Summoner Master Forum
November 26, 2024, 09:25:12 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10  All
  Print  
Author Topic: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว  (Read 145758 times)
0 Members and 38 Guests are viewing this topic.
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #150 on: May 11, 2008, 06:08:29 PM »

ณ ห้องโถงใหญ่ แห่งหนึ่ง ที่ใจกลางของห้องโถงเก้าอี้บัลลัง ถูกตั้งไว้บนเสาสูงครึ่งห้องบนนั้นมีคนนั่งอยู่
ห้องโถงทั้งมืดสนิทโดยอาศัยเพียงแสงไฟจากโคมไฟเพียงดวงเดียงซึ่งแสงก็ส่องลงตรงหน้าบัลลังของเขา
ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าหรือร่างของเขาเลยพราะความมืดของห้องบดบังร่างของเขาเอาไว้ซึ่งที่ๆ สามารถจะมองเห็นได้ในห้องนี้คือพื้นที่โดนแสงสว่างจากโคมไฟเท่านั้น ซึ่งที่ใต้โคมไฟนั้น มีชายอีกคนนั่งขุกเข่าอยู่และรอบฝาผนังห้องโถง มีเหล่าขุนพล ยืนรายล้อมอยู่ ในเงามืด


“ ภารกิจล้มเหลวงั้นรึ ”
เสียงดังกึกก้องด้วยโทสะ ก้องลงมาจากบัลลัง ยกสูงขึ้นทำเอาเหล่าขุนพลที่อยู่ในห้องพลอยสะดุ้งไปด้วย
กับโทสะของผู้เป็นนาย โดยที่เบื้องล่างบัลลังนั้น แบล็คไวเซอร์นั่งขุกเข่าข้างหนึ่งก้มหน้ารับคำด้วยความอดสูอย่างที่สุด

“ ขออภัยด้วยขอรับ เป็นเพราะ.. ”
“ ข้าไม่รับฟังคำแก้ตัวใดๆทั้งนั้น ”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายเสียงก็ดังลงมาอีกทำให้เขาสะดุ้งตกใจ อีกครั้ง ในครั้งนี้นายของพวกเขา
ระบายโมสะใส่อย่างเกรี้ยวโกรธราวกับพายุเลยก็ไม่ปาน จากการที่ภารกิจแทบทั้งหมดผิดพลาด
จนไม่สามารถแก้ไขได้และต้องล้มเลิก

“ หึฟอจูนทรีก็โดนเทพของพวกมันคาบหายไป แล้วยังเสียขุนพลฝีมือดีไปอีก 2 คน แม้แต่การบุกโจมตีซาโลมก็ยังล้มไม่เป็นท่า แล้วพวกเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีกเรอะ ”
ผู้เป็นนายของพวกเขากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

“ ใจเย็นๆก่อนสินายท่าน ”
เสียงอันเย็นเยือกดังออกมาจาก ทางด้นซ้าย ของบัลลัง เจ้าของเสียงเดินเข้ามายังพืนที่ที่โดนแสงจากโคมไฟทำให้เห็นร่างของเขาใชุดเกราะสีดำสนิทและคฑายาวสีดำที่ถือมาด้วย แบล็คไวเซอร์เงยขึ้นไปมองเจ้าของเสียง ก่อนที่ตาเบิกโผลง ด้วยความกลัวที่แวบขึ้นมาชั่วครู่ริมฝีปากของเขาสั่นเครือเล็กน้อย

“ เซอร์เซส ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวต่อชายที่เดินเข้ามาหาเขา เซอร์เซสมองเขาอยู่สักพัก ก่อนจะหันขึ้นไป

“ โปรดวางใจเถิดวิธีปลดผนึกนั้นยังมีอีกมากมายแม้ไม่ต้องอาศัยฟอจูนทรีก็ได้ ”
เซอร์เซสกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก

“ หมายความว่าเจ้ารู้แล้วยังงั้นรึถึงแหล่งพลังงานความกลัวนั้นน่ะ ”
เสียงดังลงมาอีกครั้ง

“ ในตอนนี้…อัศวินมังกรได้ตื่นขึ้นมาแล้วหากเป็นไปตามตำนานจริง พลังที่ว่าก็น่าจะปรากฏในอีกไม่ช้า โปรดวางใจได้ ”
เซอร์เซสกล่าว

“ ก็ได้ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนั้น ข้าก็จะละเว้นให้ ”
ทันทีที่กล่าวจบไฟในห้องก็ดับลง
ทุกอย่างกลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

……………………
……………
……..

“ แหมๆกำลังกังวลอยู่พอดีเลยนะว่าจะติดต่อพวกเธอยังไงดีน่ะ ฮ่าๆๆๆ ”
เสียงของทิโมธีดังออกมาจากลำโพงของเครื่องมือที่วางบนโต็ะ

“ ตกใจหมดเลย ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเจ้าสิ่งประดิษฐ์นี่สามารถส่งเสียงผ่านมาจากที่ไกลขนาดนั้นได้น่ะ ”
Lr กล่าวน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย กับปกิกิริยาของทุกคนรอบข้าง เพราะตอนนี้ไลท์กับวิลเอาแต่หมุนปุ่มปรับระดับเสียงเล่นไปๆมาๆ จนได้ยินเสียงไม่สม่ำเสมอ จน เจนัสต้องมาอุ้มออกไป

“ เอ่อนี่ว่าแต่ตอนนี้พวกเธออยู่ที่ทวีปคาดาร่าแล้วสินะ พอดีฉันมีอะไรจะไหว้วานหน่อยน่ะ ที่จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่เกรเกอรี่ขอมาน่ะ ”
เสียงของทิโมธีดังขึ้นทำให้ Lr แปลกใจนิดๆกับคำพูดของเขา

“ ได้สิครับว่าแต่จะไหว้วานอะไรเหรอครับ ”
Lr ถามกลับใส่เครื่องขณะที่เสียงเดินทางผ่านคลื่นไปจนถึงเครื่องรับของเขา

“ จากที่ฟังมาพวกเธอคงจะออกตามหาเพื่อนๆที่หลงอยู่ในทวีปนี้สินะแล้วคือว่าไหนๆตอนนี้พวกก็จะ
ออกเดินทางกันทั่วทั้งทวีปอยู่แล้วก็เลยกะจะไหว้วานให้ช่วยไป แจ้งข่าวเรื่องการรวมพลที่บอกไปก่อนหน้านี้ซะหน่อยน่ะ ”
ทิโมธีกล่าวผ่านเครื่องรับกลับมา


“ แล้วทำไม เราไม่ส่งข่าวนี้ผ่านเครื่องรับพวกนี้ไปล่ะครับแบบนั้นน่าจะเร็วกว่านะครับ ”
Lr กล่าวด้วยฉงน


“ ก็ที่ๆจะให้ไปน่ะคือฐานกำลัง ที่ไม่มีเครื่องส่งน่ะ และก็อีกอย่างหนึ่ง ”
ทิโมธีกล่าวก่อนจะชะงักไปเล็กนน้อยเพื่อตัดสินใจว่าจะบอกดีหรือไม่

…………………..
………….
……….

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #151 on: May 11, 2008, 06:09:07 PM »

ณ ห้องโถงใหญ่ที่เพิ่งจบการประชุมของเหล่าไนท์แมร์ไป ภายในห้องมืดสนิท ผลันโคมไฟก็ถูกเปิดแสงส่องลงยังเบื้แงล่างชายสองคนกำลังสนทนากันอยู่

“ บันทึกคำทำนายของ เวสเล่ เรอะ  หมายถึงไอ้นักเวทย์จอมกะล่อนนั้นน่ะรึ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวด้วยความฉงน ขณะที่เซอร์เซสกำลังโบกคฑาเป็นผลัน เกิดเป็นวังวน
มิติขนาดเล็กลอยอยู่กลางอากาศ ภายในวังวนมิตินั้นมีภาพของหนังสือเล่มหนาที่ฝุ่นจับ
เขรอะและขอบหนังสือเองก็ ขาดหวิ่นไปหมด

“ มันเป็นบันทึกคำทำนายตั้งแต่อดีตถึงอนาคตเลย เจ้าเองก็รู้นี่ว่าหนังสือที่เจ้านั่นแต่งน่ะมี 2 เล่ม เล่ม 1 และ เล่ม 3 ”
เซอร์เซสกล่าวด้วยกิริยาสงบนิ่ง

“ ใช่มันแต่งไว้สองเล่มโดยข้ามเล่มสองไปเพราะมันเป็นคน กะล่อนเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงแหบ ขณะที่จ้องไปยังรูปของหนังสือที่ฉายบนวังวนมิติ

“ ไม่หรอกที่จริงแล้วมันไม่ได้ข้ามไปแต่เจ้านั่นมันเอาไปผนึกไว้ต่างหากเพราะเนื้อความในนั้น มันบันทึกถึเรื่องในปัจจุบันนี้อยู่ยังไงล่ะ ”
เซอร์เซสกล่าว เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ในขณะที่แบล็คไวเซอร์เริ่มที่จะฉุกคิดขึ้นได้

“ งั้นก็หมายความว่าถ้าเราได้มันมา เราก็จะรู้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นได้รวมทั้งสามาถแก้ไขได้ก่อนที่จะสายไปสินะ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวขณะจินตนาการถึงชัยชนะที่จะได้จากการรู้อนาคต

“ ที่จริงมันก็ไมได้บันทึกอะไรละเอียดไว้นักหรอก ที่ข้าเคยลอบเข้าไปดูที่หอสมุดของแอนดิซองมันก็เขียนถึงแค่ตรงที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่านั้นมันเขียนถึงแค่ ผู้เป็นความหวังที่สามของพระผู้เป็นเจ้าจะปรากฏกายมากอบกู้ภัยของโลกนี้ ส่วนหน้าที่เหลือขาดหายไป ”
เซอร์เซสกล่าวขณะที่แบล็คไวเซอร์เริ่มมีอาการหงุดหงิดกับท่าทีอ้อมค้อมของเซอร์เซส
เมื่อเห็นดังนั้นเซอร์เซสจึงรีบกล่าวต่อทันทีเมื่อเห็นว่า แบล็คไวเซอร์เริ่มจะเบื่อกับคำพูดของเขา


“ แต่ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันอยุ่ที่ใดหน้าที่เหลือน่ะ ตอนนี้เจ้านั่นกำลังตามหามันอยู่ ”
เซอร์เซสกล่าวจบ แบล็คไวเซอร์ก็เริ่มสนใจกับประโยคเมื่อครู่

“ เจ้านั่นนี่หมายถึง เจ้านั่นที่ชอบให้เรียกตัวเองว่านักประดิษฐ์แล้วก็อ้างว่าตัวเองสามารถทำสิ่งที่ท่านผู้นั้นต้องการได้แล้วก็
เข้ามาเป็นสิบสองเทพขุนศึกน่ะรึ ”
แบล็คไวเซอร์ถาม ซึ่งเซอร์เซสเองก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ ผงกหัวเบาๆเป็นสัญญาณ

“ ไม่รู้เลยว่าท่านผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้รับเอาคนแบบนั้นเข้ามานะ มิน่าล่ะการประชุมวันนี้คนถึงไม่ครบน่ะ ว่าแต่ลูกศิษย์เจ้าอีกคนล่ะตอนนี้ไปไหนซะแล้ว ”
แบล็คไวเซอร์ถามบ้าง ขณะนั้นน่ะเอง ก็มีเสียง ปิ้บ ปิ้บดังขึ้นมาจากวังวนนั้น ก่อนจะเปลี่ยนภาพเป็น เงาของ
ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา

“ จะนินทาอะไรก็ให้มันถูกเวลาซะหน่อยนะ ”
เงาของชายคนนั้นกล่าวขึ้นทำให้ทั้งสอง มีอาการ สะดุ้งนิดหน่อย กว่าทั้งคู่จะตั้งสติได้ก็อึ้งกันไปซักพัก

“ นักประดิษฐ์ ”
ทั้งคู่ทักขึ้นพร้อมกัน

“ แล้วเรื่องที่ให้ไปสืบล่ะ ”
เซอร์เซสกล่าว

……………….
………….
………

ที่โรงเรียนมังกรซึ่งห่างจาก ประตูทางเข้ามิติมังกร ไม่ไกลนักข้างใต้ถ้ำอันเป็นที่ตั้งโรงเรียน ที่ห้อง
สมุดของโรงเรียน มังกรดำ ตัวหนึ่ง กำลังสนทนากับชายที่สวมหน้ากากมังกรสีขาวอยู่
ทั้งคู่อยู่ในห้องที่มืดซึ่งได้แต่คออาศัยแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ชายคนนั้นถืออยู่

“ ข้ารู้มาแล้วว่า หน้าที่ขาดหายไปนั้นอยู่ไหน ”
ชายคนนั้นกล่าว

ด้านไนท์แมร์

“ หึเรื่องนั้นน่ะข้ารูมาแล้วหน้าที่หายไปน่ะมันอยู่ที่ไหน ”
นักประดิษฐ์กล่าว

“ มันอยู่ที่…. ”
เขากล่าวได้ยังไม่ทันจบก็มีคนเข้ามาในห้องโถง ทำให้พวกเขาหยุดการสนทนาชั่วครู่

“ พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่น่ะ ”
ผู้มาใหม่กล่าว

………….
………
….


“ มันอยู่ที่ไหนล่ะ ”
มังกรดำกล่าวขณะที่มองชายสวมหน้ากากมังกร
และยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ย ประตูห้องสมุดก็เปิดออกพร้อมกับแสงไฟของห้องได้ติดขึ้นทันทีจนสว่างไปทั้งห้อง ร่างของทั้งสองเผยขึ้นมาต่อหน้าผู้มาใหม่  มังกรดำนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเทียแมตที่เคยช่วยพวกลอว์เรนไว้และอีกคนก็คือเมทาไนร์และผู้ที่เปิดประตู
ขึ้นก็คือแกรนเดครอส แต่ด้วยร่างของเขาแม้ประตูนี้จะมีขนาดใหญ่อยู่บ้างก็ยังไม่พอให้เขาแทรกเข้าไปได้ทำให้ตอนนี้เขาเพียงแค่เอา
หัวลอดผ่านประตูเข้ามาเท่านั้น

……………………..
……………
…………



“ งั้นก็หมายความว่าจะให้พวกผมไปติดต่อเรื่องการรวมพลกับแวะไปเอาหน้ากระดาษบันทึกที่ฐานกำลังสุด
ท้ายที่ต้องแวะไปตามนี้ใช่ไหมครับ ”
Lr กล่าวผ่านเครื่องรับ

“ อืมใช่แล้วล่าะฝากด้วยนะ เลิกกัน….. ”
ทันทที่กล่าวจบทิโมธีก็วางสายไปทันที ทำให้เสียงที่เหลือจากนั้นกลายเป็นเสียงเตือนว่าไม่มีสัญญาณ
ขณะเดียวกัน Lr เองก็รู้สึกว่าพวก วิล กับไลท์ หายไปจากตรงนี้ เพราะที่โต็ะตอนนี้มีเพียงเขากํบเจนัสเท่านั้น

Lr จึงสอดส่าย สายตาไปรอบห้องจนไปเจอเข้ากับพวกเขาที่ดูเหมือนกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างกับทหาร
ยามที่หน้าประตู เขาจึงเรียกเจนัสแล้ววิ่งออกไปหาพวกเขา
“ เฮ้มีอะไรกันเหรอ ”
Lr ถามทั้งสองตัว แต่ไลท์กลับชี้ไปที่กรงที่พวกทหารกำลังแบกไว้บนแคร่ เมื่อเขาหันไปก็ต้องตกใจกับภาพตรงหน้า ลูกมังกรเฟินกอลโล กับ นิลเฮอเลี่ยนถูกจับขังเอาไว้

“ เฟินกอลดล เอิทธ์ ”
Lr ทักขึ้นด้วยความตกใจทำให้ทหารยามมองเขาด้วยสายตา งงๆ

“ ลอว์เรน ”
เฟินกอลโลและเอิทธ์ส่งเสียงขึนพร้อมกันกับที่ ดราก้อนฮอลลี่แปลงเสียงของพวกเขาเป็นภาษามนุษย์
ทำให้ทหารและทหารที่แบกแคร่ต่างพากันตกใจกับเสียงนั้นจนเผลอปล่อยแคร่ตกไปแต่เจนัสก็
พุ่งเข้าไปรับกรงที่ใส่ทั้งสองไว้ทัน เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาทำให้พนักงานที่พาพวกเขาไปที่โต็ะเมื่อครู่รีบวิ่งมาดู

“ มีอะไรกันเหรอครับ ”
พนักงานที่วิ่งมาถามด้วยความสงสัยขณะที่มองไปที่ Lr เขาด้วยความไม่พอใจนัก

“ คือว่าพวกเรากำลังจะขนเารางวัลสำหรับการประลองออกไปที่งานน่ะสิ แต่จู่พวกนี้ก็มาขวางไว้น่ะ ”
ทหารยามกล่าวขณะที่ทหารที่แบกแคร่กำลังช่วยกันยกแคร่ขึ้นอีกครั้ง

“ แล้วจู่พอเด็กนี่เข้ามามังกรพวกนี้ก็พูดภาษามนุษย์ขึ้นมาได้เฉยเลยน่ะสิ ”
ทหารที่แบกคนนึงเอ่ยโดยยังรู้สึกผวาอยู่บ้าง ขณะที่อีกคนรับกรงที่ขัง เอิทธ์กับเฟินกอลโล ที่เจนัสแบกไว้มา

“ เอ่อคือว่าสองตัวนี้น่ะเค้าเป็นเพื่อนของผมน่ะครับช่วยปล่อยพวกเค้าทีเถอะนะครับ ”
Lr หันไปขอร้องกับพนักงานที่วิ่งมา แต่เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

“ ไม่ได้หรอกนี่คือของรางวัลในการประลองหมัดที่จัดในวันนี้น่ะถ้าปล่อยไปเราก็ไม่มีของรางวัลน่ะสิแล้ว
จะไปยกเลิกก็ไม่ได้ด้วย ”
พนักงานตอบอย่างสิ้นหวัง ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีพนักงานอีกคนเขามาคุยกับพนักงานคนนั้น

“ อะไรนะผู้เข้าแข่งขันไม่ครบคู่เรอะ ”
พนักงานที่มาก่อนได้ยินเรื่องจากพนักงานอีกคนเขาก็เอามือกุมหัวทันที

“ อือพอดีผู้เข้าแข่งอีกคนเกิดได้รับบาดเจ็บซะก่อนก็เลยลงแข่งไม่ได้น่ะ ”
พนักงานที่พึ่งมากล่าว

“ แล้วหาตัวผู้เข้าแข่งคนใหม่ได้รึยัง ”
พนักงานคนเก่าถามอีกครั้ง

“ ยังไม่ได้เลยเพราะงานวันนี้เป็นการประลองรุ่นเด็กก็เลยมีคนมาเข้าแข่งน้อยน่ะ ”
พนักงานคนใหม่ตอบ ทำเอาพนักงานอีกคนเซจนแทบจะล้มลง

“ แล้วจะทำไงดีล่ะงานประลองจะเริ่มบ่ายนี้นะขืนเลื่อนงานไปล่ะก็ได้โดนเบื้องบน เจี๋ยนเอาน่ะสิ รีบไปหามาเร็ว ”
พนักงานคนเก่ากล่าวอย่างหัวเสีย ก่อนที่พนักงานคนใหม่จะรีบวิ่งออกไป

“ เออคืองานประลองนี่มันอะไรเหรอครับ ”
Lr ถามพนักงานคนนั้นจึงหันมาก่อนที่จะชี้ไปที่ใบปิดประกาศที่ฝาผนัง เมื่อพวกเขาได้อ่านจึงได้เข้าใจเรื่องทั้งหมด

“ เอาไงดีล่ะลอว์เรน ขืนปล่อยไว้ยังงี้มีหวังเราไม่ได้ตัวทั้งสองคนคืนแน่เลย ”
ไลท์กล่าวขณะที่ทหารแบกเพื่อนขอเขาอกไปต่อหน้าต่อตาดดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

“ อืมถ้ายังไงก็ปล่อยไปไม่ได้เห็นทีคงจะต้องลงแข่งด้วยแล้วล่ะ ”
Lr กล่าวขึ้น แต่นอฟฮอฟก็เข้ามาสะกิดหลังเขา ทำให้เขาหันมาด้วยความสงสัยแต่แล้วเขาก็โดนนอฟฮอฟยันจนเซล้มลง ทำให้ทหารยามหันไปมองด้วยความแปลกใจ แต่เขาก็รีบลุกขึ้นมาอย่างเร็ว ทำให้ทหารไม่สนใจพวกเขา

“ นายคิดว่าจะลงไหวรึไข้นายน่ะสูงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ”
นอฟฮอฟกล่าวซึ่งทำให้เขาแปลกใจมากที่นอฟฮอฟดูออกว่าเขาป่วยอยู่

“ จริงหรือ ลอว์เรน ทำไมนายไม่บอกฉันล่ะ ”
ไลท์หันมาถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเอาหน้าผากแนบกับหน้าผากของเขาซึ่งมันร้อน
พอสมควร

“ อืมก็แค่ตัวร้อนนิดหน่อยเองนี่นา ”
ไลท์พึมพำ

“ สงสัยเพราะพึ่งจะหายจากพิษของจอมอนการ์ดล่ะมั้ง ”
เจนัสกล่าว

“ หึแล้วยังงี้ถ้าลงไปนายไปนายมีหวังถูกเขาซัดเละแน่ และอีอย่างนี่เขาดวลหมัดกันนะแต่นายน่ะแค่ชกกับลูกมังกรยังอาการแทบปางตายเลยไม่ใช่เรอะ ”
นอฟฮอฟเหน็บเขาอีกครั้ง ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีเรื่องกับนิทินโคมาไม่นานนี้เอง
ตอนนั้นนิทินโคต่อให้เขาโดยยกโล่บอลดาวีให้ใช้ ทำให้เขาอจะสู้ได้บ้างแม้จะเกือบแพ้แต่ก็สะบักสะบอมกว่านิทินโคมาก เมื่อมาคิดดูแล้วเขาไม่มีทางชนะเลยขณะที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั่นเอง ผลันความคิดนึงก็แวลขึ้นมา
ในหัวเขา เขามองไปหาเจนัส ซึงเจนัสเองก็ดูเหมือนจะพอเดาออกว่าเขาจะพูดอะไร

“ ก็ได้ฉันจะช่วยเพื่อนนายเองแค่ชกกับพวกมนุษย์ธรรมดาๆมันจะซักแค่ไหนกันต่อให้เป็นครึ่งสมิงหรือ
สมิงก็เถอะถ้าเป็นแค่ระดับสามัญชนละก็ไม่ครนามือฉันหรอก ”
เจนัสกล่าวอย่างมั่นใจ

“ แต่จะไหวแน่เหรอนายน่ะพึ่งจะสู้กับจอมอนการ์ด มานะ ”
ไลท์ถาม

“ หึ หายแล้วล่ะพลังในการรักษาตัวน่ะระดับมันต่างกนและอีกอย่างฉันเคยเป็นถึงยอดขุนพลเชียวนะ
ถ้าจะห่วงสู้ไปห่วงเจ้าพวกที่จะมาสู้กับฉันดีกว่า ไม่รู้ว่าออมมือให้แล้วอย่างมากก็อาจจะแค่คางเหลืองน่ะ แต่รับรองไม่เอาถึงตายหรอก ”
เจนัสกล่าวอย่างขึงขัง แม้ว่าทหารที่เฝ้ายามอยู่จะได้ยินก็คงคิดแค่ว่าเป็นคำพูดโอ้อวดของเด็กแต่ก็ยังติดใจกับคำว่าขุนพลอยู่ดี ส่วนพวก Lr กลับมีสีหนาหวาดๆว่าเจนัสจะเผลอพลั้งมือฆ่าใครตายคาเวทีรึเปล่านับว่าเป็นการเสี่ยที่อันตรายมาก

“ หึมั่นใจเชียวนะคุณชาโดว์มูนแห่ง 12 เทพขุนศึก ”
นอฟฮอฟหันมาเหน็บเจนัสบ้าง แต่ทว่าทันทีที่เสียงของนอฟออฟถูกแปลกออกมาแม้จะไม่ดังนักแต่ทุกที่ได้ยินคำว่า12 เทพขุนศึก ในสำนักงานก็หันมาจับจ้องที่พวกเขากันหมดโดยเฉพาะทหารยามที่อยุ่ใกล้ที่สุด
ก็รีบหันควับกลับมาทันที

“ อ..เอ้อคือๆว่าม..ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่พุดเล่นๆน่ะครับไม่อะไรหรอกครับ ”
Lr รีบแก้ตัวเป็นการใหญ่แต่ทหารยามกลับมองพวกเขาอย่างระแวง
เมื่อเห็นดังนั้นวิล จึงรีบออกตัวแก้ทันที

“ คิดว่าเด็กอย่างพวกเราจะเป็นพวก 12 เทพขุนศึกเหรอครับ คิดมากไปแล้วพวกผมน่ะไม่ได้เกี่ยอะไรด้วยซะหน่อย ”
วิลกล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนจึงทำให้ทหารยามไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก

“ แน่นะ ”
ทหารยามกล่าวเสียงดุ ทำให้พวกเขาสะดุ้งเล็กน้อยยกเว้นแต่เจนัสกับนอฟฮอฟ

“ อ..เอ่อไม่ต้องกังวลไปหรอกครับเด็กเขาก็คงจะพูดเล่นกันไปเองนั่นแหล่ะครับ ถ้าหากพวกเขาเป็นศัตรูจริงจะบุกเข้ามาในนี้ทำไมกันล่ะครับและอีกอย่างพวกเขาก็เป็นคนที่ทาง
เบื้องบนส่งมานะครับไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ”
พนักงานที่เคยพาพวกเขาไปติดต่อกับทิโมธีเดินกลับเห็นเหตุการณ์ณ์พอดีเลยรีบเข้ามาแก้ต่างให้ทันที
ทุกคนจึงยอมละสายตาแล้วกลับไปทำงานกันตามเดิม พวกเขจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที

พนักงานพาพวกเขาออกมานอกสำนักงานจนไกลพอแล้วจึงหันมาคุยกับพวกเขา

“ นี่พวกเธอเมื่อกี้เกือบไปแล้วนะรู้มั้ย ดีนะเนี่ยที่ท่านทิโมธีติดต่อมาไว้เมื่อสองวันก่อนว่าพวกท่านอาจจะมากับ 12 เทพขุนศึกคนหนึ่งด้วยตอนแรกข้าเองก็ตกใจเหมือนกันดีนะว่าพวกเจ้ามีใบรับรองจากเบื้องบนมา
ด้วยเลยทำให้พอแก้ต่างไปได้ไม่ง้นละก็พวกเจ้ามีหวังโดนพาไปสอบสวนแน่ ”
พนักงานกล่าวอย่างโล่งใจที่เขามาทันซะก่อนที่จะวุ่นวาย แต่ทว่าเจนัสกับนอฟออฟกลับ รู้สึกผิดปกติในคำพูดของพนักงานเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนนัก

“ ขอบคุณน่ะครับที่ช่วยเอาไว้ว่าแต่พวกเรามีเรื่องจะให้ช่วยหน่อยนะครับ ”
Lr กล่าวขอบคุณก่อนจะขอร้องซึ่งพนักงานเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรจึงรับที่จะช่ย
และเมื่อพวกเขายื่นเรื่องที่จะขอเข้าร่วมงานประลองด้วยดดยให้เจนัสเป็นตัวแทน
พนักงานเองก็ดูจะไม่อยากซักเท่าไหร่นักเพราะเขารู้ตัวจริงของเจนัส แต่ว่าในตอนนี้เขาก็หาคนมาลงเพิ่มไม่ทันจึงรับข้อเสนอแต่โดยดีและพาพวกเขาไปลงทะเบียนทันที
…………….
……..
….

ที่ลานกว้างของหมู่บ้านซึ่งบัดนี้ได้มีการตั้งเวทีที่พื้นสร้างขึ้นจากกระดานไม้ขึงด้วยผ้าขาวสะอาด
และล้อมเวทีไว้ด้วยเชือกหนังเส้นใหญ่ห้าเส้นขึงเป็นจัสตุรัสอยู่  ซึ่งบัดนี้ภายในงานเริ่มีผู้คนทยอยกันมาดู  ตอนนี้นีน่าได้เดินตรงไปยังเต็นท์นักกีฬา นางเดินเข้าไปและมองไปรอบๆเต็นท์ภายในเต็นท์เต็มไปด้วย
พวกพี่เลี้ยงที่ตามมาเตรียมตัวนักกีฬาของพวกเขาซึ่งมีทั้งครึ่งสมิง มนุษย์หรือแม้แต่สมิงก็มี
นางมองหาอยู่ซักพักก็เจอเด็กครึ่งสมิงผมสีเทา ลากูน่าที่ตอนนี้เขาอยู่ในกางเกงนักกีฬาสีน้ำเงินที่รับมาตอนไปสมัครลงแข่ง
กำลังจัดแจงสวมสนับมือผ้าอยู่ นางรีบตรงเข้าไปหาเขาทันที

“ ลากูน่าพี่ไปดูมาแล้วล่ะรอบแรกเธอแข่งรอบที่สามล่ะ ”
นีน่ากล่าวขณะที่ช่วยเขาสวมสนับมือผ้าอีกข้างนางมองเรือนร่างเขาซึ่งกำยำพอสมควร สมกับที่เขาเคยบอกกับนางว่าเคยฝึกวิชาหมัดมา ซึ่งนางเองก็ได้เห็นตอนที่พบเขาครั้งแรกที่ชายป่านอกหมู่บ้าน

“ อ้ะขอบคุณนะครับพี่สาว ”
ลากูน่ากล่าวขอบคุณซึ่งนางเองก็ดูจะมีสีหน้ากังวลนิดๆที่ต้องให้เขามาลงแข่งเสี่ยงเจ็บอย่างนี้
เพื่อให้นางได้ของที่นางอยากได้อยู่บ้างนางเงียบไปนานพอสมควรทำให้ลากูน่าต้องหันมาทักนางอีกคั้งนางจึงหันมาหาเขา

“ ม…มีอะไรเหรอจ้ะ ”
นางถามซึ่งลากูน่าเองก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยทำให้นางลุกลี้ลุกลนหาคำอธิบายทันที
แต่ลากูน่าเองก็เอามือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะกับท่าทีชวนขบขันของนางที่ลุกลี้ลุกลนจน
ใส่สนับให้เขากลับข้างเขาจึงดึงมันออกมาและค่อยๆสวมมันอีกทีด้วยตัวเอง

“ กังวลอยู่หรือครับ ”
ลากูน่ากล่าวขณะที่สายตายังคงวุ่นอยู่กับการใส่สนับมืออยู่

“ เอ่อคือว่าโทษทีนะจ้ะคือที่จริงพี่น่ะ.. ”
ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวจบเขาก็ยกมือขึ้นมาห้ามซะก่อน ที่จะกุมมือทั้งสองไว้ระหว่างหัวเข่าทั้งสองหน้าของเขาก้มอยู่ไม่ได้เงยขึนมามองนางเลย ท่าทีของเขาทำให้นางพูดไม่ออกเพราะนางรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่เขาอยางทุกครั้ง ดูสมาธิและรู้สึกได้ถึงจิตสังหารผ่วๆที่เริ่มะไหลออกมาจากตัวเขา

“ ถ้าห่วงว่าผมจะทำให้ใครตายหรือเปล่าล่ะก็ไม่ต้องห่วงครับ รับรองผมจะออมๆเอาไว้ไม่เอาถึงตายแน่นอน ”
ลากูน่ากล่าวท่าทีของเขาในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับสุนัขป่าที่กำลังจะออกล่าเหยื่อ

“ ลากูน่า…. ”
นางกล่าวได้แค่นั้นที่จริงนางอยากจะบอกว่าเขาเข้าใจผิดเรื่องที่นางกำลังห่วงอยู่แต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
ที่อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาแบบนี้ทั้งๆที่นางเองยังไม่ได้รับรู้เรื่องที่เขามีพลังเวทย์มนต์และถูกฝึกให้ประยุกต
์ใช้กับการต่อสู้เลยหรือว่าตัวเขาจะแสดงท่าทีเหมือนกับรู้แล้วว่านางเองก็เป็น 12 เทพขุนศึกแต่นางเองก็ยังไม่ได้ปริปาก


เรื่องนี้เลย เพราะแม้ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานเหมือนกัน แต่นางเองก็ไม่เคยให้ลากูน่าเจอนางในสภาพครึ่งสมิงเลย แต่แล้วนางก็พึ่งรู้ว่าตนคิดมากเกินไป เมื่อเขาหันขึ้นมามองนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับเด็กๆในทุกที
ทำให้นางวางใจ แต่ทว่านางเองก็ยังคงติดใจกับทีท่าของเขาเมื่อครู่อยู่ดีแต่ก็พยายามจะลืมๆมันไป

“ ว่าแต่ลากูน่าจ้ะ ไม่ไปดูหน่อยเหรอว่าคู่แข่งเป็นใครน่ะ ”
นางถาม แต่ลากูน่าก็ส่ายหัวไปมา

“ ไม่ล่ะครับเพราะไม่ว่าจะเป็นใครผมก็ไม่อยากจะรู้ข้อมูลของคู่ต่อสู้ก่อนจะแข่งหรอกนะครับเพราะ
พี่ชายสอนผมมาอย่างนั้น ”
ลากูน่ากล่าวก่อนที่จะหันมากล่าวเล่นๆว่า

“ และอีกอย่างผมน่ะไม่มีทางแพ้อยู่แล้วล่ะครับ ”
ลากูน่าพูดอย่างมั่นใจ
นางจึงยอมให้เขาทำสมาธิแข่งต่อไป

ขณะเดียงกันที่เต้นนักกีฬาฝั่งตรงกันข้ามพวก Lr กำลังใส่สนับมือให้เจนัสอยู่หลังจากที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อย
ซึ่งนอฟฮอฟที่บินออกไปดูตารางแข่งได้บินกลับเข้ามาหาพวกเขา


“ นี่เราแข่งรอบสุดท้ายเลยยังมีเวลาอีกสักพักน่ะท่ายังไงจะไปสังเกตการณ์ดูหน่อยไหม ”
นอฟออฟกระซิบกับพวกเขาเพื่อไม่ให้ดราก้อนออลลี่แปลงเสียงของเขาดังเกินไป

“ ไม่ล่ะฉันจะไม่ขอรับรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายเด็ดขาด เพราะยังไงก็ไม่มีใครสู้ฉันได้อยุ่แล้ว ”
เจนัสกล่าวอย่างมั่นใจทันทีที่ Lr ใส่สนับมือให้เสร็จเขาก็ขอทำสมาธิก่อนแข่งจึงขอให้พวกเขาทิ้งเขาไว้คนเดียวก่อน พวกเขาจึงตัดสินใจจะไปตามไลท์ที่ไปบอกเฟินกอลโล กับ เอิทธ์เรื่องนี้
โดยของให้พนักงานที่สำนักงานพาไปพบ

เมื่อพวกเขาไปถึงการแข่งก็กำลังจะเริ่มพอดีไลท์ที่เดินออกมาจากซุ้มผู้ประกาศตรงมาหาพวกเขา

“ ฉันบอกทั้งสองคนไปแล้วล่ะ ที่เหลือก็แค่ลุ้นให้เจ้าหมานั่นชนะก็พอ ”
ไลท์กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่เพื่อนของเขาต้องถูกยกมาเป็นรางวัลเดิมพันกันอย่างนี้
วิลจึงเสนอให้พวกเขาปดูการแข่งที่เวทีเพราะตอนนี้ที่เต้นนักกีฬาห้ามคนนอกเข้าแล้ว

พวกเขาจึงเดินแทรกเข้าไปใกล้เวทีและยืนดูการแข่งไปพลางๆ ขณะเดียงกันก็สมิงแมวป่านีน่าที่เดินมาหาที่ยืนก็เดินมายืนดูข้างๆพวกเขา

“ หือพวกเธอเป็นใครน่ะไมเคยเห็นหน้าเลยนกเดินทางเหรอ ”
นางหันไปถามพวกเขาทำให้พวกเขารุ้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ตอบกลับไปว่าใช่

“ เอ่อคุณก็มาดูการแข่งเหรอครับ ”
Lr ถามนางบ้าง

“ อ๋อเปล่าหรอกจ้ะพอดีน้องฉันลงแข่งงานนี้น่ะจ้ะเขาเก่งมากๆเลยล่ะ ”
นางกล่าวท่ามกลางเสียงเชียที่เริ่มดังสนั่นเพราะการต่อสู้เริ่มดุเดือดทำให้ เขาได้ยินไม่ค่อยชัดนักแต่ก็พอจับความได้

“ พอดีเลยเพื่อนผมเองก็ลงแข่งด้วยเหมือนกัน ”
เขากล่าวเสียงดังขึ้นเล็กน้อยซึ่งนางเองก็ได้ยินชัดเจนอยู่แล้วเพราะนางเป็นครึ่งสมิงประสาทสัมผัสหูจึง
ดีกว่ามนุษย์เหมือนกับสมิง
ซักพักเสียงก็เงียบลง เมื่อนักกีฬาคนนึงถูกชกจนสลบและกรรมการเข้าไปนับจบครบสิบอีกคนจึงเป็นฝ่ายชนะไป ขณะที่พี่เลี้ยงฝ่ายที่แพ้ขึ้นมาแบกตัวนักกีฬาท่แพ้ลงจากเวที ซึ่งเป็นอันจบคู่แรก

“ งั้นหรือจ้ะแหมแย่จังเลยถ้ามาเจอกันก่อนรอบชิงละก็นะ ว่าแต่เพื่อนเธอน่ะเตือนให้ระวังเขาหน่อยละกันนะเพราะเขาหมัดหนักเหมือนกันถ้าโดนจังๆจะแย่เอานะ ”
นางกล่าวหยอกเล่นๆแต่ Lr ก็อดขำไม่ได้เพราะในใจเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเพราะแทนที่นางจะมาห่วงเพื่องของเขาน่าจะห่วง้องของนางมากกว่า ทั้งคู่สนทนากันถึงนักกีฬาของตัวเองดดยหารู้ไม่เลยว่านักกีฬาของทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน

“ ว่าแต่คุณจะเอาลูกมังกรไปทำอะไรล่ะครับ อีกอย่างทำไม่ที่นี่ถึงได้มีการจัดการแข่งประลองนี่ด้วยล่ะครับ ”
Lr ยิงคำถามใส่นางแต่นางเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะตอบ

“ คือว่าที่จริงแล้วฉันน่ะแค่อยากจได้น้ำตาของมังกรมาทำกระสุนปืนน่ะ น้องเขาก็เลยอาสาลงแข่งเพื่อฉันน่ะ ”
คำตอบของนางทำเอาพวกเขาอึ้งพอสมควร

“ ให้น้องชายลงแข่งเพราะจเอาน้ำตาเนี่ยนะ ไร้สาระสิ้นดี ”
นอฟฮอฟเอ่ยเหน็บอีกครั้งซึ่ง Lr เองก็ตีหน้าทะตัวเองหันมาทำให้นอฟฮอฟยอมเงียบ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้ยิน ที่จริงนางได้ยินแล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่สนไปงั้นๆ

“ ส่วนที่เขาจัดงานนี่ได้ยินมาว่า เพื่อสันหานักรบมาเข้ากลุ่มกองกำลังเพิ่มน่ะและเป็นการตรวจระดับฝีมือของคนในหมู่บ้านนี้ด้วย ”
นางกล่าวจบ เสียงนับของกรรมการก็ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่คู่ที่สองขึ้นไป

“ อ้ะขอตัวก่อนนะคู่ต่อไปน้องฉันลงน่ะจ้ะ ”
นางกล่าวจบก็รีบเดินแทรกออกไปทันทีดดยที่พวกเขายังไม่ทันจะได้ตอบเลย

“ เราเองก็รีบกลับไปกันเถอะเดี๋ยวจบคู่ที่สามก็ตาเราแล้วนะ ”
ไลท์กล่าว ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยก่อนจะเดินแทรกออกมา



“ เอาล่ะตาเธอแล้วนะลากูน่าสู้เค้านะ ”
นางกล่าวให้กำลังใจขณะส่งเขาขึ้นเวทีก่อนนางจะเดินไปนั่งตรงที่นั่งพี่เลี้ยง

เสียงกรรมการเริ่มการชนดังขึ้นได้เพียงเสี้ยววินาทีที่เริ่มการแข่งคู่ชกของลากุน่าก็โดน
หมัดของลากูน่าซัดเข้าเต็มๆหน้าท้องจนล้มทั้งยืน กรรมการเข้าไปนับทันที แต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟื้น
จึงตัดสินให้ลากูน่าเป็นฝ่ายชนะสร้างความฮือฮาให้แก่ฝูงชนที่มาดูไม่น้อย

“ เฮ้อย่างที่คิดไม่มีผิดเลยถ้าเป็นแบบนี้ไปจนจบละก็เลิกงานเมื่อไหร่มีหวังดดนกองทัพทาบทามให้ไปเป็นแม่ทัพแน่ ”
นางรำพันกับตัวเองขณะที่จ้องไปที่เวทีพรน้อมกับส่งยิ้มให้ลากูน่า
ก่อนจะลุกไปรับเขาเพื่อกลับไปพัที่เต็นท์นักกีฬาอีกครั้ง

“ แต่ว่าเด็กนั่นกับลูกมังกร จะใช่คนที่ทางองค์กรกำลังตามตัวอยู่หรือเปบ่านะแต่จำนวนมังกรมัน
ไม่ครบนี่หรือว่าการที่พวก
มันมาลงแข่งนี่ก็เพื่อทวงเพื่อนๆของพวกมันที่เป็นรางวัลในการแข่งครั้งนี้งั้นคนที่ลงแข่งที่บอกว่าเป็น
เพื่อนมันบางทีอาจจะ…หึช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้นะดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาจบงานเมื่อไหร่ฉัน
จะไม่ปล่อยให้หลุดมือเลย ”

………………..
………….
……..


Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #152 on: May 11, 2008, 06:09:31 PM »

“ ช่วยหน่อยนะ เพราะนายคือคนเดียวที่สามารถสู้ได้ตอนนี้น่ะ ”
Lr กล่าวแต่เจนัสดูจะเอือมระอากับคำพูดของเขา

“ บอกแล้วไงว่าฉันยินดีช่วยส่วนถ้าจะมาห่วงฉันละก็หึ ก็อย่างที่ว่าไปน่ะแหล่ะ ”
เจนัสกล่าวก่อนจะหันหลังเดินขึ้นเวทีไป

“ รู้แล้วล่ะน่า ว่าให้ไปห่วงคู่ชกจะดีกว่าใช่มั้ยเฮ้อหลงตัวเองชะมัดเลยถ้าแพ้นะจะสมน้ำหน้าให้ ”
Lr บ่นไปพลางขณะที่กำลังจะไปนั่งที่พักพี่เลี้ยง

“ เอาน่าไหนเขาก็ลงให้แล้ว ”
วิลกล่าวขณะที่เสียงเริ่มการชกของกรรมการดังขึ้นและเช่นเดียวกับคู่ที่แล้ว เมื่อพวกเขากำลังจะนั่งลงเพื่อดูการแข่งของเจนัสคู่ชกของเขาก็โดนเสยปลายคางร่วงลงไปนอนอ้าซ่ากับ
พื้นเวทีสลบไสลไม่ได้สติ
โดยที่เจนัสยังตั้งท่าชกค้างอยู่เลยก่อนจะลดแขนลง ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขาแทบจะหยุดนิ่งกันไปเลย
กรรมการนับจนครบอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะฟื้นจึงตัดสินให้เจนัสชนะไป

เมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปรับเจนัสกลับเต็นท์ที่พักนักกีฬา

“ หึไม่ต้องห่วงหรอกสภาพนั้นน่ะคงจะไม่ได้สติไปซักวันล่ะพรุ่งนี้ก็ฟื้น ”
 เจนัสกล่าวขณะที่บนเวทีพี่เลี้ยงและแพทย์สนามยังคงพยายามเรียกสติของนักกีฬาอยู่เลย

“ จะจบโดยไม่มีใครตายไหมเนี่ย ”
Lr กล่าว

“ นั่นสิ ”
วิลเสริมอย่างกังวล

ก่อนที่จะตามเจนัสกลับไปที่เต็นท์

ผ่านไป 10 นาที

การแข่งรอบลองก็เริ่มโดยพวกเขาได้ชกคู่สุดท้ายเช่นเคย

ด้านนีน่าที่ส่งลากูน่าขึ้นเวทีไปแล้ว
ก็เดินลงไปรอตรงทางออกไปยังเต็นท์
ทันทีเพราะไม่ทันไรลากูน่าก็ลงจากเวทีมาแล้วพร้อมกับที่คู่ชกของเขาอยู่ในสภาพปางตายไปอีกคนโดย
คราวนี้ดูเหมือนว่าเขาจะซัดคู่ชกไปหลายหมัดพอดู
พวกเขาทั้งสองเดินกลับไปที่เต็นท์เลยโดยไม่ดูผลการแข่งคู่ต่อไปเลย เพื่อเตรียมรอแข่งรอบชิง

เช่นกันคู่ต่อมาคือคู่ของเจนัสก็จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่คราวนี้คู่ชกของเขาซี่โครงซ้ายหักสองซี่
เมื่อมาถึงรอบชิง

ทั้งสองฝ่ายก็ส่งนักกีฬาขึ้นสู่เวทีโดยคิดว่าคงจะจบอย่างรวดเร็วเช่นเคยแต่ทันทีที่พวกเขาฟังประกาศ
ชื่อนักกีฬาก็แทบจะหันควับมาพร้อมกันทั้งคู่รวมถึงนักกีฬาทั้งสองด้วย

“ คู่ชิงในวันนี้มุมน้ำเงินครึ่งสมิงสีเงินผู้มีสยบคู่ชกภายในพริบตา ลากูน่า  ”
ทันทีที่ประกาศชื่อเสร็จเจนัสและพวก Lr ก็หันยังเวทีด้วยความสนใจทันที
ก่อนที่ลากูน่าจะขึ้นเวทีมา
และทันทีที่จะประกาศชื่อของเจนัส เจนัสก็เดินมาที่มุมเวทีก่อน
“ และมุมแดงสมิงสีดำผู้สยบคู่ต่อสู้ในพริบตาเช่นเดียวกัน เจนัส ”

สิ้นสุดการประกาศทั้งสองก็ได้มายืนประจันหน้ากันอยู่กลางเวที ก่อนที่กรรมการจะเข้ามาเริ่มการแข่ง


“ ม..เมื่อกี้นี้หมอนันชื่อลากูน่าใช่มั้ย ”
Lr กล่าวอย่างละล่ำละลักทันทีที่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายเช่นกันนีน่าเองก็แทบจะไม่อยากเชื่อว่าตนเองสันนิษฐานถูกจริงๆ บัดนี้พวกเขาสองพี่น้องต้องมาประจันหน้ากันบนสนามต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้

“ เฮ้ถ้างั้นนั่นก็เป็นน้องชายของเจ้านั่นน่ะสิ ”
วิลกล่าว


“ ลากูน่า ”
เจนัสกล่าวลอยๆพลางจ้องไปที่ตาของผู้เป็นน้องชาย

“ พี่.. ”
ลากูน่าเองก็เช่นกันตาของทั้งสองจ้องลึกลงไปก่อนที่เสียงเริ่มกันชกของกรมการจะดังขึ้นจึงดึงสติของทั้งคู่กลับมา ทั้งคู่ยืนดูเชิงกันสักพักก่อนจะเริ่มจะซัดหมัดใส่กันอย่างปราณี

“ คงยังจำได้นะลากูน่าสัญญาในวันนั้นน่ะ ”
เจนัสคิดในในขณะที่คอยหลบหมัดและหาช่องว่างที่ชกกลับไป

“ แน่นอนครับพี่คำมั่นในวันนั้นน่ะ ”
ลากูน่าคิดขณะที่ยกแขนขึ้นปัดป้องหมัดแล้วชกสวนออกไผพลาง

การชกของทั้งสองรวดเร็วและรุนแรงมากมีดังปักๆทุกครั้งที่ ทั้งคู่ออกหมัดใส่กันจนทั่วทั้งเวทีเงียบกริบ
ได้แต่อึ้งกับการชกตรงหน้าต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ทั้งสองเริ่มที่จะละรึกความทรงจำถึงคำสัญญาที่ทำให้ทั้งคู่ลงมือใส่กันอย่างไม่รามือ


เมื่อ 1 ปีก่อน

“ การเข้ารับทดสอบเป็นเทพขุนพลในวันพรุ่งนี้มีกติกาง่ายๆแค่อย่างเดียวข้าจะอธิบายให้ฟังข้าจะให้
เจ้าสองคนที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีแล้วต่อสู้กันตัวต่อตัวโดยไม่มีอาวุธและสูกัยตัวเปล่าในร่างครึ่งสมิงและ
จำกัดการแปลงร่างด้วยและการต่อสู้จะจบลงที่ใครคนใดคนหนึ่งต้อง ……. ตาย ”
เซอร์เซสกล่าวต่อหน้าของเจนัสและครึ่งสมิงพังพอนผมสีทองที่ยืนอยู่ด้วยกันก่อนที่จะเดินกลับอกไปและ
ทิ้งพวกเขาไว้ในห้องฝึก ซึ่งลากูน่าเองกฌได้ฟังผลอยู่ด้วยกัน

“ อ…อะไรกันจะให้ท่านพี่กับริคุมาสู้กันจนตาย ยังงี้มันจงใจชัดๆ ”
ลากูน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างที่สุด
ริคุที่ว่าคือครึ่งสมิงพังพอนที่ฝึกร่วมกับพวกเขาสองพี่น้องมาโดยตลอดจนลากูน่าเองยังคิดว่าเขาเป็นเสมือน
พี่ชายแท้ๆอีกคน


ใช่แล้วเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือตอนก่อนที่เจนัสจะได้เป็น 12 เทพขุนศึก ซึ่งบททดสอบการเข้ารับเป็นแม่ทัพจะต้องสู้กับครึ่งสมิงพังพอนริคุที่เป็นเพื่อนแท้ของเขา ริคุถูกเซอร์เซสจบตัวมาโดยเขาได้สูญเสียน้องชายไปหลังจากที่ต้องผลัดหลงกับครอบครัวและอยู่ด้วย
กันเพียงแค่สองพี่น้อง แต่เซอร์เซสก็ได้จับตัวเขามาดดยฆ่าน้องชายทิ้งซะเพราะไม่มีทักษะการต่อสู้

“ จะเอายังไงดีล่ะริคุถ้าจะเป็นเทพขุนพลเราคนใดคนหนึ่งจะต้องตายนะ ”
เจหันไปถามริคุที่ยังเงียบอยู่

“ อืมก็คงเลี่ยงไม่ได้ล่ะ เพราะหากพวกเราไปรับการทดสอบนีมันก็จะฆ่าเราทั้งคู่ แล้วยังงั้นลากูน่าก็จะไม่มีใครดูแลนะ ”
ริคุกล่าวขณะที่มองลากูน่าอย่างเวทนา ศึกนี้พวกเขาคนใดคนนึงจะต้องยอมเสียสละชีวิตให้กับอีกฝ่าย
ซึ่งเจนัสเองก็หนักใจกับสถานการณ์นี้ไม่น้อย เพราะเขาจะต้องมาฆ่าเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน
ด้วยมือของเขาเอง ลากูน่าที่เริ่มจะใจไม่ดีกับท่าทีของทั้งสองก็เริ่มที่จะร้องไห้จนเขาต้องเข้าไปปลอบน้องชาย

“ นี่ริคุ ”
เจนัสเรียกริคุที่กำลังใช้ความคิดหาทางรอดอยู่

“ อะไรเหรอเจนัส ”
ริคุหันมาถามซึ่งเจนัสได้บอกให้น้องชายของเขาออกไปก่อนซึ่งเขาก็ยอมไปแม้จะไม่เต็มใจนัก

“ ในวันพรุ่งนี้ถ้าเกิดฉันเป็นอะไรไปล่ะก็นายช่วยดูแลลากูน่าแทนฉันทีนะ ”
เจนัสกล่าวคำพูดของเขาทำให้ริคุอยากจะปฏิเสธเพราะเขาไม่มีวันฆ่าเพื่อนของเขาได้ลงคอ
แต่ครั้นเมื่อเขาจะปฏิเสธก็กลับพูดไม่ออกเพราะท่าทีของเจนัส ในที่สุดเขาจึงยอม

“ ก็ได้เจนัสแต่ว่าการต่อสู้วันพรุ่งนี้น่ะนายกับฉันจะต้องเอาจริงทั้งคู่นะ จะไม่มีการออมมือ ให้กันอย่างเด็ดขาด ”
ริคุกล่าวเจนัสจึงหันกลับมาด้วยสายตาที่มุ่งมันแม้จะเจ็บปวดที่ต้องทำแบบนั้แต่นี่คือทางเลือกที่ดี
ที่สุดเพราะต่างฝ่ายก็ไม่อยากจะต้องให้ใครจากไปทั้งนั้นเขาจึงตอบตกลง โดยทีลากูน่าแอบฟังการสนทนาอยู่อย่างเงียบด้วยความหมดอาลัยตายอยาก

ในวันต่อมาทั้งคู่สู้กันในสนามประลองอย่างเต็มที่ ดดยที่ลากูน่ายืนอยู่นอกสนามอย่างขมขื่น
สภาพที่พี่ชายและเพื่อนของพี่ชายในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ อยู่ในอาการสาหัสต่างมีรอยช้ำทั่วร่าง โหนกคิ้วแตกเลือดอาบกันทั้งคู่ ทั้งสองฝ่ายสู้กันจนแทบจะถึงขีดสุดแล้ว ทั้งคู่เริ่มที่จะอ่อนแรงลง
เจนัสมีเลือดออกที่แผลแตกมากขึ้น ส่วนริคุเองก็ตาพร่าแล้วทั้งสองตั้งท่าพร้มที่จะเข้าแลกหมัดกันอีกครั้ง
โดยที่ครั้งนี้พวกเขาสะสมพลังไว้อย่างเต็มที่ ก่อนจะพุ่งเข้าหากันกำปั้นของเจนัสเล็งเข้าที่ชายดครงของริคุส่วนกำปั้นของริคุเล็งที่ปลายคางกำปั้นของ
ริคุเร็วกว่าของเจนัสซึ่งหากโดนเข้าไปเจนัสคงจะสลบเป็นแน่และเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะต้องซ้อมเพื่อของเขาจนตาย

แม้จะไม่อยากแต่ด้วยสัญญาที่เขาให้ไว้กับเจนัสเขาจึงไม่มีทางเลือก ลากูน่าที่เห็นเช่นนั้นก็ตะโกนเรียกชื่อพี่ชายอกมาด้วยความเจ็บแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
 ริคุที่เห็ยเช่นนั้นก็นึกย้อนถึงวันที่โดนเซอร์เซสจับตัวมาและพรากน้องชายไปจากเขา
 ริคุผ่อนแรงหมัดลงทำให้ความเร็วตกหมัดของเจนัสจึงเข้าเต็มๆที่ชายโครงของเขา
เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาเจนัสที่ชกไปแทบ จะไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้เขาจะล้มเพื่อนของเขาไปแล้ว
แต่เขาก็รูทันทีว่าริคุผ่อนแรงลง ริคุล้มตัวลงด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ไม่แสดงออกมาให้เด่นชัดนักเพราะถูกฝึกมา


“ ริคุนาย.. ”
เจนัสกล่าวได้เพียงเท่านี้เพราะเขาถูกริคุห้ามเอาไว้

“ เจนัส…แฮ่กๆ ฉันขอโทษที่ต้อง….ผิดสัญญาแต่ฉันทนไม่ได้..แฮ่กๆ ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นพี่น้องถูกพรากจากไปอีก ..พวกนายในตอนนี้เหมือนกันมาก อึก..กับฉันในตอนนั้น ”
ริคุกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ความบอบช้ำทำให้เขาแทบจะพูดไม่ออกด้วยซ้ำแต่เขาก็ทนกัดฟันพูดออกมา

เจนัสที่เห็นร่างของเพื่อนล้มลงอยู่ตรงหน้าก็คิดจะเข้าไปช่วยแตทว่าริคุก็ยกมือขึ้นห้ามปรามเขาไว
เพราะเซอร์เซสเริ่มระแคระคายกับการกระทำของทั้งคู่แล้ว ริคุเห็นว่าเวลาเหลือน้อยลงทุกทีเขาจึงตัดสินกล่าวสั่งเสียโดยเร็วที่สุด

“  อึกรีบเข้าเถอะเจนัส… ”
ริคุกล่าวอึกอักแต่เจนัสเองยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ริคุจึงพยายามที่จะกล่าวต่อให้จบแม้สติจะเริ่มเลือนรางแล้ว

“  ฆ่าฉันซะเจนัส… ”
ริคุกล่าวแต่เมื่อเห็นว่าเจนัสยังรีรอที่จะไม่ทำเพราะเขาไม่อาจจะตัดใจฆ่าเพื่อนของเขาได้ ริคุจึงคิดหาทางที่จะทำให้เจนัสยอม ทำตาม

“  ทำซะเจนัสไม่งั้นเราจะตายทั้งคู่นะ นายจะปล่อยใหลากูน่าต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลังงั้นเหรอ… ”
คำพูดของริคุเสียดแทงเข้าไปในใจของเจนัส ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เจนัสต้องทำจริงๆเพราะแม้เขาอยากจะให้ริคุเป็นคนฆ่าก็ตามท
ีแต่ตอนนี้ริคุไม่อยู่ในสภาพที่จะสู้ได้แล้ว หลังจากที่เขาพึ่งจะหักกระดูกซี่โครงของผู้เป็นเพื่อนไป แม้จะเจ็บปวดที่ต้องทำแต่ก็ไม่อาจเล่ยงได้ เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงเกร็งหมัดแน่นก่อนที่จะก้มลงและง้างกำปั้นขึ้น ริคุเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเบาใจขึ้นมาทันที

“  เจนัสอย่าโทษตัวเองเลยนะ แม้ว่า..แค่ก จะฆ่าฉันแต่ฉันจะถืซะว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้นายได้ เพราะฉันไม่มีอะไรต้องให้ห่วงอีกแล้วดังนั้นคนที่สมควรจะไป…คือฉัน ชีวิตนี้ฉันยกให้นาย…เจ..นัส ”
สิ้นคำของริคุ เขาก็หมดสติไปเจนัสจึงลงซ้อม ผู้เป็นเพื่อนทั้งน้ำตาอย่างเจ็บแค้นที่ทางเลือกบีบจนต้องลงมือฆ่าเพื่อนที่รว่มฝึกกันมา เจนัสซ้อมริคุจนถึงแก่ชีวิต เขาจึงรามือและทิ้งร่างไร้วิญญาณของครึ่งสมิงพังพอนที่อาบไปด้วยเลือด ไว้บนพื้นสนาม เขาเอามือที่เปื้อนเลือด ปาดคราบน้ำตาทิ้งเลือดของผู้เป็นเพื่อนจึงชะโลม

ไปรอบขอบตาของเขาแววตาของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นสายตาที่เย็นชา ราวกับปีศาจที่ไร้วิญญาณ
ลากูน่าในตอนนั้น เองก็เริ่มที่จะกลัวพี่ชายของเขา และในคืนนั้นหลังจากที่ทำแผลเรียบร้อยแล้ว

ในห้องพักของสองพี่น้องเจนัสที่ยังคงเอาแต่จ้องมองผ่านหน้าต่างออกไป ดดยที่ในใจยังคงไม่อาจตัดภาพสุดท้ายที่ริคุสั่งเสียเอาไว้ได้ ลากูน่าที่เพิ่งจะเปิดประตูห้องเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“  พี่ครับเพราะผมใช่มั้ยครับ… ”
ลากูน่ากล่าว แต่ะเจนัสเองก็ดูท่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไรกับท่าทีของเขาเลย

“  เพราะผมสินะพี่ริคุถึงต้อง…. ”
เขากล่าวได้เพียงเท่านั้นเพราะความเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนที่เป็นเสมือนพี่ชายไปทำให้เขาไม่อาจจะก่าวต่อไปได้ แม้จะเงียบอยู่นานแล้วแต่เจนัสเองก็ไม่ได้หันมาสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

“  แล้วนายจะให้ทำยังไงล่ะ อยากให้พี่ตายแทนงั้นเหรอ ”
เจนัสกล่าวเสียงเรียบ แต่ด้วยวาจานั้นถึงกับทำให้ลากูน่ารีบส่ยหัวทันที

“  ม..ไม่ใช่นะครับผมจะอยากให้ท่านพี่ตายทำไมกันล่ะ ”
เขากล่าว เม็ดน้ำตาเริ่มที่จะไหลรินออกมา

“ อย่าร้องนะลากูน่า… ”
เจนัสกล่าวทำให้เขารีบปาดเม็ดน้ำตาออกทันที ก่อนที่พี่ชายจะหันกลับมา
สายตาของเขากลับเป็นพี่ชายคนเดินแล้ว แต่ทว่านี่กลับไม่ใช่สายตาที่เจนัสใช้กับผู้เป็นน้อง
ในตอนนี้ลากูน่าเองก็ยังไม่เข้าใจถึงสายตาที่แฝงความนัยนี้เลย

“ ริคุบอกก่อนจะตายว่า ชีวิตนี้เขายกให้พวกเราแล้ว ”
เจนัสกล่าวจบก็หันหลังกลับไปตามเดิม ทิ้งไว้ให้ลากูน่าฉงนกับสายตาเมื่อครู่
แต่เมื่อเห็นว่าพี่ชายยังไม่ร้อมที่จะอธิบายเขาจึงตัดสินใจที่จะให้พี่เขาอยู่คนเดียวซักพัก
จึงหันหลังกลับออกไป

“ ลากูน่า.. ”
เสียงของเจนัสดังมาทำให้เขาหยุดเดินไปเพื่อฟังสิ่งที่พี่ชายจะพูด

“ ครั้งหน้าหากเราสองคนต้องเผชิญหน้ากัน จงละทิ้งความเป็นพี่น้องซะแล้วเข้าปะทะอย่างสุดกำลัง หากถึงตอนนั้นแล้วนายยังตัดใจไม่ได้อยู่ละก็ฉันจะเป็นคนจบชีวิตนายเอง.. ”
สิ้นคำของเจนัส เขาก็เงียบไป ในตอนนี้เขาคิดว่าพี่ของเขาคงจะเจ็บแค้นทั้งเรื่องที่สัญญาของพวกพี่ชายต้อง
มาขาดกลางคันและยังต้องฝืนฆ่าเพื่อนไปทั้งที่ไม่อยากทำ

“ ครับเมื่อถึงตอนนั้นผมจะโค่นท่านพี่ลงให้ได้เลย ”
ลากูน่าตอบรับสัญญาที่สืทอดต่อมาอย่างไม่ลังเลก่อนจะออกจากห้องไป



………………………………..
…………………….
…………….

ขณะนี้พวเขาทั้งคู่ยังคงผลดกนแลกหมัดอย่างไม่ยั้งมือ ทำเอาทั้งสนามแทบจะเงียบไปเลย
พวก Lr ต่างเฝ้ามองอย่างลุ้นระทึก  การชกของพวกเขาดำเนินไปโดยดูไม่ออกเลยว่าฝ่ายไหนได้เปรียบกว่ากัน จนกระทั่งลากูน่าพลาดท่าเปิดช่องว่างให้ เจนัสผู้เป็นพี่จึงซัดหมัดเข้าเต็มๆหน้าท้องของเขา

 จนตัวคู้ลงมาจากความแรงของหมัด ทำเอาเขากระเด็นไปติดเชือกที่ขึงไว้ เจนัสตามเข้ามาซ้ำอีกทีอย่างรวดเร็วโดยซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนหน้าของเขาหันไปตามแรงชก และอาศัยช่วงศอกที่ยื่นอกไปตอนที่ชก ฟันศอกเข้าที่คิ้วซ้ายของเขาจนแตกด้วยแรงจากการเหี่ยวกลับและพลังเวทย์ที่อาบร่างเอาไว้ทำให้การ

โจมตีแต่ละครั้งล้วนหนัหน่วงชนิดที่คนธรรมดาไม่มีทางทนได้ โลหิตสีแดงไหลออกมาชะโลมร่างของเขาอย่างช้าๆ แม้จะยังเสียหลักอยู่แต่เขาก็รีบตั้ง การ์ดอย่างรวดเร็วเพื่อรับกระบรวนท่าต่อไป

เขาจึงได้สังเกตว่าสายตาของพี่ชายเป็นสายตาเดียวกับที่เขาได้เห็นเมื่อปีก่อนสายตาที่เขาเคยสงสัย บัดนี้เมื่อได้มาประหมัดกับผู้เป็นพี่จึงได้เข้าใจคำพูดทั้งหมดที่พี่เคยบอกกับเขา ละทิ้งความเป็นพี่น้องและเข้าปะทะกันอย่างสุดกำลัง นั่นเพราะสายตาที่พี่จ้องมองเขาอยู่เป็นสายตาที่เขาใช้กับเพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับ
พี่ชายคงจะเห็นเงาของเพื่อนซ้อนทับกับเงาของเค้า

ตอนนี้เขาถูกไล่ต้อนจนติดมุมไม่สามารถที่จะปลีกออกไปได้เลย จึงถูกบีบให้รับอยู่ฝ่ายเดียว

เมื่อเขาเข้าใจถึงสิ่งที่พี่ชายพูดแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะลังเลหากจะต้อง ชกพี่ชายตัวเองเพราะที่ไม่ใช่การต่อสู้หากแต่เป็นการทำให้สัญญาที่เคยให้กันไว้ลุล่วง เขาเริ่มโต้กลับทันทีแต่ทว่าก็ยังคงพลาดท่าถูกซัดหน้าท้องเข้าอีกทีจนแทบจะล้มทั้งยืนแต่ ด้วยความมุ่งมั่น เขาจึงยังทรงตัวไว้ได้ ก่อนจะฟันศอกสวนกลับเข้าที่คิ้วขวาของพี่ชายจนเป็นแผลแตก ด้วยว่าพลังเวทย์ที่เข้มแข็งกว่าของพี่ชายการศอกครั้งนี้จึงหนักหน่วงกว่าที่เขาโดนจากพี่ชาย ด้วยแรงกระแทกทำให้เลือดไหลกระฉูดออกมามาก และไหลย้อมร่างของเจนัสจนทั้งร่างแทบจะย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด ความเจ็บปวดที่ได้รับทำเอาทั้งร่างของเขาสะท้านไปหมด

จนถึงกับเซ ถลา มากลางเวที ลากูน่าจึงอาศัยจังหวะนี้ผลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุก โดยซัดหน้าของพี่ชายพร้อมกับใช้การฟันศอกหลังจากที่ชกออกไปแบบเดียวกับที่เขาโดนจนเกิดแผลแตกที่คิ้วอีกข้าง เจนัส แทบจะหมดสติเอาเสียตรงนั้น แต่เขาก็ยังคงทรงตัวไว้ได้ ตอนนี้เขาได้รับรู้แล้วว่าน้องชายของเขาเข้าใจถึงสัญญาที่ให้ไว้แล้ว
จึงตัดสินใจที่จะเอาจิง ดดยเริ่มเร่งพลังเวทย์ที่เสริมร่างกายเอาไว้จนสุด ลากูน่าเองก็เช่นกัน

พวกลูกมังกรที่สัมผัสไวต่อพลังมนตรา ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด กับแรงกดจากพลังเวทย์ของทั้งสอง
 จากการนี้การชกของทั้งคู่จึงทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ชมเริ่มส่งเสียงเชียร์ อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เมื่อการต่อสู้เริ่มที่จะเล่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ


เจนัสฟันศอกใส่คิ้วอีกข้างของ ลากูน่าจนแตกเช่นกัน บัดนี้ร่างของทั้งสองแทบจะอาบชโลมไปด้วยเลือด
เจนัสรีบตามซ้ำต่อทันทีโดยซัดหน้าท้องลากูน่าอย่างจังอีกครั้งความรุนแรงของการชกครั้งนี้แม้จะมีเกราะ
พลังเวทย์อาบเอาไว้ก็ตาม ทันทีที่หมัดเข้าปะทะ ความจุกเสียดก็แล่นเข้ามาอย่างรวดเร็วเขารู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ออกไปชั่วครู่ก่อนที่จะโดนเสยปลายคาง
จนกระเด็นไปติดเชือกอีกครั้ง
และถูกหมัดซ้ายอัดจนสลบลงไปกับพื้น กรรมการเข้ามานับทันที แต่ลากูน่าก็พยายามยันร่างของเขาขึ้นมาแม้

ร่างกายจะระบมไปหมดราวกับจะบอกว่าให้ยอมแพ้แต่ความมุ่งมั่นที่จะทำสัญญาให้ลุล่วง ก็เป็นแรงพลังให้เขา ลุกขึ้นยืนมาได้อีกครั้ง กรรมการดูอาการของเขา แล้วแม้จะอยากสั่งยุติการชกแต่สายตาของทั้งคู่ดูจะยังไม่ยอมเลิกรากันง่าย และเสียงโห่ของคนดูที่บอกให้ชกต่อ แม้จะไม่อยากกรรมการจึงอนุญาตให้ชกต่อได้

การต่อสู้จึงเริ่มอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายบุกก่อนบ้าง เขาเร่งพลังเวทย์อีกครั้งก่อนจะ ซัดเข้าไปที่หน้าท้องของพี่ชายอย่างรุนแรง จนพี่ชายของเขาล้มลงไปนอนเช่นกัน เจนัสรู้สึกหายใจติดๆขัดทันที หลังจากที่ดดนซัด ร่างกายได้รบความบอบช้ำมากและความล้าเริ่มถาโถม เขาจนแทบจะหมดสติแต่ เขาก็ยังฝืนที่จะลุกขึ้นมาเพื่อสู้ต่อ หลังจากที่ผลักกันล้มไปคนละที ทั้งคูก็เริ่มเหนื่อยอ่อนลงทันที เมื่อคิดได้ดังนั้น ลากุน่าจึงตัดสินกางขาออกเล็กนอยเพื่อที่ได้ยืนปักหลักได้ นี่คือสญญาณที่ว่าเขาพร้อมที่จะแลกหมัดโดยไม่หนีอีกแล้วเจนัสเองก็เช่นกันตอนนี้เขาไม่มีแรงพอที่จะหลบแล้ว จึงยอมที่รับคำท้านั้นและยืนปัหลักแลกหมัดกับน้องชาย

ทันทีที่กรรมการเริ่มการชก พวกเขาก็แลกหมัดกันโดยไม่หลบหรือป้องกันเลยต่างฝ่ายต่างแลกหมัดกัน
อย่างรุนแรงและรวดเร็วขณะที่หมัดกระแทกเข้ากับร่างกายก็มีเสียงดังราวกับกระดูกของทั้งสองฝ่ายกระทบกันตรงๆ ส่งผลให้คนดูเริ่มเชียร์กันอย่างดุเดือดกว่าเดิม

หลังจากผ่านการชกอย่างดุเดือด ทังสองเริ่มที่จะล้าแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครเสียท่าให้แก่กันเลยสนับมือผ้าของทั้งคู่ ขาดหวิ่นราวกับถูกกรีด อันเป็นจากการเสริมพลังเวทย์ให้แก่ร่างกาย สนับมือผ้าสีขาวที่ทั้งคู่ใช้ตอนนี้มันเปื้อนไปด้วยเลือดจนแทบจะกลายเป็นสีแดง เพราะเลือด ทั้งคู่จ้องตากันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มออกหมัดอีกครั้ง

“ ขืนยังแลกหมัดกันยังงี้คงไม่จบแน่ถ้างั้น ” 
ทั้งคู่คิด หลังจากที่แลกหมัดกันมานาน แล้วจึงคิดเปลี่ยนวิธีอีกครั้ง ลากูน่าเล็งเป้าหมายใหม่นอกจากใบหน้าและหน้าท้องเพราะพวกเขาเองก็ละเงตรงจุดที่คิดว่าน่าจะจัดการอีก
ฝ่ายได้แต่มันก็ทำได้แค่ให้เจ็บแบบสุดๆเท่านั้นและอีกอย่างตอนนี้ทั้งคู่ก็เละไปด้วยเลือด แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปซ้ำให้เลือดมันไหลลงเวทีจนเปรอะไปหมด พวกเขาจึงคิดที่จะเปลี่ยนจากการทำให้บาดเจ็บหรือจุกจนสลบมาเป็น การหักกระดูกแทนตามแบบการฝึกที่ได้รับมาตอนที่ยังเรียนกับเซอร์เซสอยู่ ลากูน่าเล็งเป้าไปที่กระดูกชายโครงเพื่อหวังจะทำให้กระดูกชายโครงของพี่ชายหักจนทรงตัวไม่ไหว แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันชกออกไปเจนัสก็ชกเข้าที่กระดูกหัวไหล่ของเขาอย่างแรง

ความเจ็บปวดที่ราวกับไหล่จะหลุดออกมาซะให้ได้เข้าถาโถมจนหมัดที่ชกออกไป ตกเอากลางคัน

เจนัมสจึงถือโอกาสซ้ำต่ออีกทีดดยฟนศอกไปที่ชายโครงของลากูน่า เสียงหมัดที่เจาะทะลุเกราะพลังเวทย์บวกกับแรงกระทบจากหมัดที่กระดูกชายโครง ทำเอาคนดูเงียบทันที ลากูน่าที่โดนซัดเข้าไปยังจังร่างของเขาแทบจะล้มเอาเสียให้ได้แต่เขายังคงฝืนสู้ต่อไป โดยอาศัยจังหวะที่ถูกซัด ฟันศอกเข้าไปที่ขมับของพี่ชายจนหน้าหันไปตามแรงและฉวยโอกาศนั้นซัดอีกหมัด เข้าที่ชายโครงเช่นกัน คนดูบางคนเริ่มที่จะโห่ให้ยุติการชกบ้างแต่ทว่าดดยส่วนใหญ่เริ่มที่จะเชียร์อย่างรุนแรงกว่าเดิมผู้ชมบางคน
ถึงกับหลุดปากออกมาว่าให้ฆ่ากันให้ตายไปเลย  ทำเอาพวก Lr กังวลไปตามกันว่า การประลองนี้จะจบลงโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายนึงต้องตาย

นีน่าที่มองดูการสู้ของทั้งคู่ได้แต่จ้องมองด้วยความรู้สึกอึดอัดกับพลังเวทย์ของทั้งคู่ นางกำปืนที่กระชับไว้ที่เอวแน่นเหงื่อไหลอาบมือนางจนชุ่ม

การชกของทั้งคู่ยังคงทวีความรุนแรงและป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยจากการหักกระดูกเพื่อให้อีกฝ่ายหมดสภาพ
ก็เริ่มจะกลายมาเป็นการ ชกคอหอยให้ตายไปข้างนึงแทน ทั้งคู่ในตอนนี้ราวกับหมาป่าที่สู้กันเพื่อเอาชีวิตอีกฝ่าย สติของทั้งคู่ตอนนี้คงหลุดลอยไปแล้วเหลือแต่เพียงสัญชาตญาณที่ยัง สั่งให้โค่นคู่ต่อสู้ตรงหน้าซะ โชคยังดีที่ก่อนชึ้นชกทั้งคู่ทำทีว่าจะทำสมาธิก่อนแข่งจริงๆแล้วคือการผนึกพลังการจำแลงกายลงไปใน
ศิลาจันทรา และฝากเอาไว้กับพวกตัวเอง ก่อนขึ้นชก ทั้งคู่จึงยังไม่กลายร่างเป็นสมิงหรือสัตว์แต่อย่างใด

การต่อสู้ดำเนินไปจนเมื่อ ลากูน่าโดนชกหน้าท้องจนตัวคู้ลงอีกครั้งก่อนที่จะถูกซ้ำเข้าที่ท้ายทอยจนแทบจะล้มกระดูกแขนของเขาตอนนี้หัก ไปข้างแล้ว จึงต้องตั้งท่ารับด้วยแขนเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ส่วยเจนัสเอง
แม้ตอนนี้ไหล่จะหลุดไปแล้ว กระดูกซี่โครงน่าจะหักไปเสียสองสามซี่แล้วก็ตามแต่ด้วยพลังที่ทั้งคู่มีอยู่จึงทำให้ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้จะเกินขีจำกัดแล้วก็ตาม ตอนนีตาของทั้งคู่เริ่มพร่าลง


ความเหนื่อยล้ากดดันจนพวกเขาจะทรงตัวแทบไม่อยู่ทั้งคู่มองตากันอีกครั้งก่อนที่จะยิ้มที่มุมปากที่เจิงนอง
ไปด้วยเลือดจากการชกอย่างเข้าใจกัน

“ ต่อไปตัดสินแล้วสินะ ”
ลากูน่าคิด


“ การต่อสู้นี้จะจบลงในหมัดหน้านี้หล่ะ พร้อมแล้วนะ ”
เจนัสคิด

เมื่อทั้งคู่ต่างคิดจะยุติการชกที่แสนยาวนานนีลง ก็เร่งพลังเวทย์ทั้งหมดรวมทั้งปลดเกราะเวทย์มนต์ที่คลุมร่างอยู่มารวมไว้ที่มือข้างที่ยังใช้การได้อยู่

“ ไม่ได้นะถ้าทำยังงั้นล่ะก็ร่างที่ไม่ได้อาบพลังเวทย์ไว้แมยังบอบช้ำน่ะขืนโดนการโจมตีด้วยพลังเวทย์เต็ม
กำลังล่ะก็อาจถึงตายได้นะ ”
นีน่ากล่าวขึ้นอยางไม่อยากเชื่อในสายตาทำให้พวก Lr ที่ได้ยินยิ่งกังวลหนักเข้าไปอีกแต่ก็ไม่อาจหยุดทั้งคู่ได้แล้ว

ทั้งคู่เกร็งหมัดเต็มที่ก่อนจะพุ่งเข้าไป แลกหมัดครั้งสุดท้ายอย่างเต็มหมัดของทั้งคู่แซ่กเข้าหน้ากันอย่างจัง ทันทีที่ปะทะกันพลังเวทย์ที่รวบรวมไว้ก็ระเบิดออกมาพุ่งผ่านร่างของอีกฝ่ายไปจนกระทั่งคนดูรู้สึกได้ทั่วทั้งเวที
เงียบไปทันที โฆษก ที่พากย์ อยู่เองก็เช่นกันรวมถึงกรรมการ เองก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปกับการต่อสู้ของทั้งคู่

ทั้งสองยังคงยืนคากันอยู่ในท่านั้นสักพักก่อนที่ขาของลากูน่าจะเริ่มสั่น และทรุดตัวล้มลง เจนัสจึงเก็บแขนเข้ามา กรรมการหลังจากที่นิ่งอึ้งไปนานจึงเริ่มนับแต่ครั้งนี้ ลากูน่าไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลยจนเมื่อนับครบ
จึงตัดสินให้เจนัสชนไปพวก Lr ที่รีบปีนขึ้นมาดูอาการทันที นีน่าเองก็เช่นกันกันรีบขึ้นมาพร้อมกับแพทย์สนาม หลังจากที่ได้ยินคำประกาศเจนัสก็เซล้มลงแต่ Lr ก็รับตัวเขาไว้ได้  เขาได้ยินแต่เสียงเรียกชื่อของเขา
กับเสียงเอะอะดังขึ้นรอบๆตัวก่อนจะหมดสติไป……………….


โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า
หลังจากผ่านศึกการประลองมาได้สองพี่น้องครึ่งสมิงที่บาดเจ็บสาหัสสลบไปสามวัน
ก็ตื่นขึ้นมา พวก Lr ได้เพื่อนๆคืนมาแล้วและยังได้นีน่าเป็นเพื่อนด้วย และในตอนนั้นน่ะเองนีน่าก็พยายามแยกพวก เจนัสกับลากูน่า จาก พวก Lr ไปที่ชายป่านอกหู่บ้านอีกครั้งซึ่งขณะเดียวกันพวก Lr ก็ได้รู้ถึงตัวจริงของนีน่า จึงจะรีบตามไปช่วยเจนัส แต่ทว่าความจริงที่ไม่คาดคิดก็เปิดเผยต่อพวกเขา
ติดตามได้ในตอนหน้า บทที่18 ดาบนั้นคืนสนอง
« Last Edit: May 11, 2008, 08:41:59 PM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #153 on: May 11, 2008, 09:07:40 PM »

สนุกจังเลยนะก๊าบบบบบบ  อย่างงี้ยกนิ้วให้
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #154 on: May 12, 2008, 12:23:31 PM »

ต่อไปนีน่าจะเป็นแฟนลากูน่าหรือเปล่าน้า  ;D
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #155 on: May 12, 2008, 11:13:51 PM »

เหอๆอายุห่างกันปี1เลยนะครับ แถมยังเป็นที่เซอร์เซสส่งมาฆ่าอีก แต่ก็ไม่แนนะครับต้องลองดูต่อไป
ส่วนริคุเดี๋ยวมีบทแน่นอน แหมตอนแต่งบทที่17 นะเก็บข้อมูลแทบแย่
เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ไประรานชกต่อยกับใครเขาเลย เลยต้องศึกษาเอาจากพวกการ์ตูน
นักเลง นักมวยบวกประสบการณ์ตรงของเพื่อนที่มันเคยชกมวยงานวัดด้วย
แล้วยังต้องเปิดสารคดีเกี่ยวกับการต่อสู้ของสัตว์ป่าด้วย

ไม่งั้นเขียนไม่ออกแน่เพราะผมค่อนข้างจะเป็นคนละเอียดอ่อน ไอ้ครั้นจะให้อินไปกับบทแข็ง
กระด้างมันก็ม่ใช่เรื่อถนัดซะด้วย
คำว่าลูกผู้ชายนี่มันช่างเข้าใจยากจริงๆ ???
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #156 on: May 17, 2008, 11:46:32 AM »

น่านน่ะสิเนอะ  มันอยู่ที่อุปนิสัย+การเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก  เข้าใจยาก  แต่ว่า  ห่างกัน 1 ปีก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยเนอะ ถึงแม้จะโดนตัวร้ายขัดขวาง ถ้ารักจริงก็กระโดดออกมาจาก 12 เทพขุนศึกเลยสิ   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #157 on: May 18, 2008, 06:36:31 PM »

บทนี้ เราจะมาย้ำถึงสายสัมพันธ์ของพวกเจนัสอีกครั้งนะครับ และก็เจตนาที่แท้จริงของนีน่าด้วย
อีกทั้งวันนี้เราเองยังจะได้เจอ 12 เทพขุนศึกคนใหม่ด้วยว่าแล้วก็ไปดูกันเลย

บทที่ 18 ดาบนั้นคืนสนอง

1 ปีก่อน…..

กลุ่มเด็กชายอายุราว7-8 ปีพวกเขาสวมเพียงกางเกงสีขาวบ้างก็สีดำ ไม่ได้สวมเสื้อราวกับพวกเขาเป็นนักโทษกำลังยืนจับกลุ่มกัน อยู่ภายในห้องโถงกว้างสว่างและขาวโพลนไปแทบทั้งห้อง พวกเขามีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจกันนักบางคนทำท่าเหมือนจะร้องไห้บ้างก็มี พวกเขาเหล่านี้เป็นทั้งมนุษย์บ้างครึ่งสมิงบ้างหรือแม้แแต่สมิงจริงๆก็มี
ณ จุดที่พวกเขาเหล่านั้นมุงดูกันอยู่มีป้ายประกาศขนาดสูงเท่าต้นไม้ ตั้งอยู่บนนั้นมีหมายเลขเรียงอยู่เป็นกลุ่มๆแยกกันเขียนอยู่ พวกเด็กพอดูกันเสร็จก็พากันเดินหาคู่ที่มีหมายเลขตรงกับที่เขียนไว้บนป้ายประกาศซึ่งหมายเลขพวกนี้ถูก ตราไว้บนแผ่นวงกลมกระดาษกระแข็งสีขาวอยู่ในมือพวกเขา  ที่นั่นครึ่งสมิงพี่น้องคู่หนึ่งกำลังหาคู่อยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กๆ

“ เฮ้นายน่ะ ”
เสียงนึงดังมาจากหลังพวกเขา ทันทีที่หันไปเด็ก ชายครึ่งสมิงที่มีผมสีทองแดง ผิวกายสีขาวนวล จมูกของเข้าค่อนข้างจะยื่นออกมานิดๆหูของเขาถูกผมปรกไว้จนมิดชิดหางยาวสีขาวสะบัดไปมา กำลังยืนส่งยิ้มให้พวกเขา ทั้งสองจึงเดินเข้าไปหา

“ นายกับน้องชายมีเลข 2 กับ 3 ใช่มั้ย  ”
เด็กคนนั้นถาม พวกเขาทั้งสองจึงพยักหน้าตอบกลับไป เด็กคนนั้นจึงรีบชูหมายเลขของเขาให้ทั้งสองดู

“ ของฉันเป็นหมายเลข 1 ยินดีที่ได้รู้จักนะฉันริคุ ตั้งแต่นี้ไปเราต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกันแล้วนะขอฝากตัวด้วยล่ะ ”
เด็กคนนั้นกล่าวพร้อมกับยกป้ายหมายเลข 1 ขึ้นมาโชว์ ทั้งสองจึงหันมาปรึกษากันด้วยความสงสัยก่อนจะหันกลับไปอีกที

“ ฉันหมายเลข 2 เจนัส ส่วนนี่น้องชายฉันเอง หมายเลข 3 ลากูน่า ”
สมิงคนพี่กล่าวแนะนำตัวบ้าง

วันคืนของการฝึกฝนผ่านไปอย่างรวดเร็วและปวดร้าว แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะแฝงไว้ซึ่ง
ความปิติยินดีอยู่บ้าง มิตรภาพที่เกิดขึ้นในขณะนั้นราวกับฝันไปชั่ววูบนึงก่อนที่ จะต้องตื่นขึ้นมารับกับความจริงที่รวดร้าว อย่างแสนสาหัสที่สุด ทุกอย่างที่เคยร่วมกันเป็นร่วมกันอยู่มันสูญสิ้นไปจนหมดทุกอย่างมืดลง
……………
……..

