บทที่ 31 Believe or Reason (ศรัทธาหรือเหตุผล)
ณ คฤหาสน์ร้างซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเอรีม บริเวณซากปรักของคฤหาสน์ นั้นล้อมรอบไปด้วยต้นไม้รกหนา
แมลงและสัตว์ขนาดเล็กได้เข้ามาอาศัยอยู่เนื่องจากถูกทิ้งร้างไว้นาน
และไม่ได้มีการบูรณะแต่อย่างใด ที่ประตูทางเข้าซึ่งปิดเอาไว้ด้วยประตูลูกกรงเหล็ก
ซึ่งตอนนี้ มันได้หักและผุพังไปจนสิ้นแล้ว
กลุ่มคนสามคนกำลังเดินเข้ามาภายในบริเวณสวนของ คฤหาสน์
“ นี่อดีตคฤหาสน์แห่งซาราเบลด ”
ชายหนุ่มซึ่งอายุมากกว่าสองคนที่ตามมากล่าวเขาสวมเสื้อเกราะประจำกองกำลังต่อต้าน
โดยผู้ที่ตามเขามานั้น เด็กคนหนึ่งซึ่งมีอายุน้อยที่สุดแม้เขาจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวสีแดง
ทับเสื้อยืด แขนสั้นแบบเด็กธรรมดาทั่วไปแต่ที่จะทำให้สะดุดตานั่นก็คือ ตรารองแม่ทัพ
ซึ่งเป็นเข็มกลัดรูปปีกสีทองสองปีกกางติดอยู่ที่ปกเสื้อของเขาซึ่งบ่งบอก ยศรองแม่ทัพของเขานั่นเอง
และที่ข้างๆกันนั้นเด็กหนุ่มอีกคนที่โตกว่าและดูเหมือนจะเป็นพี่ชายของเขา ซึ่งสะพายดาบไว้ที่
หลัง
“ 8 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้กลับบ้านเนี่ย ”
พี่ชายของเด็กหนุ่มกล่าว นายทหารที่เดินนำทั้งสองมาหันกลับไปทำความเคารพกับน้องชายของเขา
ก่อนจะรายงานอย่างกระฉับกระเฉง
“ หลังจากนี้จะให้ปฏิบัติอย่างไรต่อครับ ”
นายทหารกล่าวอย่างขึงขัง ซึ่งท่าทีที่เคร่งครัดต่อกกของเขาทำเอาเด็กน้อยต้องเหนื่อยใจ
“ กลับไปได้แล้วที่เหลือชั้นกับพี่จะเดินสำรวจต่อเอง ”
เด็กน้อยกล่าวซึ่งนายทหารก็โค้งรับคำก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง
“ โห…กระฉับกระเฉงจัง ลอว์เรนซ์พี่ว่าน้องเคี่ยวกับเขามากไปรึเปล่า ”
พี่ชายกล่าวหยอกน้องชายซึ่งเป็นหัวหน้าของหน่วยนายทหารที่เดินออกไป
“ โธ่พี่กาเร็ทล่ะก็ผมไม่ได้อยากเคร่งครัดขนาดนี้ซะหน่อยเฮ้อ..นี่ก็เพราะเจ้าดราก้อนฮอลลี่
นี่ชอบแสดงพลังเกินความจำเป็นตลอด เลยพลอยทำให้พวกทหารคิดว่าผมเป็นคนเคร่งครัด
ไปด้วย ”
Lr บ่นด้วยความรู้สึกคลางแคลงใจ ในยศรองแม่ทัพที่เขาได้รับแต่งตั้งมา
แม้ในตอนแรก ที่เขากับเจนัส นีน่า ลากูน่า และ ริคุ จะปฏิเสธแต่เป็นจำนวน
ของทหารที่มาเพิ่มมากขึ้นเพราะการคมนาคมของกองกำลงสามารถเดินหน้าได้โดยไม่มีอุปสรรค
จากกำแพงน้ำแข็ง ทำให้ต้องแต่งตั้ง รองแม่ทัพมาช่วยบังคับการและเพื่อเป็นกำลังเสริมให้กับ
พวกเขาที่มีพลังพอจะต่อกรกับพวกระดับผู้นำของศัตรู เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่ออย่างเซ็งๆ
“ ทีตอนแรกก็ทำเป็นไม่เห็นหัวพอตอนนี้ล่ะจะมาทำประจบ….เฮ้อจะมีใครในใต้บังคับบัญชาของผมที่
จริงใจกับผมบ้างนะ ”
Lr บ่นไม่หยุดซึ่งกาเร็ทเองก็ปล่อยให้เขาบ่นให้ฟังไปเรื่อยๆเพราะเขารู้ดีว่าที่แล้วมาน้องชาย
คงต้องเก็บความอัดอั้นตันใจไว้มาตลอด โดยไม่สามารถระบายกับใครได้เลยนั่นก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้
ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนถูกมุรามาซะโซลครอบงำ
“ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆก็คิดจะมาที่นี่ล่ะหืม ”
