห่งเซนทิริก มิเนทาริกผู้รวบรวมกองทัพของมนุษย์ครั้งสุดท้าย และจีเนรอสราชินีแห่งอธิริก เรกซิริกบันดาร ก็ได้ยกทัพครั้งสุดท้ายเข้าปราบเอกาลอส ขณะที่ดิวาทอร์กำลังพลาดท่าอยู่นั้นเอง จีเนลอสก็เข้ารับคมดาบแทนเขา จึงเป็นโอกาสให้เขาใช่ดาบของพระเจ้า ดาบดิสทายเรเออร์ ปลิดชีพเอกาลอส แต่ดาบนั้นก็หักหลังจากเอกาลอสตาย บัดนี้เอกาลอสกำลังจะคืนชีพอีกครั้งเขากำลังจะกลับมา จิตของเขาตามหามณีทั้งเก้าบนโลกแห่งนี้"
                 "มหาวิหารแห่งฟรานเซสก้าสามารถปกป้องผู้คนได้มากมาย ถ้าเราอพยพคนเข้ามาภายในวิหารเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้คน ที่เหลือเราก็ทะลวงไปฆ่าไอ้เอกาลอสอีกครั้ง"
                 "ฝันไปเถอะซิกมัน! ก่อนเจ้าจะถึงเอกาลอสเจ้าก็ตายด้วยมหาขุนพลซินทั้งสิบสาม ดูสิว่าเจ้าจะรอดใหม"เกรกอรี่กล่าวขึ้นกษัตริย์ทั้สี่ก็เงียบไป
             "และอย่างหวังอะไรในวิหารฟรานเวสก้า แสงจากสวรรค์หมดแล้ว ไม่มีแสงจากสวรรค์ใดที่จะส่องมาที่นี้ ทะลุหมองดำแห่งไฮเซนการทได้"เกรกอรี่กล่าวจบเหล่ากษัตริย์ก็ดูเครียดไป
             "จงกลับไปดูแลเมื่องของเจ้าปกป้องราชอาญาจักรของเจ้าให้จงดี มณีทั้งเก้าข้าจะจัดการเอง"เกรกอรี่กล่าวจบกษัตริย์ทุกพระองคืก็ลุกเดินออกไป

             ในยามเย็น แสงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแม่ทัพแห่งฟรีเลเซียและซาโลมกับนักรบแห่งฟูดินันและอลานิก้าก็มาพบกับเกรกอรี่
             "ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะว่าข้ามีงานให้เจ้าทำ"
                 "งานใดๆข้าก็ไม่เกี่ยงขอให้ท่านสั่ง"เมกานัสกล่าวขึ้น
             "เจ้าแม่ทัพเมกานัสแห่งฟรีเลเซียเดินทางตามแสงแห่งดวงดาว มณี 3 ดวงอยู่ในทิศที่อาทิตย์ลาลับ เจ้าทิมโบลัสนักรบแห่งฟูดินัน จงเดินทางไปในทิศเหนือ มณี 2 ดวงอยู่บนเขาแห่งเซนทิริก จงระวังทหารสวรรค์ เจ้าลาสิมัสนักรบแห่งอลานิก้า จงเดินทางไปในทิศใต้ลงจากแอนดิซอง ที่มหานครแห่งสวรรค์ดินแดนแห่งเทพวอคิรี่องค์หนึ่งที่นั้นมีมณี 2 ดวงอยู่ในมหาสมุทรแห่งความตาย และเจ้าฮาดิอัสแม่ทัพแห่งซาโลม จงเดินทางไปในทิศที่อาทิตย์ส่องแสงที่นั้นมีมณี 2 ดวงอยู่ในมหานครที่ไร้แสง ระวังเหล่าไตตันป่าอันนอกเหนืออำนาจของเจ้าไตตัน จงระวังว่าเจ้ามิได้ไปผู้เดียว เจ้ามีกองทัพออร์คตามหลัง อาจจะเป็นสิบ ร้อย พัน หรือ แสน งานนี้เจ้าตองไปผู้เดียวเพื่อมิให้พวกมันรู้ว่าเราจะรวมมณีไปทำลายที่ เซนทิริก มิเนทาริก"เกรกอรี่กล่าวจบเหล่านักรบก็เดินออกไป
             "เจ้าจงมองหา ดาบที่อยู่กับนางฟ้า ดาบนั้นจะช่วยเจ้าได้ยามจำเป็น"เหล่านักรบได้ฟังก็เดินออกไป ทั้งสี่ขึ้นม้าแล้วตรงออกไปจากวิหารฟรานเซสก้า
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #8 on: February 09, 2006, 08:26:30 PM »

ตอนที่ 8 ความหวั่นไหวในร่มเทพยักดราซิล
         วานาแอนตื่นขึ้นมาพบว่าตนอยู่ในวงล้อมของเหล่าหมอหลวงที่มาดูอาการอยู่ แอร์ดิสหมอหลวงซึ่งเป็นสตรีนางเดียวได้เขามาดูอาการอย่างเคร็งเครียด
         "พลังของพระองค์ลดถอยลง"
            "พลังแห่งจีเนรอส!"
            "หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าพระองค์จะใช่พลังแห่งธรรมชาติมิได้อีกต่อไป"แอร์ดิสกล่าวจบวานาแอนก็หน้าซีดไป เธอเดินลงมามองออกไปยังยิกดราซิล

         จีเนรอสเดินรอเวลาที่เอลทุกคนในอธิริก เรกซิริกบันดารหลับไหลเอก็ตรงออกจากเมืองและขี่ม้าศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดจะควบคุมได้ บาเฮม่า กษัตริย์แห่งอาชา จีเนรอสเดินทางตรงไปยังฟูดินัน
         เมื่อจีเนรอสมาถึงเธอก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ราวกับธรรมชาติรอบตัวของเธอคอยตอนรับเธออยู่ จีเนรอสกำลังเดินทางตรงไปหายักดราซิล ทุกย่างก้าวที่เธอเดินทางผ่านต้นไม้จะแย้มบานตอนรับเธอเอาไว้เสมอ และเธอเองก็อยู่ในชุดขาว ยาวที่ปลิวพริ้วตามสายลม เส้นผมที่ยาวสลวยของเธอพริ้มไปตามสายลมที่ผ่านกายของเธอไป
         บาเฮม่าหยุดลงที่โค่นต้นยักดราซิล จีเนรอสลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาที่ยักดราซิลเธอร่ายเวชบางอย่างขึ้นมา แสงสว่างจำนวนมากเขามารวมกันพร้อมทั่งยาวเรียวออกเป็นคาฑาที่ยาวเป็นไม้เท้าได้ทีเดียว
         "ยิกดราซิลมหาพฤกษาแห่งมิดการท ข้าขอคลายคำสาปของท่าน"จีเนรอสกล่าวจบก็มีแสงจากสวรรค์ตรงลงมาที่ยักดราซิล เมื่อแสงหายไปร่มไม้ก็ราวจะขยับได้
         "ท่านคือผู้ใด..."
            "ท่านจำข้ามิได้แล้วเหรอยิกดราซิล"
            "อายุของข้าก็มากมายนัก แล้วท่านมาทำลายคำสาปที่ข้าสาปไว้ด้วยเหตุใด..."
            "มหาสงครามแห่งมวลมนุษย์กำลังจะเริ่มขึ้นอีกแล้ว"
            "ธรรมชาติบอกชำมามากพอแล้วกับสงคราม..."
            "เอกาลอสกำลังกลับมา"
            "เอกาลอส... ออ...เจ้านักเวชที่คอยสร้างความวุ้นวายนะเหรอ..."
            "เขาจะกลับมา มาด้วยพลังที่มากกว่าเดิม ข้าอยากให้ท่านสงสารเรียกกองทัพจากสวรรค์มาที่แห่งนี้"
            "เจ้าเป็นผู้ใดถึงจะมาสังข้า..."ยิกดราซิลกล่าวจบแรงลมก็พลัดจีเนรอสแต่เธอก็ร่ายเวชต้านเอาไว้ เมื่อแสงส่องออกจากตัวของจีเนรอสพร้อมปีกที่กางออกยิกดราซิลก็ชงักทันที
         "จีเนรอสเองเหรอ..."
            "ใช่ข้าเอง วิหารฟรานเซสก้า ที่นั้นจะรับศึกหนักที่สุดโปรดรีบช่วยเขา"จีเนรอสกล่าวจบเธอก็สังเกตุเห็นวานาแอนที่ยืนมองเธออยู่ วานาแอนคุกเข่าลงคำนับเธอเอาไว้
         "หญิงสาวผู้นี้ พลังจีเนรอสในตัวเจ้ากำลังจะหมด"
            "ขอให้ท่านเทพโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิอด"
            "ใต้ร่มแห่งสวรรค์ไม่มีที่ใดทีจะไม่ได้รับความเมตตาจากพระองค์"จีเนรอสกล่าวจบเอก็มองไปที่ยักดราซิล
         "ฉันมาวันนี้เพราะต้องการให้ท่านช่วยเหลือ"
            "สิ่งใดจีเนรอส..."
            "พลังจีเนรอสของข้าอ่อนลงเต็มที ท่านช่วยค้นหาชายผู้หนึ่งที่ท่านรู้จักดี"
            "ผู้ใด..."
            "ดิวาทอร์"
            "ท่านยังรักเขาอยู่เหรอ..."
            "หากแม้ท่านไม่ช่วย โปรดบอก"จีเนรอสพูดขึ้น
         "ชายผู้เลวรายผู้นั้นไม่เหมาะกับท่าน จีเนรอส..."
            "แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาเลวร้าย ท่านจะช่วยหรือไม่ช่วย"
            "ได้..."ยิกดราซิลกล่าวขึ้นพร้อมกับเงียบไป ยิกดราซิลเพ่งกระแสจิตไปยังมวลพฤกษาทั้งปวงที่อยู่รอบโลก เขากำลังมองหาดิวาทอร์
         "ไม่พบจีเนรอส..."ยิกดราซิลบอกสู่จีเนรอสเธอเงียบไปพักหนึ่งก็ตรงออกไปจากป่าทันที วานาแอนมองตามเธอที่ขี่ม้าตรงออกไปอย่างรวดเร็ว
         "มหาเทพผู้หน้าส่งสาร..."
            "เหตุใดท่ายถึงว่าเช่นนั้น"
            "เจ้าจะรู้เมื่อลิขิตฟ้าต้องการให้รู้..."ยิกดราซิลกล่าวจบวานาแอนก็มองตามจีเนรสด้วยความส่งสัย

         เกรกอรี่เดินออกมานอกมหาวิหารฟรานเซสก้า เขามองดูเมฆดำที่ก่อตัวเหนือมหาวิหาร ราวกับว่าเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยกกำลังจะมาถึงมหาวิหารแห่งนี้ เขามองแสงสว่างสุดท้ายจากสวรรค์ที่หายไปต่อหน้าต่อตาเขา ไม่มีแล้วแสงศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องมหาวิหารแห่งฟรีเลเซีย ไม่นานกองทัพแห่งไฮเซนการทคงยกทัพตรงมาที่แห่งนี้ เกรกอรี่มองปากทางครั้งสุดท้ายที่แห่งนั้นจะเป็นป้อมที่รับกองทัพมหาศาลอีกครั้ง เกรกอรี่เดินขึ้นมาที่วิหารที่มืดสนิท แสงไฟจากคบเพลิงคอยๆถูกจุด ที่แห่งนี้ไม่เคยจุดไฟมาช้านานราวกับเป็นสัญญาณเตือนภัย เขามองไปที่ฟรานเซสก้าอธิฐานทุกคำที่อยากกล่าวราวกับนาทีสุดท้ายของชีวิต ภาพนิมิตฟรานเซสก้าถูกทำลายก็แวบเข้ามาในมโนจิตของเขา

         วิโอเรียตื่นขึ้นมาเธออยู่ในอ้อมกอดของเอทาลัส เธอลุกขึ้นไปดื่มน้ำขณะที่เธอดื่มน้ำอย่างกะหาย เอทาลัสก็กอดเธอเอาไว้ แวบของความคิดบอกให้เธอขัดขืนแต่เธอก็ทำไม่ได้เธอตกอยู่ในการควบคุมของเขา เธอรักเขา เธอลุ่มหลงเข้าทุกครั้งมันเกิดขึ้นหลังจากเธอรับจูบจากเขา มันไม่มีวันออกจากฝันร้ายนั้นได้สักที ทุกครั้งที่เธอหลุดจากคำสาปนั้นในรุ่งเช้าที่หน้าขยะแขยงนี้เธอต้องกอดเขา มันหน้ากลัว และเธอก็ขัดขืนไม่ได้เพราะตัวเธอก็ตอบสนองเขา
         "เอทาลัส ท่านเอกาลอสต้องการให้เจ้ายกทัพไปที่วิหารฟรานเซสก้า"เสียงของริวอล มหาซินแห่งความฝันดังขึ้นก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาภายในห้อง ชุดที่มิดชิดรัดกุ้มมีกลิ่นศพและหมวกที่คลุมแทบไม่เห็นใบหน้าของเขาสร้างความกลัวให้แก่วิโอเรีย เอทาลัสหันมาหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับวิโอเรีย เธอกอดเขาเอาไว้ด้วยความกลัว เอทาลัสเองก็บังวิโอเรียเอาไว้
         "ไปบอกกับเอกาลอสว่าข้ารับเรื่องแล้ว"เอทาลัสกล่าวจบพร้อมโบกมือให้ริวอลออกไป เมื่อริวอลออกไป เขาก็ผละออกจากวิโอเรียไปแต่ตัวในชุดแม่ทัพแห่งไฮเซนการท ก่อนจะกลับมาพบวิโอเรีย
         "ราชินีของข้าจงสร้างกองทัพให้ข้าที่นี้ หากข้าเป้นอะไรเจ้าจงยืนหยัดสร้างกองทัพเพื่อข้าต่อไป"เอทาลัสกล่าวจบก็เดินออกไป วิโอเรียมองเขาเพียงหางตาในตอนที่เขาเดินออกไปก่อนที่เธอจะร้องไห้ออกมา
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #9 on: February 12, 2006, 06:04:26 AM »

ตอนที่ 9 แมกกานัสและสายน้ำแห่งกาแลน่า
         แมกกานัสเดินทางออกจากมหาวิหารฟรานเซสก้า เขาตรงไปยังทิศตะวันออกของมหาวิหารด้วยการเดินทางอันรวดเร็วบนหลังม้าอย่างผู้ชำนาญของเขาย่อมสามารถผ่านพื้นที่ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว เขามองดูลูกแก้ววิเศษที่เกรกอรี่ให้มาก่อนออกเดินทางพบแสง 3 จุดกระจายกันอยู่ เขามองแล้วเทียบกับแผนที่ ก็ตัดสินใจเดินทางไปในจุดที่มีแสงสว่างใกล้ที่สุด ขณะที่ควบม้าผ่านป่ารกร้างนั้นเองเขาก็ถูกลอบโจมตีจากโจรป่า
        ลูกธนูที่ตรงมาหมายชีวิตของเขาถูกปัดออกด้วยมือของแมกกานัส เขากระโดดลงมาจากหลังม้าชักดาบออกมาตั้งท่ารอการโจมตีของพวกโจร ความเงียบของสถานที่โดยรอบและความสงบของพื้นที่แทบทำให้แมกกานัสตายใจว่าลูกธนูนั้นแค่เป็นของพรานล่าสัตว์ พลันที่เขาเดินตรงไปที่ม้าของเขา โจรสามคนก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้เขาประทะเขา พวกอินดีน ทหารป่าที่ชั่วร้ายพวกมันเริ่มมารวมตัวตั้งแต่รู้ว่าเอกาลอสจะคืนชีพ แมกกานัสรับคมดาบของพวกมันเอาไว้เขาสู้พรางถอยพรางรุกพราง พวกโจรสามคนรู้ว่าพละกำลังของแมกกานัสเป็นที่ลือไปทั่วฟรีเลเซียว่าเป็นขุนพลพลังช้างนั้นพวกเขาไม่มีทางชนะได้ แมกกานัสเองมีร่างกายที่ใหญ่โตสมส่วน กล้ามเนื้อของเขาเป็นมัดๆที่หน้าเกรงขาม ใบหน้าของเขาไม่หล่อเหล่าแบบเจ้าชายแต่เขาหล่อเหล่าอย่างคมคาย ใบหน้ามีริ้วรอยตามวัยสามสิบสี่และแผลเป็นที่แก้มสามแถบ ไรหนวดเคราที่โกรนอย่างปราณีตทำให้เขาดูหน้าเกรงขามมากขึ้น ชุดเกราะเหล็กที่ใหญ่โตแข็งแรงและหนักกว่าหญิงร่างบางวัยสามสิบสักคนยังไม่ทำให้ชายผู้นี้เครื่อนไหวได้ช้าลง ดาบของแมกกานัสเป็นดาบที่ได้รับพระราชทานจากเรจิน่า ดาบเล่มนี้แสดงถึงการเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ดาบเองมีขนาดใหญ่และยาวทำจากเหล็กแห่งทอร์ที่ลือว่าแข็งแรงกว่าเหล็กใดๆ เขาก็ควงมันอย่างคล่องมือ
         ขณะที่แมกกานัสไม่ทันระวังตัวก็มีโจรป่าอีกกลุ่มปล่อยงูสวาทิ งูร้ายที่มีพิษร้ายแรงที่สามารถปลิดชีพของไตตันตัวโตๆได้ด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว แมกกานัสถูกกัดเขาก็ล้มลงสายตาที่เลือนลางกับกลุมโจรที่มามุ้งล้อมเขาเอาไว้ก่อนจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่สับสนเกิดขึ้น เสียงดังเอะอะพร้อมทั้งเขารู้สึกถึงร่างของพวกโจรล้มลงทับขาของเขาก่อนที่เขาจะหมดสติไป
         แมกกานัสราวกับได้ขึ้นสวรรค์เขามองไปรอบๆ บ้านของเขา พ่อกับแม่ของเขาราชวงศ์คู่ขนานกับราชวงศ์ของเรจิน่ายืนตอนรับเขาอยู่ เรจิน่าและซิกมันอยู่นั้น เกรกอรี่ก็ด้วยไม่เห็นมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยก่อนที่เขาจะเดินมาที่กลางห้องจับถ้วยเหล้าขึ้นชูสูงเหนือศีรษะพร้อมทุกๆคน ม้าสีขาวผ่องก็พังระตูเข้ามา หญิงที่อยู่บนม้าถือดาบเล่มหนึ่งที่เขาไม่รู้จักมันสวยงามเช่นเธอผู้ที่ถือมันอยู่ หญิงสาวผมทองในชุดราตรียาวสีเขียวอ่อนบางปรากฏสู่สายตาของเขา
         "แมกกานัสกลับมา กลับมาเดียวนี้แม่ทัพของข้า"เสียงของเธอดังขึ้นก่อนที่แมกกานัสจะเห็นภาพต่างๆเลือนหายไปพร้อมกับแสงสว่างที่มาพร้อมกับเธอที่หลี่ลง แมกกานัสรู้สึกตัวเล็กน้อยว่าถูกเช็ดตัว ป้อนข้าวและความอบอุ่นจากพลังการรักษา
         แมกกานัสตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ภายในบ้านแห่งหนึ่ง เขามองพื้นที่โดยรอบก่อนจะบิดร่างกายคลายเมื่อยเล็กน้อยก่อนจะคว้าวชุดเกราะผ้าแนบเนื้อมาสวม เขาสำรวจชุดเกราะและอาวุธทุกอย่างยังอยู่ครบก่อนจะเดินออกมา หญิงสาวเบื่องหน้าเข้าเธอคนนั้นคนที่อยู่ในฝันของเขาเธอดึงเขาออกมาและช่วยชีวิตของเขา เธอยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ห่างจากเขามากเธอเป็นที่สดุดตาของเขา สวยและอ่อนโยนจากภายนอกแต่ภายในกลับแข็งแกร่ง แมกกานัสเดินเข้าไปหาเธอ
         "หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ท่านเป็นใคร?"
            "ข้าแม่ทัพแมกกานัส แห่งฟรีเลเซีย"
            "มาทำสิ่งใดที่ลุ่มน้ำแห่งกาแลน่า ท่านรู้ใหมว่านี้เป็นเขตห่วงห้าม"
            "ห้ามไว้ให้ผู้ใด"
            "นี้เป็นท่าน้ำของท่านเอลาโน่แห่งอธิริก เรกซิลิกบันดาร"
            "แล้วเจ้ามาทำสิ่งใดที่นี้?"
            "ข้าเป็นผู้ปกป้องแม่น้ำแห่งนี้"
            "เพื่อสิ่งใด?"
            "เมื่อสายน้ำได้รับบัญชาของท่านเมื่อนั้นประตูสวรรค์จะเปิดรับเอลทุกองค์ที่รออยู่ที่ท่าน้ำกลับสรวงสวรรค์"
            "ถ้าข้าลงเล่นในสายน้ำนั้นจะเป็นไรไป"แมกกานัสพูดขึ้นเธอก็เหวียงมือมา สายลมก่อตัวเป็นธนูที่มีศรทิพแห่งวายุรออยู่ แมกกานัสตกใจกับสิ่งที่เห็น แต่เธอยังไม่กล่าวคำใดเธอก็เข่าอ่อนล้มลงโชคดีที่แมกกานัสประคองไว้ทัน เขาอุ้มเธอขึ้นเดินเข้ามาภายในบ้าน
         "พลังจีเนรอสอ่อนลงไปทุกที"เธอกล่าวขึ้น
         "คงเป็นเพราะเอกาลอส"
            "เอกาลอส..."
            "คนที่สร้างเงามืดนี้ มันแผ่ขยายมาจนถึงที่นี้แล้ว"แมกกานัสกล่าวขึ้นขณะที่มองสตรีเบื่องหน้า เขารู้สึกวาบเขามาภายในใจ ก่อนที่จะเกินเลยมากกว่านี้เขาก็ลุกขึ้นหยิบลูกแก้วขึ้นมามองดู แสงทั้งสามเขามารวมตัวกัน เขาเทียบกับกับแผนที่ที่เกรกอรี่ให้มาก็พบว่ามันตรงกับเมืองเฮลบาเดีย เขาหันมาที่สตรีข้างๆที่อ่อนแรง
          เสียงกลองที่เขารู้ดีพวกออร์คมาแล้ว พวกมันรู้ว่ามณีทั้งสามยู่ที่เฮลบาเดียเงามืดคงทอดถึงเมืองแล้ว แมกกานัสเดินมาดูอาการของสตรีเบื่องหน้า
          "เจ้าเป็นช่นใดบ้าง"
             "สองสามวันก็หายดี"
             "ข้ามาที่นี้ด้วยหมายของเกรกอรี่เจ้ารู้จักใหม"
             "อ้อ...นักบวชผู้หน้าสงสาร"สตรีเบื่องหน้ากล่าวเบาๆทำให้แมกกานัสฟังไม่ทัน
             "เจ้าว่าอะไรนะ!"
             "ไม่มีสิ่งใด"
             "ข้าต้องผ่านสายน้ำแห่งนี้"
             "ผ่านได้โดยท่านต้องไม่แตะต้องสายน้ำแม้แต่ปลายนิ้ว"
             "ข้าไม่มีปีกแล้วข้าจะทำเช่นใด"
             "ข้าเห็นกองทัพแปลกๆสามารถเดินข้ามแม่น้ำได้ท่านก็ไปกับพวกมันสิ"นางพูดขึ้นพร้อมกับสบตาเขาอย่างกวนๆ
             "พวกออร์คนะเหรอ ข้าไปก็ตายพอดี ข้าต้องไปเฮลบาเดียด่วนที่สุดโดยมีชีวิตนะ!"
             "ออร์ค พวกมันถูกไล่ลงไปไฮเซนการทตั้งแต่สงครามไร้เทพแล้วนี้"
             "พวกมันกลับมาพร้อมกับเอกาลอส ข้ามีกิจต้องไปที่นั้นด่วน"
             "ข้าจะเชื่อเจ้าได้มากเพียงใด"
             "ได้โปรดเจ้าชีวิตของข้า ท่านช่วยข้ามาครั้งหนึ่งแล้วข้าขอเพียงให้ข้าทำภารกิจนี้เท่านั้น"แมกกานัสกล่าวขึ้นพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ
          "ชั่วชีวิตของข้า แมกกานัสแม่ทัพแห่งฟรีเลเซียไม่เคยคุกเข่าให้ใคร"แมกกานัสยังมิทันกล่าวจบเธอก็ดึงมือเขาออกมา
          "ดูให้ดีนะ"เธอกล่าวจบก็หยิบก้อนหินมาหนึ่งก้อนปาไปที่แม่น้ำ พลันก้อนหินก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆอย่างรุนแรงแสงวาบเพียงชั่วพริบตายังคงติดตาแมกกานัส
          "สายน้ำแห่งนี้ไม่ตอนรับใครแม้แต่เทพเจ้า"เธอกล่าวจบก็เดินกลับเข้าไปภายในบ้านไม้ของเธอ
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #10 on: February 12, 2006, 06:27:47 AM »

ตอนที่ 10 สายลม ความรัก กล้าหาญ ดาบเวอรนิทอล ดิเอซคาริเบอร์
         แมกกานัสแต่งตัวในชุดแม่ทัพแห่งฟรีเลเซียของเขา เมื่อสตรีที่ช่วยชีวิตเขาเห็นเข้าก็ตรงเข้ามา
         "ท่านจะไปใหน?"
            "ข้าต่อไป ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้ามีภาระกิจ ข้าอยู่ที่นี้ตลอดชีวิตไม่ได้"
            "ท่านจะข้ามแม่น้ำอย่างไร?"
            "ลุยฝ่าพวกออร์คเข้าไป"แมกกานัสกล่าวจบก็เดินออกมาเขาตรงไปที่ม้า เธอเองก็วิ้งตามออกมา
         "ข้ายังไม่รู้นามของเจ้าเลย สตรีผู้เป็นเจ้าชีวิตของข้า"
            "เฟอร์เรียน่า นามของข้าคือ เฟอร์เรียน่า"
            "เฟอร์เรียน่าถ้าข้าไม่ตายไปสะก่อนข้าจะมาชดใช้บุญคุณกับท่าน"
            "อย่าไปแมกกานัส!"เฟอร์เรียน่ากล่าวขึ้นแมกกานัสเพียงเหลียวกลับมาเล็กน้อยก่อนจะควบม้าออกไป
         แมกกานัสควบม้ามาหยุดที่เชิงเขาข้างๆสะพานข้ามน้ำเวชมนต์ที่พวกออร์คสร้างขึ้น พวกมันกำลังก่อสะพานอีกรูปแบบเป็นการถาวรทหารกลุ่มใหญ่เฝ้าที่นี้เอาไว้ แมกกานัสควบม้าตรงเข้าไปเขาหยุดลงหน้าพวกมันไม่มากก่อนจะทำท่ากวนอารมณ์พวกออร์คกลุ่มนั้นจนพวกมันตรงออกมาตามนิสัยป่าของพวกมันแมกกานัสสู่กับพวกมันอย่างสุดกำลัง
         ขณะที่เขากำลังพลาดท่าอยู่นั้นเองลูกธนูอากาศก็วิ้งมาสังหารออร์คจำนวนมาก กว่าที่แมกกานัสจะรู้ว่าผู้ใดมาเขาก็รู้สึกว่าที่บ่าซ้ายของเขามีคนมานั่งอยู่ เฟอร์เรียน่า
         "ข้าบอกท่านแล้วว่ามีแต่ตายกับตาย"
            "ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงไม่มาช่วย"แมกกานัสกล่าวจบก็ตวัดดาบออกเกิดเป็นสายลมใส่เหล่าออร์ค เฟอร์เรียน่าเองก็ยิงสู้เอาไว้ ทั้งสองสู้จนสามารถมาอยู่บนสะพานได้แต่พวกออร์คก็รายล้อมเขาเอาไว้ ออร์คค่อยๆคลืบคลานเข้ามาใกล้แมกกานัสและเฟอร์เรียน่าเขาไปทุกที แมกกานัสยิ้มให้พวกมันก่อนจะยื่นดาบออกไปนอกตัวเขาปล่อยดาบลงจากสะพาน เมื่อดาบปะทะกับสายน้ำก็เกิดระเบิดขึ้นแรงระเบิดทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วเป็นโอกาศให้แมกกานัสและเฟอร์เรียน่าหนีออกมา
         "ท่านเสียดาบของท่าน"
            "ดาบหนึ่งเล่มไม่ตายก็หาใหม่ได้"แมกกานัสกล่าวจบก็ควบม้าผ่านพ้นเชิงเขา เบื่องล่างของเขาเป็นกองทัพออร์คจำนวนมหาศาลรายล้อมมหานครเฮลบาเดีย
         เฮลบาเดียเป็นนครบนเขาที่สูงชัน เมืองติดกับภูเขาที่สวยงาม กำแพงสีแดงที่ดูแข็งแรงยิ่งกว่าที่ใดๆ ภายในเมืองมีควันไฟลอยไปทั่ว เมื่อคืนนี้พวกออร์คคงโจมตีด้วยปืนใหญ่ และพวกมันกำลังโจมตีระลอกใหญ่อีกครั้ง
         "ข้าไม่ขอให้เจ้าไปด้วย"
            "ข้าก็ไม่ขอให้เจ้าไล่ข้าไป"เฟอร์เรียน่ากล่าวจบ แมกกานัสก็ยืนมือออกดาบเล่มที่เขาปล่อยลงสะพานก็ลอยมาที่มือของเขาอย่างรวดเร็ว
         "ดาบนั้น"
            "ข้าบอกแล้วว่าไม่ตายก็หาใหม่ได้"แมกกานัสยิ้มกวนๆมาที่เธอ เฟอร์เรียน่าก็ยิ้มตอบเธอใส่ถุงมือแปลกๆก่อนจะสบตาแมกกานัสแสดงถึงความพร้อม
         "ข้าว่าผู้หญิงควรอยู่ห่างๆมากกว่ามัง"
            "อย่าดูถูกผู้หญิงเชียว"
            "ได้"แมกกานัสกล่าวจบก็ควบม้าลงมาจากเชิงเขา กองทัพของเหล่าออร์คหันกลับมาเห็นเขาและเธอกำลังตรงมาก็ตั้งค่าย เมื่อแมกกานัสเขาใกล้พวกออร์คเฟอร์เรียน่าก็กระโดดหายไปบนฟ้า พวกออร์คมองตามเธอจนไม่สนใจแมกกานัส
         เฟอร์เรียน่าเมื่อขึ้นไปบนฟากฟ้าก็ร่ายคาฑาบางอย่างเปลี่ยนชุดของเธอเป็นนักรบของเอลศักดิ์สิทธิ์เธอยื่นมือออกมาสายลมก็ก่อตัวเป็นคันธนูขนาดใหญ่ พลันเธอก็ร่ายศรเวชมนต์
         "9999ศรยิงพระเจ้า!"เธอพูดออกมาเป็นภาษาของเอล เมื่อลูกธนูถูกปล่อยสายลมก็ดันลงมาเป็นฝนธนูตรงลงมาปลิดชีพเหล่าออร์คเบื่องหน้าของแมกกานัส แมกกานัสเองก็เขาประทะกับออร์คอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกออร์คเห็นเพื่อนเบื่องหลังตนตายจำนวนมากก็เปลี่ยนวิถีการโจมตีมาที่แมกกานัส เฟอร์เรียน่าลงมาที่ไหล่ของแมกกานัสเธอก็ยิงช่วยเขาเอาไว้ ชุดของเธอเป็นสีเขียว เกราะไหล่เป็นสีทองขลิบมรกตและกระโปรงยาวที่แหวกมาที่ครึ่งน่องของเธดเพื่อความถนัดเวลาเคลื่อนที่โจมตีของเธอ แต่มันทำให้แมกกานัสแทบควบคุมสายตาไม่ได้เมื่อมองไปที่เธอ
         ทั้งคู่สู้ดันไปเพื่อไปที่ประตูเมืองของเฮลบาเดีย แต่ก็ตกอยู่ในวงล้อมของพวกมันอีกครั้ง ม้าของแมกกานัสถูกโจมตีจนล้มลงแมกกานัสก็รีบรับเฟอร์เรียน่าแล้วกระโดดออกมา ทั้งสองยืนอยู่เบื่องหน้าของพวกออร์ที่พร้อมจะฉีกร่างของทั้งคู่ได้อย่างเลือดเย็น
         "ถ้ารอดไปได้แต่งงานกับข้านะเฟอร์เรียน่า"
            "ท่าน!"
            "เขาบอกว่าคนใกล้ตายจะพูดความจริงเสมอ ข้าอยากให้เจ้ารู้ก่อนที่มันจะไม่มีโอกาส"แมกกานัสกล่าวจบเฟอร์เรียน่าก็นิ่งไปสักพัก
         "สัญญากับข้า! สัญญาด้วยจูบของท่าน"เฟอร์เรียน่าหมุนมาอยู่หน้าเขา
         "ข้าสัญญา"แมกกานัสกล่าวจบก็ก้มลงจูบเฟอร์เรียน่า พลันแมกกานัสจูบเฟอร์เรียน่าแสงสว่างก็สาดแสงออกจากตัวของเฟอร์เรียน่า แมกกานัสรู้สึกราวกับในฝันที่ถูกงูสวาทิกัด แต่ครั้งนี้เขาอยู่ในดินแดนสีขาว ผ้าสีขาวพริ้วไปตามสายลม เทียรามหาสวรรค์ เขาจำได้ที่เกรกอรี่เคยสอนเขา ที่นี้ราวกับเทียรามหาสวรรค์ เขาก็แปลกใจว่าเขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไรแล้วหรือว่าเขาถูกออร์คฆ่าตายแล้ว พลันสายตาก็มองออกไปที่ทางเดินที่ขาวสะอาดนั้น เฟอร์เรียน่า เธอมีปีกสีขาวขนาดใหญ่กว่าร้อยคู่บินลงมาจากฟ้าเมื่อถึงพื่นปีกนั้นก็สลายไป
         "พันธสัญญาถูกทำลายแล้ว"
            "เจ้าหมายถึงที่ข้า..."
            "ไม่ใช้ สัญญาของข้ากับจีเนรอส ต่อไปข้าจะทำพันธสัญญากับท่าน"
            "เรื่องใด"
            "ที่ท่านสัญญากับข้าไว้"เฟอร์รียน่ากล่าวจบก็เขากอดแมกกานัสเอาไว้
         "แม้สายลม และผืนฟ้าจะมะลาย สัญญากับข้าว่าท่านจะรักข้า"
            "ข้ารักเจ้าเฟอร์เรียน่า..."แมกกานัสกล่าวจบก็จูบเฟอร์เรียน่าเอาไว้ ชุดของเฟอร์เรียน่าก็คลายตัวเป็นผืนผ้าสีเขียวมรกตล้อมรอบกายของทั้งสองเอาไว้

         สายน้ำแห่งกาแลน่าสองแสงสว่างจ้าจนเหล่าออร์คที่เฝ้าสะพานแปลกใจ พลันแสงสว่างนั้นก็รวมตัวพุ้งออกจากแม่น้ำไป
         พวกออร์คและทหารของเมืองเฮลบาเดียมองแสงสว่างที่สองล้อมรอบแมกกานัสและเฟอร์เรียน่าหลังจากทั้งคู่จูบกันเอาไว้ แสงสว่างคลายตัวลงและสลายหายไปพร้อมกับแมกกานัสที่คลายจูบออกจากเฟอร์เรียน่า ชุดของเฟอร์เรียน่าราวกับนางฟ้าที่ยื่นอยู่หน้าแมกกานัส
         "พันธสัญญาใหม่ที่ท่านทำจะติดตัวทานไปทุกชาติภพ"
            "ข้าก็ยอมถ้าเป็นเจ้า"แมกกานัสกล่าวจบเฟอร์เรียน่าก็คุกเข่าลงมือของเธอยืนขึ้น แสงสว่างก็พุ้งลงมาจากฟ้า
         "หนึ่งในสี่ดาบแห่งดิวาทอร์ ดาบเวอรนิทอล ดิเอซคาริเบอร์"เฟอร์เรียน่ากล่าวจบแมกกานัสก็จับดาบพร้อมประคองเธอขึ้น
         "รอข้าอยู่ที่นี้"แมกกานัสกล่าวจบเฟอร์เรียน่าก็พยักหน้า เขาควงดาบอย่างถนัดมือ ดาบเวอรนิทอลเบาเหมือนขนนกในความรู้สึกของแมกกานัส แมกกานัสมองพวกออร์คอย่างกวนๆอีกครั้งก่อจะเดินไปอยู่หน้าออร์คตนหนึ่ง มันก็ฟันเขาอย่างรวดเร็วแมกกานัสองก็รับคมดาบเอาไว้ได้เร็วพอๆกัน เมื่อดาบของออร์คประทะดาบเวอรนิทอลก็เกิดเป็นแรงระเบิดรุนแรงดันกองทัพของออร์คออก แมกกานัสก็เดินฆ่าพวกออร์คที่ละตน เขาตวัดดาบเพียงครั้งเดียวสายลมก็ก่อตัวเป็นใบมีดผ่านกายของพวกออร์คเป็นกองทัพ พวกมันเห้นสู้ไม่ได้ก็ถอนทัพกระจายไปจากเฮลบาเดีย
        แมกกานัสเดินกลับมา เขาตรงมาที่เฟอร์เรียน่า ทั้งคู่ยิ้มให้กันแต่เฟอร์เรียน่าก็ทรุดลงแมกกานัสก็รีบไปรับเธอไว้
« Last Edit: February 12, 2006, 05:43:10 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #11 on: February 13, 2006, 02:10:43 AM »

