Summoner Master Forum
November 28, 2024, 02:50:07 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 39 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา@@  (Read 8356 times)
0 Members and 5 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: January 13, 2006, 01:43:22 AM »

Chapter 39 ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา



                          “จงมอดไหม้ไปซะ!” บลาส เซจ หัวเราะด้วยความสะใจประกาศเสียงกร้าวท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทหารซาโลม   กลุ่มควันสีเขียวหม่นยังคงพวยพุ่งอย่างหนาทึบพร้อม ๆ กับเสียงไม้ปริแตกดังสนั่น
                           “ก๊าซซซซซซซ์”
                           จู่ ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องดังกึกก้องกัมปนาท   ทั่วทั้งกองทัพก็บังเกิดความเงียบสนิทลงในฉับพลันทันที   เงียบเสียจนได้ยินแต่เสียงแตกของเปลือกไม้ที่ไหม้ไฟ   ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเสียงร้องที่ดังแว่วออกมาจากต้นไม้ยักษ์กลับกลายเป็นเสียงดังสนั่นเข้าไปถึงโสตประสาท   คนที่ยืนอยู่ใกล้ต้นอิกดราซิลถึงกับหูอื้อไปชั่วขณะ   ทหารบางนายเริ่มขยับเท้าถอยห่างจากต้นไม้ยักษ์คนละก้าวสองก้าว   แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะรับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น   แรงลมกรรโชกมหาศาลก็พัดออกมาเป็นระลอก ๆ จากต้นไม้ยักษ์ทำให้กลุ่มควันฟุ้งไปทั่วบริเวณจนทุกคนต้องยกมือขึ้นป้องดวงตาจากฝุ่นควันฟุ้งกระจายและไอความร้อนที่พัดออกมาเป็นระลอก ๆ   เมื่อลมสงบลงพร้อม ๆ กับกลุ่มควันที่เริ่มจางลงอันเป็นสัญญาณว่าไฟถูกลมพัดจนดับหมดแล้ว   พลันสายตาทุกคู่ก็ต้องเบิกกว้างด้วยความพรั่นพรึง
                           ท่ามกลางกลุ่มควันที่ค่อย ๆ สลายไป   ปรากฏร่างของมังกรยักษ์เหยียดตัวขึ้นสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า   เมื่อเทียบกับต้นไม้โดยรอบแล้วตัวของมังกรยักษ์นี้สูงกว่าถึงสองช่วงตัว   ร่างกายช่วงล่างของมันยังคงมีรากอ่อนของต้นอิกดราซิลพันเกี่ยวพันธนาการมันอยู่   แต่แล้วรากอ่อนเหล่านั้นก็ค่อย ๆ คลายตัวออกอย่างน่าพิศวงราวกับมีชีวิต   ดวงตาสีเหลืองอำพันอันใหญ่โตของมันยามกวาดตามองกองทัพซาโลมแลดูเบิกกว้างจนแทบจะปูดโปน   ปีกสีเขียวเข้มกางแผ่ปรกคลุมเหนือยอดไม้จนทำให้ร่างของมันยิ่งใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น    มันแหงนเงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงร้องดังสนั่นกึกก้องอีกครั้งก่อนที่จะเหวี่ยงแขนขาอันใหญ่โตใส่กองทัพเพลิงเบื้องล่าง   หางของมันส่ายสะบัดไปมาสร้างความอลหม่านไปทั่ว
                           ภายในม่านมิติที่เป็นเหมือนโดมอากาศซึ่งไหววูบด้วยรูปร่างไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา   ทุกคนต่างเงียบกริบเกือบจะลืมหายใจ   ปากอ้าค้างจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าดวงตาไม่กระพริบ   ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัว   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นน่าตื่นตะลึงเกินว่าที่ใครจะจินตนาการได้
                           เสียงครางต่ำด้วยภาษาสมิงของคาร์นที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนทุกคนดังขึ้นจนทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกตัว
                           “ท่านปู่ครับ!?!...” ฮารีซันย่อเข่าลงข้างวูจินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น   แขนของผู้เฒ่าแห่งฟูดินันขนาบข้างลำตัวโดยที่ฝ่ามือทั้งสองข้างวางแนบกับพื้นดินจนดูเหมือนฝ่ามือจมลึกลงไปในดินและแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว   รอบตัวนั้นมีวงอาคมขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยอักขระโบราณล้อมรอบมีไม้เท้าประจำกายปักอยู่ที่ยอดสุดของวงเวทย์นั้น   แม้ดวงตาของผู้เฒ่าจะปิดสนิททั้งสองข้าง   แต่ก็ดูเหมือนจะสามารถรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก   รวมไปถึงความคิดของผู้คนที่อยู่ในม่านมิติด้วย   เพราะยังไม่ทันที่ฮารีซันจะกล่าวใด ๆ ต่อ   วูจินก็เอ่ยขึ้นมาก่อนโดยที่ยังไม่ลืมตาขึ้น