กาเร็ทถามด้วยความอยากรู้ ลอว์เรนซ์ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยก่อนจะ
หันไปมองซากคฤหาสน์
“ นี่น่ะเหรอ…ที่พ่อกับแม่เคยอยู่ ”
Lr เปรยเสียงเรียบ ก่อนจะจูงมือกาเร็ทแล้วดึงเขาไป
“ น....นี่จะไปไหนน่ะ ลอว์เรนซ์ ”
กาเร็ทร้องเสียงหลงขณะที่เดินเสียหลักเซไปเซมาจากการถูก Lr ลากจูงไป
บวกกับคาดไม่ถึงในพละกำลังของ Lr ที่ลากเขาซึ่งแก่กว่า 5 ปีไปได้อย่างสบาย
“ เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะครับพี่ต้องไปเล่าด้วยว่าห้องไหนเป็นยังไง
ใช้ทำอะไรด้วยนะ ”
Lr กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสซะจนกาเร็ทอดแปลกใจไม่ได้
“ เฮ่อ…เจ้าน้องคนนี้ไม่อยากเชื่อเล้ยว่าจะเป็นคนๆเดียวกับที่แค้นเคือง
เราจะเป็นจะตายตอนนี้กลับยิ้มแก้มปริเชียวนะ…ว่าแต่แค่เราไม่อยู่ดูแปบเดียว
เจ้าน้องตัวดีเราทำไมมันแรงเยอะจังหว่า..ต้องถาม..แบบนี้มันต้องถาม ”
กาเร็ทคิดด้วยความแปลกใจ
[แปบเดียวบ้านแกสิเจอกันตรงๆครั้งสุดท้ายก็ที่บ้านผีสิงเก๊ โน่นหลังจากนั้นแก
เคยไปถามสารทุกข์สุขดิบกับเค้าไหม]
“ นี่ว่าแต่ช่วงนี้รู้สึกจะแรงเยอะขึ้นเป็นกองเลยนะถามจริงเถอะช่วงที่พี่ไม่อยู่เนี่ยไปทำอะไรมารึเปล่า ”
กาเร็ทถามด้วยความอยากรู้
[แหมมันน่าหมันไส้จริงไอ้เจ้ากาเร็ทเนี่ยไม่ค่อยชอบหน้าเลย ; พอแล้วเกรม่อนคุงบรรยายแทรกแบบนี้
คนอ่านเขารำคาญนะ]
“ อ๋อแค่พักหลังมานี้ สู้บ่อยจนแทบไม่ได้หยุดน่ะครับ ก็เลยไปขอให้เจนัสช่วย
ฝึกพลังกายเพิ่มให้นิดหน่อยจะได้ไม่ล้มพับเอา ”
Lr กล่าวอย่างลิงโลด ขณะที่ลาก กาเร็ทวนเข้าห้องนู้นห้องนี้ไปทั่ว
“ ร…เหรอคงเหนื่อยแย่เลยสิ…แหะแหะ ”
กาเร็ทแกล้งหัวเราะกระหยุมกระหยิม อย่างหนักใจ
“ นี่เจ้าหมานั่นมันฝึกอะไรให้น้องเราเนี่ยแค่นี้ก็จะไม่เป็นคนอยู่แล้ว….เฮ่อแต่ก็ดีแล้วล่ะ
ที่อย่างน้อยเจ้านี่ก็ยังมีเพื่อนในตอนที่เราไม่ได้อยู่ปกป้อง..น้องโตขึ้นมากเลยนะลอว์เรนซ์ ”
กาเร็ทคิดแล้วก็อดปลื้มไม่ได้
[อ๊างงงง เค้าไม่ยอมนะเจนัสคุงมาฝึกให้เค้าบ้างสิเอาแบบ2ต่อ2 น้าาา
;แล้วแกจะมาเสนอตัวออกนอกหน้าทำไมเจ้าการูรูม่อน โป้ก~~~ร่วงคู่ : ขออภัยในความไม่สงบ by
ปิโยม่อน]
ขณะเดียวกัน [ปิโยม่อน: เห็นมั้ยตัดฉากเลย ; เกรม่อน&การูรูม่อน: ขอโต้ด ]
ณ ซากปรักซึ่งเต็มไปด้วยรอยไหม้จากเปลวเพลิงตัวบ้านถูกเผาจนแทบไม่เหลือเค้าให้เห็น
ริคุ นีน่า และ กาเทียทั้งสามได้เฝ้ามองซากที่เหลือเมื่อครั้งอดีต หลังจากที่เจนัสได้บุกเขามาช่วยนีน่า
และจุดไฟเผาทั้งคฤหาสน์ เมื่อ4ปีก่อน
[ปิโยม่อน: ใช้ศัพท์ผิดอ้ะเปล่าเมื่อครั้งเยาว์วัยตอนนี้ยังเด็กอยู่นะเธอ ; เกรม่อน: พอแล้ว! :จากนี้ไม่มีขั้นแล้วจ้า]
“ คฤหาสน์ของ ลาเซริโอ้ จำได้ใช่ไหมคะพี่ ”
นีน่าเปรยขึ้นมาทำให้พี่ชายทั้งสองสะดุ้งด้วยความกังวลว่าการที่เธอกลับมาที่นี่
จะทำให้ความปวดร้าวในอดีตกลับมาอีก
“ นีน่า... ”
กาเทียกล่าวก่อนจะหยุดกึกไปเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่ชั้นได้มาก็เถอะ แต่ก็รู้สึกได้ว่าที่นี่น่ะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเลยนะ ”