ตอนที่ 11 สิ้นความหวังจากสวรรค์
         เกรกอรี่มองออกไปที่เบื่องหน้าของมหาวิหารฟรานเซสก้า ทหารจากฟรีเลเซียและซาโลมที่ซิกมันและอิสฮานจัดมาช่วยเหลือ ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอย รอคอยการมาของกองทัพไฮเซนการท ความเงียบและความกลัวเข้าครอบงำทุกความคิดและจิตวิณญาณ
         เสียงกลองศึกดังสนันมาแต่ไกลทุกการทุบของยักออร์คที่หนักหน่วงทำให้ทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงสันไปตามๆกัน เกรกอรี่เดินออกมามองกองทัพมหาศาลของเหล่าออร์ค
         "เตรียมรับมือกับการโจมตี ทหารทุกคนประจำที่หมาย!"ผู้ปกป้องวิหารกล่าวขึ้น เกรกอรี่เดินกลับเขามาภายในวิหาร ประชาชนที่สันด้วยความกลัวและเด็กๆที่กอดกับแม่ของตนเอาไว้ ทหารที่เกณเอาชายที่สามารถสู่รบได้ออกไปรับอาวุธ แม้แต่นักบวชเองยังแทบจะสวดไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว

         เอทาลัสมองดูวิหารฟรานเซสก้าเบื่องหน้าเขาทิ้งมือของคนที่กินเสร็จลงบนพื้น ทหารออร์คมองมาที่เขาพอเห็นเอทาลัสสายหน้าก็ออกคำสั่งโจมตีวิหารฟรานเซสก้า เหล่าทหารออร์คเดินเรียงเป็ยแถวตั้งโล่ป้องกันเข้าไกลกับกำแพง ขณะเดียวกันรถสะพานปีนกำแพงก็เขามา ทหารของวิหารก็ยิงธนูมาราวกับห่าฝนลูกธนูปลิดชีพของเหล่าออร์คไปมากมายแต่มันก็ไม่ทำให้กองทัพลดจำนวนลงจากสายตา

         เกรกอรี่ได้ยินเสียงดาบปะทะกันดังมาจนถึงตัววิหารฟรานเซสก้า เขาก็ออกไปที่ระเบียงวิหารที่ชั้นสอง ภาพเบื่องหน้าที่เขาแทบจะทรุดลงที่พื้น กำแพงวิหารถูกปืนใหญ่โจมตีเสทือนจนถึงตัววิหารเอง เหล่าทหารออร์คที่ขึ้นบนกำแพงก็ฆ่าทหารไปอย่างมากมาย ปะตูที่กำแพงวิหารที่แข็งแรงก็ถูกกระทุงอย่างหนัก ทหารหลายคนเขาดันเอาไว้ ควันไฟเบื่องหน้าราวกับว่าวิหารแห่งนี้กำลังจะดับสูญ เกรกอรี่ยืนมองอยู่นาน นานจนขาของเขาไม่สามารถรับนำหนักของเขาได้อีกต่อไป เกรกอรี่ทรุดลงมือที่สันกุมขึ้นอฐิธานต่อสวรรค์ ทุกคำสวดอ้อนวอนต่อสวรรค์พรึมพรำน้ำตาของเขาไหลรินออกมาหน้าที่มองขึ้นฟ้า ขอเพียงสักครั้ง ไม่สิอีกครั้งที่สวรรค์จะช่วยที่นี้
         พลันแสงสว่างจากสวรรค์ก็ทะลุเมฆดำลงมา เอทาลัสมองด้วยความตกตลึง แสงสว่างจากสวรรค์แผ่ออกไปจนถึงกำแพง ทันทีที่ออร์คสัมผัสกับแสงสว่างก็สลายไปเป็นผุยผง นักรบในชุดทองขลิบเงินพร้อมปีกยักที่สยาลอยลงมาพร้อมแสงนั้น นักรบจากสวรรค์! ท่านลงมาช่วยที่นี้อีกครั้ง เกรกอรี่มองนักรบจากสวรรค์เอาไว้แววตาของเขาเปรียมไปด้วยความเชื่อมั่นที่จะปลอดภัย นักรบหนุ่มจากสวรรค์แผ่แสงสว่างออกมาทำให้พวกออร์คถอยห่างออกมาจากกำแพงวิหาร เอกาลัสมองนักรบที่ส่องแสงทองเบื่องหน้าพร้อมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย หอกสีทองถูกตวัดเกิดเป็นแถบแสงเสียวพระจันทรมาที่กองทัพออร์ค เอทาลัสชักดาบออกมาพร้อมทั้งกระโดดไปรับแถบแสงนั้นเอาไว้ เมื่อคมดาบปะทะแถบแสงก็เกิดระเบิดรุนแรง ทุกสายตาของออร์คและมนุษย์จองมองมาที่เอทาลัสยืนอยู่ เมื่อฝุ่นจางหายไปเอทาลัสที่เดินออกมาพร้อมดาบในมือของเขาที่มีอายความมืดและเกราะดวงวิณญาณที่ลอยรอบตัวเขา
         นักรบสวรรค์บินตรงมาปะทะเอทาลัส หอกทองถูกรับได้อย่างง่ายดาย เอทาลัสยิ้มให้นักรบสวรรค์อีกครั้งเขาตวัดดาบผลักให้นักรบถอยออกมา นักรบสวรรค์กางปีกต้านสายลมเอาไว้พร้อมมองมาที่ที่เอทาลัสยืนอยู่ เขาหายไป! นักรบสวรรค์รู้สึกตัวอีกทีเอทาลัสก็ยืนอยู่ที่ปลายปีกของเขา เอทาลัสกระโดดลงมาตัดปีกของนักรบสวรรค์ แล้วกระโดดลงมา นักรบสวรรค์ก็ตกลงมาเอาหอกปักพื้นเอาไว้
         "เทพเมื่อไร้ปีกก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ทีนี้เจ้าจะหนีข้าไปได้อย่างไร"เอทาลัสกล่าวจบแสงจากนักรบสวรรค์ก็อ่อนลงจนหายไป แสงสว่างที่สาดส่องมาที่วิหารก็ถูกเมฆดำเข้าปิดบังเอาไว้
         เกรกอรี่มองนักรบสวรรค์ที่สิ้นอำนาจของเทพอยู่ในสนามรบก็ทรุดลงแนบนิ่งกับพื้นดิน พระเจ้าแม้เวลานี้พระองค์ยังมีอำนาจด้อยกว่าพวกมันเลยหรือ
         เอทาลัสเดินมาใกล้นักรบสวรรค์ก่อนจะมองด้วยสายตาเมตตา
         "นักรบชั้นต่ำในสวรรค์อย่างเจ้านะเหรอจะมาสู่กับข้า"เอทาลัสกล่าวจบนักรบสวรรค์ก็แทงหอกมาที่เอทาลัส แต่เขาก็ตวัดดาบตัดหอกนั้นพร้อมทั้งพุ่งเข้าปะชิดตัวนักรบสวรรค์
         "ข้าจะบอกให้ว่าอำนาจของข้ามากกว่าเทพชั้นเทียร่านัก ถ้าพวกเจ้าจะชนะข้าได้พวกเจ้าต้องเป็นเทพของชั้นกาเลกซิริกฝากไปบอกเจ้าเรอาทอร์สด้วยว่าเตียมตัวตาย"เอทาลัสกระซิบก่อนจะแทงดาบทะลุกายของนักรบสวรรค์ เมื่อดาบถูกตวัดออกนักรบสวรรค์ก็ทรุดลงแนบนิ่งกับพื้นดิน เอทาลัสเดินออกมามองเหล่าออร์คที่สันกลัว
         "พักกันก่อนดีใหม พรุ้งนี้ค่อยบุกก็ยังไม่สาย"เอทาลัสกล่าวจบเหล่าออร์คก็วิ่งจัดค่ายพัก

         วันแห่งความสิ้นหวังได้ตกมาอยู่ที่เกรกอรี่เขาตืนขึ้นมาภายในห้องของเขานิ่งอึ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจเขาขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน ฝันว่านักรบสวรรค์ตาย ฝันว่าออร์คบุกมาที่วิหารแห่งนี้
         เกรกอรี่เดินออกมามองดูทหารที่บาดเจ็บและนักบวชที่แทบจะประสาทอยู่แล้ว
         "ท่านสังฆราชแม้แต่สวรรค์ชั้นฟ้ายังสู้มันไม่ได้เราจะทำเช่นไรท่าน เราจะทำเช่นไร"นักบวชคนหนึ่งวิ่งมาพูดต่อหน้าเขาเกรกอรี่เดินออกมา เขาตรงมาหน้าภาพของทพทั้งสามอีกครั้ง
         "ขอเพียงพระองค์มาเท่านั้น ข้าขอเพียงให้พระองค์รับรู้เท่านั้น โปรดมาช่วยที่นี้ดังที่ท่านช่วยพวกเขาด้วยเถิอด"เกรกอรี่กล่าวขึ้นพร้อมร้ำไหร้ออกมาเขาทรุดลงหน้ารูปนั้น

         ฟรีเลเซียได้รู้ว่าวิหารถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงก็ระส่ำระสายไปตามๆกัน ซิกมันขอให้ยกทัพไปช่วยแต่สภาขุนนางเกรงว่าจะเสียกองกำลังปกป้องเมืองไป ทำให้ซิกมันแทบบ้าตายขณะที่เขาเดินอยู่ที่สวนอย่างสับสน สายตาของเขาก็ไปพบกับสาวใช้ในวังนางหนึ่งเธอเดินไปทางปราสาทส่วนท้าย นางชายตามาที่เขาแทบจะทำให้เขาหลอมละลายไปกับสายตานั้น เรื่องทุกอย่างถูกลืมพร้อมทั้งเดินตามเธอไป เขาพบเธอกำลังดูแลดอกไม้อยู่มันทำให้เขาหยุดอารมณืไม่ได้กับอิริยาบทของเธอ ซิกมันเดินไปกอดเธอเอาไว้พร้อมทั้งลวนลามเธอ เธอเองก็ดิ้นขัดขืนเอาไว้ตามธรรมเนียม

         เกรกอรี่เดินออกมามองกองทัพของเหล่าออร์คในยามเช้าทหารทุกคนเคารพเขาก่อนจะเดินออกไปประจำการที่ของตนทหารอีกกลุ่มก็กลับมาพัก ปืนใหญ่ถูกยิงมาที่กำแพงอีกครั้งแรงสันเสทือนทำให้ผู้คนในวิหารแทบบ้า เกรกอรี่เองก็สิ้นหวังภายในใจแล้วเช่นกัน

         เอทาลัสนังอยู่บนเคมอสม้าแห่งนรกเขามองที่วิหารเอาไว้ก่อนจะคำรามเป็นสัญญาณให้พวกออร์คบุก
         "วันนี้พวกมนุษย์ที่อ่อนแอต้องหายไปจากที่นั้น"เอทาลัสกล่าวจบก็ควบเคมอสไปยังกำแพงวิหาร เหล่าออร์คที่กระทุงประตูจนพังก็วิ่งเข้าไปภายในทหารต่างสู้จนสุดความสามารถแต่พวกมันมากเกินไป เอทาลัสควบเคมอสกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาเคมอสกัดทหารอย่างรุนแรง เขาอยู่หน้าเกรกอรี่ที่ยืนมองอยู่
« Last Edit: February 13, 2006, 05:03:36 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #12 on: February 14, 2006, 04:58:16 AM »

ตอนที่ 12 นิมิตหมายแห่งฟรานเซสก้า
         สายลมที่โชยเอากลิ่นสาบกายของเอทาลัสมายังเกรกอรี่ทำให้เขาขนลุกขึ้นมา เกรกอรี่มองเอทาลัสเอาไว้อย่างไม่คาดสายตา เอทาลัสเดินตรงมาที่เขา
         "ในนามแห่งฟรานเซสก้า จงถอยไป!"เกรกอรี่กล่าวขึ้นพร้อมชี้คาฑาไปยังเอทาลัส แสงสว่างส่องไปออกจากค่ฑาตรงไปยังเอทาลัส เอทาลัสเองชักดาบออกมาป้องกันแสงสว่างเอาไว้ เมื่อเขาตวัดดาบเกรกอรี่ก็ถอยมาด้วยแรงดาบที่แกร่งกว่า
         "มหาซินแห่งสงคราม"
            "ข้าดีใจที่เจ้ารู้จักข้า ในนามแห่งฟรานเซสก้า ออ..นางฟ้าที่ถือดาบศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเรอาทอร์สนะเหรอ เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร เทพชั้นเทียราไม่มีทางชนะข้าได้ เพราะนี้เป็นพระบัญญัติของพระเจ้า"เอทาลัสกล่าวจบพร้อมตวัดดาบขึ้นแนบหน้า อักขระที่สลักอยู่บนดาบส่องแสงออกมาเกรกอรี่ก็คุกเข่าลง
         "ข้าอยากรู้นักว่าเทพทั้งสามจะช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร"เอทาลัสกล่าวจบก็ตวัดดาบเกิดเป็นคลื่นดาบตรงไปหาเกรกอรี่ เหล่าเทพรักษาของเกรกอรี่ก็ออกมาปกป้องเกรกอรี่ไว้อย่างสุดความสามารถจนจิตแตกดับไป เกรกอรี่เห็นเช่นนั้นก็ทรุดลงเขาอธิฐานออกมาอีกครั้งคำสวดของเขาทำให้นักบวชที่อยู่ในวิหารสวดตาม
         "ดูสิว่าจะมีผู้ใดลงมาช่วยเจ้า"พลันเอทาลัสจะตวัดดาบอีกครั้งแสงจากวิหารฟรานเซสก้าก็ส่องแสงออกมา
         "อย่ามหาวิหารโปรดอย่าทำเช่นนั้น ท่านจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ โปรดอย่าทำ"เกรกอรี่กล่าวขึ้นแต่ไม่สามารถหยุดสหาวิหารได้
         "เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถต้านข้าได้เหรอ"เอทาลัสกล่าวพร้อมจะตวัดดาบแต่ถูกแสงสว่างผลักดันเอาไว้ เอทาลัสเห็นไม่เข้าท่าก็กระโดดขึ้นเคมอสวิ่งออกไปจากมหาวิหาร แสงสว่างก่อตัวเป็นกำแพงแสงล้อมรอบวิหารเอาไว้ ทองคำในวิหารเองก็คล่ำลงแทบจะเป็นสีดำ
         เกรกอรี่ถูกช่วยพยุงเข้ามาภายในวิหาร เขาพักสักครู่ก็รีบเดินไปที่ภาพของเทพทั้งสาม ใยเขาจะต้องหวังในตัวของเทพทั้งสามพระองค์ด้วย พระองค์ยังไม่ปรากฏตนมาให้เขาเห็นแม้แต่ครั้งเดียว
         เอทาลัสมองดูกำแพงแสงที่ล้อมรอบวิหารเอาไว้เขาตวัดดาบเกิดเป็นคลื่นกระทบกำแพงนั้นหลายครั้ง
         "พวกเจ้าอยู่ภายในนั้นได้ไม่นานหรอก"เอทาลัสกล่าวจบก็เดินกลับเข้าค่ายไป

         เกรกอรี่นั้งอยู่ที่ฐานของรูปปั่นฟรานเซสก้าที่กลางมหาวิหาร เขามองออกไปที่หน้าวิหารที่ตรงไปที่กำแพงที่กำลังถูกซ่อมทั้งคืนเพื่อรับกับการสลายตัวของกำแพงแสงสว่างในยามเช้า พลันเขาก็ก้เผลอหลับไป
         เกรกอรี่ตื่นขึ้นพบมหาวิหารที่ว่างเปล่า ผู้คนที่อยู่ในวิหารหายไปหมด เกรกอรี่เดินมาได้สักพักก็พบแสงสว่างส่องลงมาจากฟ้า คมดาบขนาดใหญ่ที่สะท้อนแสงอย่างสวยงาม นางฟ้าฟรานเซสก้า พระองค์ลงมาพบเขาแล้ว เกรกอรี่คุกเข่าลงพร้อมร่ำไหร้ออกมา
         "ใยเล่าพระองค์จึงไม่ช่วยเหลือพวกเราเลย"
            "เมื่อกำแพงแสงสลายไปจงมองไปที่ทิศทิศแห่งอธิริก เจ้าจะพบแสงนำทาง"ฟรานเซสก้ากล่าวพบก็ลอยจากไป เกรกอรี่ตื่นขึ้นเมื่อผู้ปกป้องวิหารเดินมาสะกิดที่ไหล่ของเขา
         "พระองค์หน้าจะรีบเสด็จไปที่ทัพหนี"
            "ไม่หาดาบมาให้ข้า ข้าจะสู้เคียงข้างกับพวกเจ้า"เกรกอรี่กล่าวจบก็เดินออกไปนอกวิหาร ทหารที่ประจำอยู่ที่กำแพงมองเกรกอรี่เอาไว้อย่างไม่เชื่อสายตา
         "มาสู้กับข้านักรบทั้งหลาย พิสูจน์ว่าพวกท่านอยู่เคียงข้างสวรรค์ วิณญาณของพวกท่านจะสถิตอยู่ ณ แดนศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาล"เกรกอรี่กล่าวจบก็ดึงดาบออกมาจากฝัก เกรกอรี่ร่ายเวชใส่ดาบจนดาบส่องแสงออกมา
         "จงสู้ สู้เพื่ออนาคตของพวกเรา สู้เพื่ออนาคตของมนุษย์"เกรกอรี่กล่าวจบก็นำกองทัพมนุษย์ออกมานอกกำแพงของมหาวิหาร เมื่อกำแพงแสงสลายลงพวกออร์คก็เขาประทะกับมนุษย์อย่างรวดเร็วและรุนแรง เอทาลัสตรงมาที่เกรกอรี่ ทั้งคู่ประทะกันอย่างรุนแรง เกรกอรี่เองสู้พลางถอยพลาง เวชทั้งหมดถูกร่ายออกมาเพื่อต่อต้านพละกำลังของเอทาลัสเอาไว้
         เมื่อกำแพงแสงสลายไปจนหมดพวกออร์คก็สู้ดันมนุษย์เข้าไปภายในมหาวิหารฟรานเซสก้า เกรกอรี่มองไปในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของมหาวิหารฟรานเซสก้า เขามองเห็นแสงสว่างที่ส่องมาแต่ไกล เธอมาแล้ว เธอมาช่วยเหลือพวกเขาแล้ว เมื่อแสงสว่างพ้นแนวที่ราบสูงเรออส อยู่ในวิถีของสายตาทุกสายตา หญิงในชุดขาวบนหลังมหาราชาแห่งอาชา เส้นผมสีน้ำตาลแดงพริ้วไปตามสายลม ผ้าที่แขนของเธอยาวออกพริ้วตามสายลม ที่นั้นมีสัญลักษณ์ที่เกรกอรี่รู้จักดี มหากษัตริย์แห่งอธิริก เรกซิริกบันดาร เธอมองมาด้วยสายตาที่อบอุ่นมายังมหาวิหาร ก่อนจะควบม้าลงมาเธอชูคาฑาขึ้นส่องแสงเบิกฟ้า แสงสว่างส่องทะลุเมฆดำสาดส่องลงมาที่พื้นดินพร้อมทั้งนักรบสวรรค์มากมายที่ลงมาจากฟากฟ้าเข้าฟาดฟันเหล่าออร์คในสนามรบ เอทาลัสเห็นดังนั้นก็รีบตรงไปที่สตรีที่ชูคาฑาเบิกแสงจากสวรรค์ที่ตรงมาที่ประตูวิหาร เอทาลัสฆ่าเหล่านักรบสวรรค์ที่ขวางทาง เมื่อเขาเข้าใกล้เธอก็เงื่อมดาบเตียมแทงไปที่เธอ แต่แสงสว่างที่สาดส่องมาจากคาฑานั้นก็เข้ามาขวางเอาไว้ทำให้เอทาลัสหลบไป
         "ในนามแห่งสวรรค์ ข้าสั่งให้เจ้าถอยไป!"สตรีบนหลังม้าชี้คาฑาส่องแสงใส่เอทาลัสทำให้เอทาลัสขยับถอยออกมา
         "จีเนรอส เจ้าคิดว่าจะขวางข้าได้เหรอ"
            "หรือเจ้าจะขัดพระบัญชาแห่งสวรรค์"จีเนรอสกล่าวจบก็มีเงาของปีกเป็นพันๆคู่ที่หลังของเธอ
         "หมื่นปีกของเจ้าก็หนีไม่รอดพ้นอำนาจของเอกาลอสหรอก"
            "กลับไปบอกเอกาลอสว่า พ่อไม่ให้เขาออกมาสร้างความเสียหายอีกครั้งหรอก"จีเนรอสกล่าวจบก็ร่ายเวชศักดิ์สิทธิ์เบิกแผ่นฟ้า แต่เอทาลัสก็หายตัวหนีไปก่อน
         แสงสว่างส่องลงมาที่วิหารฟรานเซสก้าทำให้ทองคำในมหาวิหารกลับมาสดใสอีกครั้ง เมื่อเงามืดสลายไปแสงจากคาฑาก็สลายไป พวกออร์คก็ถูกฆ่าด้วยแสงจากสวรรค์ที่สาดส่องลงมา
         เกรกอรี่มองดูแสงสว่างที่สาดส่องลงมาพร้อมท้องฟ้าที่สดใส หญ้าเกิดขึ้นเขียวขจีอีกครั้ง ธรรมชาติกลับมาเบิกบาน นักรบสวรรค์บินกลับไปที่สวรรค์หมดแล้ว เกรกอรี่ก็รีบเดินออกมา เขาพบจีเนรอสที่มองด้วยแววตาที่อบอุ่น รอยยิ้มของเธอและใบหน้าที่สดใสของเธอราวกับนางฟ้าบนสวรรค์และสายลมที่ผ่านกายของเธอโชยเอากลิ้นหอมของดอกไม้ที่หอมหวน เส้นผมที่พริ้วตามสายลมของเธอ
         "พระองค์กลับมาแล้ว แม่ของพวกเรา"เกรกอรี่กล่าวจบก็คุกเข่าลงทหารทั้งปวงก็คุกเข่าลงตาม
         "ขอให้พระองค์เสด็จเขาสู่มหาวิหารฟรานเซสก้าเถิอด"
            "ข้ามีงานต้องทำอีกมาก"
            "ขอให้แม่ทรงเดินทางไปพบลูกๆของท่านด้วยเถิอดจะถือเป็นความเมตตาอย่างสูง"
            "ข้าต้องตามหาดิวาทอร์ก่อนที่จะสายเกินไป ขอต้องขออภัย"
            "พ่อ... แม่ต้องพบพ่ออยู่แล้ว"
            "อย่าเรียกข้าและดิวาทอร์เช่นนั้น"
            "ลูกมิบังอาจ"เกรกอรี่กล่าวจบจีเนรอสก็ลงมาจากม้า เธอเดินตรงมาที่เกรกอรี่ที่มองเธอเอาไว้ด้วยสายตาอย่างนับถือ
         "เด็กน้อย แม้ว่าข้าจะอายุกว่าล้านปีแต่ชาตินี้ข้าเพียงยี่สิบเท่านั้นเอง"จีเนรอสกล่าวจบก็ร่ายเวชใส่คาฑาของเกรกอรี่
         "พลังนี้จะช่วยเจ้าถ้าพวกมันบุกมาที่นี้อีกครั้ง"จีเนรอสกล่าวจบก็เดินขึ้นบนหลังม้าแล้วมองมาที่เกรกอรี่ครั้งสุดท้าย
         "พลังจีเนรอสในตัวข้าอ่อนลงทุกทีถ้าข้ายังหาเขาไม่พบก่อนเวลาของข้าหมด..."จีเนรอสกล่าวยังไม่จบเกรกอรี่ก็พยักหน้ารู้ว่าจะเกิดสิ่งใด เธอก็ควบม้าออกไปจากเขา ม้ากลายเป็นหงษ์สีทองอร่ามบินขึ้นสู่ฟ้าแล้วหายไป
           
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #13 on: February 15, 2006, 02:52:39 AM »

ตอนที่ 13 ดิวอนเทมัส เอรีนอลทิริก อาณาจักรของคนเคราะ
         ทิมโบลัสเดินทางขึ้นเหนือผ่านภูเขาของทอร์ขึ้นไปในเขตของเซนทิริก มิเนทาริก ภูเขาที่สูงชั้นที่เขาต้องเดินและปีนผ่านเทือกเขาโปทาอัส ดิวาลูเซีย ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงใหญ่อาณาเขตปกป้องเซนทิริก มิเนทาริกทางทิศตะวันตกเอาไว้ เขาปีนขึ้นมาที่ยอดของภูเขาได้ก็มองไปเห็นทะเลหมอกที่สวยงามกำลังจางตัวหางออกไปเขาก็เห็นคมดาบขนาดใหญ่ของเมืองที่เขาไม่เคยเห็น เซนทิริก มิเนทาริก เมื่อหมอกสลายหายไปจากแสงดาบที่สาดส่องไปทั่วบริเวณ แสงจากดาบกวาดออกนอกเมืองราวกับกำแพงของแสงสว่าง สายตาของเขามองมหานครอันยิ่งใหญ่เอาไว้ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาเคยเห็น ก่อนที่เขาจะนำลูกแก้วที่เกรกอรี่ให้ออกมา แสงสว่างสองจุดอยู่อีกทางของเมืองมันไล่ไปตามสันเขาสักแห่งที่ลาดไกลสุดลูกตาของเขา
         ทิมโบลัสเดินทางอยู่หลายวันติดต่อกัน เขามองไปรอบตัวก็ไม่พบว่าราวกับเขาอยู่ที่เดิม มันเปลี่ยนแปลงเลยเพียงแต่ที่นี้มีวิวเขาที่เปลี่ยนไป ราวกับว่าเขาย่ำเท้าอยู่ที่เดิมแต่สถานที่หมุนรอบตัวเขา พลันเสียงกองศึกก็ทำให้เขาหันไปมอง กองทัพก็อบลิน พวกมันมาจากใหนมากมาย สัญลักษณ์ของกษัตริย์กอบลินที่เขารู้จักดี พวกนี้ไม่ยกทัพมานานแล้ว แล้วพวกมันจะไปใหน ขณะที่เขากำลังลุกขึ้นก็ถูกตีหัวสลบไป
         
         ทิมโบลัสตื่นขึ้นพบว่าเขาถูกจับมัดอยู่ที่แท่นหิน สายตาที่มองออกไปรอบตัวมันเลือนลางเกินกว่าที่เขาจะมองออก แสงแดนในสถานที่แห่งนี้มันน้อยไป มีเพียงแสงจากเปลวไฟที่ถูกจุดอยู่ตามที่ต่างๆ ชายร่างเตียเดินตรงมาที่เขา
         "เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี้"เขาถามขึ้นทิมโบลัสก็พยายามปรับสายตาเพื่อมองชายเบื่องหน้า พวกคนเคราะ!
            "ข้ามาเพื่อตามหาสิ่งหนึ่ง"
            "ตามหาอะไร!"
            "มณีบางอย่าง"
            "สิ่งนี้นะเหรอ"ชายเบื่องหน้ากล่าวพร้อมยืนมือมาเบื่องหน้าของเขา แหวนสองวงที่นิ้วของเขาส่องแสงออกมา มณีแห่งดินและหิน! มันอยู่ที่นี้
         "เจ้าเป็นอะไรกับพวกก็อบลิน"
            "ข้าเป็นทหารของฟูดินัน ท่านเกรกอรี่ส่งข้ามาเพื่อตามหาสิ่งที่ท่านครอบครองอยู่"
            "คาฑานี้อยู่กับราชวงศ์ของเรามาแต่ไหนแต่ไร เจ้าคิดจ่ะเอามันไปเพื่ออะไร!"ชายร่างเตียพาดคาฑาใส่ตัวของทิมโบลัส ทหารที่วิ่งมามากมายตรงมาที่นี้พวกเขาอยู่ เหล่าทหารคุกเข่าเคารพชายผู้ที่พาดทิมโบลัสอย่างเข้มแข็ง
         "องค์จักรพรรดิ พวกก็อบลินบุกมาถึงประตูเมืองแล้ว พวกมันมียักลิมอ มาด้วย"ทหารกล่าวจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทิมโบลัสแก้เชือกด้วยวิชาที่เขาเรียนมาแล้วเดินไปที่ทหารยามเขาจัดการอย่างเงียบๆ ก่อนจะไปหยิบเอาดาบและของๆเขาที่ชั้นเดินตรงออกมา ภายนอกคุกทหารวิ้งอย่างวุ้นวายไปทั่ว เขามองดูท้องพระโรงของที่นี้ ดิวอนเทมัส เอรีนอลทิริก อาณาจักรแห่งเหล่าคนเคราะ เขามองดูสัญลักษณ์ของอาณาจักรก่อนจะวิ่งออกมาพวบทหารที่เข้าพลักดันกำแพงเอาไว้
          "อยู่นั้น! นักโทษอยู่นั้น"ทหารคนหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมวิ่งตรงมาที่เขา ทิมโบลัสวิ่งตรงออกมาจากท้องพระโรงที่สูงใหญ่ เขาวิ่งจนไปรู้ว่าอยู่ที่ใด ขณะนั้นเองก็มีนกบินมาเกาะที่บ่าของเขามันบินนำเขาไป ทิมโบลัสมีลางสังหรณ์บางอย่างจึงวิ่งตามไป เขาออกมาที่สันเขาของเทือกเขาโปทาอัส ดิวาลูเซียก่อนที่เขาจะพลาดตกหน้าผ่าไป
          ทิมโบลัสเหมือนเห็นหญิงผิวขาวในชุดสีขาวมาประคองเขาเอาไว้ เหมือนเธอกำลังกอดเขาเอาไว้แน่นผมสีดำสลวยของเธออ่อนนุ่มเกินความสัมผัสที่เขาสัมผัสได้ แววตาสีน้ำตาลที่มองเขาอย่างอ่อนโยน เขาก็ตื่นขึ้นมาเมื่อลิงน้อยเข้ามากระโดดเล่นบนตัวเขา ทิมโบลัสมองไปรอบๆ บ้านไม้ที่มีสัตว์อยู่อย่างมากมาย ตนไม้เขียวขจีมองแล้วราวกับสวนในราชวังของฮาริสันที่ฟูดินัน เขาออกมาจากบ้านสายตาที่มองไปที่กลุ้มของผีเสื้อที่บินอยู่รอบๆผู้หญิงที่คลายหญิงในความฝันนั้น เธอมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มที่อิ้มเอิบของเธอ แสงสว่างที่สองมาทำให้ชุดสีขาวของเธอดูสวยงามยิ่งนัก
         "ท่านไม่เป็นอะไรแล้วนะ"
            "ก็ยังเจ็บหัวอยู่นิดหน่อย"
            "ดีที่ท่านตกลงมาใส่โมบุน้อย"
            "โมบุน้อย? มันคืออะไรเหรอ"
            "ต้นไม้กินคน"เธอกล่าวจบก็เดินผ่านเขาไปยังบ่อน้ำใกล้ ทิมโบลัสก็อึงไปเล็กน้อย
         "ท่านยังไม่ตายหรอก โมยุไม่กินคนที่มีอะไรแปลกๆเช่นท่าน"นางกล่าวจบก็ยื่นลูกแก้วของเกรกอรี่มาให้เขา ทิมโบลัสก็เกาหัวเล็กน้อยพร้อมยิ้มด้วยความเขินอายก่อนจะหยิบมาจากเธอ
         "เราคงต้องรีบออกไปจากที่นี้แล้วละ พวกก็อบลินกำลังมาที่นี้ ดิวอนเทมัส เอรีนอลทิริกคงต้านไว้ได้อีกไม่นาน"
            "ท่านรู้ได้อย่างไร"เธอกล่าวขึ้นพร้อมหันมาสบตาเขา ทิมโบลัสมองเธอเอาไว้ เธอเป็นคนร่างบอบบางที่เขาเคยคิดว่ามันไม่เคยสวยลยในสายตาเขาแต่ผู้หญิงคนนี้แปลกออกไป เขาเองก็ไม่ได้ร่างกายใหญ่โตเหมือนกับแมกกานัสแต่เขาก็ถือว่าอยู่ในมาตรฐานของทหารทีเดียว ทิมโบลัสเดินออกมาจากเธอเข้าไปหยิบเอาข้าวของก่อนจะเดินมา เธอก็วิ่งมาที่เขา
         "คุณจะไปไหนนะ!"
            "ผมจะไปช่วยดิวอนเทมัส"
            "พวกก็อบลินมันมากเกินกว่าจะช่วยเหลือได้แล้วนะ"
         "ยังไงก็ต้องไปงานของผมอยู่ที่นั้น"ทิมโบลัสกล่าวจบก็เดินออกไปปล่อยให้หญิงที่เขาไม่ได้ถามชื่อ ไม่ได้ตอบแทนที่เธอช่วยเขาเอาไว้

         จักรพรรดิของดิวอนเทมัสสั่งกองกำลังเข้าต่อต้านก็อบลินสุดความสามารถ ประตูเมืองแตกแล้วในขณะนี้ไม่มีทีใหนปลอดภัยเลยในเมือง ขณะนั้นเองทิมโบลัสก็ตรงเข้ามา เขาตวัดดาบกวาดก็อบลินที่กำลังลุมล้อมอยู่แล้วพาพวกของเขาออกไป
         "ถ้าเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะทำให้ข้ายกคาฑาให้เจ้า ไม่มีทาง..."จักรพรรดิกล่าวจบก็เดินเข้าท้องพระโรงไป ทิมโบลัสแสร้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป เหล่าคนเคราะกับก็อบลินที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดภายในเมืองที่อยู่ภายในภูเขานอกกำแพงวังต่างอยู่ต่อสู่ มองดูเงามืดที่ก่อตัวอยู่เหนือหัวของพวกเขา ก่อนที่จะมีบางสิ่งออกมาจากเงามืดนั้น มหาซินแห่งความกลัว เซอร์นิส! เขากางปีกค้างคาวสีดำสองคู่ออกมา ดวงตาสีแดงเลือดที่สร้างความกลัวให้กับเหล่าคนเคราะทั้งหมด เขาพุ่งลงมาที่ทหารคนเคราะที่ยืนนิ่งอยู่ ขณะนั้นเองทิมโบลัสก็เข้ากันไว้ ประกายแสงวาบเพียงชั่วครู ดาบของทิมโบลัสรับเล็บที่ยาวและคมกริบของเซอร์นิสเอาไว้ เซอร์นิสมองเขาเอาไว้ก่อนจะโจมตีอีกครั้งแต่ทิมโบลัสก็รับการโจมตีของเขาเอาไว้ได้ เซอร์นิสบินขึ้นบนฟ้าก่อนจะกรีดร้องออกมา เสียงทำให้หัวใจของทุกคนแทบหยุดเต้น แม้แต่ทิมโบลัสก็ล้มลง มหาเวชคำราม! ขณะนั้นเองก็มีพลังบางอย่างยิงไปใส่เซอร์นิส
« Last Edit: February 15, 2006, 11:04:16 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #14 on: February 16, 2006, 02:08:52 AM »

