บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา
ณ อาณาจักรฟีเลเซีย(Felasia)อันเกรียงไกรแห่งนี้ เหล่าราษฎร นั้นต่างยึดมั่นถือมั่นในเกรียติยศ
อันยิ่งยง แห่งชาวฟีเลเซีย ทำให้นักรบในอาณาจักรต่างเป็นนักรบ
เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ของอัศวิน และทั้งนี้อาณาจักรหาได้เจริญเพียงแค่ทางการทหารไม่
เราระทางการศาสนา นั้นก็ควบคู่กันมากับการทหาร เพื่อให้ทุกคนมีศีลธรรม และยึดมั่นในเกรียติ
แห่งความดีงาม
ราชวงศ์กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรนี้คือราชวงศ์ อรีธา ซึ่งกษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์
อยู่ในกาลนี้คือ กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 แต่ก็ได้มีใครหารู้ไม่ว่า บัดนี้อาณาจักรชาตินักรบอันเกรียงไกรนี้
ได้ถูกเปลี่ยนมือผู้ปกครองไปแล้ว เพราะองค์กระษัตริย์ได้ทรงทำสัญญากับ ท่านผู้นั้น
จนตกเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในการเฝ้าจับตาดูความเป็นไปของกองกำลังต่อต้านที่แฝงตัวเอาไว้อยู่
จนถึงบัดนี้ทุกท่านคงจะยังไม่รู้ที่มาของกองกำลังต่อต้านนี้ อันที่จริงกองกำลังต่อต้านนี้
ก็คือกองทัพศาสนจักรที่เคยถูกจัดตั้งขึ้นในสมัยสงครามสี่อาณาจักรที่พึ่งจะสงบลงไป
เมื่อไม่กี่ปี่นี้เอง โดยกองกำลังต่อต้านนี้ประกอบด้วย ทหารจากแอนดิซองและฟีเลเซียเป็นหลักอีกทั้ง
ยังเครือข่ายและกองกำลังแฝงตัวอยู่ตามทวีปอื่นๆอีกด้วย
แต่ทว่าทั้งที่มีกองกำลังมากมายเหลือคณานับนี้แต่พวกเขากลับไม่สามารถรวมพลได้นั้น
ก็เพราะบัดนี้ได้เกิดโดมน้ำแข็งขนาดยักษ์ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปเมอริเซียแห่งนี้
ตั้งแต่เขตเกาะและเมืองท่าของแอนดิซอง(Annedisonge)ขึ้นไปจนพ้นทะเล อาณาจักรลาซาล (Lazal)
ได้ถูกปิดกั้นด้วยกำแพงน้ำแข็ง ซึ่งก่อตัวสูงขึ้นเสียดฟ้า โดยที่ใจกลางน่านฟ้านั้นมี ปราการลอยฟ้า เชื่อมวงแหวน
ทรงตัวของมันเข้ากับกำแพงน้ำแข็งที่โน้มเข้ามา ซึ่งบัดนี้ได้มีบางสิ่งกำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง
อยู่บนน่านฟ้าภายในโดมแห่งนี้ ซึ่งมันกำลังจะ พุ่งเข้าชนกำแพงน้ำแข็งในไม่ช้านี้
“ พร้อมนะไดน่าเบลด ”
ชายผู้ขี่อยู่บนหลังกริฟฟินปีกสีรุ้ง กล่าวให้จังหวะกับมัน ก่อนที่มัน
กระพือปีกที่สยายอยู่กลางอากาศ อย่างรวดเร็ว ทันทีที่แสงซึ่งส่องทะลุ ลงมาสะท้อนกับขนปีกของมัน
จนเกิดเป็นแสงสีรุ้งกระจายตัวออกมา และเรียงตัวกันราวกับเป็นปีกที่สยายเพิ่มออกมาจาก
ปีกทั้งสองนี่คือ การโจมตีโดยใช้แสงสะท้อนของขนสีรุ้งของมันซึ่งราวกับว่ามันกระจายปีกออกไปโจมตี(Spread Wing)
ทันทีที่ปีกแสงนั้นกระทบเข้ากับกำแพงน้ำแข็งมันก็เริ่มวูบไหวราวกับมันเป็นภาพมายา ก่อนที่กริฟฟิน
และนายของมันจะบินทะลุผ่านกำแพงที่วูบไหวนั้นออกมา
ชายผู้ขี่มันหันกลับไปมอง กำแพงที่วูบไหวเมื่อครู่ซึ่งมันเริ่มกลับมาจับตัวแข็งกันดั่งเดิมอีกครั้ง
