Summoner Master Forum
November 26, 2024, 09:22:02 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10  All
  Print  
Author Topic: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว  (Read 145735 times)
0 Members and 19 Guests are viewing this topic.
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #120 on: September 17, 2006, 12:32:17 AM »

ใกล้ปิดเทอมแล้วผมจะกลับมาเขียนนิยายอีกครั้งนะคร้าบบบบบบบบบบบบบบ งุงิ
แหมหลังจากผ่านศึกอันโชกโชนกับงานโรงเรียนมาได้ก็เริ่มจะมีเวลาแต่งแล้ว
เดือนตุลาคมวันเสาร์เตรียมมาดูได้นะครับ ;)
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #121 on: October 02, 2006, 01:53:39 PM »

บทที่10 ความจริงในอดีต

ที่ฟีเลเซีย

ในกระท่อมหลังหนึ่งในนั้นมีเด็กผู้ชายผมสีทองอายุ 14 ปี่กับลูกมังกรอีก6ตัวบิชอป1ท่านแม่ทัพ 2 คน
และนักประดิษฐ์อีกหนึ่ง
ทั้งหมดกำลังสนทนากันถึงเรื่องต่างๆเพื่อทำความเข้าใจสถานการในทวีปเมอริเซียตอนนี้
แต่ทว่าเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกันต่างฝ่ายจึงต้องผลัดกันเล่าความจริงในอดีต
หลายครั้งมักจะมีเรื่องสะเทือนใจตามมาด้วย

“ ว่าแต่ท่านจะตอบได้หรือยังเรื่องที่เราถามก่อนจะมาที่นี่น่ะ ”
วิลถามนักบวชหนุ่มแห่งฟีเลเซียนามของเขาคือเกรเกอรี่
“ เอ่อแปลให้ฟังหน่อยสิเธอเอ่อ……ชื่ออะไรนะ …………เอ่อ ลอเลนส์(Laurence)ใช่มั้ย ”
เกรเกอรี่พูดตะกุกตะกักด้วยที่ว่ายังไม่คุ้นกับชื่อของพวกเขา
“ ได้ครับเขาถามว่าช่วยเล่าเรื่องที่เค้าถามก่อนจะมาที่นี่ได้มั้ยน่ะครับ ”
Lr แปลให้แต่เกรเกอรี่เองก็นึกไม่ออกจึงถามว่าเรื่องอะไร
“ ก็เรื่องที่เราถามว่าท่านอ่ะนะเคยไปฆ่ามังกรที่ไหนมารึเปล่า ”
วิลถามซ้ำอีกครั้งซึ่ง Lr  เองก็แปลให้ฟังผ่านอีกที
“ อ๋อเรื่องนั้นเองรึอืมมมม  ข้าว่าคงมีการเข้าใจผิดกันแล้วล่ะที่จริงข้าไม่ได้เป็นคนสังหารด้วยตัวเองหรอก ”
เกรเกอรี่พูดเสียงคร่ำเครียด
“ แล้วมันยังไงล่ะเนี่ย ”
นิลเฮอร์รีบยิงคำถามต่อทันทีซึ่งก็เหมือนเดิม Lr แปลให้ฟัง
“ งั้นเริ่มล่ะเรื่องมันมีอยู่ว่า ………………….. ”
เกรเกอรี่เริ่มเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกครั้งในหัวพยายามจนิตนาการถึงเรื่องที่ประสบพบเจอ