ริคุกล่าวขณะที่เดินเข้าไปตบไหล่ นีน่า เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น ทำให้กาเทียอดที่จะ
ฉุนขึ้นมาไม่ได้ แต่อีกใจก็คิดว่า ริคุ เป็นญาติกับเธอและเขาเหมือนกันจึงไม่
ถือสาอะไรที่มาละราบละล้วง
“ อืม…ถ้าจะว่าไปที่นี่ก็เป็นที่ๆฉันถูกเจนัสช่วยเอาไว้ครั้งแรก… ”
“ ครั้งที่สองต่างหากล่ะนีน่าน้องจำผิดแล้วล่ะ ”
นีน่ากล่าวได้ไม่ทันจบ กาเทียก็แก้ให้ ซึ่งทำให้นางหน้าแดงด้วยความ
เขินอาย
“ ว่าแต่แล้วเจ้าตัวดีที่เผาบ้านเธอไปไหนซะแล้วล่ะ ”
ริคุกล่าวพร้อมกับหันซ้ายทีขวาทีเพื่อหาตัวเจนัสแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเขาเลย
“ รู้สึกว่าเขาออกไปจากค่ายตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ”
นีน่ากล่าว
“ งั้นแล้วใครดูแลพวกทหารที่ต้องฝึกกันเช้านี้อยู่ล่ะในเมื่อเธอชั้นแล้วก็ลอว์เรนซ์ออกมากันหมดเนี่ย ”
ริคุถามด้วยความสงสัย
“ อ๋อชั้นฝากลากุเค้าไว้ทั้งหมดเลยน่ะ ”
นีน่ากล่างเสียงเรียบในขณะที่ ริคุได้แต่ยืนตาค้าง ขณะที่คิดทบทวนประโยคของนางเมื่อครู่อีกครั้ง
“ แต่นั่นมัน..1..2..3..4..ส…สี่กองพันเชียวนะแล้วเจ้าลากุมันจะไหวเหรอ ”
ริคุกล่าวอย่างกระวนกระวาย
อีกด้าน ที่ค่ายพัก เสียงนับจังหวะหนึ่งสองดังมาแว่วมาเรื่อย
พร้อมกับเสียงสนทนาที่ดังแจมาตามกัน
“ ท่านรองลากูน่ากองร้อยที่ 7 กับ 8 เป็นลมไปแล้วครับ ”
“ ท่านรองครับ หน่วยเสบียงยังไม่ได้เตรียมอาหารเลยครับจะทำยังไงดีครับ ”
“ ท่านรองลากูน่าครับรายงานจากหน่วย 5 มาครับเพราะท่านรองนีน่า
ติดธุระเลยให้ส่งรายงานมาที่ท่านแทนครับช่วยตรวจให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะครับ ”
เสียงสนทนาจากเหล่าหัวหน้ากองที่มาายงานและแจ้งข่าวสารต่างดากันเข้ามาไม่หยุดเสียจน
ลากูน่าต้องวิ่งวุ่นไปทางโน้นทีทางนี้ที จนชุลมุนไปหมด
“ โอยท่านพี่ก็ไม่อยู่นีน่ากับริคุก็ออกไปข้างนอก ลอว์เรนซ์
ก็ไปตั้งแต่เช้าแล้ว ทำไมไม่มีใครอยู่เลยรึไง ”
ลากูน่าโวยวายด้วยความหวุดหวิดขณะที่มือต้องเขียนนู่นทำนี่เป็นประวิง ไม่วายแม้จะต้องเอาหาง
ของตนตวัดช่วยแทนมือด้วยซ้ำ
“ พลังในการทำงานสุดยอดจริงๆใช้หางทำก็ได้ด้วย ”
“ ใช่ๆถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ป่านนี้บ้าไปแล้ว ”
เสียงซุบซิบของทหานหญิงที่ช่วยอยู่ข้างๆเขาดังแว่วมา
“ นี่…ได้ยินนะพวกเธอสองคนน่ะอย่าอู้งานสิ ”
ลากูน่าตวาดอย่างเสียอารมณ์ ทำให้ทหารหญิงทั้งสอง สะดุ้งโหยง
“ ข…ขอโทษค่า ”
ทหารหญิงทั้งสองกล่าวก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
“ ลืมไปว่าหูไวปานฟ้าแลบ ”
ทหารหญิงแอบซุบซิบกันอีกครั้งก่อนจะต้องหยุดกึกเมื่อรู้สึกได้ว่าถูกจ้องมาจากด้านหลัง
ก่อนจะค่อยๆหันไปดูอย่างช้าๆด้วยหวั่นวิตก รองลากูน่า ได้มายืนอยู่ด้านหลังเธอแล้ว
พร้อมกับใบหน้าไม่สบอารมณ์แม้แต่น้อย
“ ม…มีอะไรหรือคะท..ท่านรอง ”
ทหารหญิงที่ถูกจ้องกล่าวด้วยความระสับระส่าย
“ ไม่ต้องมาไก๋ ไปวิ่งรอบสนามมาสิบรอบเดี๋ยวนี้เลย ”
ลากูน่าตะคอกเสียงดังก่อนที่ทหารหญิงจะรีบวิ่งตัวปลิวออกไป ด้วยความตกใจสุดขีด
“ หนูขอโต้ดค่าจะไม่ทำอีกแล้วค่า ”
ทหารหญิงตะโกนน้ำตาไหลเป็นสาย วิ่งพล่านด้วยความกลัวสุดขีด