ก่อนจะนึกย้อมถึงสิ่งที่ได้รับรู้มาจาก มังกรปราชญ์ อีสควอเทีย
“ ตอนนี้ทั่วทั้งทวีปเมอริเซียถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงน้ำแข็งขนาดยักษ์ซึ่งสาเหตุมันก็มาจากพวกโฮลี่ไนท์แมร์นั่นล่ะ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังพอที่จะส่งเจ้ากลับไปที่ทวีปคาดาร่าได้ แต่ว่าข้ารู้วิธีที่จะออกไปจากกำแพงน้ำแข็งนี้ได้
ที่ส่วนบนของกำแพงน้ำแข็งจะเป็นจุดที่มีความเข้มแข็งน้อยที่สุด แค่โจมตีใส่นิดหน่อยมันก็จะสลายตัวไป
ก่อนที่มันจะกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง ใช้จังหวะนั้นพุ่งผ่านมันออกไปซะ เพราะนี่เป็นวิธีเดียวกับที่ฉัน ให้เทลูมานาไปส่งพวกเขาเมื่อครั้งก่อน ”
คำพูดของอีสควอเทียซึ่งเขาจำมันได้ดี บัดนี้เขาได้ผ่านออกมาจากทวีปเมอริเซียแล้ว
“ เอาล่ะเราบินลงต่ำกว่านี้หน่อยเถอะ ”
เขากล่าวพร้อมกับ บังคับให้มันบินลง พวกเขาค่อยๆทะยานลงมาอย่างช้า
จนเมื่อลงมาใต้เมฆก็ได้ พบเห็นเรือสินค้ามากมายกำลังลอยลำอยู่เหนือน่านน้ำ
เพราะไม่อาจเดินทางผ่านกำแพงน้ำแข็งเข้าไปได้
“ ทำให้เดือดร้อนกันไปหมดเลยแหะ คงต้องรีบๆทำให้มันจบลงโดยเร็วที่สุดแล้วสินะ ”
เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะละความสนใจและบังคับให้ กริฟฟินปีกสีรุ้ง ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
สูงอีกครั้ง
“ ยังไงซะตอนนี้เราเองก็ไม่มีเวลามารออยู่ที่นี่แล้วต้องรีบไปให้ถึงก่อนที่นีน่าจะรู้ตัว….ไม่งั้นหมอนั่นต้องตายแน่ๆ 4 ปีก่อนที่นายช่วยเธอเอาไว้ จะให้มันสูญเปล่าไม่ได้…. ”
เขาคิดขณะที่ กำลังทะยานไปกับกริฟฟินคู่ใจ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง
หุบเขา ทางเขตเหนืออันเป็นที่ตั้งกองกำลังต่อต้าน ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาลึก และเป็นที่หมายเดียวกับที่พวก Lr
กำลังจะไปในไม่ช้านี้
……………
……………….
…………………..
ณ บ้านริมชายป่าของนักประดิษฐ์สติเฟื่องแห่ง ฟีเลเซีย ได้มีผู้มาเยือนถึงสองคน พวกเขาเปิดประตูบ้านของนักประดิษฐ์ ซึ่งมันไม่ได้ล็คเอาไว้สร้างความแปลกใจให้แก่ทั้งคู่ไม่น้อย ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน
ซึ่งมืดสนิท จากการที่หน้าต่างถูกปิดเอาไว้ด้วย บานพับเหล็ก แสงที่ส่องเข้ามาภายในห้อง
จากประตู ทำให้พอมองเห็นทางได้บ้าง หนึ่งในสองคนนั้น ได้เดินคลำทางภ่ยในห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยสารพัดเครื่องมือและสิ่งประดิษฐ์ อย่างยากลำบาก ก่อนเขาจะผลักบานพับหน้าต่างที่ปิดไว้ออกเพื่อให้แสงส่องเข้ามา
“ นี่ท่านบิชอปท่านยังไม่ได้ตอบเราเลยนะว่าทำไมถึงต้องรีบออกมาปุบปับแบบนี้ ”
อีกบุคคลกล่าวพร้อมกับย่างก้าวเข้ามาในห้องนางคือ องค์หญิง เรจิน่า(Regina, the Princess of Felasia) แห่งฟีเลเซีย (ที่จริงตอนนี้น่าจะเป็นมหารานีแล้ว แต่ข้อมูลไม่แน่นพอขอให้เป็นองค์หญิงไปก่อนละกันนะครับ) ในขณะที่อีกบุคคลซึ่ง