ตอนที่ 14 แผ่นดิน หินผา เมตตา เสียสละ ดาบฮันไจดา ดิเอซคาริเบอร์
         แสงสว่างที่ส่องแสงสู้กับเงามืดที่มาจากเซอร์นิสมาจากถุงมือที่อยู่ในมือของสตรีที่ทิมโบลัสรู้จักดี นางยืนอยู่ที่ระเบียงของพระราชวังมองมาที่เขา
         "ในนามแห่งจีเนรอส จงถอยออกไปมหาซินผู้ชั่วร้าย"หญิงสาวกล่าวขึ้นพร้อมร่ายเวชให้แสงสว่างที่ถุงมือนั้นเข้มขึ้น แต่เซอร์นิสกลับไม่กลัวพร้อมทั้งหัวเราะออกมา
         "เจ้าคิดว่าพลังของเจ้าจะมากกว่าข้างันเหรอ"พลันเซอร์นิสกล่าวจบเธอก็ถอดชุดคลุมออกแสงสว่างสาดออกอย่างมากมาย
         "ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด เจ้ามีอำนาจกว่าเทียรามหาสวรรค์ แต่เจ้าก็ไม่ได้มีอำนาจมากกว่าเนเวอร์แลนมหาสวรรค์ อย่าลืมว่าเหนือเทียรายังมีผู้ใดอยู่"นางกล่าวจบเซอร์นิสก็หักมือทั้งสองของตัวเองก่อนจะร่ายรวมบางอย่างที่บนฝากฟ้าแสงสว่างรวมตัวกันเกิดเป็นกรงเล็บใหม่ที่มีสีทอง
         "แต่ข้ารู้สึกว่าพลังของเจ้าจะไม่เห็นถึงช่วงชั้นสวรรค์ที่ว่าเลย"เซอร์รีนกล่าวจบก็นำกรงเล็บเข้าแนบใบหน้า สตรีเบื่องหน้าของเขามองเห็นอัขระที่เธอรู้จักดี
         "พระบัญญัติแห่งสวรรค์! เทวาสยบใต้อำนาจ!"เธอกล่าวจบก็หลบกรงเล็บที่ตวัดมาเกิดเป็นสายลมสีทองเขาใส่เธอ
          ทิมโบลัสมองเห็นเธออยู่ที่หลังคาบ้านใกล้ๆ เธอกกำลังมองหาเซอร์นิสที่หายตัวไปก่อนที่เขาจะพุ่งมาจากกลุ่มควันชนเธอตกลงมาที่พื้น
         เธอลุกขึ้นมองเซอร์นิสที่อยู่บนฟ้ามองลงมาอย่างดูถู ก่อนที่เขาจะพุ่งไปที่เธอจับเธอเขาชนผนังเอาไว้ ควันสีขาวที่ออกมาจากกรงเล็บของเขามันลอยออกช้าๆ
         "เกราะทิพอย่างนั้นเหรอเจ้าคิดว่ามันจะกันกรงเล็บที่ได้รับพระบัญญัติของพระเจ้าได้หรือเปล่า"เซอร์นิสกล่าวขึ้นพร้อมกับนิ้วชี้ของกรงเล็บที่ยาวออกเป็นคมดาบเบื่องหน้าของเธอ
          ทิมโบลัสมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นเองสมองเขาก็สั่งให้เข้าไปขวางคมดาบนั้น ร่างกายของเขารู้สึกแวบเดียวของความเจ็บปวดเมื่อกรงเล็บถูกถอนออกเขาเห็นเพียงเลือดที่พุ่งตามออกจากกายของเขาเซอร์นิสถอยออกไปแล้ว เธอเขาโอบร่างของเขาไว้ หูของเขาไม่ได้ยินเสียงของเธอที่ร้องออกมาแต่เขาก็พยายามถามคำถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย
         "ชื่อของคุณ..."
            "วานิซิก้า ชื่อของฉันคือวานิซิก้า"ราวกับเสียงสวรรค์สุดท้ายที่มันแวบเข้ามาในโสตประสาทสุดท้ายของเขาก่อนที่แสงสว่างจะเขามาทดแทน

         แสงสว่างจางหายไปทิมโบลัสพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่นี้มีต้นไม้ขนาดใหญ่มากมายลำธารที่ใสจนเห็นพื้นเบื่องล่าง ราวกับเขากลับมาฟูดินันอีกครั้ง แต่ที่นี้เปลี่ยนไป ที่นี้มีเหล่าสัตว์แปลกๆที่เขาไม่เคยเห็น ต้นไม้ส่งเสียงแปลกๆ พวกเขากำลังคุยกัน ที่นี้ไม่ใช้ดินแดนของยิกดราซิล ที่นี้มิใช่ป่าที่เขารู้จัก พลันความจำส่วนหนึงของเขาก็แวบเข้ามา เทียรามหาสวรรค์! ที่นี้ราวกับที่ฟูดินเคยพูดให้เขาฟังตอนวัยเด็ก ขณะที่เขากำลังเดินอยู่บนทางที่เป็นพื้นหญ้าที่เขียวขจีแสงสว่างจากฟ้าก็ส่องลงมา ใจของเขาคิดว่าคงเป็นนางฟ้ามาต้อนรับเขาแต่ไม่ใช่ วานิซิก้าเธอลอยลงมาพร้อมกับแสงสว่างปีกที่หลังของเธอนับพันคู่สลายไปเมื่อเธอสัมผัสกับพื่น
         "ดิวอนเทมัส แตกแล้วเหรอ...หน้าเสียดายจัง"ทิมโบลัสกล่าวขึ้นวานิซิก้าเพียงสายหน้าตอบเขา
         "ผมรู้ชื่อคุณแล้ว ผมชื่อทิมโบลัสนะ"
            "พระพันธสัญญาถูกทำลายแล้ว ฉันมาเพื่อทำพันธสัญญาใหม่"
            "พันธสัญญา?"
            "แม้แผ่นดิน และหินผาจะสลาย สัญญากับข้าว่าท่านจะปกป้องผู้คนบนโลกนี้"
            "ปกป้อง...บนโลกนี้"
            "ด้วยกายและใจของท่าน"นางกล่าวจบพร้อมทั้งยื่นมือมาที่เขา
         "ได้ข้าสัญญา"เขาจับมือของเธอพลันแสงสว่างก็เจิดจ้าออกจนสายตาของเขาเลือนลาง

         ทิมโบลัสรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเขาอยู่ที่ออมกอดของวานิซิก้าเธออยู่ในชุดผ้าสีน้ำตาลอ่อนออกทองเนื้อผ้าบางและเรียบนุ่มทุกความสัมผัสของเขา ทิมโบลัสลุกขึ้นจากออมกอดของเธอเขาจับมือของวานิซิก้าขึ้นยืน เธอซึ่งยืนอยู่เบื่องหน้าเขามองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนเช่นแรกพบพลันพื้นดินก็สันเสทือน ปรากฏดาบขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากพื้นดิน วานิซิกาคุกเข่าลงหน้าเขา ดาบนั้นก็ลอยมาอยู่ที่หน้าเธอพร้อมเปลี่ยนวิถีขึ้นพบมือทั้งสองของเธอ
         "หนึ่งในสี่ดาบแห่งดิวาทอร์ ฮันไจดา ดิเอซคาริเบอร์"วานิซิก้ากล่าวจบทิมโบลัสก็เดินไปที่ด้ามดาบเขาจับมันขึ้นราวกับมันเป็นขนนก ดาบที่มีความสูงเท่าเขาถูกตวัดลองดาบก่อนที่เขาจะหันมาที่เธอ เขาพยักหน้าให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเดินไปราวกับเวลาเดินอีกครั้ง เซอร์นิสที่มองรออยู่เห็นทิมโบลัสกลับมายืนอยู่เบื่องหน้าพร้อมดาบที่เขารู้จักดีแต่เขาก็พุ่งลงมา
          แรงปะทะทำให้แผ่นดินเสทือนแทบทำให้นครแห่งนี้ถล่มที่เดียวภูเขาที่เสทือนตามๆกันด้วยคมดาบที่ปะทะกับกรงเล็บนั้น ทิมโบลัสพลิกดาบตับกรงเล็บนั้นไปอย่างรวดเร็ว เซอร์นิสล้มลงจับมือของตัวเองข้างหนึ่งที่ถูกตัดไปเอาไว้
          "ฉันลืมบอกไปว่าฉันไม่ใช่เทพ เพราะงันฉันไม่อยู่ใต้อำนาจมัน"ทิมโบลัสกล่าวจบก็ตวัดดาบกะปลิดชีพเซอร์นิสแต่เขาก็สลายกลายเป็นเลือดสีแดงสดลงบนพื้นหายไป
          "แกคิดว่าดาบนั้นจะชนะเอทาลัสได้เหรอ"เสียงก้องครั้งสุดท้ายของเซอร์รีนก่อนที่เงามืดลอยจากไป
         
          ทิมโบลัสดึงดาบที่ฝังลงพื้นขึ้นแล้วเดินไปที่กองทัพของพวกก็อบลินที่มองเขาอยู่
          "กลับไป ที่นี้ไม่มีอะไรให้พวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าคิดว่าที่นี้มีอาหาร พวกเจ้าคิดผิด ถ้าพวกเจ้ากินหินและเหล็กได้เจ้าก็เข้ามา"ทิมโบลัสกล่าวจบก็มองพวกก็อบลินที่มองกันไปรอบๆก่อนจะถอนทัพกลับไป ทิมโบลัสถูกรายล้อมด้วยเหล่าคนเคราะที่เข้ามาขอบคุณเขา แต่เขากำลังแหวกฝูงชนไปหาเธอ
          วานิซิก้ายืนอยู่ที่ข้างบ้านหลังหนึงเธอมองไปที่เขาขณะที่เธอกำลังจะก้าวขาเธอก็รู้สึกหมดกำลัง เธอยังคงยิ้มให้กับทิมโบลัสที่กำลังเดินตรงมาที่เธอ มือของเธอชาเกินกว่าที่จะยกแขนขึ้นโอบกอดเขา สายตาของเธอเลือนลางเธอเห็นเขาวิ่งมาที่เธอก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดไป

          ซิกมันลุ่มหลงอยู่กับสาวใช้ในวังจนยกเธอขึ้นเป็นพระราชินี แห่งฟรีเลเซียซึ่งเป็นผลให้ราชวงศ์ของเขาผิดใจกับราชวงศ์คู่หมันที่หมันหมายไว้
          เรจิน่าเดินออกมาที่ท้องพระโรงพบน้องชายอยู่กับราชินีองค์ใหม่ของเขา ซิกมันเปลี่ยนไปเขาไม่สนใจแม้กระทั้งว่าดินแดนส่วนใดเกิดปัญหา กองทัพมังกรและบิสของเขาก็ไม่ได้ดูแลมาเป็นเดือนแล้ว เขาอยู่กับเธอคนนั้น ผู้หญิงแปลกๆที่เธอไม่รู้จักว่ามาได้ยังงัย รับเข้าทงานตอนใหน แล้วมีชื่อเธอในทะเบียนสาวใช้ได้ยังงัยในเมื่อเธอเป็นคนเช็คเองว่าไม่มีสาวใช้ที่ชื่อแปลกๆเหมือนเธอในก่อนวันปิดบัญชีรายชื่อ อันทิมิชันนาริซ เดอร์เวนัส ชื่อของเธอ
          อันทิมิชันนาริซหลังจากแยกกับซิกมันเธอก็เดินเข้าไปในห้องเธอ ก่อนจะสั่งสาวใช้ทั้งหมดออกไปจากห้อง เธอเดินมาที่กระจกหวีผมอย่างปราณีตสายตาของเธอที่มองกระจกราวกับจะกลื่นกินมัน เธอสวย สวยกว่าหญิงใดบนโลกาแห่งนี้ เพราะนางได้พรนั้นมา พรของพระเจ้า
          "นางพี่สาวของเขาชักสงสัยเจ้าอันทิมิชันนาริซ"เสียงของมหาซินแห่งความงาม อาทิมิสชันนาริสกล่าวขึ้นพร้อมเดินมาที่นาง
          "ใยเล่าข้าจะกลัวนาง ข้ามีแผนสำลองสำหรับนางคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเป็นพิเศษ"นางกล่าวขึ้นก่อนจะเปิดกล่องหนึ่งออกมาร่ายเวชลงไปก็ปรากฏเหยือกเลือดสีแดงสดอยู่ภายใน
          "หน้าขยะแขยง"อาทิมิสชันนาริสกล่าวขึ้นเบาๆ
          "เจ้าว่าอะไรนะ!"อันทิมิสชันนาริซกล่าวขึ้นร่างของอาทิมิสชันนาริสก็ลอยไปชนกับฝาผนัง
          "ถ้าไม่มีข้า ก็ไม่มีเจ้า จงอย่างลืมว่าเจ้ามาได้ก็เพราะใคร"อันทิมิสชันนาริซกล่าวจบก็ดื่มเลือดในเหยือกจนหมดร่างของอาทิมิสชันนาริสก็ตกลงบนพื้น
          "จำไว้ว่าพรจากสวรรค์ที่เจ้าได้มามันไม่มากไปกว่าเจ้าเป็นทาสมัน ความงามที่ไร้การเตะต้อง ความรักที่เจ็บช้ำเนียรนะเหรอที่สวรรค์ต้องการให้เกิดขึ้น จงใช้มันให้เป็น ข้ามีพรที่จะเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งปวง และเจ้ามีพรสวรรค์แห่งความลุ่มหลงดังนั้นจงให้มันเพื่อเจ้าจะได้เป็นเทพบนเนเวอร์แลนอีกครั้ง และจงจำไว้ว่าพลังของข้ามากกว่าเจ้านัก อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นอีก!"อันทิมิสชันนาริซกล่าวจบหน้าของอาทิมิสชันนาริสก็ถูกตบด้วยสายลม แล้วเธอก็เดินจากไป
« Last Edit: February 16, 2006, 03:01:49 AM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #15 on: February 16, 2006, 10:38:39 PM »

ตอนที่ 15 ราชินีราโอล่า ผู้ปกป้องมหาบัณลังแห่งเซนทิริก มิเนทาริก
         ม้าสีขาวที่วิ้งตรงมาที่อธิริก เรกซิลิกบันดารทำให้ชายวัยกลางคนแทบวิ้งออกมาดู จีเนรอสที่มีใบหน้าซีดขาว เธอมองเขาด้วยสายตาอันอบอุ่นเช่นเดิมก่อนที่เธอจะสลบลงเขาก็รีบวิ่งเขาไปคว้าเธอเอาไว้
         จีเนรอสมองเพดานของห้องนอนเอาไว้ ก่อนที่เธอจะหันมาเมื่อรู้ว่ามีผู้เข้ามา พ่อของเธอเอง
         "พลังของเจ้าน้อยลงทุกที"
            "แต่ก็ยังพอ..."
            "ให้คนอื่นทำเถอะลูก"
            "ไม่ได้ค่ะ เพราะหนู..."
            "เจ้าเห็นอะไร?"
            "มันผิดแปลกไป นิมิตที่หนูเห็น... เขาฆ่าพวกเรา..."
            "พ่อไม่รู้ว่าเจ้าจะไปหาเขาทำไม ในเมื่อเจ้าก็สามารถกลับสู่สวรรค์ได้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เหมือนกับพ่อก็ไม่เข้าใจว่าท่านเฟรม่า ยกราชอำนาจกษัตริย์แห่งอธิริกให้เจ้า"เขาพูดขึ้นพร้อมกับเดินห่างออกไป
         "เจ้าเป็นคนที่แปลก แปลกที่ข้าอ่านใจเจ้าและมองนิมิตหมายของเจ้าไม่ได้ แต่มันก็อาจจะเป็นเพราะบางอย่าง เจ้าดื้อรันมาแต่เด็ก ใยเล่าเขาจึงยกให้เจ้า"พ่อเขาบ่นพรึมพรำขึ้นอีก
         "ข้าต้องเดินทางไปเซนทิริก มิเนทาริก"
            "เจ้าจะไปทำไม อาณาจักรแห่งนั้นไม่มีผู้ใดที่เจ้าจะพูดด้วยได้"
            "ข้าต้องไป และข้าอาจอยู่ที่นั้นเป็นเวลานาน นิมิตหมายของข้าบอกว่าข้าอาจพบเขาที่นั้น"จีเนรอสกล่าวจบก็เดินออกไปจากห้อง เธอเดินไปแต่งตัวในชุดกษัตริย์แห่งอธิริกเช่นเดิมก่อนจะตรงออกไป
         เซนทิริก มิเนทาริกยังคงสงบสุขเช่นเดิมชาวเมืองที่เดินไปมาเต็มเมือง เมื่อจีเนรอสเดินทางมาถึงเธอก็ตรงเข้าไปที่ประตูเมือง เมื่อม้ามาถึงประตูเมืองใหญ่ทหารก็ขวางเธอเอาไว้
         "นครแห่งนี้ไม่ต้อนรับผู้อื่น"
            "ข้าหวังว่าเซนทิริกคงยังไม่ลืมอธิริก"
            "อธิริก นครอะไร? ข้าไม่เห็นรู้จัก"ทหารกล่าวขึ้นทุกคนก็หัวเหราะอย่างสนุกสนาน พร้อมเข้ามาแตะต้องม้าก่อนจะจับที่แขนของเธอ พลันแสงสว่างก็ส่องออกมาจากเธอมือของทหารผู้นั้นสลายไปเป็นผุยผง เขาช็อคกลายเป็นคนบ้าวิ่งจากไปหลังจากเห็นว่าตนเองเสียมือไป
         "นางแม่มด อย่าให้เธอเขาภายในเมือง"
            "ไปบอกผู้ปกป้องพระราชฐานแห่งราชันมาพบข้าบอกว่า ราชินีของอธิริกมาเข้าพบ"จีเนรอสกล่าวจบเธอก็ชีคาฑาไปที่ทหารแสงจากคาฑาทำให้เขาวิ่งหายไปภายในเมือง สักครู่ก็มีกองทัพของคนผู้หนึ่งยกมา จีเนรอสรออยู่อย่างไม่ถอยหนี ชายผู้ควบม้าเบื่องหลังกองทัพควบตรงมาพร้อมกับกองทัพที่แหวกออกล้อมเธอเอาไว้ เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าสายตาที่มองไปเห็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์แห่งอธิริกทำให้เขาลงจากม้าแล้วคุกเข่าลงคำนับ
         "ข้าพระองค์เทออส บุตรแห่งราชินีเรโอล่าขอต้อนรับมหาราชินีแห่งเซนธิริก มิเนทาริก"เขากล่าวจบผู้คนต่างก็คุกเข่าลงอย่างตามๆกัน

         จีเนรอสเดินทางเข้ามอภายในราชวัง ภายนอกที่ทรุดโทรมไปตามเวลาแต่ภายในเป็นทองคำที่สวยงามกับผ้าสีแดงที่จัดแต่งราชวังเอาไว้ เทออสเดินนำมาที่ท้องพระโรงของพระราชวังที่ภายในมีสตรีแก่นั้งอยู่ เธออยู่ในชุดที่โอ่อ่าหรูหรา เบืองหน้าของเธอคือเหล่าขุนนางแห่งเซนทิริก จีเนรอสเดินแหวกผู้คนที่หลีกทางให้เธอ
         "เธอเป็นนางแพศยาที่เคยทำให้องค์กษัตริย์องค์สุดท้ายลุ้มหลง แล้วนางก็กลับมาเพื่อมาเอาอำนาจที่นางใช้มารยาทั้งปวงเรียกมาจากองค์กษัตริย์ผู้หน้าสงสารคืน คนอะไรเลวร้ายที่สุด"เรโอล่ากระซิบบอกสาวใช้ข้ากาย เมือเธอได้พบกับจีเนรอสเธอก็ยืนขึ้น
         "พระราชินีที่ไม่มีกษัตริย์ ไม่สามารถครองราชอำนาจได้!"
            "ข้าไม่ได้มาเพราะมาครองเมืองแห่งนี้"
            "ท่านมาเพื่ออะไร?"
            "ข้าต้องใช้ห้องสมุดจูโน่"
            "ไม่ได้ ที่นี้ไม่ใช้ที่ๆจะเอาออกได้ตามใจ"
            "ท่านจะขัดพระบัญชาแห่งราชินีหรือ"
            "ข้าทำได้ ตราบเท่าที่องค์กษัตริย์ยังไม่กลับมา"จีเนรอสได้ยินเธอก็สบัดผ้าเดินออกไป เธอเดินตรงมาที่ห้องสมุดจูโน่ เมื่อมาถึงเธอก็พบกับบาทหลวงใหญ่ที่เฝ้าอยู่
         "เปิดห้องสมุดจูโน่"
            "แต่ว่า..."
            "ข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักตรานี้ดี"
            "หมายโอการแห่งสี่เทพ"บาทหลวงกล่าวจบก็หลีกทางให้จีเนรอสเดินผ่าน เธอเปิดประตูเดินเข้าไปภายในมองภาพนิมิตทั้งปวงที่ลอยอยู่รอบตัวเธอ เธอมองหาภาพนิมิตที่มีชายคนที่เธอตามหาเธอหามัน หามันจนพบ เธอมองมันเก็บทุกรายละเอียดเทียบกับนิมิตที่เธอเห็นอยู่ทุกวัน มันไปเปลี่ยนเลย เข้ากำลังจะมา มาพร้อมกับเอกาลอส มันเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุด เธอเดินออกมานอกห้องสมุดจูโน่ก็พบว่าตนโดนล้อมเอาไว้จากทหารของเซนทิริก
         "พระองค์ขัดบัญชาของผู้ปกป้องบัณลัง มีโทษสถานหนัก"เทออสกล่าวขึ้นแต่จีเนรอสเพียงยิ้มเล็กมาให้เธอก่อนที่ทุกสายตาและประชาชนทั้งเมืองจะมองมาที่ตัววิหารหงษ์ทองบินมาดึงจีเนรอสออกไปจากที่นั้น
         ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอเปลี่ยนไปพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาเธอฟุบลงที่หลังของนกสวรรค์ที่กำลังพาเธอกลับบ้านของเธอ

         อิสฮานซึ่งจัดทัพเตรียมเดินทางกลับไปยังซาโลมเพื่อยึดราชอำนาจที่เสียไปกลับมา เขาเดินทางอยู่หลายวันแล้ว เขายังคิดถึงวานาแอนอยู่เลยเขาแทบไม่อยากเดินทางออกมาจากฟูดินันด้วยซ้ำ เมื่อก้องทัพเดินทางมาถึงช่วงหนึ่งก็ตั้งค่าย ราชสารบอกว่าทัพของสวาท่าจะเดินทางมาเพื่อตัดสิ้นชะตาของอิสฮาน กอ้งทัพที่ยกมาทหารเขาก็แจ้งว่ามากมายกว่าทะเลทรายพรมแดนของฟรีเลเซียกับซาโลม ซึ่งนั้นก็คือมากกว่ากองทัพที่เขายกมากว่าสิบเท่า โถ่เขาพาทหารมาตายหรือนี้

         เกรกอรี่ได้ทราบข่าวที่มหาวิหารกาสม่าถูกใช้เป็นฐานทัพที่จะบุกผ่านวิหารฟรานเซสก้า ซึ่งเกรกอรี่รู้ทั้นทีว่าพวกมันกำลังตรงไปใหน เซนทิริก มิเนทาริก มหานครแห่งกษัตริย์ พวกมันรู้ว่ามหาราชาของมนุษย์ลงมาเกิดแล้ว อาจจะเป็นเพราะเมทาลิอิสอย่างแน่แท้ เกรกอรี่ไม่กล้าแม้แต่จะออกห่างจากที่นี้ใจก็ยังกลัวพวกมันบุก ขณะที่อีกใจอย่างช่วยจีเนรอส
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #16 on: February 17, 2006, 10:24:17 PM »

ตอนที่ 16 ผู้ปกป้องหยดน้ำตาแห่งจีเนรอส
         ลาสิมัสเดินทางมาที่ท่าเรือต้องห้ามในเขตเมืองน้ำแข็ง ทหารของอองเดรส่งเขาขึ้นฝั่งก่อนจะรีบเร่งเรือออกจากอ่าวไป ลาสิมัสเดินทางผ่านทุ้งน้ำแข็งมายังเมืองที่อยู่ในแผนที่ เข้ามองลูกแก้วของเกรกอรี่แล้วก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดส่งสัญญานบอกเขาเลย ลาสิมัสเดินข้ามภูเขาที่เป็นสันเตียๆก่อนจะเห็นหมู่บ้านเบลลินอยู่ที่ตีนเขา
         ลาสิมัสเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้เงียบสงบราวกับไม่มีผู้ใดอยู่ที่เมืองนี้ เขาเดินตรงมาที่บ้านหลังใหญ่ที่คิดว่าอาจขอที่พักได้ เขามองบริเวรลอบๆก็ไม่ได้ยินเสียงใดออกมาจากบ้านเลย ลาสิม้สเดินไปเคราะประตูอยู่หลายครั้งก็ไม่มีผู้ใดตอบออกมา แต่ภายในบ้านทุกหลังมีแสงไฟอยู่ ทุกคนในหหมู่บ้านไปใหน ลาสิมัสมองไปเห็นโบสถ์ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเขาก็เดินตรงไปทั้นที
         เขาเปิดประตูโบสถ์เข้าไปเบาๆ เมื่อเข้าไปเขากลับไม่พบผู้ใดอยู่ภายในโบสถ์เลย เชิงเทียนที่ยังคงจุดอยู่และพระคัมภีที่เปิดอยู่เบื่องหน้าของลาสิมัสมันยังมีร่องรอยของการเปิดใช้อยู่ไม่นาน ที่นี้เกิดอะไรขึ้น ผู้คนหายไปใหนหมด
         เขาชักดาบออกมาทันทีที่พวกออร์คจำนวนหนึ่งทะลายกระจกวิหารเขามาล้อมเขาเอาไว้ พวกออร์คเข้ารุมเขาอย่างต่อเนื่อง ขณะนั้นเองก็มีหอกน้ำแข็งจำนวนมากตรงมาสังหารพวกออร์ค และชายนิรนามก็ขี่ม้าเข้ามาช่วยเขาเอาไว้ได้ทัน
         ชายนิรนามพาเขาตรงมาที่เทือกเขาแห่งหนึ่ง เมื่อเข้ามาเขาก็พบผู้คนอยู่ภายในถ้ำมากมาย ทุกคนกำลังมองเขาอย่างสงสัย เขาเดินตามชายเบื่องหน้าที่พาเขาเดินอย่างรวดเร็วไปที่แห่งหนึ่ง ที่นั้นมีสตรีที่สวยงามนั้งอยู่ นางสีผมสีทองอร่ามกับผิวขาวผ่องที่ราวกับสะท้อนแสงไฟอยู่นั้น เธอมองมาที่เขาช้าๆ
         "ท่านเป็นผู้ใด?"
            "ข้าเป็นทหารจากอลานิก้า"
            "อลานิก้า...เมืองท่าที่ฝั่งติดซาโลม ฟูดินันนะเหรอ"
            "ใช่"
            "นามของท่านคือ?"
            "ข้า ลาสิมัส"
            "อืม... ข้าเรวิน่าเป็นลูกสาวของท่านโคน่อน นี้คือท่านเวนอนที่เป็นคนช่วยท่านมา"เรวิน่ากล่าวจบลาสิมัสก็ก้มให้เขาเล็กน้อย
            "แล้วเจ้ามาที่นี้มีเหตุอันใด"
            "ท่านเกรกอรี่ให้ข้ามาตามหาของวิเศษบางอย่างที่เปิดเผยมิได้"
            "แล้วท่านจะเดินทางไปที่ใด"เรวิน่าพูดขัดขึ้น
         "ข้าจะไปที่วิหารของท่านแอนนิต้า เทพวอคิรี่"
            "พวกออร์คก็มาที่นี้เพื่อตามหาวิหารนั้นเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจทำไมพวกมันถึงต้องตามหาวิหารนั้น"
            "อาจจะเป็นเพราะหยดน้ำศักดิ์สิทย์ ข้าจะให้ท่านกับวิวอนเดินทางไปคุ้มครองท่านนักรบผู้นี้"เรวิน่าแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
            "ไม่เป็นไรหรอกท่าน"
            "เดินทางผู้เดียวยามนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ข้าอยากให้มีคนช่วยเหลือท่านยามจำเป็น และอีกอย่างถือเป็นการตอบแทนท่านอองเดรด้วย"เรวิน่ากล่าวจบงาสิมัสก็ก้มหัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ เวนอนก็เดินออกไป
         ลาสิมัสเดินทางมาที่ม้าของเขา และเขาก็ได้พบกับวิวอนหญิงร่างบางที่จะเดินทางไปกับเขาเธอสวยงามเกินกว่าจะเก่งในสนามรบแล้วทั้งสามก็เดินทางลงใต้ไปอีก
         ลาสิมัสพาทุกคนเดินวนอยู่ที่ทุ้งน้ำแข็งอยู่หลายวันเพื่อตามหาวิหารของแอนนิต้า ที่แห่งนี้เขาลือว่าสามารถพบได้ เมื่อเดินทางไปได้สักพักก็ตั้งแคมป์อยู่ที่ใกล้ๆกับต้นไม้ที่ยืนต้นตายอยู่ที่ตีนเขา สายลมที่พัดเอาอายเย็นจากพื้นขึ้นมากระทบกายทั้งสามยิ่งทำให้ที่แห่งนี้อันตรายยิ่งกว่าสนามรบที่พบพวกออร์ค
         เมื่อแสงตะวันสาดแสงอีกครั้งลาสิมัสก็ตื่นขึ้น เขาเดินออกมาพบกับเวนอนซึ่งกำลังดูดาบของเขาอยู่นั้น
         "ท่านว่าเราจะพบวิหารนั้นใหม"ลาสิมัสถามขึ้นทำให้เวนอนมองเขาอยย่างแปลกใจ
         "ท่านไม่รู้ว่ามันอยู่ใหนหรือ?"
            "ข้ารู้ว่ามันอยู่ที่นี้ แต่ไม่รู้ว่าตรงใหน"เมื่อลาสิมัสกล่าวจบ เวนอนก็ให้สัญญาณบางอย่างให้เขาหยุดพูดต่อ ทั้งสองได้ยินเสียงแสบแก้วหูมาแต่ไกล มังกรยักที่มีชายในชุดเกราะสีดำบินข้ามหัวทั้งคู่ไป เวนอนก็สั่งให้วิวอนเก็บของแล้วทั้งสามก็รีบควบตามอสูรกายตัวนั้นไป
         เมื่อข้ามธารน้ำแข็งมาได้ทั้งสามก็พบกับกองทัพของออร์คที่มองดูอสูรกายอยู่ ก่อนที่ลาสิมัสจะพาทั้งสามที่แอบอยู่ที่เนินหินไกลๆ
         "ข้ามาเพื่อมาดูว่าเจ้าถึงใหน..."
            "ท่านอิเรียส เราสำรวจทั่วสถานที่แห่งนี้แล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะมีหัวใจอยู่"ออร์คตนหนึ่งกล่าวจบอิเรียสก็หันไปมอง
         "ข้ารู้สึกได้ว่ามันอยู่ที่นี้"
            "พวกมันเอาเวชมนต์กันไว้หรือเปล่าท่าน"
            "ไม่มีเวชมนต์ที่นี้"อิเรียสกล่าวจบก็มองไปที่ภูเขา เขาควบคุมให้มังกรเดินเข้าไปใกล้ๆ
         "ที่นี้มีเพียงแต่ภาพมายา"อิเรียสกล่าวจบก็ดึงคาฑาที่แนบอยู่ที่สะโพกออกมา
         "คาฑาอโปลิส จงวาดแสงของเจ้า และข้ามหาซินแห่งวาจา ขอปลดผนึกที่นี้ ด้วยวาจาแห่งพระเจ้า ... แม้แต่เทวาจงสิ้นสลายด้วยวาจา..."อิเรียสกล่าวจบก็เกิดแสงสว่างสองไปทั่วจนทุกคนแสบตา เมื่อแสงสว่างจางลงทุกคนก็ได้พบกับ วิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีแสงสว่างจากเกร็ดน้ำแข็งและแท่งน้ำแข็งที่สวยงาม ทุกคนแทบจะไม่เชื่อสายตา กองทัพของออร์คก็เดินทางเขาวิหาร
         ลาสิมัสเห็นพวกออร์คเข้าไปแล้วเขาก็รีบตามไป แต่วิวอนจับเขาเอาไว้ก่อน
         "ในนั้นมีอะไรหลายอย่างโปรดระวังตัวด้วย"
            "ข้าสัญญาว่าจะปกป้องพวกท่านถ้าเกิดอะไรขึ้น"
            "รีบไปเถอะ"เวนอนเร่งทุกคน
         เมื่อทั้งสามเข้ามาภายในเขตวิหารก็พบซากออร์คมากมายจึงรีบตรงไปที่วิหาร ที่หน้าวิหารมีมังกรของอิเรียสตายอยู่ ประตูวิหารที่เปิดกว้างมองไปเห็นวอคิรี่แอนนิต้าที่กำลังถอยหนีอิเรียสอยู่
         "พลังของเจ้ามากมายจังเลยนะนางฟ้าน้อย"
            "ถอยไป สถานที่แห่งนี้ไม่ตอนรับเจ้า"
            "ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้หนีไปจากวิหาร แต่เจ้าเลือกอยู่เอง"ขณะที่อิรียสกำลังรายเวชอยู่นั้น ลาสิมัสก็กระโดดฟันที่มือของเขา แต่ถูกสบัดจนล้มลง
         "พวกแมลงเม่า!"อิเลียสกล่าวจบก็ฟาดแสงจากคาฑาใส่ลาสิมัส เขากระเด้นที่เสาวิหาร วิวอนกับเวนอนก็เข้ามากันเอาไว้อีก แอนนิต้าก็ฟาดคาฑาออกเป็นแสงสว่างใส่อิเรียสแต่เข้ากับกันเอาไว้ได้ อิเรียสจึงตอบโตกลับทำให้แอนนิต้ากระเด้นชนประตูเบื่องหลังเข้าปภายในห้องที่มีแสงสว่างมากมาย
         ภายในห้องมีแสงสว่างที่สองมาที่จอกทองคำที่จอกมีปีกราวกับนกอยู่สองคู่ จอกนั้นลอยอยู่เหนือบ่อน้ำเส้าของห้องนี้เป็นคริสตันที่สองแสงสว่างหลากหลายสี ที่บนจอกมีอัญมณีแห่งสายน้ำและน้ำแข็งลอยวนไปมาอยู่ แอนนิต้าลุกขึ้นอีกครั้งเธอยกคาฑาขึ้นพยุงตัว อิเรียสที่มองมาที่มณีเบื่องหน้าเขาก็เดินเข้าไป แอนนิต้าฟาดคาฑาอีกครั้ง แต่เพียงแค่อิเรียสยกมือขึ้นห้ามไว้คาฑาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
« Last Edit: February 20, 2006, 07:28:31 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #17 on: February 19, 2006, 06:01:40 AM »