                           “นั่นคือ มารัค (Marag, Yggdrasil’s Guardian) มังกรยักษ์ในตำนานที่ถูกมหาพฤกษาผนึกไว้ยังไงล่ะ”
                           ได้ยินเพียงเท่านั้นก็เกิดเสียงพึมพำกระซิบกระซาบดังระงมไปทั้งโดมม่านมิติ   นายพลทราเฮิร์นมองมังกรยักษ์ที่เริ่มอาละวาดฟัดฟันกองทัพเพลิงอย่างบ้าคลั่ง   เห็นทหารซาโลมหลายร้อยนายในรูปร่างที่ไม่ชัดเจนวิ่งผ่านม่านมิติและทะลุร่างของพวกเขาไปจึงเริ่มรู้สึกเป็นห่วงทุกคนขึ้นมา   แต่เพียงแค่หันหน้าไปทางท่านผู้เฒ่า   เขาก็ได้รับคำตอบแทบจะทันที  
                           “ไม่ต้องเป็นห่วง   พวกเราทุกคนจะปลอดภัยถ้ายังอยู่ภายในม่านมิตินี้” วูจินตอบเสียงเรียบ   ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ภายในม่านมิติต่างก็ฉงนสนเท่ห์ที่วูจินสามารถรับรู้ความคิดของพวกตนได้อย่างน่าประหลาด   วานาอันซึ่งนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวูจินนักหยิบผ้าสะอาดซับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดซึมขึ้นทั่วใบหน้าของวูจิน   คิ้วของเด็กสาวขมวดแน่นและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
                           “ไม่เป็นไรวานาอัน   ปู่ยังไหว” วูจินพูดทั้ง ๆ ที่ดวงตายังคงปิดสนิท   ใบหน้าที่เครียดขรึมปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ให้เด็กสาว “อีกประเดี๋ยวพวกเผ่าครุฑที่อาศัยอยู่บนมหาพฤกษาคงจะเริ่มการโจมตีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แน่   เพราะการที่มังกรมารัคหลุดออกจากผนึกทำให้อิกดราซิลเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั้งต้นตั้งแต่ปลายรากที่อยู่ลึกที่สุดจรดยอดที่สูงที่สุด   พวกเผ่าครุฑถูกรบกวนโดยตรงเช่นนี้คงไม่ยอมอยู่เฉยและคงจะโจมตีโดยไม่เลือกหน้าแน่ ๆ   พวกเขาไม่รู้จักพวกเรา   ดังนั้นกางม่านมิติไว้อย่างนี้จะปลอดภัยกว่า   ตอนนี้ข้างบนนั้นก็เกิดความระส่ำระส่ายไปทั่วแล้ว”   สิ้นคำของวูจินทุกคนก็เงยหน้ามองสูงขึ้นไปเหนือมหาพฤกษา   และเริ่มเห็นอะไรบางอย่างเป็นจุดเล็ก ๆ คล้ายนกหลายร้อยหลายพันตัวบินว่อนอยู่เหนือยอดอิกดราซิล
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: January 13, 2006, 01:44:35 AM »

                             “ใช่   เผ่าครุฑที่ไม่เคยลงมาสุงสิงกับพวกบนพื้นดินอย่างเรา   จนดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าในนิยายปรัมปราเสียมากกว่า   วันนี้แหละที่เราจะได้เห็นพวกเขาด้วยตาตัวเอง” วูจินเอ่ยตอบความคิดของใครคนหนึ่ง
                              เพียงอึดใจเดียวฝูงธนูที่เร็วยิ่งกว่าลูกธนูใด ๆ ที่พวกชาวป่าเคยเห็นก็กระหน่ำใส่กองทหารของซาโลมราวกับห่าฝน   เสียงหวีดหวิวของลูกธนูแหวกอากาศดังแหลมจนพวกเผ่าสมิงที่มีประสาทรับเสียงดีกว่ามนุษย์หลายเท่าต้องรีบปิดหูและข่มเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด   ลูกธนูบางลูกพุ่งผ่านร่างของทหารซาโลมผู้กำลังวิ่งผ่านม่านมิติจนทะลุเสื้อเกราะปักลงพื้นดินอย่างแรงก่อนที่ร่างของทหารนายนั้นจะถลาคว่ำลงต่อหน้าทุกคนพร้อม ๆ กับลูกธนูอีกหกดอกพุ่งปักหลังอย่างรวดเร็วและมีถึงสามดอกที่ปักตรงตำแหน่งของหัวใจพอดี   วานาอันถึงกับกลั้นเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวไม่อยู่   ผวาซบหน้าลงกับไหล่ของพี่ชายด้วยความตื่นตระหนกเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด   ฮารีซันกอดน้องไว้แน่นเงยหน้าขึ้นมองเหล่าครุฑผู้ใช้ธนูเป็นอาวุธ
                              บรรดาชาวป่าต่างก็นิ่งเงียบตกตะลึงอีกเป็นครั้งที่สอง   ครั้งแรกคือการได้เห็นมังกรมารัคและครั้งที่สองก็คือได้เห็นฝีมือการโจมตีของเผ่าครุฑในตำนานที่ทำให้ทุกคนต้องตาค้าง  
                              “เป็นไม่ได้   พวกนั้นเล็งเป้าที่อยู่ห่างขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?” แกสซ์พึมพำอยู่ในลำคอด้วยความฉงนอย่างที่สุดเมื่อมองสูงขึ้นไปจนคอตั้ง “ไม่มีทางที่ใครจะสามารถเล็งเป้าหมายได้แม่นยำด้วยความสูงถึงขนาดนั้น   ไม่มีทาง!”