หลังจากที่เขาหมดสติไปจากการเดินทางไปยังฐานของกองกำลังต่อต้านที่ทวีปทางเหนือ
มีเงาสองเงาพาเขามาที่ถ้ำแห่งหนึ่งเงาทั้งสองนั้นเป็นมังกรสองตัว
ตัวหนึ่งมีกายสีเขียวขนาดพอๆกับตัวเขา มันคือมังกรสายพันธ์ดิมมินิวเลี่ยมขนาดโตเต็มวัย(Dimminulion, the Wind Dragon)
อีกตัวมีร่างกายขนาดมหึมาเกล็ดสีน้ำเงินเข้มลมหายใจเย็นราวกับหิมะมันคือมังกรสายพันธ์วายเวินน้ำแข็ง
แมนเทลลูม่า ( Mantellma, the Snow Storm Wyvern )
ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้เขาทำให้เขาเห็นหน้าของมังกรทั้งสองชัดขึ้น
“ ท่านนักบวชท่านเป็นใครมาจากไหนใยจึงต้องเดินทางขึ้นมาบนเขาหิมะลูกนี้ด้วย ”
มังกรดิมมินิวเลี่ยมพูดเป็สนภาษามนุษย์ทำให้เขาเข้าใจจึงตอบกลับทันที
“ ข้ามาทำธุระของกองทัพที่จะทำการต่อต้านกับผู้ที่ประสงค์จะทำให้เกิดความโกลาหลระหว่างเดินทางข้าเกิดหนวจนหมดสติพวกท่านเป็นผู้ช่วยข้าเอาไว้สินะ  ”
เกรเกอรี่ตอบ
“ ถูกต้องเราช่วยท่านไว้ว่าแต่จุดหมายปลายทางของท่านอยู่ที่แห่งหนใดทันทีที่พายุสงบเราจะไปส่งท่านทันที ”
แมนเทลลูม่าเสนอตัวทันที
“ ขอบคุณมากเลยพวกท่านช่วยชีวิตข้าไว้แล้วยังไม่พอจะช่วยส่งข้าด้วยพวกท่านมีใจประเสริฐยิ่งนัก ”
เกรเกอรี่กล่าวขอบคุณ และหลังจากพายุหิมะสงบลงพวกเขาก็ออกเดินทางทันที
ระหว่างนั้นเองมีเงาของสิ่งหนึ่งกำลังบินมายังทางพวกเขา
“ นั่นมันอะไรน่ะ ”
เกรเกอรี่พูดขณะเอามือขึ้นมาติดหน้าผากหรี่สายตาลงเพื่อจะมองเห็นให้ชัดขึ้น
“ นั่นมันไม่น่าเชื่อ ”
เกรเกอรี่อุทานขึ้นมาทันทีเห็นว่าสิ่งนั้นส่องประกายเจิดจ้าและเข้าใกล้ขึ้นมาทุกทีๆร่างนั้นเป็นนักรบ
ที่สวมเกราะสีขาวทองและมีปีกขนาดใหญ่มือถือทวนขนาดยักษ์อยู่ตาทั้งสองปิดสนิทค่อยๆใกล้เข้ามา

“ อัศวินสวรรค์ ”(Heaven Knight)
เกรเกอรี่พูดขึ้น
“ ทำไมอัศวินแห่งสวรรค์ถึงมาได้ล่ะ ”
ดิมมินิวเลี่ยนพูดขึ้น
ขณะนั้นอัศวินสวรรค์ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาแทนที่จะมีตาสีทองเป็นประกายกับมีตาเป็นสีแดงก่ำราวกับเลือด
ร่างที่ขาวสะอาดกลับค่อยๆหมองลงจนเป็นสีดำปีกศักดิ์ศิกธ์ที่เคยสวยงามกลับแปลสภาพเป็นปีกสีดำสนิท
และกลายเป็นปีกปีศาจ สภาพตอนนี้ไปต่างอะไรกลับนักรบแห่งนรกเลย (Hell Knight หมายเหตุชื่อมันยังไม่เต็มหรอกคงต้องดูกันต่อไปเพราะขืนบอกก็หมดมุขสิแต่ใบ้ให้ว่าอยู่เซ้นสามนี่แหละ)
“ นี่มันอะไรกันเนี่ย ”
เกรเกอรี่อุทานขึ้น

โปรดติดตามตอนต่อไป
เนื่องจากไม่สามารถพิมพ์ได้อย่างคล่องเหมือนเมื่อก่อนเลยทำให้กว่าจะเขียนเสร็จก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนวัน
แล้วไว้ดูต่อละกันนะครับ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #122 on: November 12, 2006, 02:13:40 AM »