ทิ้งให้เพื่อนของเธออีกคนต้องนั่งอยู่กับ ลากูน่าที่เดือดพล่านเต็มทน
“ แล้วเธอล่ะว่ายังไง ”
ลากูน่ากล่าวเสียงแข็ง พร้อมกับมองค้อนด้วยสายตา ปานจะกินเลือดกินเนื้อ
“ หนูกลัวแย้วค่า…. ”
ทหารหญิงอีกคนวิ่งตามเพื่อนของเธอ ออกไปแบบไม่คิดชีวิต
“ เชอะวุ่นวายกันซะจริ้งงงนี่มันจะไม่มีใครมาช่วยเราเลยรึไงกัน ”
ลากูน่าบ่นก่อนจะกลับไปนั่งที่โต็ะและเริ่มทำงานต่อ
“ ท่านรองครับนักประดิษฐ์ ที่จะมาซ่อมกองทัพหุ่นยนต์มาถึงแล้วครับจะให้พาเค้าไปที่
โรงเครื่องจักรเลยไหมครับ ”
นายทหารอีกคนเข้ามารายงาน
“ หือนักประดิษฐ์เหรอ… ”
ลากูน่าเปรยขึ้น ก่อนจะทำหน้าราวกับนึกอะไรบางอย่างได้
………….
…………….
…………………
ณ วิหารแห่งจันทรา
เจนัส กำลังยกแท่นหินแท่นใหญ่มาวางไว้ก่อนจะสลักอะไรบางอย่างลง
บนแท่นด้วยเล็บของเขา
“ เสร็จซะที ”
เจนัสรำพันขณะที่เอามือปาดเหงื่อที่หน้าผากออก
ก่อนจะก้มตัวลงต่อหน้าแท่นหินทั้งสอง
“ ผมกลับมาแล้วครับแม่.. ”
เขารำพันกับมัน บนแท่นหินนั้นสลักไว้ว่า ราซานี และอีกแท่นสลักไว้ว่า แอสต้า
นี่คือหลุมศพที่เขาสร้างขึ้น โดยตั้งไว้ใก้กับทะเลสาบของวิหาร
“ ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยมีเลาเท่าไหร่ไว้ของพ่อผมจะมาสร้างให้อีกทีแล้ว
ตอนนั้นเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง ”
เจนัสรำพันกับแท่นหิน ก่อนจะวางดอกไม้ที่เขารวบรวมมาได้
จากทั่ววิหารเพื่อเซ่นไหว้ให้แก่หลุมศพของแม่ทั้งสอง
“ ลากูน่าเองก็ร่าเริงขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วตอนนี้ผมยังไม่อยาก
ให้เขาคิดถึงเรื่องนั้นไว้สงครามนี่จบลงผมจะพาเค้ามาแน่
ช่วยรอด้วยนะครับแม่....ท่านแอสต้า ”
เจนัสกล่าวก่อนจะลุกขึ้นและเดินลงไปในมะเลสาบซึ่งเป็นทางออกไปจากวิหาร
ทันทีที่เขาขึ้นมาจากทะเลสาบลวงตา เขาก็มาโผล่ท่ามกลางป่าลึกในอาณาจักรฟูดินัน
กึงกังกึงกัง!
เสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังแว่วมาก่อนที่ ฮอลี่วูลฟ์แอคเตอร์จะวิ่งผ่านเขาไป
“ นั่นมันฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์หรือว่าเจ้านักประดิษฐ์มันจะ… ”
เจนัสคิดก่อนจะวิ่งตามมันไป
…………….
………………..
…………………….
ณ เกาะปลายทะเลสาบนีรันด้า
“ ฉันต้องไปแล้วล่ะเซโร่ทุกคนกำลังต้องการความช่วยเหลือแล้วฉันจะกลับมาแน่นอน
และจะต้องล้างแค้นให้เธอด้วย ”
เรโค่กล่าวก่อนจะออกบินไปจากเกาะทิ้งให้เซโร่ ซึ่งยังคงไม่หลุดจากผนึก
เอาไว้เพียงลำพัง
ภาพทั้งหมดนี้กำลังถูกฉายผ่านทางน้ำตกในวิหารปราชญ์มังกรเช่นกัน
อีสควอเทียที่ยังคงมองดูความเป็นไปของแต่ละคน อย่างเย็นใจ
ทว่าก็ได้มีแขกมาเยือน ชายหนุ่มซึ่งถือไม้เท้าเดินเข้ามาพร้อมกับแมวดาค์เดสทินี่
“ ให้รอซะนานเชียวนะเวสเล่รู้ตัวไหมว่าบันทึกของเจ้าน่ะมันสร้างปัญหาไว้ขนาดไหน ”
อีสควอเทีย เปรยขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มหยุด
“ แหมข้าแค่เขียนมันเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้นตามนั้นซะหน่อย ”
ชายหนุ่มกล่าวเขาคนนี้ก็คือแวเลี่ยนเวสเล่ (Werrian Wesley) ผู้ที่เขียนบันทึกซึ่ง
บรรยายความเป็นไปทั้งหมด ณ ช่วงเวลานี้นั่นเอง
………….