มารู้สึกตัวอีกที เลือดสีแดงฉานก็เปรอะไปจนทั่ว ร่างของพื่อนสนิทที่สิ้นใจไป คามือของเขา ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปซักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเยียวยาได้



“ อึก…อา ”
เจนัสครวญครางขึ้นมา ก่อนจะตื่นขึ้นมาบนเตียงสีขาวในห้องผนังสีขาวปลอดโปร่งทั้งห้อง ผ้าม่านหน้าที่หัวเตียงถูกปิดเอาสนิทมิดชิด จึงมีแต่แสงสลัวๆส่องทะลุม่านเก่าๆเข้ามาเหนือหัวเตียงที่เขานอนอยู่

เมื่อเขามองสำรวจไปรอบจึงไปสังเกตเห็นที่เตียงข้างๆ มีผู้ป่วยอีกคนนอนหลับที่เตียงข้างอยู่
ใต้ผ้าห่มหนาสีเทาแม้จะไม่เห็นหน้าแต่หูหมาที่มีขนสีเงินซึ่งโผล่พ้นขึ้นมาจึงทำให้ความสงัยเพียงวูบเดียว
หายไปเมื่อจมูกของเขาจับกลิ่นสัมผัสที่คุ้นเคยได้จึงรู้ว่านั่นคือน้องชายของเขาลากูน่า


และเมื่อเขาหันมาสำรวจตัวเองก็เห็นว่าตามลำตัวและที่หัว มีผ้าพันแผลสีขาวซึ่งราวกับพึ่งถูกเปลี่ยนใหม่ๆ
ไปเมื่อไม่นานนัก เขายังคงสวมกางเกงนักกีฬาที่ใส่ตอนลงประลองซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแสดงว่าหลังจากที่หมดสติไป พวกเขาก็ถูกพาตัวทำแผลทันที และสลบไปนานพอสมควร เขาเอามือมาอัง แถวๆกระดูกซี่โครงดูเหมือนว่ามันจะยังโยกๆอยู่บ้าง ซักพัก เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นทำให้เขาหันไปมองด้วยความสนใจ

“ อ้าวฟื้นแล้วเหรอ ”
เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นหลังจากที่ประตูปิด ครึ่งสมิงสาวเดินพุ่งตรง มาที่เขาทันทีจนกระทั่งชนเอาเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้โต็ะข้างเตียงจนล้มโครม ทำเอาเขารู้สึกสะดุ้งนิดๆ กับท่าทีของหล่อน นางเข้าใกล้เขามากจนเขาแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจของนางเลย เจนัสพยายามจะขัดขืนทันทีที่นางเข้ามาโอบเขาไว้ นางกอดเขาไว้แนบชิดติดลำตัวโดยไม่สนใจใยดีเลยว่าเขาหายดีแล้วหรือไม่ จนเขารู้สึกอึดอัด กริยาของนางทำเอาเขาแทบจะมึนงงไปเลยชั่วครู่เขายังคิดว่าตัวเองฝันไป ลมหายใจแผ่วๆของนางรดต้นคอเขาจนเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น เขาพยายามจะสลัดนางออก แต่ทว่าเขาก็ต้องหยุดนิ่งไป เมื่อรู้สึกว่าที่สีข้างของเขาถูกอะไรบางอย่างจี้เอาไว้ เมื่อเขาเบียนสายตามาดู ก็เห็นว่าบัดนี้เขาถูกจ่อด้วยปืน ซึ่งหากยิงในระยะนี้ล่ะก็เขาไม่มีทางหลบพ้นได้แน่ และจากลักษณะของปืนแล้วพลังทำลายคงจะไม่ธรรมดาแน่ ต่อให้เขาเร่งเกราะมนตราในสภาพนี้ให้เต็มที่
เขาก็ยังคงไม่รอดอยู่ดี เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงตัดสินใจเจรจากับนาง


“ คิดจะทำอะไรน่ะ ”
เจนัสถามซึ่งนางเองก็ดูเหมือนจะรับฟังจึงค่อยๆคลายวงแขนออกก่อนจะลื่นปืนมาจ่อที่คอเขา
ซึ่งเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วม กับการที่มีอาวุธมาจี้ที่คออยู่บ้าง

“ ที่จริงนั่นน่ะควรเป็นคำถามของฉันต่างหาก ”
นางกล่าวขณะที่สะบัดปอยผมที่บดบังหน้าของนางไป เมื่อเจนัสสังเกตเห็นนางได้อย่างชัดเจน
เขาถึงกับหน้าถอดสี ไปเล็กน้อยแม้จะพยายามเก็บอาการเอาไว้

“ ไลซ์ไนท์ ”  (Rise Night = อรุณราตรี)
เจนัสเอ่ยขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันที ดูดุดันและเย็นชาราวกับจ้องศัตรู
อยู่ นางเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นมาทันที

“ แหมรู้ได้ยังไงกันเนี่ย ขนาดเวลางานฉันยังไม่เคยให้นายได้เห็นร่างครึ่งสมิงของฉันเลย
แต่นี่กลับดูออกในทีเดียวเลยนะ ทำได้ยังไงกัน  ”
นางกล่าวด้วยความฉงน เพราะถึงแม้จะเคยทำงานร่วมกันมา นางก็ไม่เคยได้ให้ใครเห็นร่างที่แท้จริงของนางเลย เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ยอมพูดอะไร ก็เอาปืนกดเข้าที่ลำคอ ของเขาเพื่อเชิดหน้าของเขาให้เห็นได้ชัดๆ

“ หึ…ก็ต้องรู้สิ  ”
เจนัสตอบ ด้วยท่าทีระสับระส่าย เมื่อปืนของนางกดเข้ามาจนเข้าเริ่มอึดอัด นางเห็นเช่นนั้นจึงผ่อนแรงกดลง
 ตอนนี้เหงื่อค่อยๆไหลออกมาอาบร่างของเขาด้วยความตื่นเต้น

“ เคยแอบดูฉันรึยังไง ถึงได้รู้น่ะ ”
นางค้อนเสียงถาม ด้วยความสงสัย

“ จะบ้ารึไง แมวป่าสองแง่สองง่ามน่ะอย่างเจ้าน่ะไม่อยู่ในสายตาหรอก….อึก ”
เจนัสตอบกระแหนะแหน แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดกึกไปเมื่อนางออกแรงกดปากกระบอกลงที่คอของเขา

“ ให้มันน้อยๆหน่อยนะ รู้ตัวมั้ยว่าตอนนี้พวกเจ้าสองคนน่ะอยู่ในสถานะอะไร ถ้าฉันจะฆ่าพวกนายสองคนซะเดี๋ยวนี้เลยมันก็ได้อยู่หรอก ”
นางกล่าวอย่างเย็นชา ท่าทีของนางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนที่คอยดูแลลากูน่า
นางกล่าวจบก็ผ่อนแรงกดปืนออกเล็กน้อยนางจ้องไปยังตาของเขา
สายตาของเขาดูไม่ลังเลหรือหวาดกลัวเลย แม้เหงื่อที่ไหลโทรมกายตอนนี้ จะฟ้องอยู่เนืองๆก็ตาม

“ สมแล้วที่เป็นถึงศิษย์มือหนึ่งของ เซอร์เซสขนาดจะตายแล้วยังไม่มีทีท่าแสดงความกลัวออกมาเลยนะ ”
นางกล่าวจบก็ลดปืนลงจากเขาก่อนจะเก็บมันกลับซองปืนที่เอวไป ทำเอาเขาสงสัยไปตามกัน

“ หึ ทีนี้จะบอกได้รึยังว่ารู้ได้ยังไง ”
นางหันไปถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ละคร เท่านั้น

นางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเตียงเพื่อรอฟังคำตอบจากเขา เมื่อดูแน่ใจแล้วว่านางไม่มีเจตนาจะฆ่าเขาแล้ว
อาการเกร็งไปแทบทั้งตัวด้วยความตื่นตัวเมื่อครู่ก็หายไปหมดสิ้น

“ ถ้าเรื่องนั้นล่ะสำหรับครึ่งสมิงหมาป่าอย่างข้าน่ะ รู้อยู่แล้ว ”
เจนัสตอบกำกวมทำให้นางเริ่มที่จะหงุดหงิด

“ หรือคะ….คุณหมาป่าจอมโลเล ”
นางตอบอย่างฉุนเฉียว ทำให้เขาเริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว

“ ห..หนอยหมาป่าจอมโลเลเหรอทีเจ้าล่ะ กลิ่นสามแมวโสโครกมันยังโชยมาเตะจมูกข้าไม่เคยหยุดหย่อนเลยนะที่ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าก็เพราะเหตุนี้ล่ะ แค่นี้ก็ยังไม่รู้อีก ”
เจนัสกล่าวอย่างฉุนจัด ก่อนกระแทกตัวลุกขึ้นข่มนาง แต่ฝ่ายนางเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
จึงกระแทกตัวลุกขึ้นด้วย
“ ว่ายังไงนะ นี่เจ้าจะหาว่าข้าตัวเหม็นงั้นเหรอ เจ้าคนปากหมา ”
นางกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ ว่ายังไงนะ หาว่าข้าปากเสียงั้นเหรอ เจ้าเป็นคนหาเรื่องก่อนแท้ๆนี่ หัดทำตัวให้สมกับเป็นสตรีหน่อยสิ  ”
เจนัสโต้กลับอย่างฉุนจัดบ้าง

“ อะไรกันแล้วทีเจ้าล่ะ เคยทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษบ้างไหม ข้าถามอะไรทำไมเจ้าต้องตอบยั่วโมโหข้าด้วยล่ะ ”
นางเองก็ไม่ยอมเช่นกัน เสียงของทั้งคู่ดังก้องไปทั้งห้องโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลย
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันและกัน การถกเถียงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเจนัสหลุดปากออกปด้วยความ
ฉุนเฉียว

“ นี่น่ะเหรอผู้หญิงที่ริคุบอกว่าดีนักดีหนาน่ะ…อะ ”
ทันทีที่รู้สึกตัวเขาก็ได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว นางเงียบไปทันที ก่อนทีท่าทีของทั้งคู่จะเปลี่ยนไป
ทั้งสองเลิกเถียงกันไป ทำให้ทั้งห้องเงียบลงในทันที

“ ข…ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ”
เจนัสกล่าวน้ำเสียงหงอยๆ

“ ไม่หรอก ข้าผิดเองล่ะที่ชวนเจ้าทะเลาะก่อนน่ะ ”
นางกล่าวอย่างเอียงอาย ทังสองหันไปคนละทิศพยายามเลี่ยงการมองหน้ากัน
ก่อนจะทบทวนอะไรได้ซักอย่าและหันกลับมา

“ เอ่อ..คือ ”
ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่จะหยุดไปเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองอยู่ก่อนที่จะหันทางทิศที่ลากูน่านอนอยู่

“ อ้าวทำอะไรกันอยู่น่ะครับ ”
เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยอย่างที่สุดดังขึ้นมาทำเอาทั้งคู่เสียววาบ ทันที
ลากูน่าซึ่งมีผ้าพันแผลพันรอบหัวและยังเข้าเฝือกแขนข้างที่หักยืนมองอยู่ที่ข้างเตียงของพวกเขาด้วยสีหน้างงๆ

“ มาตอนไหนเนี่ย ”
ทั้งคู่กล่าวขึ้นพร้อมกันอย่างร้อนตัว

“ ผมตื่นตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงทะเลาะกันแล้วล่ะ แต่งัวเงียอยู่ก็เลยไม่รู้ว่าพูดอะไรกันอยู่ แล้วอยู่พี่ๆก็เงียบกันไปผมก็เลยมาถามเนี่ยครับ ”
ลากูน่ากล่าวพร้อมกับเอียงคอ อย่างงุนงง ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
ทำเอาลากูน่าจ้องมองด้วยความสงสัย

“ เธอเนี่ยน้าชอบหาเรื่องมาให้ฉันอยู่เรื่อยๆเลยนะ ”
เจนัสหันมากระซิบกับนาง หน้าของเขาที่หันมาแนบแทบจะติดชิดทำเอานางรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาชั่วครู่ก่อนจะทันรู้ตัวว่า เจนัสจ้องอยู่จึงตีสีหน้าขึงขังทันที

“ แหมนี่จะไม่โทษข้าซักเรื่องไม่ได้เลยรึไง ตอนทำงานก็ทุกทีเลยนะเจ้าน่ะ ”
นางกระซิบอย่างหัวเสียแม้ลึกนางยังคงสงสัยกับอาการเมื่อครู่นาง

“ มันอะไรกันนะไอ้ความรู้สึกร้อนวูบๆตะกี้น่ะ เหมือนกับเราเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ…เอนึกไม่ออก หะ.. ”
นางคิดในใจขณะที่กำลังใช้ความคิด ภาพอดีตมันก็แวบผ่านหัวนางไปทันที
ภาพที่นางถูกกลุ่มเด็กชายชาวมนุษย์ 5 คนอายุราวเดียวกับนาง ไล่ทำร้าย เด็กเหล่านั้นดู
นักสู้มือเปล่าฝึกหัด (Apprentice Pugilist) พอทุกคนสวมสนับมือข้อไม้กันทุกคนและสวมชุดฝึกของฟูดินัน นางที่ถูกต้อนจนหกล้ม กำลังถูกพวกมนุษย์ทำร้าย ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเข้ามาช่วยนางไว้



ทุกอย่างที่แวบเข้ามาในหัวของนางมีเพียงแค่นี้เท่านั้น
เมื่อเห็นนางนิ่งไป ทำให้สองพี่น้องหันมามองด้วยความสนใจ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อนางหันควับ มา
ที่พวกเขาสายตานางราวกับทุกทรมานเพราะลืมสิ่งสำคัญไป

“ ตะกี้มันอะไรกัน ความรู้สึกเมื่อตอนนั้นมันเหมือนกับ…. ”
นางคิดขณะที่จ้องหน้าของทั้งสองโดยไม่รู้ตัว

“ นี่ถามหน่อยสิ ”
เสียงนึงดังมาจากข้างพวกเขาทั้งสาม เมื่อหันไปก็พบว่า Lr นั่งอยู่กับพื้นระหว่างพวกเขา
และที่ประตูห้องพวกลูกมังกรกับพนักงานที่เคยช่วยเรื่องการลงแข่งประลองหมัดกำลัง
แบกผ้าพันแผลมวนใหญ่เข้ามาในห้องหลายมวนและกล่องยาอีกสามกล่อง เข้ามาในห้อง

“ นี่นายมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ”
เจนัสถามน้ำเสียงหวั่นๆ

“ ที่จริงฉันนอนเฝ้าไข้นายอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆเตียงนี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ อยู่ๆฉันก็โดนใครไม่รู้ชนโครมจนล้มลงไป เนี่ยก็พึ่งได้สติตอนที่ได้ยินพวกนายตะโกนกันดังระงมไปหมดเลย  ”
Lr กล่าวขณะที่เอามือกุมหัวด้วยความมึนจากการกระแทก ซึ่งที่จริงแล้วคนที่ชนเขาล้มลงไปก็คือนีน่า
น่ะเองเพราะนางตรงรี่เข้ามาหาเจนัสโดยไม่ได้ดูให้ถี่ถ้วนซะก่อน  แต่ทว่าที่น่ากังวลกว่าสำหรับทั้งคู่ตอนนี้
คือ Lr ได้ยินอะไรไปบ้างแล้ว

“ ว่าแต่จะถามอะไรเหรอ ”
ลากูน่ากล่าวกับ Lr

“ คือตะกี้พอฟื้นขึ้นมาน่ะก็ได้ยินว่าพูดถึง ริคะ ริโคะหรือริอะไรซักอย่างน่ะนะ ”
Lr ทำท่านึก ระหว่างที่กล่าวออกมา

“ ริคุ ”
เสียงของลากูน่าดังขึ้นแผ่วๆ ทันทีที่ได้ยิน Lr ก็ทำท่านึกออกทันทีพร้อมกับหันพรวด

“ ใช่..ใช่แล้วตะกี้ว่าไงนะ ริคุ อ่าใช่ละ นั่นล่ะๆก็อย่างที่ว่าอ่ะนะ ริคุ..เป็นใคร ”
Lr ต้องเงียบไปเมื่อสังเกตเห็นทีท่าของทั้งสาม

“ ลอว์เรนดูเหมือนว่านายเนี่ยจะพูดไม่เข้าท่าออกไปซะแล้วสิ ”
เอิท์ธกล่าวขึ้นขณะที่เดินนำลูกมังกรทั้งห้า มาที่เตียงพร้อมกับม้วนผ้าพันแผลและยา

“ อยากรู้งั้นสินะ ”
เจนัสตีสีหน้าจริงจังขึ้นทันทีทำเอา Lr และลูกมังกรหวาดผวา
ด้วยว่าแม้จะพันธมิตรกันแล้วก็ตามแต่หากเจนัสจะ ระรานพวกเขาล่ะก็
พวกเขาคงแย่เป็นแน่แท้ เพราะเมื่อครั้งที่ฟูดินันพวกเขาก็แทบจะพ่ายแพ้ย่อยยับถ้า
ไม่ได้แอสต้าช่วยไว้

“ ไม่ต้องปิดกันอีกแล้วสินะครับท่านพี่ ”
ลากูน่ากล่าวอย่างจริงจัง นีน่า พยายามหลบหน้าไปเพื่อไม่ให้ใครเห็นหยาดน้ำตาที่หยดออกมา
เล็กน้อย

“ อืม…ไม่มีอะไรปิดบังกันแล้ว ”
เจนัสกล่าวก่อนจะหันมาหาพวกเขา ทำเอาLr ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความผวา

“ เรื่องมันเริ่มเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ก่อนที่ฉันจะเป็นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเทพขุนพลน่ะ ”
เจนัสกล่าว

“ นายคงไม่รู้สินะว่าการฝึกขององค์กรน่ะมันโหดร้ายแค่ไหน ”
เจนัสกล่าวเสียงขรึม ทำเอา Lr ต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง
หลังจากนั้นเจนัสก็เริ่มเล่าถึงประวัติความเป็นมาทั้งหมดของเขาที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมการฝึก และเพื่อนสนิทที่เขาเป็นผู้จบชีวิตลงไป
ด้วยมือของตัวเอง

1 ปีก่อนหลังการคัดเลือกกลุ่มเริ่มขึ้น เหล่าเด็กๆที่ถูกเซอร์เซสจับตัวมาถูกบังคับให้ฝึกวิชาการต่อสู้
อย่างหนักเป็นเวลา 1 เดือนโดยที่หากว่าเด็กคนไหนไปไม่รอดก็จะถูกทรมานให้ฝืนทำ และเมื่อทนไม่ไดก็จะถูกทรมานจนตาย นับวันเด็กๆเริ่มถูกทารุณจนลดลงไปจากร้อยเป็นสิบ และในที่สุดก็เหลือเพียง 2 กลุ่ม 6 คน ชายสาม หญิงสามเท่านั้นที่ถูกคัดให้ไปรับการฝึกเพื่อเป็นหน่วยปราบปราม โดยแยกสายการต่อสู้ออกเป็นสอง พวกเด็กหญิงต้องไปฝึกการใช้อาวุธและการลอบสังหาร ส่วนเด็กชายต้องฝึกวิชาหมัดและการควบคุมพลังเวทย์ เพื่อที่จะเป็นหน่วยปราบปรามชั้นยอดจำต้องมีการคัดเลือกให้เหลือแต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น
เพื่อเป็นหัวหน้าหน่วยปราบปราม และเพื่อการนั้นพวกเขา

ต้องถูกบังคับให้ต่อสู้และสังหารเชลยศึกที่ทางองค์กรจับมาได้ หากใครไม่สามารถที่จะสู้ได้ก็จะปลอยให้ถูกพวกเชลยศึกฆ่าทิ้งเสีย พวกกลุ่มของเจนัสทั้งสามคนรอดมาได้หมดแต่กลุ่มเด็กหญิงเหลือเพียงคนเดียวที่รอดมาได้  และก่อนที่จะมีการคัดเลือก 12 เทพขุนศึก ที่ว่างเพียงสามตำแหน่งในตอนแรกพวกเขา
ทั้งสามยกเว้นลากูน่าที่ยังอ่อนวัย น่าจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นเทพขุนพลกันทุกคนอยู่แล้วแต่ทว่า
ตำแหน่งนึงก็ได้ถูกชิงไปโดยใครที่พวกเขาไม่รู้จัก และนำมาซึ่งการต่อสู้ที่เขาไม่อาจลบเลือนมันไปได้


เนื่องจากพวกเขาสองคน คนใดคนหนึ่งต้องอยู่และอีกคนต้องไป และเมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้
เจนัสก็ไม่อาจเล่าต่อไปได้อีกแล้วส่วน นีน่า ซึ่งพยายามหลบหน้าก็หันมาฟังด้วยความสนใจ

แต่เมื่อเห็นท่าทีของเจนัสที่ดูจะผิดไปจากที่นางคิด ลากูน่าเห็นว่าพี่ชายไม่อาจกล่าวต่อได้เช่นนั้น
จึงอาสาเล่าที่เหลือต่อเอง

“ จากการต่อสู้ในครั้งนั้นท่านพี่ต้องลงมือสังหาร…ริคุด้วยมือของตัวเอง ”
ลากูน่ากล่าวอย่างอึกอักเมื่อความทรงจำในวันนั้นที่พี่ชายของเขาต้องห้ำหั่นกันจนถึงชีวิต
เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงสัญญาและคำพูดก่อนตายของริคุถูกเล่าออกมาจากปากของเขา
และเมื่อจบลง ทุกคนในห้องก็เงียบลง พนักงานที่นั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเวทนาในโชคชะตาของทั้งสองที่ต้องประสบ

“ ไม่น่าเชื่อเลย นี่พวกนายสองพี่น้องต้องผ่านเรื่องแบบนั้นมาเหรอเนี่ย ”
Lr กล่าวด้วยความเห็นใจและเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจนัสถึงได้กลายเป็นคนเย็นชาและไร้อารมณ์แบบนี้
เพราะเมื่อผนวกเข้ากับเรื่องที่พวกเขาถูกแอสต้าช่วยไว้และเก็บมาเลี้ยงหลังจากสูญเสียครอบครัวไป
ที่พวกเขาได้ฟังจากปากของเจนัสตอนอยู่ที่ถ้ำนักปราชญ์ของอีสควอเทีย

และชะตาของพวกเขาที่มีร่วมกันในวันนั้นทั้งเรื่องที่มังกรดำซึ่งคร่าชีวิตแม่ของLrไปและการปรากฏ
ตัวของ12 เทพขุนศึกเซอร์เซสซึ่งจากที่ดูผ่าน น้ำตกแห่งชะตา ว่าเซอร์เซสน่ะเองที่เป็นคนโจมตีไล่มังกรดำ
ตัวนั้นจนมันคุ้มคลั่งและยังฆ่าคู่ของมันต่อหน้าทำให้มันคุ้มคลั่งเข้าโจมตีหมู่บ้านและทำร้ายผู้คน
และเซอร์เซสเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเจนัสต้องถูกฆ่า ทุกๆอย่างเกิดขึ้นในวันเดียวกัน
วันที่พวกเขาต้องสูญเสียคนสำคัญไป ไม่ว่าจะพวกเขาหรือมังกรดำตัวนั้นต่างก็ต้องปวดร้าวจากการกระทำ
ของ 12 เทพขุนศึกใจเหี้ยมคนนี้

ทุกคนในห้องยังคงเงียบไปซักพัก ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาจนทำให้บรรยากาศดูอึดอัด
แต่ทว่า นีน่า ที่ได้ฟังเรื่องคำสัญญาและคำสั่งเสียก่อนตายของริคุก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันทีนางเอาแต่จ้องมองเจนัสอย่างไม่ห่างสายตา  เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ พนักงานจึงเดินขึ้นไปคว้าเอาผ้าพันแผลกับยา
จากมือของลูกมังกร

« Last Edit: June 13, 2008, 02:34:22 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #158 on: May 18, 2008, 06:36:45 PM »

“ เอาล่ะมาเปลี่ยนผ้าพันแผลกันก่อนเถอะแล้วต้องทายากับเปลี่ยนสำลีที่ประคบแผลแตกด้วย เพราะพวกเธอสองคนเล่นชกกันซะจนเลือดตกยางออกขนาดนั้นน่ะเลยทำเอาคนในหมู่บ้านแตกตื่นกันไปด้วย ”
พนักงานกล่าวพร้อมกับนึกย้อนกลับไปเมื่อสามวันก่อนหลังจากที่พาพี่น้องทั้งคู่มา
ทำแผลพวกคนในหมู่บ้านที่ได้เห็นการประลองของทั้งคู่แทบจะพากันแห่มาดูอาการของทั้งคู่
บ้างก็ต่อว่า ว่าทำไมกรรมการไม่ยุติการชกปล่อยให้ทั้งคู่ชกกันจนเลือดอาบกระดูกหัก
ทำเอาสำนักงานวุ่นกันไปหมด และแผลแตกที่คิ้วของทั้งคู่ก็เปิดใหญ่ จนเย็บแทบไม่ติด
และกระดูกแขนของลากูน่าก็แทบจะหักละเอียดเลย

จนทำเอาเขาแปลกใจว่าทั้งสองคนรอดมาได้อย่างไรแต่หลังจากที่ฟังประสบการณ์ของทั้งสองมาจึงเข้าใจได้อย่างไม่ยาก สำหรับพวกเขาแผลกายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่หากแต่แผลใจ ที่ไม่อาจเยีวยยาได้นี่ต่างหากคงทำให้พวกเขาอยู่รอดมาได้

แต่ทันทีที่เขาจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ เจนัสและลากูน่าก็ปฏิเสธพร้อมกับหันไปหา Lr และนีน่า

“ หินจันทรา ”
ทั้งคู่กล่าวซึ่ง Lr และนีน่าก็หยิบศิลาจันทราที่ถูกฝากอยู่กับตัวส่งให้พวกเขา

“ ปลดผนึก ”
ทั้งคู่กล่าวขึ้นพร้อมกันขณะที่ถือศิลาไว้ในมือแสงสีขาวเปล่งวาบออกมาอาบร่างของทั้งสองไว้
ก่อนจะจางลงไป พวกเขาจึงแกะผ้าพันแผลและที่ดามกระดูกออก บาดแผลของพวกเขาทั้งคู่
หายไปหมดแล้แม้แต่แขนที่หักก็กลับมาใช้การได้เหมือนเดิม ทำเอาเจ้าหน้าที่และ พวก Lr อึ้ง
ตาค้างไปตามๆกัน

“ สำหรับพวกเราครึ่งสมิงน่ะจะมีพลังในการฟื้นตัวสูงกว่ามนุษย์หลายเท่าอยู่แล้ว ที่จริงบาดแผลแค่นั้นน่ะได้พักผ่อนซักครึ่งวันก็หายแล้ว ”
เจนัสกล่าวหน้าตาเฉย ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า เพราะบาดแผลของพวกเขาถ้าเป็นคนธรรมดาแล้วควรจะต้องพักเป็นเดือนๆกว่าจะขยับได้อีกครั้ง

“ ล…แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงยังไม่หายล่ะ ”
นอฟฮอฟกล่าว

“ อ๋อนั่นเพราะฉันผนึกพลังของตัวเองบางส่วนลงไปในศิลาน่ะ ท่านพี่เป็นคนสอนน่ะว่าถ้าจะแค่ซ้อมมือล่ะก็ให้ผนึกพลังไว้ก่อน นี่แสดงว่าท่านพี่ก็ทำเหมือนกันสินะครับ ”
ลากูน่าตอบแทน ซึ่งเจนัสก็พยักหน้ารับเช่นกัน

“ นี่ขนาดผนึกไว้ครึ่งนึงนะนี่ยังสู้กันได้เลือดตกยางออกกันขนาดนั้นนี่ถ้าเล่นกันเต็มที่ไม่ล่อซะเวทีพังเลยเรอะ ”
วิลกล่าวแหย่เล่นๆ

“ อืม ที่จริงถ้าเอาจริงเต็มที่ล่ะก็ป่านนี้ทั้งหมู่บ้านก็ไม่เหลือให้ห็นหรอก ”
ลากูน่าตอบเสียงเรียบทำเอาพวกเขาผงะไปชั่วครู่เมื่อหันไปหาเจนัสเพื่อขอข้อยืนยันเจนัสก็พยักหน้า
เป็นสัญญาณทำเอาพนักงานขวัญอ่อนแทบจะเป็นลม


“ นี่กองทัพเราอณุญาติให้ร่วมงานกันง่ายๆงี้ดายงายเนี่ย…เอิ้ก ”
พนักงานกล่าวด้วยความวิงเวียนก่อนจะล้มผับลง ไปทำเอาทุกคนในห้องตกใจไปตามกัน
………………………..
…………………
……………..

หลังจากที่พนักงานได้สติพวก Lr กับลูกมังกร และพนักงานก็พากันออกไปเตรียมอาหารมาให้พี่น้องทั้งสองคน
ทิ้งไว้ให้พวกเขาทั้งสามต้องอยู่กันเพียงลำพัง

“ เอาล่ะทีนี้จะบอกได้รึยัง  ธุระที่มานี่น่ะ ”
เจนัสกล่าวขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะหันมาหานีน่าด้วยสายตาระแวง

“ หึ ตกลงจะมาฆ่าหรือจะมาแกงกันก็เอาซักอย่างสิครับ ”
ลากูน่ากล่าวหน้าตาเฉย ทำเอานางเองถึงกับอึ้งไปเหมือนกันที่แม้แต่ลากูน่าเองก็รู้


“ นี่เธอรู้ตอนไหนน่ะลากูน่า ”
นีน่าถาม

“ ที่จริงตอนเจอกันครั้งแรกผมก็รู้สึกคุ้นกลิ่นอยู่หรอก…พูดไปมันก็น่าอายนะที่ผมปล่อยให้
ภาพลักษณ์ภายนอกของพี่สาวมาหลอกเอาง่ายๆแต่จากที่เห็นน่ะนะดูพี่สาวจะมีอาการร่วมกับพวก
เราด้วยนะตอนที่เอ่ยถึง…ริ..คุ ”

ลากูน่ากล่าวเรียบๆก่อนจะเน้นเสียงในตอนท้าย
นีน่าเอื้อมมือไปยังซองปืนที่เอว แต่ก็ถูกเจนัสเข้ามาจับแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง
พร้อมกับลากูน่าที่กางกรงเล็บจ่อที่คอหอยนางเอาไว้

“ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอมารุกไล่เหมือนตอนแรกหรอกนะ เสียใจด้วยนะถ้าเธอฆ่าฉันซะตั้งแต่ต้นๆก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้หรอกนะ ”
เจนัสกล่าวแต่นีน่าก็ยังคงเงียบอยู่

“ เป็นอะไรไปน่ะ ปกติเธอไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้เหยื่อรอดไปได้นี่ทั้งๆที่มันเป็นพื้นฐานของการฆ่าที่เรียนมานะ ยิ่งกับเธอที่เป็นมือสังหารของหน่วยปราบปรามแล้วยิ่งไม่น่าที่พลาดได้ง่ายๆนี่ ”
เจนัสถามอีกครั้งแต่นางก็ยังคงนิ่งอยู่เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึง บอกให้ลากูน่ารามือ พร้อมกับปล่อยนางจากพันธนาการ

“ เห็นแก่ที่เธอยังไม่ฆ่าลากูน่าและยังไว้ชีวิตฉันไว้ ฉันจะยอมฟังเหตุผลของเธอก็ได้แต่… ”
เจนัสกล่าวไปครึ่งๆกลางๆ ก็กางกรงเล็บขึ้นมาพร้อมกับตั้งท่าสู้

“ ถ้าเหตุผลไม่ดีพอฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่ ”
เจนัสกล่าวด้วยสายตาเย็นชา

“ งั้นก็คงต้องอธิบายกันยาวหน่อยล่ะ ”
นางกล่าวก่อนที่ปืนซึ่งควรจะอยู่ในซองที่เอวจะถูกนำไปจ่อที่ต้นคอของเจนัสอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
จนไม่ทันสังเกตแต่เช่นกันกรงเล็บของเขาและลากูน่าก็จ่อที่ปลายคอหอยของนางด้วย

“ ดูท่าจะไม่จบง่ายๆซะล้วล่ะนะ ”
ลากูน่ากล่าวน้ำเสียงเย็นชา

“ หึ ถือว่ายังใช้ได้สำหรับตอนนี้นะนึกว่าฝีมือจะตก ไปกันแล้วซะอีกงั้นก็ดีแผนที่ อุตส่าเตรียมจะได้ไม่ต้องเสียปล่าว ”
นีน่ากล่าวอย่างมีเลศนัย ก่อนที่จะวางปืนลงพร้อมกับที่พวก เจนัส เองก็ปล่อยมืออกจากบริเวณคอของนาง
ก่อนการสนทนาอย่างลับๆจะเกิดขึ้นขณะที่พวก Lr ไม่อยู่


……………….
…………
……

ครู่ต่อมาหลังจากที่พวกเขาทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย นีน่าก็อาสาจะพาเจนัสไปเลือกเสื้อผ้าเหมือนกับที่ทำกับลากูน่าซึ่งเมื่อพวก Lr และพวกเขาไปถึงก็ต้องเจอะเจอกับสภาพเดียวกับลากูน่านั่นคือกองเสื้อผ้าในร้าน ถูกรื้อกระจุยกระจายออกมาลองจำนวนนับไม่ถ้วน จนได้เสื้อที่ต้องการแล้ว
เจนัสถูกจับใส่เสื้อในสีขาวปรอดและสวมแจ็กเก็ตสีดำทับอีกที หลังจากจ่ายเงินแล้วพวกเขาก็พากันออกจากร้านไปโดยปล่อยให้เจ้าของร้านนั่งเก็บ
เสื้อผ้าที่นางรื้อเอาไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็น เรื่องธรรมดา


“ เอ่อนี่ เจนัสเดี๋ยวฉันกับพวกเพื่อนๆต้องไปแจ้งเรื่องเกี่ยวกับการรับตัวเพื่อนฉันท
ี่เป็นรางวัลที่กองบัญชาการก่อนนะถ้ายังไงจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ ”
Lr เอ่ยปากชวนซึ่งเจนัสก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรแต่ทว่า นีน่าก็แทรกขึ้นมา

“ เอาล่ะไม่ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะต้องพาสองคนนี้ไปทำธุระซักหน่อยนะแล้วค่อยไปเจอกันที่กองบัญชาการละกัน ”
นางกล่าวขณะที่รวบตัวทั้งสองไว้โดยที่ส่งสายตาเป็นสัญญาณ ทำให้ทั้งสองเข้าใจและยอมตามแต่โดยดี

“ งั้นก็อย่านานนักล่ะฝนท่าจะตกซะด้วยสิยังไงๆอย่ากลับช้านักล่ะ ”
Lr กล่าวเพราะฟ้าเริ่มมีเมฆครึ้มไปทั่วก่อนจะก็พากันเดินไปกองบัญชาการ ส่วนพวกเจนัสก็ตรงออกจากหมู่บ้านไปยังชายป่า
พวกเขาเดินทะลุป่าเข้าไปจนโผล่ออกมายังสวนกว้างแห่งหนึ่ง
ที่ตรงหน้าพวกเขาหลุมศพหลายหลุมถูกทำเอาไว้มากมาย

“ ที่นี่คือสุสานของหมู่บ้านน่ะ ”
นีน่ากล่าว

“ แล้วพามานี่ทำไมกัน ”
เจนัสกล่าว

“ ช่วยไม่ได้นี่นาก็เขาคนนั้นชอบปรากฏตัวออกมาแบบไม่ธรรมดา ”
นีน่ากล่าวเสียงเรียบทำเอาทั้งสอง งงไปตามกันก่อนที่แสงวงเวทย์จะปรากฏขึ้นบนพื้น
มือผุดขึ้นมาจากพื้นดินของหลุมศพ หลุมแล้วหลุมเล่า ก็จะลากเอาร่างของสเปกเตอร์
จำนวนมากผุดขึ้นมา ที่กลางสุสานนั้นโลงศพที่ยังไม่ถูกฝังก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัว
ของชายที่พวกเขาไม่อาจลืมได้ ร่างสีคล้ำในชุดเกราะรัดรูปสีดำและคฑาที่ถูกกวัดแกว่งอยู่ในมือ

“ ยังจำข้าได้รึไม่อาจารย์ของพวกเจ้ายังไงล่ะ ข้าเซอร์เซส 1 ใน 12 เทพขุนศึก ”
ร่างนั้นกล่าวเสียงแหบด้วยความเย็นชา พร้อมสายตาดุดันที่ถูกส่งมาจากพวกเจนัส

……………….
………….
……..




“ ว่าไงนะพี่สาวคนนั้นเป็น 12 เทพขุนศึกงั้นเหรอ ”
Lr กล่าวตาเบิกโผลงด้วยความไม่อยากเชื่อพร้อมกับกระชากคอเสื้อพนักงานที่อยู่กับพวกเขาซึ่งมาแจ้งข่าวให้ทราบ ลงมาจนแทบจะล้ม

“ อ…อือที่จริงก็ว่าคุ้นๆหน้าอยู่หรอกแต่ก็ไม่ได้เอะใจเลยจนไปค้นเจอจากแฟ้มประวัติของ
พวกเทพขุนพลที่ทางเรารวบรวมมาได้น่ะถึงได้รู้ไง ”
พนักงานรีบกล่าวทันทีเพื่อให้ Lr ปล่อยคอเสื้อเขา

“ ไม่อยากเชื่อเลยนี่พี่สาวคนนั้นหรอกเรามาตลอกเลยเหรอเนี่ย ”
เฟินกอลโลกล่าวด้วยความอยากเชื่อเช่นกัน



“ ถ้าอย่างนั้นก็ช้าไม่ได้แล้วเราต้องรีบไปช่วยสองคนนั่นนะ ”
เอิท์ธกล่าว

“ ไม่หรอกมั้งถึงจะเป็นจริงอย่างที่ว่าก็เถอะแต่สองตัวนั่นเอาตัวรอได้อยู่แล้วล่ะน่า ”
ไลท์กล่าวอย่างวางใจ

“ นายจะบ้าเหรอไง ถ้านางรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองเป็นคนทรยศคงจัดการไปนานแล้วแต่ที่ยังไม่ทำอะไรนี่ก็หมายความ
ว่านางคงจะมีแผนจะเก็บสองคนนั่น หรือไม่ก็อีกนัยนึงสองคนนั่นอาจจะหลอกมาสืบข้อมูลของพวกเราก็ได้ ”
นอฟฮอฟกล่าวทำเอาพวกเขาเริ่มใจคอไม่ดี

“ ไม่หรอก ฉันเชื่อว่าเจนัสไม่หักหลังเราแน่ ”
Lr กล่าวอย่างมั่นใจหลังจากที่ผ่านเรื่องต่างๆมาด้วยกันกับเจนัสเขาก็รู้ว่า
เจนัสไม่ใช่คนที่จะยอมขายความเป็นเพื่อนได้อย่างแน่นอน

“ แต่ว่าบางทีเขาอาจจะตั้งใจทำไปเพื่อหลอกนายก็ได้ ”
นอฟฮอฟกล่าวย้ำอีกครั้ง

“ ไม่หรอกฉันเชื่อนะ ”
ไลท์กล่าวทำให้นอฟฮอฟนิ่งไปกับท่าทีของเขา

“ หากเขาจะหลอกเราจริงล่ะก็แล้วตอนที่มีโอกาสตั้งหลายทีทำไมเขาไม่ทำซะตั้งแต่แรกล่ะ
แล้วยังจะมาแยกกับพวกเราไปตอนนี้ต่อให้ได้ข้อมูลไปก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรนัก อีกอย่างระดับพวกเขาน่ะถ้าจะจัดการละก็พวกเราคงตายไปแล้วล่ะ ”

ไลท์กล่าว ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วย

“ ถ้างั้นจะมามัวรออยู่ทำไมกันรีบไปช่วยพวกเขากันเถอะ ”
Lr กล่าวจบพวกเขาก็รีบออกตามหาทันที โดยถามหาข่าวสารจากคนในหมู่บ้านจนรู้ว่า
พวกเขาไปที่ป่านอกหมู่บ้าน จึงไม่รอช้ารีบตามไปทันที
………….
……………….
……………………


“ ข้าผิดหวังมากเลยนะ ชาโดว์มูน ซิลเวอร์มูน ทั้งที่ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะเป็นบุคลากรที่เหมาะสมที่สุดรู้มัยว่าเจ้าทำให้ข้าต้องเสียหน้าขนาดไหน ”
เซอร์เซสกล่าวอย่างฉุนเฉียว แต่พวกเขาก็ยังคงนิ่งอยู่

“ เหอะ เอาเถอะข้าจะช่วยส่งพวกแกไปอยู่กับแม่ของแกเดี๋ยวนี้ล่ะ ”
เซอร์เซสกล่าวจบก็หันไปสั่งให้พวกสเปคเตอร์เข้าโจมตี
แต่พวกมันทุกตัวก็ถูกพวกเขาซัดจนแหลกสลายไปหมด
และทันทีที่ทั้งสองหันมาทางเซอร์เซสเพื่อที่จะจัดการกับมันเสียงปืนก็ดังลั่นพร้อมหลุมศพตรง
หน้าถูกแรงระเบิดจนกระจุยกระจาย


“ ทำได้ดีมาก ไลซ์ไนท์ จงจัดการพวกมันซะ ”
เซอร์เซสกล่าวเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของตนกำลังเล็งปืนมาทางลูกศิษย์ทรพีทั้งสอง พวกเขาจึงหยุดส่งสายตากัน
ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่นางจะบรรจุกระสุนใหม่และยิงออกไป
เซอร์เซสที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองตกเป็นเป้า ก็โดนระเบิดกระเด็นไปกองกับพื้น

“ น…นี่..เจ้า ”
เซอร์เซสกล่าวขณะที่ค่อยๆพยุงตัวขึ้นด้วยคฑาในมือ

“ โทษนะ แต่ฉันคงให้เธอทั้งคู่กำจัดมันไม่ได้หรอก เพราะคนที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตฉันไปก็คือมันดังนั้นฉันจะต้องเป็นคนที่จะสะสางมันเอง อ้อแล้วก็นะอาจารย์ตอนนี้ฉันไม่ใช่ลูกศิษย์ของคุณอีกแล้ว เพราะตอนนี้ไลซ์ไนท์ผู้ซื่อสัตย์ได้ตายไปแล้ว ”
นีน่ากล่าวขณะที่บรรจุกระสุนใหม่และเล็งไปที่หัวของเซอร์เซส

“ และแล้วตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าข้าคือใครล่ะ ”
เซอร์เซสกล่าวประชดประชัน

“ ฉันนีน่า..นีน่า ลาเซริโอ้(Neena Laserio) ”
นางกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“ และพวกเราเองก็เช่นกัน ”
“ เจนัส รูลเวลส์ (Genus Runevel) ”
“ ลากูน่า รูลเวลส์ (Laguna Runevel) ”
พวกเขาทั้งสองกล่าว

“ งั้นก็หมายความว่า 12 เทพขุนศึก ชาโดว์มูน ซิลเวอร์มูน ไลซ์ไนท์ ตอนนี้ได้ตายหมดแล้วใช่มั้ย ”
เซอร์เซสกล่าว ซึ่งพวกเขาก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร

“ ก็ดี..ในเมื่อพวกเจ้าจะทิ้งทุกอย่างที่ข้าให้ไปเพื่อตั้งตนเป็นปรปักษ์กับข้า ข้าก็จะจัดการพวกเจ้าซะลูกศิษย์ทรพี ”
เซอร์เซสกล่าวด้วยวาจาเกรี้ยวกราดก่อนจะเริ่มต้นร่ายเวทย์แต่ทว่า เจนัสกับลากูน่าก็พุ่งเข้า
ตะปบเขาจนต้องยกคฑาขึ้นปัดป้องและถอยฉากออกมาโดยไม่รู้เลยว่าถูกล่อให้ไปอยู่ในเป้าของนีน่า

“ หึ ศิษย์ทรพีงั้นเหรอ ใช่ซะที่ไหนล่ะแกเองต่างหากที่เป็นคนยื่นดาบให้ศัตรูน่ะ ดาบนั้นคืนสนองโดยแท้ ”
นีน่ากล่าวจบนางก็ลั่นไกปืนออกไปทันที แรงระเบิด ทำให้เซอร์เซสที่กางกำแพงมนตราต้านเอาไว้กระเด็นลอยไปแต่ทว่าเชอร์เซสก็ใช้พลังของตนทรงตัวกลางอากาศ ก่อนจะยันตัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเจ็บแค้น
“ ดาบนั้นคืนสนองเรอะ นั่นสินะคงจะจริงแต่ที่จะสนองน่ะไม่ใช่ข้าแต่เป็นพวกเจ้าต่างหาก ”
เซอร์เซสกล่าวจบตาของเขาก็ลุกโชนราวกับเพลิงเผาไหม้ดวงตาของเขาจนมอดสิ้น

“ Hell Cry (นรกร่ำไห้) ”
สิ้นเสียงคลื่นพลังเวทย์สีดำก็ถูกผลักดันออกมาอย่างรุนแรงจนพวกเขาทั้งสาม
ถูกแรงอัดกระแทกปลิวลอยไปติดต้นไม้ก่อนที่คลื่นพลังงานจะสงบลง
ร่างของพวกเขาก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น และขยับไม่ได้ราวกับถูกตรึงเอาไว้

“ ดาบนั้นคืนสนอง….แล้วพวกเจ้าจะต้องสำนึกผิดในการตัดสินใจของพวกเจ้า…อัก ”
เซอร์เซสกล่าวได้เพียงแค่นั้น เพราะปลายดาบสีทองตัดขาวซึ่งอาบด้วยเลือดสีดำของเขาปักทะลุ
จากข้างหลังก่อนจะถูกกระชากออกมาพร้อมกับร่างของเขาร่วงหล่นลงสู่พื้น
ภาพของผู้มาเยือนตรงหน้าแทบจะทำให้เจนัสอึ้งไปชั่วครู่

" แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกใบนี้นามของข้าคือ
ทาลูคูส ( Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya ) "
เสียงของทาลูคูสดังขึ้น ทันทีพร้อมกับการปรากฏตัวของลูกมังกรสี่ตัวที่บิลงมาพยุงพวกเขาขึ้น
ก่อนที่ทาลูคูสจะบินลงมาสมทบด้วย

“ แกแพ้แล้วเซอร์เซส กำลังเรามากตั้งขนาดนี้ต่อให้เป็นแกก็สู้ไม่ได้หรอก ”
นีน่ากล่าวอย่างมั่นใจ แต่เซอร์เซสก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใดยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
ที่จริงตอนนี้แค่แรงจะพูดเขายังไม่มีด้วยซ้ำ เพราะทาลูคูสแทงทะลุหน้าออกจนปอดฉีก
เขาทุกข์ทรมานแทบจะตายแต่ก็ไม่ตายด้วยพราะอำนาจที่เขามีอยู่ เขาจึงต้องทนทรามานกับ
สภาพที่จะตายก็ไม่ตายอยู่อย่างนั้น
ทาลูคูสที่เห็นสภาพน่าเวทนานั้นจึงคิดจะส่งเซอร์เซสสู่นิทราอันเป็นนิรันด์

“ Lux et Dragos ”
ทันทีที่สิ้นเสียงคลื่นดาบวงจันทร์ก็ถูกตวัดออกไปหมายจะเผาผลาญร่างของเซอร์เซสจนมอดสิ้น
แต่แล้วคลื่นพลังงานก็ถูกอะไรบางอย่างผ่าขาดไป พร้อมกับสายลมที่แปรปรวนเหนือท้องฟ้าที่มืดมิดไปด้วยเมฆฝน ร่างของนักรบในชุดเกราะเหล็กสีดำคลุมสนิททั้งตัวนจนไม่เห็นผิวในของเขา ได้ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ อ..แก ”
เจนัสกล่าวออกมาได้เพียงเท่านั้นมืของเขาสั่นไม่หยุดไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความโกรธ

“ เจนัส..หรือว่าเจ้านั่นก็เป็น.. ”
ทาลูคูสหันไปถาม

“ อื้อถูกแล้วล่ะ เจ้านั่นก็เป็น 12 เทพขุนศึกเช่นกัน ”
ลากูน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นกันสายตาของเขา
ดูจะดุดันกว่าตอนแรกซะอีก
“ เจ้านั่นอยู่หน่วยปราบปรามเหมือนกับฉันแล้วก็เจนัส 12 เทพขุนศึก ไร้นาม ”
นีนากล่าวขณะที่บรรจุกระสุนอย่างรีบร้อนเส้นประสาททั้งตัวตึงไปหมด

“ ไร้นามเหรอ ”
 ทาลูคูสย้อนถามอีกครั้ง

“ มันนี่แหละที่ทำให้ตำแหน่งที่ว่างอยู่ต้องมาขาดไปทำให้ฉันกับริคุต้อง… ”
เจนัสกัดฟันกล่าวออกมาแม้ตัวอย่างสั่นเครืออยู่

“ ถ้ามันไม่มาแย่งตำแหน่งนั้นไปล่ะก็ริคุก็คงจะไม่ ”
นีน่ากล่าวเสียงสั่นเช่นกันก่อนที่หันปากกระบอกปืนไปยังผู้มาใหม่


“ พูดอย่างกับว่าข้าเป็นตัวน่ารังเกียจอย่างนั้นแหละ ”
ผู้มาเยือนไร้นามกล่าว

“ ก็แน่สิ เพราะแกเสนอตัวขึ้นมาทำให้ความพยายามของพวกเราแทบจะสูญเปล่า ”
ลากูน่าตะหวาดบ้าง

“ ดูเหมือนว่าจะพูดไม่รู้เรื่องนะ ”
ผู้มาเยือนไร้นามกล่าวก่อนจะหันไปหาเซอร์เซส

“ ไม่ต้องห่วงข้าจะพาท่านไปรักษาตัวเองทนรอซักหน่อยล่ะ ”
ผู้มาเยือนไร้นามกล่าว แต่ทว่ากระสุนแสงที่พุ่งมาข้างหลังกับมังกรพลังงานที่เหินขึ้นมากำลังจะ
ทุ่มใส่เขาและร่างของเทพขุนพลในสภาพปางตาย จนสิ้นสลาย

“ อย่าหวังเลยว่าจะหนีพ้นเฉพาะแกเท่านั้นที่จะให้ไปไม่ได้เซอร์เซส ”
นีน่าและทาลูคูสกล่าวพร้อมกันแต่ยังไม่ทันที่กระสุนและมังกรพลังงานจะได้ต้องตัวพวกนั้น
สายลมรอบๆก็เริ่มแปรปรวนก่อนที่นักรบเกราะเหล็กจะหันมาสะบัดมือออกไปปะทะกับ
คลื่นพลังงานจนขาดสลายไป

เจนัสที่สังเกตเห็นนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที

“ กระบรวนท่านี้มัน…. ”
เจนัสคิดระหว่างที่ผู้มาเยือนไร้นามย่างใกล้เข้ามา

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า

“ มันปรากฏตัวราวกับสายลมที่สงบก่อนพายุร้ายแห่งความสิ้นหวังจะโหมกระหน่ำ ”

“ Stand By ”

“ Release Armor ”

“ Push Off ”

“ นั่นใครกันน่ะ ”
“ คนที่ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วไงล่ะ ”

ศึกที่ไม่อาจรับมือได้ ความปวดร้าวในอดีตที่หวนกลับมา หากนี่คือความฝันก็อยากจะตื่นจากฝันนี้ไปแต่ทว่าลึกๆแล้วก็ยังงอยากจะพบเธอแม้นี่จะเป็นฝันร้ายก็ตาม…..