ตอนที่ 17 สายน้ำ มายา สัญญา ดาบชินเซียร ดิเอซคาริเบอร์
         อิเรียสตวัดมืออีกครั้งทำให้แอนนิต้ากระเด้นออกห่างเขาไป ก่อนที่สายตาจะจองมองมาที่จอกน้ำที่มีอัญมณีลอยอยู่เบื่องบน
         ลาซิมัสลุกขึ้นอีกครั้งเขาคว้าดาบขึ้นมาแต่ก็ถูกเวนอนห้ามเอาไว้
         "ท่านกลับไปเถอะ ภาระกิจของท่านที่พาข้ามาจบแล้ว"
            "แต่ถ้าหากท่านฝืนเกินกว่านี้ ท่านอาจจะถูกมัน"
            "ข้ามาที่นี้เพื่อปกป้องอัญมณีทั้งสองนั้นกับไปหาท่านเกรกอรี่"
            "ถ้าเช่นนั้นใยเล่าท่านไม่แย่งชิงมันมาภายหลัง"
            "มณีนั้นเป็นสิ่งสำคัญถ้าเอากลับไปไม่ได้ข้าก็ขอตายพร้อมกับมัน"ลาสิมัสกล่าวจบก็สบัดไหล่ออกจากมือของเวนอน ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปที่ประตูที่มีอิเรียสอยู่ภายใน เวนอนจึงเดินตามมา
         "ข้าไม่ขอให้ท่านช่วย"
            "อย่างน้อยท่านก็จะได้มีคนช่วยผ่อนพลังของมัน"เวนอนกล่าวจบทั้งสองก็เดินตรงไปที่ประตู ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ้งตรงไปอิเรียส
         อิเรียสเห็นนักรบทั้งสองทีตรงมาที่เขาก็รีบตวัดพลังออกมาต้านไว้ ขณะเดียวกันที่วิวอนยิงธนูเขาใส่เขา มันทำให้อิเรียสบาดเจ็บ แต่มันยิ่งเพิ่มทวีความโกรษแค้นให้กับอิเรียส เพียงแค่เขาตวัดคาฑาเพียงครั้งที่สามดาบในมือทั้งสองหนุ่มก็แตกเป็นผุยผง วิวอนถูกพลังคาฑาฟาดใส่จนสลบอยู่ข้างแอนนิต้า ชายหนุ่มทั้งสองตรงไปเขาแลกมัดกับอิเรียสแต่ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น ทั้งสองถูกพลังคาฑาฟาดเสียจนบาดเจ็บสาหัส แต่ลาสิมัสยั้งคงลุกขึ้นมาเวนอนจึงลุกขึ้นมาด้วย อิเรียสพาดคาฑาเป็นสายลมขนาดใหญ่ตรงมาที่เวนอนเมื่อเห็นเวนอนดูท่าจะไม่ไหวที่สุดแต่ลาสิมัสเข้ากันสายลมนั้นเอาไว้ ร่างของทั้งสองกระเด้นออกไปติดที่เส้า
         "ลาสิมัส!"
            "หนีไปเวนอนข้าสัญญากับพวกเจ้าแล้วว่าข้าจะปกป้องพวกเจ้าภายในวิหารนี้ ที่เหลือข้าจะจัดการด้วยตัวของข้าเอง"
            "แต่ว่า"
            "ไม่มีแต่ หนีไป!"ลาสิมัสกล่าวจบก็หันมาเขาตรงไปที่อิเรียส พลันแสงสว่างก็เจิดจ้าจนลาสิมัสไม่สามารถมองเห็นทางเบื่องหน้าได้ เมื่อแสงจางลงเขาก็พบว่าเขายืนอยู่ที่กลางหนองน้ำแห่งหนึ่ง ที่นี้สงบและเย็นสบายกล่าวที่ใดๆ สายน้ำที่ใสเห็นตัวปลาที่อยู่ภายในน้ำและทุกสิ่งโดยรอบ ลาสิมัสสังเกตเห็นมีกลุ่มคนกำลังเดินมาที่เขา ประชาชนในถ้ำ เรวิน่า วิวอน และเวนอนทุกคนล้อมรอบเขาเอาไว้ มองด้วยสายตาที่อ่อนโยนก่อนจะสลายหายไป พลันแสงสว่างก็สาดส่องลงมาจากฟ้า สตรีที่สวยงาม ใบหน้าของเธอขาวผ่องไร้ตำนิ แสงสว่างที่สองมาเบื่องหลังเธอกับปีกนับพันคู่ที่เมื่อเท้าของเธอสัมผัสพื้นปีกนั้นก็สลายไป สายน้ำที่สันกระเพิมเล็กน้อยเป็นวงๆจากปลายเท้าขงเธอชุดสีฟ้าที่สวยสดและเครื่องประดับทองคำกับอัญมณีล้ำค่ามากมายเสริมให้เธอดูสวยขึ้นมา
         "พระพันธสัญญาถูกทำลายแล้ว"
            "พันธสัญญา? แล้วที่นี้ที่ใหน"
            "ที่นี้คือสายน้ำอารีน่า เทพทีศักดิ์สิทธิ์ผู้ปิดสวรรค์ เทพผู้หน้าสงสาร แต่ก็ช่างเถอะ ที่นี้คือส่วนที่สูญหาย เนเวอร์แลนมหาสวรรค์ สวรรค์ชั้นรองสุดท้ายก่อนถึงพระบัญลังของพระเจ้า กาแลกซิลิกมหาสวรรค์"เธอกล่าวจบลาสิมัสก็มองไปรอบๆ
         "ผมตายแล้วเหรอ?"ลาสิมัสถามเธอหย่างแปลกใจ เธอเพียงสายหน้าเล็กน้อย
         "ที่นี้คือดินแดนแห่งพันธสัญญา"
            "พันธสัญญา?"
            "ท่านสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งสวรรค์และโลกาแห่งนี้หรือไม่ แม้สายน้ำจะแห้งเหือด น้ำค้างเป็นหินท่านจะสัญญาหรือไม่"เธอกล่าวจบก็ยืนมือออกมา ลาสิมัสมองเธอเล็กน้อย
         "ข้าสัญญา"เมื่อเขาจับมือแสงสว่างก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
         อิเรียสที่ยืนมองแสงสว่างที่เกิดขึ้นเบื่องหลังที่ห่อร่างของลาสิมัสและเวนอนเอาไว้ เมื่องแสงจางลงเขาก็มองเห็นสตรีเบื่องหลัง นางฟ้า! เขาไม่มีท่างปล่อยเธอไปแน่
         ลาสิมัสพบว่าสตรีที่เบื่องหลังของเขาก็คือเวนอน ที่แท้เธอแปลงตัวเป็นเวนอนนั้นเอง เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะร่ายเวชดึงดาบเล่มหนึ่งออกมา ดาบที่หลอมมาจากอายน้ำแข็งที่กลายเป็นดาบที่เย็นเฉียบ
         "หนึ่งในสี่ดาบแห่งดิวาทอร์ ดาบชินเซียร ดิเอซคาริเบอร์"สตรีเบื่องหน้าเขากล่าวจบก็มอบดาบให้เขา ลาสิมัสรับมาก่อนจะก้มขอบคุณเธอเล็กน้อย เขาดึงดาบออกจากปลอกที่คมกริบช้าๆ อายเย็นก็ก่อตัวเป็นดาบน้ำแข็งที่สวยงาม
         อิเรียสได้เห็นเช่นนั้นก็รีบตรงเข้ามา เขาฟาดคาฑาเกิดสายลมอีกครั้ง ลาสิมัสเพียงตวัดดาบสายลมก็เป็นน้ำแข็งตกอยู่เบื่องหน้าก่อนเขาจะตรงเข้าปะชิดตัวอิเรียสพร้อมทั้งกะทุ้งคาฑาเขาหลุดมือ ทั้งสองมองคาฑาที่ลอยอยู่บนฟ้าก่อนจะกระโดดขึ้นไป แต่อิเรียสจคว้าคาฑาเอาไว้ได้พร้อมทั้งยิ้มเล็กๆให้ลาสิมัส อิเรียสตวัดคาฑาอย่างเต็มแรง แต่ลาสิมัสเพียงมองดูทำให้อิเรียสรีบมองมาที่คาฑาของเขามันขาดออก! ส่วนต้นของคาฑาตกลงแตกบนพื้นฝูงวิญญาณจำนวนมากก็ลอยหายไป อิเรียสเห็นดังนั้นก็แลงกลายเป็นค้างคาวบินหนีไป
         ลาสิมัสมองตามเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงมาที่จอกศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่เขาหยิบเอามณีทั้งสองที่ลอยอยู่เบื่องหน้าก่อนจะหันมาพวกสตรีที่ยืนอยู่เบื่องหลัง เธอมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนครั้งสุดท้ายก่อนเธอจะล้มลงเบื่องหน้าของเขา ลาสิมัสรีบตรงมาที่เธอทันที

         จีเนรอสเดินทางกลับมาถึงอธิริก เรกซิริกบันดารก็ตรงมาที่พ่อของเธอ
         "ลูกต้องเดินทางไป...ไปเซนทิริก"
            "ลูกจะเป็นทำไม"
            "กษัตริย์ของมนุษย์สิ้นแล้ว ต้อนนี้มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จะช่วยได้"
            "เจ้าหมายถึงเจ้าจะใช้พลังจีเนรอสในตัวเจ้าปกป้องที่นั้นนะเหรอ"
            "ใช่รอ...รอจนกว่าเขาจะกลับมาอีกครั้ง"
            "ไม่ได้!"เอลาโน่กล่าวขึ้นอย่างโมโหกับการตัดสิ้นใจของลูกสาว จีเนรอสเพียงถอยเล็กน้อย
         "ลูกไม่อยากบังคับท่านด้วยอำนาจแห่งราชินี แต่วันนี้ลูกต้องทำ"
            "ทำไมเจ้ามีอะไรกับเซนทิริกมากมาย จงบอกข้าข้าไม่รู้ว่ามันมีอะไรมากมายที่นั้น อย่าทำให้ข้าเป็นคนโง่ ข้าอ่านใจเจ้ามิได้เจ้าก็รู้"
            "ท่านไม่ทราบดีแล้ว ข้าจะจัดขบวนพระราชินีเดินทางไปที่เซนทิริก ท่านจะไปหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน"จีเนรอสกล่าวจบก็มีคนวิ่งเข้ามาที่พระราชวังอย่างเหนื่อยหอบ
         "ท่านเอลาโน่ สมเด็จพระราชินี"ทหารที่วิ่งมาหาเอลาโน่เมื่อพบจีเนรอสก็คุกเข่าลง
         "มีเรื่องใด"
            "ดาบ.."
            "ดาบของดิวาทอร์!"จีเนรสพูดขึ้นก่อนพร้อมทั้งวิ่งไปที่แท่นที่วางดาบหัก เธอไปเห็นดาบที่หักอยู่ที่นั้นเธอก็ขาอ่อนทรุดลงพร้อมร้องไห้ออกมาที่หน้าแท่นวางดาบที่วางเปล่า เอลาโน่ที่ตรงมาก็ชงักเล็กน้อย
         "เริ่มแล้ว ผู้ใดเป็นผู้ขโมยมันไป"
            "เอลจากที่ใหนไม่ทราบครับ"
            "จัดทัพไปที่เซนทิริก พระราชินีแห่งเซนทิริกจะเสด็จกลับพระราชวัง"เอลาโน่กล่าวจบ จีเนรอสก็ลุกขึ้นเธอปาดน้ำตาของเธอเล็กน้อย
         "ที่นั้นไมปลอดภัยเท่าที่นี้ เจ้าจงระวัง"
            "ดาบนั้น เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะต้านอำนาจของเอกาลอสได้ ถ้าคมดาบหันกลับข้าและเทพปกป้องก็ทำสิ่งใดมิได้"จีเนรอสกล่าวจบก็เดินจากไป
« Last Edit: February 20, 2006, 01:16:06 AM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #18 on: February 20, 2006, 01:47:11 AM »

ตอนที่ 18 มหาเทพทั้งสี่แห่งกาแลกซิลิก
         เซนทิริก มิเนทาริกเปิดประตูต้อนรับขบวนอันใหญ่โตของอธิริก เรกซิริกบันดารเดินทางตรงไปที่พระราชวังของเมือง
         ราโอล่าที่เดินตรงออกมาจากท้องพระโรงทหารทุกคนก็คำนับลง เธอมองจีนรอสที่กำลังลงจากหลังม้าในชุดของสดเด็จพระราชินีแห่งเซนทิริก ผ้าคลุมสีแดงขลิบทองที่เธอสวมอยู่มีสัญลักษณ์ที่เขียนเอาไว้ว่า ราชินีแห่งเซนทิริก มิเนทาริก และผ้าที่ยาวลากพื้นกว่าสองเมตที่เธอกางแข็นเดินตรงมาที่นี้มีสัญลักษณ์ของเซนทิริกและอธิริกรวมกันที่หายไปนาน
         "พระราชินีมหาราชาแห่งอธิริก เรกซิริกบันดาร, ราชินีแห่งเซนทิริก มิเนทาริก"เอลาโน่กล่าวจบเรโอล่าก็ยังยืนขวางอยู่
         "ราชินีไม่มีพระราชาก็เป็นเพียงแค่นางผู้หญิงในวังคนหนึ่งไม่อนญาติให้ประทับพระราชบัณลัง"เรโอล่ากล่าวจบก็ถูกจีเนลอสเอาคาฑาฟาดออกไปจากทางเธอเดินตรงไปที่ราชบัณลัง แสงสว่างจากสวรรค์ก็สองมาที่ราชบัณลังพร้อมกับขอบเขตเวชมนต์ที่ถูกคลายอำนาจของมหาบัณลังกลับมาอีกครั้งทำให้ท้องพระโรงแห่งนี้ส่องแสงได้โดยไม่ต้องจุดคบเพลิงเช่นเดิม
         "นี้คือข้อพิสูจน์แห่งสวรรค์มหาเทพจีเนรอส ดิเจนอร์เรนชิเอเนอร์กอดเดสเสด็จกลับมาสู่โลกาแล้ว"จีเนรอสกล่าวจบทุกคนก็ก้มคำนับ แสงสว่างที่สองออกไปที่ราชอาณาจักรทำให้ผู้คนรู้ว่าพระราชินีเสด็จกลับมาแล้วต่างคุกเข่าลงให้กับเธอ เอลาโน่ที่เพิ่งรู้ว่าลูกสาวเป็นเทพจากสวรรค์ชั้นสุขวิไลลงมาจุติก็คุกเข่าลง ขนนกสีทองที่แนบอยู่ที่หูขวาของเธอเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นมหาเทพจีเนรอส เทพแห่งการสร้าง มหาราชินีแห่งสวรรค์ นางฟ้าของพระเจ้า ทุกชื่อนี้จารึกอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
         "ต่อไปนี้ราชบัณลังชั้นฟ้าแห่งเซนทิริกจะออกบัญชาการเมืองเองไม่ต้องผ่านผู้ใดทั้งสิ้น"จีเนรอสกล่าวจบขุนนางก็ก้มให้เล็กน้อยแล้วเดินออกไป
         ในยามเย็นจีเนรอสยืนอยู่ที่ระเบียงเธอมองไปที่ช่องทางแห่งความตาย หุบเขาที่กับเซนทิริกจากภายนอก เอลาโน่ก็เข้ามาเงียบๆ
         "ข้าไม่มีคำอะบายใดๆ ท่านพ่อ"
            "ท่านไม่บอกข้าสักคำว่าท่านเป็นผู้ใด"
            "ท่านอยากให้ลูกสาวของท่านบอกท่านว่าเป็นเทพลงมาเกิดงันเหรอ ท่านจะได้หาว่าข้าเนคนพูดปลดแต่เด็ก"
            "แล้วท่านมาที่นี้ด้วยเหตุอันใด ท่านคงเล่าให้ข้าฟังได้แล้ว"เอลาโน่กล่าวขึ้น จีเนรอสเพียงหลับตาลงและคิดหวนคืนสู่วันเก่า เธอหันมาพร้อมกับแสงจากสวรรค์ที่สาดส่องลงมาอย่างรุ้นแรง แสงนั้นกระทบกับมือของเธอสว่างจ้างไปทั้งระเบียง เอลาโน่พยายามมองแสงสว่างเอาไว้
         "ประกาศิกดิ์แห่งสวรรค์!"เอลาโน่พูดขึ้นแต่จีเนรอสเพียงสายหน้า
         "ท่านจำอเลทาดอสได้ใหม"
            "ได้มหาเทพแห่งการปกป้องอเลทาดอส ดิอเลซาดิเรก"
            "แล้วท่านจำดิวาทอร์ได้ใหม"
            "ได้มหาเทพการทำลายดิวาทอร์ ดิดีวาสเตทอร์ย"
            "แล้วท่านยังจำเกรทน่าซินกราเดียนได้อยู่หรือเปล่า"
            "เกรทน่าซิน..."
            "ท่านไม่รู้จักนางหรอก นางเป็นต้นเหตุของความปั่นป่วนทั้งหมด เอกาลอสเป็นลูกของนางกับอเลทาดอส เขาต้องการให้นางกลับมากลับมาครองกาเลกซิริกอีกครั้ง"
            "พวกท่านจึงต้องลงมาเพื่อ..."
            "พวกข้าเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการป้องกันสวรรค์ของพระองค์ ถ้าพวกเราพ่ายแพ้ข้ากับดิวาทอร์จะใช่..."
            "ท่านหมายถึง"
            "พลังครั้งสุดท้าย"จีเนรอสกล่าวจบเธอก็ส่งราชสารไปให้กับเอลาโน่
         "นี้ไม่ใช่หมายจากสวรรค์มันเหมือนกับ"
            "จดหมายรัก... มหาเทพที่จะเขียนมันได้คือดิวาทอร์ มหาเทพที่ตรวจทานคืออเลทาดอส แต่ในนั้นลงนามเพียงดิวาทอร์เพียงผู้เดียว เขาขัดพระบรรชาของพระองค์ มหาราชาแห่งสวรรค์กับมหาราชินีจากสวรรค์จะรักกันไม่ได้"
            "ทำไมละพระองค์ก็..."
            "เพราะพลังของเรามันต่างกัน ข้าเทพแห่งการสร้างมีพลังแห่งการสร้างมากมาย แต่สู้พลังแห่งการทำลายของเขามิได้แค่เพียงสัมผัสพลังของข้าก็แทบสิ้น"
            "แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นได้อย่างไรละท่าน"
            "เพียงแค่ข้าเกื่อบเข้าไปในอ้อมกอดของเขาในวันฉลองอิเดนเท่านั้น มันก็เปลี่ยนทุกอย่าง เกรทน่าซินกาเดียนใช่ช่องทางนี้ทำให้เราทั้งสองเกือบสิ้นอำนาจเทพ แต่เราก็รอดมาได้ แต่ผลของมันมากมายยิ่งกว่านั้น เราจึงลงมาเพื่อแก้ไขสิ่งมี่เราทำ"จีเนรอสกล่าวจบเธอก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างก่อนที่เธอจะล้มลงต่อหน้าเอลาโน่

          เกรกอรี่เดินอยู่ที่มหาวิหารเขาก็ได้พบกับนิมิตหมายจากเจนนิเฟอร์ เทพที่ลอยลงมาพร้อมกับปีกมหาศาล ขนนกสีขาวลอยอยู่ทั่ว
          "เกรกอรี่ รีบไปที่แดนรถสุริยะวิ่ง ที่แห่งนั้นกำลังรอความช่วยเหลือ"เจนนิเฟอร์กล่าวจบก็หายไป เกรกอรี่รู้สึกว่าเวลาเดินอีกครั้งเข้าก็รีบเดินไปที่คอกม้า เขาหาม้าแล้วควบม้าออกไป

          เอทาลัสกลับมาที่แอนดิซอง เขาอารมณ์เสียที่พบกับจีเนรอสและการพ่ายแพ้ของเขา กองทัพของเขาสูญเสียเป็นจำนวนมาก เขาเดินผ่านลิโพลบาสและอาทิมิสชันนาริสตรงไปที่ห้องของเขา เมื่อไปถึงก็พบว่าห้องปิดอยู่
          "วิโอเรีย! เปิดประตูเดี๋ยวนี้"
             เสียงของเอทาลัสที่ดังมาแต่ภายนอกทำให้วิโอเรียสันด้วยความกลัว เธอไม่อยากพบเขา ไม่อยากฝันร้ายอีกแล้ว แต่ไม่ทันไรเอทาลัสก็พังประตูเข้ามา เขาตรงมาที่เธอคว้าที่คอของเธอเขามาใกล้กายของเขา
          "อย่าทำอย่างนั้นอีก ข้าไม่ชอบ อย่าปิดประตูแบบนี้อีกเขาใจใหม"เอทาลัสพูดจบก็จูบวิโอเรียเอาไว้ เธอรับจูบเขาพร้อมหยดน้ำตาก่อนที่สติของเธอครั้งสุดท้ายจะหมดไปมีแต่เอทาลัสเต็มหัวใจ
          "เอทาลัส! ท่านเอกาลอสพิโรษมากเจ้ารู้ใหม"เสียงดังก้องที่เอทาลัสรู้จักดีดังมาแต่ไกล เอทาลัสลุกจากเตียงมาแต่งตัวก่อนที่ประตูจะเปิดออก
          "มาทิโร่ เจ้าควรให้เกียรติข้ามากกว่านี้"
             "เจ้าคนชั้นต่ำอย่างเจ้าสมควรให้เกียรติด้วยหรือไปร้อยตายร้อยไปพันตายพัน"
             "มาทิโร่!"เอทาลัสกล่าวขึ้นพร้อมกับดึงดาบออกมาตวัดออกใส่มาทิโร่ แต่โล่ใหญ่ต้านเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย มาทิโร่หมุนหอกในมือแทงไปที่ไหล่ของเอทาลัสจนเขาทรุดลง
          "ในนามมหาซินแห่งความศักดิ์สิทธ์เจ้ากล้ามากที่ต้านอำนาจข้า จำไว้ว่าอย่าทำเช่นนี้ไม่เช่นนั้นสิ่งที่อยู่บนหอกข้าคือหัวเจ้า"มาทิโรกล่าวขึ้นพร้อมดึงหอกออก  ควันลอยออกจากแผลของเอทาลัสพร้อมกับการทรุดลงอยู่เบื่องหน้ามาทิโร่
          "ท่านจะให้เทพแห่งการทำลายออกมาจัดการเอง เจ้าจงสร้างกองทัพให้กับเขาในเร็ววัน"มาทิโร่กล่าวจบก็เดินออกไป เอทาลัสที่มองมาที่วิโอเรียที่สันด้วยความกลัว เธอลุกวิ่งออกไปจากห้อง
« Last Edit: February 21, 2006, 04:02:14 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #19 on: February 22, 2006, 05:07:48 PM »

ตอนที่ 19 กองทัพแห่งดิวาทอร์ มหาเทพไร้รัก
         มหาวิหารลอยฟ้าที่แอนดิซองดูหน้ากลัวทุกข้ามคืนที่ประชาชนที่หลบซ้อนตัวอยู่ในมี่ซ้อนนั้นมองขึ้นไปวันนี้มหาซินหลายคนมารวมตัวกันรวมทั้งเอทาลัส
         "วันนี้เราไม่เห็นมากันครบเลย"เอทาลัสกล่าวขึ้นพร้อมมองไปที่มหาซินสามสี่คนที่ยืนอยู่
         "เขาก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ"ริวอลกล่าวขึ้น ที่นี้มีเพียงลิโพลบาส เอมาลัส อาทิมิสชันนารีสและริวอลยืนอยู่เท่านั้น
         "ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำกันทั้งนั้น"ประตูปิดสนิทขนาดใหญ่เบื่องหน้าทุกคนที่ไม่อนุญาติมหาซินให้เข้าไปนั้นก็ค่อยๆเปิดออกมหาซินมาทิโร่เดินออกมาพร้อมกับมหาซินอีกสามองค์ ผู้ที่อยู่เบื่องหลังของมาทิโร่คือมหาซินแห่งความรู้ ซิโนฟิโร่ ผู้ที่อยู่ด้านซ้านมือของเขาเป็นชายที่มีสี่หน้าหกมือแต่ใบหน้าขาวผ่องราวกับหญิงสาวนั้นเป็นมหาซินแห่งจิตใจ นาเฟียร และด้านขวามือเป็นสตรีอัปลักษณ์นางก็คือมหาซินแห่งคำอฐิธาน เรทูเมีย
         "ท่านเทพ!"
            "ข้าดีใจที่ได้พบพวกเจ้าอีก"
            "ท่านค่ะเทพแห่งการทำลายจะช่วยเราเหรอค่ะ"อาทิมิสชันนาริสถามขึ้น
            "ต้องช่วยสิเพราะว่าเราลงทุนกับการลบดวงจิตเทพของเขาไปไม่ใช่น้อยและท่านเอกาลอสก็ได้พูดให้เขาช่วยเราแล้ว"เสียงของนาเฟียรไม่บอกก็รู้ว่าไม่เป็นผู้ชายและไม่ใช่ผู้หญิง
         "แต่อย่างไรพวกเจ้าก็ต้องระวังตัวอาทิมิสชันนาริสข้าจะให้เจ้าเดินทางไปกับเขาอย่าให้ห่าง ข้ากลัวว่านางฟ้าของพระเจ้าอาจปลดผนึกความจำเขาได้"
            "แต่ท่านค่ะ!"
            "ไม่มีแต่ เจ้าไม่รู้หรือไงว่านั้นนะเป็นแหล่งพลังเทพให้เจ้า พลังของเขาช่วยให้เจ้ารอดได้อย่างสบาย เจ้าจะดูดพลังของเขาเท่าไรก็ได้ เพื่อความสวยของเจ้า"
            "แต่ว่า ท่านค่ะข้ารู้มาว่าเขา..."
            "เจ้าเป็นมหาซินเจ้าจะกลัวทำไม"ซิโนฟิโร่กล่าวจบประตูก็เปิดออก เงาของชายร่างสูงใหญ่กำลังเดินออกมา ใบหน้าที่หยาบกระด่างกับไรเคราสีดำขลับ กล้ามเนื้อที่แน่นจนหน้ากลัวเส้นผมที่ดูเหมือนเพิ่งตัดมาเข้ารูปกับใบหน้ายาวและจมูกเป็นสันคมของเขา ด้วงตาที่แข็งกระด่างมองไปรอบๆ เขาอยู่ในชุดเกราะสีดำที่ปิดใหญ่โต ชายผู้นี้สูงราวหกฟุตครึ่งเดินอย่างมั่นคงออกมาจากมหาวิหารดาบเล่มโตที่พาดอยู่หลังเขาทำให้ทุกคนเกรงกลัว
         "เคารพท่านเทพดิวาทอร์"ซิโนฟิโร่กล่าวจบเหล่าซินก็คุกเข่าลง ทุกคนไม่มีใครกล้ามองหน้าเขามีเพียงอาทิมิสชันนาริสที่อยากมองอีกครั้งว่าคนที่เธอจะเดินทางไปด้วยเป็นไงเธอก็มองขึ้นเล็กน้อย
         ดิวาทอร์ยิ้มที่มุมปากให้เธอเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตรงมาที่ซิโนฟิโร่
         "พวกท่านเป็นอะไรกันลุกๆ ข้ามิใช้ผู้นั่งบัณลังกาแลกซิริกสะหน่อย"เสียงที่เป็นมิตรที่ทุ้มดังกังวารไปทั่วของเขาทำให้ทุกคนลุกขึ้น น้ำเสียงที่เขาใช้พูดคุยแฝงถึงพลังและอำนาจของเขาที่มีอยู่ภายในตัว อาทิมิสชันนาริสยืนอยู่ด้วยความอ้าย นางไม่เคยอายชายในมาก่อนเลยและดิวาทอร์เองก็มองมาที่นางอยู่บ่อยๆ และยิ้มเล็กๆที่ส่งมาให้นางแทบทำให้นางหัวใจมลายตรงนั้นอยากเขาไปกอดชายเบื่องหน้าและสัมผัสกายของเขา
         "อาทิมิสชันนาริสเจ้ายืนอะไรอยู่ที่นั้น มานี้"
            "ค่ะ"เธอกล่าวพร้อมเดินไปช้าๆด้วยความอาย
         "เราจะให้เธอเดินทางไปกับท่านถ้าท่านมีเรื่องอะไรอยากให้เธอช่วย ท่านก็บอกเธอ เอทาลัสกองทัพของท่านดิวาทอร์ถึงใหนแล้ว"
            "แสนนายที่ท่าเรื่อ"
            "แค่นั้นก็พอแล้ว"ดิวาทอร์กล่าวขึ้นพร้อมทั้งเดินออกไป อาทิมิสชันนาริสยิ้มเล็กๆมาที่ซิโนฟิโร่ก่อนที่เธอจะเดินตามดิวาทอร์ไป
         ดิวาทอร์เดินออกมาที่กองทัพออร์คที่มองเขาอยู่
         "พวกเจ้าพ่ายแพ้ผู้ใดมา"
            "เกรกอรี่!!!"เสียงดังกึกก้องทั่วอาณาจักรแอนดิซอง แต่เสียงของดิวาทอร์ทำให้วิโอเรียเดินออกมาดู
         "วิหารนั้นใช่ใหม"ดิวาทอร์กล่าวจบก็ดึงดาบที่เน็บอยู่ที่หลังเขาออกมาเขาเล็งวิถีของปืนที่ติดอยู่กับดาบเล่มนี้ ทันทีที่เขาเหนียวไกเสียงระเบิดแทบแสบแก้วหูและเสียงออร์คที่เงียบไป แรงปืนกระชากให้ดิวาทอร์ถอยเล็กน้อย แต่ลูกกระสุนที่บินข้ามน้ำผ่านช่องเขาตรงไปที่วิหารฟรานเซสก้า
         ทุกคนในมหาวิหารเห็นแสงที่ตรงมาก็รีบหลบเข้าที่ซ้อน แรงระเบิดเกิดขึ้นที่กลางวิหาร เมื่อทุกอย่างสงบลงทุกคนก็ออกมา ดูสิ่งที่เกิดขึ้นที่แทบทำให้ทุกคนหวาดหวันใจ รูปปั่นของฟรานเซสก้าหายไปเพิ่งการระเบิดครั้งเดียว
         ดิวาทอร์เก็บดาบ มองดูเหล่าออร์ที่มองเขาเป็นสายตาเดียวกัน
         "วันนี้เรามาร่วมตัวกันเพื่อสิ่งเดียวกัน ข้าอาจจะไม่ใช่อเลทาดอสมหาเทพปกป้องที่คุมครองพวกเจ้า ข้าอาจจะไม่ใช่เอกาลอสผู้คอยช่วยเหลือพวกเจ้า แต่ข้าจะพาพวกเจ้าไปให้ถึงฝัน ฝันแห่งอิสระ ฝันแห่งนครที่ปรารถนา ฝันแห่งการรวมสวรรค์นรกและโลกาเป็นแผ่นเดียวกัน"ดิวาทอร์กล่าวจบพวกออร์คก็โฮ่ร้องอย่างเต็มอารมณ์ ดิวาทอร์ยิ้มให้กับทุกคน
         "สองวันจากนี้ข้าต้องได้เหยียบหัวฟรานเซสก้า"ดิวาทอร์กล่าวจบทุกคนก็เดินด้วยเรือตรงไปยังฟรีเลเซียอีกครั้ง
         ดิวาทอร์ยืนอยู่ที่หัวเรือในยามค่ำคืน เขามองไปข้างหน้า ผืนทะเลที่กว้างขว้าง อาทิมิสชันนาริสเดินออกมา เธอเห็นเขาอยู่ที่หัวเรื่อก็เดินออกมา ผ้าสีดำของเธอยาวลากไปกับพื่นช้าๆ เธอเดินอย่างเบาๆเข้าใกล้เขา เมื่อเธอเเข้ไปใกล้เขาก็กลับหันมาก่อน
         "เจ้ามีอะไรหรือเปล่า ถึงมาหาข้า?"
            "ข้าแต่ผ่านมา เห็นท่านมองออกไป คิดอะไรอยู่เหรอ"
            "ไม่ข้าไม่ได้คิดอะไร"
            "อืม... ข้า...ข้าจะไปแล้วราตรีสวัสดิ"
            "เดี๋ยว!"ดิวาทอร์เรียกเธอพร้อมคว้ามือเธอเอาไว้ เธอก็เข้าจูบเขาอย่างรวดเร็ว ดิวาทอร์ก็จูบเธอตอบก่อนที่เขาจะอุ้มเธอเดินเขาเรื่อไป
       
         เรจิน่าเดินอยู่ที่ทางเดินเชื่อมระหว่างราชวังกับวังของซิกมันอย่างเร่งรีบ เธอเดินผ่านทหารที่เฝ้าอยู่อย่างง่ายดาย เมื่อเธอเขามาเธอพบน้องชายที่นอนกอดอยู่กับราชินีของตน
         "ซิกมัน! พี่มีอะไรให้เจ้าดู ไปที่ราชวังเดี๋ยวนี้"เรจิน่าบอกแล้วเธอก็เดินไป
         ซิกมันเดินมาที่ราชวังอย่างช้าๆกับอันทิมิสชันนารีซ ทั้งสองเดินเข้ามาอันทิมิสชันนาริซก็ตกใจเมื่อของเวชมนต์ของเธออยู่ที่ท้องพระโรง
         "เราเจอที่ห้องของเธอ ซิกมัน"เรจิน่ากล่าวขึ้นพร้อมกับความได้เปรียบอย่างแน่นอนของเธอเมื่อเห็นอันทิมิสชันนาริซหน้าซีดไป
         "นั้นไม่ใช่ของข้า นั้นไม่ใช่ของข้าซิกมัน"
            "เราเจอในห้องของเธอ"
            "ไม่ ข้าไม่เคยมีของพวกนี้"
            "ก็มันมีเวชมนต์บดบังเอาไว้ถ้าไม่ได้แม่ชีเซนต้ามาทำพิธี..."
            "พวกนางโกหก ซิกมัน พวกนางจงใจใส่ร้ายข้า"
            "นางตอแหล่!"เรจิน่ากล่าวจบ ซิกมันก็ยกมือขึ้นห้ามทั้งสองเอาไว้
            "เรจิน่า ท่านมีเวลาเก็บของออกจากวังนี้เพียงคืนเดียว พรุ้งนี้ห้ามข้าเห็นท่านอีกเป็นอันขาด"ซิกมันกล่าวจบก็เดินออกไปเรจิน่าเพียงมองเขาพร้อมน้ำตาที่คลออยู่ อันทิมิสชันนาริซมองเธอพร้อมทั้งสบัดหน้าเดินตามซิกมันไป
          วันรุ้งขึ้นเรจิน่าก็เดินทางออกจากวัง เธอเดินทางผ่านออกมาที่เมืองด่านที่จะตรงไปยังฟูดินัน ขณะที่ขบวนม้าหยุดพักเธอก็ได้พบกับเกรกอรี่ที่เดินทางผ่านมา
          "ท่านเกรกอรี่"
             "เรจิน่า เจ้ามาอยู่อะไรที่นี้"เกรกอรี่กล่าวขึ้นพร้อมควบม้ากลับมาที่เธอ
          "ซิกมันบ้าไปแล้ว"
             "อะไรนะ"
             "เขาติดกับกิเลสอย่างถอนไม่ขึ้นเลย"
             "พวกซินเริ่มแล้ว แล้วเจ้ามาทำอะไร"
             "ข้าถูกไล่ออกจากวัง กำลังเดินทางไปฟูดินัน แล้วท่านจะไปที่ใด"
             "ข้าจะไปมหานครแห่งเทพปกป้อง"
             "เทพปกป้อง?"
             "เจ้ายังไม่ต้องรู้หรอก ข้าว่าเจ้าเดินทางไปเซนทิริก มิเนทาริก สถานที่นั้นปลอดภัยที่สุดเพราะข้ามีความรู้สึกว่าเจ้าอาจถูกซินตามจัดการเจ้าได้ เพราะเจ้าอาจเป็นหนามยอกอกของมันอยู่"เกรกอรี่กล่าวจบก็มองนางเอาไว้
          "เดินทางไปที่กำแพงแห่งพายุ บอกกับเขาว่าเจ้าเป็นผู้ใด เมื่อมหากำแพงวายุซาลงนั้นคือคำตอบรับแห่งพระผู้เป็นเจ้า"เกรกอรี่กล่าวจบก็ควบม้าออกไป
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #20 on: February 22, 2006, 05:41:30 PM »