                              “นี่มันสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกัน?” โทมาฮอว์ค เลิพเพิร์ด คำรามถามเสียงแผ่ว   เพราะแม้เขาจะเคยเห็นสมิงที่สายตาเฉียบคมที่สุดในเผ่าเล็งธนูมาแล้ว   แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นนี้    
                              “นั่นคงจะเป็นอีเกิ้ลการูด้า(Eagle Garuda)  ครุฑสายพันธุ์อินทรีที่มีสายตาเฉียบคมกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายร้อยเท่า” วูจินตอบ
                              จากนั้นไม่นานเหล่าเกลการูด้า(Gale Garuda) หน่วยจู่โจมของเผ่าครุฑ   ผู้มีหอกปลายแหลมสามคมเป็นอาวุธ   ซึ่งนอกจากปลายยอดที่แหลมคมแล้ว   ที่คมด้านข้างทั้งสอง   ฝั่งหนึ่งมีรูปร่างคล้ายฟันปลาและอีกฝั่งหนึ่งเป็นโลหะคมโค้งยกปลายขึ้นด้านหนึ่ง   หากโดนหอกลักษณะนี้ทำร้ายแล้วละก็เนื้อบริเวณที่ถูกแทงจะฉีกยุ่ยยากแก่การสมานแผล   ผนวกกับความรวดเร็วปานลมกรดของหน่วยจู่โจม   ดังนั้นใครที่ถูกจู่โจมโดยเหล่าเกลการูด้าจึงแทบจะไม่เหลือโอกาสรอดชีวิต
                              ฝูงเกลการูด้าบินหลบหลีกต้นไม้และการคลั่งอาละวาดของมังกรมารัคได้อย่างว่องไวและง่ายดาย   เหล่าครุฑต่างโฉบปักหอกงัดร่างทหารซาโลมเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ   และทันใดนั้นเองฝูง การาสุ (Garasu) ครุฑสายพันธุ์อีกาที่บินคอยท่าอยู่แล้วก็ควงเคียวสองปลายอันแหลมคมสะบัดตัดร่างทหารซาโลมขาดออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
                              ทหารซาโลมที่กำลังระส่ำระส่ายต่างก็แตกทัพวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปกันคนละทิศละทาง   เมื่อเห็นว่าทัพซาโลมเริ่มถอยร่นออกไปจากบริเวณเขตมหาพฤกษาอิกดราซิลแล้ว   เสียงร้องที่แหลมสูงอย่างพญาเหยี่ยวของพญาเกลการูด้า(Elite Gale Garuda)ซึ่งมีขนาดปีกใหญ่กว่าหน่วยเกลการูด้าทั่วไปถึงเกือบสองเท่าก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณสั่งการถอนกำลัง
                              ฝูงเกลการูด้าและการาสุต่างโผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนืออิกดราซิลทันที   และในทันใดนั้นพลหอกครุฑ(Garuda Lancer)หลายพันนายก็โฉบลงมาจากกิ่งก้านของมหาพฤกษาจากทุกทิศทุกทาง   ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าพวกพลหอกเหล่านี้มาซุ่มเกาะอยู่ตามกิ่งก้านของต้นไม้ยักษ์ตั้งแต่เมื่อไหร่?   และแล้วฝูงพลหอกก็บินโฉบไล่ตามทหารซาโลมเข้าไปในป่าลึก  
                              เพียงพริบตาเดียวทั่วทั้งบริเวณก็แทบจะไม่เหลือร่องรอยของเผ่าครุฑให้เห็นอีกเลย   แม้แต่ซากของเหล่าครุฑบางตัวที่พลาดท่าจากการต่อสู้ก็ยังถูกโฉบหายลับเข้าไปในร่มใบอันหนาทึบของต้นอิกดราซิล   เหลือไว้แต่เพียงศพของทหารซาโลมและชาวป่าที่นอนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นที่รกไปด้วยเศษซากต้นไม้ ใบไม้ และ ร่องรอยของการทำลายจากมารัคเท่านั้น
                              “ช่างเป็นการรบที่ดุเดือด รุนแรง และ รวดเร็วที่สุด” ฮารีซันพึมพำเสียงเครียด
                              “ชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่ได้เห็นการรบแบบนี้ที่ไหนอีกแน่” แกสซ์พูดหลังจากยืนตะลึงมองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่นาน
                              “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นเลิศด้านการรบเช่นนี้อาศัยอยู่ในป่าเดียวกับพวกเรา” คาร์นเอ่ยพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับคำของแกสซ์ ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าหากพวกเราเป็นผู้ถูกโจมตีในวันนี้   พวกเราจะต่อกรกับเผ่าครุฑอย่างไร?”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: January 13, 2006, 01:47:08 AM »