ตอนหน้าบทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี้
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #159 on: May 18, 2008, 07:53:33 PM »

เย้  อัพแล้ว ๆ  ฮูเร่  ......มาอีกแล้วการนำเสนอตอนหน้าแบบคลุมเครือแต่มีเลศนัย 
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #160 on: May 18, 2008, 10:55:13 PM »

เซอร์เซสก็เชิญหัวใจวายไปเลยนะ  ก็เล่นศิษย์หนีไปหมดอย่างนั้น  คิคิ 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #161 on: May 19, 2008, 03:37:00 PM »

เหอๆ เซอร์เซสนี่เกิดมาซวยจิงๆเลย
มีศิษย์ ศิษย์ก็หนีหมด จะหาตัวคนมาเป็นทัพเสริมก็ต้องลักมา
สงสัยจะกรรมตามสนองแล้วล่ะครับว่าแต่ไอ้คนมาใหม่นี่คุณคิดว่าไงครับ
น่าจะเก่งเนาะ คนเดียวรับมือได้หมดเลย ว่าแต่ใครกันล่ะหว่าลึกลับจังเลย
คงต้องรอดูอาทิตย์หน้าล่ะมั้งครับกว่าจะรู้เหอ ส่วนริคุก็ได้มีบทไปแล้ว
(มีบทแค่ไว้ให้คนอื่นระลึกถึงเหอๆแล้วจะเขียนไปทำม้าย)

ว่าแต่ผมบอกตอนต่อไปคลุมเครือขนาดนั้นเลยเหรอ หุหุ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #162 on: May 23, 2008, 03:09:33 AM »

" ที่นี่มันที่ไหนกัน "
เด็กหนุ่มในชุดนอนกล่าวเมื่อเขาเห็นภาพแวดล้อมรอบตัวเองด้วยความฉงน
เขา ยืนอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่งที่เขารู้สึกว่าคุ้นเคยราวกับเคยเห็นหรือได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่ง
เมื่อเขาหันไปทางทิศเหนือ ก็เห็นภาพหมู่บ้านอยู่ลางๆเป็นจุดเล็กๆ ด้วยความสงสัยเขาจึงคิดจะตรงไปยังหมู่บ้านนั้น

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง

เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วหลังจากที่กระสุนพลังงานจำนวนแปดนัดพุ่งจากทิศในป่าตัดหน้าเขาไปโดนต้นไม้ ข้างๆจนระเบิดเหลือแต่ซาก

ซึ่งทำเอาหัวใจเขาจะหยุดเต้นเอาเสียให้ได้ เขาพยายามรวบรวมความกล้าก่อนจะหันไปยังทิศที่กระสุนถูกยิงมา
เพื่อหาว่าใครกันที่จะสังหารเขากันแน่และเมื่อหันไปเขาก็เห็นของเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งหายลับเข้าไปในป่า
แม้จะกลัวอยู่บ้างแต่เขาก็ได้วิ่งตามไปโดยไม่รู้ตัว

เขาวิ่งตามหลังเงาของนางลึกเข้าไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
จนกระทั่งโผล่ออกยังลานกว้างในป่าแห่งนี้ ข้างหน้าเขามันเป็นสุสานซึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก

ก่อนเขาจะได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาบรรยากาศที่วังเวงทำให้ความกลัวเริ่มเข้ากัดกินจิตใจ
เขาทีละน้อย ด้วยความกลัวเขาจึงคิดจะกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง
แต่ทว่าเขากลับก้าวขาไม่ออก ขาของราวกับถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวน เขาพยายามฝืนที่จะก้าวไปให้ได้
แต่ไม่ว่าจะพยายามซักแค่ไหนก็ไม่อาจจะก้าวเท้าออกไปได้เลยหลังจากที่พยายาม
ฝืนจนเหนื่อยหอบ เขาจึงล้มเลิกและพยายามทำใจเย็นคิดหาทางออก ระหว่างที่เขามองไปรอบ
เขากลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับสุสานนี่มากและยังป่าที่เขาวิ่งผ่านมาเมื่อครู่รวมทั้ง
กระสุนพลังงานนั่นด้วย แต่ไม่ว่าพยายามจะคิดซักเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

“ ยังนึกไม่ออกอีกรึ ”
เสียงหนึ่งแว่วมาเข้าหูของเขาเสียงนั้นฟังดูเย็นชาและแฝงเอาไว้ด้วยจิตสังหาร
เขาพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้นอย่างรนลาน จนเมื่อเขาหันไปข้างหลัง
ก็มีเงาของเด็กสองคนเดินตรงมา แต่เพราะป่าเริ่มมีหมอกลงทำให้มองได้ไม่ชัดนัก
แต่เขาก็ยังรู้สึกคุ้นๆกับเสียงที่ได้ยินอีกด้วย

เมื่อเงานั้นย่างใกล้เข้ามาจึงเริ่มเห็นว่าเงานั้นคือเด็กอายุราว 8-9 ปี โดยคนหนึ่งน่าจะเป็นเด็กหญิงส่วนอีกคนเป็นเด็กชาย โดยเฉพาะเด็กชายท่าทางของเขาดูขึงขังเสียเหลือเกิน จนดูคล้ายกับใครบางคน

ที่เขารู้จักเขาพยายามจะเดินเข้าไปหาโดยพยายามออกแรงเต็มที่ แต่ทว่าแรงที่ยึดเขาเอาไว้เมื่อครู่มันได้
หายไปแล้วจึงทำให้เขาล้มคะมำ กับพื้นเพราะใส่แรงก้าวเท้ามากไป เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้เข้าต้องรีบยันตัวขึ้นมา และเมื่อสายตาของเขาเริ่มชินกับความมืดของหมอก

ร่างของเด็กทั้งสองที่ปรากฏต่อหน้าเขาแทบจะทำเอา เขาช็อคไปเลย เมื่อเด็กทั้งสองนั้นคือคนที่เขารู้จัก
และทันทีที่เขานึกออกความทรงจำเรื่องสถานที่ก็กลับมาทันทีไม่ว่าจะชายป่าของหมู่บ้านปริศนา และสุสานรวมทั้งกระสุนแสงนั่นด้วยทุกอย่างกระจ่างหมดสิ้นเมื่อร่างของเด็กทั้งสองปรากฏเด่นชัดต่อสายเขา
ร่างของเด็กทั้งสองเป็นเหมือนเด็กทั่วไปแต่กลับมีหางและหูเป็นสัตว์

“ เจ...เจนัส ......นีน่า ”
เขาอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างทันท่วงที

“ งั้นนี่ก็ในนิยายน่ะสิ ”
เขากล่าวออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด

“ นึกออกแล้วสินะ ”
เด็กหญิงกล่าวก่อนจะชักเอาปืนที่เอวขึ้นมาเล็งที่หัวเขา ทำให้เขาถึงกับถอยผงะด้วยความกลัว

“ ในที่สุดเราก็ได้มาเจอกันนะคุณ เกรม่อน ”
เด็กผู้ชายกล่าวบ้าง

“ จ..จะทำอะไรน่ะ.อ้อก ”
เขากล่าวยังไม่ทันจบก็รู้สึกจุก จนแทบจะสลบและทันทีที่ได้สติก็สังเกตเห็นว่า
เด็กชายได้หายไปแล้ว และอยู่เขาก็รู้สึกราวถูกอะไรบางอย่างฟาดจนกระเด็นล้มลงไป
เมื่อตั้งสติได้และเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนที่ทำร้ายเขาเมื่อครู่ก็คือเด็กชายคนนั้นน่ะเอง

“ ท..ทำไมถึง...อัก ”
เขากล่าวอึกอักด่อนจะสำลักด้วยความจุกจาการดดนซัดท้องในตอนแรก ซึ่งทำเอาเขากระอักเอาโลหิตแดงสดๆออกมาเลยเขารู้สึกหายใจติดๆขัดๆและทรมานราวกับจะตายเลยก็ไม่ปาน

“ ถ้ายังจะเขียนบทถัดไปอยู่อีกล่ะก็ ”
เด็กผู้หญิงกล่าวเสียงเฉียบก่อนจะเล็งปืนที่เขา

“ ก็เตรียมตัวตายได้เลย ”
เด็กผู้ชายกล่าวพร้อมกับกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา สายตาของเด็กคนนี้ดูดุดันและเย็นชาสร้าง
ความหวาดหวั่นให้แก่เขาเป็นอันมาก แต่เมื่อเขาทบทวนคำพูดเมื่อครู่

“ นี่มันหมายความว่ายังไงจะให้เราเลิกแต่งตอนถัดไปเหรอ ทำไมกันไม่ได้เราจะเลิกแต่งได้ยังไงกันตอนต่อไปเป็นบทสำคัญด้วย ไม่ได้เด็ดขาด... ”
เขาคิดก่อนจะฝืนพูดออกไปแม้ใจหนึ่งอยากจะรับข้อเสนอเพื่อให้ตัวเองรอด แต่ด้วยความหนักแน่นเขาจึงตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว

“ ไม่ฉันจะแต่งหากหยุดแค่ตรงนี้ล่ะก็ศักดิ์ศรีความเป็นนักเขียนของฉันก็ต้องหมองม่นกันพอดี ”
เขาตอบทั้งใบหน้าที่เจิงนองไปด้วยน้ำตา ทันทีที่เด็กชายได้ยินคำตอบก็เหวี่ยงตัวเขาออกไปอย่างแรงราวกับ
ตัวเขาไม่มีน้ำหนักเลย จนเขากระแทกเข้ากับต้นไม้และครูดลงมากับพื้น
ก่อนที่เด็กผู้หญิงจะพุ่งตรงเข้ามาเอามือกดหน้าผากและเอาปืนจ่อที่คอ

“ โดนแบบเดียวกับในนิยายเลยฮือๆ ไม่รอดแน่เรา ”
เขาคิดอย่างสิ้นหวัง

“ ในเมื่อดึงดันที่จะเขียนต่อก็เชิญไปเขียนต่อที่โลกหน้าละกัน ”
เด็กหญิงกล่าวจบก็ลั่นไกปืนรัวใส่ร่างของเขา ในวินาทีนั้นเขารู้สึกถูกวัตถุกระแทกไปทั่วทั้งร่าง
จนเมื่อเขาสะดุ้งพุ่งพรวดขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ฝูกนอนของตนที่ปูไว้กับพื้นห้อง
โดยมีน้องชายและหนังสือตกทับระเกะระกะไปทั้งร่าง
“ นี่เรา...ฝันไปเหรอเนี่ย ”

แฮ่ๆเป็นไงครับนี่ไม่ใช่นิยายนะครับแค่เอามาเล่าให้ฟังเฉยซึ่งเป็นเรื่องจริงผ่านตัวผมเอง
ว่าจะเอามาเล่าแก้เซ็งกันเฉยๆแต่ไปๆมาไหงบรรยายกลายเป็นนิยายไปเลยแหะ ที่แท้ไอ้ที่โดนซ้อมเนี่ยน้องตัวแสบมันนอนดิ้นตกเตียงมาทับเราแล้วขามันไปเกี่ยวโดนขาตั้งชั้นวางของทำ
ให้หนังสือบนชั้นมันเอน

แล้วก็ร่วงลงมากระแทกอย่างกับห่ากระสุน อันนี้ล่ะมั้งตอนท้ายที่โดนนีน่ายิง
สงสัยช่วงนี้ผมคงจะโหมงานหนักไปถึงกับเก็บเอามาฝันเลยเหอๆหรือจะเป็นลางบอกเหตุ
ว่าอย่าพิมพ์บทนี้นะไม่งั้นตาย ยังไงอย่างงั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับบทที่19

ลงต่อตามกำหนดภายในสัปดาห์นี้แน่นอนครับ ว่าแต่เคยนึกอยู่เหมือนกันนะว่าไอ้ความรู้สึกเจ็บทรมานที่เราวางไว้ให้ตัวละครเนี่ยมันเป็นยังไงหว่า
ยังเคยคิดว่าหากโดนหมัดของเจนัสบ้างจะเจ็บซักเท่าไหร่น้อ หรือความรู้สึกก่อนตายของตัวละครนั้นเป็นยังไง

ตอนนี้เจอกับตัวเองมาแล้วซึ้งเลยครับพี่น้อง(เข็ดแล้วจ้าอย่ามาเข้าฝันอีกเลยเน้อ ไม่งั้นคราวหน้าวาร์ปเปลี่ยนเป็น วอเกร์ม่อน ไกอาฟอสใส่เลยแง่งงงง)
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #163 on: May 23, 2008, 08:56:11 PM »

...........  แต่งเอง  ฝันเอง  แถมแอคชั่นซะขนาดนั้น  ลางดีหรือร้ายเนี่ย  (ฝันแปลกจัง    )
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #164 on: May 25, 2008, 07:50:36 PM »

มาแล้วครับแหมชื่อบทนี้ดูเป็นลางยังไงไม่รู้มิตรกลายเป็นศัตรูเนี่ยเหมือนกับว่าตัวละครท
ี่เราเขียนมันมาเป็นศัตรูตรงกับที่ฝันเป้ะ เลยพอพิมพ์บทนี้เสร็จเมื่อวานหมาดๆก็เก็บไปฝันอีก
แต่คราวนี้อย่าหวังจะได้แอ้มเหอเพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็นฝัน ส่วนผมใช้วิธีใดจัดการกับฝันร้ายนี้ผม คงบอกไปในคราวก่อนแล้วนะครับอิอิ ส่วนวันนี้เทพขุนพลไร้นามเป็นใครนั้นคุณทายถูกกันรึเปล่าเอ่ย
ถ้าคิดว่าถูกแล้วไปดูกันเลย อ้อตอนวันนี้มีอีกเรื่องให้ตกใจกันด้วยเชิญชมเลยครับ

บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี้

โรงเรียนมังกร…..

ภายในห้องสมุดของโรงเรียน เมทาไนท์และเทียแมตยังคงสนทนากันอยู่โดยที่แกรนเดครอสขอ ออกไปรอข้างนอกเพราะอึดอัดที่ต้องอยู่แบบคับแคบ

“ ก็าซซซซซซซซซซซซ ” (หมายความว่าบันทึกนั่นอยู่กับกองกำลังงั้นสินะ)
เทียแมตคำรามเบาๆ ขณะที่เมทาไน์เองก็พยักหน้าแทนคำตอบ

“ ก็าซซซซซซซซซซซซ ”(อืมขอบใจเจ้ามากนะรวมทั้งเรื่องคราวก่อนด้วย)
เทียแมตกล่าวขอบคุณถึงงานในส่วนก่อนหน้านั้นและในตอนนี้ ในขณะที่เมทาไนท์เองก็เอาแต่เงียบ
เพราะกำลัง นึกย้อนถึงตอนที่เขาลอบเข้ามาสืบภายในบริเวณโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อตรวจหาสาเหตุการ
ที่เหล่ามังกรถูกสะกดจิตซึ่งมันก็มีต้นเหตุมาจาก จาไน (Janai, the Black Wood Wizard)
ซึ่งเป็นลูกน้องของแบล็คไวเซอร์
(โปรดเข้าใจ ไว้อย่างคำว่าสมุนกับลูกน้องสำหรับแบล็คไวเซอร์นั้นมีคำจำกัดความที่ต่างกัน สมุนของแบล็คไวเซอร์จะเกิดจากดาร์คซีล แต่ลูกน้องจะเป็นคนขององค์กรที่อยู่ภายในกำกับของเขาเอง) นั่นเอง

“ ว่าแต่จะบอกข้าได้หรือยังว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ”
เมทาไนท์ถามขึ้นอย่างลอยๆผ่านหน้ากากมังกรสีขาวออกมา
ทำให้เทียแมตหันมามองเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนักกับคำถามของเขา แต่ก็จำใจตอบ

“ หมายถึงลอว์เรนซ์สินะ ก็ได้เห็นแก่ที่ครั้งนี้เจ้าทำงานได้ดีข้าจะบอกให้ ”
เทียแมตกล่าวออกมาเป็นภาษามนุษย์ซึ่งนั่นทำให้เมทาไนท์รู้สึกแปลกใจ

“ ทำไมจู่ๆถึงนึกจะพูดภาษาคนขึ้นมาล่ะ เกลียดไม่ใช่เหรอ… ”
เมทาไนท์ถาม ด้วยความฉงน

“ เกลียดรึ หึ… ”
เทียแมตกล่าวก่อนจะเบือนหน้าหนี ราวกับไม่อยากให้เห็นว่าตนรู้สึกเช่นไรหากจะกล่าว
ต่อจากนี้ซึ่งเมทาไนท์ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะเขาอยู่กับเทียแมตมานานแล้วจึงพอจะเดาออก

“ ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดหรอกแต่เพราะข้าไม่อยากจะนึกถึงมันน่ะสิเหตุการณ์ก่อนที่ข้าจะได้พบกับเจ้าหลัง
จากนั้นไม่นานน่ะ ”
เทียแมตกล่าว ก่อนจะหันหลังกลับไปและเดินตรงไปยังประตูลิฟต์ซึ่งเป็นทางออก

“ เดี๋ยวท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยนะท่านพ….อะ ”
เมทาไนท์ขานให้เขาหยุดแต่ดูเหมือนเขา เกือบจะหลุดคำพูดสักอย่างออกมาแต่ก็นึกได้ทันจึงอุบเงียบเอาไว้
แต่เทียแมตก็หยุดชะงักไปก่อนจะหันหน้า กลับมามองเขาเล็กน้อยด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย

“ โทษทีข้าลืมไป ”
เทียแมตกล่าวก่อนจะหันกลับไปยังประตูและกล่าวโดยไม่มองหน้าเขาเลย

“ เด็กคนนั้นก็เหมือนกันกับเจ้าน่ะแหล่ะ แต่ต่างกันก็ตรงที่คนที่เก็บเจ้ามาเลี้ยงไม่ใช่ คนที่หยุดข้าไว้แต่เป็นข้าที่สังหารแม่ของเจ้า ”
เทียแมตกล่าวซึ่งนั่นทำให้ความทรงจำในอดีตนั้นแวบกลับมาในหัวเขา

ภาพเหตุการณ์ที่มังกรดำซึ่งก็คือเทียแมต(Tiamat)ได้บุกเข้า ทำลายหมู่บ้านในเขตฟูดินัน
ตอนนั้นเขาอายุเพียง 6 ปีเท่านั้นเขากับแม่และน้องชาย ที่ยังเป็นทารกได้หลบหนีเข้าไปยังเขตชายแดนของฟีเลเซีย



และเขากับแม่ได้หลบอยู่พุ่มไม้ ในตอนนั้นด้วยความกลัว เขาจึงหนีไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ข้างๆซึ่งห่างจากแม่ของเขาเมื่อ เทียแมตบินผ่านมาและพ่นเปลวเพลิงบรรลัยกัณฑ์ เผาผลาญผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งแม่ของเขาเอาตัวปกป้องน้องของตนไว้ จากเปลวเพลิงที่ลามผ่ามมายังพุ่มไม้ นางจึงต้องสิ้นใจไป เสียงร้องของผู้เป็นน้องชาย ยังคงดังก้องอยู่ในวันนั้น
จนถึงตอนนี้เขายังนึกเสียใจที่ไม่อาจช่วยแม่ของเขาไว้ได้  ในตอนนั้นเทียแมตก้าวเข้ามาใกล้พุ่มไม้
เขาพยายามจะเข้าไปช่วยน้องชายที่อยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นแม่ แต่ด้วยความกลัวทำให้เขาก้าวขาไม่ออกได้แต่นั่ง ตัวสั่นหลบอยู่ในพุ่ม ไม้น้ำตาเจิงนองอย่างขมขื่น

 และเปลวเพลิงของเทียแมตกำลังจะคร่าชีวิตน้องชายเขา แต่แล้ว มังกรขาวขนาดยักษ์ ก็เข้ามาขวางเอาไว้
ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจภาษามังกร จึงไม่สามารถจับความได้ว่าทั้งสองสนทนาะไรกัน
 แต่เพียงสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือหลังจากที่มังกรทั้งสองสนทนากัน ก็มีกองทหารมังกรของฟีเลเซีย
บุกมา แต่ก็ถูกดีวายดราก้อนขัดขวางเอาไว้ ทำให้เทียแมตหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไป
เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาพยายามจะหาตัวน้องชายแต่ ทว่าก็ไม่พบเพราะที่นั่นเหลือเพียงเขาและร่างไร้ชีวิต ของผู้เป็นมารดา

“ หยุดนะเจ้าพวกปีศาจ ”
เสียงหนึ่งดังมาจากทางเนิน ลาดที่เขาวิ่งหนีผ่านมา เมื่อเขามองออกไปจากพุ่มไม้
ก็ได้เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวกำลังสู้กับเหล่าปีศาจ และดูเหมือนกำลังปกป้อง
เด็กประหลาดที่มีหูและหางเป็นสุนัขป่า ก่อนที่พวกปีศาจจะพ่ายไปและพวกเขาก็หายไปกับแสงสว่างที่วาบออกมา
จากตัวนาง เขารีบพุ่งตัวออกมาด้วยความประหลาดใจ

ซึ่งขณะเดียวกันเทียแมตที่บินกลับมาเพื่อดูว่า ดีวายดราก้อน ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ก็ได้พบเขา ทีแรกเขาก็กลัวอยู่แต่เทียแมตที่สงบจากความโกรธก็เข้าไป ปลอบเขาด้วยภาษามนุษย์ ที่เขาเข้าใจ เขาจึงคลายความกลัวลงเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ได้ตามมาอยู่กับเทียแมต
ซึ่งตอนนั้นเขารู้สึกราวกับว่าเทียแมตเป็นพ่อของเขาเลยก็ไม่ปาน

“ งั้นก็หมายความว่าเด็กคนนั้น…. ”
เมทาไนท์กล่าวและหยุดไปด้วยเพราะไม่อาจจะพูดได้อย่างชัดเจนนัก ว่านั่นจะเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่หลังจากได้ยินคำพูดนั้น

“ คงจะแปลกใจสินะว่าทำไมโชคชะตามันถึงได้วกวนไปอยู่เรื่อย”
คำพูดของ เทียแมต ทำเอาเขานิ่งไปก่อนที่จะล้วงเอาสายคาดข้อมือเส้นเล็ก ของเขาที่เคยใส่สมัยเด็กขึ้นมาดู
บนสายคาดนั้นเขียนว่า Garet & Laurence

“ ไม่นึกเลยว่านายยังมีชีวิตอยู่นะ ที่จริงน่าจะรู้ตั้งแต่วันที่เจอนายวันนั้นแล้วแท้ๆ ”
เมทาไนท์กล่าวพร้อมกับนึกย้อนไปในวันท ี่พวกแบล็คไวเซอร์บุกโจมตีตอนที่เขามาช่วย
ทาลูคูสและจากไปโดยไม่หันกลับไปมองเลยซักนิดว่า ร่างนั้นได้คืนสภาพกลับเป็น Lr ไปแล้ว
เทียแมตหลังจากที่กล่าวจบก็เริ่มก้าวเท้าต่ออีกครั้ง

“ แล้วก็อยากจะเรียกก็เรียกไปเถอะข้าไม่ว่าอะไรแล้วล่ะ ”
เทียแมตกล่าวขณะที่เดินผ่านประตูลิฟต์ไปก่อนที่เสียงและแรงสะเทือนจากการทำงานของ
พื้นยกที่เป็นลิฟต์ของโรงเรียนจะยกตัวเทียแมตขึ้นไป ซึ่งเมทาไนท์เองเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
เขาก็นิ่งเงียบไปก่อนจะเดินตามเทียแมตที่ขึ้นไปรอข้างบนแล้ว เขาหยุดเดินที่หน้าประตูลิฟต์เพื่อรอให้พื้นเลื่อนลงมารับเขา

“ ขอบคุณครับท่านพ่อ.. ”
คำพูดหลุดลอยออกมาจากปากของเมทาไนท์ก่อนที่เขาจะเก็บสายคาดและเดินขึ้นลิฟต์
ไป เมื่อมาถึงพื้นแล้วเขาก็เดินออกมาจากถ้ำไปสมทบกับเทียแมตและแกรนเดครอส

“ ก็าซซซซซซซซซซซซซซซ ”(ดูเหมือนว่าลอว์เรนซ์กำลังถูก 12 เทพขุนศึกเล่นงานอยู่นะช่วยไปจัดการทีล่ะจากนี่ไปถ้า ใช้ผ้าคลุมเรดร็อค(Red Roc) คงไม่ไกลนัก)
เทียแมตคำรามก่อนจะส่งผ้าคลุมขนนกที่ทำจากขนของเรดร็อค ( Red Feather Robe )ให้เขา

   




………………………
………………………………
…………………..

“ นี่ที่พวกเจ้าคุยกันน่ะมันเรื่องอะไรรึ ”
หญิงสาวที่แววตาของนางแฝงไปด้วยความมาดร้าย กับดาบสีเงินคลิบทองที่มีออร่าพลังเวทย์ปกคลุมอยู่ เล่มใหญ่
ถืออยู่ในมือ กล่าวขึ้นภายในห้องโถงที่มืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมไฟเพียงตัวเดียวส่องลงมาให้ความสว่างแก่ห้อง

“ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าลูคเรเทีย(Lucretia, the Sword Magician) ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงแหบแห้งก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างหงุดหงิด เพราะนางเข้ามาขัดการสนทนาของเขา
กับเซอร์เซส ทำให้เขาอดได้ข้อมูลของบันทึกที่หายไป และเซอร์เซสกับนักประดิษฐ์ก็รีบอ้างตัวไป ทำธุระทิ้งให้เขาต้องมานั่งแก้ตัวกับลูคเรเทีย



“ ก็ตามใจเจ้าไม่บอก ข้าไม่สนก็ได้ ”
นางกล่าวอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

“ นังตัวยุ่งเอ้ย..จุ้นไม่เข้าเรื่องจริงๆ ”
แบล็คไวเซอร์คิดเคืองอยู่ในใจก่อนที่เขาจะนึกอะไรบางอย่างได้จึง เรียกวิหกโลกัณฑ์
ของเขามา และริ่มทำพิธีบางอย่าง

…………………
…………
………

ณ ทุ่งราบใกล้กับชายป่า นอกหมู่บ้าน
บัดนี้เมฆฝนปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าจนแสงแทบส่องลงมาไม่ได้ เสียงและแรงระเบิดจากการ
ต่อสู้ซึ่งดังจากในป่าเริ่มเลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเมื่อแรงระเบิดทำเอาต้นไม้บริเวณชายป่ากระจุย
ร่างของผู้ที่กระทำการต่อสู้ก็พุ่งออกมายังทุ่งราบ นักรบเกราะเหล็กสีดำสนิทซึ่งแบกร่าง ของชายสุงอายุในเกราะรัดรูปสีดำซึ่งบาดเจ็บจากปากแผลบริเวณหน้าอกและคฑาสีดำที่ลอย
เคว้งอยู่กลางอากาศก็ตามหลังเขามา นักรบเกราะเหล็กตัดสินใจวางร่างของ ชายสูงอายุลงและ
หันไปประจันหน้ากับศัตรู

“ Great of Dragon ”(ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร)
สิ้นเสียงมังกรพลังงานก็พุ่งตรงมาที่พวกเขา นักรบเกราะเหล็กรีบสะบัดมือออกไป
ลมบริเวณรอบกายของเขาเริ่มพัดอย่างแปรปรวนก็จะสงบลงที่มือของเขา ทันทีที่มังกรพลังงานปะทะ
กับมือของเขามันก็ขาดสลายราวกับถูกคมดาบจำนวนมากฟันจนขาดสิ้น

“ ชิ ไม่ได้การไม่ว่าจะโจมตีเท่าไหร่เจ้านั้นก็รับไว้ได้หมด ”
อัศวินมังกรร่างสีขาวกล่าวพร้อมกับบินลงมาสมทบกับครึ่งสมิงสามตนและลูกมังกรอีกสี่ตัว

“ ไม่ต้องไปสนใจลุยเข้าไปพร้อมกันนี่ล่ะเดี๋ยวมันอ่อนแรงลงก็หนีไปเอง ”
นีน่ากล่าวณะที่นับจะนวนกระสุนที่เหลืออยู่ก่อนจะบรรจุมันลงไป
“ เราเหลือกระสุนไว้ยิงอีกแค่1 ครั้งเท่านั้น ”
นางคิดก่อนจะเล็งลำกล้องไปยังร่างของนักรบเราะเหล็กนิรนาม

“ ใช่จริงๆด้วยท่าวิชานี้มันแต่เป็นไปไม่ได้น่า ”
เจนัสคิดขณะที่พยายามหาทางสู้กับนักรบเกราะเหล็กนิรนามผู้นี้อยู่

พวกเขาเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งต่อไป
แล้ว
“ ท่านเซอร์เซส สงสัยท่านต้องรอหน่อยแล้วล่ะแต่ไม่นานหรอก ”
นักรบเกราะเหล็กนิรนามกล่าวก่อนจะตั้งท่ารับมืออีกครั้ง

“ นี่ข้าขอถามอะไรอย่าง ”
เจนัสกล่าวขึ้นอย่างปุบปับทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของเขา
ซึ่งแม้แต่ตัวเจนัสเองก็ยังสงสัยว่าเขาคิด อะไรอยู่แน่ถึงจะถามคำถามศัตรู
แต่ดูเหมือนนักรบเกราะเหล็กจะเข้าใจถึงสิ่งที่จะถามจึงลดมือลงมา
ขณะที่มืออีกข้างไปแตะที่สลักบางอย่างของเข็มขัดใต้เกราะเหล็ก

“ จะถามว่าทำไมข้าถึงใช้ คาไมทาจิ (Kamaitachi = เคียววายุ)ได้สินะ ”

(**คาไมทาจิเป็นตำนานทางญี่ปุ่นที่ว่าเมื่อลมพัดผ่านร่างไปและเกิดแผล เป็นเพราะถูกพังพอนเคียวทำร้าย รายละเอียดสามารถหาเพิ่มได้ที่เว็บไซต์วิกิพีเดีย www.wikipedia.com**)

คำพูดของนักรบนิรนามผู้นี้ทำเอาพวกเขานิ่งกันไปพักใหญ่

“ คาไมทาจิเหรอมัน…คืออะไรกัน ”
ทาลูคูสหันมาถามเจนัสเมื่อเห็นว่านีน่ากับลากูน่ามีอาการแปลกๆไป

“ มันเป็นท่าวิชาที่ริคุเคยใช้น่ะสิ การใช้ลมแทนอาวุธเพื่อฟันศัตรูให้ขาดสะบั้นคาไมทาจิ ”
เจนัสกล่าวน้ำเสียงเรียบตอนนี้เขางง ไปหมดแล้วเช่นกันนีน่าและลากูน่าเองต่างก็สับสนกับคำถามนี้

“ นี่พวกเจ้ายังไม่รู้อีกรึ น่าผิดหวังจริงๆ… ”
นักรบนิรนามกล่าว

“ ไม่ต้องมาอ้อมค้อมแกน่ะคงจะขโมยท่าวิชาของ พี่ริคุมาเพื่อการเป็นเทพขุนศึกสิ ใช่มั้ยล่ะ ”
ลากูน่ารีบสรุปเอาเองโดยไม่ฟังเหตุผลก่อนจะ พุ่งเข้าไปเพื่อเล่นงานอีกฝ่าย
แต่ทันทีที่นักรบนิรนามสะบัดมือข้างที่ว่างออกไป เขากลับถูกลมพัดจนกระเด็นกลับมาโดยที่เสื้อผ้า มีรอยราวกับโดนอะไรบางอย่างตัด
ที่ใบหน้าของเขามีเลือดออกจากปากแผลที่ราวกับถูกบาดมา
เจนัสและนีน่ารีบเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง

“ ยังไม่เข้าใจอีกรึไง ”
นักรบนิรนามกล่าวขณะที่ย่างเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆโดยที่มืออีก ข้างยังคงจับสลักที่เข็มขัดอยู่ พวกเขาจึงรีบตั้งท่าสวนทันที
แต่เมื่อนักรบนิรนามเห็นเช่นนั้นเขาก็หยุดเดินและถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ เฮ่อ…ไร้นามรึนั่นสินะก็ข้าคนนี้น่ะไม่ได้มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่ ”
นักรบนิรานามเปรยออกมาด้วยความระอา เต็มทีซึ่งนั่นสร้างความสงสัยให้แก่พวกเขายิ่งขึ้นไปอีก
จนเมื่อเฟินกอลโล่เริ่มหงุดหงิดกับคำพูดวกวนของอีกฝ่าย จึงตวาดออกมา

“ กีซซซซซซซซซซ ”(มัวแต่พูดวกๆวนๆอยู่นั่นล่ะตกลงนายเป็นใครกันแน่)
เฟินกอลโล่ตวาดใส่แต่ เพราะ Lr ได้ใช้พลังของ ดราก้อนฮอลลี่เพื่อเป็นทาลิวิลย่า
จึงไม่มีการแปลงเสียงของเขาทำให้ นักรบนิรนามเห็นเป็นแค่ ลูกมังกรขู่คำรามเล่นเฉยๆ
จึงไม่ได้สนใจและยังคงมองไปยังพวกเขาด้วยสายตา เย็นชาผ่านหมวกเหล็กออกมา

“ เอาเถอะงั้นข้าจะบอกให้ก็ได้เพราะหากต้อง รับมือกับเทพขุนพลตั้งสองคนเพียง ลำพังข้าก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน ”
เขากล่าวจบก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆผ่อนออก ซึ่งพวกเจนัสเองก็
รู้สึกระแคะระคายกับท่าทีของบุรุษผู้นี้มาก จึงไม่คิดที่จะปลอยให้เขาทำตามใจอีก

“ Spell Fist ”
สิ้นเสียงพลังเวทย์ก็ถูกสะสมไว้ที่หมัดของเขาจนเริ่ม เรืองแสงราวกับมีออร่าอาบไว้

“ Any Spell Pluse ”
สิ้นคำ ลากูน่าก็เริ่มพึมพำ ร่ายคาถาโดยที่ระหว่างร่ายแสงพลังเวทย์ที่ห่อหุ้มตัวของเขาก็เริ่มขยายตัว
และย้ายไปเสริมกับพลังเวทย์ที่เจนัส สะสมไว้ที่หมัดจนแสงพลังเวทย์มันขยายขึ้นก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปซัด
อีกฝ่าย

« Last Edit: August 31, 2008, 09:08:47 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #165 on: May 25, 2008, 07:50:56 PM »

“ Splash Shot ”
เช่นกันนีน่าเองก็ลั่นไกปืนออกไปพร้อมกับที่แรง ระเบิดจากลูกกระสุนทั้งแปดพุ่งออกไปยังนักรบนิรนาม

ก่อนที่การโจมตีของพวกเขาจะถึงตัวนักรบนิรนามเขาก็ออกแรงดันสลักที่เข็มขัดไป
ข้างหน้าโดยที่แรงหนืดของสลักไม่มีผลทำให้เขาดันมันยากขึ้นเลย ซึ่งทันทีที่เขาดันสลักไปข้างหน้า  ตามรอยต่อของเสื้อเกราะก็มีไอน้ำพวยพุ่งออกมาก่อนที่รอยแยกนั้นจะเริ่มขยายชุดเกราะของ
เขาเริ่มแยกชิ้นออกจากกันราวกับจะปริ แตกออกมา
พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำจากเข็มขัดซึ่งราวกับเสียงจักรลดังขึ้น

“ Stand By ”(เตรียมพร้อม) :ควรออกเสียงตามนี้เพื่ออรรถรส สแตน~~บายยย ออกเสียงทุ้มต่ำๆ:

ขณะที่การโจมตีเริ่มกระชั้นชิดเข้ามา นักรบนิรนามกลับดูไม่รีบร้อนเลย ซึ่งนั่นทำให้เจนัสรีบพุ่งเข้าไปเร็วขึ้น จนแทบจะแซงแสงกระสุนของนีน่าไปเลย

“ Release Armor ” (ปลดเกราะ)
นักรบนิรนามกล่าวก่อนจะออกแรงดึงสลักกลับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

“ Push Off ” (ผลักออก) :แพส~~ออฟฟฟ (ออกเสียงออฟให้ทุ้มต่ำสั้นๆ):
เสียงจากเข็มขัด ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ชิ้นส่วนเกราะเขาจะพุ่งแตกกระจายออกจากร่างราวกับ
ถูกแรงระเบิดดีดออกมาจากข้างใน การโจมตีของพวกเจนัสถูก ชิ้นส่วนของเกราะจำนวนนับไม่ถ้วน
พุ่งเข้าประทะจนสูญเสียการควบคุมและพุ่งเฉียงออกไป หมดรวมทั้งตัวของพวกเขาก็
กระเด็นไปตามแรงระเบิดที่พุ่งผลักเกราะออกมา

จนต้องถอยกลับมาตั้งหลักในระยะไกลพอสมควร ทันทีที่พวกเขาตั้งตัวได้ ร่างของนักรบนิรนามที่
อยู่ภายใต้ชุดเกราะก็ได้เผยออกมา ร่างนั้นเป็นร่างของเด็กหนุ่มผมสีทองอายุราวพวกเขาในเสื้อไหมพรมแขนสั้นสีดำอมน้ำเงิน
กางเกงสีขาวลายแดงขริบทอง ตาของเขาปิดสนิทอยู่ และที่ทำให้ทาลูคูสรู้สึกแปลกใจก็คือ

เทพขุนพลคนนี้ก็เป็นครึ่งสมิงเช่นกันกับเจนัส แต่ดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อะไร เพราะหูที่เป็นเฉกเช่นสัตว์นั้น
ถูกผมสีทองปรกเอาจนโผล่พ้นขึ้นมาเพียงน้อยนิด ที่เหลือจึงมีเพียงหางสีขาวยาวเป็นพวงของเด็กคนนั้นเท่านั้น
ที่จะบ่งบอกได้ แต่ที่ดูจะทำให้พวกเขาแปลกใจกว่าก็คือท่าทีของพวกเจนัสทั้งสาม ที่ตอนนี้ได้แต่นิ่งอึ้ง
ตาเบิกโผลงจ้องไปยังเด็กคนนั้น ราวกับเห็นผี

