Summoner Master Forum
November 26, 2024, 01:22:39 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: FANTASY WORLD VI  (Read 2828 times)
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« on: November 30, 2005, 11:14:01 PM »

FANTASY WORLD VI

Chapter One : Return of the New Way

ตึ๊ดดดดดดดดด..... ตึ๊ดดดดดดด.....

“กรุณาฝากข้อความ”
“พงวิช นี่เราตั้มนะ อยู่ไหนวะ 5 ปีมานี้ได้เจอกันแค่ครั้งเดียวเองคือเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนี้เราอยู่ที่เมเทลิโอส ไว้โทรกลับหาบ้างละ” เสียงฝากข้อความนั้นดังขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง พงวิชที่นอนหลับสบายในห้องเล็กๆกลางมหานครเวลเรี่ยนนั้นตื่นขึ้นมา
“ฉันสบายดี ตั้ม ไว้วันหลังเราจะกลับมาเจอกันอีก” หลังจากที่เขาได้ล้างหน้าเตรียมตัวอะไรเสร็จ เขาก็ออกมาจากบ้านและขึ้นขี่มอเตอร์ไซด์คันโปรดของเขาที่เขาใช้ชื่อว่า เกมริว ทันทีที่เขาขึ้นขี่ได้เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“พงวิช นี่ฉันแซ๊ก มีงานใหม่เข้ามา ให้นายไปเอาของที่เซร่าและพาเธอไปที่บ้านหลังหนึ่งบนภูเขาเซม่อน”
“เฮอะ งานอีกแล้วเหรอ” พงวิชถาม
“ใช่มันเป็นงาน แต่อย่างว่าแหละ ถ้ามันไม่อันตราย คนที่มาจ้างก็คงจะไปส่งเอง ดูแลตัวเองดีๆด้วยละ” แซ๊กตอบ
“โอเค งั้นเสร็จงานเดี๋ยวจะโทรไปบอก” พงวิชบอกแล้วก็เก็บโทรศัพท์
“เซร่า เธอไปเองก็ได้หนิ” พงวิชพูดพรางๆ จากนั้นเขาก็สตาร์ทเครื่องเกมริวและขับออกไปทันทีไปตามทางด่วน

บรึ้น... บรึ้น... เสียงมอเตอร์ไซด์ของพงวิชที่ขับมาจอดที่ร้านค้าแห่งหนึ่งในย่านชานเมือง
“เธอมาช้าไป 10 นาทีนะ” เซร่าเดินเข้ามาพร้อมกับแสดงนาฬิกาให้ดู
“ใช่ ฉันผิดเอง เอาล่ะ ของอยู่ไหน” พงวิชถาม เซร่าจึงเดินกลับเข้าไปในร้านค้า
“นี่เซร่า อายุ 21 ปี เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของผม เธอมีผมสีดำ เสน่ห์แรงเลยทีเดียว แต่ผมก็คิดกับเธอเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง”
“เหม่ออะไรอยู่เหรอพงวิช” เซร่าถาม
“ของละ” พงวิชถาม
“เอามาแล้วละ ทีนี้ก็ไปส่งฉันตามที่แซ๊กบอกแล้วกัน” เซร่าตอบแล้วก็เดินมาขึ้นซ้อนด้านหลังมอเตอร์ไซด์และขับออกไป

พงวิชนั้นขับเกมริวไปทางเหนือของเวลเรี่ยนจนออกนอกเมือง ไปในเขตป่าเซม่อน
“พงวิช” เซร่าทักขึ้น
“หือ” พงวิชหันมามองเล็กน้อยและหันกลับไปมองทาง
“เราทำงานร่วมกันมาหลายงาน เป็นเวลา 1 ปีเศษ ฉันยังไม่เคยถามเธอเลยว่า เธอมีแฟนรึยัง หรือมีคนชอบแล้วหรือยัง” เซร่าถาม พงวิชนั้นชะงักไปสักพัก
“ใช่ฉันเคยมีคนที่ฉันชอบ แต่ตอนนี้มันก็คงหมดหวังแล้วละ ถ้าเธอรู้จักฉันในสมัยก่อนเธอก็คงจะไม่มาคบกับฉันหรอก” พงวิชตอบ
“เธอคงจะเศร้าใจมากเลยซินะ เอาล่ะ บ้านบนนั้นนั่นแหละ ส่งฉันที่นั่น แล้วเย็นนี้ประมาณ 6 โมงเย็น มารับฉันด้วยนะ” เซร่าบอก

เมื่อทั้งคู่มาถึงเซร่าก็ลงจากหลังและเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นคนเดียว จากนั้นพงวิชก็หยิบมือถือขึ้นมาและโทรหาแซ๊ก
“แซ๊ก  ฉันพาเซร่ามาส่งที่หมายแล้ว ทีนี้จะเอาไงต่อ” พงวิชถาม
“ฉันมี 2 ทางเลือกพิเศษให้นายแล้วกัน ทางเลือกแรก ไปที่เนินเขา ไม่ระบุว่าเนินเขาไหน แต่ว่าอยู่รอบๆซากเมืองอิสฟา ทางเลือกที่สอง ไปที่หมู่บ้านอินเดท อิศรา เพื่อนเก่านายอยากเจอนายละ แต่อย่างว่าละ ทุกอย่างที่ฉันพูดล้วนแต่เป็นปริศนา ทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง นายจะเจอเหตุการณ์ดีและร้าย เลือกให้ดีละ” แซ๊กบอก
“งั้นฉันเลือกทางเลือกร้ายแล้วกัน โอเค ฉันจะไปอิสฟา” พงวิชพูดเสร็จก็วางสายแล้วก็ขับเกมริวออกไปทันที

“อิศราเหรอ ถ้าพวกเราคือเพื่อนกันจริง อีกไม่นานชะตากรรมจะนำพาพวกเรามาพบกันอีก” พงวิชนึกไปในใจแล้วจู่ๆเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า ใบหน้าของเธอนั้นเขาจำได้ว่าเคยเจอเมื่อ 5 ปีก่อน เขาจึงหักหลบทันทีจนมอเตอร์ไซด์ล้ม แต่พอเขาลุกขึ้นมาก็ไม่เห็นหญิงสาวคนนั้นแล้ว แต่พอเขามองไปที่เส้นทางดีๆ เขาเห็นเส้นลวดเล็กๆขึงกับต้นไม้ ทำให้เขานั้นตกใจอย่างมาก
“หญิงสาวผู้นั้นมาช่วยชีวิตเราไว้เหรอเนี่ย” พงวิชตะลึงกับเหตุการณ์ไปอยู่สักพักแล้วเขาก็ขับเกมริวไปต่อ

1 ชั่วโมงผ่านไป

พงวิชก็ขับเกมริวมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่งแถบๆซากเมืองอิสฟา ซึ่งพื้นที่เขตนี้กว้างออกไปหลายกิโลเมตรเป็นพื้นที่แห้งแล้งและกันดารไม่มีพืชหญ้าขึ้นเลยสักนิด เขาดับเครื่องยนต์และมองดูซากเมืองและนึกย้อนไปในเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่พวกเขาทั้ง 6 ได้มาเจอกันอีกเมื่อ 3 ปีก่อน
“พงวิช Long time your see come back” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังแล้วชายคนนั้นก็เดินมายืนข้างๆมองดูซากเมือง
“อรุณ” พงวิชตกใจที่ได้เจอ
“ใช่ เราเอง” อรุณตอบแล้วก็หันมามอง
“ที่แซ๊กบอกให้มาที่นี่ก็เพราะอย่างนี้เองเหรอ” พงวิชบอก
“ไม่หรอก เรามีข่าวร้ายและข่าวดีจะมาบอก” อรุณหยิบก้อนหินขึ้นมาและเขว้งเล่น
“ข่าวร้ายก่อนแล้วกัน” พงวิชถาม
“ข่าวร้ายก็คือนายตกงานวะ แซ๊กจ้างเรามาฆ่าแก และแม่สาวคนนั้น แต่ตอนนี้วินคงกำลังเล่นสนุกกับการทรมานเธออยู่มั้ง ส่วนข่าวดี ยินดีที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง จริงมั้ย” อรุณตอบ
“มาเพื่อบอกแค่นี้เองเหรอ” พงวิชถามต่อ
“ไม่หรอก ไม่ได้เจอกันมาตั้งเกือบ 5 ปีหลังจากไดนาส ฉันกับนพก็มัวเอาแต่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย เงินมีก็เที่ยวเล่น เงินหมดก็รับจ้างงาน อย่างน้อยวันนี้ก็มาเล่นสนุกๆกันสักนิดจะเป็นไรเล่า” อรุณหยิบถุงมือขึ้นมาสวม เมื่ออรุณสวมถุงมือเสร็จเขาก็ทำตาขวางมองใส่พงวิช

ปังงงง........

เสียงปืนดังขึ้น กระสุนไรเฟิลนั้นพุ่งเชี่ยวแก้มของพงวิชไปจนเป็นรอยและเลือดไหลออกมา
“ฝีมือตกไปเยอะเว้ย เซงเลย” นพตะโกนบอก พงวิชก็ปาดเลือดออก
“หมัดวายุ” อรุณออกหมัดซ้ายต่อยใส่ทันที พงวิชก็ดีดตัวหลบหมัดของอรุณพร้อมกับชักดาบออกมาฟันสวนกลับ
“หมัดเหล็ก 10 ทิศ” อรุณใช้หลังมือขวารับดาบของพงวิช ทั้งคู่มองหน้ากัน แต่เลือดที่ไหลออกมาจากถุงมือขวาของอรุณนั้นทำให้อรุณกำหมัดแน่น
“ฝ่ามือเมฆาล่องลอย” อรุณหมุนหมัดซ้ายเป็นคลื่นลมอัดใส่ลำตัวพงวิชจนกระเด็นออกไป พงวิชจึงพลิกตัวเอามือดีดพื้นตีลังกากลับมายืนพร้อมกับตั้งท่าสู้
“หมัดราชสีห์คำราม” อรุณพุ่งเข้ามาใช้หมัดทั้งสองข้างอัดใส่ลำตัวพงวิช แต่พงวิชนั้นใช้ดาบรับการโจมตีไว้แต่แรงกระแทกนั้นมหาศาล ทำให้ตัวเขานั้นเสียหลัก
“อสรพิษพิฆาต” อรุณใช้มือซ้ายชูสองนิ้วแทงใส่หน้าอกของพงวิชจนกระเด็นไปอีก

“ทำไมอรุณเร็วขึ้นมากขนาดนี้” พงวิชนึกพรางๆไปในใจพร้อมกับลุกขึ้นยืน แล้วเขาก็กระอัดเลือดออกมา
“เตรียมตัว เตรียมใจไว้ซะพงวิช” อรุณบอกพร้อมกับง้างหมัดชูขึ้น แต่ทันใดนั้น

ตึ๊ดดดดดดดดดด.................. ตึ๊ดดดดดดดดดดด...................