                         “เราโชคดีแล้วที่ไม่ต้องรบกับพวกเขา” นายพลทราเฮิร์นเปรยด้วยความโล่งใจ
                          “แล้วเจ้ามังกรนั่นล่ะ?” โทมาฮอว์ค เอ่ยถามขึ้นพลางเหลือบไปมองหลังมังกรยักษ์ที่ดูเหมือนจะยังคงไล่ตามทหารซาโลมอย่างไม่ลดละ   โดยมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ใกล้เขตเผ่าฟูดินันเข้าไปเรื่อย ๆ
                          “เผ่าของเรา!?!” วานาอันอุทานด้วยความตื่นตระหนก   เมื่อเงยหน้าขึ้นมองมังกรมารัค   ในขณะที่ฮารีซันนั้นกำหมัด ริมฝีปากเม้มแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
                          “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” วูจินผ่อนลมหายใจหนัก ๆ กล่าวเสียงเรียบ   แต่ใบหน้ากลับดูเครียดขึงยิ่งกว่าเดิม “ข้าคงม่านมิติไว้ได้อีกไม่นานแล้ว   เมื่อถึงเวลานั้นให้พวกเรารีบย้ายไปหลบยังที่ปลอดภัย   ไม่ต้องห่วงมารัค   เมื่อมันเห็นว่าพวกซาโลมออกไปไกลจากมหาพฤกษามากพอแล้วมันจะกลับมาที่นี่เอง   เพราะการที่มันอยู่ร่วมกับเทพอิกดราซิลมานานเหลือเกิน   ทำให้มันซึมซับจิตวิญญาณของเทพพฤกษาและมีจิตผูกพันจนแยกจากมหาพฤกษาไม่ได้อีกแล้ว   ไม่ต้องกังวลหรอก” วูจินกล่าวถึงมารัคเพื่อตอบคำถามในใจของใครหลาย ๆ คนในม่านมิตินั้น
                          หลังจากนั้นอีกเป็นครู่ใหญ่กว่าที่ม่านมิติจะค่อย ๆ หดตัวลงและจางหายไปในที่สุด   พร้อม ๆ กับร่างที่อ่อนปวกเปียกของท่านผู้เฒ่าที่หงายล้มลงไปกับพื้น   ดีที่ฮารีซันยื่นมือออกไปรับไว้ได้ทัน
                          “ท่านผู้เฒ่า!” “ท่านวูจิน!” เสียงตื่นตระหนกของบรรดาหัวหน้านักรบดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
                          “ท่านปู่คะ! ท่านปู่” วานาอันน้ำตาไหลเป็นทางอาบแก้มนวลด้วยความกลัวจับใจว่าปู่ของตนจะเป็นอันตราย
                          “ไม่เป็นไรวานาอัน   ท่านปู่เพียงแต่เสียพลังไปมาก และต้องการการพักผ่อนอย่างมากเท่านั้น” ฮารีซันปลอบน้องสาวเพราะเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเธอ   เนื่องจากเธอเพิ่งจะเคยเห็นท่านปู่วูจินใช้อาคมนี้เป็นครั้งแรก   ฮารีซันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ แต่ลึก ๆ ในจิตใจแล้ว   เขาเองก็มีความวิตกกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน   เนื่องเพราะรู้ดีว่าการร่ายคาถากางม่านมิติขนาดใหญ่เป็นเวลานานหลายชั่วยามเช่นนี้ต้องใช้พลังเวทย์จำนวนมหาศาล   ด้วยวัยที่ชราของวูจินทำให้ขณะนี้ท่านผู้เฒ่าถึงกับหมดสติไปด้วยความเหนื่อยอ่อน และคงต้องใช้เวลาพักผ่อนเพื่อฟื้นกำลังเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว
                          ฮารีซันจัดแจงแบกปู่ของตนขึ้นหลังโดยใช้แขนเพียงข้างเดียวก็สามารถแบกวูจินไว้ได้อย่างสบาย ๆ   ส่วนมืออีกข้างก็จูงมือน้องสาวไว้หลวม ๆ   เพราะหลังจากที่วานาอันพลัดหลงกับพวกตนเมื่อตอนฝูงมังกรไฟบุกทำลายป่า  ทั้งวูจินและฮารีซันจะระมัดระวังเป็นพิเศษ   เพื่อไม่ให้สาวน้อยที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจต้องพลัดหลงและอาจต้องผจญกับอันตรายถึงชีวิตเมื่อต้องอพยพเป็นขบวนใหญ่เหมือนครั้งนั้นอีก   จากนั้นจึงรีบสั่งเคลื่อนกำลังออกจากเขตร่มใบของมหาพฤกษาอิกดราซิล   มุ่งหน้าไปยังที่มั่นที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ระหว่างทางที่จะมุ่งหน้าสู่ค่ายอพยพทางทิศตะวันออกพอดี   ทำให้สามารถแปรทัพเป็นด่านหน้าคอยป้องกันศัตรูที่อาจเล็ดรอดไปถึงเขตค่ายได้