“ นี่พวกนายเป็นอะไรกันไปน่ะ ทำหน้ายังกับเห็นผีงั้นล่ะ ”
ทาลูคูสหันมาถาม แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบจากทั้งสามซึ่งก็ทำเอาเขากับลูกมังกร งงไปตามๆกัน
ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มคนนั้นก็ค่อยๆ เบิกตาขึ้นแววตาของเขาดูเย็นชาสีหน้าเรียบนิ่งราวกับไร้ชีวิต

“ นั่นใครกันน่ะ ”
ทาลูคูส ตัดสินใจเปลี่ยนคำถามแทนเพื่อขอคำตอบจากทั้งสามแต่พวกเขาก็ยังคงนิ่งอึ้งอยู่

“ พวกนายรู้จักเจ้านั่นด้วยเหรอ ”
ทาลูคูสย้ำอีกครั้งพวกเขาจึง สะดุ้งเหมือนกับพึ่งได้สติกลับมา

“ ยิ่งกว่ารู้จักซะอีก ”
ลากูน่า กล่าวด้วยน้ำเสียงหวั่นๆแต่สีหน้ากลับเหมือนได้พบคนที่อยากเจอมานานแล้ว

“ เค้าน่ะคือ… ”
นีน่า กล่าวเสียงสั่นๆอย่างบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือกลัวอยู่กันแน่เพราะตัวของนางสั่นระริกไม่ยอมหยุดเลย
ราวกับเนื้อหนังของนางเต้นตุบตับไปทั่ว

“ คนที่ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วไงล่ะ ”
นีน่ากล่าว ออกมาอย่างยากลำบากเพราะนางสั่นไปทั้งตัวจนขาอ่อนแรงและทรุดหวบลงกับพื้น

“ น..นี่รึว่านั่นคือ ”
ทาลูคูสกล่าวเหมือนกับเริ่มเข้าใจแล้วว่าอาการของพวกเขา คืออะไรและสิ่งที่พวกเขาทั้งสามเห็นคืออะไร

“ ใช่แล้ว…นั่นน่ะคือ… ”
เจนัสกล่าวตะกุกตะกักอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ 

“ ใช่..ทีนี้ก็รู้แล้วสินะ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก เครสเซนท์(Crescent = จันทร์เสี้ยว)หรือจะให้เรียกว่า ริคุ ดีล่ะ ”
เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆอย่างช้าๆ



“ ริคุงั้นเหรอบ้าน่า ก็ไหนว่าตายไปแล้วไงเจนัส นี่มันยังไงกันแน่ ”
ทาลูคูสหันมาถามอย่างลนลานจนทำอะไรไม่ถูก

“ ถามมาอย่างนี้พวกเราก็ตอบไม่ได้หรอก เพราะพวกเราเองก็ยังไม่เข้าใจเลย ”
เจนัสตอบด้วยท่าทีอิดโรย ความรู้สึกของเขาในตอนนี้บอกไม่ถูกว่า กำลังดีใจหรือกลัวอยู่กันแน่
ในขณะที่เด็กหนุ่มที่เรียกตนว่าเป็นเครสเซนท์ และบอกว่าเป็นริคุเดินเข้ามาประชิดตัวเขา
ซึ่งก็ทำเอาลากูน่ากับนีน่าทำตัวไม่ถูกไปเลยทีเดียว ขณะที่เจนัสจ้องเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่ออย่างที่สุด

“ ไงชาโดว์มูน..ไม่สิตอนนี้นายไม่ใช่แล้วนี่เนอะ งั้นก็ขอคุยในฐานะเพื่อนเก่าก็ละกันนะ….เจนัส ”
เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวก่อนจะเบือนสายตาไปยังนีน่ากับลากูน่า

“ ไง..ไม่เจอกันนานเลยนะลากูน่า นีน่า อ้อไม่สิก็พึ่งเจอกันอยู่ก่อนหน้านี้ไม่นานนี่เนอะ ”
เด็กหนุ่มกล่าวไปยิ้มไปอย่างเป็นมิตร

“ นาย..ตัวจริงสินะสัมผัสแบบนี้ไม่ผิดแน่ริคุนายยังไม่ตายจริงเหรอ ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยริคุ อัก….. ”
เจนัสกล่าวอย่างลิงโลดแต่ยังไม่ทันได้จบประโยค เขาก็รู้สึกราวกับถูกคมดาบจำนวนมากฟาดฟันใส่
ก่อนที่ร่างของเขาจะบิดไปมาตามแรงกระทำโลหิตสีแดง ฉานพุ่งกระฉูดออกมาอาบร่างของเขาก่อนจะล้มฟุบจมกองเลือดไปกับพื้นหญ้า

“ ใช่ฉันกลับมาจากนรกเพื่อมาเอาชีวิตพวกนายที่ทรยศต่อ องค์กร ”
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเหี้ยมโดยที่สีหน้าเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ก่อนจะสบัดกรงเล็บของเขาซึ่งมีเศษเสื้อผ้าและเลือดของเจนัสติดอยู่ให้หลุดออกไป ทันทีที่เจนัสล้มลงลากูน่าและนีน่าก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเจนัสทันที

“ เจนัส ”
“ ท่านพี่ ”
ทั้งสองเรียกเขาแต่ดูเหมือนเขาจะอ่อนล้าจากบาดแผล ทำให้ไม่มีแรงจะลุกขึ้นหรือโต้ตอบอะไรได้เลย

“ แก….ทำไม..ทำไมถึงทำอย่างนี้ ”
ทาลูคูสตวาดออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดเขามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาราวกับจะกินเลือด
กินเนื้อเขาซึ่งนั้นดูจะทำให้เด็กหนุ่มชอบใจมากกว่าเดิม

“ ทำไมน่ะรึ ก็เพราะมันสนุกน่ะสิ ความรู้สึกผิดหวังยามที่ถูกหักหลังน่ะมันช่างรื่นรมย์
เสียนี่กระไร  โกรธด้วยเหรอไงคนนอกอย่างแกน่ะ ”
เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับทอดสายตาเยาะเย้ยราวกับไม่รู้สึกผิดหรือเกรงกลัวอะไรเลยกลับดูเหมือนสนุกสนาน
ที่ได้เห็นเพื่อนๆของตนต้องบาดเจ็บและผิดหวังซะมากกว่า

“ แก….ทั้งที่พวกเค้าเป็นเพื่อนแกแท้ๆ..ทั้งที่พวกเขาเชื่อใจแกมาตลอดจนวันนี้พวกเค้าก็ยัง
คงเชื่ออยู่สำหรับแกแล้วความเป็น เพื่อนความเชื่อใจนั้นมันคืออะไรกันแน่ ”
ทาลูคูสกล่าวอย่างเดือดดาล ต่อการกระทำที่ฉาบฉวยของเด็กหนุ่มผู้นี้
พวก ลูกมังกร ตอนนี้กำลังช่วยกันพาพวก เจนัส ไปหลบก่อนเพราะสภาพจิตใจของพวกเขาไม่อาจสู้ต่อได้แล้ว


“ หึ..ความเชื่อใจบ้างล่ะมิตรภาพบ้างล่ะ ของไร้สาระแบบนั้นน่ะมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ”
เด็กหนุ่มกล่าวเรียบๆ ซึ่งคำพูดนั้นทำเอา ลากูน่า เจนัส และ นีน่า ซึมไปด้วยความผิดหวังทันที
ซึ่งนั่นทำให้ ทาลูคูส เดือดดาลมากขึ้น ไปอีกเขากำดาบเอาไว้แน่นจนมือแทบจะแหลกคาดาบไปเลย
ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มยิ้มเยาะด้วยความชอบใจ

“ คิดรึว่าตลอดมาน่ะฉันเป็นเพื่อนพวกแก ที่จริงทางองค์กร ต้องการดักคอพวกแกไว้ก่อนถึงได้ให้ข้าทำทีเป็นตีสนิทกับพวกแกเอาไว้ก่อนไงล่
ะ…เป็นยังไงความรู้สึกที่โดนทรยศหักหลังน่ะมันเจ็บปวดขนาดไหน..หึฮ่าๆๆ ”
 เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงลิงโลดเป็นที่สุดก่อนจะ หัวเราะอย่างยิ้มเยาะด้วยความสะใจ

“ หนอยแก..คนที่ใช้ความเป็นเพื่อนและมิตรภาพเป็นแค่เครื่องมือหลอกลวงคนอื่นอย่างแก น่ะอย่าอยู่เลย…ย้ากกก ”
ทาลูคูสที่เดือดเต็มที่บันดาลโทสะออกมาอย่างเต็มทน ก่อนจะฟาดดาบในมือใส่ร่างของเด็กหนุ่มแต่ทว่า
ดาบของเขาก็ถูกกรงเล็บของเด็กหนุ่มที่สะบัดมาปัดออกไปพร้อมกับเสียงฉัวะ ราวกับมีดบาดดังขึ้น
ดาบของเขาหลุดออกจากมือ พร้อมเลือดที่ไหลพรากจากแผลที่มือ จนเขาต้องเอามืออีกข้างกุมไว้ด้วยความเจ็บแค้น

“ ตายจริงกะว่าจะตัดให้มือขาดติดดาบไปเลยนะพลาดไปซะได้ ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างอดเสียดายไม่ได้ ก่อนจะเอามือที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตนขึ้นมาเลียเลือดด้วยสีหน้าระลื่น

“ ช่างหอมหวานดีแท้เลือดของคนที่ผิดหวังเพราะถูกทรยศเนี่ย เคี้ยกๆๆ ”
เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างชอบใจ เซอร์เซสที่แม้จะเลือนรางเต็มทีแล้ว แต่ก็ยังได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
ก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมอย่างเป็นสุข

“ อ้อจริงสิท่านเซอร์เซส ข้าลืมไปเลยรออีกเดี๋ยวเดียวนะข้าจะรีบๆจัดการให้เสร็จสิ้นไป ”
เด็กหนุ่มกล่าวจบก็พุ่งทะยานออกไปอย่งรวดเร็วราวลมกรด ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าพวกเขา
พร้อมกับเลือดที่พุ่งออกจากร่างของพวกเขาทุกคน บาดแผลถูกฟันเปิดเหวอะหวะไปทั่วทั้งร่าง
ของพวกเขา แต่สำหรับพวกเจนัสแล้วที่เจ็บกว่านั้นคือใจของพวกเขาที่ถูกหักหลังความเชื่อใจที่เคยมีให้กันตลอดมา ร่างของทาลูคูสเรืองแสงก่อนจะกลับเป็น Lr กับไลท์ตามเดิมโดยทั่วร่างก็ยังคงมีบาดแผลติดตัวมาด้วย

“ เอาล่ะจะปิดบัญชีล่ะนะ ”
เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะก้าวไปหาเจนัสกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาอย่างแรง Lrและพักพวกทำได้
เพียงแต่เฝ้ามองดูเพื่อนของเขาถูกเชือดเท่านั้น
เพราะต่างก็บาดเจ็บจนขยับไม่ไหวแล้ว

“ จะเอาตรงไหนก่อนดีน้า เอาเถอะยังไงก็อย่ารีบตายนักล่ะ เดี๋ยวมันจะหมดสนุกเร็วไป ฮิๆๆ ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสะใจขณะที่ค่อยๆเอากรงเล็บกรีดร่างของผู้ที่เคยเป็นเพื่อน ด้วยความสะใจ
ไม่มีเสียงแสดงความเจ็บปวดใดๆดังออกมาซึ่งนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

“ ทำไมไม่ร้องล่ะ..เอาซิเอาเลยเชิญกรีดร้องได้ตามสบายเพราะไม่งั้นมันจะหมดสนุกกันพอดี..
เอาสิร้องเลยร้องขอชีวิตหรืออะไรก็ได้เอาสิ ”
เด็กหนุ่มพยายามอยู่นานเพื่อให้เจนัสตอบสนองออกมาแต่เขาก็ยังนิ่งเงียบจ้องมองไปยังสายตาของเด็กหนุ่ม
ตลอดเวลา ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงปล่อยตัวเขาให้ล้มลง

“ ทำไมถึงไม่ร้องล่ะ ทำไม แกจ้องอะไรอยู่ ข้าถามว่าแกมองอะไรอยู่ ”
เด็กหนุ่มเริ่มที่จะโมโหหงุดหงิดกับท่าทีที่นิ่งเฉยของเขา

“ นาย…ไม่ใช่สินะ.. ”
เจนัสกล่าวพะงาบๆออกมาแผ่วๆลมหายใจของเขาเริ่มแผ่วลงอย่างช้า

“ อะไรของแก เพ้ออยู่หรือไง ”
เด็กหนุ่มกล่าวอีกครั้งด้วยความเดือดดาล
แต่เจนัสเองก็ยังคงจ้องไปที่สายตาของเขาอยู่ซึ่งนั้นทำให้เขาแปลกใจและรำคาญมาก

“ เข้าใจแล้ว.. ”
เจนัสกล่าวพร้อมกับค่อยๆยันตัวขึ้นอยางลำบาก แววตาของเขาทำเอาเด็กหนุ่มถอยผงะความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้น
เล็กน้อยในใจของเด็กหนุ่ม เมื่อเจนัสมองลึกลงไปในดวงตาของเขา

“ เข้าใจอะไรของแก  ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างลนลานก่อนจะถอยผงะออกห่างมาเรื่อยๆพวกลากูน่าที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจ
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามเจนัสที่พยุงตัวขึ้นมาแล้วก็กล่าวออกมา

“ ลากูน่าแล้วก็เธอ…นีน่า ที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ริคุ ”
เจนัสเปรยออกมาด้วยสายตามุ่งมั่นซึ่งนั่นสร้างความประหลาดใจให้แก่ทั้งสองฝ่าย

“ เพ้อไปแล้วรึไง ถ้านี่ไม่ใช่ข้าแลวข้าจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ ”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีร้อนรน เมื่อเห็นเจนัสลุกขึ้นมา

“ ริคุจะไม่มีวันหักหลังพวกเรา ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่ริคุแต่เป็นเครสเซนท์ที่อยู่ในร่างของริคุ ”
เจนัสกล่าว

“ แกบ้าไปแล้วตายซะเถอะ Kamaitachi (เคียววายุ) ”
เด็กหนุ่มกล่าวจบลมก็เริ่มก่อตัวที่อุ้งมือของเขาทันทีก่อนจะวาดมันออกไปใส่เจนัส

“ ข้าแต่ผู้ปกครองแห่งดวงเดือนและหน้ากากแห่งเลือดเนื้อจงมอบนิทราอันเป็นนิรันด์แก่อริข้า Bloody Moon  ”
สิ้นเสียงของเจนัสศิาจันทราก็ส่องแสงวาบออกมาก่อนที่แสงจะทะยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแหวก
หมู่เมฆฝนที่ก่อตัวกันเอาไว้ก่อนจะปรากฏจันทราสีเลือดขึ้นมา พร้อมกับสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนัก

เปรี้ยง!!!

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องพร้อมกับสายฟ้าแลบแสงจากสายฟ้าที่สว่างวาบขึ้นมาด้างหลังของเจนัส
ทำให้ชั่วพริบตานึงท่าทางของเขาดูน่าเกรงขามอย่างงมาก แสงจากจันทราสีเลือดสาดส่องลงมาอาบร่างของเขา
ลากูน่าและนีน่าเองก็เช่นกันหลังจากอาบแสงนั้นบาดแผลก็ปิดสนิททันที และรู้สึกสดชื่นราวกับได้รับพลังเพิ่ม
และหายจากความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้จากคำพูดของเจนัสทำให้ทั้งสอง มีกำลังใจจะสู้อีกครั้ง

พวก Lr ยังคงบาดเจ็บอยู่จึงไม่อาจร่วมสู้ได้นีน่าจึงพาพวกเขาออกห่างไปก่อนจะกลับมาสมทบซึ่งอีกฝ่ายก็รอท่าอยู่แล้ว

“ เข้าใจแล้วนะทั้งสองคน ”
เจนัสถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าตอบกลับอย่างมั่นใจ

“ นี่พวกคิดแกจะสู้กับข้าจริงๆรึ ”
เด็กหนุมกล่าวน้ำเสียงหวาดหวั่น เมื่อทั้งสามกลับมายืนตรงหน้าพร้อมกันทั้งสามคนท่ามกลางพายุฝน
ที่โหมกระหน่ำราวกับความสิ้นหวังแต่บัดนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว พวกเขาพร้อมที่จะรบอีกครั้งแล้ว

“ สายตาของริคุ ได้บอกให้ฉันรู้แล้วว่าแกไม่ใช่ริคุแกแค่อาศัยอยู่ในร่างของริคุเท่านั้นเจ้าปิศาจแห่งความกลัวที่
ท่านผู้นั้นสร้างขึ้นมาในจิตใจของริคุ ”

เจนัสกล่าวจบก็เร่งพลังเวทย์เต็มที่เช่นกันลากูน่าเร่งพลังตามพี่ ของเขาอยางทันถ้วงทีขณะเดียวกันนีน่า
เองก็เริ่มแกะประกอบปืน ของตนใหม่พร้อมกับดึงเอาใบมีดที่เก็บเอาไว้มาติดที่ ปืนซึ่งเปลี่ยนโฉมเป็นด้ามมีดไปแล้ว ก่อนจะถอดชุดราตรีสีดำออกเผย ให้เห็นชุดผ้าไหมรัดรูปสีเขียวอมฟ้ากับถุงอุปกรณ์แปลกๆที่คาดเอวไว้
นางคว้าเอาผ้าคลุมสีม่วงผืนใหญ่จากกระเป๋าคาดมาคลุมทันที

พร้อมกับที่พวกเจนัสโยนเสื้อที่ฉีกขาดทิ้งไปเพื่อ ไม่ให้เกะกะการส่งพลังมนตราออกจากร่าง
ควันสีดำพวยพุ่งออกมา ครอบคลุมร่าง ของทั้งสามและเมื่อลมฝนที่พัดโชยมาพัดเอาละอองควันออกไป
ร่างของ สมิงหม่าป่าสีดำ และสีเงินสองตนกับ สมิงแมวป่าขนสีม่วงซึ่งถือมีดด้ามที่แปลงจากปืนของนาง
ทันทีที่ร่างของพวกเขาปรากฏ ได้ไม่นานจู่ๆพวกเขาก็หายวับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่เด็กหนุ่ม
ถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่ไปมา ซึ่งทุกครั้งที่โดนสิ่งนั้นพุ่งชน ก็จะเกิดบาดหรือรอยช้ำขึ้นซึ่งตอนนี้เด็กหนุ่มก็โดน
จนระบมไปทั้งร่างและ ล้มทรุดลงซึ่งสิ่งที่พุ่งไปมานั้นก็คือพวกเจนัสที่

เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วพุ่งเข้าโจมตีเขานั่นเอง
ทั้งสามหยุดการเคลื่อนไหวทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้นก่อนจะ ล้อมกรอบเข้าไป
เด็กหนุ่มกัดฟันด้วยความเจ็บแค้นขณะที่มองไปหา เซอร์เซส ซึ่งล่อแล่เต็มทนแล้ว
เขาจึงคิดจะหาทางหนีไปแต่ตอนนี้เขาถูกทั้งสามล้อมไว้หมด

“ หนอย…แล้วจะได้เห็นดีกัน ”
เขากล่าวก่อนที่ควันสีดำ จะพวยพุ่งออกมาเช่นเดียวกับพวกเขาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่เร็วมากพุ่ง
ทะยานออกมาจากกลุ่มควันฝ่าละอองฝนจนเกิดเสียง แซ่กๆ  ขึ้นอย่างรวดเร็ว เหลือไว้แต่เพียงเสื้อที่เด็กหนุ่มใส่เมื่อครู่ถูกทิ้งไว้

“ Double Kamaitachi ”(เคียววายุคู่)
เสียงดังก้องขึ้นพร้อมกับคลื่นลมที่ส่งเสียงหวีดหิวพุ่งตรงเข้าหาเจนัสกับลากูน่าแต่ทั้งสองก็ใช้ความเร็วหลบไปได้ เมื่อเจ้าของเคียวสายลมเมื่อครู่หยุดเคลื่อไหว ร่างของสมิงพังพอน ที่ใส่ถุงมือเหล็กสีดำก็ปรากฏกายขึ้น

“ ลืมไปแล้วรึไงข้าคือนักสู้สมิงพังพอน(Waesel Fighter)ที่เร็วที่สุดนะอย่างพวกเจ้าน่ะตามข้าไม่ทันหรอก ”
สมิงพังพอนกล่าวจบก็ทะยานไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง



“ ชิ ลมกรดสมแล้วที่เป็นร่างของริคุไวจนตามไม่ทันเลย ”
เจนัสกล่าวขณะที่คอยรับมือการโจมตีของสมิงพังพอน

“ ดีล่ะ..ถ้างั้นก็ต้องสกัดการเคลื่อนไหว ”
นีน่ากล่าวจบก็กดสวิซต์ที่ด้ามมีด หลังจากนั้นก็มีเสียงสัญญาณดังขึ้นหนึ่งครั้งเสียงนั้นดังกังวาน
ขึ้นไปบนฟ้า เหนือเมฆขึ้นไปวัตถุโลหะทรงกลมสีขาวซึ่งลอยลำอยู่เหนือหัวพวกเขาก็บินทะลุเฆมฝนลง
อย่างรวดเร็ว

“ เอาล่ะถ้าสู้กันซึ่งๆหน้าไม่ได้ คงต้องใช้เครื่องทุ่นแรงกันหน่อย ”
นีน่ากล่าวซึ่งการปรากฏตัวของวัตถุประหลาดเองก็ทำเอาสมิงพังพอนนิ่งอึ้งไปเช่นกันกับพวกเขา
มันมีขนาดใหญ่เท่ากับให้คนสองคนนั่งได้

“ ยิงเลยจ้ะคาริอุส (Carrius) ”
นีน่ากล่าวจบก็กดสวิซต์ที่ด้ามมีดอีกครั้งซึ่งดูเหมือนวัตถุนั้นจะมีปกิกิริยาตอบสนองกับเสียงที่ดังขึ้นนั้นด้วย

“ Ready ”(เตรียมพร้อม):เลด~~~ดี้อ่านออกเสียงทุ้มต่ำ:
วัตถุนั้นส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกับ กางกลไกภายในออกมาเหมือนกับกางปีกซึ่งกลไกลที่ถูกกางออกมา
เป็นแขนกลที่ซ้อนไขว้กันและในช่วงแขนนั้นก็มีอาวุธมากมายติดอยู่ทั้งสองข้างไม่ว่าจะเป็นดาบปืนใหญ่ระเบิดกระสุน หรือแม้แต่ธนูโละก็มี

“ Choose ”(ยิงส่ง):ชูสสสส ออกเสียงสูงหน่อยๆ:
วัตถุนั้นส่งเสียงอีกครั้งก่อนจะทุ่มอาวุธทั้งหมดลงข้างล่างใส่พวกเขา

“ หลบดีๆนะ ”
นีน่าตะโกนพร้อมกับพาพวก Lr ออกจากบริเวณอย่างรวดเร็วทุกคนสามารถหลบพ้นได้หมด
แต่เซอร์เซสเพียงคนเดียวกลับถูกห่ากระสุนและดาบเสียบในฝักพุ่งกระแทกใส่เป็นพัลวัน

ตอนนี้อาวุธทั้งหมดตกเกลื่อนกลาดระเกะระกะไปหมดซึ่งแม้จะยัง งงๆอยู่แต่ก็รู้แล้วว่าตอนนี้ความเร็วของทุกคนจะต้องถูกจำกัดด้วยอาวุธที่ปักอยู่บนพื้นเหล่า
นี้ราวกับเป็นเสาโลหะที่กีดขวางการเคลื่อนไหว
หลังจากที่วางพวก Lr ลงแล้วนีน่าก็รีบกลับเข้าไปความหาอาวุธที่ถูกทิ้งลงมา บัดนี้วัตถุประหลาดนั้นได้หดแขน กลของมันกลับและทะยานกลับไปบนฟ้าแล้ว
เจนัสกับลากูน่ารีบมาสมทบกับนางทันที ซึ่งนางเองก็ความหาของที่ต้องการเจอแล้ว

“ เอ้านี่สำหรับพวกเธอไอ้นี่น่าจะถนัดมือกว่านะ ”
นีน่ากล่าวขณะที่โยนสนับมือโลหะซึ่งมีปลายหนามเหล็กที่ข้อนิ้วสนับมือ2 คู่ให้พวกเขาทั้งสองซึ่งมันก็พอดีกับ
อุ้งมือในร่างสมิงของพวกเขาพอดี ส่วนนางก็ชักเอาดาบยาวออกจากฝักดาบมาสองเล่ม

“ ทีนี้ก็ไปจัดการกันเลย ”
นีน่ากล่าวจบพวกเขาก็แยกกันไปล้อมสมิงพังพอนที่ยืนดูด้วยความตลึงงึงงัน

“ เชอะคิดว่าจะจับข้าได้เรอะฝันไปเถอะ ”
สมิงพังพอนกล่าวจบก็พุ่งออกอย่างรวดเร็วแต่ครั้งนี้ความเร็วของเขากลับตกลงจนสามารถมองตามได้ทัน
เพราะอาวุธที่ถูกทิ้งระเกะระกะไปหมดทำให้เขาเคลื่อนที่ได้ไม่สะดวกนัก
เผลอตัวอีกทีเขาก็ถูกกำปั้นของเจนัสและลากูน่ารัวๆเข้าไปทั้งร่าง และด้วยสนับมือหนามที่ใช้ทำให้
การโจมตีรุนแรงขึ้นจนจุดที่โดนชกเป็นแผลเหวอะทันทีโลหิตสีแดงไหลพรากออกมาอาบขนสีขาว
นวลของเขาไปทั่วทั้งร่าง

ความเร็วของฝ่ายเจนัสไม่ตกลงเป็นเพราะจันทราสีเลือดที่อัญเชิญมาทำให้พวกเขามีพลังมากพอ
ที่จะเคลื่อนไหวได้ในที่คับแคบแช่นนี้ สมิงพังพอนถูกต้อนจนตรอกแล้ว

“ เป็นวิธีที่เสี่ยงไปหน่อยเพราะถ้าหากแกหยิบอาวุธเหล่านี้มาใช้ด้วยล่ะก็คงลำบากแย่เลย ”
นีน่ากล่าวขณะที่เอาดาบไปจ่อที่คอยของสมิงพังพอนเพื่อไม่ให้เขาหนี

“ แต่เรารู้อยู่แล้วว่าริคุน่ะไม่ถนัดใช้อะไรแบบนี้ ”
ลากูน่ากล่าวโดยแยกเขี้ยวขู่ไปด้วยทำให้สมิงพังพอนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย

“ ถึงแกจะไม่ใช่ริคุที่พวกเรารู้จักแต่นี่ก็เป็นร่างของเขาเพราะฉะนั้นแกจึงมีข้อจำกัดเช่นเดียวกับเค้าด้วย ”
เจนัสกล่าว

“ แกแพ้ให้กับความรู้สึกที่เรามีต่อริคุแล้ว เพราะเรื่องของริคุพวกเราที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาต่างก็รู้ดีที่สุด ”
เจนัสกล่าวตอกย้ำความพ่ายแพ้ของสมิงพังพอนอีกครั้ง

“ อึก..ข้ายอมรับเลยว่าแพ้พวกแกแล้วเพราะฉนั้น … ”
สมิงพังพอนกล่าวจบก็หายฟุบไปจากตรงหน้าพวกเขา ทำให้ทั้งสามหันไปยังทิศที่เซอร์เซสนอนอยู่
สมิงพังพอนไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะสมิงพังพอนจะกลับเป็นร่างของเด็กหนุ่มตามเดิมเขาหยิบเสื้อ
กลับมาใส่และดันสลักที่เข็มขัดอีกครั้ง

“ Push On ”(ดึงกลับ):พุชออน ออกเสียงตามปกติ:
เสียงจากเข็มขัดดังขึ้นพร้อมเศษชิ้นส่วนเกราะที่แตกกระจายไปในตอนแรกเรืองแสงสีม่วงอ่อนและ
หายวับกลับมาปรากฏตรงหน้าเขาและค่อยๆประกอบกลับตามเดิม ก่อนจะแบกร่างของเซอร์เซสที่จวนเจียนจะไปอยู่แล้ว
ขึ้นบ่า

“ ครั้งนี้ข้าจะถอยก่อน แต่เมื่อเจอกันครั้งหน้าจงจำเอาไว้ให้ดีข้าไม่ใช่ริคุที่พวกเจ้ารู้จักแต่เป็น 12 เทพขุนศึก
เครสเซนท์ ”
เขากล่าวจบก่อนทะยานออกไปอย่างรวดเร็วและหายลับไป โดยที่พวกเจนัสตามไปไม่ทัน
พวกเขาจึงสลายพลังมนตราพร้อมกับคืนร่างเดิม นีน่ากดสวิตซ์เรียกวัตถุทรงกลมกลับมาเก็บอาวุธ
คืนอีกครั้งโดยมันพุ่งลงมาและใช้แขนกลดึงทุกอย่างกลับเข้าตัวและบินหายลับไป
 
พวกเขาเดินไปเก็บเสื้อที่ถอดทิ้งไปกลับมาสวมอีกครั้งส่วนนีน่าก็ประกอบมีดกลับเป็นปืนตามเดิม

หลังจากที่อัญเชิญจันทราสีเลือดกลับไป พายุฝนก็หยุดลง แสงจากดวงตะวันยามเย็นได้ทอประกาย
ผ่านละอองน้ำในอากาศจนเกิดเป็นสายรุ้งทอดยาวขึ้นมา พวกเขาช่วยกันพาพวก Lr กลับหมู่บ้านเพื่อไปทำแผลที่กองกำลัง
และการต่อสู้ของพวกเขาในครั้งนี้ก็ได้รับชัยชนะไป แต่ทว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นทำศึกกับโฮลี่ไนท์แมร์เท่านั้น

…………..

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า

หลังจากที่พวก Lr หายจากอาการบาดเจ็บ พวกเขาก็ได้ข่าวเรื่องที่อยู่ของนิทินโค
จึงคิดจะเดินทางออกไปรับตัวและเพื่อทำภารกิจที่ทิโมธีฝากมาด้วย แต่แล้วพวกเขาก็ต้องเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า
จะเดินทางไปด้วยกันเรื่อยๆหรือ ทางที่แยกจากกันเป้าหมายของแต่ละคน การตัดสินใจของพวกเขารวมถึงอดีตของนีน่าที่มีต่อริคุคืออะไรกันแน่ น้องชายของเมทาไนท์เป็นใคร ติดตามได้ในตอนหน้า

บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน

เป็นไงครับไม่นึกถึงกันเลยสิมีเรื่องมากมายให้เลือกอึ้งจริงๆ ว่าแต่ผมเขียนริคุต่างไปจากที่ทุกคนคิดกันมากรึเปล่า
ไม่เหมือนที่ได้ยินจากเจนัสเลยสินะครับ แต่ทำใจเถอะครับความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นแล้วก็ติดตามตอนต่อไปกันอาทิตย์หน้านะครับบาย

« Last Edit: August 31, 2008, 09:10:34 PM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #166 on: May 27, 2008, 03:51:30 PM »

อึ้ง ทึ่ง เสียว cresent  เป็นใครนะ  ลอเรนซ์  น้องชายเมทาไนท์ชัวร์  ฟันธงครับ   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #167 on: May 27, 2008, 11:46:08 PM »

เอ่อ creasent ก็คือริคุอ่ะน่ะครับ - -* แต่เป็นฉายาเหมือนกับของเจนัสที่ใช้ชาโดว์มูนน่ะล่ะคับ
แต่ที่เจนัสบอกว่าไม่ใช่ริคุเพราะที่อยู่ในร่างไม่ใช่ริคุครับส่วนสาเหตุเพราะอะไรรอดูกันต่อไปนะครับ
ส่วนน้องชายเมทาไนท์ฟันธงเลยครับว่าใช่ไม่แน่อาจหักมุมนะครับ(เออว่าแต่จะหักไงนิมันไม่มีมุมให้หักแล่วงั้นรอดูต่อไป
อาจจะถูกเพราะผมกาบุม่อนเป็นผู้ช่วยคนแต่งส่วนเกรม่อนไม่อยู่ตอนนี้เรียนพิเศษอยู่555แมวไม่อยู่หนูร่าเริง)
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #168 on: May 30, 2008, 09:07:08 PM »

หวัดดีคร้าบท่าเข้ามาแล้วเห็นว่ากระทู้มีบางอย่างเปลี่ยนไปคุณคือ
ผู้รู้แจ้งนะครับเพราะจำได้มั้ยคราวก่อนรูป weasel fighter มันเบลอผมเลยเอามาลงใหม่อีกที
แต่อันนี้มันของที่เขามีในเเว็บน่ะครับเลยปั้ม ตัวอักษรปิดไว้ซะเกือบมิดเลย
ต้องขออภัยจริงๆเนื่องจากรูปที่มีมันไม่ใช่มากและอีกอย่างหลังๆอาจมีการใช้รูปพวก
นี้อีกดังนั้นหากพบเจอภาพการ์ดที่แปะไว้
มีตัวอักษรปิดก็ทำใจหน่อยนะคร้าบ กระผมอับจนปัญญาแล้ว
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #169 on: May 31, 2008, 10:23:17 AM »

อยากเห็นเมทาไนท์เจอกับพระเอกของเราในสภาพพี่น้องกันน่ะ    แล้วก็ให้พวกสมิงไปด้วยกันด้วย   
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #170 on: June 01, 2008, 07:17:23 PM »

มาแล้วค้าบแหมหมู่นี้ชักรู้สึกว่าจะออกทะเลไปเรื่อยแล้วสิเนี่ย
 จากนิยายสงครามจะกลายเป็นรักโรแมนติกแทนซะนี่ว่าแล้วไปดูกันเลยดีกว่าครับ

บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน

   แสงจันทร์ที่สาดส่องลงยามค่ำคืน และสายลมที่พัดแผ่วๆอย่างอ่อนโยน พัดผ่านหมู่บ้านอันเงียบสงบ
ซึ่งห่างไกลจากทวีปเมอริเซียที่บัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ท้องนภาเปิดโล่ง
เหล่าดวงดาวต่างออกมาส่องแสงจนแพรวพรายเต็มฟากฟ้า ดวงจันทราในคืนนี้เองก็ส่องสว่างเต็ม
ทั้งดวงเป็นดั่งเช่นคืนนั้น ในคืนที่ทั่วทั้งอาณาจักรฟูดินันเกิดความวุ่นวายและเรื่องราวมากมาย

สายลมพัดอ่อนๆเพื่อให้ความเย็นสบายแก่ผู้คนของหมู่บ้าน เสียงหวีดหวิว ของลมราวกับจะขับกล่อมให้ทุกผู้ที่ฟังได้หลับในนิทราที่สงบ

เอี้ยดดดดอ้าดดด

เสียงท่อนเหล็นรูดกับไม้ ของราวตากผ้า ซึ่งตั้งอยู่หลังศูนย์กองกำลังต่อต้าน บนราวมีเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว
แจ็คเก็ตสีดำและแจ็คเก็ตสีแดงแขวนไว้ ซึ่งทุกตัวยังคงชื้นจากการซักและยังมีร่องรอย
การซ่อมแซมที่แนบเนียนชนิดนับได้ว่าฝีมือ ของผู้เย็บนั้นระดับมืออาชีพเลย และแม้ว่าจะไม่ชัดนักแต่
แจ็คเก็ตสีดำก็ยังคงมีคราบเลือดที่กลายเป็นสีดำจางๆติดอยู่ตามบางจุดต่างๆบ้าง

ภายในห้องพยาบาล เด็กมนุษย์ผมสีน้ำตาลแดงในเสื้อยืดสีดำ กับลูกมังกรอีกห้าตัวกำลังหลับจากความอ่อนล้า
โดยที่เก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆโต็ะข้างหัวเตียงที่เขานอนอยู่มีเด็กชายอีกคนนั่งสัปหงกเขามีผมสีเงินแต่มีหูเป็นสุนัขป่า
และยังมีหางสุนัขป่าซึ่งแกว่งไปมาผ่านช่องพนักเก้าอี้ที่เขาพิงอยู่


ห่างไปจากตัวบ้านไม้ที่เป็นห้องพยาบาลด้านหลังเป็นสวนที่วางราวตากผ้าเอาไว้ และถัดไปอีก
หน่อยก็เป็นสวนสาธารณะของหมู่บ้านซึ่งเป็นลานรูปวง มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน
ต้นไม้ที่ปลูกรอบๆสวนทำให้บรรยากาศของสวนสาธารณะนี้รื่นรมย์ขึ้น อีกทั้งแสงจันทร์
ที่สาดส่องลงมากระทบกับผิวน้ำแลดูเป็นประกาย บนผิวน้ำช่างน่าจับใจนัก

ที่ใกล้ๆนั้นเองใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนึงซึ่งหันเข้าหาดวงจันทร์ มีเงาของใครบางคน
กำลังพิงลำต้นพรางมองดวงจันทร์ไป ในมือของเขาถือสายห้อยคอซึ่งคล้องหินสีเขียวไว้
เขายกมันขึ้นสู่ระดับสายตาและมองมันผ่านแสงจันทร์ด้วยท่าทีสงบ ก่อนที่จะมีเสียงกรอบแกรบ
จากเศษกิ่งไม้ถูกเหยียบดังขึ้นทำให้เขาชะงักไป ก่อนจะหันไปมองยังทิศของเสียง
ก็เห็นเงาของอีกคนกำลังเดินเข้ามา

“ นอนไม่หลับเหรอ ”
ผู้มาเยือนกล่าวก่อนจะย่างเข้าใกล้มาเรื่อยๆอย่างช้า จนเมื่อแสงจันทร์สาดส่องผ่านลงมายังเบื้องล่าง
ร่างของทั้งสองก็ปรากฏแก่สายตาซึ่งกันและกัน

“ แล้วเธอล่ะ…มาทำอะไรที่นี่ ”
เจนัสถามก่อนจะลดมือที่ถือหินสีเขียวลงและหันไปสนทนาด้วยเขาสวมเพียงแต่กางเกงสีดำของเขา
เท่านั้นเพราะตัวที่นีน่าซื้อให้เขายังตากอยู่

“ ก็แค่….. ”
นีน่ากล่าวแต่ก็อ้ำอึ้งจนพูดไม่ออก นางตัดสินใจไม่ถูกว่าจะบอกดีหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นเจนัส
ก็พอจะทราบว่าเธอต้องการอะไรจึงถามออกไปโดยไม่คิด

“ ยังคิดเรื่องเมื่อตอนบ่ายอยู่อีกหรือ ”
เจนัสกล่าวเสียงเรียบ แต่สายตานั้นดูอ่อนโยนยิ่งนักซึ่ง
นั่นทำให้นางหน้าแดงด้วยความเขินอายอย่างบอกไม่ถูกไปชั่วครู่

“คิดสิ…ใครจะไปลืมลงล่ะ”
นางพยายามกล่าวเหน็บกลับแบบทุกทีแต่ทว่าน้ำเสียงนั้นสั่นเครือยิ่งนัก ทำให้เจนัส
เริ่มเป็นห่วง

“ นี่เธอ… ”
เจนัสพยายามจะหาคำพูดมาปลอบเธอแต่ก็ถูกนางหยุดไว้เส้นผมของนางหล่นมาปรกใบหน้าของนางเอาไว้
ทำให้ไม่รู้ว่าสีหน้าของนางเป็นเช่นไรบ้าง

“ ตอนที่ฉันยังรับการฝึกเพื่อเป็นเทพขุนพลน่ะ….. ”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือซึ่งเจนัสเองก็คิดจะกล่าวถามแต่ก็ล้มเลิกไปเพราะท่าทีของนางเขาจึง
จะรอฟังนางให้จบเสียก่อน

“ นายก็รู้นี่ว่ามัน…ยากมากตอนนั้นน่ะเพื่อนที่ร่วมฝึกกันมาก็ตายหมดเพราะไม่ผ่านการฝึกเหลือเพียงฉันอยู่คนเดียว… ”
นางกล่าวเสียงสั่นเครือมากขึ้นแต่ก็ยังฝืนเล่าต่อ

“ ..ตอนนั้นน่ะฉันสิ้นหวังเต็มแก่แล้วอยากจะตายๆไปเสียด้วยซ้ำแต่แล้ว..คนที่มาห้ามฉันไว้
และเป็นกำลังใจให้ฉันฝ่าฟันมาโดยตลอด… ”
นางกล่าวยังไม่ทันจบก็เงยหน้าขึ้นสีหน้านางยังคงเป็นปรกติ นางพยายามทำใจอยู่นานซึ่งเจนัสเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรยังคงยืนฟังต่อแต่ขณะเดียวกันก็เตรียม
หาวิธีรับมือหากนางเกิดคิดสั้นหรือเป็นอะไรขึ้นมา อยู่ไปพราง

“ ใช่แล้วเค้านั่นล่ะ..ริคุ.. ”
นางกล่าวออกมาด้วน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุดหากแต่เจนัสนั้นรู้อยู่แล้ว
ว่านางแสร้งทำเพราะนางเอามือไปไขว้หลังไว้และบีบมันแน่นแต่เขาก็ยังคงรอนางอยู่

“ วันที่ฉันเข้าพิธีเพื่อรับตำแหน่งเทพขุนศึก หลังจากเสร็จพิธีลูกน้องในสังกัดก็มารายงานว่านายกับเค้ากำลังประลองกันถึงตายเพื่อเป็น
เทพขุนศึก….ฉันรีบวิ่งไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดเลย ”

นางกล่าวไปพรางขณะเดินอ้อมไปยังอีกด้านของต้นไม้ซึ่งเจนัสก้ได้แต่เชยตามองตามไป
แต่นางก็วนกลับมายังด้านที่หันเข้าหาบ่อน้ำ และเดินใกล้มาที่เขา

“ ตอนที่ไปถึงฉันก็เห็นเธอกำลังซ้อมเค้าที่สู้ต่อไม่ได้แล้วจนตายน่ะ มันแทบจะทำเอาฉันสิ้นใจเสียตรงนั้นเลย ”
นางกล่าวขณะที่มองหน้าเขาซึ่งเขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าสะดุดตาแต่อย่างไรมีเพียงแววตาอ่อนโยนที่ไม่เคยให้เห็น
ของเขาเท่านั้นที่ฉายออกมา แตะกระนั้นนางก็ไม่ได้สนใจใยดีด้วยเลยยังคงเล่าต่อไป

“ รู้อะไรมั้ยตอนแรกฉันแค้นมากเลยล่ะแค้นซะจนแทบจะฆ่านายให้ได้เลยถ้ามีโอกาส…
แต่รู้มั้ยพอได้ทำงานร่วมกับนายฉันถึงรู้ว่าฉันอาจคิดผิดแล้วมันก็จริง ยิ่งได้มาฟังจากปากเธอเองฉันก็เลยแน่ใจแล้วล่ะ ”
นางกล่าวเรียบเฉย แต่เจนัสเองก็เริ่มมีปฏิกิริยาบางแล้ว

“ แน่ล่ะตอนแรกฉันเองก็ไม่แน่ใจแต่เค้าคนนั้นก็มาบอกให้ฉันรู้… ”
นางกล่าวจบเจนัสก็รีบแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ นี่รึว่าคนที่บอกเธอก็คือ.. ”
เจนัสกล่าวแต่นางก็แทรกประโยคขึ้นมาทันที


“ ใช่เค้าเองน่ะแหล่ะ ตอนนั้นฉันก็เลยแค้นเค้าไปโดยไม่รู้เเลยว่า….ว่า.. ”
นางกล่าวสะดุดๆเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แต่ยังฝืนกล่าวออกมา