ตอนที่ 20 ดินแดนแห่งไตตัน อเล็กซานเดริก เมทาคอซิสเตเรี่ยน
         ฮาดิอัสเดินทางมาข้ามหุบเขาที่เขาเคยส่งสัยมานานว่าที่นั้นมีอะไร เขาเดินทางผ่านทางถ่ำแห่งความตายที่เล่าลือว่ามีสัตว์ประหลาดหน้ากลัวที่จับมนุษย์ไปกิน แต่เขาจูงม้าผ่านออกไปอีกฝั่งได้อย่างไม่มีปัญหา ทำให้เขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงกุขึ้น แต่เมื่อเขาผ่านออกมาก็พบซากของแมลงมุมยักหลายร้อยตัวนอนตายอยู่เบื่องหน้าพร้อมกับซากของพวกออร์ค
         "พวกมันขึ้นทางฝั่งนี้เหรอ"ฮาดิอัสกล่าวจบก็ตรงไปที่ป่าข้างๆเมื่อเห็นพวกอร์ดเดินทางผ่านมา
         "ท่านกาฟาตัสสั่งอะไรเจ้ามา"
            "เขาบอกให้ข้ามาเอาวิญญาณของพวกนี้นะสิ"
            "ท่านจะเอาไปทำไมวะ"
            "ไม่รู้สักเรื่องได้ใหม"ออร์คตนหนึ่งกล่าวจบก็ล้วงไปเอาหินก้อนหนึ่งออกมามันดูดวิญญาณทุกดวงบริเวณนั้นก่อนที่พวกมันจะเดินจากไป
         "พวกมันมาทำอะไรกันที่นี้ หรือว่าจะโจมตีซาโลมแล้ว"ฮาดิอัสกล่าวจบก็ควบม้าตามออร์คสองตัวไปอย่างช้าๆ เข้าเห็นพวกมันเข้าสถานที่แห่งหนึ่งคล้ายค่ายพักที่อยู่ติดเขา เขาก็ปีนขึ้นไปทันทีที่ถึงยอดเขา เขาก็ได้พบกับก้องทัพออร์คมหาศาลที่รอมมหานครแห่งหนึ่งเอาไว้ สถานที่แห่งนั้นมีขนาดใหญ่กว่าที่ใดๆหลายเท่า ผู้ที่ยืนอยู่ก็มีขนานใหญ่ เขาถึงแล้วมหานครแห่งไตตัน
         การสู้รบอันดุเดือดของไตตันกับออร์คดุเดือดอยู่เสมอ อาดิอัสมองไปเห็นชายสองคนที่ยืนอยู่ที่กองทัพของออร์ค แต่ไม่ทันที่เขาจะได้สังเกตนานก็จับตัวเอาไว้
         "ท่านเป็นผู้ใด มาทำอะไรที่นี้"
            "ข้าแม่ทัพฮาดิอัสจากซาโรม เดินทางมาตามคำสั่งของท่ารเกรกอรี่"
            "เกรกอรี่ เจ้าเป็นพวกเดียวกับพวกมันหรือเปล่า?"
            "ไม่ ข้ามาของข้าเองเพียงคนเดียว"
            "เอาตัวไปพบท่านนางพญาที่เหลือให้ท่านจัดการเอง"ทหารหญิงสามคนที่จับตัวเขา พาตัวเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก
         ฮาดิอัสถูกคุมตัวมาที่วิหารแห่งหนึ่งที่นี้มีผ้าสีแดงประดับมากมาย และทหารล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิง เขาถูกคุมตัวเข้าไปในท้องพระโรงและถูกถีบให้ล้มลง ฮาดิอัสคอยๆมองดูสตรีที่ยืนอยู่เบื่องหน้า นางยังดูอ่อนเย้านักที่จะเป็นนายใครและการแต่งหน้าของเธอที่เกินความสาวจนดูมีอายุ เธอมองเขาอย่างสงสัย
         "พวกมันจะบุกขึ้นมหาวิหารหรือเปล่า"
            "ไม่ทราบค่ะ"
            "สอดแนมต่อไป ข้าไม่มั่นใจว่าอเล็กซานเดริกจะเป็นเป้าหมายเดียวของพวกมันหรือเปล่า"เธอกล่าวขึ้นก่อนที่ทหารสาวจะออกไป เธอพยักหน้าก็ทำให้สาวใช้ในวิหารออกไปหมด เมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าพวกนางไปแล้วเธอก็ก้มลงแก้มัดให้กับฮาดิอัส
         "รีบไปสะ ข้ารู้ว่าเจ้ามาทำอะไร รีบเอามันออกไปจากที่นี้"
            "ท่านหมายถึง"
            "ไม่ต้องรู้ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เพราะข้าอ่านใจเจ้าออก ข้าลาสิด้าเป็นนางฟ้าของเทพจีเนรอส"
            "เทพจีเนรอส?"
            "ไม่ต้องรู้ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่"
            "เหตุใด"
            "ผู้คนในวิหารคิดว่าข้าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ และก็ยังสร้างคุกหินนี้ขึ้นมาพร้อมทั้งจัดคนมาเฝ้า ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว"
            "ได้ถ้าเจ้ายอมเสี่ยง พาข้าไปที่คอกม้า"ฮาดิอัสกล่าวจบเธอก็เดินนำเขาไปที่คอกม้าอย่างช้าๆ
         ทหารหญิงที่เดินไปมาต้องตกใจเมื่อฮาดิอัสอุ้มนางฟ้าของพวกเธอ เขาควบม้าวิ่งลงจากวิหารไป พวกนางก็รีบตามแต่เหมือนกับว่าทุกสิ่งเป็นใจทำให้พวกเธอตามเขาไม่ทัน ฮาดิอัสควบม้ามาที่ต้นไม้ใหญ่ที่คิดว่าห่างไกลจากวิหารแล้วเขาก็หลุดพาเธอลง
         "คงรอดแล้วละ คุณก็เดินทางไปที่ๆคุณอยากไปเถอะที่นี้มีแต่อันตราย"
            "ฉันต้องเข้าไปที่พระราชวังของท่านเทพอเลทาดอส มหากษัตริย์แห่งอเล็กซานเดริก"
            "เจ้าจะไปทำไม"
            "ข้าจะไปช่วยพ่อข้า พ่อข้าอยู่ภายในนั้น"
            "เจ้าคงไม่อ่านใจข้านะ ข้าหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ"ฮาดิอัสกล่าวจบก็มองตานางที่หลบเขา
         "เจ้าโกหกข้าลาสิด้า"ฮาดิอัสกล่าวพร้อมหันออกไป
         "ไม่นะ ข้ามีเหตุผลก็แค่ข้าไม่มีที่ไป ขอเดินทางไปกับท่าน"
            "ไม่ได้ ข้าต้องเดินทางไปรบ เจ้าจะไปได้งัยหรือว่าเจ้าสู้รบได้"
            "อย่าดูถูกข้าเชียวเรื่องนั้น"เธอกล่าวจบพร้อมกับร่ายดาบเพลิงออกมา
         "ข้าไม่อยากให้เจ้าไป ผู้หญิงไม่ควรอยู่ในสนามรบ"
            "แต่ข้าเป็นนางฟ้า"
            "นั้นก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน"ฮาดิอัสกล่าวจบก็เดินจากไป แต่ลาสิด้าไม่ยอมแพ้เช่นกันเธอก็ควบม้าตามเขา ฮาดิอัสมองกลับมาเป็นระยะๆ แต่เธอก็ไม่เลิกตามเขา เขาจึงไม่สนใจเดินไปต่อจนพบกับลานกว้างเบื่องหน้าของอเล็กซานเดริกที่เต็มไปด้วยเหล่าออร์ค เขามองไปเห็นแต่พวกออร์กที่ล้อมเมืองเอาไว้
         "ที่บนเชิงเขามีทางเข้าที่นั้นมีประตูเมืองอีกทางท่านอาจจะเข้าได้ ข้าบอกแล้วใยเล่าผู้หญิงจะไม่มีประโยชน์"นางกล่าวจบก็ยิ้มให้กับเขา
         "ขึ้นม้าดีว่าท่าน เร็วกว่า เกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่เสียหาย"นางกล่าวจบฮาดิอัสก็เดินกลับมาเขาขึ้นควบม้าตรงไปยังที่เธอบอก
         "ข้ายอมแพ้เจ้าจริงๆ"ฮาดิอัสกล่าวจบลาสิด้าก็มองเขาเอาไว้ เธอก็จูบเขาทันทีมันทำให้ฮาดิอัสตกใจหยุดม้าทันที
         "อย่า เจ้าจะทำสิ่งใด"
            "เป็นแค่คำขอบคุณ"นางกล่าวจบจบก็หันไปฮาดิอัสสายหน้าก่อนจะควบม้าตรงไป
         ที่ประตูเมืองที่สูงใหญ่ฮาดิอัสตะโกนขอความช่วยเหลือให้เปิดประตูจากไตตัน พวกมันมองเขาจากบนกำแพงที่สูงใหญ่นั้น
         "ข้ามาจากซาโลม ข้ากำลังทำตามพระบัญชาของเกรกอรี่ขอให้ท่านเปิดประตูให้ด้วยเถิอด"ฮาดิอัสกล่าวจบประตูก็เปิดออกเขาควบม้าเข้าไปช้าๆ  ฮาดิอัสมองเหล่าไตตันที่มองเขาอยู่ พวกเขาดูเป็นมิตรและไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
         "ท่านเกรกอรีให้เจ้ามาทำอะไร"เสียงดังกังวานของไตตันคนหนึ่งที่เดินมาพร้อมกับไม้เท้า
         "ข้าแม่ทัพฮาดิอัสแห่งซาโลมรับคำสั่งให้มาตามหามณีสองสิ่งที่อยู่แถวนี้"
            "มณี เจ้าหมายถึงอะไรแวววาวนะเหรอ ไม่มี ที่นี้ไม่มี"ไตตันตนนั้นกล่าวจบก็เดินออกไป ฮาดิอัสงงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาที่ล้านกว้างใหญ่ที่อยู่บนหน้าผ้าที่มองลงไปเขาก็พบกับเหล่าออร์คที่ระดมฟลโจมตีแทบทั้งวันทั้งคืน ฮาดิอัสควบม้ามาที่กำแพงเมือง
         "เจ้าอยู่นี้ห้ามไปใหน"
            "ท่านจะทำสิ่งใด"
            "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกมันกำลังเข้ามาเพื่อมาเอามณี ถึงตายข้าก็ไม่ให้พวกมันได้ไป"
            "ท่านแต่ว่า"ลาสิด้าไม่ทันกล่าวคำอื่นใดเขาก็เดินไปเสียก่อน
« Last Edit: February 22, 2006, 11:16:33 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #21 on: February 23, 2006, 12:27:58 AM »

ตอนที่ 21 เปลวเพลิง เด็ดเดี่ยว อำนาจ ดาบคาล์ลูเซอา ดิเอซคาริเบอร์
         ฮาดิอัสเดินมาที่ฝูงชนของเหล่าไตตัน เขาถูกไตตันตนหนึ่งมองเอาไว้
         "ข้าว่าเจ้าไปอยู่ในวังดีกว่านะ"
            "ข้าไม่รอตายแน่นอน"ฮาดิอัสกล่าวจบประตูเมืองก็แตกทหารของอเล็นซานเดริกก็วิ่งเข้าประทะอย่างรุนแรงกับพวกออร์คร่วมทั้งฮาดิอัสด้วยก้องทัพไตตันยันทัพออกไปเพื่อปกป้องกำแพงอีกครั้ง พวกที่ออกไปเพื่อสละชีวิตให้เพื่อนคนอื่นได้ซ้อมประตู เสียงดาบและไตตันที่ล้มตายจำนวนมากทำให้ลาสิด้าวิ้งออกมาดูที่กำแพงเมือง เธอมองเห็นว่าฮาดิอัสยังคงปลอดภัยก็ดีใจ แต่อยู่ดีๆก้องทัพออร์คก็หยุดและแหวกออก มีบุคคลสองคนเดินตรงมาที่แห่งนี้
         "เจ้าว่าจะให้พวกมันตายแบบใหนโฟเทีย"ปีศาจที่คล้ายงูเอ๋ยถามขึ้น
         "ยี่สิบของเจ้ากาฟาตัส แปดสิบของข้า ไม่ได้กินไตตันเนื้อหน้าๆมานานแล้ว"ออร์คร่างอ้วนพูดขึ้น
         "ในนามมหาซินแห่งอำนาจ ข้าขาอำนาจให้กับข้า"กาฟาตัสกล่าวจบก็ร่ายมนต์เกิดเป็นค้อนขึ้น
         "ในนามแห่งมหาซินแห่งกิเลส จงมาขวานแห่งสวรรค์"โฟเทียกล่าวจบขวานก็ตกลงมาจากฟ้าเขามือของโฟเทีย ขุนพลทั้งสองกำลังจะตรงเข้ามาก็มีดาบเพลิงนับสิบเข้าโจมตีเขา แต่ดาบนั้นถูกปัดออกไปได้
         ลาสิด้าบินลงมาจากกำแพงเมือง เธอมองมหาซินทั้งสองเอาไว้ ฮาดิอัสที่เดินตรงมาที่นาง
         "เจ้ามาทำไม"
            "พวกท่านชนะเขาไม่ได้"
            "ทำไม"
            "เขามีพระบัญญัติของพระเจ้า คนที่ถือค้อนมีอำนาจมากกว่าเทพองค์ใด ส่วนคนที่ถือขวานคนนี้มันอาจทำให้เราเป็นบ้าระหว่างสู้ได้"
            "ข้าไม่ได้เป็นเทพคนถือค้อนข้าจัดการเอง ส่วนคนถือขวานเจ้าจัดการ"
            "ได้"ลาสิด้ากล่าวจบทั้งคู่ก็โจมตีออกไปพร้อมๆกัน ฮาดิอัสเข้าประทะกับกาฟาตัสก็พบว่ากำลังของเขาแทบสู่ไม่ได้ เขาแทบจะรับการฟาดค้อนของกาฟาตัสไม่ได้ แต่เขาก็อดมองลาสิด้าอย่างเป็นห่วงไม่ได้ นางเองก้แทบจะไม่ประทะกับโฟเทียเลย ทั้งคู่มาจนมุมหลังชนกันอยู่กลางวงล้อมของทั้งสอง
         "ไม่เห็นจะได้เรื่องเลยน้างฟ้า พลังของเจ้าหายไปใหนหมด"โฟเทียกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน
         "ถ้าข้ามีพลังมากว่านี้คงดี"
            "ท่านคิดว่าจะสู้พวกเขาได้เหรอ"
            "สู้ไม่ได้ก็ขอเพียงตายด้วยกันก็เพียงพอ"
            "สัญญากับข้าว่าท่านจะไม่เอาพลังไปใช้ในทางที่ผิด"ลาสิด้าพูดแปลกๆทำให้ฮาดิอัสมองเธอด้วยหางตา
         "เจ้าพูดราวกับเจ้ามีอะไร"ฮาสิด้ากล่าวจบก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในดินแดนแสงไร้ตะวันสะแล้ว
         "เจ้าพาข้ามาใช่ใหม กลับไปเดียวนี้ลาสิด้า"
            "เรามาเพียงทำพันธสัญญาเท่านั้น"
            "พันธสัญญา?"
            "สัญญากับข้าว่าแม้ไฟไหม้น้ำ ตะวันแสงเย็นท่านจะใช้อำนาจนี้เพื่อสวรรค์"ลาสิด้ากล่าวจบเธอก็จับมือของเขา
         "สัญญากับข้า"
            "ได้ข้าสัญญา"ฮาดิอัสกล่าวจบเธอก็บีบมือแรงขึ้นแสงสว่างวาบขึ่นแล้วจางหายไปเขาพบว่าเขามาอยู่ที่เดิมรู้สึกถึงผ้าสีแดงจากหญิงข้างๆที่อ่อนนุ่มเกินความสัมผัสนั้น เปลวไฟก่อตัวเป็นดาบอยู่เบื่องหน้าของเขา
         "หนึ่งในสี่ดาบแห่งดิวาทอร์ ดาบคาล์ลูเซอา ดิเอซคาริเบอร์"เธอกล่าวจบฮาดิอัสก็จับทีด้มของดาบที่ลุกเป็นเปลวเพลิงที่ร้อนแรง พลังของมันราวกับใหลเขาตัวของเขา เวลาเหมือนเดินอีกครั้งเมื่อกาฟาตัสฟาดค้อนมาที่เขา ฮาดิอัสก็ตวัดดาบขึ้นรับแรงสะท้อนทำให่กาฟาตัสถอยออกไป เขาก็ตรงลุกไปที่โฟเทีย ซึ่งโฟเทียก็แทบจมลงในพื่นเมื่อรับแรงฟันที่มาจากฟ้า มหาซินทั้งสองเห็นไม่เข้าท่าจึงถอยออกไป
          "เจ้าจะรอดพวกออร์คทั้งหมดนี้ใหมแสดงให้ข้าดูสิ"กาฟาตัสกล่าวจบก็เดินออกไปเหล่าออร์คก็เฮโล่เข้ามาเขาต่อสู่กันไม่ให้พวกออร์คเข้าไกลลาสิด้าแม้แต่ปลายนิ้วแต่พวกมันมากไปจริงๆ ขณะที่เขาจะเสียท่าอยู่นั้น ก็มีแสงสว่างส่องแหวกฟ้ามึดมา
          เกรกอรี่บนหลังม้าที่ชูคาฑาที่เปล่งแสงมหาศาลที่วิ้งตรงมาที่เหล่าออร์คพร้อมไตตันป่ามากมายที่มาช่วยกันไล่พวกออร์ค เมื่อพวกออร์คเห็นไม่เข้าท่าก็หนีตายกันไปตามๆกัน มหาซินทั้งสองถูกแสงสว่างจากสวรรค์สาดส่องก็สลายร่างตามๆกัน
          เกรกอรี่เดินตรงมาที่ซากของมหาซินทั้งสอง ค้อนและขวานที่วางอยู่บนพื่นข้างๆซากกระดูกที่เหม็นเน่าของมหาซินทั้งสอง
          "หน้าสมเพช"เกรกอรี่กล่าวจบ
          "พวกเจ้าไม่รอดพ้นมือนางหรอก ไม่มีทาง"เสียงจากซากปากของมหาซินแห่งกิเลสดังขึ้นพร้อมยิ้มให้กับเขา ก่อนที่เกรกอรี่จะชีคาฑาแสงลงสลายมัน เขาตรงมาที่ฮาดิอัสที่มองเขาอยู่ เกรกอรี่มองลาสิด้าก่อนเธอจะสลบไปในอ้อมกอดของฮาดิอัส
           "พลังจีเนรอสในตัวเธออ่อนมาก"เกรกอรี่กล่าวขึ้น
           "ต้องทำอย่างไรละท่าน"
               "พาเธอไปดินแดนแห่งธรรมชาติที่ใหนก็ได้เธอจะดีขึ้น แล้วไปเจอข้าที่วิหารฟรานเซสก้า มณีทั้งสองข้าจะเอาไปเอง"เกรกอรี่กล่าวจบก็ควบม้าเข้าไปในราชวังของอเล็กซานเดริก
           เขาเดินตรงมาที่ห้องของกษัตริย์ซึ่งก็ได้พบกับกษัตริย์อเลทาดอส มหาเทพแห่งการปกป้องนอนอยู่เบื่องหน้ามือที่จับสี่โล่แห่งสวรรค์ที่ปกป้องสี่ทิศแห่งมหานครอยู่อีกมือกำมณีสองดวงวางที่หน้าอกเหนือดวงใจของเขา เกรกอรี่มองดูพร้อมทั้งล้มลง ก่อนที่เขาจะเห็นขนนกสีขาวที่ลอยขึ้นมาก่อนจะแตกสลายไปเป็นละอองแสงหายไปใบอากาศ เขามาช้าไปมหาเทพองค์หนึ่งกลับไปแล้ว สามเทพรวมตัวกันไม่ได้แล้ว เขาเพียงแต่หยิบเอามณีทั้งสองออกจากมืออเลทาดอสแล้วตรงออกมา เขาตรงกลับไปยังวิหารฟรานเซสก้าทันที

          อันทิมิสชีนนาริซกำลังยืนอยู่ที่ระเบียงแต่สายตาของนางมองไปเห็นถึงเรจิน่านางก็เดินตรงมาที่บ้านของนายทหารคนหนึ่ง ซึ่งนางรอพบเขาอยู่ตามลำพังเมื่อนายทหารเข้ามาก็กอดเธอไว้แน่น
          "ท่านมีสิ่งใด ปรารถนาสิ่งใดจึงมาที่นี้"เขาพูดขึ้นพร้อมลวนลามเธอ
          "ฆ่าเรจิน่าให้ข้า"
             "อะไรนะ"
             "ฆ่าเรจิน่าให้ข้า นางทำลายข้า"
             "ได้"นายทหารกล่าวจบก็ออกไป

          เรจิน่าที่ยืนอยู่ในค่ายพักนางกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นก็มีสาวใช้วิ่งมาบอกเธอว่ามีโจรเข้ามาปล้นค่าย ก่อนที่ทั้งสองจะออกมาแต่เรจิน่าก็ไม่ลืมคว้าดาบประจำตัวก่อน ภายนอกมีผู้คนตายอย่างเงียบๆมากมาย เธอเห็นเงาเดินตรงนั้น ตรงนี้
          "นั้นมันไม่ใช่โจร นั้นมันปีศาจนิ"
             "ท่านหนีไปค่ะ"เธอกล่าวจบก็พลักเรจิน่าออกแล้วรับคมดาบแทน เรจิน่าเห็นดังนั้นก็วิ่งขึ้นม้าแล้วควบออกไป นายทหารของฟรีเลเซียก็เดินมาที่สาวใช่
          "นางไปใหน"เขายังไม่ได้คำตอบจากสาวใช่นางก็ขาดใจตายก่อน
          เรจิน่าควบม้าหลายวันจนหมดแรงเธอก็มาถึงกำแพงวายุ เธอทำตามที่เกรกอรี่บอกเมื่อเห็นกแพงวายุซาลงเธอก็ควบม้าเข้าไปก่อนที่ทุกอย่างจะวูบไป
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #22 on: February 23, 2006, 11:27:00 PM »

ตอนที่ 22 ความลับแห่งเซนทิริก มิเนทาริก มหานครแห่งกษัตริย์
         จีเนรอสลุกขึ้นจากเตียงที่อ่อนนุ่มเธอมองไปรอบๆตัวที่มีสาวใช่มองอยู่อย่างเป็นห่วง เอลาโน่เดินเข้ามาพร้อมจับชีพจรของเธอ
         "พลังจีเนรอสของท่านก็ยังไม่ลดลง แล้วเป็นเพราะอะไร"
            "มหาเทพอเลทาดอสกลับสวรรค์แล้ว ฉันรู้สึกได้ ฉันรู้สึกถึงมัน"
            "ถ้าเช่นนั้น สามเทพก็รวมตัวไม่ได้"
            "ยังอเลทาดอสเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เขาเป็นเทพแห่งการปกป้อง อำนาจเพียงเพื่อปกป้องสวรรค์เท่านั้น แต่ดิวาทอร์และข้าสองอำนาจแห่งการสร้างสรรค์และลบล้าง ข้าทั้งสองต่างหากที่เป็นกุญแจของพระองค์ที่ส่งมา อเลทาดอสมาเพื่อช่วยเหลือเรา"จีเนรอสกล่าวจบก็เดินไปที่ห้องอีกห้องหนึ่ง
         เธอออกมาในชุดที่สวยสง่า เดินตรงมาที่อลาโน่ กลิ้นของดอกแสงจันทร์ที่หอมหวนนั้นยังคงมีอยู่ นางเตรียมตัวเพื่อไปยังบัญลังแห่งเซนทิรก
         ทุกสายตาที่จ้องมองเธอเมื่อเธอเดินผ่านในท้องพระโรงที่เดินตรงเข้าสู่พระราชบัญลังแห่งเซนทิริก เมื่อเธอนั่งลงแสงจากสวรรค์ก็สาดส่องมาที่เส้าทั้งสองต้นที่อยู่ใกล้ๆกับหน้าบัญลัง เทพสององค์ก็เสด็จลงมาจากสวรรค์ นางฟ้าแห่งความเมตตาและนางฟ้าแห่งการลงฑัน กางปีกของนางออก
         "เมื่อคืนนี้มีคนแจ้งว่ามีหญิงไม่ทราบชื่อเดินทางเขามาภายในเมือง ที่ตัวนางมีดาบและตราบางอย่างที่เราไม่รู้จัก"
            "นางอยู่ใหน"
            "ที่พระราชวังที่ห้า วังของนางใน"
            "นำทางข้าไป"จีเนรอสกล่าวจบก็เดินลงมา ท่านกรมการเมืองก็เดินนำไปยังสถานที่ที่ว่า เมื่อจีเนรอสออกจากท้องพระโรงสู่ท่านลงที่จะผ่านวังของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินซึ่งปัจจุบันว่างอยู่ ตามด้วยวังของกรมเทพเจ้า กรมราชวัง และกรมการปกครอง
         เมื่อเธอเดินทางมาถึงเธอก็ได้พบกับเรจิน่าที่นอนอยู่บนเตียงที่ขาวสะอาด เธอเดินตรงไปหาเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั้งลงข้างๆ
         เรจิน่าที่ฝันร้ายว่าถูกกองทัพของพวกผีตามฆ่าก็วิ่งหนีจนแทบไม่ได้หยุด เธอหนีมาถูกล้อมและตายในฝันนับครั้งไม่ถ้วนซ้ำไปซ้ำมา จนเธอถูกล้อมอีกครั้งแต่ครั้งนี้แสงสว่างที่สาดส่องมาจากสตรีที่ขี่ม้าตรงมาที่เธอทำให้พวกมันสลายไป เธอมองดูสตรีเบื่องหน้าที่สวยสง่ากว่าหญิงใดที่เธอเคยพบมา
          "เรจิน่า...ตามข้ามา"เสียงนี้เรียกเธออยู่ไม่หยุดจนเธอเริ่มลืมตาช้าๆเธอก็ได้พบสตรีที่ช่วยเธอในฝันอยู่เบื่องหน้า
          "ท่าน...คือผู้ใด"
             " ข้าจีเนรอส จีนอร์เรนซิเอเนอร์"
             "ท่านเทพ"เรจิน่ากล่าวจบก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่เบื่องล่างของจีเนรอส จีเนรอสก็รีบดึงเธอขึ้นมาจากพื่น
          "อย่าทำเช่นนี้เรจิน่า ข้าก็เป็นเพียงเอลบนโลกนี้ในขณะนี้ แต่เจ้าไปโดนอะไรมา"
             "มีซินกล่อมน้องของข้า ตอนนี้นางแก้แค้นข้าโดยสั่งพวกผีปีศาจมาไล่ฆ่าข้า ดีที่ท่านเกรกอรี่เตือนไม่เช่นนั้นข้าคงจะเสร็จพวกมัน"
             "อืม... เจ้าปลอดภัยแล้วอาณาจักรแห่งนี้ไม่มีมารตนใดเข้ามาได้"จีเนรอสกล่าวจบนางก็เดินออกไป
          จีเนรอสกลับมาที่ราชบัญลังก็พบเพียงอลาโน่ที่ยืนอยู่ที่ข้างๆของบัญลัง
          "ที่แห่งนี้ป้องกันมารได้อย่างไร ในเมื่อข้าสัมผัสไม่ได้ถึงพลังของเทพที่มากกว่าที่อื่นใดแม้อธิริกด้วยซ้ำ"
             "ที่นี้ป้องกันด้วยอำนาจของกษัตริย์ พลังของที่นี้ก็เหมือนข้านับวันนับอ่อนลง ข้ามาก็เพียงอัญเชิญเทพปกป้องบัญลังทั้งสองมาเท่านั้น เทพแห่งธาตุทั้งสี่และดฤดูกาลยังไม่มาด้วยซ้ำ"
             "พวกเขาจะมาที่เส้าแปดต้นที่เหลือหรือท่าน"
             "ใช่ เส้าแปดต้นนี้รอการมาของกษัตริย์ เพียงการสัมผัสพระบัญลังเพียงครั้งเดียวของกษัตริย์เท่านั้น อำนาจอันยิ่งใหญ่ก็จะหลั่งไหลออกจากที่แห่งนี้ อำนาจแห่งเทพกษัตริย์"
             "อำนาจแห่งเทพกษัตริย์?"
             "อำนาจที่จะสั่งให้ทุกสิ่งอยู่หรือตาย รุ้งเรืองหรือมอดดับ พลังนั้นอยู่ที่ตัวคนเดียว ดิวาทอร์"

             ดิวาทอร์เดินขึ้นฟังพร้อมกับจูงม้าจากนรกที่หน้ากลัว อาทิมิสชันนาริสก็เดินเคียงคู่เขามาเหล่าออร์คที่เดินทัพอย่างเป็นระเบียบ กองทัพแห่งความตายเดินทัพเข้าจัดการกับหมู่บ้านที่ผ่านเส้นทางที่เดินทางไปคือ วิหารฟรานเซสก้า

          อันทิมิสชันนาริซเดินไปมาอย่างกังวลเมื่อพบว่าเรจิน่าหนีไปได้ เธอแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว เธอนั่งอยู่หน้ากระจกมองตนเองที่ลึกลงไปกระจก ภาพของหญิงแก่ที่หน้ากลัวก็แวบขึ้นมาในเงาสะท้อน เธอกรีดออกมาด้วยความตกใจก่อนจะหันหน้ามาพบว่าอาทิมิสชันนาริสยืนอยู่เบื่องหน้าเธอ
          "ความงามของท่านเริ่มร่วงโรยแล้วหรือ"
             "เจ้าหย่ามาพูดพล้อยๆ"อันทิมิสชันนาริซกล่าวจบก็ตวัดมือสายลมก่อตัวเป็นหอกน้ำแข็งตรงมาที่อาทิมิสชันนาริส แต่นางเพียงตวัดมือน้ำแข็งนั้นก็แตกออกสลายไปเบื่องหน้าของเธอ
          "เจ้าทำได้อย่างไร"อันทิมิสชันนาริซกล่าวยังไม่จบนางก็ถูกสายลมตบขึ้นไปติดฝาผนัง นางอึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
          "ข้ามาเพื่อมาดูว่าท่านเป็นอย่างไร แต่ท่านก็ไม่เคยเปลี่ยนข้าขอบอกว่าข้าเป็นมเหสีของท่านเทพดิวาทอร์แล้ว แน่ละว่าข้าดูพลังที่ไม่มีวันหมดของเขามา เขาเป็นแหล่งพลังเทพที่ดีนะ แต่ท่านก็วอนหาเรื่องเอง ข้าขอบอกท่านอีกครั้งว่าท่านไม่สามารถทำอะไรข้าได้อีกต่อไป"อาทิมิสชันนาริสกล่าวจบร่างของอันทิมิสชันนาริซก็ตกชลงมาบนพื่น แล้วนางก็เดินหายไปในกระจก
          "นางจิงจอกเจ้าไม่มีทางได้พลังที่ยืนยงหรอก"อันทิมิสชันนาริซกล่าวจบก็เดินมาแต่งหน้า

          ดิวาทอร์ซึ่งมองไปที่แสงสวางของวิหารฟรานเซสก้าแต่ไกลเขารู้ว่าไม่นานเขาก็จะถึงวิหารแห่งนั้น อาทิมิสชันนาริสเดินกลับมานางตกใจเล็กน้อยที่พบกับดิวาทอร์ที่ยืนอยู่นอกที่พัก นางก็เดินมากอดเขาจากด้านหลัง
          "ท่านคิดอะไรอยู่หรือ"
             "ไม่ได้ ข้าไม่ได้คิดแม้แต่น้อย"
             "ท่านโกหกได้เก่ง"
             "ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้คิดอะไร"ดิวาทอร์เองก็งงกับตัวเขา เขาเพียงมองเบื่องหน้าราวกับว่าเป็นเป้าหมายแต่ไม่เคยคิดสิ่งใดกับมัน บางครั้งเขาคิดด้วยซ้ำว่าเขามาทำอะไร เพื่ออะไร แล้วทำไมต้องทำ
Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #23 on: February 27, 2006, 11:46:12 PM »

ตอนที่ 23 นางฟ้าฟรานเซสก้า นางฟ้าผู้มีบาป
        วิหารฟรานเซสก้าที่ส่องแสงสว่างไสวแต่ไกลในยามค่ำคืนที่มืดและเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงตัวใดหรือเสียงสายลมใดๆที่จะผ่านมายังสถานที่แห่งนี้ เหล่าออร์คที่เดินทางมาพบเขตแสงสว่างก็ชงักเอาไว้ด้วยเพียงเพราะกลัวแสงนี้จะทำลายชีวิตของต้น และเพียงแต่ได้มองขอบเขตแสงสว่างเอาไว้ ภายในกำแพงวิหารเองก็วุ่ยวายไม่น้อยเมื่อเห็นเหล่าออร์คเดินทางมาถึงมหาวิหารอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บผู้หญิงและเด็กอีกต่อไปแล้วเพราะข่าวการบุกครั้งนี้เป็นที่ทราบตั้งแต่แอนดิซองถึงฟรีเลเซีย ทหารปกป้องวิหารและเหล่านักบวชที่เข้าประจำการเพื่อป้องกันต่างมองเหล่าออร์คเอาไว้ไม่ให้พลาดสายตา มือของแต่ละคนอาจสั่นเล็กน้อยแต่ก็อุ่นใจเมื่อเห็นพวกมันเกรงกลัวแสงสว่างนั้น กองทัพออร์แหวกออกเมื่อดิวาทอร์เดินจรงมาเบื่องหน้าของกองทัพ เขามองมหาวิหารเอาไว้พร้อมกับยิ้มอย่างกวนๆไปที่วิหาร ดิวาทอร์ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็วเกิดเป็นลูกไฟพุ่งตรงไปที่ประตูวิหารจนมันระเบิดออก ทุกสายตาจ่องมองประตูวิหารที่หายไปเพียงชั่วพริบตาเอาไว้
         ดิวาทอร์ควบม้าตรงเข้าไปอย่างช้าๆ ผู้ปกป้องวิหารเองก็สั่งยิงธนูแต่ลูกธนูนั้นกลับแตกสลายไปก่อนที่จะถึงตัวดิวาทอร์ แต่ทุกคนก็ระดมยิงอย่างไม่หยุด ดิวาทอร์ที่ควบม้าตรงไปยังมหาวิหารก็ถูเหล่านักบวชสกัดเอาไว้ เขาพียงมองด้วยสายตาอันแข็งกล้าวของเขา
         "ถอยไป"ดิวาทอร์กล่าวพร้อมกับมองเหล่านักบวชทุกคน ซึ่งเหล่านักบวชเหล่านั้นไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทางให้เขา
         "ข้าให้โอกาสพวกเจ้าครั้งสุดท้าย ถอยไป"ดิวาทอร์พูดพร้อมกับตวัดมือให้พวกนักบวช แต่พวกเขาก็ไม่หลีกทาง ดิวาทอร์เพียงจับดาบเพียงชั่ววินาทีเดียวร่างของนักบวชทุกองค์ที่ขวางทางก็แหลกเป็นเสียงๆ ดิวาทอร์ควบม้าต่อไปที่กลางวิหาร เขาถอดชุดเกราะออกทิ้งมันทำให้ทุกสายตามองเห็นสิ่งที่อยู่บนกายของเขา มันจารึกอยู่ที่แผ่นหลังและที่แขนของเขาเมื่อเขาถอดสนับแขนออกเขามองไปที่รูปปั่นฟรานเซสก้าที่เหลือเพียงแต่ฐาน เขากระโดดขึ้นไปอย่างง่าย
         "จงฟังนี้คือพระบัญญัติแห่งสวรรค์ขอขอส่งเจ้าไปสู่ดินแดนมืดมิดตลอดกาล"ดิวาทอร์กล่าวจบก็นำแขนมาจะประสานขนาบกันแต่เหมือนมีแสงสว่างเกิดขึ้นและต้านการผสานตราที่จารึกที่ท่อนแขนสองข้าง พระตราสารแห่งกษัตริย์(The king of heaven divice) แสงสว่างจ้าส่องก่อนจะหายไปเมื่อดิวาทอร์รู้สึกเหมือนมีใครมาเหยียบอยู่ที่แขนของเขาปีกสีขาวที่ส่องแสงทองเมื่อกระทบกับแสงจากสวรรค์