“อรุณ เดี๋ยว” พงวิชบอก
“ได้ๆ ไหนโทรศัพท์เดี๋ยวหยิบให้” อรุณลดหมัดลงและเดินเข้ามาหาพร้อมกับก้มตัวลงหยิบโทรศัพท์มือถือให้พงวิช
“เซร่าเหรอ” พงวิชถาม
“พงวิช ที่บ้านหลังที่เธอมาส่งน่ะ ไม่เห็นมีใครอยู่เลย” เซร่าตอบ
“อือ งั้นดีแล้วละ” พงวิชบอกแล้วก็ถุยเลือดออกจากปาก
“เธอเป็นอะไรมั้ย พงวิช” เซร่าถาม
“ไม่หรอก แค่รถล้มได้แผลนิดหน่อย” พงวิชตอบ
“ฉันก็พอหายห่วงแหละ แต่เอ๊ะ ! เดี๋ยวนะ มีคนมากดอ็อดที่หน้าบ้าน” เซร่าบอกแล้วก็วางสายไป
“เดี๋ยว ไม่” พงวิชพยาพยามจะเรียกแต่เซร่าได้วางสายไปแล้ว
“นั่นแหละเขา วิน โอเค ฉันเปลี่ยนใจไม่ฆ่าเพื่อนเก่าอย่างนายแล้วละ ดีนะที่เห็นว่ามีแฟนสาว ไปช่วยเธอซะ แล้วระวังตัวให้ดีละ วิน นั้นฝีมือเก่งกว่าฉันอีก” อรุณยื่นมือมา พงวิชจึงเงยหน้ามองดูใบหน้าของอรุณที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนอรุณในเมื่อก่อน ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
“ขอบใจมากนะอรุณ” พงวิชบอกแล้วก็จับมืออรุณให้อรุณดึงตัวของเขาขึ้น ทันทีที่ลุกขึ้นพงวิชก็เดินตรงไปที่เกมริว
“พงวิช” อรุณเรียก พงวิชจึงหันกลับมา
“ใช้ไอ้นี่ซะ วิน กลัวสิ่งนี้ ตราบใดที่พงวิชยังมีสิ่งนี้ติดตัว เขาไม่กล้าเข้าใกล้หรอก” อรุณโยนลูกแก้วสีขาวให้ พงวิชส่งยิ้มด้วยความเป็นเพื่อนให้ก่อนที่เขานั้นจะสตาร์ทเกมริวและขับออกไปในเส้นทางสายใหม่ในชีวิตของเขา

“อรุณ” นพตะโกนเรียก
“อะไรวะ” อรุณตะโกนกลับ
“ทำอะไรอยู่วะ” นพถาม
“จะอัดแกไง ไอ้เพื่อนยาก” อรุณพูดเสร็จก็วิ่งตรงไปยังจุดที่นพอยู่ ทันทีที่นพเห็นเขาก็วิ่งหนีทันที

“รอฉันก่อนนะเซร่า ฉันจะไปช่วยเธอ” พงวิชชักดาบอีฟริตออกมาประกอบเข้ากับดาบอายะและชักดาบเซฟิออกมาประกอบเข้าอีกอัน
“ไปเลยเกมริว ไปช่วยคนที่เรารักและห่วงใยกัน” พงวิชเร่งเครื่องเต็มที่ขับไปด้วยความเร็วสูง
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #1 on: December 05, 2005, 04:41:32 PM »

Chapter One-I : Thor Hammer

“นั่นใครค่ะ” เซร่าเดินมาหยุดที่ประตูและเอ่ยถาม

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงเคาะประตู ทำให้เธอนั้นเริ่มสงสัย
“นั่นใคร” เธอเอ่ยถามอีกครั้งความกลัว แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเกมริวที่ขับมาด้วยความเร็วสูง แต่เธอตกใจทันทีเมื่อประตูที่เธอยืนอยู่นั้นคอยๆเปิดเข้ามาอย่างช้าๆโดยที่เธอล๊อคประตูนั้นไว้ก่อนหน้านี้ เธอค่อยๆก้าวถอยออกไปอย่างช้าๆ แล้วก็มีเท้าข้างหนึ่งก้าวเข้ามา
ชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมกับมีดสั้นเล่มหนึ่ง

“เซร่าหลบไป” พงวิชขับเกมริวทะลุผนังบ้านจากด้านข้างเข้าชนใส่ชายคนนั้น
“ขึ้นมาเร็ว” พงวิชเรียก เซร่าจึงวิ่งกระโดดขึ้นซ้อนท้าย พงวิชจึงขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เซร่าถาม
“แซ๊กวางแผนฆ่าพวกเรา ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร แต่ตอนนี้เราคงจะไปจากที่นี่ก่อนสักพัก” พงวิชตอบ แล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้น เขามองไปในกระจกหลังก็เห็นลูกน้องของแซ๊กขับมอเตอร์ไซด์ตามมา
“เชื่อรึยังไงทีนี้” พงวิชบอกแล้วก็เบรกและปัดท้ายขวางทาง ทำให้ลูกน้องของแซ๊กบางคนที่ขับมาเร็วจนเบรคไม่ทันนั้นชนเกมริวจนเสียหลักและระเบิดไป และพวกที่ตามมาด้านหลังนั้นก็มาถึง พงวิชจึงรีบขับเกมริวไปต่อ

“เซฟิ ช่วยสกัดพวกที่ตามฉันมาด้วยนะ” พงวิชถอดดาบของเซฟิที่ประกอบอยู่นั้นออกและร่ายคาถาเล็กน้อยก่อนที่จะโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าปรากฏร่างของปักษาน้อยบินวนไปมา
“อีฟริต ช่วยจัดการกับพวกที่ข้างอยู่ข้างหน้าที่ห่างออกไปไกลจากตรงนี้ให้ด้วย” พงวิชถอดดาบอีฟริตออกแล้วเขวี้ยงไปข้างหน้าจนมีไฟพุ่งออกมาจากดาบและปรากฏร่างอสูรกายที่มีเปลวไฟเป็นร่างพุ่งตรงไปข้างอย่างรวดเร็ว
“จบแค่นี้แหละ” จู่ๆก็มีมอเตอร์ไซด์ของชายคนหนึ่งพร้อมคนขับพุ่งเข้ามาจากด้านข้างและเบียดเข้าชนใส่เกมริว
“แกเป็นใคร” พงวิชใช้เท้าถีบมอเตอร์ไซด์ของชายคนนั้นออกไป
“ฉันคือ เป๊กก้า ฉันมีหน้าที่มาฆ่าแก เตรียมตัวตายซะ” เป๊กก้าตอบพร้อมกับชูมือเล็งมาทางเกมริว
“Fire Ball” เขาร่ายเวทย์มนต์ลูกบอลไฟโจมตีใส่ พงวิชเห็นจึงกดเบรกหยุดรถทำให้รอดพ้นจากลูกไฟนั้น
“หมอนี่ มันเรียนรู้ด้านเวทย์มนต์มาด้วยเหรอเนี่ย” พงวิชตกใจอยู่สักพักก่อนที่จะตั้งจิตอันแน่วแน่และบิดเครื่องออกไปอย่างแรงพร้อมกับในมือขวาจับดาบอายะลากับพื้นจนเป็นรอยทาง เมื่อเกมริวขับไปได้เร็วขึ้นจนเร็วมากแล้วดาบอายะที่เสียดสีกับพื้นก็เกิดประกายไฟรุกขึ้นมาที่ปลายดาบ
“จบเสียที Fire Ball” เป๊กก้ายิงลูกบอลไฟใส่ ทันทีที่ลูกไฟนั้นระเบิด แต่แล้วเขากลับต้องตกใจเมื่อเห็นเกมริวขับฝ่าดงระเบิดไฟนั้นออกมา พงวิชใช้ผ้าคลุมของตนคลุมร่างของเซร่าไว้
“เพลงดาบสลายมนตรา” พงวิชยกล้อมอเตอร์ไซด์ของเขาและใช้ดาบอายะเสยขึ้นจนทำให้เกิดเป็นรอยแผลบนใบหน้าของเป๊กก้าตั้งแต่แก้มซ้ายไปยันถึงหางคิ้วขวา ร่างของเป๊กก้าที่โดนฟันลอยขึ้นจากพื้นและเลือดที่ไหลออกมานั้นกระเด็นสาดกระจายไปทั่วบริเวณ  
“ใครกันแน่ที่จะตาย” พงวิชเอาดาบอายะเชือดไหลออกกับพื้นโดยการลาไปตามทางและสะบัดเป็นระเบิดไฟขวางทางด้านหลังเอาไว้

“เมสโน่เรียกเป๊กก้าตอบด้วย” เสียงดังขึ้นมาจากวิทยุ
“นี่...เป..เป๊...เป๊กก...เป๊กก้า....ตอบ” เป๊กก้าเอาแรงเท่าที่มีพูดออกมา เขาไม่มีแรงที่จะขยับร่างไปไหน ต้องทนทุกข์ทรมานกับบาดแผลอันเจ็บปวดที่พงวิชฝากไว้บนใบหน้า

“พงวิช” เซร่าพูดขึ้น
“อะไร” พงวิชถาม
“ฉัน... ฉันไม่ไหวแล้ว” เซร่าตอบ พงวิชจึงเอ็ดใจจึงเบรกรถและหันไปมอง ทันทีที่เขาดึงผ้าคลุมออกเขาก็ตกใจ
“เธอโดนลูกบอลไฟนั้นไหม้ที่แขน ทำไมไม่บอกฉันตั้งแต่แรกละ” พงวิชกระชากแขนเสื้อของเซร่าออกและนำแขนเสื้อนั้นมามัดที่ต้นแขนของเธอไว้ เซร่าเห็นพงวิชทำเพื่อเธอขนาดนี้ทำให้เธอนั้นซึ้งใจในตัวพงวิช ก่อนที่พงวิชจะขับออกไป เธอกอดเอวของพงวิชไว้แน่น ทำให้พงวิชนั้นรู้สึกแปลกๆ
“ทนเจ็บไว้ก่อนนะ ฉันจะพาเธอไปหาหมอเดี๋ยวนี้ละ” พงวิชบอกแล้วก็เร่งเครื่องออกไปทันที