                          ระหว่างที่กำลังเร่งเคลื่อนทัพมุ่งหน้าลึกเข้าไปในเขตป่าฝั่งตะวันออกนั้นเอง   วานาอันซึ่งเดินเคียงข้างพี่ชายและคอยเหลือบดูท่านปู่วูจินอยู่ด้วยความเป็นห่วงเป็นระยะ ๆ   จู่ ๆ เด็กสาวก็ชะงักฝีเท้ายืนนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าสีเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด   มือเล็กบางเลื่อนหลุดจากการจูงของพี่ชาย   ทำให้ฮารีซันต้องหยุดเดินหันกลับมามองน้องสาวของตนด้วยความสงสัยและเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ
                          “เป็นอะไรหรือวานาอัน? เกิดอะไรขึ้น?” ฮารีซันขมวดคิ้วก้าวเข้าไปใกล้
                          วานาอันหันหน้าไปยังทิศที่มั่นของค่ายผู้อพยพทางใต้ชั่วอึดใจหนึ่ง   และเริ่มตัวสั่นเหมือนลูกนกที่ถูกคุมคาม   พี่ชายได้แต่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกเมื่อสังเกตเห็นความตื่นกลัวนี้   เธอยืนเหมือนช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งท่าวิ่งออกไปยังทิศทางนั้น   ฮารีซันรีบคว้ามือน้องสาวไว้แทบจะทันที   เมื่อหันกลับมามองหน้าพี่ชายอีกครั้ง   น้ำตาเป็นสายก็ไหลอาบสองแก้ม   ริมฝีปากสั่นระริกพยายามจะพูดแต่เสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงสะอื้นด้วยความเศร้าโศกและเจ็บปวดจนสุดบรรยาย   ขาทั้งสองอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่งพับกับพื้น   ฮารีซันใจหายวาบรีบพยุงวานาอันขึ้น   แต่เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น   จึงได้ย่อเข่าลงข้างหนึ่งแทน
                          “วานาอัน   น้องเป็นอะไรไป?   บาดเจ็บตรงไหน?” สาวน้อยได้แต่ส่ายหน้าแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้   ฮารีซันรีบกวาดตาสำรวจหารอยแผลที่อาจจะเล็ดรอดจากการป้องกันของเขาเข้ามาทำร้ายวานาอันได้   เมื่อแน่ใจว่าวานาอันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสอดส่ายสายตาไปทั่ว   เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูอยู่ในบริเวณนั้น
                          ทุกคนต่างหยุดฝีเท้าเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของสองพี่น้องบันดารา   นายทัพครึ่งม้าซึ่งไปถึงสองพี่น้องก่อนใคร
                          “เกิดอะไรขึ้นหรือท่านฮารีซัน? ท่านวานาอันบาดเจ็บหรือ?” นายพลทราเฮิร์นมองไปทางเด็กสาวที่พยายามหยุดสะอื้นไห้อย่างยากลำบาก   แต่แล้วก็กลับปล่อยเสียงโฮออกมาอีกครั้ง   ทุกคนเมื่อเห็นวานาอันร้องไห้เช่นนี้ต่างก็เป็นห่วงและเศร้าใจไปกับเด็กสาวผู้แสนบอบบางตรงหน้า
                          “วานาอันบอกพี่   อะไรทำให้น้องเสียใจและเจ็บปวดถึงขนาดนี้?” น้ำเสียงของฮารีซันกึ่งปลอบโยนกึ่งเศร้าสร้อยด้วยความสงสารน้องสาวจับใจ   วานาอันเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายดวงตายังคงฉายแววแห่งความเจ็บปวดและสิ้นหวัง   น้ำตาไหลไม่ขาดสาย   เด็กสาวสะอื้นจนตัวโยนพยายามพูดอย่างยากลำบาก
                          “พวกนั้น... พวกซาโลม...กำลังโจมตีค่ายทางใต้...พี่คะ...พวกเขากำลังฆ่าทุกคน!” วานาอันระเบิดเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดไม่อาจพูดอะไรได้อีก   ได้แต่กอดคอพี่ชายแน่นซบหน้าร้องไห้ลงกับไหล่   ในขณะที่ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสี   สารพัดความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ประเดประดังกันเข้ามา ทั้งใจหาย เย็นสันหลังวาบ เจ็บปวด โกรธเคือง หวาดหวั่น ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก   พวกเขาประมาทพวกซาโลมมากไปหรือนี่?