ก็คือบิชอปเกรเกอรี่ แห่งฟีเลเซีย กำลังมองสำรวจไปรอบๆห้องเพื่อหาใครบางคนที่ควรจะอยู่ที่นี่
“ ไม่อยู่จริงๆรึนี่ ”
บิชอปเกรเกอรี่ พึมพำขึ้นพร้อมกับ ยกมือขึ้นเกาคางพลางใช้ความคิด
โดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามที่เจ้าหญิง ซึ่งนั่นก็ทำให้พระองค์ทอดพระเนตร บิชอปด้วยความ
งุนงง ขณะที่รอคำตอบ ซึ่งบิชอปเกรเกอรี่ ทันทีที่รู้สึกตัวว่า เจ้าหญิงทรงรอคำตอบจากเขาอยู่
จึงรีบหันไปกล่าวกับพระองค์ ทันที
“ โอ้ขออภัยด้วยกระหม่อมลืมตัวไปพะย่ะค่ะ ”
“ อันที่จริงแล้วช่วงนี้กระหม่อนรู้สึกสงสัยกับ ท่าทีของทิโมธีอยู่บ้าง และเมื่อสองสามวันก่อนนี้เขามาถามกระหม่อมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ แปดปีและสี่ปีก่อนน่ะพะย่ะค่ะ ”
บิชอปเกรเกอรี่กล่าวโดยไม่หยุดพักหายใจเลย ทำให้พระพักต์ของเจ้าหญิงเต็มความไปด้วยความประหลาดใจ
กับความรีบร้อนของเขา แต่ก็พระองค์ก็ทรงฉุกคิดขึ้นมาถึงคำพูดของเขา เกี่ยวกับทิโมธี
“ ท่านหมายถึงเหตุการณ์การล่มสลายของตระกูล ซาราเบลดและลาเซริโอ้น่ะหรือ ”
เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความสงสัยซึ่งบิชอปเกรเกอรี่เองก็พยักหน้ารับเป็นเชิง
“ แต่ว่ากระหม่อมเองก็ไม่ค่อยจะทราบรายละเอียดนัก
แต่ตามที่พระองค์ตรัสมาเขาไปถามพระองค์ใช่มั้ยพะย่ะค่ะ ”
เกรเกอรี่กล่าวเสียงเรียบ ซึ่งเจ้าหญิงเองก็ทรงพยายามระลึกถึงเหตุการณ์ณ์เมื่อสองวันก่อน
ซึ่งพระองค์ทรงแอบปลอมตัวเสด็จมาพบเขาโดยลำพัง และถูกถามถึงเรื่องดังกล่าว
ซึ่งพระองค์ก็ได้ตรัสออกไปจนหมด
“ ใช่เราเล่าให้เค้าฟังทั้งหมดไปแล้ว ”
เจ้าหญิงตรัสตอบ ทันทีที่ได้ยินคำตอบเกรเกอรี่ก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางขบคิด
ไปด้วยความสงสัย ก่อนที่มือของเขาจะไปปัดโดนเอาม้วนกระดาษจนหล่นลงพร้อมกับกางออกในทันที
มันเป็นแบบแปลนของสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่รูปร่างเหมือนตัวด้วงหกตัวและเครื่องจักรที่ดูคล้ายกับเข็มขัด
ซึ่งไล่ลงมานั้น ยังมีรูปของชุดเกราะโลหะที่มีรอยต่อแยกประกอบชิ้นส่วน เขียนยาวเป็นทาง
เกรเกอรี่ย่อตัวลงเก็บมันขึ้นมาดู อย่างถี่ถ้วนไล่ตั้งแต่บนลงมาจนสุดแผ่นกระดาษซึ่ง
ที่ตอนท้ายได้มีการบันทึกเอาไว้ด้วย
ระบบส่วนประกอบชุดเกราะสะสมพลัง
นี่คือระบบที่จะใช้ในการเพิ่มพลังให้กับชุดเกราะ สะสมพลังงานทั้งสองแบบ
โดยการนำเอาสิ่งที่เรียกว่า แอกเตอร์(Actor)มาเป็นวัตถุดิบในการเสริมพลัง
เพื่อสร้างรูบแบบ(Form)ต่างๆขึ้นมา ซึ่งมันจำเป็นต้องใช้พลังของ ชะตากรรมแห่งแสง(Shine Destiny)ในการทำให้ แอกเตอร์สามารถทำงานได้น่าเสียดายที่เข็มขัดอีกเส้นถูกขโมยไปพร้อมกับ แอกเตอร์ แต่ยังดีที่อีกเส้นนั้นยังอยู่ในตอนนี้ แอกเตอร์ ที่เหลืออยู่นี้ก็จะได้ใช้กับเข็มขัดเส้นนี้เสียที พลังทั้งหกรูปแบบจะนำไปสู่พลังเหนือกาลเวลา แอกเตอร์ ออบซิ ….