ทันทีที่พงวิชมาถึงสะพานแกรนวิลสัน เป็นสะพานที่ยาว 10 กิโลเมตร ที่ข้างล่างนั้นเป็นเหวลึก ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดครึ้มและฝนก็เริ่มกระหน่ำตกลงมา พงวิชขับเกมริวใส่แว่นตากันน้ำไปด้วยความเร็วสูงโดยไม่สนใจว่าสภาพอากาศหรือถนนจะเป็นยังไง
“พงวิช ฉันกลับมาแล้ว” เซฟิบินตามมาด้วยความเร็วสูงจนประชิดด้านของกับพงวิช
“ทำได้ดีมาก ช่วยดูให้ทีว่าข้างหน้าเป็นยังไง ฝนตกหนักฉันมองอะไรไม่เห็น” พงวิชตะโกนบอก เซฟิจึงบินสูงขึ้นไปและใช้สายตาอันแหลมคมของเขามองเส้นทางข้างหน้า
“เป็นเส้นทางตรง ไม่มีเลี้ยว” เซฟิตอบ พงวิชได้ยินเช่นนั้นจึงเร่งเครื่องเต็มที่

ตูมมมมมมมมม

เสียงระเบิดดังขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหัวของพงวิช พอเขามองขึ้นไปก็เห็นร่างของเซฟิตกลงมาอย่างสะบัดสะบอน
“เซฟิ ทำใจดีๆไว้ เจ้าทำดีที่สุดแล้ว กลับมาพักผ่อนเถอะ” พงวิชจับดาบของเซฟิประกอบเข้ากับดาบอายะ แล้วร่างของเซฟิก็สลายเป็นแสงสีเขียวรวมเข้าไปในดาบ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องเฮริคอบเตอร์บินอยู่ใกล้ๆ เขาพยายามมองหาแต่ก็ไม่พบ จนเฮริคอบเตอร์ลำนั้นยิงจรวดโจมตีใส่ ด้วยเสียงของจรวดทำให้พงวิชรู้ทิศทางของเฮริคอบเตอร์
“เพลงดาบตัดวายุ” พงวิชตะหวัดดาบอายะตัดสายฝนเป็นคลื่นโจมตีใส่เฮริคอบเตอร์ คลื่นดาบนั้นทำลายทั้งจรวดและเฮริคอบเตอร์จนระเบิด

ซู่....

พงวิชเห็นเสียงประกายไฟบางอย่างอยู่ข้างหน้า
“นั่นมันจรวดนี่” เมื่อจรวดจำนวนมากเหล่านั้นยิงโจมตีใส่พงวิช เขาก็หลบจรวดนั้นไปพลางกับใช้ดาบฟันจรวดเหล่านั้นบ้างที่หลบไม่ทัน จนสักพักเขาก็เห็นรถถังคันหนึ่งจอดขวางอยู่ข้างหน้า เขาจึงจับดาบอายะและดาบเซฟิที่ประกอบกันนั้นขึ้นมากางออกไปทางขวา เขายืดสุดแขน รถถังคันนั้นก็ยังระดมยิงจรวดโจมตีใส่ พงวิชก็หลบไปมาจนเข้าใกล้ในระยะ 500 เมตร
“คมดาบแห่งสายลม Wing Knight Sword” ดาบที่ประกอบกันนั้นเปร่งแสงสีเขียวออกมา จากนั้นพงวิชก็เขวี้ยงดาบนั้นออกไป ดาบที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงจนเป็นกงจักรสีเขียวตัดรถถังคันนั้นจนระเบิด พงวิชจึงขับฝ่ารถถังคันนั้นไปอย่างง่ายดาย พอผ่านพ้นออกมาเขาก็หยิบดาบที่ปักอยู่ข้างหน้าขึ้นมาสะพายไว้ด้านหลังดังเดิม

ไม่นานนักฝนก็เริ่มซาลง จนเขาพอมองเห็นถนน แล้วเขาก็ต้องมาชะลอความเร็วลงจนเกมริวนั้นหยุด
“ขอโทษด้วยทางนี้เป็นทางตัน” เมสโน่บอก
“มีเวลาเท่าไหร่” พงวิชถามแล้วทั้งคู่ก็ลงจากมอเตอร์ไซด์ของตน
“ไม่รู้ซิ ก็คงจะสักนาทีได้ก่อนที่ระเบิดจะตามมาทัน” เมสโน่ตอบแล้วเขาก็ชักดาบออกมา
“งั้นฉันจะจบการต่อสู้นี้ภายในครึ่งนาที” พงวิชชักดาบออกมาเช่นกัน เขาจ้องมองดูชายผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
“นายท่านโปรดให้ข้าสู้ต่อเถอะ” เสียงของเซฟิดังขึ้น
“เจ้ายังบาดเจ็บอยู่อย่าได้ลงแรงไปอีกเลย” พงวิชสื่อจิตกระซิบไปหา
“มัวชักช้าอยู่ได้ ก็ตายซะเถอะ” เมสโน่ชูแขนขึ้นเหนือหัวไขว้กัน และหมัดทั้งสองข้างของเขาก็มีฟ้าผ่าลงใส่จนมีพลังสายฟ้าไหลผ่านอยู่ในร่าง มือข้างขวาของเขาจับดาบสายฟ้าไว้แน่นและมือซ้ายมีพลังสายฟ้าไหลเวียน
“ทำไมคนพวกนี้ถึงมีพลังแปลกๆแบบนี้” พงวิชสงสัยทันที แต่แล้วเมสโน่ก็พุ่งเข้ามาโจมตีด้วยดาบสายฟ้า พงวิชจึงหมุนตัวถอยและในจังหวะที่หมุนตัวนั้นเขาใช้ดาบฟันสวนกลับ แต่เมสโน่กระโดดถอยหลบไปได้
“หลบเก่งดีนี่” เมสโน่บอก

“หมัดเปลวสายฟ้าฟาด” เมสโน่ใช้หมัดซ้ายอัดใส่พื้นจนเกิดฟ้าผ่าโจมตีใส่พงวิช ทันทีที่พงวิชโดนสายฟ้าฟาด ตัวเขาก็เริ่มชาทันทีแล้วก็ทรุดลง
“เสร็จละ ตายซะเถอะ” เมสโน่ง้างดาบขึ้น
“ใครกันแน่” พงวิชเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างน่ากลัว ทำให้เมสโน่เกิดสงสัยและระแวง พอเขากลับหลังหันไปก็โดนหมัดของอีฟริตตบใส่จนกระเด็นออกไปข้างสะพาน แต่เขาจับโครงเสาใต้สะพานเอาไว้ได้
“ขอบใจนะอีฟริต” พงวิชบอกแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินกลับมาที่รถ แล้วอีฟริตก็พุ่งเข้าหาพงวิชและสลายกลายเป็นดาบไฟดังเดิม พงวิชจึงประกอบดาบครบ 3 เล่ม แล้วระเบิดที่ถูกวางใต้สะพานนั้นก็ค่อยๆระเบิดตามมาเรื่อยๆ พงวิชจึงเร่งเครื่องออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงเมสโน่ที่รอเวลาระเบิดนั้นมาถึง

ในขณะที่ระเบิดได้ตามมานั้น เส้นทางข้างหน้าของเขาก็ใกล้ที่จะผ่านพ้นสะพานอันแสนยาวอันนี้ไปได้ แต่เขาเห็นสายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงยังบริเวณด้านหน้า แล้วเขาก็เห็นชายคนหนึ่งยืนขวางอยู่ข้างหน้า
“แกไม่รอดหรอก ฉันจะฆ่าแก” เมสโน่ขับมอเตอร์ไซด์ตามมาด้วยความเร็วสูง
“ฝากด้วยนะ” พงวิชบอก แล้วเขาก็เร่งเครื่องขับผ่านชายที่ยืนขวางทางนั้นไป
“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” ชายคนนั้นใช้หมัดสายฟ้าพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วเหนือแสงอัดใส่เมสโน่ทำให้เกิดแรงระเบิดสายฟ้าอันมหาศาลขึ้นทำให้สะพานช่วงนั้นขาดไปทันที

“อดทนไว้อีกนิดนะเซร่า ฉันกำลังจะพาเธอไปหาอิศรา เขาช่วยเธอได้” พงวิชหันมามองเซร่าเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วงแล้วเขาก็ขับตรงออกไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านแห่งทุ่งหญ้าอินเดท
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #2 on: December 07, 2005, 10:19:35 PM »

Chapter Two : Snow White Flower

ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งบนทวีปเมเตอริดอส ทวีปอันว่างเปล่าที่หนาวตลอดทั้งปี มีหิมะปกคลุมตลอด และภูเขาหิมะอีกจำนวนมาก จึงไม่เป็นที่ต้องการอาศัยของผู้คน แต่ก็มีชนกลุ่มน้อยที่สามารถดำรงชีวิตอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้

“ชาลี มาหาปู่หน่อย” เสียงชายแก่คนหนึ่งตะโกนเรียกหลานชายของเขา
“ครับ คุณปู่” ชาลีเด็กน้อยวัย 8 ขวบใส่ชุดกันหนาวอันหนาวิ่งเข้ามาหาชายแก่คนนั้น
“ชาลี หลานช่วยออกไปเอาดอกหิมะที่วิหารเซซิอัสให้ปูหน่อย” ชายแก่คนนั้นลูบหัวหลานของเขาเบาๆพรางยิ้มให้เล็กๆ เด็กน้อยชาลีก็ยิ้มตอบแล้วก็วิ่งออกไปทันที
“อย่าลืมบอกคุณนายลินให้มาเอาของที่สั่งด้วยนะ” ชายแก่คนนั้นตะโกนบอก
“คร๊าบบบ” ชาลีหันกลับมาบอกแล้วเขาก็วิ่งออกไปจากบ้านหลังเล็กๆบนเนินภูเขาหิมะ เขาวิ่งลงไปยังเมืองด้านล่าง

เมื่อชาลีวิ่งมาถึงเมือง เขาก็เห็นผู้คนไม่มากนักเดินทางไปมากันตามปกติ เขากวาดสายตามองหาคุณนายลิน จนเขาไปเจอร้านอบขนมปัง เขาจึงเดินเข้าไปในร้าน
“คุณลุงแม๊ท เห็นคุณนายลิน มั้ยครับ” ชาลีถาม ชายวัยกลางคนที่กำลังอบขนมปังอยู่หลังร้าน ชายคนนั้นจึงหันกลับมาตอบ
“อ๊อ เห็นวิสบอกว่า เห็นคุณนายลินไปที่วิหาร ลองไปที่นั่นดูซิอาจจะเจอ” แม๊ทตอบเสร็จ ชาลีก็ส่งยิ้มตอบแทนเล็กๆและวิ่งออกจากร้านไป

ทันทีที่เขาวิ่งออกมาจากร้านก็ไปชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งจนทั้งคู่ล้มลง ชาลีจึงรีบลุกขึ้นทันที
“ขอโทษครับ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะชน” ชาลีรีบกล่าวคำขอโทษแก่ชายหนุ่มคนนั้นทันที แต่ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ตอบอะไรแต่มีสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาดึงชายคนนั้นขึ้นแล้วทั้งคู่ก็เดินไปต่อ ชาลีจึงงงและสงสัย แต่แล้วเขาก็ไม่สนใจ เขาจึงวิ่งตรงออกจากเมืองอีกด้านขึ้นภูเขาหิมะอันสูงในระแวกนี้ซึ่งบนภูเขาหิมะนั้นมีวิหารน้ำแข็งอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชนเผ่าโบราณจาดัสนับถือเป็นอย่างมาก