         เกรกอรี่เดินทางตรงมาที่ฟรีเลเซีย ที่นี้ดูเสื่อมโทรมและเงียบเหงา ประชาชนต่างมองเขาด้วยสายตาอันอ่อนล้าและขอความกรุณา ที่นี้เกิดอะไรขึ้น เกรกอรี่ส่ายหัวก่อนจะตรงเข้าไปในพระปราสาทแห่งฟรีเลเซีย พระราชวังเงียบราวกับป่าช้าและทห่รที่มีน้อยเต็มทีที่อยู่ภายในปราสาทแห่งนี้ เขาเดินตรงมาที่ท้องพระโรงที่ซิกมันกำลังนั่งอย่างไร้ชีวิต อันทิมิสชันนาริซมองเกรกอรี่เอาไว้พร้อมกับเชิดหน้าเดินออกไป เกรกอรี่สัมผัสถึงพลังที่หนาวถึงขั่วหัวใจทันทีที่เธอเดินผ่าน สายตาของเธอมองเขาอย่างเอาเรื่องพร้อมกับทำปากพูดบางอย่างที่เขาแทบจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร
         เกรกอรี่เดินตรงไปหาซิกมันที่นั่งอยู่ที่บัญลังอย่างนิ่งเฉย เขามองสายตาที่เลื่อนลอยเพียงชั่วเวลาเดียวเขาก็โวยวายหาอันทิมิสชันนาริซ เขาเดินชนกับเกรกอรี่อย่างแรงเพื่อตรงออกไป เพื่อจะไปหาเธอ เกรกอรี่ก็เหวี่ยงคาฑาเพียงครั้งเดียวร่างใหญ่ของซิกมันก็ลอยตรงไปที่บัญลัง ทหารทุกคนวิ่งตรงมาเมื่อเห็นสิ่งที่เกรกอรี่ทำ
         "อย่าเข้ามา เขาไม่ใช้กษัตริย์ของพวกเจ้า"เกรกอรี่กล่าวขึ้นก่อนที่จะเดินตรงไปร่ายคาถาคลายมนต์ตราให้กับซิกมัน เสียงโวยวายจบลงพร้อมกับการสลบของซิกมัน เกรกอรี่เดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อดูว่าซิกมันเป็นอย่างไรแต่ก็ถูกพลังบางอย่างพลักออกมาพร้อมกับซิกมันที่ลุกขึ้น โชคดีที่เขาหยุดเอาไว้ได้ทันเวลา
         "เจ้าคิดว่านักบวชชั้นต่ำอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้เหรอ"เสียงของอันทิมิสชันนาริซที่ดังขึ้นอย่างหน้ากลัวในท้องพระโรงมันออกมาจากปากของซิกมันที่ลุกขึ้นเดินตรงมาหาเกรกอรี่
            "นางมารร้าย ในนามแห่งจีเนรอสข้าขอสั่งให้เจ้าออกไปจากร่างของเขาเดียวนี้"
            "อย่ามาอ้างชื่อนางชั่วตนนั้นเลย ข้าไม่กลัวมันหรอก ว่าแต่เจ้าเป็นอะไรของนาง"พลันอันทิมิสชันนาริซกล่าวจบเกรกอรี่ก็ร่ายแสงสว่างออกมาจากคาฑาแสงนั้นทำให้นางแทบร้องกรีด ร่างของซิกมันที่กระเด็นไปที่พระบัญลังทองคำดิ้นไปมาอย่างรุนแรง
         "ข้าเป็นนักบุญของนาง(Gregory, The saint of generos) จงออกไปตลอดกาล"เกรกอรี่กล่าวจบเสียงกรีดของนางก็ดังขึ้นจนหมดไปพร้อมกับแสงสว่างที่มาจากคาฑาของเกรกอรี่ ซิกมันไอเล็กน้อยก่อนจะมองมาที่เกรกอรี่อย่างขอบคุณ เกรกอรี่ก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปที่ห้องของอันทิมิสชันนาริซ
         เมื่อเขามาถึงที่มหาราชวังของนางก็เห็นนางบินออกไปจากวังอย่างรวดเร็ว ซิกมันที่วิ่งตรงมาที่เกรกอรี่พร้อมกับทหารที่วิ่งมาพร้อม
         "ขอบคุณท่านเกรกอรี่ ว่าแต่ท่านทำอย่างนี้ศาสนจักรมิว่าเอาหรือ"
            "ข้าออกจากศาสนจักรตั้งแต่ต้านศึกที่วิหารฟรานเซสก้าแล้ว"
            "ท่านหมายความว่า..."
            "ข้าเป็นผู้แสวงบุญของท่านเทพจีเนรอส เรื่อนนั้นไม่สำคัญตอนนี้ที่วิหารฟรานเซสก้ากำลังเจอศึกหนัก"
            "พวกมันมาอีกแล้วเหรอ แต่พวกมันต้านแสงจากสวรรค์ไม่ได้อยู่แล้วนี่ท่าน"
            "ถ้ามันคิดว่ามันแพ้มันคงไม่มาตอนนี้ข้าส่งสารไปที่อลานิก้าและฟูดินันแล้ว ข้าเห็นว่าซาโลมกำลังเจอศึกใหญ่อิสฮานถูกล้อมอยู่ที่ทะเลทรายรูท(Ruth, the boundary of Zalom and Fudenun) เห็นทีสำหรับเขาแล้วต้องให้ท่านช่วย พวกมันส่งนางมาเพื่อไม่ให้เจ้าส่งทัพไปช่วยวิหารฟรานเซสก้าและป้องกันทางไปเซนทิริก มิเนทาริกได้"
            "ถ้าเช่นนั้นเราต้องรีบไปที่วิหารฟรานเซสก้า ข้าหวังว่าเราคงไม่สายเกินไป"ซิกมันกล่าวจบก็เดินออกไปก่อนที่เขาจะหันมา
         "เรจิน่าพี่สาวข้าอยู่ใหนข้าไม่เห็นนางเลย"
            "เจ้าไล่นางออกจากวัง ช่างเถอะนางคงปลอดภัยอยู่ที่เซนทิริก มิเนทาริกแล้วก็เป็นได้"เกรกอรี่กล่าวขึ้นซิกมันก็เดินหายไปในราชวัง ทัพของฟรีเลเซียที่ตรงออกไปทั้งทหารและกองทัพบิสเพื่อไปช่วยวิหารฟรานเซสก้า
 
         ดิวาทอร์มองขึ้นไปเห็นนางฟ้าที่กางปีกสีขาวขนนกที่ร่วงลงมาแววตาที่เขาจำได้ดีดาบอำพันที่แนบอยู่ข้างขาเรียบเนียนของเธอ ดาบยักที่ลอยอยู่เบื่องหลังของเธอเส้นผมสีทองที่ยาวสลวยพริ้วไปตามสายลมที่เขาเคยต้องสัมผัส นางฟ้าฟรานเซสก้า! นางมองเขาด้วยสายตาที่สั่นกลัวที่เขายังจำได้ดี
         "ท่านทำอย่างนี้ทำไม"
            "ข้าก็แค่ทำให้เจ้าออกมาเท่านั้นไม่มีอะไร"ดิวาทอร์กล่าวจบก็ยิ้มให้นางอย่างกวนๆฟรานเซสก้าลอยออกไปอยู่เบื่องหน้าของเข้าห่างไปพอสมควรปีกของนางสลายไปเมื่อสัมผัสพื่นดิน
         "ข้าอยากรู้นักว่าท่านต้องการพบข้าเพื่ออะไร"
            "ท่านเป็นผู้ใดละ"ดิวาทอร์กล่าวจบก็เดินเข้าไปใกล้นาง
         "นางฟ้าผู้ปกป้องดาบแห่งสวรรค์ชั้นเทียรา น้างฟ้าผู้ปกป้องแผนดินแห่งนี้ หรือเป็นนางฟ้าที่ระเริงไฟร้อนกับข้า"
            "ดิวาทอร์ท่านพูดอย่างนี้เพื่ออะไรกับข้า"
            "จะปิดไปทำไม เป็นเกียรติมากกว่ามิใช้หรือที่ได้สัมผัสเทพที่สูงกว่า"ดิวาทอร์กล่าวจบก็กอดนางเอาไว้ฟรานเซสก้ารีบออกจากอ้อมกอดนั้นพร้อมชักดาบอำพันออกมาชี้ไปที่คอของดิวาทอร์ใบหน้าของนางมีหยดน้ำตาไหลรินออกมา
         "ท่านไม่กล้าฆ่าข้าหรอกฟรานเซสก้า"ดิวาทอร์กล่าวจบก็จับดาบที่คมกริบนั้นกำเอาไว้ เลือดที่ไหลจากอุ้มมือที่กำคมดาบเอาไว้แน่นไหลรินหยดลงบนพื้นเป็นสาย
         "อย่าพระกษัตริย์"ฟรานเซสก้ากล่าวขึ้นพร้อมทั้งปล่อยดาบนั้นไป ดิวาทอร์ทิ้งดาบลงพื้นไปพร้อมมองดูมือที่รักษาตัวเองจนบาดแผลปิดสนิท ฟรานเซสก้าหันหนีออกไป
         "ท่านต้องการสิ่งใด"
            "ปิดฟ้าให้ข้า"
            "ไม่ได้ข้าทำเช่นนั้นก็หมายถึงข้าทรยศสวรรค์"
            "ใยเล่าเจ้าจะทรยศสวรรค์ สวรรค์ก็คือข้า ข้าอยู่เบื่องหน้าเจ้า และข้าสั่งเจ้า"
            "ผู้สั่งปิดฟ้าได้มีเพียงอเลทาดอสเท่านั้น ท่านต้องสั่งอเลทาดอส"
            "ไอ้บ้านั้นคุยกับข้าไม่รู้เรื่องหรอก"ดิวาทอร์ขึ้นเสียงทำให้ฟรานเซสก้าสั่นกลัว
         "เจ้ารู้ดีว่าตอนข้าโมโหเป็นเช่นไร ขึ้นไปปิดสวรรค์แล้วไม่ต้องสนใจอะไรทุกอย่างจะเรียบร้อย"ดิวาทอร์กล่าวพร้อมจูบฟรานเซสก้าเอาไว้
         "ไม่ข้ามีบาปมากพอแล้ว ข้าจะไม่ให้มีบาปมากกว่านี้อีก"
            "ฟรานเซสก้า ข้าไม่อย่ากทำอะไรเจ้าเข้าใจนะ"
            "ข้ารู้ดิวาทอร์ ท่านเกือบส่งข้าไปในความมืดตลอดกาลแล้ว ใยเล่าข้าจะเชื่อใจท่านได้อีก ท่านเปลี่ยนไปมากดิวาทอร์"
            "ข้าไม่เปลี่ยนไป"
            "แล้วจีเนรอสละ"
            "จีเนรอส..."ดิวาทอร์ทวนคำชื่อนี้วนเวียนอยู่ในหัวเขาหลายรอบจนเขาต้องปัดความคิดไป
         "ท่านมิใช่ดิวาทอร์คนเดิม"ฟรานเซสก้ากล่าวขึ้นพร้อมตวัดดาบยักพาดมาที่ดิวาทอร์ เขาชักดาบออกมาประทะเอาไว้ ฟรานเซสก้าเองก็กางปีกสู่ต้านออกมาจากวิหาร ทุกสายตาจองมองมาที่นางฟ้าฟรานเซสก้าที่สู่อยู่เบื่องหน้าดิวาทอร์ด้านพละกำลังเธอสู้เขาไม่ได้แม้แต่น้อย แต่เธอรู้ดีว่าเธอสู่เขาไม่ได้ด้วยพลังของเทพเพียงดิวาทอร์ตวัดดาบร่างเธอก็ปลิวออกมาไกล เธอรู้ว่าสู่ไปก็เหมือนเอาชีวิตมาทิ้งแต่เธอก็ต้องทำเพื่อเขา ฟรานเซสก้าพุ่งเข้าไปหวังพิฆาตแต่ดิวาทอร์รับคมดาบเอาไว้ได้พร้อมพลิกเอาดาบมาแทงสวนกลับไป คมดาบแทงทะลุท้องของฟราสเซสก้าทันที
         "ทำไมเจ้าไม่หลบ"
            "ข้าขอเพียงให้ท่านได้รู้ว่า จีเนรอสรอท่านอยู่ นางหาท่านอยู่"ฟรานเซสก้ากล่าวจบก็แตกสลายเป็นละอองแสงสว่างลอยหายไปในอากาศ ภาพของฟรานเซสก้าเลื่อนหายไปจากความคิดของดิวาทอร์ชั่วครู เขาเห็นเป็นภาพของสตรีในชุดขาวที่ริมฝีปากที่อวบอิ่มที่จูบมาที่ริมฝีปากของเขา มือของเขาจับที่ริมฝีปากอย่างลืมตัว
« Last Edit: March 01, 2006, 01:25:11 AM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #24 on: March 01, 2006, 01:54:29 AM »

ตอนที่ 24 กษัตริย์ผู้ไร้พ่ายกับสี่กษัตริย์แห่งมิดการท
         อิสฮานรู้ข่าวว่าที่วิหารฟรานเซสก้ามีเรื่องก็ถอยทัพกลับอย่างรวดเร็ว
         ยิกดราซิลเองสัมผัสได้ถึงอำนาจแห่งกษัตริย์ของดิวาทอร์ก็สั่นไหว วานาแอนที่ยื่นอยู่ข้าๆก็สัมผัสได้จากกระแสจิตของยิกดราซิล
         กองทัพของซิกมันที่ตรงมาถึงวิหารฟรานเซสก้าก็เห็นนางฟ้าฟรานเซสก้าสลายไปต่อหน้าต่อตา เกรกอรี่แทบทรุดลง เขามองมหาวิหารที่ซีดหมองพร้อมทั้งอยากลืมว่าเกิดสิ่งใดขึ้น กองทัพของอองเดรก็ตรงมาถึงพอดีทั้งสองกองทัพก็ลุมเข้าใส่เหล่าออร์คที่อยู่เบื่องหน้า แสงสว่างจากคาฑาของเกรกอรี่สว่างจ้าจนเหล่าออร์คกลัวแต่เพียงเข้าใกล้เขตของดิวาทอร์มันก็อ่อนแรงลง ดิวาทอร์ยืนนิ่งอยู่นานก็รู้ว่าทัพถูกบุกเพราะอาทิมิสชันนาริสมาสกิดกายเขา ก่อนที่เขาจะสั่งทัพต่อสู้ กองทัพต่อสู้กันอย่างดุเดือดเป็นระลอกๆอยู่หลายวัน แต่ก็ดูเหมือนจะสู่เหล่าออร์คไม่ได้เลยเพราะพอพวกมันหิวก็ฆ่ามนุษย์กินตอนนั้นเลย
         เสียงแตร์ของทัพซาโลมและเสียงกลองของทัพฟูดินันดังมาแต่ไกล ซิกมันควบม้าออกมาจากค่ายพร้อมอองเดรเห็นอิสฮานที่ขี่ม้ามากับฮาริสันทั้งสี่ก็จับมือกัน
         "ไม่ว่าอดีตเราจะเป็นยังไงแต่วันนี้ขอให้เราจับมือกันสู้ สู้เพื่อพรุ้งนี้"อองเดรกล่าวจบทุกคนก็ขึ้นม้าควบนำทัพใหญ่เข้าสนามรบ
         ดิวาทอร์นั่งอยู่บนม้านรกที่หน้ากลัวเขามองเห็นกษัตริย์ทั้งสี่ตรงมาก็ควบม้าออกไป เขาหยุดม้าเมื่อกษัตริย์ทั้งสี่อยู่เบื่องหน้า เกรกอรี่ที่อยู่เบื่องหลังมองเขาพร้อมคิดว่าเขาหน้าจะเป็นมหาซินองค์ใด อาทิมิสชันนาริสทำให้เขาคิดว่าดิวาทอร์อาจเป็นมหาซินแห่งความศักดิ์สิทย์
         "พวกเจ้าอยากได้แบบใหน"
            "แบบใหน เจ้าหมายความว่ายังไง"ซิกมันถามออกไป ดิวาทอร์เพียงแต่มองด้วยสายตาที่กวนๆพร้อมยิ้มออกมา สี่กษัตริย์ได้แต่มองอย่างงง
         "พวกเจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอกกลับไปสะ อย่าเอาชีวิตมาทิ้งเลย"ดิวาทอร์กล่าวจบเหล่ากษัตริย์ก็ชักดาบเข้าปะทะกับดิวาทอร์ เพียงแค่ดิวาทอร์ชักดาบเท่านั้นแรงลมก็พลักเหล่ากษัตริย์ทั้งสี่ตกจากม้า ทั้งสี่ล้อมดิวาทอร์เอาไว้เขาก็เพียงยืนมองกษัตริย์ทั้งสี่เอาไว้
          มหากษัตริย์ทั้งสี่ไม่ยอมย่อท้อต่อการบุกโจมตีเข้าหาดิวาทอร์ ทุกท่าทางที่ลำเรียนมาอันสะสมเป็นประสบการณ์บุกทะลวงได้เพียงแค่ห่างกายของดิวาทอร์ประมาณสองวา แน่ละว่ากษัตริย์ทั้งสี่แทบอยู่ในฐานะรุมดิวาทอร์ แต่ใยเล่าพวกเขาจึงไม่สามารถเอาชนะมหาเทพองค์นี้ได้เลย ดิวาทอร์เองก็ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนือยกับการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ
   “ข้าว่าเราเลิกเล่นกันดีกว่า” ดิวาทอร์กล่าวขึ้นพร้อมซีกยิ้มกวนๆใส่มหากษัตริย์ทั้งสี่ ดิวาทอร์กล่าวคำบางคำขึ้น  “คำตัดสินแห่งมหาเทพกษัตริย์(The decision of Devatos)” เกรกอรี่ได้ยินเข้าก็ถึงกับชงักและรีบควบม้าตรงเข้ามาอยู่เบื่องหน้ามหากษัตริย์ทั้งสี่ทันทีเขากีดกรายคาฑาออกมาเบื่องหน้า พลังที่จีเนรอสมอบให้เปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า  ดิวาทอร์เห็นแววตาของบุคคลเบื่องหน้าที่มีแววตาแห่งการเอาเป็นเอาตายกับเขา แน่ละว่ามันทำให้ดิวาทอร์เริ่มสนุกกับเรื่องนี้ขึ้นมาทันที
   ดิวาทอร์ชูฝ่ามือขึ้นแสงสว่างก็แหวกเมฆดำลงมาอยู่ในเงือมมือของเขาก่อนที่ดิวาทอร์จะตวัดแสงสว่างออกมาเบื่องหน้า ประกายแสงสว่างก่อตัวเป็นดาบเล่มใหญ่สีทองอร่ามรางๆ ‘ดวงจิตแห่งดาบของหระเจ้า’(The spirit of god’s sword)!!! มหากษัตริย์ทั้งสี่มองตาคางอยู่ที่ดาบสีทองเล่มนั้นซึ่งแพร่รังสีแห่งความตายออกมาสร้างความหวาดกลัวให้แก่บุคคลรอบข้าง

   จีเนรอสสัมผัสได้ถึงการมาของดิวาทอร์ พลันที่นางจะเดินกลับไปเรียกม้าของนาง จีเนรอสก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ลดลงอย่างมหาศาล และสัมผัสได้ถึงแสงสว่างที่ก่อขึ้นรอบกายของเธอเอง กลับเมฆสีทองที่เธอเคยสัมผัสและแสงสว่างอันอบอุ่นที่ทอดลงมายังเธอ ชุดเกราะสีดำ...สีดำที่เธอรู้จักดีแหวกออกมาจากปีกที่สยาออกปัดเอาหมู่เมฆที่ขวางทางตีฟุ่งออกด้านข้าง สุวรรณบัณลังปรากฏขึ้นสุ่สายตาพร้อมปีกนับหกหมื่นปีกที่ค่อยๆขยับ เธอรู้ว่าหมื่นปีกนั้นเคยเป็นของเธอมาก่อนและมันจะกลับมาที่เธอเมื่อถึงเวลานั้น สายใยโยงยางจากบุคคลในชุดเกราะใหญ่โตที่นั่งนิ่งสงบไม่ไหวติงนั้น ทุกเส้นส่องแสงระยิบระยับราวกับเพชรมณีที่งดงาม แต่ทุกสายหมายถึงชีวิตแห่งสวรรค์ โลกและนรกชุดเกราะที่หน้าเกรงขามสีดำไหวติงเล็กน้อยพร้อมแสงสว่างจากดวงตาทีทองคู่นั้นที่นางรู้จักดี อเลทาดอส และสถานที่แห่งนี้ นี้คือกาแลกซิริก เมืองฟ้ามหาสวรรค์ (Galexiric, the god of heaven castle)
   “จีเนรอส...”
   “อเลทาดอสท่านมีเรื่องใดมาพบข้า”
   “ข้ามาเพื่อขอแลกเปลี่ยน...”
   “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
   “ดิวาทอร์ไม่มีแม้แต่ความทรงจำกับเจ้าแล้วใยเล่าเจ้าต้องมีความทรงจำกับเขา...”
   “ท่านหมายความว่า”
              “เจ้าก็รู้ว่า...เรามีพันธสัญญากับพ่ออยู่...”
“แต่ท่านพ่อไม่รู้เห็น”
“แต่ข้ารู้เห็น! ข้าคือผู้ตัดสินคดีเทพครั้งนี้ และข้าขอความทรงจำบางส่วนของเจ้าแลกกับคาฑาของเจ้าเทพอาวุธของเจ้า”จีเนรอสได้ยินก็มองอเลทาดอสด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง นางเริ่มไม่แน่ใจว่าอเลทาดอสจะเป็นกลางอยู่หรือไม่เพราะคนที่ก่อความวุ่นวายก็คือเอกาลอสบุตรชายของเขา แต่นางก็ต้องไว้ใจเขาในเมื่อพรของเขาคือสัจจะแห่งสวรรค์ตัวแทนแห่งสุรเสียงของพระเจ้า “เจ้าก็รู้ว่าเทพอาวุธของดิวาทอร์ ดาบของพระเจ้านั้นแม้จะหักเป็นสองส่วนและหายไปจากอธิริก เร็กซิริกบันดาร แค่พลังเพียงครึ่งเดียวศาสตราวุธใดๆ ก็หาทางชนะมันได้ แต่เราไม่ต้องสู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ยอมไรความเป็นนิรันดร์ สิ่งที่จะสงบมันได้ก็มีเพียงเทพอาวุธแห่งการสร้าง คาฑาแห่งชีวิต ดาบแห่งนางฟ้า ธนูแห่งสวรรค์ โล่แห่งชัยชนะ มหาเทพอาวุธของจีเนรอสเท่านั้น(Holy Generos guard)”
“เป็นข้อเสนอที่ดี แต่-”
“ไม่มีเวลาแล้วจีเนรอส...”

   ดิวาทอร์มองดาบที่หน้าเกรงขามภายในมือ มันส่องแสงเรืองรางอยู่ในสายลม เขาค่อยๆมองมายังกลุ่มของกษัตริย์ทั้งสี่และเกรกอรี่ก่อนจะตวัดคมดาบเกิดเป็นสายลมและแสงสว่าง ทุกที่ที่ผ่านนั้นต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ก็ตายและสลายกลายเป็นเถ่าดินทันที คลื่นดาบขยายตัวเป็นเสียวพระจันกวาดวงใหญ่ออกเรื่อยๆกวาดกองทัพมหาศาลของมวลมนุษย์และออร์คที่ขวางทางอย่างงายดาย เพียงแค่การตวัดเพียงครั้งเดียวเมื่อกายของกายของมนุษย์สัมผัสก็สลายกลายเป็นเถ่าดิน
เกรกอรี่ใช้พลังของคาฑาต้านเอาไว้จนพลังของคมดาบตีวงคลื่นสลายไปเบื่องหน้าและผ่านเลยออกไป แต่เกรกอรี่ก็กระเด้นถอยมาชนกษัตริย์ทั้งสี่พร้อมสำลักโลหิตแดงฉานออกมา คาฑาของเขาแตกและสลายเป็นผุยผงต่อหน้าต่อตาของเขา อองเดรเห็นท่าไม่ดีก็คว้าร่างของเกรกอรี่ขึ้นพาดบ่าและขึ้นม้าข้างๆ อิสฮานฮาริสันและซิกมันก็รีบตรงไปที่ม้าที่ไกลที่สุดแล้วควบออกไป ดิวาทอร์เพียงมองตามโดยไม่ทำอะไรพร้อมโบกมือลาและยิ้มกวนๆส่ง

จีเนรอสตื่นขึ้นเมื่อเรจิน่ามาเข้าเฝ้า เธอมองจีเนรอสอย่างอ่อนโยนและแววตาแหางความสิ้นหวังพร้อมทั้งหยดน้ำตาก็ไหลรินลงมา
“กองข่าวจากสายลมแจ้งข่าวมาว่าทัพของกษัตริย์ทั้งสี่พ่ายแพ้ที่มหาวิหารฟรานเซสก้า มหาวิหารเองก็พังทลายและมีข่าวมาว่าฟรานเซสก้าสิ้นแล้ว”
“แล้วกษัตริย์ทั้งสี่ละ”
“ปลอดภัยค่ะ จะเดินทางมาถึงในเร็นวัน หน้าจะเป็นสิ้นเดืนหน้าค่ะ”
“แล้วกองทัพของเอกาลอสละ”
“กำลังตรงมาเช่นกันค่ะ”เรจิน่ากล่าวจบจีเนรอสก็หลีบตาลงพร้อมน้ำตา
“ข้าแต่ท่านเทพนางฟ้าดาบของข้าขอถวายให้แก่ท่าน”เรจิน่ากล่าวพร้อมคุกเข่าลงจีเนรอสก็หันมา
“เจ้ารู้ใหมว่าหน้าที่องครักษ์ของมหาราชินีแห่งเซนทิริกนี้ยิ่งใหญ่มาก”
“ท่านกล่าวราวกับมันยิ่งใหญ่กว่ายศเจ้าหญิงแห่งฟรีเลเซีย”
“เจ้าต้องผ่านการตัดสินใจจากนางฟ้าแห่งการลงฑัณและนางฟ้าแห่งความเมตตา”
“ถ้าข้าพระองค์ไม่ผ่าน-”
“นั้นก็หมายถึงชีวิตของเจ้า”จีเนรอสกล่าวจบก็เดินออกไปจากเรจิน่าสองสามก้าว
“ข้าพระองค์ขอเสี่ยง”เรจิน่ากล่าวขึ้นพร้อมแววตาแห่งความมั่นใจ จีเนรอสหันมาพร้อมสายตาอันอ่อนโยนที่มองเรจืน่าเอาไว้ เธอสัมผัสได้ทันทีว่าหญิงสาวนางนี้ในดวงจิตของนางมิได้คิดจะปกป้องจีเนรอสอย่างเดียวนางต้องการพลังที่สามารถต่อกรกับอสูรร้ายเพื่อช่วยฟรีเลเซียด้วยต่างหาก

      กองทัพของสี่อาณาจักรเดินทางมาสมทบกับกองอพยบจากที่ต่างๆ ทางซาโลมมีข่าวของการที่อิมพรีร่าถูกเหล่าไททันป่า ทางฟรีเลเชียเองก็หลีถัยทันทีที่รู้ว่าวิหารฟรานเซสก้าพินาจ อลานิก้าก็มีถูกเหล่าพรายทะเลเข้าโจมตี และฟูดินันเอง เผ่าต่างๆก็ต้องหนีตายจากการที่ผีพรายป่าเป็นกองทัพออกอาละวาดฆ่าผู้คน
วานาแอนที่ออกมาจากรถม้าสายตาของเธอก็รีบมองหาอิสฮาน สายตาของตาก็ได้พบชายเบื่องหน้าที่หมอมแมมแต่เธอก็รีบวิ่งเข้ากอดคออิสฮานเอาไว้แนบแน่น
« Last Edit: June 17, 2006, 02:15:03 AM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #25 on: June 17, 2006, 06:18:47 AM »

ตอนที่ 25 การหายตัวของเทพาราชินี
   จีเนรอสเดินออกมาที่ระเบียงราชวังที่ทอดยาวยื่นออกไปนางมองดูกองทัพและประชาชนของสี่อาณาจักรที่เดินทางมาเต็มทุ่งอิเรนการทห่างจากกำแพงเมืองหลวงราวๆแปดไมล์ซึงเป็นเหมือนกับแผ่นของราดำที่ขึ้นบนขนมปัง นางก็เดินตรงไปที่ม้าของนางทันที
   เกรกอรี่มองดูท้องทุ่งห่งเซนทิริกที่เป็นสีน้ำตาลราวกับความแห้งแล้งกำลังเข้ามายังมหาอาณาจักรแห่งนี้ ก่อนที่มองตรงมาขังประตูเมืดงที่เป็นออกช้าๆพร้อมสตรีที่อยู่ในชุดขาวถือคาฑาที่เขารู้จักดี “คาฑานางฟ้าปกป้อง” มันถูกเรียกในพระคัมภีร์ของเขา แสงสว่างจากคาฑาเปล่งแสงสว่างอันอบอุ่นไปยังทหารที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่องแสงสว่างจางลงเกรกอรี่ก็คุกเข่าลงทำความเคารพ กษัตริย์ทั้งสี่เห็นดังนั้นก็ทำความเคารพพร้อมกองทัพทั้งหมด
   “พวกเจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ ท่านคือมหาเทพจากกาแล็คซิริก”เกรกอรี่พูดดังนั้นกษัตริย์และปวงประชาก็คุกเข่าลง
   “ข้าจำท่านได้”แฮริสันกล่าวขึ้นแต่เขาได้เพียงรอยยิ้มที่อ่อนหวานตอบกลับมา ทุกสายตาหันไปมองเรจิน่าที่ควบม้าตามจีเนรอสมา นางอยู่ในชุดสีเขียวสดใสกับดาบสีทองเล่มใหม่นั้น ชุดนักรบนั้นสวยงามสมกับเธอเธอเป็นองครักษ์ของจีเนรอสแล้ว (Regina, the Generos’s follower)
   “ท่านพี่!”
   “ซิกมันด์”เรจิน่าก้าวลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งวิ่งเข้ากอดน้องชายเอาไว้ นางจับใบหน้าของน้องชายเอาไว้แนบแน่นราวกับว่ากลัวเสียเขาไป จีเนรอสลงจากหลังกษัตริย์แห่งอาชาเดินตรงมาที่เกรกอรี่สายตาของนางตรงผ่านไปที่กองทหารที่บาดเจ็บ เพียงนางชูคาฑาขึ้นแสงสว่างก็สาดส่องไปทั่วมหานคร เพียงเท่านั้นแม้หนูตายยังฟื้นชีพ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บอาการก็ดีขึ้น
   “ขอให้พระเมตตาของพระองค์โปรดคุ้มภัยในครั้งนี้”
   “เกรกอรี่ เกิดสิ่งใดขึ้น”จีเนรอสมองลงมาที่เกรกอรี่ด้วยสายตาแห่งความเศร้า
   “ขุนพลแห่งเอกาลอสทรงพลังนัก พวกมันกำลังรวมพลกับด้านตะวันออกเพื่อตรงมายังเซนทิริก มิเนทาริก”
   “เราจะคุยกันต่อที่ท้องพระโรง”จีเนรอสกล่าวขึ้นก่อนจะก้าวถอยหลังหมุนตัวไปยังม้าสีขาวที่อยู่เบื่องหลัง เรจิน่าเห็นจีเนรอสขึ้นขี่ม้านางก็แยกจากน้องชายตรงไปที่ม้าเช่นกัน “เซนทิริก มิเนทาริกยินดีต้อนรับปวงประชาแห่งมิดการท ฉันได้ให้เจ้ากรมราชวังจัดสรรที่พักไว้ให้พวกท่านแล้ว ส่วนกองทหารให้ติดตามไปที่ลานเทพปฏิญาณ (Loyal of royal god field) หลังกำแพงพระราชฐานชั้นแรก (The government castle, the first state of Senthiric menetharic) ข้าหวังว่าพวกท่านจะสามารถอยู่ที่นี้ได้ดังเช่นบ้านเกิดของท่าน”จีเนรอสกล่าวจบก็ควบม้าตรงกลับไปยังปราสาทที่ไกลสุดลูกหูลูกตาของทุกคน ดาบใหญ่ยักษ์(Alexandamenegus Nos de Temus dominatus)ที่เด่นตะหง่าแต่ไกลก็ส่องแสงสวยงามลงมายังอาณาจักรราวกับเป็นการตอนรับปวงประชาจากที่ต่างๆ

   ดิวาทอร์เดินย่ำอยู่ที่พื้นหญ้าเขียวขจีของฟรีเลเซีย ที่นี้รกร้างและไร้ผู้คน เพราะผู้คนต่างหลบหลี้หนีไปยังเซนทิริกเสียแล้ว ทุ่งข้าวเขียวขจีเบื่องหน้าของเขาและสัตว์ทีถูกปล่อยไว้เป็นอาหารอันโอชะของพวกออร์คที่หน้าขยะแขยง เขามองไปยังพื่นทะเลทรายเบื่องหน้าที่อยู่ถัดจากทุ่งหญ้าเขียวแก่ที่ลดหลั่นความอุดมสมบูรณืไปยังดินแดนที่ถูกสาป แต่สายตาของเขาไม่ได้ตรงมาที่ซาโลม สายตาของดิวาทอร์ตรงไปยังเซนทิริก มิเนทาริก
   ดิวาทอร์สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นและไออุ่นที่มาจากที่แห่งนั้น เขาขยับริมผีปากอย่างใคร่หาแต่แล้วความรู้สึกนั้นก็จืดจางหายไป  ฟรานเซสก้า... นางพูดถึงเรื่องอะไร มีอะไรสักอย่างที่นางอยากให้เขารู้ แต่สิ่งนั้นสวรรค์และนรกจงใจปิดบังเอาไว้เพราะอะไร เขาต้องรู้ให้ได้  พลันเขาก็คิดได้ว่าเขาเพิ่งเริ่มมีความคิดก็วันนี้ ไม่คิดว่าเขาจะคิดอะไรมากมายจากคำพูดของนางฟ้าที่เขาได้ปลิดชีพไป แต่มันก็ทำให้เขาคิดถึงวันข้างหน้า
   นกแห่งความตาย (Bazina, the dead bird) บินมาบอกแผนใหม่ของเขา “ปิดล้อมเซนทิริก มิเนทาริกแล้วทำลายปราการดาบสวรรค์เสีย!”
   