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: January 13, 2006, 01:48:22 AM »

                       หลังจากที่บลาส เซจยกทัพไปไม่นาน   กษัตริย์ซาดินที่มองดูการรวบรวมทรัพย์สมบัติและเสบียงต่าง ๆ ของเผ่าสมิง   มองดูความอุดมสมบูรณ์ที่เย้ายวนตรงหน้า   ความอยากที่จะครอบครองทุก ๆ อย่างในผืนป่าแห่งนี้ก็ยิ่งโหมกระพือรุนแรงเสียจนมิอาจอดใจได้อีกต่อไป   จึงทรงคิดได้ว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะนั่งเฝ้าสมบัติและรอคอยการกลับมาของกองทัพที่นำโดยบลาส เซจ   ก็ในเมื่อป่าทางใต้ก็อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน   ทำไมจะต้องเสียเวลารอกองทัพกลับมาด้วยเล่า?   แค่ลำพังพระองค์เองกับทหารไม่กี่พันก็สามารถพิชิตพวกชาวป่าที่อ่อนแอพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย   เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ทรงสั่งเคลื่อนทัพทันที  โดยทิ้งทหารไว้เพียงส่วนหนึ่งในการเฝ้าสมบัติและคอยรวบรวมสมบัติที่ทยอยลำเลียงมาจากทัพใหญ่  
                        กษัตริย์ซาดินเคลื่อนทัพผ่านเผ่าต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว   ซึ่งก็แทบจะไร้ผู้ต่อต้านและร้างผู้คนตลอดแนวการเดินทัพ   ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนล้วนอพยพออกจากเผ่าไปจนหมดแล้ว   ยิ่งเคลื่อนทัพต่อไปอารมณ์ของพระองค์ก็ยิ่งพลุ่งพล่าน   เมื่อทรงคิดว่าพวกชาวป่าขนทรัพย์สมบัติหนีพระองค์ไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งกลางป่าอันหนาทึบนี้
                        ล่วงเข้าวันที่สาม   ทันทีที่พระองค์ข้ามทำนบสูงของแม่น้ำสายใหญ่ไปได้   พระองค์ก็ทรงได้กลิ่นอายของชีวิตที่โชยมาพร้อม ๆ   กลิ่นแผ่ว ๆ ของอาหารที่กำลังสุกส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งมาตามลมเป็นระยะ ๆ    ซึ่งก็คงจะมีจำนวนมากมายเลยทีเดียว   เพราะกลิ่นที่ชัดเจนในระยะไกลเช่นนี้ย่อมหมายความว่ามีการร่วมกลุ่มกันขนาดใหญ่มากนั่นเอง  
                        กษัตริย์ซาดินทรงยิ้มด้วยใบหน้าที่ค่อย ๆ เหี้ยมเกรียมขึ้นทุกที ๆ   ยิ่งเคลื่อนทัพลึกเข้าไป   สรรพเสียงและกลิ่นต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
                        “แอบมาหลบกันอยู่ที่นี่เองรึ? หึ หึ” เสียงหัวเราะในลำคอที่แสดงออกถึงความโหดเหี้ยมและกระหายการเข่นฆ่าอย่างไม่คิดจะปิดบังของพระองค์   ทำให้คนที่ได้ยินต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว  
                        ความหงุดหงิด ความขุ่นเคือง และ ความโกรธเกรี้ยวที่สะสมมาตลอดตั้งแต่เริ่มเคลื่อนทัพจากจักรวรรดิซาโลมจนถึงบัดนี้อัดแน่นอยู่ในร่างจนใกล้ระเบิดออกมาเต็มทีแล้ว   หากพระองค์ไม่ได้ระบายมันออกมาภายในวันนี้    พระองค์คงต้องคลุ้มคลั่งจนถึงขั้นเสียสติเป็นแน่   ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการฆ่าเพื่อระบายความคลั่งแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอกอีกแล้ว   พระองค์ควงกระบองคู่กายด้วยความฮึกเหิม   ไม่ทรงต้องการได้ยินเสียงใด ๆ นอกจากเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด  