“คุณนายลิน คุณนายลิน” ชาลีวิ่งเข้ามาในวิหารพร้อมกับตะโกนเรียกขาน หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังก้มลงเด็ดดอกหิมะในวิหารนั้นก็ลุกขึ้นและหันมา ความน่ารักของสาวผู้นั้นทำให้ชาลีนั้นตกใจทันที
“เธอเป็นใครจ๊ะ หนุ่มน้อย” สาวคนนั้นถาม
“เอ่อ...เอ่อ...ผมชื่อ ชาลี ครับ มาตามหาคุณนายลิน แล้วพี่สาวละครับ” ชาลีตอบแบบเขินอายและไม่มั่นใจในตัวเอง สาวคนนั้นพอเห็นท่าทางอาการเขินอายของชาลี เธอก็หัวเราะเล็กๆ
“พี่ชื่อ แอริส วิหารนี่ก็งดงามดีนะ เธอว่ามั้ย” แอริสตอบพร้อมกับมองดูศิลปะอันงดงามภายในผนังวิหาร
“ใช่ครับ มันสวยงามมาก แล้วพี่สาวเห็นคุณนายลินมั้ยครับ” ชาลีถาม แอริสก็ส่ายหน้าเล็กๆ
“งั้นไม่เป็นไรครับ ดอกหิมะที่พี่สาวเด็ดผมขอได้มั้ยครับ พอดีคุณปู่จะเอาไปผสมทำเค้ก” ชาลีชี้ดอกหิมะในกำมือของแอริส
“ได้ซิ อ่ะ พี่ให้” แอริสเดินเข้ามาหาและยื่นดอกไม้ในกำมือให้ เด็กน้อยชาลีก็ยิ้มรับดอกหิมะด้วยความเต็มใจ
“ขอบคุณพี่สาวมากเลยครับ ถ้าเจอคุณนายลินฝากด้วยนะครับว่า ให้ไปหาคุณปู่ที่บ้านผม” ชาลีบอกแล้วก็วิ่งออกไป
“เดี๋ยวซิหนุ่มน้อย” แอริสทัก ชาลีจึงหยุดวิ่งและหันกลับมา
“พี่มีดอกหิมะขาวบริสุทธิ์ดอกนี้จะมอบให้ เธอจงเก็บรักษามันไว้ให้ดีนะ ในเวลาที่เธอตกอับจริงๆ จงหยิบดอกหิมะขาวนี้ขึ้นมา ตั้งอธิฐานกับดอกไม้นี้อย่างแน่วแน่ แล้วเธอจะปลอดภัย” แอริสส่งดอกไม้ที่มีสะเก็ตหิมะสีขาวเรืองแสงลอยอยู่รอบๆดอกไม้ตลอดเวลา ทันทีชาลีจับก้านดอกไม้นั้น เขาก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกสุดขั๋วทันที
“เย็นจัง แต่ก็ขอบคุณครับ ผมไปละ” ชาลีพูดเสร็จเขาก็วิ่งออกไปจากวิหารทันที แต่เขาเกิดสงสัยในบางอย่างขึ้นมา เขาจึงหันกลับมา แต่เขาก็ไม่เห็นพี่สาวคนนั้นแล้ว เขาจึงวิ่งกลับลงไปจากวิหาร

พอหนุ่มน้อยชาลีวิ่งกลับลงมาถึงเมือง เขาก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งเดินตัวสั่นอยู่ท่ามกลางหิมะ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“คุณยายครับ ทำไมคุณยายมาเดินตากหิมะหนาวๆแบบนี้ละครับ” ชาลีพยุงหญิงชราคนนั้นไปนั่งในร้านพี่หมูซุปร้อน และหาโต๊ะใกล้เตาผิงให้หญิงชรานั่งบรรเทาอุ่น
“พี่หมูครับ ขอซุปร้อนๆสักถ้วย” ชาลีตะโกนบอก
“ได้ๆ รอแปป” พี่หมูตอบแล้วก็หยิบถ้วยมาวางและทำน้ำซุปทันที
“คุณยายบอกได้ไหมครับว่า คุณยายออกมาข้างนอกตอนอากาศหนาวๆแบบนี้ทำไม” ชาลีถาม
“คือยายออกมาหาดอกหิมะไปทำยารักษาโรคให้หลานของยาย” หญิงชราคนนั้นตอบ ชาลีก็เริ่มหนักใจขึ้นมาทันที เขามองดูดอกหิมะในกำมือ เขาคิดที่จะตัดสินใจว่าจะมอบดอกหิมะนี้ให้หญิงชราเพื่อไปรักษาหลานหรือจะรีบกลับไปหาคุณปู่
“คุณยายไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกครับ นี่ครับ ดอกหิมะ ผมให้คุณยาย” ชาลียื่นดอกหิมะให้ด้วยความเต็มใจและรอยยิ้มอันสดใสของเด็กน้อย
“อ่าซุปร้อนๆได้แล้ว ไงไอ้หนู เป็นเด็กดีนะเรา” พี่หมูบอก
“ขอบใจหนูมากเลยนะ” หญิงชราคนนั้นโอบกอดด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นไรครับยาย เอาล่ะคุณยายดื่มซุปร้อนๆก่อนนะครับ แล้วค่อยกลับไปบ้านนะครับ พี่หมูซุปถ้วยนี้ฉันจ่ายให้ยายเขาเองนะ” ชาลีบอกแล้วก็เดินไปหาพี่หมู
“ไม่เป็นไร เด็กดีอย่างนาย ไม่คิดตังหรอก” พี่หมูบอก ชาลีจึงยิ้มเล็กๆแล้วเขาก็วิ่งกลับขึ้นไปยังวิหารน้ำแข็งอีกครั้ง

ทันทีที่ชาลีมาถึงหน้าประตูวิหาร เขาก็เห็นชาวจาดัส 3 คน กำลังสักการะเทวรูปเซซิอัสอยู่ ชาวจาดัสจะมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์แต่มีหูยาวและผิวสีฟ้าแกมขาว ทนต่อสภาพอากาศหนาวได้ดี ว่ายน้ำได้ว่องไว และยังสามารถพ่นไอเย็นแช่แข็งศัตรูเพื่อป้องกันตัวได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นลูกครึ่งผสมระหว่างมนุษย์กับชาวจาดัส
“คุณนายลินครับ” ชาลีตะโกนเรียกทันที คุณนายลินจึงหันมามอง
“โอ้ ชาลี ไม่นึกเลยจะได้เจอเธอที่นี่ มีอะไรรึ” คุณนายลินถาม
“คือคุณปู่ ให้มาบอกคุณนายลินว่าให้ไปเอาเค้กที่สั่งไว้ด้วยครับ” ชาลีตอบ
“จ้า เดี๋ยวฉันจะตามไป เธอกลับไปก่อนได้เลยนะ ฝากบอกปู่เธอด้วยนะว่า เค้กที่ทำนั้นอร่อยมาก” คุณนายลินบอก เมื่อชาลีได้ยินคำชมถึงปู่ของเขา เขาก็ปลื้มและดีใจ และเดินกลับออกไปด้วยจิตใจที่แจ่มใส

ชู มา เร ....

ชาลีได้ยินเสียงคนคนหนึ่งพูดภาษาโบราณแปลกๆ เขาจึงหันกลับไปดู ก็เห็นชาวจาดัสอีก 2 คนนั้นถูกชายผมสีฟ้าขาวไว้ผมยาว ชายคนนั้นเพียงชูแขนขึ้นเหนือหัวก็มีแท่งน้ำแข็งพุ่งจากพื้นขึ้นเสียบชาวจาดัสตายในทันที
“ชาลี เธอรีบหนีกลับลงไปบอกพวกชาวเมืองด้วยนะ ฉันจะสกัดมันไว้ให้เอง” คุณนายลินบอก ชาลีได้ยินแล้วเขาก็วิ่งลงไปทันที แต่แล้วประตูวิหารก็กลายเป็นน้ำแข็งทำให้ชาลีออกไปข้างนอกไม่ได้
“เข้าได้ออกไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ควรรู้เมื่อเจอผม” ชายคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับก้มหัวแสดงความเคารพ
“ต้องการอะไร” คุณนายลินถาม
“พี่ใหญ่ผมอยู่ไหน” ชายคนนั้นตอบ
“ฉันยังไม่รู้เลยว่านายเป็นใคร แล้วพี่อะไรของแกด้วย” คุณนายลินบอก
“ไม่เอาซิ อย่าใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ถ้าไม่รู้ก็บอกมาตรงๆ แล้วผมจะได้ฆ่าพวกคุณไวๆไง” ชายคนนั้นพูดเสร็จก็มีแท่งน้ำแข็งปรากฏขึ้นมา 2 แท่งลอยวนอยู่ลอบๆแขนของเขาทั้ง 2 ข้าง
“พี่สาวครับ ได้โปรดช่วยผมด้วย” ชาลีหยิบดอกหิมะขาวขึ้นมากำและตั้งจิตอธิฐานทันที
“คมหอกแห่งความเย็นชา ดับจิตวิญญาณ Nelfy Spear” ชายคนนั้นพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุณนายลินก็ยิงพลังน้ำแข็งเข้าโจมตีแต่พลังนั้นกลับไม่ส่งผลอันตรายใดๆต่อชายคนนั้น แต่แล้วคุณนายลินก็ถูกชายคนนั้นเอาแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุร่าง แถมด้วยชายคนนั้นลากไปปักไว้ที่ผนังวิหาร แล้วเขาก็หันมามองที่ชาลี แววตาของเขาทำให้ชาลีหวาดกลัวจนเขาทำอะไรไม่ถูก
“ฉันไม่ฆ่าเธอหรอก หนุ่มน้อย” ชายคนนั้นบอกทำให้ชาลีนั้นตกใจว่าทำไม เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง แต่แล้วเขากลับถูกชายคนนั้นจับเหวี่ยงไปกระแทกกับฐานเทวรูปเซซิอัสจนสลบ พร้อมกับดอกหิมะขาวนั้นกระเด็นไปทัดที่หูของเทวรูป แล้วชายคนนั้นก็เดินทะลุกำแพงน้ำแข็งออกไป