ส่วนท้ายของบันทึกถูกฉีกขาดไป เกรเกอรี่วางแบบแปลนลงบนโต็ะด้วยความสงสัย แต่
ก็ตัดใจลืมมันไป เพราะตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้น
“ ว่าแต่พระองค์จะทรงบอกกระหม่อมได้มั้ยว่าการล่มสลายของสองตระกูลนั้น เกิดจากอะไรกัน ”
เกรเกอรี่กล่าวซึ่งยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ สนทนากันก็มีเสียงปิ้บๆ ดังขึ้นมาจากเครื่องมือสื่อสาร
แบบเดียวกับที่กองกำลังต่อต้านใช้ดังขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกตัดให้รับเองอัตโนมัติ
“ นี่ซิสเตอร์โรซาน่ารายงานจากองกำลังต่อต้านสำนักงานแอนดิซองนะ ตอนนี้กองกำลังทางเหนือถูกโจมตี
โดยพวกโฮลี่ไนท์แมร์แล้วนะ ได้ยินแล้วช่วยตอบกลับด้วย..ตอบกลับด้วย ”
เสียงนั้นดังออกมาจากเครื่องตอบรับ ซึ่งนั่นก็ทำเอาเกรเกอรี่หน้าถอดสีไปทันที
………………….
…………………….
………………………..
ณ หุบเขาทางเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำลังต่อต้าน อีกแห่ง ซึ่งบริเวณรอบๆ
ถูกปกคลุมไปด้วยป่าสนและหิมะสีขาวซึ่งโรยตัวลงมา อย่างช้าๆตลอดวันมานี้
ทำให้ ต้นไม้บริเวณรอบๆแทบจะถูกปกคลุมด้วยผงหิมะ อีกทั้งใบยังแข็งตัวเย็น
ราวกับน้ำแข็ง โดยโยกไหวไปตาม ลม ท่ามกลางกองซากปรักของอาคารซึ่งเพิ่งจะถูกทำลายไปไม่นานนี้
ได้เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนพื้นหิมะ พร้อมกับกรปรากฏตัวของ Lr และพวกพ้อง
ทันทีที่พวกเขามาถึงก็สอดส่องสายตาไปรอบๆด้วยความตกตะลึง ใบหน้าซีดจนแทบจะกลมกลืนกับหิมะ
กองซากปรักและซากศพของเหล่าทหารซึ่งเกลื่อนไปบนพื้นหิมะ โดยที่นัยน์ตาของทหาร
ทุกคนยังเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว และตายลงโดยที่ไม่รู้ตัว
Lr ทรุดตัวลงขุกเข่ากับพื้น อย่างสลด เรโค่และเซโร่เองก็อดที่จะสลดตามไม่ได้
“ พวกเรามาไม่ทันรึเนี่ย ”
เจนัสกล่าวขณะที่สอดส่องสายตามองหาผู้รอดชีวิต จนไปพบเข้ากับนายทหารคนนึงที่ยัง
มีชีวิตอยู่ พวกเขาไปรอช้ารีบเข้าไปหาเขาทันที
Lr ย่อตัวลงนั่งข้างๆนายทหารที่ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหิมะ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาเสียจนแทบ
จะไม่รู้สึก ตามลำตัวของเขาเต็มไปด้วยแผลถูกฟันและแทง โลหิตสีแดงที่ไหลออกมาจากตัวของเขาอาบชะโลม
ไปทั่วพื้นหิมะที่เขานอนอยู่ แขนทั้งสองข้างกอดกล่องสีแดงใบเล็กขนาดพอใส่หนังสือหนึ่งเล่ม
เอาไว้แน่น
“ นี่ทำใจดีๆไว้นะ ”
เซโร่กล่าวขณะที่ย่อตัวลงใกล้ก่อนจะเริ่ม ร่ายเวทย์ทันทีที่มวลน้ำก่อตัวขึ้นที่อุ้งมือเขา
ก็ไม่รอช้ารีบยื่นมือที่มวลน้ำก่อตัวอยู่ ไปสัผัสกับบาดแผลก่อนที่น้ำจะกระจายตัว
ไปทั่วร่างและไม่นานนักบาดแผลก็เริ่มปิดสนิท ทีละน้อยๆ
“ อดทนหน่อยนะอีกนิดเดียว ”