                        ทันทีที่พระองค์เริ่มทรงมองเห็นยอดหลังคาของหอสูงอยู่ลิบ ๆ   ซึ่งใครสักคนบนนั้นก็คงจะสังเกตเห็นความผิดปกติของบรรดานกน้อยใหญ่ที่แตกตื่นบินกระพือขึ้นด้วยความตกใจตามทางที่กองทัพเดินผ่านเช่นกัน   เพราะหลังจากที่พระองค์ทรงเห็นยอดของหอสูงเพียงชั่วอึดใจ   เสียงแตรเขาสัตว์ที่ทุ้มกังวานก็ดังขานรับเป็นทอด ๆ ในทันใด
                        “แบบนี้สิถึงจะน่าตื่นเต้นหน่อย” เลือดทั่วร่างของพระองค์สูบฉีดเร็วและแรงขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงควบของม้า และฝีเท้าจำนวนหนึ่งดังใกล้เข้ามาซึ่งคงเป็นหน่วยลาดตระเวนที่ถูกวางกำลังอยู่รอบ ๆ บริเวณนี้   กษัตริย์ซาดินตวัดกระบองเป็นสัญญาณ   กองทัพเพลิงต่างก็รีบเตรียมอาวุธของตัวเองกระจายทัพออกเป็นวงกว้างรูปครึ่งวงกลมคล้ายจะล้อมกรอบผู้ที่กำลังจะมาถึง   พระองค์ทรงเหลือบมองไปทางหลังคาของหอสูงอีกครั้ง   อันเป็นเป้าหมายต่อไปของพระองค์ “มาเลย...รีบเข้ามากันเลย หึ หึ”
                        ทันทีที่ทรงเห็นเซนทอร์ในชุดเกราะตัวแรก...การเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนก็เริ่มขึ้น

                        บริเวณที่ตั้งค่ายผู้อพยพทางทิศใต้   บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความวังเวง โศกสลด และแสนหดหู่   เลือดแห้งกรังที่ไหลชโลมพื้นหญ้าและสาดกระเซ็นไปทั่วตั้งแต่พื้นดินไปจนถึงต้นไม้บ่งบอกถึงการเข่นฆ่าอย่างบ้าเลือดของกองทัพโฉด   กลิ่นซากศพที่เริ่มเน่าส่งกลิ่นแสบฉุนคละคลุ้ง   เศษเครื่องประดับที่กระจายเป็นหย่อม ๆ ฟ้องว่าเหล่าทหารโหดไม่สนใจจะค่อย ๆ ถอดเครื่องประดับออกจากเหยื่อที่ตนสังหาร   คงจะกระชากออกมาเหมือนหมดความอดทนใด ๆ ทั้งสิ้นโดยไม่สนใจว่าเหยื่อจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?   บางศพก็เนื้อตัวขาดวิ่นด้วยถูกคมดาบที่ฟาดฟันใส่นับไม่ถ้วน   ซากศพหลายร้อยที่แข้งขาบิดเบี้ยวจนผิดรูปนอนกระจัดกระจายเต็มเนินหินแคบ ๆ ซึ่งเป็นตะปุ่มตะป่ำใต้ทำนบสูงคล้ายกับว่าพวกเขาถูกผลักดันให้กระโดดหนีผู้รุกรานแสนอำมหิต   แต่เพราะทำนบที่สูงเกินไปและพื้นรองรับที่ไม่เรียบทำให้ขาของพวกเขาหักและต้องตายอย่างช้า ๆ ด้วยความทรมานแสนสาหัส   ใกล้ทำนบนั้นมีร่างของเด็กน้อยที่ไร้วิญญาณนอนจมกองเลือดห่างจากร่างที่ฉีกขาดและเริ่มเน่าเปื่อยของผู้เป็นมารดาเกือบสองช่วงแขน   ซึ่งคงเพราะถูกกระชากออกมาจากอ้อมแขนของมารดาและถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด   ภาพตรงหน้ายังความสะเทือนใจให้แก่ทุกคนที่ได้พบเห็น  
                         ฮารีซันบรรจงอุ้มร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยอย่างทะนุถนอมแล้วค่อย ๆ นำไปวางไว้บนอกของผู้เป็นมารดา   ดวงตาแดงก่ำแวววับไปด้วยหยาดน้ำใส   ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอดกลั้นฝืนข่มความสะเทือนใจจนมือที่กำแน่นนั้นสั่นเกร็ง  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: January 13, 2006, 01:49:32 AM »

                       “ถ้าเรามาถึงเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย...” พูดได้เพียงเท่านั้นเสียงคำรามอย่างโกรธเคืองของแกสซ์ก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับแสยะเขี้ยวดุดัน