ณ ลานน้ำแข็งแห่งหนึ่งที่มีไอหมอกปกคลุมไปทั่ว ที่กลางลานนั้นมีหญิงผู้หนึ่งนั่งสงบงอยู่ และแล้วก็มีสาวคนหนึ่งที่สวมเสื้อขาวบางและมีผ้าคลุมปิดช่วงล่างผิวของเธอนั้นเป็นสีฟ้าแกมขาวและมีผมสีดำเข้มเดินเข้ามาหา
“ท่านค่ะ” สาวคนนั้นถามขึ้น แต่หญิงที่นั่งสงบนั้นกลับหลับตานิ่งไม่ตอบสิ่งใด สักพักสาวคนนั้นก็หันหลังและเดินออกไป
“ท่านแน่ใจแล้วหรือที่จะทำในสิ่งนี้” หญิงที่นั่งสงบนั้นเอ่ยถามขึ้น
“ค่ะ” สาวคนนั้นได้ตอบและหันกลับมา
“งั้นฉันจะส่งท่านให้กลับไปยังโลกมนุษย์ แต่มีข้อแม้” หญิงที่นั่งสงบนั้นยื่นข้อเสนอ
“ฉันพร้อมทำตามค่ะ” สาวคนนั้นตอบ
“ท่านจะต้องตามหานายเก่าของท่านให้ได้ภายใน 1 ปี ไม่งั้นท่านจะถูกเรียกกลับ” หญิงที่นั่งสงบบอก
“ฉันพร้อมทำค่ะ ได้โปรดท่านจงส่งข้าไปที่นั่นด้วยเถอะ” สาวคนนั้นคุกเข่าลงและก้มหัวให้
“ท่านจงจำไว้เสมอว่าทันทีที่ท่านอยู่บนโลกมนุษย์ ท่านจะมีชีวิตเหมือนกับมนุษย์ หากท่านต้องตาย ก็ขอให้เป็นไปตามนั้น ท่านจะไม่เป็นอมตะใดๆ ดั่งพรที่ฉันได้ให้กับท่านไว้ แต่การไปในครั้งนี้ของท่านนั้น ฉันจะให้พรท่าน 3 ข้อ ข้อแรกหากท่านบาดเจ็บหรือทุกข์ทรมานกายใดๆเพียงท่านได้สัมผัสกับน้ำหรือน้ำแข็งแล้วท่านจะกลับเป็นดังเดิม ข้อสองท่านจะมีพลังทั้งหมดของท่านที่มีอยู่ในตอนนี้ ข้อสามท่านจะได้สัตว์เลี้ยงคู่ใจของท่านนั้นตามท่านไปด้วย ขอให้โชคดี” เมื่อสิ้นเสียงของหญิงที่นั่งสงบแล้วนั้น สาวคนนั้นก็หลับตาลง

ทันทีที่สาวคนนั้นลืมตาขึ้นมาเธอก็พบว่าเธอนั้นได้มายืนอยู่ในวิหารพร้อมกับมีดอกหิมะขาวทัดอยู่ที่ใบหูข้างซ้าย
“โอ้ ชาลี ฉันจะช่วยเธอเอง” เซซิอัสได้ลงมาจากฐานที่เธอยืนอยู่นั้นลงมาช้อนร่างของเด็กน้อยชาลีขึ้น ไม่นานนักก็มีเสียงหอนของสุนัขและปรากฏร่างสุนัขน้ำแข็งขนาดกลางที่สูง 2 เมตร พุ่งทะลุกำแพงน้ำแข็งเข้ามา
“เฟนริว ช่วยพาฉันไปยังหลังบ้านของเด็กน้อยคนนี้ด้วยเถอะ” เซซิอัสลูบหัวของสุนัขคู่ใจของเธอแล้วก็ขึ้นขี่มัน เฟนริวหอนอีกครั้งด้วยความดีใจที่ได้รับใช้เจ้านายของมันอีกครั้ง แล้วมันก็วิ่งออกไปด้วยความเร็ว
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #3 on: December 11, 2005, 02:40:38 AM »

Chapter Two-I : Princess of Ice

ที่หลังบ้านของชาลี
“เธอเป็นเด็กดีนะ เพราะฉะนั้นเธอจงมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เธอรักเถอะ” เซซิอัสวางร่างของเด็กน้อยลงและเคาะประตูหลังบ้าน เมื่อปู่ของชาลีมาเปิดประตูก็เห็นชาลีนั้นนอนอยู่กับพื้นเขาจึงอุ้มหลานของตนเข้าไปในบ้านทันที
“เอาล่ะเราไปกันเถอะเฟนริว” หลังจากที่เธอมองดูปู่หลานคู่นี้จากเนินภูเขาเสร็จเธอก็กระโดดขึ้นไปขี่เฟนริวและหายไปในหิมะ

หลายวันต่อมาเมื่อชาลีฟื้นขึ้นมาบนเตียงอันอบอุ่นของเขา เขาก็กวาดสายตามองไปทั่วด้วยความหวาดระแวง
“ฟื้นแล้วรึหลานของปู่”
“คุณปู่” ชาลีเห็นปู่แล้วดีใจเป็นอย่างมากจึงลุกจากเตียงวิ่งเข้ามากอดทันที
“ไม่เป็นไรแล้ว” ปู่ของชาลีลูบหัวเบาเพื่อปลอบขวัญ
“แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง” ชาลีถามด้วยความสงสัย
“ปู่เห็นหลานสลบอยู่ที่หลังบ้านปู่ก็เลยอุ้มเข้ามาในบ้าน”
“แต่ตอนนั้นผมถูกชายผมยาวสีฟ้าแกมขาวเหวี่ยงไปชนกับฐานเทวรูปในวิหาร แล้วจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้เลย” ชาลีบอก
“หลานรู้มั้ย หลานสลบไป 3 วันเชียวนะ ส่วนเรื่องวิหารนั้นเขารู้กันหมดทั้งเมืองแล้วละ และตอนนี้เทวรูปในวิหารได้หายไปอย่างไร้ร่องลอย หลายคนเขาลือกันว่าถือขโมยไป หลายคนก็ลือกันว่าเทวรูปนั้นมีชีวิตและเดินออกมาเอง” ปู่ของชาลีเล่าให้ฟัง
“แล้วคุณนายลินละ” ชาลีถาม แต่ปู่ของเขาก็เงียบไปสักพักก่อนที่จะส่ายหน้า
“เขาไปดีแล้วละ” ปู่ของชาลีตอบ ชาลีถึงกับเศร้าใจไปในทันทีแล้วเขาก็เดินกลับไปนอนพักบนเตียงดังเดิม

เช้าวันต่อมา

ชาลีหนุ่มน้อยได้ออกจากบ้านมาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง เขาเดินเหม่อลอยไปเรื่อยในถนนใหญ่กลางเมือง จนเขานั้นเดินมายังบริเวณทะเลสาบน้ำแข็งอันกว้างข้างๆเมือง เขานั่งที่ม้านั่งยาวริมทะเลสาบอยู่คนเดียว
“ชาลีจ๊ะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของชาลี เขาจึงหันกลับไปมอง
“อ๊ะ พี่สาวที่เจอในวิหารนี่เอง” เขาก็ยิ้มให้เล็กๆก่อนที่จะหันกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าหมองดังเดิม
“มานั่งเศร้าตรงนี้คนเดียวอยู่ทำไมจ๊ะ” แอริสถามและเดินมานั่งข้างๆ
“ชายคนนั้นเขาเป็นใครกัน แล้วทำไมเขาต้องฆ่าพวกเราด้วย” ชาลีพูดขึ้นพรางๆ
“อ่า ฉันนึกไว้แล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้ คนเราทุกคนก็ต้องมีชะตากรรมที่ถูกกำหนดมา เขาอาจจะถูกกำหนดให้มาฆ่า และคนที่ถูกฆ่าก็อาจจะถูกกำหนดให้ตายในวันนั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ตัวพี่เองก็ตาม” แอริสเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าและเล่าให้ฟัง แต่ชาลีก็ยังไม่เข้าใจ
“พี่สาวเป็นยังไงเหรอ” ชาลีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เธออย่าไปเลย มันอาจจะทำให้เธอเศร้าใจไปกว่าเก่า เอาเป็นว่าพี่นี้ได้ผ่านชะตากรรมอันแสนเจ็บปวดมาแล้ว” แอริสตอบ
“แล้วทำไมเขาถึงไม่ฆ่าผมละ” ชาลีถามต่อ
“ก็เพราะว่าเธอเป็นเด็กดียังไงละจ๊ะ จงสู้ชีวิตต่อไป พี่จะเอาใจช่วยนะ เดี๋ยวไม่กี่วันชายคนนั้นก็คงต้องเป็นไปตามชะตากรรมของเขาแล้วละ” แอริสตอบเสร็จก็ลูบหัวของชาลีเบาๆพรางยิ้มไป ชาลีก็ก้มหน้านึกคิดทบทวนสิ่งที่พี่สาวได้พูดมา แต่แล้วเขาก็สงสัยขึ้นจึงเงยหน้าขึ้นมา แต่ก็ไม่พบพี่สาวคนนั้นแล้ว แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขาเริ่มยิ้มได้ดังเดิมและลุกขึ้น
“ผมจะทำตามที่พี่สาวบอกครับ” เสร็จเขาก็วิ่งกลับไปหาปู่ของเขาในบ้านอันแสนจะอบอุ่น

ไกลออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอันหนาวเหน็บและว่างเปล่านี้ มีสาวน้อยนามว่าเซซิอัสพร้อมกับสัตว์คู่ใจเฟนริวมุ่งหน้าตรงมาทางใต้เรื่อยๆ เส้นทางที่พวกเขาต้องเจอนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายมากมายไม่ว่าจะเป็นเสือน้ำแข็ง สิงโตหิมะ เธอก็ยังคงฝ่าฟันไปได้ด้วยดี จนเฟนริวนั้นมาหยุดที่หน้าปราสาทน้ำแข็ง
“เอาล่ะเฟนริว เจ้ารอฉันอยู่ข้างนอกก่อนนะ” ในระหว่างที่เธอบอกกับเฟนริวนั้น เหล่าสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งที่วิ่งตามมานั้น ก็มาถึง เฟนริวจึงกระโดดเข้ามาขวางไว้และหอนด้วยเสียงอันกึกก้องอันดังจนน้ำแข็งบนพื้นรอบๆที่สัตว์ร้ายกลุ่มนั้นวิ่งมานั้นแตกลงจนสัตว์ร้ายเหล่านั้นตกลงไปยังน้ำทะเลอันเย็นสุดขั๋วจนพวกมันนั้นแข็งเป็นน้ำแข็งและจมลงไปยังก้มทะเล
“ขอบใจมากนะเฟนริว” เซซิอัสลูบหัวของมันเบาๆ ด้วยความดีใจของเฟนริวมันจึงกระดิกหางไปมาเหมือนกับสุนัขธรรมดาตัวหนึ่งที่ได้อยู่กับเจ้านายของมัน จากนั้นเซซิอัสก็เดินเข้าไปในปราสาทน้ำแข็งคนเดียว