“ คนที่ฉันแค้นที่สุดคือคนที่ฉัน….รักที่สุด…. ”
นางกล่าวจบก็นิ่งเงียบไปทำให้เจนัสคิดจะกล่าวปลอบเธอแต่แล้วนางก็หันควับมาทันที
ทำให้เขาชะงักไปนางสอดส่ายสายตาสำรวจตัวของเขาอย่างถี่ถ้วน
ก่อนจะตีสีหน้าเอือมๆ

“ นายนี่..ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไง… ”
นางถามเสียงอ่อย ก่อนจะหยุดมองเขาแต่เขาก็ยังคงตีหน้านิ่งเฉยอยู่นางจึงถอนหายใจ
อย่างเซ็งๆซึ่งนั่นทำให้เขางงกับท่าทีที่เอาแน่เอานอนของนางไม่ได้ซักที

“ ไม่ความรู้สึกเจ็บแค้นบ้างรึไง..ที่ต้องสู้กับเขาน่ะ ”
นีน่ากล่าว ตวาดด้วยความไม่พอใจ

“ แต่… ”
เจนัสพยายามจะกล่าวบางอย่างแต่ก็ถูกแทรกทันที

“ ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่เค้าแต่ยังไงซะถ้าต้องเจอกับเค้าอีกหนฉันก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเขาได้มั้ย ”
นีน่าตวาดกลับทันที โดยไม่ให้โอกาสเขาตั้งตัว

“ แต่ว่า…. ”
เจนัสยังไม่ทันได้กล่าวอะไรก็ต้องชะงักไปอีกเมื่อรู้ตัวนางก็เข้ามาซบที่อกเขาแล้วหยาดน้ำตาที่หยดลง
บนร่างของเขานั้นทำให้เขาหยุดชะงักปล่อยให้นางร่ำไห้ ไปโดยไม่ทำอะไร

“ ถึงนายไม่เจ็บ…แต่สำหรับฉันมันเจ็บราวกับถูกทิ้งให้ตายทั้งเป็น เพราะทังชีวิตฉันไม่มีใครอีกแล้วนอกจาเค้าฉันไม่อยากกลับไปตัวคนเดียวอีก….ไม่อยากเเผชิญกับความเหงาอีก ”
นางกล่าวด้วยความขมขื่นอย่างที่สุดซึ่งเจนัสเองก็เข้าใจดีเพราะเขาเอง
ก็ไม่ได้ไปต่างจากนางเลย แม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่แต่เมื่อต้องสู้กับคนสำคัญของตัวเอง ก็ย่อมต้องปวดร้าวเป็นธรรมดา
เขาจึงเอาแขนโอบนางเอาไว้อย่างอ่อนโยน

“ ใครว่าไม่เจ็บล่ะ.. ก็ไม่ต่างไปจากเธอหรอก”
เจนัสกล่าวปลอบ คำพูดของเขาทำให้นางหยุดสะอื้นไปบ้าง

“ รู้นะว่ามันน่ะเจ็บมันแค้น แต่คนที่สอนฉันว่าอย่าจมอยู่กับความแจ็บแค้นก็คือเค้านะ..ริคุน่ะ ”
เจนัสกล่าวจบนางก็ปล่อยโฮ่ ออกมาแม้กลัดกลั้นยังไงก็ไม่อาจทนได้

“ ไม่ต้องห่วง ไปหรอกฉันอยู่กับเธอแล้ว..จะไม่ปล่อยให้เธอต้องตัวคนเดียวอีก… ”
เจนัสกล่าว ชั่วพริบตานั้นภาพความทรงจำบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัวของนีน่า




วันนั้นที่เธอถูกใครบางคนที่ปกป้องเธอไว้จากกลุ่มเด็กที่ไล่ทำร้ายเธอ
หลังจากที่ไล่พวกเด็กไปได้แล้วเขาคนนั้นก็เข้ามาพูดกับเธอว่า

“ ไม่ต้องห่วง ฉันอยู่ทั้งคนเธอไม่เป็นไรแล้วล่ะ ”
เขาคนนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน ความทรงจำนั้นเลือนรางมากนางเองก็จำหน้าของเขาได้ไม่ชัดนัก
รู้แต่เพียงว่าเป็นเด็กชายอายุเท่าเธอตอนนั้นเธอกลัวมากกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียวจึงกล่าวออกไป

“ ฉันกลัว อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ..ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนี้อีกอย่าทิ้งฉันไปเลยขอร้องล่ะ ”
คำพูดที่นางกล่าวไปในตอนนั้นทำให้เด็กชายดูจะแปลกใจอยู่บ้างแต่
เมื่อเห็นว่านางยังคงตื่นกลัวอยู่จึงกล่าวปลอบออกไป

“ ไม่ต้องห่วง ไปหรอกฉันอยู่กับเธอแล้ว..จะไม่ปล่อยให้เธอต้องตัวคนเดียวอีก… ”
เด็กคนนั้นกล่าวออกมาเช่นนั้น


ทันทีที่ความทรงจำนั้นแล่นผ่านไปนางก็ผงะตัวออกห่างจากเจนัสทันทีแรงผลักทำให้เขาเสีย
หลักจนเผลอปล่อยหินสีเขียวในมือ ออกไปมันหล่นกลิ้งไปใกล้ๆนาง ทันทีที่นางเก็บมันขึ้นมา ภาพความทรงจำก็ได้แล่นขึ้นมาอีก

ท่ามกลางกองซากปรักที่ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงในยามราตรี นางกำลังนั่งร้องไห้อยู่ท่ามกลางกองเพลิงที่ล้อมรอบนั้น
จนเมื่อมีเสียงใครบางคนเดินใกล้เข้ามาและเมื่อนางหันไปก็เห็นร่างของเด็กชายคนหนึ่งลากคอเสื้อของ
หญิงสาวคนนึงมาที่กองเพลิงที่ลุกโชนที่สุด ก่อนที่เขาจะพุ่งมือทะลุร่างของหญิงสาวจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพร้อมกับโยนร่างไร้วิญญาณนั้น ลงไปในกองเพลิง นางกรีดร้องอย่างโหยหวน พร้อมกับเรียกชื่อของใครบางคน
ที่นางเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร เด็กชายที่ได้ยินเสียงนั้นจึงก้าวเข้าไปหานาง แสงจากเปลวเพลิงกับเงาสะท้อนทำให้
นางมองเห็นได้ไม่ชัด แต่นางพอจะจำได้ว่า คนที่ช่วยนางเอาไว้ในป่า คือเด็กชายคนนี้แต่นางก็จำหน้าของเด็กคนนั้นไม่ได้  นางคลานถอยผงะด้วยความกลัว แต่เด็กชายก็ยังคงเดินรุกไล่นางไปเรื่อยจน นางถอยติดของกองเพลิง

นางนั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด เด็กชายก้มตัวลงมาหานาง ก่อนจะเอามือที่เปื้อนเลือดสัมผัสใบหน้าของนาง แต่นางก็รวบรวมความกล้ากัดแขนของเด็กชายอย่างเต็มแรง แต่เด็กชายก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บอะไรแต่อย่างใดเขากลับปล่อยให้นางกัดให้จมเขี้ยว จนเลือดไหลออกมา 

“ เอาเถอะข้าไม่ว่าหรอก ทำซะให้สาสมกับที่ข้าทำไป นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าจะชดใช้ให้ได้ ”
เด็กชายกล่าวโดยกัดฟันพูดออกมาเพราะความเจ็บ คำพูดนั้นทำให้นางปล่อยเค้าไปด้วยความฉงน

“ คุณหนู! ”
“ ท่าน ลาเซริโอ้! ”
“ คุณหนู! ”
จู่ๆก็มีเสียงดังมาจากนอกกองเพลิง แต่แล้วนางก็รู้สึกเหมือนถูกเรียกอยู่และทุกอย่างก็หายไป

……

“ นี่เธอ…นี่ ”
เสียงที่ดังขึ้นตรงหน้านางทำให้นางคืนสติกลับมาจจากผวัง เมื่อครู่ ผู้ที่เรียกสตินางกลับมาก็คือเจนัสน่ะเอง

“ เจ้าเป็นอะไรไปน่ะไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ”
เจนัสถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านางนิ่งไปอยู่นานหลังจากที่จ้องหินสีเขียวก้อนนั้น

“ นี่..มัน ”
นีน่าเอ่ยขึ้นลอยๆราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะรู้สึกว่ามือไม้อ่อนปวกเปียกไม่มีแรง
จนเผลอทำหินหล่น แต่เจนัสก็รับไว้ทัน ก่อนจะมองนางด้วยความฉงน

“ ไม่จริง…นี่…นี่เรา ”
นางคิดก่อนจะวิ่งหนีเขาไปทันทีทำให้เจนัส ตกใจไม่ทันตั้งตัวก่อนจะได้ทันสังเกตว่าที่ข้อมือนางมีอะไรบาง
อย่างสะท้อนกับแสงจันทรืส่องประกายสีเขียวแวบออกมาเล็กน้อย ซึ่งทำให้เค้าชะงักไป
จนเมื่อนางวิ่งหายลับไปเขาจึงยกหินขึนมาสำรวจอีกครั้ง

“ นี่รึว่า….ไม่จริงน่า ”
เขากล่าวอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเดินกลับออกมา


……………………….
………………..
…………

“ กลับมาแล้วหรือคะ ”
เสียงดังขึ้นในความมืดมิดที่มองไม่เห็น

“ อืมว่าแต่..สองคนนั้นล่ะ ”
อีกเสียงที่รู้สึกคุ้นเคยก็ดังขึ้นเช่นกัน

“ อ๋อกำลังหลับอยู่น่ะค่ะ  ”
เสียงแรกดังขึ้นอีกครั้ง

“ เหรออืมว่าแต่เราน่าจะตั้งชื่อให้เค้าได้แล้วนะเพราะยังไงเค้าก็เป็นลูกของเราแล้วนี่ ”
เสียงที่สองดังขึ้นอีกครั้ง

“ แต่เค้าก็น่าจะมีชื่อที่แม่เค้าตั้งให้แล้วนะคะเราไม่ควรจะไปลบกับสิ่งที่เขาควรจะเป็นนะคะ ”
เสียงแรกดังขึ้นอีกครั้งเช่นกัน

“ แต่เราก็ไม่รู้ชื่อจริงของเขานี่ ”
เสียงที่สองดังขึ้นมาอีก

“ จริงสิคะสายคาดข้อมือนั่นมีชื่อเขียนไว้ด้วยนี่คะงั้นเราตั้งตมนั้นก็แล้วกันค่ะนั่นน่าจะเป็นชื่อของเค้านะคะ ”
เสียงแรกดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ ก็ดีนะงั้นเราตั้งชื่อเค้าตามนั้นละกันรู้สึกจะอ่านว่า…. ”
เสียงที่สองดังขึ้น

“ ลอว์เรนซ์ ”
“ ลอว์เรนซ์ ”
เสียงใครบางคนเรียกเค้าให้ตื่นจากนิทรา เค้าค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยวามงัวเงีย
ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็ชะงักกึกไปก่อนจะเอามือกุมข้อมืออีกข้างที่มีผ้าพันแผลพันอยู่
เขาสบถด้วยความปวดจากแผลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังต้นเสียงที่ปลุกเขา

“ อ้าวมีอะไรเหรอไลท์ ”
เขาถามลูกมังกรแสงถึงธุระที่ปลุกเขาขึ้นมาทันที

“ เกิดเรื่องแล้วล่ะลอว์เรนซ์ ”
ไลท์กล่าวอย่างกระวนกระวายแต่ Lr ก็ปรามให้เขาใจเย็นลงก่อนที่จะเล่าต่อ

“ เอาล่ะๆมีเรื่องอะไรเหรอ ”
เค้าถามอีกครั้งหลังจากที่ไลท์ใจเย็นลงแล้ว

“ เรารู้แล้วล่ะ..ที่อยู่ของนิทินโคน่ะ ”
ไลท์กล่าวแต่คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายที่ต้องตื่นตกใจแทน

“ ว่าไงนะแล้วที่ไหนเค้าอยู่ที่ไหน ”
Lr พุ่งพรวดขึ้นมาทันทีทำให้ไลท์ตกใจสะดุ้งจนหงายหลัง

…………………………..
…………………..
………….


“ เมื่อคืนมันอะไรกันนะทำไมพอเห็นหน้าหมอนั่นแล้วมันชวนให้ปวดใจยังไงก็ไม่รู้
แถมยังรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างไปนะ ”
นีน่าคิดขณะที่นั่งดื่มชาอยู่ที่ร้านน้ำชากลางแจ้งในหมู่บ้าน

“ แล้วยังหินนั่นอีก..นั่นน่ะมัน ”
นางคิดมาถึงตรงนี้ก็ยกสายคาดข้อมือขึ้นมาสำรวจ

“ นี่น่ะมันเป็น.. ”
“ นี่เธอ ”
มีเสียงใครบางคนแทรกขึ้นมาแต่น้ำเสียงที่คุ้นหูนี้แม้ไม่หันไปมองนางกพอจะรู้ได้แล้ว

“ รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่นี่น่ะ ”
นางกล่าวถามผู้มาเยือนอย่างไม่พอใจ
แต่แล้วเขาก็เดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ด้านตรงกันข้ามกันนาง

“ ก็ตามกลิ่นเธอมาไงล่ะ ”
เจนัสที่สวมแจ็คเก็ตสีดำที่นางซื้อให้นั่งลงด้วยทีท่าเหนื่อยหน่ายกับกิริยาของนาง
ทั้งสองจ้องหนากันโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่นางจะรู้สึกอึดอัดและตัดสินใจเป็นฝ่าย ทำลายความเงียบนี้

“ เรื่องเมื่อคืนน่ะลืมๆไปซะจะได้มั้ย ”
นางกล่าวพร้อมกับเอียงหน้าหลบนิดด้วยความเขินอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน นางก็หน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก

“ อ๋อได้สิ แต่ฉันมีเรื่องอยากจะถามหน่อยนะ ”
เจนัสกล่าวน้ำเสียงเรียบแม้จะยังสงสัยกับท่าทีของนางอยู่บ้างแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ

“ เรื่องอะไรล่ะ ”
นางถาม

“ เธอรู้อะไรเกี่ยวกับหินนี่ ”
เขายกสายคล้องคอที่ผูกหินสีเขียวขึ้นมาให้นางดู ซึ่งนางเองก็ดูจะไม่ค่อยอยากตอบแต่นางเองก็รีบเอามือไปป้องสายคาดข้อมือของนางทันที แต่ดูเหมือนว่าเจนัสจะคิดว่าเป็นนิสัยของนางเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ

“ หินอะไรไม่เห็นจะรู้จักเลย แล้วนั่นน่ะไม่ใช่ศิลาจันทราของนายเหรอ ”
นางกลาวปัดไป แต่เจนัสเองก็ไม่ยอมเชื่อง่ายๆแต่เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ต่อ จึงคิดจะหาเรื่องปัดออกไป

“ ศิลาจันทราน่ะอันนี้ต่างหาก ”
เจนัสกล่าวพร้อมกับยกศิลารูปจันทร์เสี้ยวอีกชิ้นที่ห้อยคออยู่ขึ้นมา

“ เอาเถอะไม่อยากตอบตามใจแต่เรื่องนี้เธอต้องบอก ”
เจนัสกล่าว ซึ่งนั่นทำให้นางเบาใจไปเปราะนึง ที่ไม่ต้องตอบคำถามนี้ เพราะถึงอยากจะตอบนางก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไร

“ เรื่องอะไรอีกล่ะ ”
นางถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่รอช้ารีบถามต่อทันที

“ เธอเข้ามารับการทดสอบเป็นเทพขุนพลเพื่ออะไร ”
ทันทีที่เขากล่าวจบนางก็ นิ่งอึ้งไปทันทีกับคำถามของเขา แต่นางก็ดึงสติกลับมาก่อนที่เจนัสทันได้ซักถามพร้อมถอนหายใจเบาๆ

“ เธอนี่ชอบถามอะไรที่มันตอบยากเหลือเกินนะ..แต่เอาเถอะฉันจะบอกก็ได
้แต่หลังจากที่ฟังแล้วเธออาจจะอยากฆ่าฉันขึ้นมาอีกซะก็ได้ ”
นางกล่าวอย่างมีเลศนัยทำให้เขาเอียงคอด้วยความฉงน

“ หมายความว่ายังไง ”
เขาตีเสียงเข้มขึ้นมาทันที

“ แหมไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ รับรองว่าเธอต้องไม่เชื่อแน่ ”
นางเปรยทิ้งท้ายไว้ให้เขางุนงงมากขึ้น และยิ่งสงสัยในตัวนางเข้าไปอีก

“ นี่เธอ… ”
เขากล่าวได้เพียงเท่านั้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ว่าเจ้าตัวหล่อนต้องการอะไรกันแน่
ถึงได้คิดจะปั่นหัวเขากลับ ชั่ววูบนึงเขารู้สึกว่าหล่อนเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจเลย

แต่เธอคนนี้เป็นคนชวนเขา ร่วมแผนที่จะจัดการเซอร์เซสจากการที่เธอได้แจ้งข่าวสารปลอมไปว่า
จัดการคนเดียวคงไม่ไหวขอให้เซอร์เซสมาช่วยด้วย และพวกเขาก็จัดการซ้อนแผนของเซอร์เซสทันที

จึงทำให้เขาลืมคิดไปว่าบางทีนี่อาจเป็นแผนของนางที่จะล่อให้พวกเขาตายใจ แต่เขาก็เลิกคิดไป
จากที่เห็นนางตั้งใจจะจัดการกับเซอร์เซสอย่างจริงจัง เขาจึงคิดว่านั่นไม่ใช่การเล่นละครเป็นแน่

“ ถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นคนขอเข้ารับการทดสอบด้วยตัวเองล่ะเธอจะว่ายังไง ”
นางกล่าวด้วยสายตาเศร้าๆ ที่ทำให้เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรก็ไม่รู้

……………………
…………..
………

« Last Edit: June 01, 2008, 07:26:23 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #171 on: June 01, 2008, 07:17:48 PM »

ที่สำนักงานกองกำลังต่อต้าน ณ เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานที่สนิทกับพวกตั้งแต่มายังหมู่บ้านนี้
กำลังสนทนากับ Lr และลูกมังกรอย่างเคร่งเครียด

“ จากที่หน่วยข่าวกรองรายงานมาน่ะรู้สึกว่าลูกมังกรเพลิงที่เจ้าขอให้ตามหาน่ะเราจะพบเขาแล้วล่ะ ”
พนักงานกล่าวขณะที่เดินไปหยิบเอกสาร รายละเอียดที่ชั้นหนังสือหลังเคาท์เตอร์ มา

“ แล้วแน่ใจได้ยังไงล่ะครับอาจจะเป็นลูกทังกรไฟตัวอื่นก็ได้ ”
Lr ถามซึ่งพนักงานก็กลับมายังที่ก่อนจะยื่นเอกสารให้เขา ซึ่งเขาก็รับมาดูทันที

ในนั้นเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับ ทวีปนี้ทั้งทวีป และยังมีแผนที่ประกอบด้วยรวมไปถึง
จุดที่ตั้งของกองกำลังทั่วทั้งทวีปคาดาร่านี้ ทำให้เขาสงสัยเล็กน้อยว่าพนักงานต้องการอะไรจึงหยิบยื่นแผนที่ให้กับเขา

“ จริงอยู่ที่ลูกมังกรที่เรากำลังตามหานั้นไม่มีตำหนิหรือสิ่งใดจะทำให้รู้ได้แน่ชัด ซึ่งนั่นคงยากที่จะแยกแยะ และเราก็ฟังที่มันพูดไม่ได้ด้วย แต่ว่านั่นน่ะมันกรณีในเมอริเซีย ”
พนักงานอธิบาย

“ ทำไมถึงเป็นยังงั้นล่ะครับ ”
Lr ถามด้วยความแปลกใจกับคำพูดของเขา ซึ่งเขาก็ยิ้มน้อยๆด้วยความชอบใจก่อนจะเอ่ยต่อ

“ เพราะหน้าตามังกรในเมอริเซียกับคาดาร่าน่ะไม่เหมือนกันหรอกนะ แค่ดูก็รู้แล้วเพราะกองทัพของเราเองก็มีทัพอัศวินมังกรร่วมด้วยดังนั้นให้พวกนั้นช่วยยืนยันให้ก็รู้แล้วล่ะ ยิ่งเป็นลูกมังกรผลัดถิ่นแบบนั้นน่ะยิ่งผิดสังเกตเข้าไปใหญ่ ”
เขากล่าวจบ Lr กับลูกมังกรก็มีสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดก็ตามตัวเพื่อนของเขาได้
เพราะถึงแม้จะทะเลาด้วยกันบ่อยๆ แต่ตอนนี้เขาถือเป็นเพื่อคนหนึ่งเช่นกัน จึงอดเป็นห่วงไม่ได้

“ แล้วตอนนี้เค้าอยู่ไหนล่ะครับให้ทางนั้นช่วยพาตัวเค้ามาเลยได้มั้ยครับ ”
Lr ซักต่อทันที ซึ่งมาถึงตรงนี้พนักงานก็มีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที

“ คือว่ามันมีปัญหาตรงนี้ล่ะ.. ”
พนักงานกล่าว ซึ่งทำให้พวกเขาใจเสียพอดูกับคำพูดของเขาทันทีที่เห็นเช่นนั้นพนักงานก้รีบตอบปัดในทันที

“ อ..เอ่อไม่ใช่ว่าลูกมังกรเป็นอะไรไปหรอกนะแต่ว่า..ปัญหานี้น่ะ ทางเราเองไม่ค่อยอยากไปยุ่งด้วยเท่าไหร่
ก็เลยต้องให้พวกเจ้าไปตามกลับเอาเองอีกอย่างพวกเธอก็จะต้องทำภารกิจที่ท่านหัวหน้าฝ่ายงานประดิษฐ์
ทิโมธีมอบหมายมา เค้าก้เลยให้ข้าเอาข้อมูลและแผยที่ให้เจ้าน่ะ ”
พนักงานกล่าวอย่างรีบร้อน ซึ่งพวก Lr เองก็โล่งอกทันทีแม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลก็ตามแต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนปลอดภัยดีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“ แล้วทำไมถึงตามกลับมาไม่ได้ล่ะครับในเมื่อรู้ที่อยู่และเจอตัวแล้ว ”
Lr ถาม ซึ่งพนักงานเองก็ดูกระวนกระวายยังไงชอบกล หันซ้ายทีขวาทีก่อนจะกระซิบกับเขา

“ รู้จัก เรโค่ (Reico) กับ เซโร่ (Zero) บ้างมั้ย ”
พนักงานกระซิบชื่อของอะไรบางอย่างหรือใครบางคนซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ยินหรือรู้จักเลย
จึงทำหน้างงๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้พนักงานตีสีหน้าหนักใจอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเพราะจะต้องอธิบาย
มากความอีก

“ กะแล้ว..พวกเธอเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกนี่คงไม่รู้ตำนานของทางนี้หรอก ”
พนักงานกล่าว



………………………..
……………
…………


ณ ทุ่งราบชายป่าที่พวกเขาสู้กันเมื่อวานร่องรอยจากการปะทะกันของพวกเขายังคงหลงเหลืออยู่
ไม่ว่าจะต้นหญ้าที่ถูกตัดจนราบไปหมด หรือหลุมจากแรงปะทะของกองอาวุธที่ถูกขว้างลงมาจากแคริอุส
(Carius) ก็ยังคงมีให้เห็น

แซ่กๆๆ

เสียงหญ้าถูกเหยียบดังขึ้นเรื่อยพร้อมกับการมาของครึ่งสมิงผมสีเงิน ลากูน่านั่นเอง
ที่กลับมาที่นี่เพื่อหาอะไรบางอย่าง
เขาก้มลงดูตามเพื้นหญ้าหรือที่ต่างแล้วแต่ก้หาไม่เจอก่อนจะสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ

“ โธ่เว้ย เก็บกลับไปเกลี้ยงหมดเลยว่าจะมาหาเจ้าชิ้นส่วนเกราะที่พี่ริคุทำตกเอาไว้บ้างซะหน่อยเผื่อจะได้รู้อะไรบ้างแท้ๆ ”
เขากล่าวอย่างหงุดหงิดก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้นหญ้าแหงนหน้ามองฟ้าเพื่อปล่อยอารมณ์

“ เฮ้อ..ท่านพี่ตอนนี้จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้อยู่ๆก็บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับยัยนั่นแล้วก็ออกไปไม่รอกันเลย ”
เขาถอนหายใจห้วนๆก่อนจะเกลือกลิ้งไปมาอย่างสบายอารมณ์ ด้วยความไร้เดียงสา
แม้ที่ผ่านมาทั้งสองจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุก้ตาม แท้จริงแล้วพวกเขาก้ยังคงมีความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่บ้าง
แต่ด้วยสถานภาพ จึงไม่อาจแสดงออกมาได้

จู่ก็มีเสียงใครบางคนเดินแหวกหญ้ามายังทางที่เขานอนอยู่ หุของเขากระดิกด้วยความอยากรู้ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมามอง

ผุ้ที่มาปรากฏตรงหน้าเป็นเด็กหญิงที่ดุจะอายุเท่ากับเค้า เธอมีผมขาวยาวสลวยสะบัดพลิ้วไปตามลม
เธอสวมชุดคลุมผ้าสีดำทับกับกระโปรงสีขาวเหมือนกับชุดของสาวรับใช้ ในตระกูลขุนนาง(ชุด Maid
 นั่นเองคงไม่ต้องอธิบาย ยาวดูรูปเอาเลยละกัน)



นางเดินตรงที่เค้าก่อนจะล้มตัวลงนั่งใกล้ เขามองสำรวจใบหน้าของนาง นางมีสีหน้านิ่งเฉยดวงตาสีแดง แววตาเย็นชาดูไร้อารมณ์ นางเองก้มองเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉยซักพักก่อนที่จะปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของนาง
ซึ่งนั่นทำให้ลากูน่ารู้สึกกระอึกกระอัก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไป

กับท่าทีของนาง ก่อนที่นางจะหัวเราะกับสีหน้าของเขาใบหน้าของนางยามที่ยิ้มและหัวเราะช่าง
สั่นคลอนใจของเขายิ่งนัก จนเขาหน้าแดงด้วยความเขินอาย

แต่ก็ชะงักไปเมื่อจับสัมผัสพลังมนตราอ่อนๆได้จากตัวของนาง เขารีบกระดจนถอยออกมาทันที
ด้วยความหวาดระแวง ซึ่งนางเองที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้มีการตอบสนองแต่อย่างใดยังคงเอาแต่ยิ้ม
เล็กยิ้มน้อยให้เขาทำให้ลากูน่า หายระแวงก่อนจะถามนาง

“ เธอเป็นใครกัน ”
เขาถามด้วยความฉงน นางยังคงอมยิ้มอยู่เล็กน้อย ก่อนจะตอบเขา

“ ฉันมารอเพื่อนอยูที่นี่น่ะ ”
นางตอบน้ำเสียงเริงร่า ซึ่งก็ทำเอาเขางง ไปตามๆกันจะเดินไปนั่งลงใกล้ๆกับนาง

“ คุณเป็นจอมเวทย์หรือ ทำไมถึงได้มีคลื่นมนตราจากตัวคุณล่ะ ”
ลากุน่าถามด้วยท่าทีสุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แต่ดูเหมือนกับว่าเขาเกร็งๆ
ทำให้นางอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ทำให้ลากูน่ารู้สึกอายนิดๆ

“ รู้ด้วยเหรอนั่นสินะก็เธอเป็นครึ่งสมิงนี่แต่ฉันน่ะไม่ใช่จอมเวทย์หรอก
 เพียงแต่ใช้พลังที่คล้ายๆกันควบคุมภูตน่ะ ”
นางกล่าวเสียงใส

“ งั้นคุณก็เป็นผู้ร่ายอสูร(Summoner)สินะ ”
เขากล่าวอย่างเกร็งๆซึ่งนั่นก็ทำให้นางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง

“ ใช่จ้ะฉันเป็นผู้ร่ายอสูรแต่ไม่ค่อยคล่องนักหรอก ”
นางกล่าวไปยิ้มไป

“ เหรอ..ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะผมลากูน่า ”
เขาแนะนำตัวซึ่งนางเองก็ยิมเล็กยิ้มน้อยอีกครั้งจนเขาเองก็ชักสงสัยแล้ว
ว่าเธอจะอารมณ์ดีอะไรนักหนาถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สดใสอยู่ตลอดต่างจากตอนแรกที่พบเธอ

“ ฉันชื่อ…. ”
นางกล่าวยังไม่ทันขาดคำดี ก็มีสะเก็ดไฟกระเด็นมา ทำให้พวกเขาผวาด้วยความตกใจ

แกว็ก แกว็ก

เสียงนกร้องดังมาจากด้านบน ทันทีที่พวกเขาแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างของนกที่มีขนสีแดงและ
ตัวลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง มันคือนกฟีนิกค์ (Phoenix) ในตำนานนั่นเอง พวกเขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาเลยว่าบัดนี้นกที่ว่า
ได้มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา



“ ฟีนิกค์ ”
ทั้งคู่อุทานขึ้นพร้อมกันกับที่นกเพลิงพุ่งทะยานลงมา พวกเขาจึงรีบวิ่งหลบอกทันที และทุ่งหญ้าที่นกเพลิงโฉบผ่านไปก็ลุกไหม้เป็นทะเลเพลิงทันที พวกเขาไม่รีรอที่จะคิดรีบสาวเท้าวิ่งหนีทันที แต่

นกเพลิงก็ได้สะบัดปีกอย่างแรงจนสะเก็ดไฟที่ร่างกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้ากลายเป็นทะเลเพลิงล้อมรอบพวกเขาไป มันรีบพุ่งโฉบเข้าหาพวกเขาที่ไร้ทางหนีอย่างรวดเร็วทันที ลากูน่าเอาตัวเข้าปกป้องนางไว้

เขาจึงถูกมันโฉบกระแทรกใส่หลังอย่างแรงจนเขาสลบไป
นางพยายามเรียกเขาแต่ไม่มีประโยชน์เขาหมดสติไปแล้วขณะที่นกเพลิง กระพือปีกด้วยความหยิ่งผยอง
ก่อนจะพุ่งทะยานมาอีกครั้ง เมื่อนางเห็นว่าเขาสลบไปแล้ว จึงลุกขึ้นยืน พร้อมกับหยิบเอากระดาษที่
เขียนอักขระ แปลกๆไว้ขึ้นมา

“ จงแสดงตน ประกายที่เจิดจ้า ลูเซียส (Lucis) ”
ทันทีที่นางกล่าวจบแผ่นกระดาษก็ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีขาว ก่อนที่นางจะขว้างมันออกมา
และขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเป็นภูตสาวผมสีแดงชุดกระโปรงขาวยาวถึงพื้น ขนาดเท่านาง
ออกมา วิหกเพลิงยังคงพุ่งทะยานมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ที่นางจะวาดมือวง และสะบัดมือ ออกไป
ทันใดนั้นวิหกเพลิงก็หยุดชะงักทันทีราวกับถูกตรึงไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่คล้ายเส้นเอ็น
ที่พุ่งออกมาจากมวลแสงสีดำ ที่วนรอบตัวนาง วิหกเพลิงพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่สำเร็จ

“ จัดการเลย ลูเซียส ”
นางออกคำสั่งกับภูตของตนทันที สายตาของนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนแรกเลย
ดูเยือกเย็นและน่าเกรงขาม  คลื่นพลังมนตราอ่อนเมื่อครู่ของนางเมื่อครู่จู่ๆก็ขยายตัวเพิ่ม
ขึ้นอย่างมหาศาล จนวิหกเพลิงคุ้มคลั่งกับแรงดันพลังเวทย์ที่มากมายนี้ ซึ่งลากูน่าที่สลบ

ลงไปแล้วก็ รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีแต่เขาก็อ่อนแรง จนขยับไม่ได้และทันทีที่สัมผัส
แรงดันนี้เขาก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวก มองเห็นทุกอย่างเลือนรางไปหมด ก่อน
จะหมดสติไปอีกครั้ง

ภูตของนางหลังจากที่รับคำสั่งก็เร่งพลังมนตราของตน ทันทีก่อนที่ไฟจะลุกพรึ่บขึ้นมาจากมือ
และทะยานผ่านร่างของวิหกเพลิง ไปและสลายกลายเป็นแสงพร้อมกับเปลวไฟชีวิตที่ร่างของวิหกเพลิงดับ
มอด ลงก่อนจะสลายกลายเป็นขี้เถ้าไป ก่อนมันจะลุกไหม้อีกครั้งและหายไป

“ ฟีนิกค์หรือวิหกอมตะ เมื่อสิ้นชีวีก็จะกลับเป็นขี้เถ้าและเกิดใหม่อีกครั้ง ”
เสียงนึงดังขึ้นจากด้านหลังนาง พร้อมสายฝนที่โปรยปรายลงดับเปลวเพลิง
จนมอดสิ้น อีกทั้งน้ำนั้นยังมีพลังมนตราทำให้ ต้นหญ้าที่ไหม้ตายไปกลับงอกงามขึ้นมาจากซากเถ้าถ่าน
จนเต็มทุ่งอีกครั้ง

นางหันไปมองผู้มาเยือนด้วยสายตาเย็นชา

“ ว่าไปแล้วนกนั่นก็ไม่ต่างไปจากเธอเลยนะ เรโค่ ”
ผู้มาเยือนกล่าว เขาเป็นเด็กชายที่อายุพอๆกับนางและยังสวมชุดเหมือนกับลากูน่าอีกด้วย
ต่างกันเพียงแค่กางเกงที่เขาใส่เป็นกางเกงยีนส์สีเทา เดินตรงเข้ามาหานาง
พร้อมกับลูกมังกรเพลิงนิทินโค ที่เดินตามเขามาต้อยๆ

“ นั่นอะไรน่ะ ”
นางถามขณะที่มองลูกมังกรด้วยความสงสัย

“ อ๋อนี่น่ะเหรอเจอระหว่างทางน่ะเห็นว่าหลงทางกับเพื่อนๆก็เลยจะช่วยตามหาแต่ก็ถูกพวกกองกำลังทหาร
ไล่ล่าไม่รู้จบเลยกว่าจะมาถึงนี่ได้ ”
เด็กชายกล่าวน้ำเสียงขุ่นมัว

“ ว่าแต่นะ เซโร่ ถึงฉันจะเป็นอมตะเหมือนกับนกนั่นก็เถอะ แต่สำหรับฉันนกนั่นก็ยังถือว่าเป็นเทพที่น่านับถือผู้คนพากันบูชายกย่องกลับกัน ฉันกลับได้รับการดูถูกเหยียดหยามพร้อมนามขานที่ไม่ค่อยดีเลยนะ ”
นางกล่าวขณะที่ผ่อนพลังเวทย์ลงและเดินไปหาลากูน่าเพื่อดูบาดแผล

“ ทำไงได้ล่ะ เมื่อมีพลังมากผู้คนก็หย่ำเกรงและก็พากันหวาดกลัวไปต่างๆนานา
เธอมันก็ไม่ต่างไปจากฉันหรอก ”
เด็กชายกล่าว

“ งั้นเหรอแต่เธอก็ยังเป็นมนุษย์ แต่ฉัน… ”
นางกล่าวพร้อมกับที่ปีกนกเยี่ยงทูตสวรรค์แต่เป็นสีดำจะพุ่งพรวดออกมาจากหลังเสื้อนาง

“ สำหรับทูตนรกอย่างฉันเนี่ยคงเป็นได้แค่ปีศาจสินะ ”
นางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะอุ้มลากูน่าขึ้นมา
หาเขา

“ ช่วยรักษาทีสิฉันไม่สันทัดเวทย์รักษาพวกนี้ซักเท่าไหร่หรอกนะ ”
นางกล่าวพร้อมกับหันปากแผลของลากูน่า ให้เขา ซึ่ง
เขาก็สำรวจอาการบาดแผลของลากุน่าก่อนจะร่ายคาถาและเกิดมวลน้ำเวียนวนอยู่ในอุ้งมือของเขา
ก่อนที่จะเอามันประคบทันทีที่น้ำประคบกับแผลน้ำก็ซึมเข้าไปในปากแผลพร้อมกับรอยแผลที่จางหายไป
ราวกับไม่เคยเกิดแผลขึ้น

“ เอาล่ะฉันจะส่งเขากลับก่อนแล้วจะตามไปบอกสถานที่มาทีสิ ”
นางกล่าว

“ ทีนวาแลน รีบตามมาละกันนะ ส่วนเรื่องของลูกมังกรตัวนี้น่ะเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที ”
เด็กชายกล่าวก่อนจะร่ายคาถาอีกครั้งพร้อมกับพื้นเรืองแสงสว่างขึ้นมา
และทันทีที่แสงจางลงทั้งสองก็หายตัวไป ส่วนนางเองก็พาลากูน่ากลับไปที่หมู่บ้าน
ใกล้ๆนี้ซึ่งก็คือที่พวกเขาพักอยู่

………………………
……………
……..


“ ไม่ว่า จะ นักเชิดวิญญาณแห่งรัตติกาล ผู้ร่ายอสูรเดนนรก กับ เทพนทีทลายสวรค์ หรือ เสียงเพรียกจากทะเลทมิฬ ล้วนแต่เป็นชื่อเรียกขานของจอมเวทย์ผู้ชั่วร้ายที่สุดในทวีปนี้ ไม่สิน่าจะในโลกนี้เลยต่างหาก ”
พนักงานกล่าวกับ Lr ด้วยสีหน้าจริงจัง

“ แล้วเขามีกี่คนกันล่ะครับถึงได้มีชื่อเรียกขานเยอะแยะขนาดนี้ ”
Lr ถามสีหน้าหนักใจกับท่าทีของพนักงาน

“ 2 คน คนนึงเป็นนักร่ายอสูรส่วนอีกคนเป็นจอมเวทย์วารีสองคนร้ายกาจมากเลยทำร้ายทหารของเราไปหลายคนแล้วด้วย ”
พนักงานกล่าว จบ นีน่าก็เดินเข้ามา

“ อ้าวไง ”
นางทัก

…………………………
……………
………

“ ลากูน่า ”
เจนัสเขย่าร่างที่หมดสติของน้องชายด้วยความเป็นห่วง
จนเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ก็ต้องแปลกใจกับสภาพรอบ เจนัสมองเขาด้วยความเป็นห่วง

“ ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าทำไมถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้ล่ะ ”
เจนัสถาม เมื่อเขามองไปรอบๆก็พบว่าเขานอนอยู่ข้างๆบ่อน้ำของสวนสาธารณะ
เขามองไปรอบด้วยความงุนงง ซึ่งทำให้เจนัสรู้สึกเป็นมากกว่าเดิม

“ เป็นอะไรรึเปล่าให้พี่ช่วยพยุงมั้ย ”
เจนัสถามอีกครั้งแต่เขาก็ส่ายหัวปฏิเสธทันทีก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ ไม่เป็นไรครับผมคงแค่เหนื่อยไปหน่อยเท่านั้นล่ะครับ ”
เขากล่าวซึ่งแม้เจนัสจะระแคะระคายอยู่บ้างแต่ก็ไม่สนใจก่อนจะเดินนำเขาออกมาจากสวนสาธารณะ

“ นี่เราฝันไปเหรอ..หือ ”
เขาคิดขณะที่เอามือไล่แปะหลังเพื่อสำรวจบาดแผลแต่กลับไม่มีร่องรอยผาดแผลเลย
เสื้อที่น่าจะไหม้เพราะไฟก็ไม่เป็นอะไรเลย ทำให้เขาคิดว่าคงจะฝันไป ก่อนจะลืมมันและเดินตามพี่ชายกลับไปยังสำนักงานกองกำลังที่ Lr รออยู่

……………………………
……………………..
………………..

« Last Edit: August 31, 2008, 09:14:04 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #172 on: June 01, 2008, 07:18:18 PM »

ณ เวลานี้ตะวันลับขอบฟ้าราตรีได้มาเยือนอีกครั้ง พวกเขาได้กลับมายังห้องพักที่พวกเขาพักอยู่มาหลายคืนแล้ว


“ หมายความว่านายจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เลยงั้นสินะ ”
เจนัสกล่าวเพื่อขอคำยืนยันอีกครั้ง ซึ่ง Lr เองก็ผงกหัวแทนคำตอบ

“ แต่ว่าพวกนายจะไปด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่นะ ฉันไม่บังคับหรอก ”
Lr กล่าวซึ่งคตำถามของเขาเองก็สะกิดใจพวกเขาเช่นกัน

“ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ”
ลากูน่าถามด้วยความสงสัยเช่นเดียวกันทั้งสามเองก็สงสัยในคำพูดของเขา
Lr หันไปมองหน้าลูกมังกรเพื่อนของเขาเพื่อขอคำยืนยัน ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งเพื่อตอบ
คำถาม

“ พวกฉันจะออกเดินทางเพื่อไปทำภารกิจที่ได้รับมาและก็ตามหาตัวเพื่อนฉันอีกตัว ”
เขากล่าว ซึ่งลากูน่าก็แทรกขึ้นมาทันที

“ หมายถึงลูกมังกรไฟนิทินโคนั่นน่ะเหรอ ”
ลากูน่าถาม ซึ่ง Lr เองก็พยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง

“ แต่ทีนี้ตอนนี้เรารู้แค่ว่าเค้าอยู่กับจอมเวทย์ผู้ชั่วร้ายและเก่งกาจที่สุดในปฐพีนี้น่ะ
ถ้าไปเจอก็อาจต้องประมือกัน อีกทั้งหากพวกนายยังเดินทางไปกับฉันล่ะก็ข้างหน้าจะมีอันตรายอะไรบ้างก็ไม่รู้
อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาก็ได้ รู้อย่างนี้แล้วยังจะตามไปอีกเหรอ ”
เขากล่าวซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจของพวกเขาเช่นกัน
จริงของ Lr หากพวกเขายังคงเดินทางร่วมไปด้วยนอกจากต้องฝ่าฟันอันตรายต่างๆนานา อีกทั้ง
องค์กรเองก็ยังคงไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่หากเดินทางร่วมไปด้วยกัน ก็รังแต่จะนำภัยมาให้กับ Lr เพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้นการแยกทางกันเสียตั้งแต่ตรงนี้ย่อมเป็นการดีกว่าแน่นอน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี
ที่จะปล่อยให้เพื่อนของพวกเค้าต้องไปฝ่าฟันอันตรายเพียงลำพัง
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังไม่อาจให้คำตอบได้เขาจึงกล่าวขึ้นมา

“ ฉันจะให้เวลาพวกนายคิดก่อนจนถึงพรุ่งนี้ละกันนะ ”
เขากล่าวจบก็แยกตัวออกไปกับพวกลูกมังกรเพื่อวางแผนการเดินทางในวันรุ่งขึ้นที่จะมาถึง

ปล่อยให้ทั้งสามครุ่นคิดตัดสินใจไป

……………………………..
…………………
…………..