เซโร่กล่าวให้กำลังใจขณะที่พยายามเร่งพลังเวทยืแต่ทว่าการรักษาก็ยังคง
กินเวลาอยู่ดีเพราะสภาพร่างกายของนายทหารเองก็ร่อแร่เต็มทีแล้ว
ทำให้การรักษาดำเนินไปอย่างยากลำบาก
นายทหารพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกล่าวออกมา
“ นี่คือบันทึกที่สำคัญมากช่วยนำเอาไปให้กองกำลังต่อต้านสำนักงานอื่นด้วย อย่าให้ศัตรูได้มันไป… ”
เขากล่าวได้ไม่ทันจบดีก็สิ้นใจไปพร้อมกับแขนทั้งสองที่รัดกล่องเอาไว้คลายออก Lr
รับเอากล่องนั้นมาพร้อมกับลูบเปลือกตาของนายทหารลงมาปิดให้สนิท
เซโร่จึงหยุดการรักษาลง พร้อมกับที่เรโค่ทรุดตัวลงอีกคน หยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาจากนัยน์ตาของนาง
หยดลงบนร่างของนายทหารที่สิ้นใจ เซโร่เข้ามาปลอบนางด้วยความเข้าใจว่านางเสียใจเพราะเหตุใด
“ นี่มัน… ”
นีน่าเอ่ยถามขึ้นมาได้ไม่ขาดคำเซโร่ก็แทรกขึ้นมาทันที
“ เรโค่น่ะ สูญเสียพ่อแม่ไปจนหมด ต้องทนเห็นคนในครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตา
ตั้งแต่นั้นมาหากมีใครตายเธอก็ทนไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเรื่องนั้นอีก… ”
เซโร่ตอบให้พวกเขาฟังราวกับรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่
นีน่าที่ได้ยินคำตอบเอง ก็ก้มหน้าลงด้วยความสลดเพราะนางเองก็ด้วยที่ต้องเห็นญาติพี่น้องตายไป
ต่อหน้าโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ท่าทีของนางทำให้เจนัสที่มองดูอยู่ห่างๆ หรี่ตาลง
ขณะเดียวกันกาโรห์ที่เข้ามารวมกลุ่มกับพวกเขาเมื่อไม่นานนี้ ก็ถูกเขาจับจ้องเป็นพิเศษเช่นกัน
เช่นเดียวกับนีน่า ที่เริ่มจะสงสัยถึงความทรงจำที่แวบขึ้นมาทุกครั้งที่นางเข้าใกล้เขา
ซึ่งกาโรห์เองแม้ต่อหน้าพวกเขาจะทำเป็น ไม่รู้อะไรแต่ทุกครั้งที่นีน่าเผลอ เขาจะชายตา
มองความเปลี่ยนแปลงของนางอยู่ตลอดเวลาราวกับ จะรอดูอะไรบางอย่าง
ถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงเงียบกันอยู่ แต่ทว่าก็เกิดลมพายุพัดกระหน่ำไปรอบๆจน
กลายเป็นพายุหิมะพัดกระหน่ำเสียจนขาวโพลนไปทั่ว
และทันทีที่ พายุสงบลง แบล็คไวเซอร์ บลาสเซจ เซอร์เซส และ เครสเซนท์ที่สวมชุดเกราะสีดำก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา
“ ส่งกล่องสีแดงใบนั้นกับเจ้าเด็ก นั่นมาเดี๋ยวนี้ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงกร้าว กว่าทุกครั้งก่อนจะถอนขนของวิหกโลกัณฑ์ และเสกลูกบอลสีดำขึ้นมาลูกนึง
และประกบมันเข้าด้วยกันก่อนจะโยนมันออกไป
“ จงผุดขึ้นมาเดมอนขุมนรก(Deep pit Demon) ”
ทันทีที่ควันสีดำจากดาร์กซีลที่ขว้างออกมา จางไปเดมอนกายสีแดงซึ่งรอบกาย
ของมันมีไอร้อนของเพลิงแห่งนรกแผ่ออกมาทำให้หิมะรอบตัวมันละลายเป็นโคลนไป
ขาขนาดใหญ่ทั้งสองของจมปรักอยู่กับพื้นโคลนแต่ดูเหมือว่านั่นจะไม่เป็นปัญหากับมันเลย