แหะๆหวัดดีก้าบทุกคนเพราะต้องเรียนร.ด.ตอนปิดเทอมด้วยเลยไม่มีเวลามาเขียนนิยายต่อเอาเป็นว่าเดือนหน้าที่จะถึงนี้ผมจะเรียนร.ด.เสร็จพอดีแล้วจะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้นมาแทนเพราะฉนั้นผมจะกลับมาพิมพ์ต่อเท่าที่ทำได้นะครับสำหรับวันนี้เอาตอนต่อนิยายไปก่อนละกันนะครับบายเจอกันเดือนหน้า



บัดนี้อัศวินแห่งสวรรค์ ( Heavean knight ) ได้เปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นอัศวินนรก ( Hell knight ) ไปแล้วต่อหน้าต่อตานักบวชกับมังกรอีกศรตัว
” นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ”
ดิมมินิวเลี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยแล้วหันไปขอคำตอบจากเกรเกอรี่แต่เกรเกอรี่เองก็ไม่ทราบเช่นกันจึงส่ายหัวบอกความเป็นนัย
อัศวินแห่งนรกยังคงลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างสงบ
“ หรือนี่คือนิมิตที่พระองค์ผู้เป็นเจ้าส่งมา ”
เกรเกอรี่รำพึงพลางคิดในใจในตอนนี้เรื่องในหัวของเขารมันวุ่นวายสับสนไปหมด
“ เกรเกอรี่ ”
อัศวินแห่งนรกพูดขึ้นทำให้เกรเกอรี่ได้สติแล้วหันทางเจ้าของเสียง
อัศวินแห่งนรกเงื้อดาบหมายจะบั่นคอเกรเกอรี่
“ นี่คือนิมิตที่บอกว่าเจ้าจะต้องถูกลงทัณฑ์ ”
สิ้นคำของอัศวินแห่งนรกกาบสีดำก็ถูกเหวี่ยงลงมาแต่ก็พลาดหวดลมไป
เพราะ แมนเทลูม่าก็บินพาเกรเกอรี่ที่อยู่บนหลังหลบการโจมตีได้
“ เกือบไป ”
แมนเทลูม่าพูดอย่างโล่งใจแต่ก็ยังไม่วายเกือบถูกดาบที่อัศวินนรกเหวี่ยงอีกครั้ง
“ หมือนกันหรอกนะว่าเป็นนิมิตหรือลางอะไรแต่มาเหวี่ยงดาบไปมาอย่างนี้ก็ไม่เกรงใจกันล่ะ Icicle storm ( พายุพลึกน้ำแข็ง ) ”
พริบตาเดียวลมพายุสีขาวที่มีเกล็ดน้ำแข็งหมุนวนอยู่ข้างในก็ถูกพัดไปยังอัศวินนรกแต่อัศวินนรกก็เอาปีกปัดป้องไว้ได้
“ Flying Flame ”
สิ้นเสียงของดิมมินิวเลี่ยนเพลิงวายุก็ถูกปล่อยออกไปแต่อัศวินนรกก็เอาดาบฟันเพลิงวายุจนสลายหายสิ้น
“ ไม่ได้ผลหรอกเราทำอะไรกับสิ่งพระองค์ทรงอยากก็ให้เป็นไปได้หรอก ”
เกรเกอรี่พูดโดยหวังว่ามังกรทั้งสองจะยอมล้มเลิกและปล่อยให้เขารับชะตากรรม
แต่ก็ผิดพลาดมังกรทั้งสองกลับไม่ยอมเลิกรายังคงโจมตีต่อไปเรื่อยๆ
“ พอเถอะไม่งั้นพวกท่านอาจได้อันตรายไปด้วย ”
เกรเกอรี่พยายามจะห้ามปรามอีกครั้ง
“ หึท่านจะยอมหยุดอยู่แค่นี้หรือ ”
แมนเทลูม่าพูดขึ้นทำให้เกรเกอรี่ถึงกับนิ่งไป