ณ สวนสาธารณะของหมู่บ้าน

ที่ใตต้นไม้ริมบ่อน้ำของสวน ที่เดิมที่เจนัสมาพิงอยู่เมื่อคืน
ในคืนนี้เขาก็มาอีกเช่นเคย แต่คราวนี้นีน่าตามเขามาด้วย โดยทิ้งลากูน่านอนอยู่ที่ห้องพักกับ Lr และลูกมังกร

“ เธอคิดยังไงล่ะ เรื่องที่จะตามเค้าไปหรือไม่น่ะ ”
นีน่าเอ่ยถามขึ้นมา แต่เจนัสกลับทำเป็นไม่ได้ยิน ซึ่งนางเองก็ไม่เข้าใจกับท่าทีของเขาจึงคิดจะเอ่ยถามแต่ก็ถูกขัดขึ้นมาซะก่อน

“ เรื่องที่คุยเมื่อกลางวันน่ะ ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าทำไมเธอถึงได้คิดไปรับการฝึก ทั้งที่ไม่อยากน่ะ ”
คำพูดของเขาทำให้นางนิ่งชะงัก จนลืมสิ่งที่จะพูด

“ แต่ฉันจะรอนะ จนกว่าวันที่เธอจะยอมเอ่ยปากเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตามจนกว่าเธอพร้อมที่จะบอก ”
เจนัสกล่าวจบก็ลุกขึ้นพร้อมกับหันหลังเดินออกไป

“ ส่วนเรื่องนั้นน่ะไม่ว่ายังไงฉันก็จะไปกับหมอนั่นด้วย ลากูน่าเองก็เช่นกันยังไงเจ้านั่นก็ตามฉันไปอยู่ดีหล่ะ ”
เจนัสกล่าวก่อนจะสาวเท้าออกไปแต่ก็ถูกเรียกไว้เขาจึงหยุดชะงักไป

“ ทำไมล่ะทั้งที่เขาออกปากเองนะว่า อย่าตามไปเลยน่ะ ที่จริงแล้วพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปไม่ใช่เหรอ ”
นีน่ากล่าว เจนัสยังคงนิ่งเงียบอยู่ก่อนจะตอบโดยไม่หันไปมอง

“ จะให้ทิ้งไปได้ยังไงล่ะ หมอนั่นก็เป็นเพื่อนฉันคนนึงนะฉันจะไม่ปล่อยให้ไปตายเด็ดขาด ”
เจนัสกล่าวอย่างมั่นใจ แต่นีน่าเองกลับไม่เข้าใจ คำพูดของเขา ผนวกกับเหตุการณ์ณ์เมื่อคืน
ความทรงจำที่แล่นขึ้นมานั้นคืออะไรทำให้นางอยากจะลองพิสูจน์คำพูดของเค้าที่ว่าจะไม่ทิ้งให้นางต้องอยู่คนเดียวอีก จึงบอก ออกไปว่า

“ แล้วถ้าฉันยืนกรานที่จะอยู่ล่ะ ”
นีน่าถามเพื่อลองใจเขา แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นทำให้นางมั่นใจแล้วว่า
ไว้ใจเค้าได้

“ ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้เธอต้องเหงาอีกหากเธอยืนกรานจะอยู่ฉันก็จะลากเธอไปให้ได้เลย
ไม่ว่าเธอจะพอใจหรือไม่ก็ตามที ”
เจนัสกล่าวจบก็เดินจากไปทิ้งให้นางนั่งคิดอยู่ตามลำพัง

“ แทนที่จะมานั่งระแวงยอมเชื่อใจซะดีกว่ายังไงซะหมอนั่นก็ไม่มีทางใช่หรอก…. ”
นางคิดก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้า

“ คนที่ทำให้ชีวิตฉันต้องพินาศในอดีตจะต้องไม่ใช้เค้าอย่างแน่นอน ”
นางคิดก่อนจะเดินตามไปเจอเจนัสที่รออยู่ข้างนอกสวน และเดินกลับห้องพักไปด้วยกัน

…………….
……….
.

แกว็ก แกว็ก
เสียงของวิหกเพลิงดังขึ้นขณะที่บินมาเกาะไหล่ของชายคนหนึ่งเขาอยุ่ในเสื้อคลุมสีแดง
ปิดบังใบหน้าไว้ด้วยผ้าคลุมหัว

“ พลาดซะได้… ”
เขากล่าวก่อนจะวาดมือเป็นวงและเกิดเป็นช่องว่างมิติ
ซึงภายในนั้นปรากฏร่างของแบล็คไวเซอร์ขึ้นมา

“ ว่าไงพลาดเหมือนกันล่ะสินะ ”
เสียงของแบล็คไวเซอร์ดังขึ้นมา
“ เงียบไปเลยเจ้าเองก็เหมือนกันล่ะน่า ”
เขากล่าวอย่างไม่พอใจ

“ ว่าแต่เจ้ารีบกลับมาก่อนดีกว่านะท่านผู้นั้นมีเรื่องด่วนเรียกประชุมหัวหน้าฝ่ายและเหล่า 12 เทพขุนศึกรีบกลับล่ะบลาสเซจ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวจบภาพในช่องว่างมิติก็หายไป

เขากัดฟันตัวสั่นด้วยความแค้นจนวิหกเพลิงอดส่งเสียงร้องไม่ได้
เขากระชากผ้าคลุมหน้าออกมาอยางเกรี้ยวกราดใบหน้าของเขาผอมแห้งราวกับหนังติดกระดูก
ผิวเป็นสีดำคล้าราวกับซากศพ นัยตาลุกโชนเป็นไฟด้วยความแค้น ดั่งปีศาจ



“ คอยดูเถอะซักวันข้าจะขึ้นครอบครองทุกอย่างข้าจะเรียกกลับมาให้หมดพลังที่ข้าเคยมีและ
มันจะต้องชดใช้เจ้าอิสฮานระวังไว้ให้ดีข้าบลาสเซจผู้นี้ขอสาบานว่าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ”
เขากล่าวอย่างสุดเสียงด้วยความเกรี้ยวกราด


โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า
พวก Lr ที่ออกเดินทางกันไปก็ได้ตั้งเป้าว่าจะไปที่เมืองทีนวาแลนซึ่งห่างออกไปทางเหนือ
แต่ระหว่างทางพวกเขากลับหลงป่าและได้เจอคฤหาสน์ เก่าหลังนึงตั้งอยู่กลางป่าจึงได้พักที่นั้น
และแล้วเรื่องเล่าสุดสยองกับตำนานครึ่งสมิงของพวกเจนัสก็ได้ถูกเปิดเผยอีกเรื่อง
ด้านนิทินโคที่อยู่กับจอมเวทย์น้อยทั้งสอง พวกเค้าต้องเผชิญศึกหนักกับพวกนักรบ เดนตายของ
องค์กรโฮลี่ไนท์แมร์ซึ่งผู้คุมทัพก็คือบลาสเซจที่น่าจะตายไปแล้วในสงครามสี่อาณาจักร เขากลับฟื้นคืนขึ้นมาได้เช่นไร ติดตามได้ในบทหน้า

บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง

การผจญภัยครั้งใหม่ของพวกเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว………..



แหมๆเปิดมาก็เจอฉากเซอร์วิสซะงั้น บทนี้คิดว่าจะไม่บู้แล้วซะอีก แต่ก็บู้จนได้ ที่จริงตอนเขียนบทนี้
กำลังกลุ้มอยู่อย่าง ว่ามันจะไม่ตรงกับชื่อบทซะนี่ เพราะหลักๆแล้วพวกนั้นไม่ได้หนักใจกับ

การที่ต้องแยกทางเลยแถมยังจะลากตามกันไปอีกเลยชักงง นะนี่ไปๆมาๆกลายเป็นตอนที่เอื้อให้กับพวกเจนัสอีกแล้ว สงสัยพระเอกกับนางเอกจะเปลี่ยนคนซะแล้วล่ะมั้ง 5555+ ไม่ได้การ Lr รีบกลับมาทวงตำแหน่งเร็วเข้าก่อนจะสาบสูญไป ว่าแต่บทนี้ตัวละครใหม่ออกเยอะเหลือ เรโค่ เซโร่ ชื่อคล้องจองกันดีเนาะ(ไม่ใช่ล่ะที่จริงไม่รู้ว่าจะชื่อไรดีคิดออกแค่เนี้ยะเลยส่งๆไป)

ว่าแต่ช่วงนี้บู้กับระลึกเยอะเหลือเกินเครียดมาหลายบทละตอนหน้ามาพักสบายๆกันซักบทดีกว่า
(ว่าแต่เรื่องสยองนี่มันน่ารื่นรมย์ตรงไหน)
ส่วนวันนี้มีแถมนิดนึงนะครับ tip for dragonology
ถามว่าทำไมถึงแถมน่ะเหรอครับเพราะมาคิดดูแล้วบางคน(นอกจากคุณboyนะเอ็ะหรือก็ด้วย)
อาจจะยัง งงๆว่าตัวละครตัวไหนใครเป็นใครมีประวัติยังไงหรือ ยังไม่อาจสรุปความจนถึงบทนี้ได้
ดังนั้น TfD บทนี้จะขออธิบายส่วนปลีกย่อยนะครับ

« Last Edit: June 01, 2008, 07:23:44 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #173 on: June 01, 2008, 07:18:30 PM »

Tip for Dragonolgy 

The DATA X

สถาณการณ์

ทวีปเมอริเซีย

ซาโลม : รอดพ้นจากวิกฤติโดนปิดล้อมโดยองค์กรโฮลี่ไนท์แมร์แล้วเพราะได้กำลังเสริมจาก
เหล่าคณะ Phophet ที่แยกย้ายกันไป กลับมาช่วย


แอนดิซอง : ยังไม่มีบทรอดูตอนต่อไปก่อนแต่เดี๋ยวคงได้รู้ว่าทำไมจอมอนการ์ดถึงได้อาละวาดไปทั่ว

ฟูดินัน : หลังจากฟอจูนทรีถูกกลืนหายไปในท้องพันนิชชูล่า ทางโฮลี่ไนท์แมร์ก็ลามือไป คงไม่มีบทอีกซักพัก

ฟีเลเซีย : กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 ถูกยึดครองสติไปแล้ว แต่เกรเกอรี่ดันไปตั้งกองกำลังอยู่ใต้จมูกพวก
มันซะนี่ ไม่รู้ว่าความจะแตกตอนไหน ส่วนทิโมธียังคงไม่มีบทอีกนาน

สภาพรอบทวีป : ถูกปกคลุมด้วยกำแพงน้ำแข็ง ดั่งที่นักเดินทางกล่าวในตอนแรกๆกับเกรเกอรี่




ทวีปคาดาร่า : อยู่เหนือขึ้นไปจากทวีปเมอริเซีย

ที่อยู่ของพวก Lr : หมู่บ้านปลายแหลมใต้สุดของทวีป

หมู่บ้านแหลมทวีป : ยังไม่ได้รับการยืนยันชื่ออย่างเป็นทางการ แต่สภาพหมู่บ้านยังคงสงบสุขดี

ทีนวาแลน : เมืองที่เคยปรากฏไปในตอนพิเศษวันวาเลนไทร์มีใครจำได้บ้างมั้ย

แต่ในเนื้อเรื่องหลักคงไม่มีเทียร์ล่ะครับ เพราะตอนที่เขียน ก็ยังไม่รู้จักพวกเจนัสเลย แถมยังไม่ได้มุรามาสะโซลมาเลย คงจะยาก อีกอย่าง Amankris ที่ใครหลายๆคนรออยู่ก็ใกล้จะได้ปรากฏแล้ว
ถ้ายังไงรอกันอีกซักหน่อยคงไม่เกิน อีก 5 บท ล่ะมั้งครับเออาจจะ อีก 8 บทก็ได้


ประวัติตัวละคร

1. Laurence ตัวย่อ Lr (ลองเทียบชื่อย่อกับตัวพิมพ์ภาษาไทยบนแป้นสิแล้วจะรู้ชะตาชีวิตมัน อะไม่ใช่สิ)
ชื่อสกุลยังเป็นปริศนาอยู่รอต่อไป


นิสัย: ร่าเริงกล้าหาญ ชอบช่วยเหลือคนอื่น มักเชื่อใจคนง่าย ในตอนที่ติดเกาะก็เชื่อใจเจนัสที่เป็น 12 เทพขุนศึก
แบบไม่ลังเลเลย จึงดูเหมือนจะเป็นข้อเสียของเขา

ความสามารถ : ไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากวิชาดาบขั้นพื้นฐานที่เรียนกับชาลว์มา

ความสามารถแฝง : สามารถรวมร่างกับลูกมังกรเพื่อกลายเป็นทาลิวิลย่าธาตุต่างๆได้

ครอบครัว : ในเนื้อเรื่องที่โผล่ออกมาแล้วมีพี่ชายกับแม่ส่วนพ่อนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
ในบทไตเติ้ลเป็นลูกบุญธรรมของ Divine Dragon และมี ไลท์เป็นน้องชาย
อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเช่นนั้นเพราะเขาอายุมากกว่าไลท์ประมาณสี่เดือน
อายุปังจุบัน 8 ปี
ร่างแปลงที่ได้มาแล้ว:

1.Thalucus คำเปรยตอนแสดงตัว: แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกนี้นามของข้าคือ ทาลูคูส
2.Thasolos คำเปรยตอนแสดงตัว: เมื่อความกลัวเข้าปิดหนทาง
พลังแห่งปัญญาจักส่องนำทางสู่แสงสว่าง ทาโซรอส


2. ลูกมังกรทั้งหก

2.1ไลท์ ลูกมังกรพลานัลคาร์ นิสัยขี้กังวลแต่บางครั้งก็ดูข้มแข็งกว่าที่เห็น เป็นเสมือนน้องของ Lr

2.2 เอิท์ธ ลูกมังกรนิลเฮอร์ นิสัย ช่างคิด เป็นตัวที่รอบรู้ที่สุดในกลุ่มแต่บางครั้งก็คิดมากเกินไป
เป็นเพื่อนสนิทกับไลท์และ Lr ตั้งแต่ที่โรงเรียนมังกร

2.3ไฟร์ ลูกมังกรนิทินโค นิสัย ดื้อรั้นแต่รักคุณธรรมในตอนแรกนั้นเขาจงเกลียดจงชังมนุษย์มากจึงทะเลาะเบาะแว้งกับ Lr บ่อยๆ แต่ในตอนที่หมู่บ้านถูกโจมตีเขาได้แสดงความเปนผู้นำช่วยเหลือพวก Lr มาได้ที่โรงเรียนมังกรเขามีลูกน้องมังกรที่เคารพรักอยู่ด้วยหลายตัว อดีตของเขายังคงคลุมเครืออยู่

2.4อควา ลูกมังกรเฟินร์กอลโล นิสัย ขี้เล่น ร่าเริง เข้ากับคนอื่นง่าย ดดยส่วนตัวยังไม่ค่อยมีบทซักเท่าไหร่

2.5วิล ลูกมังกรดิมมิวเนี่ยน นิสัย ช่างเจรจา เขาพูดคล่องทั้งภาษามนุษย์และมังกร อีกทั้งยังมีความสามารถด้านการสู้รบสูงที่สุดในกลุ่มเพื่อน ตัวตนที่แท้จริงของเขายังเป็นปริศนา


2.6ดาร์ค ลูกมังกรนอฟฮอพ นิสัย สุขุม มองโลกในแง่ร้ายเสมอ อาจเป็นเพราะมีอดีตที่น่าเศร้าในตอนที่ทุกคนได้พบกับพ่อแม่ของตนในบทที่ 2 มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไมได้เจอพ่อแม่ ไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใคร
คงต้องรอต่อไป



3. Genus Runevel

นิสัย : เยือกเย็น แต่แท้จริงแล้วเป็นคนอ่อนโยนรักน้องชายมาก เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ
อย่างที่สุด

ประวัติ : เป็นชนเผ่าครึ่งสมิง ที่หลงเหลืออยู่ในเมอริเซีย กำพร้าพ่อแม่ ตอนอายุได้เพียง 1 ปีเศษๆ ต่อมาเป็นลูกบุญธรรม ของแอสต้า แม่มดจันทรา และตัวเขายังเป็นผู้รับสืบทอดศิลาจันทราของต้นตระกลูตัวเองอีกด้วย
เข้ารับการฝึกเป็น เทพขุนพล ตอนอายุ 5 ปี ใช้เวลาฝึกฝนอยู่นาน 4 ปี และขึ้นเป็นเทพขุนพลด้วยวัยเพียง 9 ปี

ความสามารถ : เชี่ยวชาญเพลงหมัดมนตราและการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นับได้ว่าเขาเป็นคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มของ Lr ตอนนี้เลยก็ไม่ผิดนัก
สามารถแปลงเป็นสมิงหมาป่าแสงจันทร์ได้ (Moon Shine Werewolf)

อายุปัจจุบัน 9 ปี

นามเทพขุนพลคือ ชาโดว์มูน(Shadow Moon)

4. Laguna Lunevel

นิสัย : มีความมั่นใจในตัวเองสูงนับถือและเคารพรัก เจนัสพี่ชายของตนมาก มักจะเดินตามพี่ชายไปไหนมาไหนเสมอๆ

ประวัติ : กำพร้าพ่อแม่เช่นเดียวกับเจนัส และถูแอสต้ารับเป็นลูกบุญธรรม เข้ารับการฝึกฝยเป็นเทพขุนพลเช่นเดียวกับเจนัสด้วยวัย 4 ปี สำเร็จการฝึกฝนในเวลา 4 ปีและได้เป็นว่าที่เทพขุนพลด้วยวัยเพียง 8 ปี

ความสามารถ : แม้จะได้รับการฝึกมาแบบเดียวกับพี่ชาย แต่ทว่าเขากลับเชี่ยวชาญด้านการประยุกค์มนตราเสริมพลังเสียมากว่า แต่นั่นก็ทำให้การโจมตีแต่ละครั้งของเขามีความรุนแรงยิ่งนัก แม้จะเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วเท่าพี่ชายแต่เกราะมนตราของเขาก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าพี่ชายนัก
สามารถแปลงเป็นสมิงหมาป่าสีเงินได้(Silver Werewolf)

นามแฝง ซิลเวอร์มูน (Silver Moon)
อายุปัจจุบัน 8 ปี



5. Neena Laserio

นิสัย : เวลาปรกติจะทำตัวร่าเริงแต่ความจริงเธอเป็นคนที่ซึมเศร้าหวั่นไหวง่าย และยังเป็นคนขี้เหงาอีกด้วย

ประวัติ : ยังไม่มีข้อมุลที่แน่ชัดทราบเพียงแต่ว่าถูกเซอร์เซสจับตัวมาหรืออาจจะสมัครใจมาเอง เข้ารับการฝึกฝนด้วยวัย 4 ปีครึ่ง และสำเร็จการฝึกฝนในเวลา 3 ปีครึ่งพร้อมกับเจนัส เข้ารับการเป็นเทพขุนพลด้วยวัยเพียง 9 ปี

ความสามารถ : เชี่ยวชาญการใช้อาวุธฟันและยิงทุกประเภท ได้รับการฝึกฝนจนเป็นนักฆ่าชั้นเยี่ยม
ทำงานด้านกาลอบฆ่าและการแฝงตัวสืบข้อมูลของศัตรู  จนถูกขนานนามว่าเป็นมือสังหารไร้เงา
เพราะทุกรายที่นางสังหารจะไม่ได้เห็นตัวนางเลย
สามารถแปลงเป็นสมิงแมวป่าได้(Werecat Bandit)

อาวุธคู่ใจคือปืนประดิษฐ์ที่เปลี่ยนเป็นมีดได้อีกทั้งยังเป็นตัวส่งสัญญาณ
เรียกแคริอุส (Carius) ซึ่งเป็นจักรกลขนส่งอาวุธไม่มีใครทราบว่าทำไมนางถึงได้มีมัน

นามเทพขุนพล ไลซไนท์ (Rise Night)

อายุปัจจุบัน 9 ปี

6. Riku
ชื่อสกุลยังไม่ทราบแน่ชัด

นิสัย : จากคำบอกเล่าของพวกเจนัส เขาเป็นคนใจกว้างเข้มแข็งและเป็นที่รักของเพื่อนๆทุกคน
แม้แต่เจนัสเองยังอดชื่นชมเขาไม่ได้นับได้ว่าริคุเป็นเพื่อนตายของเขาเลยก็ว่าได้ แม้แต่ลากุน่ายังคิดว่าเขาเป็นพี่ชายคนที่สองเลย อีกทั้งยังเป้นคนห้ามนี่าไม่ให้ฆ่าตัวตาย และยังคอยเป็นกำลังใจให้เธอด้วย

ประวัติ : เจ้าตัวเคยบอกว่าถูกเซอร์เซสจับตัวมาและพรากตนจากน้องชาย ดังนั้นเมื่อเขาได้เจอกับลากูน่า
เขาคงจะเห็นว่าลากุน่าเป็นเหมือนน้องชายของเขา เขาได้พบกับเจนัสในตอนที่
แบ่งกลุ่มฝึกฝนในองค์กร และสำเร็จการฝึกพร้อมพวกเจนัส อีกทั้งยังได้รับการคัดเลือกเป็นเทพขุนพลเช่นเดียวกันกับเจนัสแต่ทว่ามีชายไร้นาม
คนนึงเข้ามาแทรกแซงทำให้ตำแหน่งเทพขุนพลหายไปที่นึงเขาจึงต้อง
สู้ถึงตายกับเจนัสเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแต่ด้วยความเป็นคนใจกว้าง

และไม่อยากให้เจนัสและลากูน่าต้องเป็นดั่งเขาที่ต้องสูญเสียน้องชายไปเพราะองค์กร จึงยอมเสียสละให้เจนัสปลิดชีพตน ต่อมาเขากลับมาปรากฏตัวต่อหน้า

พวกเจนัสในฐานะเทพขุนพลไร้นาม  และคำบอกกล่าวที่เอ่ยขึ้นในตอนนั้นกลับกลายเป็นว่าทั้งหมดที่เขาแสดงให้เห็นเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ทำให้ตอนนี้ประวัติของเขายิ่งคลุมเครือกว่าเดิม

นามเทพขุนพล เครสเซนท์ (Crescent)

ความสามารถ : เช่นเดียวกับเจนัสเขาเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และยังถนัดการใช้พลังมนตรา
สร้างคลื่นสูญญากาศ ผ่าศัตรูซึ่งเรียกว่า คาไมทาจิ (Kamaitachi) หรือเคียววายุ ตัวเขานั้นมีฝีมือที่เก่งกล้ากว่า
เจนัสมาก ซึ่งนั่นย่อมรวมไปถึงนีน่ากับลากูน่าด้วย
สามารถแปลงเป็นสมิงพังพอนได้ (Weasel Fighter)

การปรากฏตัวในตอนแรกเขาจะสวมชุดเกราะเหล็กสีดำสนิททั้งตัวและจะปลดสลักระเบิดเกราะเพื่อต่อสู้อีกที

อายุปัจจุบัน: ไม่สามารถระบุได้แต่น่าจะใกล้เคียงกับเจนัส

นักเชิดวิญญาณรัตติกาลและผู้ร่ายอสูรเดนนรก
ทั้งสองนามเป็นคำกล่าวขานถึงจอมเวทย์หญิงที่ร้ายกาจที่สุดในปฐพีของชาวทวีปคาดาร่า
ซึ่งตัวจริงของนางคือหญิงสาววัยเดียวกับลากูน่า นามเรโค่ (Reico) ประวัติและความสามรถของเธอยังเป็นปริศนา


เทพนทีทลายสวรรค์และเสียงเพรียกจากทะเลทมิฬ
เช่นกันนี่เป็นนามเรียกขานจอมเวทย์ชายที่ร้ายกาจที่สุดในมหาสมุทร
ซึ่งตัวจริงของเขากลับเป็นเด็กชายที่ใส่ชุดเหมือนกับลากูน่า และอายุเท่ากับเรโค่ด้วยชื่อจริงของเขา
คือ เซโร่ (Zero) ประวัติและความสามารถยังเป็นปริศนา


ความทรงจำของนีน่า
จากใบทก่อนๆนี้จนถึงบทที่ 20 เราทราบเพียงแค่ว่าเธอเป็นศิษย์ของเซอร์เซสเช่นเดียวกับเจนัสเท่านั้น
หากแต่ในอดีตนั้น เธอเป็นใครเรายังไม่อาจทราบได้
จากภาพความทรงจำเธอถูกเด็กชายคนนึงช่วยเอาไว้และคนที่ทำให้ชีวิตของนาง
ต้องพินาศก็คือเด็กชายคนเดียวกบที่ช่วยนางไว้ สิ่งที่น่าจะพอเป็นเบาะแสได้มีเพียงเศษหินสีเขียวที่เจนัสและนางถือครองอยู่บาง
ทีอาจจะเกี่ยวข้องกับรอยยิ้มที่ลากูน่ารู้สึกว่าคุ้นเคยนั้นอาจจะเป็นเบาะแสก็ได้เช่นกัน

สาเหตุของการทรยศ

เจนัสกับลากูน่านั้นแต่แรกก็ไม่ได้อยาเข้ารับการฝึกฝนเป็นเทพขุนพลแต่เพื่อแลกกับความปลอดภัย
ของแอสต้าแม่บุญธรรมของพวกเขาจึงยอมเข้าสังกัดองค์กรซึ่งทางองค์กรต้องการเพียงแค่จะใช้พลัง

ของพวกเขาควบคุมศิลาจันทราเท่านั้น แต่เมื่อแสตาถูกแบล็คไวเซอร์ฆ่าตายเพราะเอาตัวเข้าปกป้องพันนิชชูล่า
ทำให้พวกเขาไม่มีข้อผูกมัดใดๆกับองค์กรอีกต่อไปและแอสต้าเองยังเป็นคนบอกให้พวกเขากลับใจ
และสู้กับองค์กรเพื่อไม่ให้ใครต้องเป็นทุกข์เพราะพวกมันอีก
ส่วนนีน่านั้นสาเหตุอาจจะมาจากต้องการแก้แค้นให้ริคุหรืออาจมีอย่างอื่นแอบแฝงอีกก็เป็นได้
 
เหล่าผู้ที่เคยตายไปทำไมถึงกลับมามีชีวิตอีกครั้งและยังคอยรับใช้ท่านผู้นั้นด้วย
จากที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าแบล็คไวเซอร์  ริคุ หรือแม้แต่บลาสเซจ บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ล้มหายตายจากไปแล้ว
ทั้งสินกลับมาเป็นสมุนรับใช้ของท่านผู้นั้น นี่อาจเป็นสาเหตุที่ริคุเปลี่ยนไปก็เป็นได้

อำนาจของท่านผู้นั้นคืออะไรกันแน่ต้องดูกันต่อไป

นักประดิษฐ์กับทิโมธี

เป็นเรื่องบังเอิญเสียนี่กระไรที่ทั้งสองฝ่ายกลับมี นักประดิษฐ์ช่วยหนุนกองทัพอยู่เหมือนกัน
นี่อาจเป็นการงัดข้อกันของวิทยาการของทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้



เทพขุนศึกโผล่ไปกี่คนแล้ว

ตั้งแต่ตอนที่ 11 เป็นต้นมารวมแล้วทั้งสิ้นมี 6 คน

1. ชาโดว์มูน (Shadow Moon)
2.วูลเซวิล (Wurzevil)
3.เซอร์เซส (Xerxes)
4.เครสเซนท์(Crescent)
5.ลูคเรเทีย(Lucretia)
6.ไลซ์ไนท์(Rise Night)

(แบล็คไวเซอร์กับบลาสเซจเป็นหัวหน้าฝ่ายจึงไม่ใช่ เทพขุนศึก)

จบการแนะนำกันเพียงเท่านี้เจอกันในครั้งหน้านะครับ



 
« Last Edit: June 03, 2008, 02:27:53 AM by greamon » Logged


::RedharinG::
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 97


« Reply #174 on: June 02, 2008, 03:20:49 AM »

กลับมาแล้วค่า~~~~~~
ขอบคุณมากๆเลยเจ้าค่ะที่เมล์ไปบอก *-*
ตั้งแต่ไม่มีนิยายเรื่องนี้ให้ตาม เราก็ไม่ได้เข้ามาในบอร์ดนี้เลยแห๊ะ~~~
ขอไล่อ่านก่อนนะงิ >_<~~~~
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #175 on: June 02, 2008, 11:11:56 AM »

ยินดีต้อนรับกลับมานะคร้าบ ขอให้สนุกนะครับจะพยายามพิมพ์ๆๆและก็พิมพ์ต่อไปนะคร้าบ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #176 on: June 03, 2008, 05:42:02 PM »

อัพเดทตอนแล้ว 555555+   สนุกอีกตามเคย
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #177 on: June 08, 2008, 08:25:22 PM »

มาแล้วครับสำหรับบทที่ 21 คิดว่าตอนนี้ทุกคนคงจะรู้วันที่อัพเดทของผมแน่นอนแล้วนะครับว่าเป็นทุกวันอาทิตย์
เวลา ประมาณบ่าย4 กว่าน่ะครับ สำหรับตอนในวันนี้ก็มีเรื่องให้ตะลึงอีกแล้วพักนี้
รู้สึกจะตะลึงบ่อยมาก แต่รับรองว่าวันนี้ตะลึงของแท้แน่นอนครับ อีกอย่างเมื่อคืน
พิมพ์เองพาลจะหลอนซะเอง บรึ๋ยน่ากัว(มั้ง) ถ้ายังไงเราไปชมกันเลยดีกว่าครับ

บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง


สายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วหมู่บ้านแหลมเพราะมวลอากาศเย็น ก่อนรุ่งสาง ในตอนนี้แสงจากดวงสุริยันต์
เริ่มสาดส่องไปทั่ว เพื่อบอกเวลาแห่งวันใหม่ แม้ตอนนี้หมอกจะยังคงหนาอยู่ จนราวกับยังมืดค่ำก็ตาม
หากแต่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้มันก็จะจางหายไปจนสิ้น….

ที่ลานหน้าสำนักงานกองกำลังต่อต้าน กลุ่มเด็กและลูกมังกรกลุ่มนึงกำลัง จัดของและเตรียมตัวออกเดินทางกัน


“ จากนี่ตรงไปทางเหนือจะเจอป่านะ ถ้าผ่านไปได้เห็นทุ่งกว้างที่ตัดกับหุบเขานะ ให้ตรงไปเลยก็จะถึงทีนวาแลนแล้วนะ ”
พนักงานของกองกำลังอธิบายไปพร้อมกับเอานิ้วไล่ตามแผนที่ที่ถืออยู่ก่อนจะส่งมันให้ Lr


ซึ่งเค้าก็รับมาดูก่อนจะซักถามในจุดที่ยังสงสัยอยู่บ้างด้านเจนัสพวกเขากำลังจัดสำภาระใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง

“ งั้นสัมภาระพวกนี้น่ะฉันจะรับผิดชอบดูแลให้เอง ”
นางกล่าวจบก็คว้าปืนจากซองที่ไข้วเอวนางไว้ แล้วกดสวิตซ์ที่ปืนของนางทันที พร้อมกับที่คาริอุส
จักรกลซึ่งเป็นเสมือนคลังแสงย่อยของนางเลยก็ว่าได้ ค่อยทะยานลงมาจากฟ้า ทันทีที่มันลงจอดเรียบร้อย
นางก็เดินอ้อมไปข้างหลังคาริอุสแล้วจัดแจงเปิดฝาครอบแผงวงจรด้านหลังออกมา

และกดสวิตซ์ตัวนู้นตัวนี้ของแผงวงจรราวกับกำลังตั้งค่าอะไรบางอย่าง  ซึ่งพวกเจนัสก็ได้แต่มองด้วยความสงสัย ทันทีที่นางปิดฝาครอบ

แผงวงจรลงก็กดสวิตซ์ ที่ร่องฝาครอบด้านบนของมัน  ก่อนที่ฝาครอบด้านบนของมันจะเปิดออก ทำให้มันดูเหมือนกับกล่องกลมๆสำหรับใส่อะไรซักอย่าง


นางไม่รอช้ารีบขน สัมภาระทั้งหมดใส่ลงไปในช่องว่างของตัวคาริอุสที่เปิดออกทันที ก่อนจะปิดมันและกดสวิตซ์สั่งให้มันทะยานกลับขึ้นไป

“ เอาล่ะเท่านี้ก็เรียบร้อย ฉันป้อนคำสั่งให้มันบินอย ู่ใกล้ๆพวกเราหน่อยจะได้เรียกใช้ได้ตลอกเวลาน่ะ ”
นางหันมากล่าว

“ แล้วตอนเรียกใช้มันจะไม่โยนโครมลงมา หรอ ”
ลากูน่าแหย่นางเล่นๆซึ่งทำให้นางยิ้มด้วย ความเหนื่อยใจกับท่าทีของเขา

“ ไม่หรอกนั่นน่ะไม่ใช่ช่องใส่อาวุธเพราะฉะนั้นมันโยนลงไม่ได้หรอก และถ้าไม่ทำแบบนี้พวกเราก็คงเดินทาง กันช้าแน่เลยถือซะว่ามันเป็นเครื่องขนส่งก็ละกันนะ ”
นางกล่าวจบก็ หันหา Lr เพื่อขอเสียงสนับสนุน แต่ เค้ากลับตีสีหน้าพะวงกับการเดินทาง

ทำให้นางชะงักไป เจนัสที่เห็นดังนั้น จึงเดินเข้าไปตบไหล่ Lr เบาๆ ทำให้
Lr หันมามองด้วยความสงสัย

“ ยังกังวลอยู่อีกเหรอที่พวกเราจะไปด้วยน่ะ ”
เจนัสกล่าวเสียงเรียบ  Lr ที่ได้ยินคำพูดของเขาก็มีสีหน้าสลดไปทันที

“ หรือถ้านายคิดว่าพวกเราเป็นตัวเกะกะล่ะก็ ไม่ต้องห่วงหรอกพวกเราไม่คอยขัดแข้งขัดขา
นายอยู่แล้ววางใจได้ ”
ลากูน่ากล่าวจบ Lr ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที


“ ม…ไม่ใช่นะพวกนายไม่ได้ถ่วงอะไรฉันเลย เพียงแต่… ”
Lr กล่าวยังไม่ทัน จบเขาก็นิ่งไปเมื่อสิ่งที่จะพูดนั้นออกจะอธิบายเป็นพูดได้ยาก
แต่เค้าก็พยายามสันหาคำที่จะมากล่าวจนได้

“ เพียงแต่..ฉันไม่อยากให้พวกนายต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของชั้นน่ะ เพราะสำหรับชั้นแล้วพวกนายก็ถือเป็นเพื่อนคนสำคัญของชั้นเหมือนกันก็เลยไม่อยากให้เพื่อนต้องมาลำบากด้วยน่ะ ”
 Lr กล่าวเสียงอ่อยด้วยความเกรงใจ แต่นั่นกลับทำให้เจนัสรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เขากล่าวออกมา

“ ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ”
เจนัสถาม ซึ่ง Lr เองก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เข้าถึงสิ่งที่เจนัสถามเพราะเค้าเองก็ได้บอกเหตุผลไปแล้วไยจึงจะมาซักทอดกันต่ออีก แต่เจนัสก็กล่าวต่อขึ้นมาอย่างทันท่วงทีเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป


“ ถ้านายเห็นเราเป็นเพื่อนจริงก็ไม่ควรจะ ห้ามไม่ให้เราช่วยเหลือจริงมั้ย เพราะเพื่อนน่ะไม่ทิ้งกัน…..อยู่แล้ว ”
เจนัสเองเมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ทั้งเค้า นีน่าและลากูน่า ก็นิ่งเงียบไปเพราะทันทำให้พวกเค้านึกถึงริคุขึ้นมา
พนักงานที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที


“ อ…เอ่อว่าแต่ไม่ขาดเหลืออะไรแล้วใช่มั้ย ”
พนักงานกล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนซึ่งนั่นก็พอทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่จางหายไปบ้าง


“ ครบหมด เพราะเราตรวจดูตั้งแต่เมื่อวานแล้วของที่ขอมาก็ครบแล้ว ”
เฟินกอลโล่รีบตอบขึ้นทันควันเสียงของลูกมังกรถูก ดราก้อนฮอลลี่แปลแล้วจึงทำมให้พนักงานเข้าใจที่เขากล่าวได้


“ ทั้งเสบียง ยารักษาโรค เครื่องสาธารณูปโภค และอุปกรณ์สำหรับเดินป่าครบหมดนะ ”
พนักงานถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาก็พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าครบ
 
“ ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ ที่จริงข้าว่าจะไปส่งพวกเจ้าที่เมืองทีนวาแลน เองหรอกนะแต่ว่าข้าติดงานน่ะเสียใจด้วย ”
พนักงานกล่าวด้วยความเสียดาย แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกเค้าจึงเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อ

ครู่ต่อมาเมื่อพวกเขาเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว ก็ออกเดินจากลานหน้าสำนักงานทันที
โดยพวกเขาทิ้งให้ Lr ซึ่งขอตัวคุยกับพนักงานเพียงลำพังเอาไว้ จนเมื่อพวกเขาออกไปจาลานหมดแล้ว Lr
จึงหันไปหาพนักงานซึ่งหลังจากรู้จักกันมานานตลอดสัปดาห์ ทำให้พอจะรู้จักเขามากขึ้นแล้ว

พนักงานคนนี้เป็นชายหนุ่มวัย 18 ปีเค้ามีผมสีดำหยักปลาย ดวงตาคมเกล้าประดุจพญาเหยี่ยว
ร่างกายแข็งแรงกำยำล่ำสันได้ส่วนพอประมาณซึ่งน่าจะ เป็นเพราะเขาเองก็ได้รับการฝึกจากกองกำลังนั่นเอง
ที่นิ้วของเขามีแหวนซึ่งประดับด้วยหินสีเขียวก้อนขนาด พอเหมาะติดที่หัวแหวน


Lr มองเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเรื่องขึ้นมากมายก็ได้เขาช่วยจัดการเรื่องต่างๆให้
ไม่ว่าจะตอนลงทะเบียนแข่งให้กับเจนัส หรือคอยดูแลปฐมพยาบาลพวกเขารวมถึงจัดหา สิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางครั้งนี้ให้ด้วย

“ ที่ผ่านมาผม ต้องขอบพระคุณมากเลยนะครับที่ช่วยพวกเรามาตลอด ”
Lr กล่าวขอบคุณพร้อมกับโค้งด้วยความเต็มใจ แต่พนักงานเองก็รีบปรามไว้ด้วยความเกรงใจ


“ ไม่เป็นไรแค่นี้เองอีก อย่างข้าก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นไม่ต้องถือเป็นบุญคุณหรอก ”
พนักงานกล่าวด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน

“ ถ้าเช่นนั้นผมขอทราบชื่อของท่านหน่อยจะได้มั้ย ”
Lr ถามขึ้นซึ่งคำพูด ของเขาทำให้พนักงานนิ่งไปราวกับกำลังชั่งใจว่าจะบอกดีหรือไม่
แต่ก็ตัดสินใจบอกไป

“ กาเทีย….กาเทีย ลาเซริโอ้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ”
พนักงานกล่าวจบก็จับมือทักทายกับเขาเป็นเชิง
ก่อนจะส่งเค้าออกไปสมทบกับพวกเจนัสและลูกมังกร

หลังจากที่ส่งพวก Lr เสร็จเขาก็กลับมายังสำนักงาน
ตอนนี่สภาพรอบๆยังคงมีหมอกลงอยู่หนาเช่นเคย

“ ทำไมกันนะ ”
เค้าคิดขณะที่นึกย้อนกลับไปเมื่อ 2 วันก่อนที่เค้าติดต่อกับทิโมธี

2 วันก่อน

ภายในสำนักงานโต็ะที่วางเครื่องสื่อสารเอาไว้ เค้ากำลังพูดผ่านเครื่องสื่อสารกับทิโมธี

“ ทำไมเราถึงไม่ช่วยเค้าตามหาลูกมังกรให้ถึงที่สุดล่ะครับ ท่านเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ช่วยเขาเท่าที่จะช่วยได้ ”
พนักงานถามด้วยความฉงนผ่านเครื่องสื่อสาร

“ เกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะ ข้าบอกรายละเอียดไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องให้เค้าไปจัดการเอง ”
เสียงของทิโมธี ดังกลับมาจากเครื่องตอบรับ

“ แต่นั่นเท่ากับส่งไปตายดีๆเลยนะครับแล้วอีกอยางทำไมถึงต้องมอบงานสำคัญแบบนั้นให้พวกเค้าไปด้วย ”
พนักงานกล่าวใส่เครื่องรับด้วยความไม่เข้าใจกับความคิดของอีกฝ่าย แต่ทางอีกฝ่ายก็เงียบ
ไปครู่ใหญ่ก่อนจะเริ่มกล่าวขึ้นมา
 

“รู้จักตำนานของอัศวินมังกรคนแรกแห่งเมอริเซียไหม ”
เสียงตอบกลับจากเครื่องตอบดังขึ้น พร้อมกับความรู้สึกปวดร้าวที่เกิดขึ้นในนทันที แม้ไม่อยากตอบแต่เพราะอยากทราบความตั้งใจของ อีกฝ่ายจึงตัดใจตอบกลับไปทั้งที่ไม่อยากตอบ

“ หมายถึง ซาราเบลด(ZaraBlade)สินะครับ ”
พนักงานตอบกลับน้ำเสียงขุ่นมัวเล็กน้อย ที่ถูกถามถึงสิ่งที่ไม่อยากตอบ


“ จริงสิ เจ้าเองก็เป็นคนจากฟีเลเซียนี่นะ  และถึงจะตัดขาด กับตระกูลไปแล้วแต่เรื่องท
ี่ได้รับการปลูกฝังมานี่คงลืมไม่ลงสินะ ”
เสียงของทิโมธีดังกลับมาจากเครื่องตอบรับ ตอนนี้พนักงานกำมืออีกข้างที่วางอยู่บนโต็ะแน่น เสียจนเหงื่อไหลอาบไปทั่วทั้งฝ่ามือ เมื่อไม่เสียงตอบกลับจากเขาทิโมธีจึงตอบกลับมาอีกครั้ง


“ ลาเซริโอ้(Laserio) รูลเวลส์(Runevel)สองตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีเมื่อหลายสิบปีก่อนจะล่มสลายไป เจ้าเองที่เป็นคนตระกูล ลาเซริโอ้ น่าจะเข้าใจดีนะถึงตำนานนี้น่ะ ”
เสียงดังกลับจากเครื่องตอบรับ ซึ่งมันทำให้เค้าพูดไม่ออกไปชั่วครู่เมื่อย้อนนึกถึง
อดีตของตนก่อนจะมาสังกัดกองกำลังต่อต้าน


“ ใช่ตระกูลของเรากับตระกูลรูลเวลส์ ล้วนมีความสัมพันธ์เป็นกับซาราเบลดทั้งสิ้น ”
ทันทีที่เขากล่าวจบก็ ภาพอดีตสมัยเด็กของเขาก็แวบผ่านเข้ามาในใจ


ภาพของเด็กหญิงครึ่งสมิงนางมีผมสีทองหูแมวสีน้ำตาล นางยิ้มแย้มสดใสร่าเริงตามประสาเด็ก
รอยยิ้มของนางยังคงตราตรึงอยู่ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ เมื่อหวนนึกถงรอยยิ้มนั้นมันทำให้เค้าเจ็บปวด
ใจยิ่งนัก เขาส่ายแรงๆเพื่อสลัดภาพนั้นออกจากหัวเขา
ในตอนนั้นน่ะเองที่ทางด้านทิโมธีมีเสียง อะไรบางอย่างแทรกเข้ามาทำให้เค้าสงสัยจึงถามกลับไป


“ เมื่อกี้มันเสียงอะไรน่ะครับ ”
เขาถามด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา


“ เป็นอะไรรึเปล่าครับทางนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ”
เขาถามย้ำอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ และซักพักสายก็ถูกตัดไป


ต่อจากนั้นแม้เค้าจะพยายามติดต่อไปอยู่ หลายทีก้ตามแต่ก็ไม่มีการตอบรับจากทิโมธีอีกเลย


“ ว่าแต่เด็กคนนั้นเหมือนมาก… ”
เมื่อหันกลับไปมองลานหน้าสำนักงานที่เขาพึ่งไปส่งพวก Lr เขาพยายามใช้ความคิดทบทวนอยู่นาน
เขานึกถึงใบหน้าของนีน่า ที่พึ่งจากกันไปเมื่อครู่ก่อนจะย้อนนึกกลับไปถึงภาพความทรงจำในอดีต

“ เด็กคนนั้นเหมือนกันกับ เธอเลยนะ นีน่า… ”
เขากล่าวพร้อมกับนึกย้อนไปยังวันที่เขาจากบ้านมา

ในวันนั้นเขาตัดสินใจอกจากบ้านและตัดขาดกับตระกูล ก่อนวันทำพิธีสืบทอดตระกูล
แต่ทว่าเค้าเองก็ยังมีบางสิ่งที่ค้างคาอยู่จึงได้รออยู่แถงนั้นจนเมื่อพิธีเริ่มไปได้ไม่นานนัก
ทั้งหมดก็ตกอยู่ในทะเลเพลิงหลังจากที่เค้าได้ห็นเงาของครึ่งสมิงเด็กชายคนนึงพุ่งตัดหน้าชนเค้าจนหมดสติไป
เมื่อฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็ไหม้จนหมด คฤหาสน์ของตระกูลถูกไฟเผาจนมอดไหม้ไม่มีเหลือ บรรดาวงศาคณาญาติ
ทั้งหลายที่มาร่วมงานก็ถูกไฟครอกตายแทบทุกคน เค้าในตอนนั้นที่ได้เห็นสภาพเช่นนั้นก็ไม่รีรอช้า
รีบเข้าไปรื้อซากไหม้ของคฤหาสน์เพื่อหาอะไรบางอย่าง

“ นีน่า..นีน่า ”
เค้าร้องเรียกหาใครบางคนทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครจะ รอดออกมาจากกองเพลิงนั้นได้

หมอกที่ปกคลุมเริ่มจางลงไปแล้ว เขาจึงเลิกคิดที่จะขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ พร้อมกับเดินตรงเข้าไปยังสำนักงาน

“ รู้อย่างนี้ถามชื่อเด็กคนนั้นไปซะก็จบเรื่องแล้ว ”
เค้าคิดด้วยความเสียดาย ก่อนจะยกแหวนที่ประดับหินสีขียว แบบเดียวกับที่เจนัสและนีน่ามีอยู่ขึ้นมามอง
ด้วยสายตาเศร้าๆ

“ สัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างตระกูล ลาเซริโอ้กับรูลเวลส์ ตอนนี้ก็เป็นได้แค่หินธรรมดาๆล่ะนะเพราะความสัมพันธ์นั้นน่ะ มันขาดไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าเด็กนั่นมาล้างตระกูลเราแล้ว ”
พนักงานคิดพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแค้นในใจ ทันทีที่นึกถึงตอนที่ เด็กชายครึ่งสมิงเข้ามา
ทำลายชีวิตคนสำคัญของเขา

“ ทำไม…ทำไมตอนนั้นเรา ถึงไม่ชวนเธอหนีไปด้วยนะ..ทำไม ”
เขาคิดด้วยความเสียดาย กับการตัดสินใจในวันนั้น


……………………………..
………………………………….
……………………………………….