   จีเนรอสนั้งอยู่บนบัญลังค์แห่งเซนทิริกที่สวยงาม เมื่อเกรกอรี่เข้ามาพร้อมกษัตริย์และราชวงษ์ของสี่อาณาจักร ทุกคนต่างแปลกใจว่าเธอเป็นกษัตริย์แห่งอธิริกเหตุใดจึงประทับอยู่บนบัณลังค์แห่งเซนทิริก เหล่ากษัตริย์ที่หยิ่งในเกียรติของตนก็ไม่ทำความเคารพที่ราวกับเถิอดบูชาของเกรกอรี่ แต่เธอก็ไม่ตอบรับอันใด
  "พวกเจ้ารู้ใหมว่าทำไม เซนทิริก มิเนทาริกถึงเป็นมหานครแห่งกษัตริย์"เกรกอรี่หันกลับไปยังเหล่าเชื้อพระวงศ์เบื่องหลัง เรจิน่ามองน้องชายพร้อมแสดงความแปลกใจออกทางสีหน้าและสายตาที่ทำให้เธอเข้าใจได้เป็นอันดีว่ากษัตริย์ยอมไม่คุกเข่าให้ใคร แน่ละว่าทุกคนหน้าแดงด้วยความโกรธที่เกรกอรี่มาบอกว่าเธอเป็นมหาเทพอะไรบ้าๆนั้น แต่อยู่บนบัณลัญของมหานครห้องห้ามแห่งนี้ ถ้าจะให้คุกเข่าเคารพกษัตริย์ด้วยกันไม่มีทางอยู่แล้ว เพราะการทำเช่นนั้นหมายความว่าประเทศของตนไปอยู่ใต้ร่มเงาดาบแห่งเซนทิรืก "เพราะอาณาจักรแห่งนี้อาณาจักรแห่งนี้ได้รับพระบัญชาให้เทพมือซ้ายและมือขวาของพระเจ้าเป็นราชาและราชินี"เกรกอรี่กล่าวจบอิสฮานก็คุกเข่าลงทันที ก่อนที่กษัตริย์องค์อื่นๆจะค่อยคุกเข่าลง
  "ท่านพูดเกินไปเกรกอรี่ เพราะที่นี้เพียงได้รับเลือกให้เป็นประตูสู่สวรรค์เท่านั้น และที่นี้มีกษัตริย์ถึงเก้าพระองค์หากไม่รวมเทพกษัตริย์"จีเนรอสกล่าวจบก็ยิ้มส่งมาให้ทุกคน"แล้วเรื่องที่เกิดขึ้น-"
    "พวกข้าได้ปะทะกับแม่ทัพคนหนึ่งของเอกาลอส เขาทรงพลังอีกทั้งยังใช้พลังของสวรรค์ได้ เกรงว่ามหาซินแห่งความศักดิ์สิทย์เป็นผู้คุมทัพเอง"
    "ถ้าเช่นนั้น ใยท่านจะจัดการมิได้ พลังของคาฑาท่านชนะทุกสิ่งที่มาจากมหาซิน นั้นคือพรที่ข้าให้ไว้"จีเนรอสลุกขึ้นเดินลงมาจากบัณลัญทำให้เรจิน่าเดินเข้ามาข้างๆนาง จีเนรอสรายเรียกคาฑาที่นางเคยใช้ตอนต้านศึกกับแอนดิซอง และต้านศึกที่วิหารฟรานเซสก้าออกมา
  "ข้าให้ท่านไว้"
    "แต่..."
    "ยังงัยท่านก็เป็นนักบุญในตอนนี้ถือว่าเป็นพระพรแห่งเทพ ให้ท่านเป็นผู้นำพาแห่งสว่างไปในแดนที่ห่างไกล ด้วยพลังแห่งข้า นักบุญของข้า(Gregory, the generos religion phophet)"จีเนรอสกล่าจบเกรกอรี่ก็รับคาฑาไป"ถ้าเขามีพลังเช่นนั้นจริงข้าก็ไม่อาจเดาได้ว่าเขาเป็นผู้ใด หรือว่าเอกาลอสออกมาแล้ว"
    "เอกาลอสหรือ"
    "คงไม่ใช่เพราะข้าสัมผัสไม่ได้ถึงพลังของเขา" จีเนรอสเดินวนไปวนมา"ข้าหวังให้พวกท่านพักที่นี้อย่างสุขสบาย ส่วนเรื่องทางนั้นเดี๋ยวทางเราขอสืบให้แน่ชัดว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ยังไงทางนั้นก็มาในรูปศึกกับเราอยู่แล้ว พระปราสาทตอนต้นข้าขอยกให้พวกท่านใช้พักและจัดการเกี่ยวกับกองทัพของท่าน ที่ขอบเขตนั้นมีตำหนักมายมาย อีกทั้งลานกว้างเพียงพอกับกองทัพของท่าน"
     "แต่องค์ราชินีค่ะ ให้พวกเขาเข้ามาในขอบเขตราชฐานชั้นแรกเกรงว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกำแพงราชฐานชั้นฟ้าจะต้านทานมิได้"เรจิน่ากล่าวขึ้นด้วยความไม่เชื่อใจแม้กระทั้งซิกมัน
    "ไม่เป็นไรหรอกเรจิน่า การทำกษัตนประหารไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ ไม่มีดาบเล่มใดที่ได้พระบัญชาของกษัตริย์ให้ทำราชินประหารได้หรอก อีกทั้งถ้าทำเช่นนั้นเทพก็ไม่ตอนรับสู่พระบัณลังหรอกนะ"จีเนรอสกล่าวจบนางก็สังเกตเห็นสีหน้าโล่ใจของเรจิน่าเล็กน้อยก่อนนางจะหันมาที่เหล่ากษัตริย์"เอาเถอะท่านก็จัดการเรื่องที่พักให้ดี เตรียมทัพของท่านให้พร้อมหากแม้วันหน้าเซนทิริกก็หวังพึ่งกองทัพของพวกท่านเช่นกัน"จีเนรอสกล่าวจบก็เดินออกไปทางราชฐานชั้นใน

    เกรกอรี่เดินนำหน้าเหล่ากษัตริย์ลงมาจากพระราชฐานชั้นฟ้า เหล่ากษัตริย์แทบวิ่งตามเพราะเขาแทบก้าวลงทีละสองสามขั้น
    "เกรกอรี่ นางไม่กลัวพวกเราฆ่านางเลยเหรอให้พวกเรานำทัพผ่านกำแพงปราสาทใหญ่มาเช่นนี้ แบบว่ายึดอำนาจเซนทิริก มิเนทาริก"อิสฮานกล่าวจบเกรกอรี่ก็หันมาพร้อมตีหัวเขาด้วยคาฑาเบาๆ
    "เจ้าโง่ก่อนที่เจ้าจะถึงตัวนางเจ้าก็ถูกเทพีลิบรามีเชือดคอก่อนนะสิ"
      "ท่านจะไม่เล่าเรื่องอาญาจักรต้องหามนี้ให้พวกเราฟังหน่อยเหรอเกรกอรี่ ไอ้ประตูวายุที่แสนดุร้ายแล้วก็อาญาจักรที่รุ่งเรื่อง แล้วไอ้เส้าที่มีไฟนั้นก็อีกอย่าง เหล็กวิ่งได้อะไรมากมายที่นี้มันต่างกับเมืองเรามากมาย"ซิกมันกล่าขึ้นด้วยความอยากรู้
    "เจ้าจะรู้ไปทำไม จะก่อกบฏเหรอ"เกรกอรี่พูดพร้อมมองไปในแววตาของอิสฮาน อองเดร เฮริสัน ซิกมัน และ วานาแอน ก่อนจะก้าวเดินต่อไป การทำกษัตรยประหารนั้นมีสามทาง คือแบบแรก การประหารกษัตริย์ซึ่งกษัตริย์ผู้นั้นไร้ซึ่งความสามารถต้องใช้ดาบกษัตริย์พิพัฒสิ้น (Emperless sword) ใช้ประหารกษัตริย์พวงโง่ งอย และไร้ประสิทธิภาพ ทางที่สองคือการฆ่าโดยกษัตริย์ผู้นั้นแพ้จากการสู้รบ ไม่ใช่สิข้าข้ามขั้นไป ทางที่สองคือการก่อกบฏ ต้องใช่ดาบกบฏมหาราชกษัตริย์ (Againster emperal sword) ส่วนถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์เช่นกันแต่สู้จนได้ชัยเจ้าต้องใช้ดาบสุดท้าย ดาบกษัตรยประหาร (Emperal sword) ดาบเหล่านี้มีข้อแม้อยู่ว่าปรหารได้เพียงกษัตริย์เท่านั้น และต้องทำในเขตบัณลัญแห่งสวรรค์เท่านั้น ซึ่งก็คือประหารเพียงกษัตริย์จากพระราชฐานชั้นฟ้า จะใช้กับกษัตริย์ในช่วงชั้นต่ำกว่ามิได้"
     "ท่านหมายความว่าประหารได้เพียงกษัตริย์เท่านั้น มิใช้พระราชินีและต้องเป็นผู้นั้นบนบัณลังเมื่อกี้นี้นะเหรอ"วานาแอนถามอย่างสงสัย"แล้วบัญลังต่ำลงมาเก้าบัณลัญมีไว้ทำอะไรเหรอท่าน"
     "แต่ละบัณลัญมีหน้ามีย่อยๆลงไป บัณลัญที่อยู่สูงกว่าก็จะมีอำนาจมากว่าบัณลัญที่อยู่ต่ำลงมา"เกรกอรี่อยู่หายใจแล้วก็มองกลับมาอีกครั้ง"นั้นแหละที่ทำให้มหานครแห่งนี้มีชื่อว่ามหานครแห่งกษัตริย์เพราะมีกษัตริย์ปกครองถึงเก้าพระองค์และเทพอีกหนึ่งองค์"
     "แล้วที่ว่านางไม่กลัวเราหมายความว่าอะไรเหรอท่าน ที่ว่านางไม่กลัวเราก่อกบฏ"
     "ดาบสามเล่มคือคำผ่านทางแก่เทพปกป้องบัณลัญทั้งสอง แต่มันใช้กับกษัตริย์เท่านั้นถ้าหยิบดาบผิดเล่มหรือฆ่าผิดคนและก็ พวกเจ้าเอ๋ย โดยลิบามีเป่าไปก่อนแล้ว"
     "นั้นก็หมายความว่า"แฮริสันพูดแทรกเข้ามา"อาณาจักรแห่งนี้ผู้กครองต้องถูกสวรรค์เลือกเท่านั้น"
     "ใช่แต่ตอนนี้ที่นี้กำลังล่มสลาย สามหมื่นปีแห่งอาณาจักรกษัตริย์กว่าแสนพระองค์ ฆ่าฟันกันเพื่อแย้งราชบัณลัญแห่งนี้ ต้องหาผู้สืบเชื่อสายกันโดยมีราโอล่าเป็นผู้ปกป้องพระบัณลัญ ต้อนนี้คือรอดิวาทอร์เทพผู้ก่อตั้งกลับมาที่อาณาจักรแห่งนี้อีกครั้ง"
     "แล้วที่จีเนรอส"ออกเดรเปิดปากขึ้นบางแต่เกรกอรี่ก็ขกมือขึ้นปิดปากเขา
   "นางเป็นกษัตริย์แห่งอธิริก ซึ่งตรงนี้แหละที่พันธสัญญากว่าสามหมื่นปีระบุเอาไว้อย่าชัดเจน กษัตริย์ผู้ก่อตั้งเซนทิริกได้อ้างถึงพระอำนาจของอธิริกเอาไว้ว่า กษัตริย์แห่งอธิริกสามารถอ้างสิทธิแห่งราชินีแห่งเซนทิรืก"เกรกอรี่กล่าวจบก็เดินนำไปเรื่อยๆ

    จีเนรอสอยู่ที่ระเบียงวังหน้าท้องพระโรง นามองออกไปยังพื่นแผ่นดินเบื่องหน้า นครแห่งนี้ความรุ่งเรื่องที่ปิดกันแต่ไม่เคยหยุดนิ่ง นางรู้ว่าเกรกอรี่เล่าสิ่งใดไปบ้างก่อนจะได้ยินเสียงเรจิน่าเดินมา
    "เรจิน่า เจ้าจงอยู่ที่นี้"จีเนรอสกล่าวจบก็มองกลับมาด้วยสายตาอ่อนโยน"อยู่และกันไม่ให้ใครรู้ว่าข้าไม่อยู่"จีเนรอสกล่าวจบนางก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาเรจิน่า เรจิน่าวิ่งมาทีระเบียงวังแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากกลุ่มเมฆสีขาวที่ก่อตัวเป็นนกสีทองกางปีกที่มีประกายระยิบระยับบินออกไป
    "โคทาลัส (Kotaluss) ปักษาแห่งมนต์อสูร"เรจิน่ากล่าวจบก็มองโคทาลัสบินออกไปจนพ้นขอบฟ้าที่เซนทิริกจะมองเห็นได้ นางคุ่มคิดอยู่ว่าจีเนรอสต้องการให้นางทำอะไรก่อนจาไป นางจะไปที่ใหน นางคิดจะทำอะไร เรจิน่าตามนางไม่ทันแล้ว

    รุ่งเกรกอรี่ควบม้าขึ้นมาหวังจะมาปรึกษากับจีเนรอสเข้าก็พบว่า รจิน่ายืนอยู่หน้าท้องพระโรง นางกำลังสังบางอย่างกับสาวใช้อยู่
    "ท่านมาทำไมเกรกอรี่"เรจิน่าถามออกไปอย่ารวดเร็วและเรียบนิ่ง นางอดกลัวจะทำแผนของจีเนรอสแตกมิได้
    "ข้าอยากเข้าเฝ้าจีเนรอส เพื่อถามในหลายๆอย่าง"
      "พระองค์ไม่รับการเข้าเฝ้า"เรจิน่าเอ่ยขึ้นเกรกอรี่ก็มองมาที่เธอด้วยสายตาที่สงสัย"พระองค์บอกว่ากำลังสืบเรื่องแม่ทัพของเอกาลอสอยู่ ไม่ต้องการให้ผู้ใดมารวบกวนแม้แต่ข้า พระองค์กำลังปรึกษากับเหล่าเทพอยู่"เรจิน่าโกหกอีกแล้ว และดูเหมือนเกรกอรี่จะไม่เชื่อนาง เพราะดูเหมือนนางโกหกได้ไม่เนียรเลย
    "ก็ได้บอกนางว่าข้ามาเข้าเฝ้า แล้วข้าจะมาใหม่"
      "ถ้ายังงัยท่านรอให้นางเรียกพบจะดีว่า"เรจิน่ารีบขัดเอาไว้
    "ได้"เกรกอรี่กล่าวพร้อมมองมาทางเรจิน่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะควบม้าลงไป เรจิน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ
« Last Edit: June 19, 2006, 04:05:38 AM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #26 on: June 19, 2006, 04:31:07 AM »

ตอนที่ 26 เปิดตัวนางรำแห่งสวรรค์
    แสงจันทร์สีเงินทอดแสงนวลสาดส่องลงบนพื้นน้ำกลางป่าที่แสนลึกลับ ที่แห่งนี้มองดูวังเวงสนทยาแต่สวยงามไปในตัว ดอกไม้ที่บานยามค่ำคืนันแปลกตา หมอกอายเย็นที่แสนงามระยิบระยับราวกับดาวบนฟากฟ้า
    จีเนรอส นางเดินอยู่บนพื้นน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทุกย่างก้าวของนางทำให้สายน้ำตีวงคลื่นน้อยๆออกไปกระทบฝั่ง
    "เหล่านางฟ้าผู้พิทักษ์ของข้า ด้วยวาจาของข้า ข้าขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า"จีเนรอสกล่าวจบขอบเขตสวรรค์ก็ปรากฎขึ้นเบื่องใต้สาดส่องแสงสว่างลบเลือนทุกอย่าง
    เมื่อแสงสว่างจางลงพร้อมหมอกควันชุดขาวยาวสลวยของจีเนรอสก็เปลี่ยนเป็นชุดบางสีชมพูแนบเนื่อที่ปกปิดเรือนร่างเพียงเล็กน้อย ผ้ายาวพริวไปตามสายลมแววตาของนางเปล่งประกาย ริมฝีปากแต่งแต้มสีชมพูสดใส ต่างหูเพชรห้อยระย้าที่สันตามความเคลื่อนไหว กระโปรงบางสั้นจนเห็นยาวเรียวยาวสมสวนของเธอ สาวงามอีกหกคนปรากฎกายขึ้นขนาบข้างๆเธอเอาไว้แต่ชุดไม่โดดเด่นเท่าเธอนัก

    กองทัพซาโลมซึ่งตั้งค่ายปะทะเหล่าออร์คอยู่ที่ชายทะเลทรายเพื่อเป็นกองหลังขณะที่ซาโลมเดินทางเข้าเซนทิรืก มิเนทาริก แต่พวกเขากลับใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสลักขโมยของชาวบ้าน และสัตยว์เลี้ยงที่มิได้เอาได้วยมาย่างกินและจัดงานฉลองอย่างสนุกสนาน งานรื่นเริงของเล่าทหารที่เฮฮ่าปารตี้อย่างไม่หยุดหย่อย ก่อนที่ทุกสายตาจะมองตามสาวงามทั้งเจ็ดคนที่ลอยข้ามกำแพงหินเป็นสายพื้นผ้าพริวตามสายลมพร้อมท่าทางที่อ่อนหวาน พวกนางหยุดที่เวทีเบื่องหน้ามองทหารที่หิวกระหายที่มองพวกนางตาเป็นมันและถึงกับจองมอง
    "แดท่านทั้งหลายข้าเทพีแห่งนางรำเมรีเรี่ยน (Marerian, the angel of dancing) ผ่านมาทางนี้เห็นพวกท่านมีงานรื่นเริง ขอเต้นรำให้พวกท่านหนึ่งเพลง"เมรีเรี่ยนกล่าวจบพวกทหารก็ยังคงตาค้างกันอยู่ จองมองอย่างตาไม่กระพริบ"หวังว่าพวกท่านคงไม่รังเกรียจ"มารีเรี่ยนกล่าวยำอีกครั้ง
    "เอาสินางรำน้อยๆ"เสียงของทหารคนหนึ่งกล่าวขึ้น มารีเรี่ยนก็ยิ้มออกมา ก่อนที่พวกนางจะตั้งท่าเต้นเพลงแรก ท้องฟ้าก็เบิกออกให้เหล่านางฟ้าแห่งเสียงเพลงบรรเลงเพลงสวรรค์ลงมา
    มารีเรี่ยนและเหล่านางฟ้าอีกหกองค์ก็เต้นตามจังหวะเสียงเพลงที่ดุเดือด สบัดกระจุยกระจายบนเวทีนั้น สร้างความสนุกสนานให้แก่เหล่าทหารทั้งค่าย ที่มองดูพวกนางอยางตาไม่กระพริบ บางก็แอบเข้าไปใกล้ๆเพื่อให้เห็นขาเรียวงามของพวกนาง มารีเรี่ยนเต้นอยู่กลางวงนางมีแสงสีแห่งสวรรค์สาดส่องลงมากระทบชุดสีชมพูงดงามของนางทำให้ตกเป็นเป้าสายตามากที่สุด การสบัดของพวกนางทำให้ผ้าที่ยาวเนเมตรๆที่ปลิวชายจากแขนของพวกเธอลอยขึ้นมาราวกับเต้นรำตามไปด้วย
    เสียงดนตรีสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทะเลทรายซึ่งเหล่าออร์คที่อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นก็ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พลันหัวหน้าออร์คตนหนึ่งก็สั่งบุก เพราะพวกมันเห็นว่าพวกทหารมัวแต่เคลิมไปกับการแสดงบางอย่างอยู่ แลมันก็มีแสงสีจากสวรรค์สะด้วยสิ
     จ่าฝูงของออร์คกวักมือให้เหล่าทหารล้อมค่ายเอาไว้พร้อมปีนกำแพงขึ้นไปอย่างเงียบๆ กว่าคนในค่ายจะรู้ตัวพวกมันก็ขึ้นมาเต็นกำแพงสะแล้ว เหล่าทหารเห็นพวกมันก็ลุกพรวดพราดคว้าหาดาบหาอาวุธแทบไม่ทัน มารีเรี่ยนและนางรำคนอื่นๆก็ลอยขึ้นฟ้าแต่ช้าไปถูกพวกออร์คคว้าลงมาได้ทันสะก่อน เพียงช่วงนาทีเดียวทุกคนก็ถูกจับมัดรวมกันไว้กลางค่าย
     พวกออร์คเดินวนไปวนเดินมาน้าพวกทหารที่นั้งมองอยู่อย่างกลัวๆ มันหันมามองพร้อมแสยะเขี้ยวใส่ก่อนจะตวัดสายตามองมาที่พวกของมารีเรี่ยน
     "ส่งพวกทหารไปกองเสบียง ส่วนพวกนางจี้งหรีดพวกนี้ส่งไปให้ท่านนาเฟียร"เสียงพวกทหารฮือขึ้นเมื่อรู้ว่าตนจะได้ไปกองเสบียง ส่วนพวกมารีเรี่ยนก็ถูกจัยลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

     ภายในค่ายของมหาซินแห่งจิตใจถูกตกแต่งไว้อย่างวิจิตรสวยงามราวกับเป็นเรือนพักของสตรี ทุกคนถูกต้อนให้ไปอยู้เบื่องหน้าบัณลัญของนาเฟียรซึ่งเขากำลังเคียวไม้หอมของพวกเอลอย่างหวานปาก สายตาของเขามองตรงมายังนางรำที่มองตอบเขาอย่าแข็งขึงต่ออำนาจของเขา
     นาเฟียรถอดถุงมือเดินเข้ามาใกล้ๆกับมารีเร่ยนก่อนจะเชยคางของนางขึ้นดทุกอญูผิวพรรณของนางและความงามไร้ที่ติ
     "ข้าชอบปากเจ้า แต่ข้าเกลียดตาเจ้า แววตาของเจ้ามันแปลกตาไม่เหมือนพวกเทพ เหมือนข้าเคยเห็นที่ใหน"มหาขุนพลซินกล่าวจบก็พลักคางนางไปไกลๆ"สวยดีแต่พวกนางไม่มีเลือดที่ข้าต้องการ ข้าต้องการเลือดของมนุษย์ ไม่ใช้เทพพวกนี้!"มหาซินตวาดออกไปอีกครั้งทำให้พวกออร์คสดุ้งโหยงตามเสียงอันบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์
      "แต่ก็ดีใหนๆพวกนางก็มาแล้ว ค่ายเราขาดความเรินเริงมานานก็ให้มีบ้างคงไม่เสียหายอะไร"นาเฟียรกล่าวจบก็เดินกลับไปนั้งที่บัณลัญ"คืนนี้ให้พวกนางโชว์ฝีมือ ถ้าดีข้าจะส่งพวกนางไปรำให้เทพกษัตริย์ชม"นาเฟียรกล่าวจบก็ตวัดมือออกไป พวกออร์คก็คว้าร่างของพวกมารีเรี่ยนออกไป
      พวกออร์ควิ่งวุ้นเพื่อเตรียมสถานที่แห่งความรื่นเริง ก่อนจะลากพวกนางขึ้นเวทีที่สร้างจากหินหยาบๆ
      เต้น! เต้น! เต้น! เสียงพวกออร์คโอ่ร้องออกมาด้วยความป่าเถื่อน เหล่าสาวงามมองลงมาที่ขาซึ่งถูกลามเอาไว้
      "ถอดบวงโซ่พวกเจ้าก่อนสิพวกโง่!"นางฟ้าตนหนึ่งตะโกนออกมา นาเฟียรก็ลุกขึ้นจากบัณลัญร่ายเวชกักขังพวกนางเอาไว้
      "ถอดบ่วงโซ่ให้พวกนาง"นาเฟียรกล่าวจบก็นั่งลงมองพวกออร์คที่เดินไปถอดบ่วงโซ่อย่างงุ่มง่าม
      มารีเรี่ยนร่ายเวชเบิกฟ้าขอเสียงเพลงและแสงสีจากสวรรค์ พลันมนต์ตารากฎต่อสายตาของนาเฟียรก็ทำให้เขาลุกขึ้นพร้อมมองดูอย่างไม่ไว้ใจ ทั้งเกรงว่าพวกนางจะมีลูกไม้สร้างความหายนะ แต่เมื่อพวกนางรำตามเสียงเพลงที่ทำให้พวกออร์คเคลิบเคลิม และนาเฟียรที่คิดลอยไกลไปถึงสวรรค์
      เสียงดนตรีจบลงเมื่อพวกนางจบด้วยท่าเต้นที่เร่าร้อน ความเงียบเข้ามาครอมงำชั่วครูก่อนจะตามมาด้วยการตบมือและเรียกร้องของพวกออร์คอีกครั้งฉุดให้นาเฟียรออกจากฝันลมๆแล้งๆที่ลอยอยู่
      "พอ!"นาเฟียรลั่นวาจาหยุดความป่าเถื่อนเหล่านี้เพียงครั้งเดียว ทุกเสียงก็เงียบไป"พวกนางต้องเดินทางในวันพรุ้ง จงเตรียมตัวให้พร้อมเจ้าจะได้รำอยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจจากสวรรค์"
        การเดินทางผ่านทะเลทรายจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกก่อนทัพใหญ่เป็นเรื่องอันตรายที่เสียงต่อการถูกโจมตี เพราะต้องผ่านประตูใหญ่แห่งเซนทิริกนั้นก็คือกำแพงวายุและสันเขาแห่งสวรรค์ แต่ถ้าหากไม่ไปยุ่งกับมัน ประตูนั้นก็เป็นเพียงสายลมหมุนธรรมดา
      เมรีเรี่ยนมองพระอาทิตย์ที่อยู่ตรงหัวส่องแสงทะลุม่านหมอกเมฆสีเทาเล็กน้อย นางนั้งอยู่บนรถม้านรกที่วิ่งเร็วจี๋ไปยังค่ายใหญ่ของพวกออร์คนางฟ้าตนหนึ่งแอบเข้ามาได้อย่างหวุดหวิดผู้คุมจะรู้ว่าพวกนางหายหนึ่งคน นางส่งสายตามาบอกว่าทหารที่ถูกจับไปนั้นได้รับการช่วยเหลือแล้ว มานรกตัวนี้วิ่งอยู่หลายวันหลายคืนติดต่อกันแต่มันเหมือนไม่เหน็ดเหนื่อยกับกิจที่ได้ทำ ความเร็วที่วิ่งเหนือสายลมเสียอีกเพียงสามวันสี่คืนเท่านั้นนางก็รู้ว่าเข้าใกล้กองทัพของพวกออร์คขึ้นทุกที หากเดินทางปกติคงใช้เวลาเป็นเดือนๆแต่มันก็ช้ากว่ากษัตริย์แห่งอาชาของเธออยู่แล้ว และที่สำคัญนั้นที่มีชายชื่อว่าเทพกษัตริย์ เขาเป็นผู้ใด ชื่อนั้นลอยวนไปวนมาอยู่หลายต่อหลายรอบในหัวของเธอ
      เมื่อเดินทางมาถึงเขตค่ายพวกนางก็ถูกต้อนลงมาจากรถม้า เพราะว่าพวกออร์คเกรงในอำนาจของเทพกษัตริย์กลัวว่าการผิดคำสั่งพาพวกนางฟ้าที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้จะทำให้ถูกแขวนคอตายไปสะก่อน
      เมริเรี่ยนเดินผ่านทะเลทรายอันร้อนระอุผ่านแนวร่างมนุษย์ที่จับแผ่ร่างกับไม้ตากแห้งไว้อย่างน่าสอิดสเอียนกลิ้นเนื้อมนุษย์ตากแห้งที่ทำให้พวกนางแทบจะคายอาหารที่กินเข้าไป เมื่อผ่านกำแพงค่ายเข้าไปภายในแล้วยังต้องเดินทางไปอีกไกลพอควรเพื่อไปที่ห้องกักขังที่อยู่ท้ายค่าย
      เมรีเรี่ยนเดินทางไปเรื่อยๆ นางดื่มน้ำหยดสุดท้ายไปแล้วเพื่อดันอาหารที่กินเอาไว้ไม่ให้ไหลย้อนกลับมาแต่ไม่มีอะไรรุนแรงเท่านางรู้สึกถึงพลังจีเนรอสลดลงอย่างรวดเร็ว ใช้นางอยู่ในร่างนี้ยิ่งนานก็ยิ่งใช้พลังมาก เวลาของนางก็จะสันลงมาเรื่อยๆทุกที ก่อนที่เข่าของเธอจะรู้สึกอ่อนแรงทรุดลงบนพื่นดิน สายตาที่เลือนรางมองเห็นชุดเกราะสีดำ
      ชายหนุ่มร่างกายกำยำไหล่กว้างผิวสีคล้ำด้วยแสงแดนที่แผดเผาในชุดเกราะสีดำกับดาบเล่มใหญ่ยักที่พาดอยู่ที่หลังของเขา ใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างคมคายและผมที่ตัดสันเข้ารูปสมใบหน้าคมเข็มนั้น เขาอยู่บนม้าที่ดุร้ายและมีบุคคลที่ควบม้าติดตามมาสามสีคน ขณะที่ควบออกห่างไปได้ไม่ไกลจากเธอ เขาก็ควบกลับมา
      "เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า"ชายหนุ่มถามขึ้นเมรีเรี่ยนก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาสีน้ำข้าวที่แฝงประการแสงแห่งสวรรค์กระทบกับแววตาสีทองอร่ามของเขา เพียงช่วงเวลานั้นราวกับหัวใจหยุดเต้น
      "ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ"เธอตอบออกไป เขาจึงยิ้มกวนๆมาที่เธอ
      "พวกนางเป็นใคร"ดิวาทอร์หันหน้าไปถามออร์คผู้คุมที่ยืนหน้าซีดเป็นหนังกบ เขาเอียงคอเล็กน้อยและมองด้วยแววตาที่ทำให้ออร์คต้นนั้นเป็นได้แค่เพียงฝุ่นผงใต้ฝาเท้าของเขา
      "คงดีนี้"ชายหนุ่มกล่าวออกมาเบาๆก่อนจะดึงเมรีเรี่ยนขึ้นมา เขามองกลับไปที่กลุ่มนักรบที่โบกมือเรียกเขา ก่อนจะควบม้าออกไป"ข้าจะคอยดูเจ้านางฟ้าน้อยๆของข้า"เขากล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะควบหายไปภายในค่ายที่ดูหน้ากลัวนั้น
      ...นางฟ้าน้อยๆของข้า...เขาพูดออกมาได้อย่างไร แต่คำพูดนั้นกลับทำให้นางพึงพอใจ นางอยากรู้แล้วสิว่าชายหนุ่มจิตใจดีผู้นี้เป็นผู้ใด แล้วทำไมเขาถึงมาร่วมกับพวกเอกาลอสในสงครามครั้งนี้

      ดิวาทอร์ยืนอยู่ที่ริมผ่ามองลงไปยังค่ายทหารของเหล่าออร์เบื่องล่างของเขา ตอนนี้เขากำลังคิดไปถึงสาวงามที่ได้พบในยามบ่ายนั้น ความงามของเธอทำให้เขาอยากกอดสัมผัสกายผุดผ่องที่แสดงออกมานั้น อาจเป็นเพราะเธอเป็นพวกเทพ พวกนางฟ้าก็ได้มันทำให้เลือดเทพในตัวเขาเดือดขึ้น แต่ความรู้สึกส่วนหนึ่งกลับค้านออกไปว่า มันเป็นความหลงที่ต่างกันออกไป ปรารถนาเกินกว่าจะทนไหว ราวกับว่ากายนางฟ้าตนนั้นจะห่างไกลเอื่อมมือของเขาไปเป็นล้านช่วงชั้นสวรรค์ ทั้งๆที่เธออยู่ในคุกที่ห่างเขาไปเพียงควบม้าไม่กี่รอบของเข็มยาว
      รอยยิ้มนั้น และแววตาของเธอมันวิวอนและโหยหา เมื่อดังที่เขาคิด เขาอ่านใจเธอได้หรือ ไม่มีทางหรอก ดิวาทอร์คุมคิดอยู่ก็มีแขนมากอดรอบเอวของเขาเอาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงความขยะแขยงทันที อาทิมิสชันนาริส นางกอดเขาเอาไว้แนบแน่น
      "ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่ คิดถึงข้าหรือแน่และว่าคงไม่"
        "ไม่ ข้ากำลังคิดเรื่องอื่น"ดิวาทอร์กล่าวออกไปอย่างไรอารมณ์ แต่มันทำให้นางซินตัวนี้รุดมาอยู่เบื่องหน้าของเขา และมองสบดวงตาของเขาก่อนจะหลบไปด้วยความกลัวเกรง"ไปงานกันได้แล้ว เหล่านักรบทมิฬทั้งหลายที่เดินทางมาร่วมทัพรอค่อยอยู่"ดิวาทอร์ตัดบทออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเห็นแววตาของนางปีศาจร้ายต้นนี้เปลี่ยนไป เขารู้ทันทีว่านางรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่อาจจะไม่ทะลุปุโปร่งแต่มันก็ร้ายกาจเชียวละ และแน่นอนละว่าสวัสดิภาพของเขาในการเดินทัพคงวุ้นวายเป็นแน่
       ดิวาทอร์ไม่อยากพูดคุยกับนางไปกว่านี้เพราะเกรงว่านางจะล่วงรู้ไปถึงนางรำแสนสวยของเขาก็ชิงเดินนำหน้านางไปก่อน เมื่อเขาเข้าไปในเขาค่ายที่จัดงานรื่นเริงนี้ก็สัมผัสได้ทันถึงความขยะแขยงต่อกองทัพรอบข้างที่แหลวแหลก พวกนี้เป็นกองทัพที่ค่อยต่อต้านอาณาจักรทั้งสี่และธรรมชาติ พวกนักรบป่าเถือนเหล่านี้ขายวิญญาณให้เอกาลอสเพื่อจะได้ครอบครองแผ่นดินที่อยู่บนโลกแห่งนี้
       เมื่อเขากวาดตามองออกไปยังทัพของออร์ดที่ก้มหัวให้เขาด้วยความเคารพและยำเกรงในราชอำนาจของเขานั้นเขาก็รู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการตบตาเขามากกว่า แต่กระนั้นเขาก็เดินไปยังกระโจมที่มีงานอยู่ภายในมีเหล่าผู้นำนักรบทมิฬมากมาย เขาได้รับความเคารพ ดื่มและพูดคุยความประสานักรบทั้งหลายจะทำกัน เมื่อประตูเวทีเปิดออก สายตาของเขาและทุกคนก็จองมองตรงไปยังเหล่านางฟ้าที่กาวออกมา โดยเฉพาะมารีเรี่ยนที่ตกเป็นเป้าสายตาของเขา และเธอก็ส่งยิ้มสวยสดใสมาให้เขาตอบเช่นกัน มันทำให้ดิวาทอร์อดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มที่มุมปากที่ทำให้เขาดูเหมือนคนยโสโอหังแต่แต้มไปด้วยเสหน่เหลือร้าย
« Last Edit: June 26, 2006, 01:26:22 AM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #27 on: June 26, 2006, 01:51:21 AM »