………………
…………………
ตอนสายของวันนั้น
“ งั้นข้ากลับก่อนนะ ”
ทิโมธีกล่าวก่อนจะเดินออกจากโรงเครื่องจักร เพื่อกลับบ้าน โดยมีลากูน่า
คอยสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ ทันทีที่ทิโมธีเข้าไปในบ้าน
และปิดประตูลง ครั้นเมื่อลากูน่า เปิดประตูเข้าไป เขาก็หายไปแล้ว
ลากูน่ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านและไปชนเอาม้วน
กระดาษบนโต็ะ จนมันคลี่ออกมา ซึ่งในกระดาษนั้นเขียนแบบแปลนของ
ออบซิเดียนแอคเตอร์และฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์ไว้ รวมไปถึงแอคเตอร์รูปแบบหน้ากาก
กลมมนสีขาว ที่ไม่เคยเห็นอีกด้วย
“ นี่มันแบบการสร้างแอคเตอร์นี่ใช่จริงๆด้วยเจ้านักประดิษฐ์ขาเป๋
ที่เข้าออกภายในกองทัพของเราคือเทพขุนพลนักประดิษฐ์…ต้องรีบบอกให้ทุกคนรู้ ”
ลากูน่าคิดก่อนที่จะคว้าเอาม้วนกระดาษออกไปจากบ้าน ทว่าเขาก็ถูกทินทอน
หุ่นกระป๋องของทิโมธีเข้ามาขวางไว้
“ อย่าคิดว่าจะกลับออกไปนะ..แก็ก ”
เจ้าหุ่นกระป๋องกล่าวก่อนจะพุ่งเข้าโจมตี
………….
…………………
…………………….
ขณะเดียวกัน ลอว์เรนซ์ กาเร็ท กาเทีย นีน่า และ ริคุก็ได้ออกตามหา ลากูน่าที่หายตัวไป
จนไปเจอเข้ากับออบซิเดียนแอคเตอร์ ที่บินผ่านไป พวกเขาได้วิ่งตามมันไปเพราะคิดว่า
อาจเกี่ยวข้องกับการหายไปของลากูน่า จนในที่สุดเมื่อแอคเตอร์ทั้งสอง มาเจอกัน
ที่ทุ่งหญ้านอกกำแพงเมือง ที่นั่นพวกเขาได้พบกับเจนัสที่วิ่งตามฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์
มา
“ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ”
เจนัสกล่าวขณะที่วิ่งมาสมทบกับพวกเขา
“ เราออกมาตามลากูน่าน่ะเค้าหายตัวไปไม่มีใครรู้ว่าเค้าไปไหนก็ตามไป
เรื่อยจนเจอแอคเตอร์ก็เลยตามมาเนี่ย ”
Lr อธิบายพร้อมกับชี้ไปยังแอคเตอร์ทั้งสองที่ ยังคง
วนเวียนอยู่แถวนี้
“ อ้าวว่าไงพวกเจ้าสบายดีไหม ”
ทิโมธีซึ่งโผล่มาโดยไม่รู้ตัวทักทายพวกเขา โดยเดินสะเปะสะปะ
ตรงมาหาพวกเขา
“ บาดเจ็บที่ขาข้างเดียวกับเจ้านักประดิษฐ์เลยจะว่าไปเจ้านี่ก็เป็นนักประดิษฐ์
ของกองกำลังเหมือนกันไม่แน่…นี่หรือว่า ”
เจนัสคิดซึ่งนีน่าและริคุเองก็เริ่มคิดแบบเดียวกับเขา
“ ทุกคนถอยออกมา…เจ้านั่นคือนักประดิษฐ์…เทพขุนพลนักประดิษฐ์ ”
เสียงตะโกนของลากูน่าดังมาจากด้างหลังของพวกเขาเมื่อหันไป
ก็เห็นลากูน่าวิ่งโบกม้วนกระดาษอยู่ในมือ โดยมีเจ้าหุ่นกระป๋องลากติดมาด้วย
ไม่นานนักแอคเตอร์ทั้งสองก็พุ่งเข้ามายังกลุ่มของพวกเขาจนต้องถอยหนี
ออกมา
“ รู้ตัวแล้วรึ ”
ทิโมธีเปรยก่อนที่เหล่าซินทั้งสิบตนจะปรากฏกายขึ้น
พร้อมกับการมาของเกรเกอรี่ โดยที่เหล่าอารักขเทวดาทั้งห้าของเขาถูก
เหล่าซินตรึงไว้
“ นี่มันเรื่องอะไรกันท่านบิชอป ”
กาเร็ทกล่าวด้วยความสับสนเช่นกันกับทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
ทว่าเกรเกอรี่ก็โยนหนังสือซึ่งเป็นบันทึกที่ Lr ได้ไปเอามาจากฐานกำลังทางเหนือ
ทันทีที่เขาเก็บขึ้นมาอ่านเนื้อความในหน้าที่ถูกขั้นไว้
…..และแล้วบิชอปแห่งฟีเลเซียผ้ยึดมั่นในพระองค์ ก็ได้เลือกที่จะรับใช้พระองค์
และทรยศต่ออุดมการณ์แห่งศาสนจักร………..