เพราะด้วยพลังอันมหาศาลทำให้มัน เดินลุยโคลนออกมาและละลายหิมะตลอดทางที่มันเดิน
ผ่านมา
“ Icicleric Rain ”
สิ้นเสียง ฝนแท่งผลึกน้ำแข็งก็พุ่งลงมาเสียบแทงเดม่อนขุมนรกจน พินาศสิ้น พร้อมกับ
โคลนหิมะที่ละลายกลับกลายเป็นเป็นธารน้ำแข็งในพริบตา
พวก เขารีบตั้งท่าพร้อมเตรียมรับการบุกของอีกฝ่ายทันที
“ อย่าขยับนะ ”
เสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกเขา
เมื่อหันกลับไป นีน่ากำลังถูกกาโรห์จับรัดโดยเอาดาบดามคอนางไว้ ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงักโดยทำอะไรไม่ถูก
“ กาโรห์นี่มันหมายความว่ายังไง ”
ลากูน่ากล่าวถามด้วยความ ประหลาดใจอย่างที่สุด กาโรห์ซึ่งถูกถาม ก็หัวเราะขึ้นมา
อย่างสะใจ ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตพยาบาท มาที่พวกเค้า
“ คิดว่ายังไงล่ะ…ข้าแฝงตัวมาเพื่อจะจับพวกของแกเป็นตัวประกัน และจากที่ประเมินดูแล้ว ยัยนี่จะมีผลต่อ
ลูกพี่มากที่สุดด้วยเพราะถ้าเป็นคนอื่น ลูกพี่ก็คงจะไม่สนใจแล้วบุกเข้ามาอยู่ดี แต่ถ้าเป็นยัยนี่ล่ะก็..หึหึ ”
กาโรห์กล่าวพร้อมกับยิ้มเยาะด้วยความชอบใจ
“ นึกแล้วเชียว ว่ามันบังเอิญเกินไป ”
เจนัสกล่าวเสียงห้วน
“ สมแล้วที่เป็นลูกพี่ ดูออกในทีเดียวเลยนะ เพราะลูกพี่เอาแต่จ้องไม่วางตาเลย กว่าจะหาโอกาสได้ก็แทบแย่
แน่ะ..เอาเป็นว่ารีบทำตามที่บอกจะดีกว่านะไม่งั้นยัยนี่ตาย ”
กาโรห์กล่าวจบก็ออกแรงรัด ดาบที่ดามคอนางเอาไว้ให้แน่นขึ้นจนนางหายใจไม่ออก พวกเขาจึงจำใจต้องทำ
ตามแต่โดยดี
“ ก็าซซซซซ ”(อย่าไปทำตามที่มันสั่ง)
เสียงคำรามดังก้องขึ้นมาจากด้านบน พร้อมกับการปรากฏตัวของ มังกรดำเทียแมตและเมทาไนท์
ที่ตามกันลงมา ขวางไว้ ทำให้พวกแบล็คไวเซอร์ต้องชะงักไป นอฟฮอฟที่ได้เห็นเทียแมตเองก็ถึงกับ
หน้าถอดสีขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครทันสังเกต
“ จัดการเลยแกนเดครอส ”
เสียงของเทียแมตถูกแปลงโดยดราก้อนฮอลลี่ดังก้องขึ้น
พร้อมกับ ร่างมังกรขาวขนาดมหึมา ค่อยๆโยนตัวลงมาจากฟากฟ้า พร้อมกับแสงเจิดจ้า
ส่องวาบลงมา ทำให้พวกแบล็คไวเซอร์ต้องพาถอยหนี
โดยที่กาโรห์ได้จับตัวนีน่า ไปด้วย เจนัสที่คิดจะตามก็กลับถูกพายุหิมะที่เริ่มพัดกระหน่ำอีกครั้ง
ขวางเอาไว้ ก่อนที่จะสงบลงพร้อมกับการจากไปของศัตรู โดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
เขาทรุดตัวลงด้วยความสิ้นหวังทันที
“ นีน่า ”
เขากล่าวออกมาได้เท่านั้นเพราะบัดนี้ เขาสับสนไปหมดแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เสียบันทึกและ Lr ไปแต่ นีน่า ก็ถูกจับตัวไปโดยทำได้เพียงแค่มอง
พวกนั้นพาตัวนางหายวับไปโดยทำอะไรไม่ได้ สร้างความเจ็บแค้นให้เจนัสอย่างมาก
…………
……………….
………………….