ตอนที่ 27 ความรัก แรงอิจฉา อาฆาต
       ทุกย่างก้าวของนางราวกับเป็นการเต้นของหัวใจเขา ทุกการเครื่อนไหวของนางเหมือนเป็นดังลมหายใจของเขา ทุกทวงท่าของนางทำให้กายของเขาตื่นขึ้นมา ทุกสัมผัสจากผืนผ้าของนางทำให้จิตใจของเขาล่องลอยไปยังเธอเพื่อสัมผัสกายที่เต้นอยู่เบื่องหน้านั้น กลิ้นหอมและสายตาของเธอทำให้กายของเขาเครียดแข็งไปหมด เขามองทุกการกระทำขงเธอที่ราวกับล่องลอยอยู่เบื่องหน้าเขาเพียงผู้เดียว สวยงาม อ่อนโยน และไร้ที่ตินั้นคือคำชมจากใจของเขา
       อาทิมิสชันนาริสเดินเข้ามาภ่ยในค่ายนางก้มองตรงไปที่ดิวาทอร์ที่จองมองแม่นางฟ้าที่เต้นอ่อยทุกคนบนเวทีนั้นตาเป็นมัน และนางฟ้านั้นก็ส่งสายตาประกายงดงามที่บ่งบอกก็รู้ว่าตรงไปที่ดิวาทอร์เพียงผู้เดียว เมื่อการเต้นจบลงดิวาทอร์ยังเป็นคนแรกที่ตบมือพร้อมยืนขึ้นอย่างออกหน้าออกตา และกาวออกไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วแวบของสายตาเขาก็ยืนอยู่เบื่องหน้าของนางรำผู้นั้น
       ดิวาทอร์จองมองสตรีเบื่องหน้าที่มองสบตาเขาอย่างสั่นไหว เธอคิดอย่างไรกับเขานะถ้าเธอรู้ว่าเขาเป็นดิวาทอร์ เทพแห่งการทำลาย ผู้ได้พลังแห่งมือขวาของพระเจ้ามานางคงไม่ยอมเข้าไกลเขาเป็นแน่ แววตาของนางทำให้เขามีความรู้สึกคุ้นเคยกับเธอผู้ที่อยู่เบื่องหน้าของเขา
       รางวัล! รางวัล! รางวัล! เสียงเขาออร์ดและนักรบทมิฬทั้งหลายร้องขึ้นทำให้เขาออกมาจากภวังที่มีเพียงเธอกับเขา มองไปรอบๆด้วยความเขินอาย และสตรีที่อยู่เบื่องหน้านี้ก็หน้าแดงขึ้นมาด้วยเช่นกัน
       ออมแขนของดิวาทอร์กอดรอบเอวของเธออย่างอ่อนนุ่มและประคองเธอลอยขึ้นสัมผัสริมฝีปากของเขาอย่างอ่อนหวาน เพลิงรักของเทพทั้งสองประทุขึ้นทันที นักรบหนุ่มผละออกขณะที่นางฟ้าในออมแขนของเขานั้นยังคงอ่อนตามริมฝีปากของเขา
       "ท่านมีนามอันใด"
         "เรียกข้าว่านักรบดำ"
         "นักรบดำ เรียกข้าว่า มารีเรียน"เสียงกะซิบของบุคคลทั้งสองอ่อนหวานและร้อนแรงระหว่างที่ดิวาทอร์สัมผัสได้ถึงเนื้อนุ่มลมุนของเธอที่อยู่ภายในออมกอดอันแข็งแกร่งของเขา และกลิ้นหอมของดอกเมอร์ริเซี่ยจากกายของเธอ
      มารีเรี่ยนเองก็ตัวอ่อนปวกเปียกอยู่ภายในออมกอดนั้นทันทีที่รับจูบนั้น กายของเธอสั่นระทวยอ่อนและบดเบียดกายเข้าสัมผัสกายแกร่งแน่นของชายเบื่องหน้าที่เรียกต้นเองว่านักรบดำ
      อาทิมิสชันนาริสแทบกรีดออกมาไม่เป็นภาษานางมองนางฟ้าเบื่องหน้าก่อนจะกรีดกายเดินออกไปเกรงว่านางจะควบคุมอารมณืต่อดิวาทอร์ไม่ได้ นางเดินออกมายืนอยู่ที่โขดหินใกล้ๆก่อนจะหอบหายใจด้วยความแค้นเคื่อง นางถึงกับสาบานกับสวรรค์ชั้นฟ้าว่านางจะฆ่านางฟ้าตนนั้นและกัดกินดวงวิญญาณของมันด้วยเขียวของนางเองให้สาแก่ใจ
      ดิวาทอร์ดึงมารีเรี่ยนออกมาจากความวุ่นวายเขาพาเธอเดินฝ่าฝูงออร์คที่ดุร้ายที่แหวกทางให้แก่เขาเพื่อตรงออกไปยังคอกม้า เมื่อมาถึงเขาก็โหนทยานขึ้นอย่างคล่องแคล่วก่อนจะอุ้มกายบอบบางของมารีเรี่ยนขึ้นแล้วควบออกไปยังทุ่งกว้างใหญ่
      "ท่านจะพาข้าไปที่แห่งใด"
        "สถานที่ที่มีเพียงเจ้ากับข้า เราสองคน"ดิวาทอร์กล่าวขึ้นพร้อมยิ้มที่มุมปากอันทรงเสหน่มาให้เธอ มารีเรี่ยนซุกกายแนบเข้าอ้อมแขนของเขาพร้อมมองสำรวจใบหน้าที่เกรงหน้าเกรงขามนั้น เธอตกใจออกจากความคิดเมื่อดิวาทอร์พาเธอควบทะยานขึ้นตามแนวหินที่สูงชันของเทือกเขาแนวสวรรค์อันเป็นกำแพงสำคัญที่ขวางกันเซนทิริก มิเนทาริกออกจากโลกภายนอก เธอมองแววตาที่มุ่มมันนั้นและตกใจว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าในคืนจันทร์เต็มดวงทองฟ้าเปิดเห็นดวงดาวงดงามเช่นนี้กำแพงนี้จะไร้ซึ่งอำนาจจากสวรรค์
       แต่กระนั้นร่างของคนทั้งสองบนม้าศึกตัวโตตัวนี้ก็ขึ้นมาถึงแนวเทือกเขา "ท่านรู้จักที่เช่นนี้ได้อย่างไร"เมรีเรี่ยนถามออกไปด้วยความแปลกใจ
       "ข้าก็เพียงเห็นว่ามันหน้าจะเป็นทีๆเราจะเป็นส่วนตัวที่สุดเท่านั้น อยากให้เจ้าเห็นสิ่งงดงาม"เขาพูดราวกับนักรบไร้เดียงสาพร้อมสูดลมหายใจที่หัวของเธอแรงๆ เมื่อมาถึงบริเวณที่ๆเหมาะสมด้วยความงามของแสงดาวและแสงเดือนดิวาทอร์ก็อุ้มเธอลงมาจากหลังม้า
       สายตาของเมรีเรียนมองไปเห็นแสงไฟของปราการดาบเซนทิริก และแสงไปจากบ้านเรื่องที่อยู่ใต้ทะเลเมฆราวกับมองมันจากสวรรค์ เธอได้ยินเขาปัดฝุ่นบิดกายอย่างเมื่อยหล้าก่อนที่เธอจะหันมา เธอเหมือนเห็นเขาจองมองอยู่ที่ปราการดาบอยู่เหมือนกัน และนานพอควรด้วยก่อนจะหันมาสบตาของเธอ
       "โรแมนติกดีจัง"เมรีเรี่ยนพูดลอยๆพร้อมสบสายตากับดิวาทอร์ชายผู้อยู่เบื่องหน้าของเธอ ร่างบางของเมรีเรี่ยนถูกจับอุ้มขึ้นกอดอย่างง่ายดายโดยไม่มีเสียงอึบแม้แต่น้อย ริมฝีปากที่จูบอย่างดุดันรุกเร้าเธออย่างดุเดือดจนเธอได้รสเลือดจากริมฝีปาก จูบของดิวาทอร์เลื่อนต่ำลงมาที่คอและไหล่ของเธอสร้างความหวั่นไหวให้กับกายของเธอเป็นอย่างยิ่ง
      "เจ้าหอมหวานดีนัก"ดิวาทอร์พรึมพรำเบาใบที่ใบหูของมารีเรี่ยนพร้อมขบเบาๆก่อนจะทอดกายทั้งสองลงบนพื้นแผ่นดินอันอ่อนนุ่มและอบอุ่นเบื่องล่าง
        "อย่า! ท่านนักรบ"มารีเรี่ยนกล่าวขึ้นพร้อมพลักดันหน้าอกของดิวาทอร์ออกไปนางจองมองแววตาสีทองอร่ามที่มั่นคงนั้นอย่างสันไหวพรางคิดในใจว่าเขาช่างหน้าเกรงขามอะไรเช่นนี้
      "ข้าขอโทษนางฟ้าของข้า"
        "มารีเรี่ยนเรียกข้าว่ามารีเรี่ยน"นางยำเบาๆพร้อมมองดิวาทอร์ที่พละออกนั้งอยู่ข้างๆ
      "ได้ มารีเรี่ยน"ดิวาทอร์ทวนคำของนางพร้อมยื่นมือออกไปช่วยดึงนางขึ้นนานั้งแนบกายของเขา อายอุ่นจากกายของนางแพร่ผ่านบรรยาการที่แนบสนิทในอ้อมกอดของเขามายังกายที่แข็งแรงของเขานั้นมันทำให้ดิวาทอร์รู้สึกถึงบางอย่างที่สูญหายไปนาน
      "ท่านอบอุ่นดีจัง"มารีเรี่ยนกล่าวขอนพร้อมส่งแววตาแห่งเทพจากกาแลกซิริกไปยังชายหนุ่มเบื่องหน้า แววตาสีทองนี้คุ้นสายตาของเธอประการสายตาแววขึ้นมาเล็กน้อยแต่ดิวาทอร์ก็ทาบริมฝีปากของเขาลงมาครอบครองริมฝีปากของเธอเสียก่อน อีกครั้งและอีกครั้งแต่ครั้งนี้มารีเรียนกลับถอนออกจากความชื่นฉ่ำนี้เอง
      "เจ้ารู้ใหมว่าข้ารู้จักดวงดาวบนท้องฟ้านี้ทั้งหมดเลยนะ"
        "ท่านทำให้ข้าคิดถึงคนที่ข้ารู้จัก"มารีเรี่ยนกล่าวอย่างลอยๆทำให้ดิวาทอร์มองลงมาหาเธอด้วยแววตาแข็งกร้าวและหึงหวง"เขาตายไปนานแล้ว"มารีเรี่ยนรีบแก้คำพูดทันที
      "เหรอ"เขาทำเสียงแปล่งๆก่อนจะหันมายิมให้ด้วยร้อยยิ้มกวนๆตามแบบฉบับของเขา"เจ้ารู้ใหมว่ากลุ่มดาวตรงนั้นมีเทพองค์หนึ่งที่สร้างไว้เป็นอนุสรณ์แด่คนรัก"เขาพูดพร้อมชี้นิ้วออกไปยังพื้นฟ้าเบื่องหน้า มารีเรี่ยนมองทอดไปตามนิ้วแกร่งยาวที่ชี้ไป อีกมือหนึ่งที่หนาด้านบ่งบอกถึงความคุนเคยกับดาบหนักๆตลอดเวลาที่กุมมือของเธอเอาไว้แนบแน่น
      "อนุสรณ์นั้นเกิดจากราชสีห์สวรรค์อันโตราเต้(Arnthoratae, the Leogod of stars)กับเทพีฮาวาเอว(Havaeav, the frozed angel)ใช่ใหมละ"มารีเรี่ยนกล่าวขึ้นพร้อมมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงนางรู้เรืองนี้เป็นอย่างดี แน่ละว่าถ้าดิวาทอร์ยังคุยต่อเขาก็รู้แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีแน่"เรื่องนี้นะ ทั้งสวรรค์เขารู้กันหมดแล้วละ"จะไม่รู้ได้อย่างไรก็มันเป็นหนึ่งในแสนชาติไถ่บาปของนางกับดิวาทอร์ก่อนสงครามเกรทน่าซินกราเดียนเป็นล้านปี แต่ดิวาทอร์เขาเป็นใครทำไมนางคิดใบหน้าของชายผู้นั้นไม่ออก
      "อ้าข้าโง่เอง ข้าลืมไปว่าเหล่าเทพรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว ถ้างันข้าจะเล่าเรื่องบนโลกที่เจ้าจะไม่รู้มาก่อน"เขาพูดพร้อมสร้างความแปลกใจเล็กน้อยให้กับมารีเรี่ยน"เจ้าเห็นนั้นใหม"เขาชี้ตรงไปยังเซนทิรืกมิเนทาริก
      "ที่นั้นมีอะไรเหรอ"
        "เจ้ารู้ใหมว่าที่นั้นเคยเป็นปราสาทที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งที่ชื่อ'อเซนทริก กาแลกซิลิก'(Acentrix Galexiric) แต่ชื่อจริงๆที่ใช้บนสวรรค์เจ้าก็คงรู้อยู่แล้ว เซนทิริกโดมิเนตัส(CentericDominetus) ซึ่งเป็นดินแดนอันบริสุทธ์แห่งความศักดิ์สิทย์(Holy land) หรืออีกนัยหนึ่งคือแดนไถ่บาปของเหล่าเทพ"ดิวาทอร์เห็นแววตาสงสัยในตัวนาง"ครั้งที่มิดการ์ทใกล้เอดการ์ทเหล่าเทพจะลงมาผ่านประตูสวรรค์ที่ปิดตายอยู่ในปัจจุบัน ครั้งหนึ่งเทพกษัตริย์องค์หนึ่งได้สูญเสียเทพาราชินีและเขาก็ได้ให้สถานที่แห่งนี้เป็นสุสานของทั้งสอง นครที่ไม่มีวันล่มสลายแห่งนี้ดังคำสาบานรักที่ให้ไว้กับนางว่าจะรักนางจนวันสิ้นโลก(Justment day)"ดิวาทอร์เล่าด้วยน้ำเสียงที่หน้าติดตามและภาพบางตอนของจีเนรอสก็ไหลเข้ามาแน่ละว่ามันเป็นของใหม่ที่นางไม่รู้จัก
      "ท่านเอามาจากผู้ใดเหรอใยข้ามิทราบเลย"
        "ข้าก็ฟังเขาเล่ามาอีกครั้ง"แน่ละว่าดิวาทอร์หลอกนางอีกแล้วเพราะตอนนี้เขาไม่อย่างให้นางหฃรู้ว่าเขาเป็นเทพดิวาทอร์ เทพที่เหนือว่าเทพนางรำเป็นหมื่นช่วงชั้น ซึ่งถ้านางรู้ไปก็อาจทำให้นางอยู่ห่างเขาเป็นดีและมันอาจทำให้เขาขาดใจตายที่เธอถอยห่างออกไป
   
      ดิวาทอร์กลับเข้าค่ายในเวลาเกื่อบสว่าง ในเต้นพักของเขาอาทิมิสชันนาริสที่นั้งแปรงผมอย่างเยื่อกเย็น สายตาของนางบ่งบอกถึงอารมณืที่ลุกเป็นไฟเดือดปุดๆพร้อมระเบิดทุกเวลา ริมฝีปากของนางแดงจนน่ากลัวนั้น
      "มีอะไร"
        "ท่านทำกับข้าอย่างนี้ได้อย่างไร"อาทิมิสชันนาริสกล่าวขึ้นพร้อมคว้างหวีไปยังดิวาทอร์ แต่เขารับเอาไว้ได้และบีบมันจนแหลกคามือ"ท่านเห็นนางดีกว่าข้า"
        "เจ้าไม่มีสิทธิ์"ดิวากล่าวขึ้นพร้อมเดินออกไปเพราะไม่อยากมีเรื่องมีราวกับสตรีที่อารมณืเดือดปุดๆเช่นนี้
      "ข้าไม่มีสิทธิ์อะไร"อาทิมิสชันนาริสคำรามตามออกมาอย่างขุนแค้น"ข้าไม่มีสิทธิ์อะไร! บอกข้ามาเดี๋ยวนี้"พลันนางคำรามอีกเขาก็หันมาปะทะสายตาอันแข็งกร้าวจนนางรู้สึกเป็นเพียงฝุ่นธุลีใต้ฝ่าเท้าของเขา
      "เจ้าไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายข้าอาทิมิสชันนาริส เพราะเจ้าไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าเลย"
        "แล้วที่ท่านทำกับข้าละ"
        "เจ้าเสนอให้ข้าเองมิใช่เหรอ"เสียงตอบอันดุดันของเขาดังสนั่นหูของนาง อาทิมิสชันนาริสน้ำตาตกลงมาทันที
      "เพราะนาง... นางใช่ใหม"
        "ใคร!"ดิวาทอร์ถามขึ้นพร้อมขึงตามองตรงไปยังอาทิมิสชันนาริส เธอเองก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเทพเบื่องหน้า แต่นางไม่มีวันยอม มหาซินแห่งความรู้ ซิโนฟิโร่เคยขอกนางเอาไว้ว่าเทพองค์นี้จะรักนางและนางก็เทหัวใจทั้งหมดให้เขาไปแล้ว นางไม่ยอมแพ้นางฟ้ากระจอกพวกนั้นแน่
     "แม่นางรำคนโปรดของท่านงัย"อาทิมิสชันนาริสกว่าลขึ้นมันทำให้เขาหันกลับมามองนาง"เห็นประคบประงมกันเลยนิแม่สาวนางฟ้าแสนสวย สายตาท่านฟ้องข้า"
       "เจ้ารู้ก็ดีแล้ว"ดิวาทอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและเย็นชา มันทำให้อาทิมิสชันนาริสกรีดออกมา
      "ข้าจะฆ่านาง ข้าขอสัญญาต่อสวรรค์ว่าข้าจะฆ่านาง"อาทิมิสชันนาริสโวยวายออกมาทำให้ดิวาทอร์ซัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้านางอย่างโมโหโกธา
      "ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!"
        "ต่อให้ฟ้าดินสลาย มีข้าไม่มีนาง มีนางไม่มีข้า"นางกล่าวขึ้นแล้วก็หายตัวไป
      "ถ้านางเป็นอะไรไปอาทิมิสชันนาริสข้าสาบานต่อดาบของข้า มีข้าไม่มีเจ้ามีเจ้าไม่มีข้า"ดิวาทอร์ตวาดตามเขาได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องอยางเจ็บแค้นกลับมาเท่านั้น
« Last Edit: August 17, 2006, 07:40:23 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #28 on: August 17, 2006, 07:57:24 PM »

ตอนที่28 เทพกษัตริย์พบเทพาราชินี
           คำคืนอันเงียบสงบก้าวเข้ามาสู่ค่ายแห่งนี้ มีเพียงเสียงเดินย่ำของทหารและเสียงเกาะเหล็กกระทบกัน ความเงียบที่อยู่รอบตัวของเธอราวกับว่าไม่มีใครต้องการรบกวนเหล่านางฟ้าที่กำลังหลับสบายหลับสนิทเสียด้วย
           มารีเรี่ยนลุกขึ้นจากภวังอันแสนหวานในฝันที่มีเพียงเธอกับนักรบดำในแดนทิพพ์ เธอวาดสายตามองไปรอบๆ อาคมอ่อนๆนี้เธอรู้วิธีสลายมันเสียด้วยซ้ำแต่เธอเลือกที่จะไม่ทำ เธอสัมผัสได้ถึงการมาของใครคนหนึ่ง และเงาดำก็ก่อตัวอยู่เบื่องหน้า
        สตรีร่างกายงดงามอรชร ผิวขาวในชุดสีดำยืนหันหลังโชวผมตรงยาวสีดำงดงามของเธอแต่ดวงตาที่มีแสงอายแห่งความมืดนั้นเป็นสัญญาณเตือนให้กับมารีเรี่ยนว่าเธอผู้มาเยี่ยมเยือนนั้นอันตรายมากเพียงใด
         "เธอเป็นใคร มาจากที่แห่งใด ใยถูกพวกออร์คจับมา"สตรีที่อยู่เบื่องหน้าถามออกมาราวกับเป็นห่วงเป็นใยมากแต่สายตาไม่อาจเก็บความเสแสร้งและพยาบาดใดๆเอาไว้ได้เลย
         "ดิฉัน มารีเรี่ยนแห่ง... ว่าแต่ท่านเป็นผู้ใด"มารีเรี่ยนรีบถามออกไปอย่างไม่เชื่อใจนางนัก
         "ข้าเหรอ เจ้ายังไม่อยากรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร ว่าแต่เจ้าละเป็นอะไรกับนักรบในเกราะสีดำ"
         "ข้ายังไม่ได้เป็นอะไรกับเขา"หญิงสาวเห็นความโล่งอกของแม่มดเบื่องหน้า "แต่ข้าคิดว่าเขากำลังหลงรักข้า"เธอพูดต่ออายๆแล้วหันหลบใบหน้าที่กำลังแดงร้อนจากหญิงแปลกหน้านั้น
         การทำเช่นนั้นทำให้เธอไม่เห็นว่าใบหน้าเรียบนิ่งของคนแปลกหน้าได้เปลี่ยนเป็นโกรธจนบิดเบียวไป ความสวยที่เธอมีมากล้นได้หายไปมีแต่ใบหน้าที่เคียดแค้น แล้วกระโจนใส่ร่างของมารีเรี่ยนอย่างไม่คิดชีวิต
          "นางปลากระดี่หลงตัวเอง!"เสียงด่าพร้อมตบเธอฉาดก่อนร่างทั้งสองจะถลันออกมานอกค่ายสู่วายตาออร์คที่เฝ้ายามอยู่
         ดิวาทอร์ตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงออร์คร้องเชียร์กันสนั่นค่าย มันเป็นธรรมดาที่จะมีออร์คบ้าสองสามตนหาเรื่องเพราะนั้นเป็นนิสัยของออร์คเถื่อนพวกนี้ ชายหนุ่มหยิบดาบเล่มโตเดินออกมา
         เหล่าออร์ที่อยู่เบื่องหน้าต่างหลีกทางให้เขาและมองอย่างเกรงกลัวเมื่อดิวาทอร์เดินฝ่าไปที่ที่มาของเสียงเชียร์ทั้งหมด
         ไม่มีออร์คบ้าตัวใดทั้งสินที่อยู่เบื่องหน้าเขา นอกจากผู้หญิงสองคนที่นอนทุบตีกัน ตะลุมบอนอย่างรุนแรงที่หวังให้ตายไปข้างหนึ่ง
         ดิวาทอร์สวัดแขนสายลมก็ผลักร่างของอันทิมิสชันนาริสลอยควางไปในอากาศก่อนจะตกลงมาห่างออกไปไม่มาก
         "ดิ-"อันทิมิสชันนาริสยังไม่ทันพูดชื่อของเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อชายหนุ่มชีดาบเล่มโตมาที่เธอ
         "เจ้ากลับเข้าไป"ดิวาทอร์เห็นแววตาดื่อดึงของมารีเรี่ยนก็ดึงเธอมาจูบแบบปากต่อปาก สายตาของเธอก็อ่อนแรง
         มารีเรี่ยนได้ยินแต่เสียงกระซิบใจดวงจิตของเธอว่าให้กลับเข้าไปภายในและนอนหลับไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีก เธอก็ทำตามอย่างว่าง่ายเดินเข้าไปและนอนหลับสนิทไม่รับรู้อะไรอีก
         "วิชาปีศาจของเอทาลัส สกปรกดีแท้"อันทิมิสชันนาริสพูดเยียดๆระหว่างมองดิวาทอร์ที่มองตามนางนกหงษ์ฟ้านั้นเดินเข้าไปนอนตามคำสั่ง
         "เจ้ากำลังทำอะไร"เสียงถามดังสนั่นผืนฟ้าแสดงถึงว่าดิวาทอร์โกรธมากขนาดไหน
        "ท่านคิดว่าข้ากลัวท่านเหรอดิวาทอร์"อันทิมิสชันนาริสพูดขู่เอาไว้ไม่ให้เสียพร้อมของเธอ "ข้าจะบอกอะไรท่านอย่างนะท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีเทพสติดีคนไหนจะมารักท่านอีกหรอก ดูสิแม้แต่ฟรานเซสก้า นางยังยอมตายเสียดีกว่า แล้วท่านคิดเหรอว่าเทพน้อยๆอย่างนางจะรักท่านเมื่อรู้ว่าท่านคือเทพแห่งการทำลาย เมื่อรู้ว่าท่านคือเทพกษัตริย์ เมื่อรู้ว่าท่านมีชื่อว่า ดิวาทอร์"อันทิมิสชันนาริสเห็นแววตาเป็นทุกของดิวาทอร์ครู่หนึ่งนางก็คิดว่าควรรุกต่อจะเป็นดี "ไม่มีใครที่จะรักท่านเช่นนั้นนอกจากข้าอีกแล้วท่านเทพดิวาทอร์"
          ดิวาทอร์ก้มลงคิดตามคำพูดนั้น แต่ภาพของรอยยิ้มที่มารีเรี่ยนมอบให้เขานั้นได้ปรากฏขึ้นมา ความอบอุ่นที่เขาได้รับบนภูเขากำแพงแห่งเซนทิริกและอีกหลายๆครั่งที่เธอได้ปลอบเขาเมื่อถามถึงเรื่องสนามรบ
          "เธอแตกต่างออกไป และเจ้าจงอย่ามาข้องแวะกับนางนี้เป็นคำสั่ง"
         "ข้าจะฆ่านาง"
         "ถ้าเจ้าหวังทำอย่างนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้า ไปให้พ้นๆสายตาข้า"อันทิมิสชันนาริสวิ่งหายไปกับความมืดโดยทิ้งแต่เสียงสะอื่นเอาไว้เบื่องหลัง

          มารีเรี่ยนตื่นขึ้นมาพบว่าเธอไม่ได้อยู่ที่กระโจมที่คุมขังพวกเธอ สายตาของเธอมองออกไปเห็นนักรบดำที่นั้งมองเธออยู่ข้างๆ
          "ท่านไม่ควรพาข้ามาที่แห่งนี้"เธอพูดอย่างอ่อนโยน "คนจะครหาว่าท่านหลับนอนกับนางฟ้ามันไม่ดีต่อท่าน"
          "เจ้าเป็นห่วงข้าเหรอ"ดิวาทอร์ยิ้มให้เธอก่อนจะขยับกายมานั่งข้างๆเธอโดยไม่รอคำเชิญใดๆ "คืนนี้เจ้าจะได้รำต่อหน้าเทพกษัตริย์"มารีเรี่ยนมองตรงสู่สายตาของดิวาทอร์
          "ท่านไม่กลัวเขาแย้งข้าไปจากท่านเหรอ"หญิงสาวได้แต่เสียงหัวเราะ
          "เขามีเกียรติพอที่จะไม่ทำแช่นนั้น"ดิวาทอร์กอดเธอมาแนบชิดสูดกลิ้นกายของเธอและมั่นใจว่าการเปิดเผยตัวของเขาในคืนนี้จะนำไปสู่ความสุขกับนางฟ้าน้อยๆองค์นี้ในอนาคต เธออาจจะโกรธเขานานเป็นเดือนก็ตาม
          "แล้วท่านได้รับเกียติให้เข้าชมด้วยหรือเปล่า"มารีเรี่ยนมองแววตาแปลกๆที่ชายหนุ่มส่งออกมา แววตาเป็นสุขของเขา
          "ไม่หรอก ส่วนใหญ่เป็นเหล่าแม่ทัพที่เข้าร่วมกับสงคราม เป็นพวกคนใหญ่คนโต"เขาส่งยิ้มลงมาทำให้เธอยิ้มกลับก่อนจะขยับกายออกห่างเมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังอยู่ต่อหน้าออร์คที่เข้ามายืนงกๆเงอนๆอยู่ที่ประตู
         
           มารีเรี่ยนอยู่ในชุดชีชมพูงดงามที่เหล่าคนเถื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆเกื่อบคว้าเธอไปกอดหอมแล้วถ้าไม่มีทหารออร์คคอยกันเธอเอาไว้ให้
           คืนนี้จะเป็นคืนตัดสินเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือเทพกษัตริย์ที่พวกนั้นกล่าวถึง เงาจากผ้าขาวที่ปิดกันไม่ให้เห็นใบหน้าของเทพกษัตริย์ หรือว่าเขากลัวการลอบฆ่าและแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเถื่อนนี้แทน
          มือที่โบกเป็นสัญญาณให้เหล่าออร์คออกไปเป็นการบอกว่าเธอจะเริ่มร่ายรำได้ มารีเรี่ยนก็เบิกเพลงจากสวรรค์ทันที
          การรายรำของเธอสกดเหล่าคนเถื่อนทุกผู้แต่สายตาของเธอมองายังเงาที่ดูจะอยู่นิ่งและปรับเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อยเหมือนกำลังเคลิบเคลิมกับการแสดง ดีแล้วที่เป็นเช่นนั้นเพราะเธอจะได้ทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้น
          ผืนผ้าสีชมพูยาวขึ้นโบกสบัดให้เกิดกำแพงผ้าขึ้นสู่สายตายทุกคนแต่ประกายของบางอย่างที่ทำให้ดิวาทอร์ตัวแข็งไปอย่างไม่คิดว่าจะพบจากหญิงที่เขามีใจให้
          กระสุนนัดหนึ่งตรงเข้าประทที่เกราะของเขาพลักเขาชนกับบัญลังหินอย่างแรง และอีกหลายๆนัดที่ปลิดชีพเหล่าแม่ทัพคนเถื่อนโดยทุกคนไม่ทันแม้แต่จับดาบของตน
          กำแพงผ้าสลายไปแต่สิ่งที่เขาเห็นเบื่องหน้าคือสตรีในชุดงดงามสีขาวที่มีผ้าคลองแขนที่มีพระตราของอาญาจักรที่เขาไม่มีวันลืม แน่นอนอาญาจักรที่เขาเคยสร้างขึ้นมา เซนทิริก เธอเป็นราชินีแห่งเซนทิริกและเธอเป็นเอลฟ์ด้วย
          จีเนรอสมองเงาที่สงบนิ่งก่อนจะเปลี่ยนปืนโดยรวมทั้งสองให้เป็นธนูเตรียมจู่โจมผู้ที่อยุ่หลังผ้าขณะก้าวเข้าไปหาอย่างช้าๆ
          เงาที่ลุกขึ้นทำให้เธอถอยออกมาและยิงศรทิพเข้าไปสามดอกแต่จากที่เห็นแล้วมันไม่มีผลใดๆต่อเขาแน่นอนและเงานั้นก็เดินออกมาปรากฏสู่สายตาของเธอ นักรบดำ เขาเป็นเทพกษัตริย์
          "ท่านคือดิวาทอร์"หญิงสาวเปลี่ยนธนูเป็นดาบเสียงโวยวายในค่ายดังขึ้นบ่งบอกถึงเหล่านางฟ้าของเธอหลบหนีไปแล้ว "ท่านเป็นเทพกษัตริย์จริงๆเหรอ?"
          การพยักหน้าของเขาทำให้เธอถอยห่างอีกก้าว "จีเนรอส เจ้าคือจิเนรอสใช่ไหม"เสียงถามอย่างไม่เชื่อในสายตาว่าหญิงสาวที่เขารักนั้นเกือบฆ่าเขาทีเดียว
          จีเนรอสตวัดดาบตรงเข้าหวังฆ่าให้ตายและดาบนั้นแทงทะลุท้องของชายหนุ่ม เขาไม่หลบเธอ ทำไมเขาไม่หลบ? จีเนรอสมองตรงเขาไปในดวงตานั้นทุกอย่างมันเรือนลางเพราะน้ำตาของเธอที่ไหลรินออกมา
          "ทำไมท่านไม่หลบ"
          "เจ้าอยากฆ่าข้าไม่ใช่เหรอ"เสียงถามอยากไม่สทกสะท้านพร้อมดึงเธอเข้ามาชิดมาขึ้น "เจ้าจะเป็นใครก็ตามข้าก็ยังรักเจ้าไม่เสื่อมคราย แต่เจ้าสิยังรักข้าอยู่หรือเปล่า"ดิวาทอร์รู้สึกดาบที่สลายไป จิตใจของหญิงสาวตอนนี้เปราะบางเสียยิ่งกว่าทุกสิ่ง เขารู้สึกได้จากขาที่สั่นไหวของเธอ
          "ทำไมต้องเป็นท่าน ข้าไม่เข้าใจ"จีเนรอสเข้าแนบชิดอ้อมกอดนั้นมือที่จับที่บาดแผลของดิวาทอร์ เธอยังรักษาแผลให้เขาด้วย ระหว่างนั้นดิวาทอร์ก็ดึงหญิงสาวขึ้นจูบจนเธอลอยอยู่ในอากาศ
          แล้วก็เหมือนนำทะเลมหาศาลที่ซัดถาโถมเข้าสู่ความรู้สึกของทั้งคู่ความทรงจำทั้งหมดของเทพทั้งสองก็กลับมา เพรียงจูบเดียวที่ใช่ในนามของตัวเจ้าจะนำมาซึ่งความทรงจำที่ข้านำไปกลับคืน นั้นเป็นคำสัตย์ของอเลทาดอส
          "ข้าจำเจ้าได้แล้ว ยอดรักของข้า"เสียงดิวาทอร์ส่งออกมาพร้อมจูบเธออีกครั้ง จีเนรอสได้แต่รำไห้ออกมาก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดนั้น เสียงทหารที่กำลังตรงขึ้นมาที่เขตนี้ทำให้เธอต้องรีบตัดสินใจทุกสิ่ง
          "จีเนรอส! อย่าไป"ดิวาทอร์ตรงเข้ามากะคว้าแขนของเธอเอาไว้แต่หญิงสาวตรงดิ่งออกไปก่อน เธอลอยออกไปหวุดหวิดเหล่าทหารออร์คมาถึง
          "ไปพบข้า นางฟ้าของข้า พบข้าที่ภูเขาของเรา"ดิวาทอร์ร้องตามมา จีเนรอสได้แต่เช็ดน้ำตา เธอเกือบฆ่าเขาไม่ว่าความทรงจำที่เธอมีกับเขาไม่นานมานี้หรือความทรงจำทั้งหมดจากสวรรค์และทุกภพมันก็ทำให้เธอเจ็บช่ำเหลือเกิน
          "อเลทาดอส!"หญิงสาวร้องอย่างเหลือทนบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวได้หยุดนิ่งและอเลทาดอสก็ปรากฏกายเหนือทองฟ้าและก้อนเมฆ
          "ท่านเกือบทำให้ข้าฆ่าเขา อเลทาดอส"หญิงสาวพูดขึ้นอยากเจ็บช่ำ "ถ้าท่านไม่นำความทรงจำข้าไปข้าก็อาจเจรจากับเขาได้"
          "เจ้าคิดว่าคนทนงอย่างดิวาทอร์จะให้เจ้าใกล้ชิดเหรอจีเนรอส"เสียงนั้นดังอย่างไม่พอใจ "เจ้าคิดว่าเขาจะจำเจ้าได้เหรอนางฟ้าน้อย เจ้าอ่อนประสบการณ์นักจีเนรอส ประสบการกว่าแสนภพของเจ้ากับดิวาทอร์ไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลยเหรอ"อเลทาดอสไม่อธิบายมากว่านี้ท้องฟ้าก็กลับมาเป็นดังเดิม

          ดิวาทอร์เรียกเพกาซัสลงมาขี่ตรงออกไปยังภูเขาที่เขาพาจีเนรอสมา ไม่สินางรำที่เขารักและเธอคนนั้นก็เป็นคนรักตลอดมาของเขา จีเนรอส
         เขาลงจากหลังม้าบินตัวนี้ แล้วกวาดสายตาไปรอบๆอย่างโมโห วามโกรธนี้เกือบทำให้เขาฆ่าออร์คที่ขวางทางแล้ว แต่นั้นก็ไม่พอกับการที่จะได้พูดคุยกับเธอ แม่ยอดรักยอดแสบของเขา เธอยังอ้างตัวเป็นราชินีแห่งเซนทิริกพร้อม ถึงว่าดาบแห่งอเลทาดอสส่องแสงสว่างท้าทายความมือเช่นนั้น
         กลิ่นของจีเนรอสที่เขาจดจำได้ทำให้ชายหนุ่มหันมามองสตรีที่ยืนอยู่เงียบๆ "การมองคนอื่นโดยไม่ให้เข้ารู้ตัวถือเป็นการเสียมารยาทนะคนสวย"ดิวาทอร์หันกลับไปมองเซนทิริกอีกครั้ง
          จีเนรอสค่อยๆก้าวอย่างระมัดระวังไปหาชายที่เธอแสนรักมาตลอดแต่ทิ้งระยะห่างกันและกัน"เจ้าไม่บอกข้าซักคำว่าเจ้าอยู่ข้างกายของข้า" จีเนรอสได้ยินก็ชงัก ถ้าเธอรู้ว่าเป็นเขาเธอจะบอกแน่นอน
          "ข้าไม่อยู่ข้างกายของผู้ที่อยู่ข้างเดียวกับเอกาลอส"จีเนรอสกล่าวขึ้นเรียบๆ"ข้าไปที่นั้นเพื่อไปฆ่าท่านต่างหาก"หญิงสาวโกหกออกไปอีกครั้ง
         "ทำไม"ดิวาทอร์มองกลับมาด้วยดวงตาเทพที่แรงกล้าสบเข้ากับดวงตาเทพคู่สวยของเธอ "เพราะข้าจะรวมผืนฟ้าแผ่นดินและโลกัลอย่างน้นเหรอ"
         "ท่านจะทำให้เทพควบคุมสิ่งใดมิได้"จีเนรอสตวัดเสียงกลับไป
         "ควบคุมไม่ได้ก็ไม่ต้องควบคุม"เสียงคำรามของดิวาทอร์ทำให้เธอสดุงถอยห่างออกไป"จีเนรอสข้าทำเพื่อเจ้า"
         "ทำเพื่อข้า"จีเนรอสหัวเราะเบาๆ "ข้าอยากรู้ดิวาทอร์ การที่ท่านทำให้สวรรค์อยู่แค่ยกมือก็เอื่อมถึงนะหรือคือสิ่งที่ท่านจะทำเพื่อข้า ลำพังตอนนี้สวรรค์ก็วุ้นวายอยู่แล้ว"
         "ก็มีแต่เทพที่ตาขาว คิดว่าอำนาจของพ่อจะปกป้องพวกมันไปไม่ช้าก็เร็วกำแพงนั้นก็ต้องถูกทำลาย และเจ้าอเลทาดอสก็ต้องถูกนำมาพิพากษาดังที่มันทำกับเรา"ดิวาทอร์แสบปราบที่ใบหน้าเมื่อจีเนรอสตบเขาเสียงดังสนั่น เขาต้องปวดที่หน้าอกและเหมื่อนมีคนมาชกที่ช่องท้องเมื่อเห็นว่าน้ำตาของเธอไหลรินออกมา
         "แล้วท่านจะเอาเขาลงมายัดใส่นรกเหรอ ดิวาทอร์"เสียงของเธอสั่นท้งโกรธทั้งเสียใจรวมกันนั้นเป็นความรู้สึกตอนนี้ของเธอ "ท่านรู้ไหมว่าพ่อสร้างสวรรค์ให้กว้างใหญ่เพราะอะไร"
         "เป็นเหยื่อล่อให้เราสงบอารมณ์ และดำเนินตามความชอบทำ"ดิวาทอร์กล่าวพร้อมเช็ดน้ำตาของเธอ
         "ไม่ใช่ ดิวาทอร์ ท่านไม่เคยรู้ความหมายจริงๆเลยหรือ"
         "โธ๋เอย จีเนรอสไม่ใช่เวลามาอวดว่าใครเก่งกว่าใคร"
         "ข้าไม่ได้ทำ"เธอมองลงสู่พื่นอย่างโกรธๆก่อนจะมองขึ้นมา "อย่าทำเช่นนี้เลยดิวาทอร์"
         "ข้าต้องทำ ข้ายอมสละทุกอย่างขอเพียงให้ได้สัมผัสเจ้า ยามที่เราได้กลับไปสู่สรวงสวรรค์ แม้เป็นช่วง แสนปี หรือล้านปีข้าก็ยอมข้ารอคอยได้"ดิวาทอร์จูบจีเนรอสอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอ แสงสว่างจากสวรรค์ส่องลงมาที่ทั้งสองยืนอยู่
         "ท่านเป็นกษัตริย์แห่งเซนทิริก มิเนทาริก ดิวาทอร์กลับไปกับข้าร่วมสู้กับพวกออร์คและเอกาลอส"
         "ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าทำอะไร"จีเนรอสผละออกจากอ้อมกอดดิวาทอร์
         "การกระทำของท่านทำให้ลูกๆของเราสิ้น"สายตาของเธอมองไปยังเซนทิริก
         "การเปลี่ยนแปลงยอมต้องมีการสูญเสีย"
         "แต่ถ้าการสูญเสียไม่เหมาะซึ่งการได้มาใหม่ข้าก็ไม่แลกกับมัน"
         เสียงคำรามของดิวาทอร์พร้อมเดินเข้าหาเธอเป็นสัญญาณอันตรายจากดิวาทอร์ แต่จีเนรอสยกมือห้ามเอาไว้"ข้าจะให้โอกาสท่านตัดสินใจครั้งสุดท้าย"จีเนรอสยื่นมือไปให้ดิวาทอร์ก่อนที่เธอจะมองตรงมาที่ดวงตาสีทองคู่นั้น
         "ข้าเสียใจ จีเนรอส ข้าเลือกสิ่งที่ใจข้าปรารถนา"
          "ท่านจะไม่ได้แตะต้องกายของข้าแม้ว่าท่านทำได้ดิวาทอร์"จีเนรอสลอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ไอยากให้ชายที่อยู่เบื่องหลังรู้ว่าเธอกำลังร้องไหร้"เจอกันที่สงครามระหว่างเราดิวาทอร์"
          "เจ้าไม่รับรักใครเลยจีเนรอส เจ้ามันเทพสิ้นรัก เจ้าเป็นมาตลอดจีเนรอส เจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง"ดิวาทอร์คำรามตามหลังเธอ "แล้วเจ้าก็มานำตาตกภายหลัง"ดิวาทอร์พูดงึมงำ
          ดี เขาเองก็ไม่เคยรักใครอยู่แล้วเพราะเจ้าเป็นเทพไร้รัก แต่เขาก็รักเพียงผู้เดียว ดิวาทอร์ชกก้อนหินข้างๆอย่างโมโห ทำไม่ต้องรักนางฟ้าตนนั้นด้วยฟ่ะ ดิวาทอร์ควบเพกาซักบินออกไปก่อนที่ภูเขาหินจะเริ่มทะล้มจากแรงชกของเขา
« Last Edit: April 23, 2007, 07:57:36 PM by lastfriendder » Logged


lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« Reply #29 on: April 23, 2007, 07:55:31 PM »

ตอนที่ 28 มาแว้วอยู่ด้านบนโทษทีไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์ง่ะ ติดตามตอนต่อไปนะเจ้าค่ะ สงครามของคนรักทั้งสองจะเป้นอย่างไรระหว่างเทพดิวาทอร์ผู้มีพลังเติมเปลี่ยมกะเทพจีเนรอสผู้มีพลังลดลงเรื่อยๆ
Logged


Pages: [1] 2  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.253 seconds with 21 queries.