ทันทีที่เซซิอัสเดินเข้ามาในห้องโถงปราสาทน้ำแข็งนั้น เธอก็เห็นเหล่าทหารจำนวนมากนอนตายกันเกลื่อนห้อง แล้วก็มีงูยักษ์สีดำตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาฉก แต่เธอได้กลิ้งตัวหลบได้ทัน
“ซาเลส โวรุเนรัส คาปิออทัส เมเทลิโอ ไอซ์ คืนชีพวิญญาณน้ำแข็ง” เซซิอัสร่ายเวทย์มนต์โบราณและยืนหลับตานิ่งปลดปล่อยไอน้ำแข็งออกมาคุ้มครองรอบๆตัวเธอ งูยักษ์ตัวนั้นก็พยายามจะพุ่งเข้ามาฉกแต่พอโดนไอน้ำแข็งแล้วมันก็สะบัดหน้าหนีพร้อมกับมีเลือดกระเด็นออกมาจากปากของมัน พอไอน้ำแข็งสีฟ้าเหล่านั้นกระจายไปทั่วห้อง เหล่าทหารที่ตายนั้นก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา จากนั้นทหารเหล่านั้นต่างก็เข้าต่อสู้กับงูยักษ์ตัวนั้น ด้วยไอน้ำแข็งที่บาดเนื้อของงูยักษ์ตัวนั้นจนมันทนไม่ได้ มันก็เลื่อยหนีไปทันที

พองูยักษ์ตัวนั้นหนีไปเซซิอัสก็ลืมตาขึ้นมา ไอน้ำแข็งรอบๆตัวเธอนั้นกระจายออกไปเป็นวงกว้างและทหารเหล่านั้นก็กลายเป็นน้ำแข็งและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นเธอก็เดินต่อเข้าไปข้างใน จนมาหยุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มากๆ

“ในนามตัวแทนผู้รับใช้แห่งเทพเจ้าลูดามัส เนตรแห่งพระองค์จงเปิดประตูให้แก่ข้าด้วยเถอะ” เธอก้มหัวและคุกเข่าลงอธิฐานจิตวิงวอนต่อเทพเจ้า แล้วก็มีเสียงสีฟ้าเปร่งออกมาจากตัวเธอยิงตรงไปที่ประตู พอลำแสงนั้นดับลงประตูก็ค่อยๆเปิดออก

พอประตูนั้นเปิดออกเสร็จเธอก็เห็นข้างในเป็นลานวงกลมและมีเพดานสูงราวกับเป็นหอคอย ตรงกลางลานวงกลมของห้องนั้นมีชายคนหนึ่งถูกตึงกางเขนด้วยแท่งน้ำแข็ง เธอจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆกางเขนนั้น
“ไงแม่สาวน้อย” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง พอเธอหันไปก็มีมีดสั้นจำนวนมากพุ่งมาจำนวนมาก เธอจึงหมุนตัวหลบพร้อมกับปัดป้องมีดสั้นเหล่านั้นจนหมด แต่มีดสั้นเหล่านั้นก็สร้างแผลบนแก้มซ้าย และปักบนไหล่ขวาและตัดผ้าคลุมที่เป็นกระโปรงของเธอข้างซ้ายขาดจนเห็นขาอ่อน
“หลบดาบของฉันได้โดยรอดถึงมีแผลก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เอาล่ะ เธอมาที่นี่ทำไม” ชายคนนั้นถาม
“เจ้าเป็นใคร” เซซิอัสตอบพร้อมกับดึงมีดสั้นที่ไหล่ขวาออก
“ต้องขอโทษด้วยที่สร้างรอยแผลบนใบหน้าที่ผู้หญิงนั้นแสนจะห่วงหวงมาก ส่วนข้านั้นชื่อ อาสบ้อน ผู้เฝ้าปราสาทน้ำแข็งนี้ เธอก็คงเป็นอีกคนที่จะมาเอากระจกน้ำแข็งใต้ปราสาทนี้ซินะ” อาสบ้อนเดินวนอยู่รอบๆภายในห้อง เซซิอัสก็หันมองตามอยู่ตลอดเวลาเพื่อระวังตัว
“กระจกนั้นเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตฉัน ฉันต้องการมัน ไม่งั้นฉันจะไม่สามารถอยู่ได้หากขาดไอเย็น” เซซิอัสบอก
“แต่ถึงยังไงฉันก็คงจะยอมให้เธอเอากระจกนั้นไปไม่ได้ ถ้าอยากได้จริงๆ ข้ามศพฉันไปก่อน” อาสบ้อนพูดเสร็จก็ชูมีดสั้นขึ้นมาและเขว้งใส่ทันที แต่เซซิอัสก็วิ่งเข้าไปหลบหลังกางเขนน้ำแข็ง
“ฉันไม่อยากฆ่าท่านหรอก จงมอบกระจกนั้นให้แก่ฉันด้วยเถอะ ฉันมาที่นี่เพราะหน้าที่ที่มอบหมาย” เซซิอัสบอก

“งั้นจงตัดใจซะ  Sword Storm” อาสบ้อนก้มตัวลงและปามีดหลายพันเล่มโจมตีใส่อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เซซิอัสเองก็รู้ว่าห้องไม่กว้างและโล่งขนาดนี้คงจะหลบไม่ได้แน่ เธอจึงก้มหัวลงและเอาแขนทั้งสองข้างยกขึ้นป้องบังหน้าเอาไว้อยู่หลังกางเขนน้ำแข็ง มีดสั้นเหล่านั้นต่างก็ปักใส่กางเขนบ้าง บางเล่มก็ปักตามแขนและขาของเซซิอัส จนเลือดของเธอนั้นหยดลงไปบนพื้นไหลไปทั่วห้อง เมื่อการโจมตีของอาสบ้อนหยุดลงเพราะมีดสั้นของเขานั้นหมด เซซิอัสก็ค่อยๆลดแขนลงที่มีมีดสั้นปักอยู่เต็มแขน เธอพยายามจะเดินเข้าไปประชิดตัวอาสบ้อนเพื่อโจมตี แต่การเดินแต่ละก้าวของเธอนั้นเป็นไปอย่างช้า แต่เธอเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็หมดแรงและล้มลงจมกองเลือด
“ขอให้ไปสู่สุขติ จงอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองกันเลย” อาสบ้อนก้มหัวสวดเสร็จเขาก็จะเดินออกไปจากห้อง แต่ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีไอเย็นลอยอยู่เต็มห้อง จนเขานั้นหนาวมาก ไหลบนพื้นก็เริ่มแข็งเป็นน้ำแข็ง แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องทะลุช่องข้างบนลงมานั้นก็ค่อยหายไปจนห้องนั้นมืดไปหมดมีเพียงแสงเรืองรองจากผิวของเซซิอัสอยู่กลางห้องเท่านั้น อาสบ้อนก็เริ่มแปลกใจทันที เขาจึงหันกลับมาดูร่างของเซซิอัส

แล้วจู่ๆ กระจกน้ำแข็งที่ถูกซ่อนโดยกายฝังอยู่ใต้พื้นน้ำแข็งอันหนาลึกลงไปหลายร้อยเมตรนั้นก็ลอยขึ้นมา เหนือร่างเซซิอัสและบานกระจกนั้นส่องสะท้อนใบหน้าของเซซิอัส แล้วร่างของเธอก็ลอยขึ้นจากพื้น มีดสั้นจำนวนมากนั้นหลุดออกจากร่างของเธอหมด
“เป็นไปได้ยังไง” อาสบ้อนตะลึงกับภาพที่เห็น

ทันใดนั้นเซซิอัสก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของเธอที่เต็มไปด้วยสีฟ้าสดใสนั้นกลับกลายเป็นสีแดงฉาน
“ไอเย็นแห่งสวรรค์ หอกเยือกแข็งแห่งลูดามัส Ludra Lance” มือขวาของเธอนั้นเปร่งแสงสีฟ้าจ้าไปทั่ว ลำแสงแห่งน้ำแข็งนั้นกระจายไปทั่วห้อง เธอพุ่งเข้ามาใช้มือขวาเสียบทะลุร่างของอาสบ้อน จากมืออันอ่อนโยนนิ่มนวลของเธอนั้นกลับกลายเป็นดั่งคมหอกอันแหลมคม
“ไม่...น่า....เชื่อ...เธ...เธอคือ เจ้าหญิงน้ำแข็ง” อาสบ้อนรู้ความจริงได้ว่าเจ้าของกระจกน้ำแข็งนั้นอยู่ตรงหน้า มันก็สายเกินไปที่เขาจะแก้ได้ เขาสิ้นใจลงในทันทีอยู่ภายในปราสาทน้ำแข็ง

เมื่อเซซิอัสได้สติกลับคืนมาได้ เธอก็เพิ่งรู้ว่าอาสบ้อนนั้นได้ตายอยู่ตรงหน้า เธอก็ตกใจอยู่เล็กๆ พอเธอหันกลับไปก็เห็นกระจกน้ำแข็งลอยอยู่กลางห้อง เธอจึงเดินเข้าไปหยิบ ทันทีที่มือของเธอนั้นสัมผัสกับกระจกน้ำแข็งก็มีคลื่นลมพุ่งออกกระจายไปทั่ว ปราสาทน้ำแข็งนั้นกลับมาเป็นดั่งเดิมที่สดใสสว่างเหมือนเมื่อก่อน จากนั้นเธอก็นำร่างของอาสบ้อนไปฝังไว้ในสุสานน้ำแข็งใต้ปราสาท
“เธอเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ขอให้เธอได้ไปดีละ” เซซิอัสกล่าวคำล่ำลาต่อหน้าหลุมศพเสร็จ เธอก็กลับออกมาจากปราสาท

เฟนริวสัตว์แสนรู้คู่ใจของเธอ เมื่อเห็นเธอเดินออกมา มันก็รีบวิ่งเข้ามาเลียหน้าของเธอด้วยความดีใจ ทั้งคู่เล่นกันอยู่สักพัก
“เอาล่ะเฟนริว เราไปตามหาเจ้านายที่แท้จริงของพวกเรากันเถอะ” เซซิอัสพูดเสร็จก็ขึ้นขี่หลังมัน แล้วทั้งคู่ก็มุ่งหน้าลงใต้ เฟนริวที่วิ่งไปบนทะเล ที่แข็งเป็นน้ำแข็งอันกว้าง ทำให้เซซิอัสได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เธอนั้นรู้สึกดีขึ้นมามาก ดูกลับมายิ้มแย้มร่าเริงเหมือนหญิงสาวทั่วไป