“ นี่มันอะไรกัน ”
Lr เปรย มือที่กางหนังสือสั่นเทา
“ ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะเกรเกอรี่จะมารับใช้พระองค์อย่างเต็มใจใช่มั้ยล่ะ ”
ทิโมธีกล่าวขณะที่หันไปขอเสียงสนับสนุนจาก เกรเกอรี่
ไม่นานนัก ประตูมิติก็เปิดออก มังกรเพลิงโลกัณฑ์มอนิอัส
และมังกรแห่งการทำลายล้างลุมเบเลนอส ได้ก้าวออกมาจากประตู
พร้อมกับ ชายผู้อยู่เหนือกาลเวลาความเป็นและตาย
ลิขิตชีวิตของทุกผู้ ก็ได้ปรากฏต่อหน้าพวกเขา
“ อิเดีย… ”
สิ้นคำของ Lr ดราก้อนฮอลลี่ก๋ส่องแสงสว่างขึ้นก่อนที่ดาบมาคายาเดียจะมาอยู่ในมือของ
เขา และกลายร่างเป็นทาลิวิลย่าพร้อมกับที่ลูกมังกรทั้งหกได้เปลี่ยนร่างเป็น
มังกรกริฟ ชินเซเบอร์และมิรัยเคนของกาเทียและกาเร็ทได้ อัญเชิญ
มังกรอัสนีบาตอันเป็นอาวุธแห่งเทพ โกรอทพาลม่า และสุดยอดมังกร นิลทูเรี่ยน
ออกมา ในขณะที่พวกเจนัสก็เตรียมพร้อมรับมือ
“ ศึกที่ยาวนานมาตัดสินกันที่นี่เลย ”
ทาลิวิลย่ากล่าวก้อง
“ วันนี้ข้าไม่ได้มีธุระกับพวกเจ้า แค่จะมาต้อนรับสาวกคนสุดท้ายของข้าก็เท่านั้น ”
อิเดียกล่าวขณะที่มองค้อนไปยังเกรเกอรี่
“ เอาล่ะมาอยู่ด้วยกันเถอะสหายข้า เราจะช่วยกันชำระโลกนี้ซะ ”
ทิโมธียื่นหน้ากาก กลมสีขาวซึ่งเป็นอันเดียวกับที่บิชอปชุดดำผู้ซึ่ง
ควบคุมอัศวินนรก ให้แก่เขา
“ นี่คือ มาร์คแอคเตอร์ (Mask Actor)เพียงสวมมันเจ้าก็จะได้มารับใช้พระองค์อย่างที่เจ้าหวังแล้ว ”
ทิโมธีกล่าว
“ รับใช้พระองค์อย่างที่หวังอะไรกันแกมันจอมมารชัดๆท่านบิชอปที่ยึดมั่นและศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่มีทางไปเข้าพวกกับแกหรอก ”
ทาลิวิลย่า กล่าวทว่า เกรเกอรี่กลับ ส่ายหน้า
“ ไม่ทิโมธีพูดถูกแล้ว ท่านผู้นี้คือร่างอวตารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริง ”
เกรเกอรี่กล่าว คำพูดของเขาทำให้ Lr และพรรคพวกแทบไม่อยากเชื่อ
ว่าอิเดียคือร่างอวตารของพระเจ้าสูงสุด
“ แล้วที่ท่านทำมาตลอดนี่ไม่ใช่ความต้องการของท่านหรือ ”
ทาลิวิลย่ากล่าวโดยหวังว่า เกรเกอรี่จะเข้าใจแต่คำตอบที่ได้รับมานั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
“ นี่เป็นชะตากรรมที่ฟ้าลิขิตไว้แล้วไม่อาจเปลี่ยนได้อีก... ”
เกรเกอรี่กล่าวจบก็รับเอามาร์คแอคเตอร์ มาจากทิโมธี
“ ที่แล้วมาเรามักจะเลือกทางเดินที่สวนกับสหายมาตลอดทั้งเคอวินแล้วก็ทิโมธี
บางทีนี่อาจจะดีแล้วก็ได้ ”
เกรเกอรี่คิดในก่อนที่หน้ากากจะถูกสวมลงบนใบหน้าของเขาจนเต็ม
ออร่าสีดำแผ่กระจายปกคลุมร่างของเขา ชุดบิชอปได้เปลี่ยนสีไปจากขาวเป็นดำ
“ สาวกข้า นับแต่นี้เจ้าคือเนโครบิชอป(Necro Bishop) ”
อิเดีย ประกาศก้องก่อนที่ อัศวินสวรรค์จะจุติลงมาจากฟ้า
และเปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นอัศวินนรก และมาอยู่ข้างกายของเกรเกอรี่ที่กลายเป็นเนโครบิชอป
ภาพเหตุการณ์นี้ก็ได้ฉายไปถึงน้ำตกของวิหารปราชญ์มังกร โดยมีปราชญ์ทั้งสองเฝ้ามองเหตุการณ์
ที่เป็นไปตามคำทำนาย
“ มนุษย์นั้นจะก้าวต่อไปเพื่อ ให้รู้ยังจุดหมายข้างหน้าแต่เมื่อใดที่รับรู้ถึงสิ่งนั้นก่อนจะได้เดิน
ทาง กระนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนทางไปได้นี่คือชะตา ”
เวสเล่กล่าว เมื่อได้เห็นหนทางที่ดำเนินไปตามอนาคตที่พวกตนได้รับรู้มา
“ จากนี้ไปที่ทะเลทรายแห่งการสูญสิ้นอีกสิบวันดวงสุริยาและจันทรา
จะขึ้นพร้อมกัน เมื่อนั้นข้าจะทำพิธีมหาจุติและโลกนี้ก็จะถึง
กาลปวสานทุกๆอย่างจกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ไม่ว่าเทพปีศาจมนุษย์สัตว์ก็จะต้องหายไปจนหมดสิ้น ”
สิ้นคำอิเดียก็ได้เผยร่างที่แท้จริงออกมา มันมีรูปร่างที่ไม่อาจแยกออกได้ว่าเป็นเทพหรือปีศาจ
แต่นี่คือสิ่งที่เข้าสิงร่างของอิเดียเมื่อ 9 ปีก่อนปีกทั้งสี่ที่มาพร้อมกรงเล็บทั้งหกลำตัวเป็นกระดูกเรียงตัวเป็นเส้น
ดวงตาลุกโชนด้วยเพลิงสีรุ้ง ร่างกายเปล่งประกายสีรุ้งเจิดจรัสตลอดเวลา
“ ข้าจะบอกอะไรดีๆให้ วิญญาณของอิเดีย..ไม่สิวิญญาณของทุกชีวิตในโลกนี้ได้ถูกผนึกอยู่ในตัวข้า
นับตั้งแต่วันที่ข้าจุติลงมา ดังนั้นวิญญาณของครอบครัวพวกเจ้าก็ยังคงอยู่ในอานัติของข้า ”
สิ้นคำ ร่างโปร่งใสของ อิเดีย ซาเรีย ราซานี เซโก้ แอสต้ารวมไปถึงเหล่าเทพขุนพลทั้งหมด
และทุกคนที่ได้ตายไปในศึกนี้ก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
“ วิญญาณของเจ้าพวกนี้จะถูกข้าผนึกไว้และไม่ได้อิสระพวก
มันจะถูกทำให้หายไปพร้อมกับพวกเจ้าแน่นอน ”
อวตารแห่งพระเจ้าได้กล่าวก้องก่อนที่จะเปิดประตูมิติอีกครั้งและ
หายลับไปในพริบตา
“ อีกสิบวัน..งั้นเหรอ ”
ทาลิวิลย่าเปรย ข่าวเรื่องการทรยศของเกรเกอรี่และทิโมธีรวมไปถึงวันตัดสินของศึกได้ถูกแจ้งไปอย่างรวด
เร็วในวันนั้น และแน่นอนความวุ่นวายได้เข้ามาเยือนเมื่อวันประกาศศึกตัดสินได้ใกล้เข้ามา
บันทึกที่รับมาจากเกรเกอรี่ได้ถูกถอดความออกมาทั้งหมดเกี่ยวกับรายละเอียดที่เหลือ
……ผู้เป็นความหวังที่สามแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้นจะกอบกู้โลกจากตัวพระองค์ที่แบกรับพลังด้านลบของ
โลกเอาไว้และจุติลงมานำโลกนี้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า ……..
……..เหล่ามนุษย์ได้ดิ้นรนที่จะอยู่รอดโดยพยายามอย่างไร้ผลต่อสู้กับเปลือกนอกของพระองค์
และจบลงที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้………..