ราตรีได้มาเยือนอีกครั้ง พวกเขาก่อกองไฟเพื่อพักค้างคืน
โดยที่ยังเก็บความรู้สึกเจ็บช้ำเมื่อเย็นนั้นเอาไว้ อยู่
ทำให้บรรยากาศรอบๆนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ”
Lr หันไปกล่าวกับ เทียแมต ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ เพราะเขารู้ดีว่ามังกรที่ฆ่าแม่ของเขา
ก็คือเทียแมตตัวนี้ จากภาพที่ปรากฏในน้ำตกที่ถ้ำปราชญ์มังกร
“ เจ้าคงรู้มาจากอีสควอเทียแล้วสินะ จะแค้นข้าก็เชิญ แต่ว่าจะให้พวกมันได้ตัวเจ้าไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะข้าสัญญากับดีวายดราก้อนเอาไว้แล้ว ”
เทียแมตกล่าวเสียงของมันก็ถูกดราก้อนฮอลลี่แปลง อีกทีหนึ่งทำให้ทุกคนได้รับรู้กันทั่วทั้งหมด
คำพูดของเทียแมตนั้นแม้จะกระตุ้นให้ Lr รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่เขาก็ข่มมันไว้
“ พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่ บันทึกนี่ยังพอว่าแต่ทำไมพวกมันต้องการจับตัวผมไปด้วยล่ะ
ถ้าไม่ใช่เพราะผมนีน่าก็คงไม่ต้อง… ”
Lr กัดฟันพูดด้วยความคับแค้นใจที่เขาเป็นตัวต้นเหตุให้เพื่อนต้องถูกจับใช้เป็นเครื่องมือและ
ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายโดยที่ เขาต้องเป็นฝ่ายรับการปกป้องจากทุกคน
“ เรื่องนั้นข้าเองก็ตอบไม่ได้หรอกแต่พวกเจ้าลองนึกถึงคำพูดของอีสควอเทียดูสิเพื่อมันจะทำให้เจ้าเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น ”
เทียแมตกล่าวจบก็ เดินออกจากลุ่มไป หารือกับเมทาไนท์และแกรนเดครอสที่ย่อขนาดของตน
ลงมาเพื่อไม่ให้สะดุดตาศัตรู
“ คำพูดของอาจารย์อีสควอเทียเหรอ ”
Lr ทบทวนคำพูดอีกครั้งก่อนจะพยายามระลึก คำพูดที่อีสควอเทีย กล่าวเอาไว้
“ ไฟร์น่าจะรู้เรื่องราวต่างๆดีเพราะพ่อของเขาที่เป็นนายพลซาลามันเดอร่าได้รับมอบหมายให้สืบเรื่องนี้อยู่ ”
คำพูดนั้นก้องขึ้นมาในใจของเขาทันที Lr ไม่รอช้ารีบหันไปหาไฟร์นิทินโคทันที
“ นี่นิทินโค ”
เขาเรียก ซึ่งนิทินโคก็หันมามองด้วยความสงสัย
“ เรียกไฟร์ก็ได้มั้ง ชั้นไม่ได้โกรธอะไรนายแล้วนา ”
นิทินโคกล่าวซึ่ง Lr เองก็รีบตรงเข้ามาพร้อมกับกล่าวต่อโดยไม่หยุดทันที
“ อ..เอ่อไฟร์พ่อนายเป็นนายพลมังกรซาลามันเดอร่าใช่มั้ย ”
เขากล่าวถามซึ่งไฟร์เองก็พยักหน้า รับเป็นเชิง นั่นทำให้เขานัยน์ตาลุกวาวไปด้วยความ
หวังซึ่งก็ทำเอาเหล่าลูกมังกรตัวอื่น เข้ามสมทบด้วย
“ จริงสิตอนนั้นอาจารย์บอกว่านายน่าจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันนี่ เห็นบอกว่าพ่อนายกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่เหรอ ”
วิลกล่าวขึ้นบ้างเมื่อนึกขึ้นได้
“ อ๋อหมายถึงเรื่องที่พวกเราเคยถูกสะกดจิตแล้วรุมทำร้ายลอว์เรนซ์ตอนอยู่โรงเรียนมังกร กับเรื่องที่ลอว์เรนซ์กำลังถูกตามจับตัวน่ะเหรอ ”(* หมายเหตุเรื่องการถูกสะกดจิตให้ย้อนกลับไปดูในช่วงไตเติล ของนิยายนะครับ)