เนื้อเรื่องย่อย
         เซซิอัสเดิมทีก่อนที่เธอจะมาเป็นสาวน้อยน้ำแข็งนั้น เธอเคยเป็นเจ้าหญิงรูปงามมาก่อนซึ่งผิวกายของเธอนั้นก็เป็นเหมือนคนทุกอย่าง ซึ่งตอนนั้นเป็นอดีตเหมือนหลายร้อยปีก่อนจากปัจจุบัน ในตอนที่เธอเป็นเจ้าหญิงนั้น พ่อแม่ของเธอได้ตายจากไป เธอจึงได้พักอยู่ในปราสาทกลางทะเลที่มีสะพานทอดยาวจากริมฝั่งมายังปราสาทที่เป็นสถานที่แห่งเดียวที่เหลืออยู่จากการยึดครองของอาณาจักรอื่น นามเดิมของเซซิอัสมีนามว่า เจ้าหญิงเซเรส เธอเป็นคนที่รักสงบชอบอยู่คนเดียว มีจิตใจโอบอ้อมอารี จนอยู่มาวันหนึ่ง เทพเจ้าลูดามัสได้แปลงกลายมาเป็นหญิงชรามาที่ปราสาท หญิงชราผู้นั้นเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าหญิงว่า เจ้าหญิงต้องการที่จะได้พบรักแท้หรือไม่ แต่เจ้าหญิงต้องเป็นผู้รับใช้หญิงชรา ข้อเสนอของหญิงชรานั้นทำให้เซซิอัสหนักใจเป็นอย่างมาก เธอจึงตอบไปว่าขอเวลาคิดอีก 1 เดือน และระหว่างนั้นเธอก็รับหญิงชราเข้ามาพักอยู่ในปราสาทอย่างยินดี

         แต่หลังจากนั้น 7 วัน อาณาจักรเมเทลิโอสก็มาเชิญชวนให้เจ้าหญิงได้ไปงานเลี้ยง เจ้าหญิงเองก็ตอบตกลงและเดินทางไปตามวันงานซึ่งได้พาหญิงชราไปด้วยอย่างไม่แคร์สายตาใคร เจ้าหญิงนั้นทำตัวกับหญิงชราเสมือนกับแม่ของตน ภายในงานเหล่าเจ้าชายจากเมืองต่างๆนั้น ก็มาชวนเจ้าหญิงไปเต้นรำบ้างแต่พอเห็นหญิงชราแล้ว เจ้าชายเหล่านั้นก็ถอยออกห่างทันที หญิงชรานั้นเห็นแล้วก็เห็นอกเห็นใจในตัวเจ้าหญิง แต่แล้วจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งที่ไม่ได้มียศสูงศักดิ์เป็นดั่งเจ้าชาย เขาได้เดินเข้ามาชวนเธอไปเต้นรำด้วยอย่างไม่รังเกียจว่าเธอจะเป็นอะไรกับหญิงชรา เธอเริ่มมีความรักกับชายคนนั้นทันที หลังจากเสร็จงาน เจ้าหญิงก็ตอบในคำถามที่หญิงชราเคยถามว่า เธอนั้นต้องการ หญิงชรานั้นจึงร่ายเวทย์มนต์สาบให้เจ้านั้นมีผิวกายสีฟ้าทั้งเรือนร่าง แววตามีสีฟ้าตลอด แต่ทันทีที่ชายคนนั้นเห็น เจ้าหญิงเองก็เริ่มจะเกรงว่าชายคนนั้นจะรังเกียจ แต่กลับไม่เลย ชายคนนั้นยังคงรักเจ้าหญิงแต่เจ้าหญิงนั้นไม่สามารถที่จะอยู่กับคนปกติได้ คนที่เข้าใกล้ตัวเธอนั้นจะแข็งเป็นน้ำแข็ง
 
        ต่อมาทำให้มีคนตั้งชื่อใหม่ให้เธอว่า เจ้าหญิงน้ำแข็ง เธอเก็บตัวอยู่แต่ในปราสาท หญิงชรากล่าวคำขอโทษและเสียใจ เพราะไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนั้น หญิงชราจึงบอกหนทางในการแก้พรนี้ก็คือ เจ้าหญิงต้องพบรักที่แท้จริง แล้วร่างของเจ้าหญิงจะกลับมาเป็นดังเดิม แต่เจ้าหญิงนั้นไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรหญิงชราเลย หลายวันต่อมาเจ้าหญิงก็ออกเดินทางไปหาเพื่อนยังเมืองใกล้ๆ แต่ระหว่างสะพานทอดยาวจากปราสาทของเธอนั้น มีชายคนหนึ่งนอนสลบอยู่ เจ้าหญิงจึงพยายามจะเข้าไปช่วย แต่เธอกลับต้องชะงักกลัวว่าจะทำให้ชายคนนั้นต้องแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่พอชายคนนั้นได้สติชายคนนั้นได้เดินเข้ามาหาเจ้าหญิงให้พยุงด้วยความไม่มีแรง แล้วเจ้าหญิงก็ต้องแปลกใจเมื่อชายคนนั้นไม่แข็งเป็นน้ำแข็ง เจ้าหญิงรู้ทันทีว่าชายคนนี้คือรักแท้ของเธอ เจ้าหญิงจึงพาชายคนนี้กลับไปรักษาภายในปราสาท หญิงชราเห็นจึงถามอีกว่า ต้องการที่จะกลับเป็นร่างเดิมมั้ยเมื่อพบรักแท้แล้ว เจ้าหญิงจึงตอบปฎิเสธทันที เธอเริ่มพอใจในสิ่งที่เธอมีแม้ว่าจะโดนคนอื่นรังเกียจเธอก็ตาม แต่เธอได้พบรักที่แท้จริง ชายคนนั้นก็คือ มาร์คัส นั่นเอง
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #4 on: December 12, 2005, 08:25:59 PM »

มาตามทยอยอ่านจ้ะ  ;)
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #5 on: December 16, 2005, 09:08:30 PM »

Chapter Two-II : Snow Storm Wywern

ที่รอยแยกบนผืนท้องทะเลที่เป็นลานน้ำแข็ง
“ในที่สุดข้าก็เจอมัน” ชายคนหนึ่งเดินพ้นออกจากซอกแคบๆมายังลานกว้างก้นเหวทะเล เบื้องหน้าของเขามีรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และที่หน้าอกของรูปปั้นนั้นมีรอยร้าวอยู่

แอ๊กกกกกกกก........ แอ๊กกกกกกกกกกกก..............

เสียงของนกขนาดใหญ่มากๆดังขึ้นเหนือลานน้ำแข็งนี้ ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเงาของนกตัวนั้นบินผ่านไป

โฮ๊กกกกกกก ฮ๊ากกกกกกกก

เสียงของเหล่าสิงโตน้ำแข็งที่ขู่ใส่นกตัวนั้น

แอ๊กกกกกก แอ๊กกกกก แอ๊กกกกกก ฟู่.................

นกตัวนั้นบินโฉบใส่ฝูงสิงโตน้ำแข็งเหล่านั้นจนพวกมันกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง บางตัวก็ตกลงมายังรอยแยกข้างล่างตายทันที ทันทีที่นกตัวนั้นบินผ่านรอยแยกเหนือลานน้ำแข็งเพียงนิดเดียว ชายที่ยืนอยู่ข้างล่างก็ตกใจกับความยิ่งใหญ่ของนกตัวนั้น แรงลมที่มันสร้างนั้นทำให้ก้อนน้ำแข็งจากข้างบนถล่มลงมายังข้างล่าง

ในขณะที่เขายืนตะลึงอยู่นั้น สิงโตน้ำแข็ง ตัวหนึ่งที่ตกลงมาข้างล่างเห็นเขาแล้ว มันก็ขู่ใส่ ชายคนนั้นจึงหันไปมอง และชูมือขวาขึ้น
“ในนามทอเรียส ข้าขอสั่งให้เจ้าจงไปจากที่นี่ซะ” ทอเรียสพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง แต่สิงโตน้ำแข็งตัวนั้นก็ยังคงค่อยๆก้าวเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ
“ในนามทอเรียส ข้าขอสั่งให้เจ้าจงไปซะ” ทอเรียสตะโกนอีกครั้งแล้วมือขวาของเขาก็มีแสงสีฟ้าสว่างขึ้น ทำให้สิงโตน้ำแข็งตัวนั้นตื่นกลัวและวิ่งหนีไป

แต่ในทางเดียวกันแสงสีฟ้านั้นก็ดึงดูดความสนใจนกตัวนั้นด้วย มันจึงบินวนเหนือรอยแยกบริเวณนั้น พร้อมกับกรีดเสียงร้องอันแหลม ทำให้ฝูงสิงโตน้ำแข็งนั้นหนีกันไป

“เดี๋ยวก่อน” เซซิอัสมองเห็นแสงประหลาดพุ่งจากพื้นอยู่ไกลๆ เธอจึงสั่งให้เฟนริวนั้นหยุดวิ่ง
“เราลองไปที่นั่นกันเถอะ” เซซิอัสพูดไปพรางลูบหัวเฟนริวไป เสร็จมันก็วิ่งตรงไปยังแสงประหลาดนั้นทันที

ทอเรียสจึงวิ่งไปหลบหลังแท่งน้ำแข็งเพื่อไม่ให้เจ้านกตัวนั้นเห็น เมื่อมันไม่เห็นแล้ว มันจึงบินไปเกาะที่หอคอยสูงๆใกล้ๆบริเวณนั้น

ในขณะที่เฟนริววิ่งไปด้วยความเร็วนั้น เซซิอัสก็เริ่มมองเห็นหอคอยที่อยู่ไกลๆและเห็นนกประหลาดขนาดใหญ่มากๆ ตัวมันมีหางที่ยาวมากๆตั้งแต่ยอดหอคอยห้อยลงมากว่าครึ่งหอคอย เธอก็เริ่มหวั่นใจกับขนาดของมัน แล้วข้างหน้าเธอนั้นก็มีฝูงสิงโตน้ำแข็งจำนวนมากวิ่งหนีมา

จู่ๆนกตัวนั้นก็หันมามองทางเซซิอัส เธอจึงดึงรั้งเฟนริวให้หยุดทันที เธอและนกตัวนั้นจ้องมองกัน แล้วนกตัวนั้นก็ทิ้งตัวลงร่อนโฉบต่ำลงมาราบกับพื้นตรงมาทางเธอ กงเล็บของมันขูดไปกับพื้นน้ำแข็งทำให้เกิดรอยแยก
“หิมเม โอริยัส เมโนฟัส เฟรีนัส” เซซิอัสร่ายเวทย์มนต์โบราณสร้างละอองแสงศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าหุ้มแขนทั้งสองข้าง