                        ในขณะที่โทมาฮอว์คก็จามขวานใส่พื้นโครมใหญ่ด้วยความเจ็บใจ   ทุกคนมีแต่ความเงียบ   ไม่มีคำพูดใด ๆ จะมาบรรยายความรู้สึกในเวลานี้ได้อีกแล้ว   นายพลทราเฮิร์นใช้ทวนแหลมตวัดตะขาบร้าย(Fierce Centipede) ซึ่งเป็นตะขาบกินศพที่เริ่มมากัดกินร่างของพวกบรรดาชาวป่า   เขากระทำอย่างเบามือตวัดตะขาบร้ายออกจากร่างของเซนทอร์เรนเจอร์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะย่อเข่าลงข้างหนึ่ง   อันเป็นการแสดงความเคารพต่อศพเพื่อนร่วมเผ่าหนึ่งในผู้ปกป้องค่ายแห่งนี้
แม้ว่าฮารีซันพร้อมด้วย แกสซ์ โทมาฮอร์ค และ ทราเฮิร์น จะแบ่งทัพมาเพื่อช่วยเหลือค่ายทิศใต้ทันทีที่วานาอันแจ้งข่าวร้าย   ทว่าทั้ง ๆ ที่ทุกคนเดินทัพอย่างเร่งรีบโดยแทบจะไม่ได้หยุดพัก   แต่ก็ใช้เวลาไปถึงสี่วันเต็ม ๆ   กว่าที่ทัพชาวป่าจะเดินทางมาถึงก็ไม่มีใครเหลือรอดชีวิตแม้เพียงสักคนเดียว    
                        ทัพชาวป่าต้องใช้เวลาถึงสองวัน   กว่าจะรวบรวมซากร่างที่แหลกเหลวของเหล่าชาวป่าได้ครบเพื่อทำพิธีเผาส่งวิญญาณพวกเขา   เมื่อขบวนญาติพี่น้องและเพื่อนพ้องของผู้ที่จากไปจากเผ่าต่าง ๆ เดินทางมาถึง   เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้ที่สูญเสียผู้เป็นที่รักก็ดังระงมไปทั่วด้วยความโศกสลด หวาดกลัว และสิ้นหวัง   ชีวิตของพวกชาวเผ่าน้อยใหญ่ทั้งหลายในป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว  


s
[/b]


                        หลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลงซึ่งกินเวลานานกว่าสองอาทิตย์   กองทัพของจักรวรรดิซาโลมที่กระจัดกระจายไปนำโดยบลาส เซจ   ผู้ซึ่งรอดพ้นจากการทำลายล้างของมังกรมารัคและนักรบเผ่าครุฑมาได้อย่างหวุดหวิด   แม้จะได้รับบาดเจ็บบ้างแต่ก็สามารถกลับมารวมทัพกับกษัตริย์ซาดินที่บริเวณเผ่าสมิงได้สำเร็จ   กองทัพเพลิงเวลานี้แม้จะสูญเสียทหารไปจำนวนไม่น้อยจากการนำทัพของบลาส เซจ   ซึ่งเพราะการแตกทัพออกไปถึงสามทัพ   ทำให้กองทัพเพลิงเปิดช่องโหว่ให้พวกชาวป่าจนสูญเสียกำลังพลหลายหมื่นนาย   ทั้งยังถูกโจมตีจากพวกเผ่าครุฑและมังกรมารัค   กระนั้นสมบัติและเสบียงอาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่มีมากมายมหาศาลก็ทำให้กษัตริย์ซาดินลืมการสูญเสียครั้งนี้ไปได้ไม่ยากนัก    ครั้นแล้วเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงเห็นว่าไม่ประโยชน์อันใดที่จะอยู่ในป่าทึบนี้อีกต่อไปแล้ว   จึงทรงตัดสินใจนำทัพออกไปสมทบกับทัพใหญ่ที่ฝั่งฟีเลเซียทันที   เพราะเมื่อทางเข้าเปิดโล่งเช่นนี้พระองค์จะนำทัพเข้ามาขนเสบียงอาหารอีกเมื่อไหร่ก็ได้   ดังนั้นกองทัพซาโลมจึงจากไปพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมายและเสบียงอาหารจำนวนมหาศาล   ในขณะที่เผ่าน้อยใหญ่ทั้งหลายภายในป่าต่างก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวกับการบุกปล้นสะดมที่แสนจะโหดเหี้ยมอำมหิตของกองทัพเพลิงในครั้งนี
« Last Edit: January 13, 2006, 01:49:49 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: February 06, 2006, 10:15:30 AM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่จ๊ะ


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=18734
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.115 seconds with 21 queries.