………วันที่สุริยาและจันทราจุติ เมื่อนั้นคือสัญญาณแห่งอวสานโลก พระองค์จะจุติอย่างสมบรูณ์
และจะไม่มีใครหรืออะไรมาขวางได้ แม้แต่ผู้เป็นความหวังที่สามของพระองค์ก็ตาม
สวรรค์จะถูกกลืน นรกจะสูญหายโลกจะพังทลาย และดับสิ้นคืนกลับสู่ความไร้ตัวตน……
“ เราไม่มีทางชนะเลยจริงๆนั่นล่ะ ”
อีสควอเทียกล่าว ขณะที่ภาพบนน้ำตกซึ่งฉายภาพอนาคตแห่งความพ่ายแพ้
ของพวกเขา แผ่นดินลุกเป็นไฟ ฟ้าแตกทลาย ท่ามกลางการสู้รบนั้น นอกจากร่างของเด็ก
สี่คนและคนอื่นที่เหลือ กับเศษดราก้อนฮอลลี่ที่แตกกระจาย ดาบมาคายาเดีย หักท่อน
โล่มิคาเอล ถูกเจาะทลาย และร้ายที่สุดร่างของ Lr ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดไหลโทรมกาย
กับลมหายใจที่แผ่วเบา ต่อหน้าความมืดอันยิ่งใหญ่ที่ดูดกลืนทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่า
ภาพทั้งหมดที่อีสควอเทียดูในวันที่พวก Lr มาที่นี่เป็นครั้งแรกจนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยน
แปลง
โปรดติดตามตอนต่อไป
ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงทะเลทรายแห่งการสิ้นสุดและเข้าปะทะกับกองทัพมังกรปีศาจทั้งหมด
ในขณะที่ร่างอวตารกำลังรอการจุติ ครั้งใหญ่ วิกฤติการได้เข้ามาเยือนเมื่อเทพไม่อาจยื่นมือเข้าช่วย
เหมือนที่แล้วมา เหล่าผู้กล้าต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไร้ทางสู้ วินาทีนั้นจอมเวทย์ผู้แข็งแกร่งก็ได้ปรากฏกาย
“ ฉันจะแก้แค้นให้เซโร่ ”
ทว่าก็ไม่อาจทานอำนาจที่ยิ่งยงได้ ปาฏิหาริย์ที่ได้บังเกิดในขณะนั้นเมื่อจอมเวทย์แห่งการคืนชีพได้
เข้าช่วยเหลือ
“ เซโร่ชั้นจะเอานายออกจากผลึกนี่เองถ้าเป็นไฟของชั้นล่ะก็ต้อง
ละลายมันได้แน่แล้วเราจะได้ไปด้วยกันไปปกป้องเรโค่ ”
เมื่อจอมเวทย์ทั้งสามได้กลับมาอยู่ร่วมกันพลังของวิหกแห่งตำนานจึงเริ่มขึ้น
“ นี่คือพลังที่แท้จริงของพวกเรา ”
“ เปล่าประโยชน์ข้าทำมหาจุติสำเร็จแล้วโลกนี้จงกลับสู่ความว่างเปล่า ”
อวสานโลกได้คลืบคลานเข้ามา
ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้นผู้กล้ายังคงไม่ย่อท้อกัดฟันสู้ต่อไป
“ จะโชคชะตาหรืออะไรก็เถอะแต่ทางเดินนั้นตัวเราคือผู้ลิขิตแกไม่มีสิทธิมาลิขิตทางเดินของพวกเรา ”
“ ขอร้องล่ะตัวชั้นอีกคนช่วยมอบพลังให้ด้วย ”
“ หึ หึ หึ ไม่อยากเชื่อเลยที่จะได้ยินคำนี้จากปากของแกก็ได้ข้าเองก็ยังมีเรื่องต้องสะสางกับมัน
เหมือนกันบังอาจหักหลังข้า เอ้าเจ้าพวกปีศาจปลายแถวทั้งหลายจะมายืนโง่อยู่ทำไม
ถ้าอยากหายไปนักพวกแกก็นอนรอวันตายอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ”
ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นอีกคราจิตใจที่รวมเป็นหนึ่งก่อกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่
“ พลังแห่งความนึกคิดคืออำนาจที่จะดำรงไว้ซึ่งทุกสรรพสิ่ง และบัดนี้เราคือ…. ”
ก้าวข้ามลิขิตแห่งฟ้าเพื่อไขว่คว้าอนาคตมาไว้ในกำมือ แสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมิดที่ว่างเปล่า
ติดตามได้ใน
บทที่ 32 ก้าวข้ามโชคชะตาสู่ขีดสุดแห่งวิวัฒนาการ
ในที่สุดก็มาถึงตรงนี้จนได้ ว่าแต่บทนี้ช่วงต้นแทรกเยอะไปหน่อย แหะๆ ถือว่าคลายเครียดละกันครับ
ว่าแต่หมันไส้เจ้ากาเร็ทอ่ะดูมันดิทิ้งน้องไว้ตั้งนาน ว่าแต่เจ้าการูรูม่อนเนี่ยสิมันเผยธาตุแท้ออกมาเลยง่ะ
ตอนพิมพ์กันเนี่ยมันกรี้ดลั่นห้องซะ เลยหยิบมาใส่โลดให้เขารู้กันให้โม้ด ประจานอย่างนี้ต้องประจาน
เอหรือไม่ต้องประจานก็ออกลายมาแต่หัววันแล้วหว่าเหอๆ ว่าแต่บทหน้างานหนักแน่
จะพิมพ์ได้มั้ยเนี่ยตัวละครเยอะอ่ะ ขนาดบทนี้รวบเต็มที่แล้วยังยาวเลย ส่วนเรื่องเนโครบิชอป
เนี่ยมีใครคาดถึงมั้ยเอ่ยว่าจะเป็นเกรเกอรี่เนี่ย เจ้าทิโมธีนี่คงไม่ต้องบรรยาย
เพราะโผล่หางมาแต่ต้นแว้ว ที่นี้ร่างสุดท้ายของทาลิคุงคือร่างไหนน้า
จำได้ว่าเคยโพสให้ดูไปแล้วแต่ไม่ได้บอกว่า ไว้ว่าเป็นร่างสุดท้าย ใบ้ให้เป็นโปรโมการ์ดอิอิ