ทันทีที่นกตัวนั้นโฉบเข้ามาใกล้ เซซิอัสจึงกระโดดขึ้นไปเกาะบนหลังของนกตัวนั้นส่วนเฟนริวได้ก้มตัวและพุ่งหนีออกไป มันจึงบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เซซิอัสจึงใช้ละอองสีฟ้าช่วยในการยึดจับหลังของนกตัวนั้นได้แน่นขึ้น เมื่อมันรู้ว่าเซซิอัสนั้นได้เกาะติดแน่น มันจึงบินผาดโผนมากขึ้น ทั้งหมุนตัว ทั้งตีลังกา ในขณะที่มันบินกลับหัวนั้น ละอองแสงสีฟ้าที่มือข้างซ้ายของเซซิอัสเกิดดับลงจึงยึกจับมันไม่อยู่ เธอจึงออกแรงเต็มที่ในการใช้มือขวาจับไว้ เพราะตอนนี้นกตัวนั้นบินสูงขึ้นเหนือดินแดนน้ำแข็งไปราวๆ 200 เมตร ถ้าหากเธอจับไม่อยู่ คงจะตกมาตายแน่นอน

และแล้วระยะเวทย์มนต์ของเธอก็สลายไป ละอองแสงสีฟ้านั้นดับลงไปอย่างรวดเร็วโดยที่เธอไม่ทราบสาเหตุ ทำจึงตกลงมาจากนกตัวนั้น แต่แล้วมันก็บินโฉบลงมาอย่างเร็วพร้อมกับใช้ปลายหางอันหนา ยาว และใหญ่ฟาดใส่เธอจนกระเด็นลอยสูงขึ้นไป หลังจากที่เธอโดนหางของนกตัวนั้นฟาด กระจกน้ำแข็งที่เธอเก็บไว้ก็กระเด็นออกมา ทันทีที่กระจกน้ำแข็งกระทบกับแสงอาทิตย์ในด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ส่องแสงสีฟ้าขนาดใหญ่กระจายไปทั่ว ทำให้นกตัวนั้นบินหนีไป ในขณะที่เซซิอัสลอยอยู่กลางอากาศอันเว้งว้าง เฟนริวเห็นจุดตกแล้วมันจึงรีบวิ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว แต่นกตัวนั้นก็บินโฉบใส่มัน มันจึงสะบัดขนน้ำแข็งของมันโจมตีใส่ จากนั้นมันก็วิ่งไป เมื่อมันรู้ว่าไปไม่ทันแน่แล้ว มันจึงใช้แรงสุดท้ายเท่าที่มีกระโดดพุ่งขึ้นไปหาเจ้านายของมันด้วยความสูง 50 เมตร เซซิอัสจึงตกลงมาบนหลังอันนุ่มของเฟนริวได้ทันการ แต่ทันทีที่เฟนริวตกลงมากระแทกกับพื้น มันก็ทรุดตัวลงทันทีด้วยอาการบาดเจ็บที่ขาของมัน เธอจึงลงจากหลังของมันมาดูอาการบาดเจ็บ
“พักตรงนี้เถอะ อย่าฝืนออกแรงมาช่วยเราอีกเลย” เซซิอัสลูบหัวเจ้าหมาป่าน้ำแข็งเบาๆพรางปลอบใจ ก่อนที่เธอจะเดินออกมาปะหน้ากับเจ้านกตัวนั้นอีกครั้ง

แอ๊กกกกกกกกกกก........ แอ๊กกกกกกกกกกก..........

นกตัวนั้นบินโฉบตรงมาทางเธอ แต่คราวนี้มันอ้าปากขึ้นพร้อมกับยิงลำแสงแช่แข็งโจมตีใส่ เธอจึงตั้งท่าพร้อมกับชาร์ตพลังเข้าที่มือทั้งสองข้าง
“เถ้าธุลีแห่งน้ำ สายธารแห่งชีวิต Life Steam” เซซิอัสยิงลำแสงสีขาวพร้อมกับละอองน้ำสีฟ้าโจมตีสวนกลับใส่นกตัวนั้น แต่ทันใดนั้น แผ่นดินน้ำแข็งก็สะเทือน รอยแยกบนลานน้ำแข็งค่อยๆขยายออก แล้วจู่ๆก็มีมังกรยักษ์สีน้ำเงินโผล่หัวขึ้นมากัดนกตัวนั้น แต่มันหลบได้ทัน แต่มันก็บินหนีไปทันทีที่เห็น เซซิอัสเองก็ยังตะลึงค่อยๆถอยออกมา มังกรยักษ์ตัวนั้นก็ค่อยปีนขึ้นมาจากรอยแยกของพื้นน้ำแข็งด้วยอุ้มเท้าทั้งสองข้างของมัน ซึ่งบนหัวของมันนั้นมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อมันปีนขึ้นมาได้ มันก็สยายปีกออกก่อนที่จะกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

แล้วจู่ๆความทรงจำในหัวของเธอก็แล่นเข้ามากะทันหันจนทำให้เธอนั้นปวดหัว พออาการปวดหัวของเธอหายไปแล้วนั้น เธอก็มาอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่งในตอนกลางคืนซึ่งป่านี้มีน้ำท่วมสูงเต็มไปหมด เธอยืนอยู่บนเรือเหาะลำหนึ่ง
“มังกรสีน้ำเงินแห่งท้องฟ้าและผืนทะเล เจ้าคงจะหนักใจกับมันซินะ เซซิอัส” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ เธอจึงหันกลับไปมอง
“มาร์คัส” เธอตะลึงอยู่สักพักกับความที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
“นี่อ่ะ ตัวมันยังเล็กอยู่ คงจะน่ารักน่าชัง ฉันให้” มาร์คัสในความทรงจำของเซซิอัสนั้นเดินเข้ามาหาพร้อมกับยื่นลูกมังกรสีน้ำเงินให้
“นี่.....” เซซิอัสพูดอะไรแทบไม่ออก เธออุ้มมังกรสีน้ำเงินเข้ามาในอ้อมแขน
“เจ้าจะตั้งชื่อให้มันก็ได้นะ ตอนนี้มันเป็นของเธอแล้วละ” มาร์คัสลูบหัวมังกรน้อยเบาๆ
“ถ้ามันโตขึ้น มันจะมีขนาดใหญ่เอามากๆ และมันชอบเล่นน้ำ เอามันไปเลี้ยงที่ทะเลแถวปราสาทของเธอก็ได้ ถ้ามันโตเต็มที่ อาวุธใดๆก็จะทำลายมันไม่ได้ นอกจากมังกรตัวหนึ่ง ฉันจะไม่บอกเธอตรงๆหรอกเพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อยนี้ ฉันจะใบ้เพียงฉายาพอบอกแล้วน่าจะนึกถึงมันได้ ! ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ร่องรอยของยักษ์เคลื่อนผ่านฟากฟ้า เจ้าไม่ควรอยู่ตามลำพัง !” ทันทีที่มาร์คัสพูดเสร็จ เซซิอัสก็กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง มังกรสีน้ำเงินบินพุ่งตรงเข้ามาโจมตีเธอโดยคำสั่งจากชายที่ควบคุมมัน เมื่อเธอได้สติเธอจึงหลบการโจมตีของมังกรสีน้ำเงินได้ทัน
“นี่น่ะเหรอ มาเทลูม่า” เซซิอัสจ้องมองแววตาของมันอยู่สักพัก
“ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ร่องรอยของยักษ์เคลื่อนผ่านฟากฟ้า นี่มันคำใบ้ของตัวอะไรกัน” เธอยืนนึกอยู่สักพัก

“โจมตีมันต่อมาเทลูม่า” ทอเรียสชี้มาทางเซซิอัส แต่มังกรสีน้ำเงินยักษ์มาเทลูม่าไม่ยอมขยับ แต่แล้วมันกลับสะบัดหัวไปมาจนทอเรียสตกลงมาจากหัวของมัน เมื่อเขาลุกขึ้นได้ เขาจึงวิ่งหนีทันที
“ขอบใจมากนะ มาร์คัส” เมื่อเธอสบตากับมาเทลูม่าอีกครั้ง เธอก็รู้ถึงอารมณ์ของมันทันที มังกรน้อยของเธอนั้นก้มหัวลงมาให้เธอลูบไปมาเบาๆเหมือนเมื่อก่อน

“เจ้ายังจำฉันได้ด้วยรึ มังกรน้อย” เธอยิ้มให้กับมาเทลูม่าพร้อมกับซบกอดลงบนหน้าของมัน มังกรน้อยของเธอก็ดีใจมากที่ได้พบกับเจ้านายของมันอีกครั้ง แล้วมันก็ชูหัวขึ้น และลดปีกลงให้เฟนริวไต่ขึ้นมาด้วยอาการที่บาดเจ็บข้อเท้า แล้วสาวน้อยน้ำแข็งกับสัตว์เลี้ยงอีก 2 ตัวนั้นก็ออกเดินทางไปจากมหาสมุทรน้ำแข็งนี้ ทันทีที่มาเทลูม่าเริ่มออกบิน เซซิอัสก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า กลุ่มเมฆที่หนาผิดปกติบนท้องฟ้านั้นสีแสงกระพริบเป็นระยะๆ แสงที่กระพริบนั้นทำให้เธอเห็นเงาของมังกรสีขาวลำตัวยาวราวกับงูยักษ์เลื่อยอยู่ในกลุ่มเมฆไป
“นั่นน่ะเหรอ ที่เธอบอก ยักษ์ใหญ่ใจดี รักสงบ ร่องลอยยักษ์เคลื่อนผ่านฟากฟ้า ฉันจะตามหาเธอให้เจอ มาร์คัส” เธอก็นอนบนหลังของมาเทลูม่าที่มีขนอันอ่อนนุ่ม และข้างๆของเธอนั้นมีหมาป่าน้ำแข็งคู่ใจนอนซบอยู่ข้างๆ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้ผมเล่นทำ banner ขึ้นมาแล้วละ และตอนนี้กำลังทำเว็ป Fantasy World ขึ้นมา เสร็จเมื่อไหร่จะนำมาลงคร๊าบ ช่วงนี้เลยเอาแต่ละตอนมาลงช้า
รูปใน Banner ก็เป็นตัวละครตัวหนึ่งในนิยายของโผม แต่ยังไม่มีในเนื้อเรื่องจะอยู่กลางๆเรื่องคร๊าบ
แน่นอนผมทำเว็ปขึ้นมา จะเอารูปตัวละครแต่ละตัวมาลง และรูปสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้นึกหรือมองเห็นภาพตามในนิยายได้
« Last Edit: December 16, 2005, 09:13:35 PM by !!! Unknow !!! » Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #6 on: December 18, 2005, 09:51:51 PM »

แมนต้าจังมีบท อิ ๆ  ;D

banner ใช่ข้างล่างไหมครับ อิ ๆ นั่นมันหนุ่ม unknown จาก KH II นิ
อนึ่ง 2 avatar mog คุงน่ารักมากเลยครับ
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.107 seconds with 21 queries.