ไฟร์กล่าวซึ่งพวกเขาก็พยักหน้ารับว่าใช่ทันที ซึ่งจากการที่พวกเขาจ้องตัวไฟร์ตาไม่กระพริบ
ทำให้เขาต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทบทวนเรื่องที่จะกล่าว
“ เรื่องนั้นน่ะคงเพราะพวกมันต้องการศิลามังกรที่นายถืออยู่ไปเปิดประตูกักมังกรนั่นล่ะมั้ง
เพราะถึงจะทำให้มังกรทั้งหมดในทุกมิติหายตัวออกมาจากมิติมังกรจนเกิดการเสียสมดุลไปทำให้มิติมังกรบาปถูก
หลอมรวมเข้ากับมิติจนกลายเป็นทางออกก็เถอะแต่มันก้ยังต้องใช้พลังของศิลามังกรช่วยเปิดอยู่ดีนั่นล่ะ
แล้วก็เรื่องที่เจ้าพวกนั้นสะกดจิตเราแล้วก็ได้สร้อยคอที่ วิลห้อยเอาไว้ช่วยน่ะ นั่นพวกมันแค่จะหาทางเข้ามาในมิติเพื่อดำเนินแผนการไงล่ะ ”
ไฟร์กล่าวโดยไม่หยุดหายใจแม้แต่น้อยทำให้เมื่อเขากล่าวจบก็ต้องหอบแฮ่กๆอยู่บ้าง
ซึ่งทันทีที่กล่าวจบพวกเขาก็นิ่งเงียบกันไปทันที
“ จะว่าไปแล้วนอฟฮอฟตอนนั้นเธอก็ถูกเรียกไปคุยกับอาจารย์ด้วยไม่ใช่เหรอ ”
วิลกล่าวถามขึ้นมาซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาหันมาสนใจทันที แต่นอฟฮอฟก็ยังคงนิ่งเฉย
ราวกับเหม่อมองอะไรอยู่ จนวิลต้องเรียกอีกครั้ง เธอจึงหันมาสนใจ
“ ตอนนั้นที่อาจารย์อีสควอเทียเรียกเธอเข้าไปคุยน่ะคือเรื่องอะไรเหรอ ”
วิลถามอีกครั้ง ซึ่งนอฟฮอฟเองก็หันหนีจากพวกเขาราวกับไม่อยากตอบแต่ก่อนที่ใครจะได้
ทันกล่าวอะไรเธอก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันที
“ ก็แค่เรื่องในอดีตที่ฉันอยากจะลืมๆมันไปซะที ”
นอฟฮอฟกล่าวตัดไปก่อนจะไม่หันมาพูดอะไรอีกเลย
“ ดูนอฟฮอฟแปลกแปลกไปนะว่าไหม ”
ไลท์ขอความคิดเห็นจาก Lr ซึ่งเขาเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
………..
………….
……………..
ครู่ต่อมา ความเหนื่อยล้าจากการสู้ต่อเนื่อง ทั้งที่เมืองทีนวาแลนจนถึงหุบเขาแห่งนี้ ก็ทำเอา Lr
และเหล่าลูกมังกร หลับสนิทชนิดปลุกไม่ตื่น ซึ่งลากูน่า เรโค่ เซโร่ เองก็เช่นกันจากการที่
ใช้พลังไปมากทำให้พวกหมดแรงไปด้วย พวกเทียแมตเองก็ได้พากันออกไปที่ไหน ซักแห่ง
บัดนี้เหลือเพียงเจนัสเท่านั้นที่ยังไม่ได้นอน เขายังคงยืนพิงอยู่ใต้ต้นไม้ มองดูหินสีเขียว
ที่ห้อยคอไว้ ด้วยสายตาที่ราวกับโหยหาอะไรซักอย่าง
“ นี่เธอรู้ตัวไปถึงขั้นไหนกันแล้วนะ ”
เขาพึมพำขึ้นมา ขณะที่กำลังนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต
แต่ทว่าก็ต้องชะงักไป เมื่อมีใครบางคนลอบมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา
เขารีบตั้งท่าสู้ทันทีแต่อีกฝ่ายกลับยังยืนเฉยอยู่ดดยไม่มีทีท่าจะสู้ด้วย
“ รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้จงไปที่ทุ่งหิมะที่อยู่บนยอดเขาจากนี้ไปทางตะวันออก ข้าจะรอแกอยู่ที่นั่นถ้าอยากช่วยนังคนทรยศนั่นก็จงมาตัวคนเดียวเท่านั้น ”
สิ้นคำอีกฝ่ายก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดท้าทาย ให้เขาตัดสินใจ
………..
……………..
…………………..