ที่หน้าทางออกของหมู่บ้านเพื่อตรงไปยังป่าทางเหนือ พวกเขาได้เดินฝ่าสายหมอกที่ยังคงหลงเหลืออยู่
จนเริ่มเห็นเงาของคนหลายคนอยู่ลางๆที่ตรงหน้า  ทันทีที่หมอกเริ่มจางลงเพราะแสงตะวัน

หนทางข้างหน้านั้นก็มี เหล่าผุ้คนที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้มารอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
นีน่าที่เห็นเช่นนั้นก็วิ่ง ตรงเข้าไปหาพวกชาวบ้านซึ่งพวกเขาเองยิ้มรอต้อนรับอยู่ด้วย
ความยินดี

“ จะไปแล้วใช่มั้ยจ้ะ ถ้ายังไงรักษาตัวด้วยนะ ”
ยายแก่ครึ่งสมิงหมี ที่รู้จักกับนางเอ่ยด้วยความห่วงใย

“ โฮะๆ ว่างๆก็กลับมาที่นี่บ้างนะ ลุงจะเตรียมเสื้อผ้าใหม่ไว้ให้ลองต้องกลับให้ได้นะ ”
ชายชราที่เป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่นีน่า ไปอุดหนุนบ่อยๆพูดขึ้นด้วยความชอบใจ

ซึ่งพวกชาวบ้านคนอื่นๆเองก็เข้ามาบอกลาและพูดคุยกับเธอก่อนจาก
ซึ่งภาพตรงหน้านั้นทำเอาพวก Lr นิ่งอึ้งไป

“ หยั่งกับเป็นครอบครัวเดียวกันเลยนะ ”
Lr กล่าวขึ้นลอยๆเมื่อเห็นภาพตรงหน้ามันทำให้เค้านึกถึง สมัยที่ยังอยู่กับดีวายดราก้อนอย่างเป็นสุข
ในหมู่บ้านมังกร ทุกคนในหมู่บ้านทักทายเขาอย่างเป็นมิตรทำให้ตลอดมาเขาไม่เคยคิดว่า

ตนแตกต่างไปจากคนอื่นเลย แม้รอบข้างเขาจะมีแต่มังกร แต่เขาก็ไม่เคยรู้แตกแยกกับใครเลย
เพราะทุกคนในหมู่บ้านล้วนดูแลซึ่งกันและกัน เขาหยุดคิดเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวก
บางอย่างดังมาจากทางด้านเจนัส ทำให้เขาหันไปมองด้วยความสนใจ

ที่นั่นกลุ่มเด็กประมาณสี่คนทุกคนล้วนมีผ้าพันแผล และรอยฟกช้ำอยู่ตามตัว
ซึ่งเขาเองก็พอจะจำได้ว่าเป็นเหล่าเด็กที่ลงงานประลองหมัดแล้ว แพ้ให้กับเจนัสและลากูน่าไปอย่างง่ายดาย



“ ครั้งเราจะยอมปล่อยให้นีน่าไปกับพวกนายก็ได้ ”
“ แต่นายสองคนน่ะ คอยดูแลนีน่าดีๆนะ ”
“ ถ้าหากทำให้เธอต้องเสียใจล่ะก้เราไม่ปล่อยเอาไว้แน่ ”
“ จำเอาไว้ซะ ”

ทั้งสี่คนกล่าวไล่เรียงกันมาด้วยความหึงหวง ซึ่งลากูน่าเองก็พอจะจำได้ว่า
พวกเด็กเหล่านี้เป็นพวกกลุ่มเด็กชายที่แอบชอบนีน่า และจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ตอนที่เค้าเดินควงแขนกับนีน่าอยู่ในหมู่บ้าน(จำไม่ได้ให้ย้อนกลับไปดูบทที่ 16)

เจนัสและลากูน่าทั้งสองมีสีหน้า เหนื่อยหน่ายกับท่าทีของพวกเด็กๆจึงรับปากส่งๆไป
ซึ่งทำเอา Lr อดอมยิ้มด้วยความตลกขบขันของพวกเขาไม่ได้

………………………
………………………..
………………………..

ทีนวาแลน

บัดนี้เมืองใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจาก หมู่บ้านแหลมทวีปไปทางเหนือ
ได้ถูกรายล้อมไปด้วยทหารผีดิบที่ เคยถูกใช้เมื่อครั้งสงครามสี่อาณาจักร

พวกมันบุกเข้าโจมตีเมืองอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารและชาวเมืองไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกปิดล้อมทางหนีจนสิ้น

ที่น่านฟ้าเหนือเมืองทีนวาแลน เด็กสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง และลูกมังกรไฟอีกตัว
กำลังลอยตัวอยู่ กลางอากาศ

“ ดูเหมือนว่าเจ้าคนที่ตามราวีมาตลอดนี่มันจะไม่ลดละความพยายามเลยนะ ”
เด็กชายกล่าวเขามีผมสีน้ำเงินสวมเสื้อยืดแขนยาวสีเขียวตัดลายเทา แบบเดียวกับลากูน่า
กล่าวขึ้นอย่างเซ็งๆ

“ งั้นเราก็อย่าต้องลากใครเข้ามาพัวพันด้วยเลย ไปช่วยหน่อยคงไม่เป็นไรนะ ”
เด็กหญิงกล่าว นางมีปีกราวกับทูตสวรรค์แต่ปีกกลับเป็นสีดำสนิท ปีกของนางกระพือเบาๆทำให้นางสามารถ
ทรงตัวอยู่กลางอากาศได้ในขณะที่เด็กชายนั่งอยู่บนก้อนเมฆ กับลูกมังกรไฟ

“ งั้นข้าทำเองดีกว่าขืนให้เจ้าทำรังแต่จะทำให้เมืองหายไปด้วย ”
เด็กชายกล่าว

“ งั้นฝากด้วยละกันนะเซโร่(Zero)่ ”
นางกล่าวจบ เด็กชายก็ส่งตัวลูกมังกรไฟให้นางอุ้มเอาไว้ก่อน จะสลายเมฆที่ยืนอยู่และพุ่งลงไปอย่างรวดเร็ว



“กีซซซซ”(สองคนนี่ทำไมถึงเก่งอย่างนี้นะต่อให้ลอว์เลนซ์เก่ง
แค่ไหนก็เถอะถ้ามีเรื่องด้วยมีหวังเราไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแน่)

ลูกมังกรไฟคำรามเบาๆด้วยความกังวล ขณะที่เซโร่ดิ่งลงไปจนจะถึงพื้นอยู่ทนโท่


“ ไร้รูปแต่ไม่ไร้ตน เจ้าจงแปรเปลี่ยนไปดั่งใจข้า จงเป็นศาสตราให้ข้าได้ทำลายและปกป้อง  ”
เซโร่กล่าวขานคำร่ายมนต์ ขึ้นมาพร้อมกับวาดมือเป็นวงก่อนที่จะดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง


“ จงฟาดฟันให้สะบั้น ”
เขากล่าวจบก็เกิดสายฟ้าแลบ ลมพัดอย่างแปรปรวนทันทีก่อนที่สายฝนจะโปรยปรายลงมา
ยังนอกกำแพงเมือง

ทันทีที่กองทัพทหารผีนรกภายนอกกำแพงเมือง สัมผัสถูกสายฝนพวกมันก็หยุดเคลื่อนไหวราวกับถูกตรึงไว้
ก่อนที่ร่างของพวกมันจะกลายเป็นน้ำแข็ง

“ ต่อเลยละกัน ”
เซโร่กล่าว บัดนี้มือของเขาถูกห่อหุ้มด้วยมวลน้ำ เป็นรูปทรงแท่งปลายหลามเหมือนทวน ทั้งสองข้าง
ที่ไหล่ของเขามีมวลน้ำที่รวมตัวเป็มรูปร่างของปีกนก โดยส่วนที่เป็นขนนั้นเป็นเกล็ดน้ำแข็งเรียงตัวกันอยู่
บนมวลน้ำ ด้วยปีกนี้ทำให้เขาสามารถทรงัวอยู่ในอากาศได้

เขาเอาทวนวารีที่มือทั้งสองมาไขว้กันไหว้ที่หน้าอก ก่อนจะเริ่มร่ายมนต์บทต่อไป พร้อมกับ
อีกอึดใจต่อมา พวกทหารผีนรกแช่แข็งก็แตกร้าวสลายกลายเป็นผุยผงไป

ภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงนี้กำลังฉายอยู่บนอ่างน้ำ ขนาดใหญ่ ซึ่งวางอยู่ใจกลางห้องโถง
ที่มืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากโคมไฟที่ห้อยระย้า อยู่บนเพดานเท่านั้นที่ให้ความสว่างแก่ห้องนี้

ผนังรอบๆห้องมีเงาของกลุ่มคนหลายคน ยืนรายล้อมอยู่รอบห้องที่ใจกลางถัดจากอ่างน้ำขึ้นไป
เสาบังลังค์ที่ยกสูงจากพื้น บุคคลที่นั่งอยู่บนบัลลังค์นั้น สายตาของเขาจ้องมองลงมายังอ่างน้ำที่วางอยู่เบื้องล่าง
อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อภาพบนอ่างจางหายไป เสียงซุบซิบพูดคุยก็ดังเซ้งแซ่จากเบื้องล่างทันที

แต่แล้วทุกเสียงก็หยุดไปเมื่อมีใครบางคนกระแอ่มไอ แทรกขึ้นมา เค้าคนนั้นเดินเขาไปยังวงแสงที่ส่องลงมาจากโคมระย้า พร้อมขุกเข่าลงข้างนึงเพื่อทำความรพก่อนจะลุกขึ้นยืน


“ ที่ได้ชมไปเมื่อครู่คือการบุกโจมตีที่เมืองทีนวาแลนขอรับจากที่เห็น จอมเวทย์น้อยผู้นี้ช่างทรงพลังยิ่งนัก
ถึงกับทำเอาหัวฝ่ายของเราต้องแตกพ่ายถอยทัพกลับมาอย่างไม่เป็นท่า ”
ชายผู้นั้นกล่าวจบก็เบือนสายตาไปมองชายอีกคน ที่ยืนอยู่ในความืดนอกระยะแสง ด้วยสายเหน็บแนม
ทำเอาผู้ถูก กระทบกระทั่งแสดงอาการไม่พอใจ ได้ยืนทำหน้าบูดบึ้งใส่ ด้วยความเจ็บแค้น

ทันทีที่ผู้อยู่บนบัลลังค์ได้ยินคำพูดนั้น เขาก็เอามือทุบลงกับพนักบัลลังค์อย่างแรงจน เหล่าผู้อยู่เบื้องล่างรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือน

“ นี่มันอะไรกันแค่เด็กคนเดียวยังทำอะไรไม่ได้ แล้วพวกเจ้ายังมีหน้ามาเรียกตน ว่าเป็นนักรบแห่งองค์จักรพรรดิ์ทมิฬผู้นี้ได้อีกรึ ”
เขากล่าวด้วยความเกรี้ยวกราด เหมือนครั้งที่แล้วมา ผลันแสงไฟจากโคมระย้าก็สว่างวาบไปทั่วจนเห็นชัดทั้งห้อง
เหล่าเทพขุนพลที่เหลืออยู่ หัวหน้าฝ่ายอีกสองนายที่ยืนอยู่เบื้องล่าง พากัน สะดุ้งกับสภาพห้องที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน แม้ตอนนี้ทั้งห้องจะสว่างไปจนมองเห็นชัดทั้งห้องก็ตามที แต่ชายที่ถูกพวกเขาเรียกขานว่าท่านผู้นั้น

ยังคงหลบเร้นกายอยู่ในเงามืด ซึ่งแสงจากโคมไฟ ส่องไปไม่ถึงเพราะตัวบัลลังค์อยู่สูงในระดับเดียวกับโคมระย้า

แม้พวกข้างล่างจะพยายามเพ่งมองเท่าไหร่ก็ไม่อาจ มองเห็นร่างของเขาได้เลย

“ หึ…เซอร์เซส ลูกศิษย์เจ้าทั้งสามคนก็ทรยศหนีตามกันไปอยู่กับเจ้าอัศวินมังกรนั่น แถมเจ้ายังพลาดท่า เสียทีมันจนต้องอยู่ในสภาพน่าสังเวชนั่นอีกเจ้ามีอะไรจะแก้ตัวมั้ย ”
ท่านผู้นั้นกล่าว ขณะที่เบียนสายตาไปยังร่างของ เทพขุนพลคนนึงที่ต้องให้เทพขุนพล ในชุดเกราะเหล็กสีดำอีกคนคอยพยุงเพื่อเข้าประชุมเพราะอาการบาดเจ็บทำให้เทพขุนพลผู้นี้ยังไม่อาจฟื้นตัวได้ทัน

“ ดูเหมือนว่าพักนี้พวกเจ้าชักจะหย่อนยานกันเกินไปแล้วนะ.. ”
ท่านผู้นั้นยังไม่ทันขาดคำก็เกิดวังวนมิติขนาดใหญ่ขึ้นมากลางอากาศถึงสองวงด้วยกัน
ในวังวนเหล่านั้น เริ่มปรากฏภาพขึ้นมารางๆ และค่อยๆชัดขึ้น
ชายคนนึงมีผมสีทอง เขาอยู่ในชุดเกราะสีเขียว

ส่วนอีกหนึ่งเป็นหญิงนางอยู่ในชุดรัดรูปที่ปกน้อยชิ้นซึ่งทำด้วยน้ำแข็งที่ เกิดจาพลังเวทย์ พวกเขาทั้งสอง นั้นหนึ่งคือกษัตริย์แห่งอาณาจักรฟีเลเซีย และอีกหนึ่งคือจอมเวทย์น้ำแข็งผู้มีเชื้อสายพระวงศ์แห่งเแอนดิซอง


“ นี่ข้าทำตามที่เจ้าขอแล้วนะเรื่องการปลดผนึกมังกรวารีบ้าๆนั่นน่ะเมื่อไหร่ข้าจะได้สิ่งตอบแทนซักที ”
จอมเวทย์แห่งเชื้อพระวงศ์กล่าวสีหน้าหงุดหงิด ี่ต้องเป็นฝ่ายติดต่อมาเอง   
ส่วนกษัตริย์แห่งฟีเลเซียังคงนิ่งเงียบไม่ตรัสอะไร

“ เรื่องการปลดผนึกจอมอนการ์ดเจ้าทำแล้วใช่มั้ยวิโอเรีย ”
ท่านผู้นั้นกล่าว

“ อย่ามาเรียกชื่อข้าห้วนๆนะ และข้าก็บอกว่าทำแล้วยังไงล่ะไม่ได้ยินรึไง แล้วที่สัญญาไว้ล่ะว่าจะให้ข้าเป็นราชินีน่ะ.. ”
นางกล่าวไปได้แค่นั้น ก็หยุดไปเมื่อท่านผู้นั้นยื่นมือขึ้นก็มีพลังเวทย์สีดำพุ่งผ่านวังวนมิตินั้นเข้าครอบงำนางก่อนที่
นางจะถูกคุมสติไป

“ พวกเจ้าทังสองต่อไปนี้จงจับตา ดูความเคลื่อไหวของกองกำลังต่อต้านและสภาศาสนาต่อไปเสีย ”
ท่านผู้นั้นออกคำสั่ง

“ รับทราบ ”
ทั้งสองกล่าวจบวังวนมิติก็สลายไปทันที พร้อมกับที่แสงจากโคมไฟค่อยๆหรี่ลงกลับมา
เหมือนเดินทั่วทั้งห้องค่อยๆกลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

“ แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรจะรายงานอีกแบล็คไวเซอร์ ”
ท่านผู้นั้นหันมาถามเขาโดยไม่ทัน ตั้งตัวทำให้แบล็คไวเซอร์ลุกลี้ลุกลนรีบจัดแจงทำพิธีสะกดจิตวิหกโลกัณฑ์
ทันที่ก่อนจะควักลูกตาชุ่มเลือดของมันออกมาและจุ่มมันลงในอ่าง ซักครู่น้ำทั่วทั้งอ่างก็ละลายเข้ากับเลือดของ 

   วิหกโลกัณฑ์ก่อนมันจะเริ่ม ปรากฏภาพขึ้นมา ซึ่งนั่นคือภาพการปะทะกันของพวกทาลูคูสที่ต่อกรกับเทพขุนพล     เครสเซนท์ก่อนที่ตัวของทาลูคูสจะพ่ายไปและแยกกลับเป็น Lr กับ ไลท์ตามเดิม

ภาพตรงหน้านั้นทำเอาทุกคนในห้องประชุมที่ยังไม่เคยประมือกับทาลูคูส ต้องตกตะลึงไป
และแม้ภาพบนอ่างจะจาง ไปแล้วก็ตามทุกคนในห้งประชุมก็ยังคงเงียบกันอยู่

แบล็คไวเซอร์ที่เริ่มรู้สึกกดดันกับท่าทีของ ทุกคนในห้องจึงคิดเป็นทำลายความเงียบนี้ซะ

“ นั่นคืออัศวินมังกรในตำนานที่โผล่ขึ้นมาขัดขวางแผนการของพวกเรา ท่านมีความเห็นว่ายังไงบ้าง ”
แบล็คไวเซอร์กล่าว โดยขณะที่รอคำตอบเขาเองก็รู้สึก กดดันกับคำตอบที่จะได้รับแต่ท่านผู้นั้นก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่
เขาจึงเริ่มสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามจึงคิดจะบ่ายเบี่ยงคำถามเมื่อครู่

“ ถ้าเช่นนั้นเรามาถกกันต่อเรื่องแผนการที่จะทำต่อจากนี้ไปละกัน.. ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวได้เพียง แค่นั้นเพราะเขารู้สึกเย็นสันหลังวาบทันทีที่
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของท่านผู้นั้นดังขึ้น

“ หึหึหึ..ไม่นึกเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ที่แท้ตัวตนของอัศวินมังกรแห่งตำนานกลับเป็นคน คนนี้ ”
ท่านผู้นั้นกล่าวยิ้มเยาะด้วยความสำราญ ราวกับโทสะเทื่อครู่ได้มลายหายสิ้นไป

“ ท่านรู้จักเด็กคนนั้นด้วยหรือขอรับ ”
บลาสเซจถามด้วยความรู้สึกแปลกใจ กับคำพูดของท่านผู้นั้น

« Last Edit: August 31, 2008, 09:20:39 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #178 on: June 08, 2008, 08:25:56 PM »

“ ลอว์เรนซ์… ”
คำพูดที่ท่านผู้นั้นเอ่ยขึ้น มาทำเอาแบล็ครไวเซอร์และเซอร์เซสตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจที่
ท่านผู้นั้นสามารถทราบชื่อของ Lr ได้โดยไม่เคยได้ยินจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

“ ลอว์เรนซ์ ผู้เป็นทายาทแห่งซาราเบลด ”
ท่านผู้นั้นกล่าว ด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่คำพูดของเขาดูจะทำเอาเหล่าผู้ประชุมงงไปตามๆกัน

แต่ก็ไม่ได้มีใครเอ่ยถามอะไร

“ สรุปการประชุมในครั้งนี้คือ หันความสนใจจากฟอจูนทรีกับการโจมตีซาโลมไปก่อน เปลี่ยนเป้าหมายหลักไปที่การจับตัวลอว์เรนซ์มาซะ ต้องจับเป็นเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่อยู่กับมันฆ่าทิ้งเสียให้หมด เลิกการประชุม ”
ท่านผู้นั้นกล่าวน้ำเสียงเด็ดขาด ก่อนที่ไฟในห้องจะดับไป

………………….
………………………
………………………..

ที่โถงทางเดินภายนอกเทพขุนพลเกราะเหล็ก เครสเซนท์ กำลังเดินไปตามทางที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ
เขาเดินไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีอีกคนกำลังเดินสวนเขามา ผู้ที่เดินมานั้นเป็นจอมเวทย์หญิงผมสีดำ
สีหน้า นิ่งเฉยราวกับไม่สนใจสิ่งใดๆนางสวมชุดรัดรูปและคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทอีกที มือขวาถือไม้กวาดติดมาด้วย

“ กรีแวร์(Grievere, The Dark Witch) ”
เครสเซนท์เอ่ยนามของนางทันทีที่นางเดินเข้ามา




“ ประมาทไม่ได้เลยนะเจ้าเนี่ย ”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวราวกับไปโกรธ อะไรมาผมที่ยาวสลวยลงมาปกใบหน้าไปครึ่งนึงทำให้เห็นหน้านางได้ไม่ชัดนัก
บวกกับต้องมองผ่านช่องตาของเกราะหมวกที่ สวมอยู่จึงทำให้ไม่รู้ว่านางซ่อนสีหน้าอะไรไว้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก

“ เรื่องอะไร.. ”
เขาถามย้อน ซึ่งนางเองก็ดูจะอารมณ์ขุ่นมัวลงไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบของเขา
แต่นางก็ทำใจเย็นเข้าสู้

“ อย่าบ่ายเบี่ยงซะให้ยากเลย เจ้าน่ะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่า ยังไงก็หลอกเพื่อนเก่าไม่ได้อยู่แล้วถึงได้โกหกคำโตออกมาซะขนาดนั้น ”
นางกล่าวน้ำเสียงเรียบโดยพยายามอัดอั้นความรู้สึกขุ่นมัวเอาไว้

“ จะให้ทำยังไงล่ะก็ความทรงจำของเจ้าของร่างนี่น่ะมันดัน ไม่มีช่องว่างให้แทรกได้เลยถ้าไม่โกหกไปว่าที่แล้วมาเป็นการหลอกลวงล่ะก็คงกดดันพวกมันไม่ได้อยู่ดีอีกอย่าง…อึก ”
เครสเซนท์กล่าวได้ไม่ขาดคำดี เขาก็รู้สึกมึนหัวและทรุดลงกับพื้นทันที พร้อมกับเอามือดันสลักที่เข็มขัดทันที

“ Stand By ”
เสียงทุ้มต่ำของเข็มขัดดังขึ้นทันทีพร้อมกับไอน้ำที่พุ่งอกมาตาม รอยต่อของชุดเกราะก่อนมันจะเริ่มขยายตัวออกตามรอยแยก เหมือนครั้งที่สู้กับเจนัส

“ ถอยไปก่อน อึกอาาาา… Release Armor ”
เขากล่าวทันทีที่นางได้ยินก็รู้ตัวทันทีจึงถอยห่างออกไปหลบตรงมุม ก่อนที่เขาจะดึงสลักกลับอีกครั้ง

“ Push Off ”
เสียงของเข็มขัดดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ชิ้นส่วนเกราะทั้งหมดจะ ดีดตัวกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่วทางเดิน ทันทีที่การปลดเกราะสมบรูณ์ นางก็รีบเดินอออกจากมุมทันที เครสเซนท์เอามือกุมหัวและส่ายไปมา

ด้วยความเจ็บปวดภาพ ตรงหน้าค่อยๆพร่ามัวขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติล้มลงไป นางจึงรีบเข้ามาดูอาการของเขาทันที และยังไม่ทันที่นางจะได้แตะต้องตัวเขา เครสเซนท์ก็ยันตัวขึ้นมาเองและเมื่อเขาหันมา


สีหน้าเย็นชาไร้เยื่อใยและ แววตามาดร้ายที่เคย มีให้เห็นเมื่อครู่นั้นบัดนี้ได้เเปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนล่ะคน
สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าแววตาอ่อนโยนดูไม่เหมือน กับคนที่ร้ายกาจดังตอนแรก เลย

“ นี่ผม…นี่มันเกิดอะไรขึ้น..อุ ”
เขายังคงรู้สึกมึนอยู่บ้างเล็กน้อย กรีแวร์ ที่เห็นเช่นนั้นนางเข้าใจได้ในทันทีเพราะนางเองก็เคยผ่านกับเหตุการณ์นี้มาแล้ว

“ ริคุ..เธอกลับมาเป็นริคุแล้วใช่มั้ย ”
นางกล่าวน้ำเสียงสั่นเทิ้มไปด้วยความปิติ ซึ่งนั่นทำให้เค้ารู้สึกแปลกใจแต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจกับสภาพรอบๆตัวแต่อย่างใดนัก

เขานึกย้อนถึงเรื่องราวเมื่อวันก่อนนี้ที่ตัวเขาได้ทำร้ายเจนัสไป มันทำเอาเขาเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ได้ที่กระทำเช่นนั้นลงไป

“ นี่ผมทำลงไปแล้วสินะ ผมทำร้ายพวกเจนัสไปแล้วสินะ ”
เขากล่าวด้วยความเจ็บแค้นที่ไม่อาจห้ามตัวเองได้

“ ไม่หรอกเธอไม่ผิด คนที่ทำร้ายพวกเจนัสก็คือตัวเธออีกคนนะไม่ใช่เธอหรอก พวกเค้าจะต้องเข้าใจแน่ เพราะพวกเค้าที่สู้กับตัวเธออีกคนยังพูดอกมา แบบนั้นเลยนี่ว่านั่นน่ะไม่ใช่เธอ ”
นางกล่าวปลอบแต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

“ ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ผม พยายามจะควบคุมตัว เองเต็มที่แล้วแต่ว่าจิตของมันแข็งกร้าวมากผมเลยออกมาได้ลำบาก นี่ที่ออกมาได้ก็เพราะมันพึ่งจะบาดเจ็บจากการต่อสู้กับพวกเจนัส มาเลยยังอ่อนแรงอยู่ทำให้ผมสามารถออกมาข้างหน้าได้แต่… ”
เขากล่าวได้ไม่จบก็หยุดไปแต่ นางเองก็พอจะเดาที่เหลือได้ จึงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับจะถามเรื่องสำคัญบางอย่าง

“ ตอนนี้มันคงจะยังไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกนะเพราะ ฉันมีเรื่องจะถามเธอหลายเรื่องเลย ”
นางกล่าวอย่างเร่งรีบ ซึ่งเขาเองก็พอจะเข้า ใจเพราะไม่รู้ว่าเค้าจะกลับไปเป็นอีกคนเมื่อไหร่

“ เธอรับรู้ทุกอย่างผ่านมันได้แต่ว่ามันไม่สามรถรู้ผ่านเธอได้ใช่มั้ย ”
นางถาม

“ครับเพราะจิตของมันพยายามจะหนีห่างจากผมก็เลยไม่สามรถ
รับรู้ได้แต่ผมพยายามที่จะเข้าใกล้มันจึงพอจะรับรู้ได้เกือบจะตรงตัวเลย ”
เขากล่าว ซึ่งนางที่ได้ยินคำตอบก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีจะได้ไม่ต้อง ระแวงถ้ายังไงฉันเองก็ยังมีเรื่องจะบอกเธออีกหลายเรื่องเลยล่ะ ”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส ที่ได้พบกับจิตที่แท้จริงของเขาอีกครั้ง
« Last Edit: August 31, 2008, 09:24:08 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #179 on: June 08, 2008, 08:26:55 PM »

…………….
………………….
………………………

เสียงน้ำไหลไปตามลำธารดังก้องขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มเด็กและลูกมังกรต่างรีบเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นไปตามลำธาร
จนเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าทะเลสาบกลางป่าที่ลำธารน้ำไหลมาลง

ยังที่นี่ซึ่งที่ใจกลางทะเลสาบนั้นมีทางเชื่อมจากขอบทะเลสาบไปยังเกาะกลางทะเลสาบ ซึ่งบนเกาะนั้นมีคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่


“ เอาล่ะงั้นเราพักกันที่นี่ก่อนละกัน ”
Lr กล่าวขึ้นขณะที่ชูแขนขึ้น ยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง


“ ถ้ายังไงคืนเราไปพักกันที่นั่นมั้ย ”
เฟินกอลโล่กล่าวขณะที่ชี้ไปยังคฤหาสน์ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลสาบ

“ อืม..ก็ดีนะเพราะถ้าเป็นที่นั่นน่าจะใช้เป็นที่พักที่ปลอดภัยได้นะ ”
เอิธท์กล่าวอยางพินิจพิเคราะห์

“ ว้ายยยยยยยยยยยย ”
เสียงกรดร้องของนีน่าดังขึ้นทำ ให้พวกเค้าหันไปหานางด้วยความเป็นห่วง
ซึ่งนางกำลังเอามือปัดไล่พวกหนอนสกาโล่ (Scalo)



ที่เกาะอยู่ตามตัวของนางด้วยความ ขยะแขยงแต่แล้วนางก็ต้อง หยุดกึกเมื่อสกาโล่ตัวนึงคลานไปอยู่บนหัวนาง ทำให้นางตัวแข็งทื่อด้วยความรังเกียจ

“ ช…ช่วยด้วยใครก็ได้เอามันออกไปที เอาออกไปที ”
นางตะโกนโหวกเหวกจนลั่นไปทั่วด้วยความขยะแขยง พยายามจะสะบัดมันให้หลุดออกไปและเมื่อนาง สะบัดหัวแรงๆตัวสกาโล่ปลิวไปเกาะที่หัวของวิล เพียงเท่านั้นวิลก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไปด้วยความขยาด
จนเจ้าตัวสกาโล่ปลิวไปตามแรงเหวี่ยงไปเกาะเข้าที่ปีกของนอฟฮอฟ

“ ว้ายยยยย ”
เสียงของนอฟฮอฟถูก ดราก้อนออลลี่ แปลงเสียงออกมาดังลั่นซึ่งทำให้นีน่ารู้สึกเอะใจบางอย่าง นอฟฮอฟวิ่งพล่านไปทั่วด้วยความขยาด จน Lr ต้องเข้าไปช่วยดึงตัวสกาโล่ทิ้งไป นอฟฮอฟถึงหยุดวิ่งลงได้พร้อมกับอาการเหนื่อยล้าจากการตกใจ


“ เฮ้อแค่ตัวสกาโล่ตัวเดียวทำเป็นโหวกเหวกไปได้ ”
ลากูน่าเอ่ยเหน็บขึ้นมา ทำให้นีน่า และนอฟฮอฟรู้สึกหงุดหงิดกับวาจาของเขา


“ ช่วยไม่ได้นี่นะไม่มีผู้หญิงที่ไหนเค้าไม่เกลียดสกาโล่กันหรอก(มีสิชาวฟูดินันไงไม่เกลียดแต่กินเลยเหอๆ) ”
ไลท์กล่าวเพื่อปลอบประโลมแต่ดู เหมือนมันจะทำให้นีน่าหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีก

แสงตะวันเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆเมื่อดวงตะวันจะคล้อยดินแล้ว พวกเขาจึงรีบเดินไปยังหน้าคฤหาสน์กลางน้ำทันที
…………….
……………….
………………….
ตกดึกแสงจันทร์ก็เริ่มสาดส่องอีกครั้ง หมู่ดาวต่างออกมาทอประกายแสงระยิบระยับ
แต่พระจันทร์ในคืนนี้กลับแดงฉานเป็น สีเลือดทั้งที่ไม่ได้มีการใช้พลังของศิลาจันทราเลย

แต่พวก Lr เองก็ไม่ได้สนใจต่อปรากฏการณ์ นี้แต่อย่างใดเพราะเมฆได้บดบังเอาไว้จนมองไม่เห็นดวงจันทร์

พวกเขาก่อกองไฟขึ้นเพื่อทำอาหารก่อนจะลงมือ ทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อยเพราะความเหนื่อยจากการเดินทางหลังทานอาหารเสร็จ Lr ก็ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวในทันที


“ ถ้างั้นเราเตรียมตัวอาบน้ำกันเถอะ ”
Lr กล่าวขณะที่ลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวและสมุนไพร สำหรับทำความสะอาดร่างกายจาก ตัวแคริอุสที่นีน่าเรียกลงมาเพื่อเอาสัมภาระออก เมื่อพวกเขาเตรียมของเสร็จก็ลุกขึ้นเตรียมตัวไปอาบน้ำ

“ ถ้างั้นพวกเราจะไปอาบทางด้านซ้ายของคฤหาสน์นะนีน่าไปอาบทางขวาละกัน ”
Lr อธิบาย


“ หวังว่าคราวนี้คงจะไม่ใช่ว่ากลัวจนอาบคนเดียวไม่ได้อีกนะ ”
ลากูน่าเหน็บนางอีกครั้งซึ่งทำเอานางไม่พอใจกับท่าทีของเขาเลย
ตั้งแต่ที่ทั้งสองฝ่ายรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของกันและกัน


“ นี่ ทีตอนเจอกันแรกๆล่ะก็นะ ทำเป็นจ้ะจ๋าแต่พอตอนนี้ล่ะดูทำเข้าสิ อีกอย่างใครว่าฉันจะอาบคนเดียวกันล่ะ สองตัวนี้เค้าก็ไปอาบด้วยน่ะแหล่ะน่า ”
นีน่ากล่าวด้วยความฉุน แต่ดุเหมือนคำพูดของนาง จะทำเอาพวกเขางงไปตามๆกัน

“ สองตัวใครกันเหรอ…เรามีเพื่อหญิงมาเพิ่มด้วยงั้นเหรอ ”
ไลท์กล่าวอย่าง งงๆขณะที่นับจำนวนฝั่งผู้ชาย

“ เอ…123456.. 1คน 2ตน 3ตัว เอ้ะมันต้องมี 5 ตัวสิ ”
เอิธท์เกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ

“ ใครหายไปสองตัว ”
เฟินกอลโล่เอ่ยด้วยความงุนงงขณะที่มองหา กันอยู่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่ขาดไปคือใครจึงหันไปหานีน่า
ที่ขาของนาง นอฟฮอฟกับวิลหลบหน้าด้วยความเอียงอาย

“ นี่หรือว่านาย 2 ตัว… ”
ลากูน่ากล่าวได้ไม่จบคำเพราะที่เหลือล้วนกลืนลงไปหมดแล้ว


“ เป็นลูกมังกรตัวเมียจริงๆสินะสองตัวนี้น่ะ ”
เจนัสกล่าวลอยๆ ซึ่งนอฟฮอฟกับวิลก็พยักหน้ารับว่าใช่ซึ่งนั่นทำให้ลากูน่า Lr และลูกมังกรทั้งสาม
อ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ

“ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านอฟฮอฟกับวิลจะเป็นตัวเมีย ”
Lr คิด ขณะที่สายตาจ้องมองไปยังทั้งสองตัวด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ อ้าวนี่พวกเธอไม่ได้รู้กันอยู่ก่อนหรอกเหรอ ”
นีน่าถามด้วยความงุนงง

“ ก็ใช่น่ะสิ ”
เฟินกอลโล่อดพูดด้วยความตะลึงไม่ได้

“ แล้วพวกฉันเคยบอกพวกนายไหมว่าเป็นผู้ชายน่ะ ”
นอฟฮอฟกับวิลตหวาดพร้อมกัน จนดราก้อนฮอลลี่แปรเสียงของทั้งสองตามแทบไม่ทันจนกลายเป็นก้องเสียงไปในที่สุด

“ อ้าวก็เห็นวิลพูดครับพูดห้าวก็เลยนึกว่าเป็นผู้ชายอ่ะ ”
เอิธท์กล่าวด้วยตะลึงไม่แพ้กัน

“ นั่นสินอฟออฟก็ไม่เคยบอกด้วยว่าเป็นหญิง หรือชายเห็นนิ่งๆเงียบๆแต่ห้าวใช่เล่นเลยนึกว่าเป็นชายซะอีก ”
ไลท์เองก็อดตะลึงไม่ได้เมื่อรู้ความจริง

“ นี่…อยู่ด้วยกันมาตั้งนานไม่รู้เลยเหรอเนี่ย ”
เจนัสเอ่ยถามด้วยความแปลกใจซึ่งพวกเขาก็ส่ายหัวรับว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย

………………..
………………….
…………………..

“ กีซซซซซซซซ ” (เอ้อพวกผู้ชายนี่น่าเบื่อจริงๆเลย ทำไมนะอยู่กันมาตั้งนานดันไม่รู้เลยรึไงว่าเราเป็นผู้หญิงน่ะ )
นอฟฮอฟบ่นอย่างไม่พอใจกับท่าทีเมื่อครู่ของพวกเขา

“ กีซซซซซซซซซซซซซซซซ ”(นั่นสิ Lr เองก็ด้วยน่าจะรู้กันบ้างสิดูสิขนาดเจนัสกับนีน่ายังดูออกเลย)
วิลบ่นด้วยความหงุดหงิดขณะที่ลงแช่น้ำในทะเลสาบเพื่อล้างตัว โดยที่นีน่าคอยฟังทั้งสองตัวคำรามข้ามกันไปๆมาๆเพราะฟังภาษามังกรไม่ออกด้วยความเหนื่อยใจ

“ ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องก็พอจะเดาออกล่ะนะว่าบ่นอะไรกันอยู่ แต่ขอเถอะ ช่วยบ่นกันให้ฉันรู้บ้างสิยะอยู่อย่างนี้ฉันก็อึดอัดตายกันพอดี ”
นีน่าคิดในใจขณะที่ฟังลูกมังกรสองตัวบ่น
ขณะเดียวกันทางด้าน Lr


“ กีซซซซซซซซซซซซซว ” (ร้อยวันพันปีไม่เคยบอกซักคำว่าเป็นผู้หญิงแล้วเราจะไปรู้ได้ไงเนอะ ลอว์เรนซ์)
เอิธท์บ่นด้วยความไม่พอใจเช่นกันกับพวกนอฟฮอฟ

“ กีซซซซซซซซซซ ” (นั่นสิถึงว่าทำไมสกาโล่แค่ตัวเดียวถึงได้วีนแตกซะขนาดนั้น)
เฟินกอลโล่ บ่นด้วยความฉุนเฉียวเช่นกัน

“ กีซซซซซซซซซซซซซ ”(เอาน่าพวกเค้าคงไม่ได้ตั้งใจปิด พวกเราหรอกอย่าเก็บมาคิดให้เคืองกันไปเปล่าๆเลย)
ไลท์กล่าวเพื่อให้ทั้งสองหยุดบ่นเพราะลากูน่ากับเจนัสที่ฟัง ไม่รู้เรื่องได้ยินแค่ว่าพวกเขาส่งเสียงกีซๆก็าซๆกันเฉย

“ ช่วยแปลให้ทีสิ ”
เจนัสกับลากูน่าหันมากล่าวกับ Lr ให้เขาช่วยแปลบทสนทนาเพราะดราก้อนฮอลลี่ถอดทิ้งไว้ที่ฝั่ง
จึงไม่มีอะไรช่วยแปลให้พวกเจนัสฟัง Lr เลยจำใจต้องเป็นล่ามจำเป็นขึ้นมา

…………….
…………………
………………………

หลังจากที่อาบน้ำกันเสร็จแล้วด้วยความเหนื่อยล้า Lr และลูกมังกรก็ล้มตัวลงนอนข้างกองไฟแสนอบอุ่นจากอากาศที่เริ่ม เย็นลงของป่า ทำให้พวกเขาหลับอย่างสบายอกสบายใจ จนไม่รุ้ว่าเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่แล้ว

เมื่อเสียงหอนดังขึ้นทำ Lr และลูกมังกรสะดุ้งตื่น บัดนี้เมฆที่บดบังพระจันทร์เอาไว้ได้เคลื่อนออกไปแล้ว

“ ฮ้าวววววววววว ”
Lr อ้าปากหาว หวอดด้วยความงัวเงีย ก่อนจะสำรวจไปรอบก็ต้องตาสว่างด้วยความตกใจทันทีเพราะ เจนัส นีน่า ลากูน่าได้หายตัวไป

“ วู้วววววววววววว ”
เสียงหอนดังออกมาจากคฤหาสน์เก่าที่ตั้งอยู่ด้านหลังพวกเขา

“ แย่แล้วพวกเราตื่น..ตื่น ”
Lr รีบปลุกลูกมังกรที่ยังงัวเงียอยู่ให้ตื่น

“ มี…อะไรเหรอลอว์เรนซ์..ก็าาาาา…ว ”
ไลท์กล่าวพรางหาวไปด้วย(ก็าาาว นี่เสียงหาวนะครับ)

“ พวกเจนัสหายตัวไป ”
Lr กล่าวจบลูกมังกรทุกตัวถึงกับสะดุ้งโหยง รีบพากันสอดส่ายสายตาไปจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ

“ วู้ววววววววววววววว ”
เสียงหอนนั้นดังมาจากคตฤหาสน์อีกครั้ง

“ หรือว่าพวกเขาอยู่ในนั้น.. ”
เอิทธ์กล่าวขณะที่ชีไปยังคฤหาสน์เก่าหลังนั้น
ทุกคนต่างพากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อคิดว่าจะต้องเข้าไปข้างใน

“ นี่คงจะไม่เข้าไปหรอกใช่มั้ย ”
เฟินกอลโล่กล่าวด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ

“ คงเลี่ยงไม่ได้หรอกพวกเค้าเป็นเพื่อน เราเพราะฉะนั้นเพื่อนต้องช่วยเพื่อนเราจะเข้าไปในนั้น ”
Lr กล่าวน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวซึ่งไลทืเองก็เห็นด้วยพวกเขาจึงตัดสินใจเข้าไปในฤหาสน์เก่าหลังนั้น

ทันทีที่ประตูคฤหาสน์เปิดออกพร้อมกับ เสียงประตูคราดไปตามพื้นส่งเสียงเอี้ยดอ้าด
แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้าไปภายในตัวบ้านทำให้บรรยากาศน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

พวกเขาเดินเข้าไปสำรวจภายในคฤหาสน์ เป็นห้องโถงใหญ่โอ่อ่ามีบันใดใหญ่ตั้งขึ้นไปมีระเบียงขนาบอยู่บนชั้นสองตลอดทาง ภายในบ้านถูกทิ้งร้างมานานจนฝุ่นเกาะหยากไย่เต็มไปหมด
Logged


Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.241 seconds with 21 queries.