“ ท่านจะมายอมแพ้ต่อเรื่องที่คนอื่นมาตัดชะตาลิขิตของท่านหรือ ”
แมนเทลูม่าพูดขึ้นอีกทำให้เกรเกอรี่เริ่มระสับระส่าย
“ ชะตาลิขิตคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองต่างหากชะตาลิขิตที่คนอื่นสร้างให้เราเดินนั้นไม่ใช่ชะตาลิขิตของตนเอง ”
คำพูดของแมนเทลูน่าแทงเข้าไปยังใจของเกรเกอรี่ทำให้เขาได้สติ
“ จริงสิทำไมเราต้องฟังนิมิตที่ลิขิตชะตาของเราล่ะที่แล้วมา เราเองก็จะไม่เคยปฏิบัติผิดต่อกิจของสงฆ์หรือทำผิดตต่อสิ่งดีงามเลยแล้วจะมีเหตุอันใดเล่าที่เราจะต้องถูกลงทัณฑ์จากนิมิตบ้าๆนี่ด้วยนี่ต้องไม่ใช่นิมิตที่แท้จริงของพระองค์แน่อาจจะเป็นกลลวงของปิศาจที่หมายจะสังหารเราเองก็เป็นได้ ”
เกรเกอรี่คิดในใจแล้วลองทบทวนดูอีกครั้งตอนนี้เขารู้แล้วว่านิมิตจอมปลอมนี้ไม่ได้เป็นของพระเจ้าแน่
“ คิดได้แล้วสินะทีนี้ท่านจะเอายังไงต่อไปล่ะ ”
แมนเทลูม่าพูดขึ้นพร้อมกับคอยหลบหลีกการโจมตี
“ เอาล่ะเราคงสู้ไม่ได้หรอกต้องรีบถอยก่อนบินไปยังหมู่บ้านกองกำลังต่อต้านด่วนที่สุดเลย ”
เกรเกอรี่เอ่ยขึ้นทันทีพร้อมกับชี้ไปยังทิศที่หมู่บ้านตั้งอยู่มังกรทั้งสองจึงโจมตีพร้อมกันเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของอัศวินนรกแล้วออกบินไปยังหมู่บ้านทันทีโดยมีอัศวินนรกบินตามมาติดๆ
เมื่อพวกเขาไปถึงหมู่บ้านแล้วเหล่าทหารกองกำลังต่อต้านก็ออกมาต้อนรับแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นมังกรทั้งสอง
“ ท่านเกรเกอรี่เอ่อ…มังกรสองตัวนี้มันเอ่อ… ”
นายทหารกล่าวอึกๆอักๆเหมือนคำพูดติดอยู่ในลำคอ
“ ช่างเถอะรีบเตรียมการป้องกันเร็วเดี๋ยวข้าจะทำพีธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อกรกับมังกรที่จะมาถึง ”
เกรเกอรี่สั่งนายทหารเสร็จก็เดินเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่งภายในเป็นห้องสีขาวสะอาด
กลางห้องมีแท่นภาวนากับเครื่องมือสำหรับทำพีธีศักดิ์สิทธิ์
ภายนอกเสียงปืนใหญ่ที่ทางกองทัพสร้างขึ้นยิงดินระเบิดขึ้นไปโจมตีกับอัศวินนรกแต่ก้ไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจเจาะเกราะสีดำอันแข้งแกร่งนั่นได้อัสวินนรกเอาดาบฟันป้อมปืนจนขาดสะบั้นตกลงไปนายทหารที่อยู่ในป้อมถูกเศษหินทับจนขาหักร้องโอดครวนด้วยความเจ็บปวดไม่นานนักนายทหาร2-3คนก็เข้ามาช่วยภายในห้องพีธี เกรเกอรี่ก็ประกอบพีธีเสร็จพอดีและรีบออกจากห้องไปพร้อมกับคฑาที่ส่องแสงสีทองอาร่ามตา
“ เอาละเจ้าปิศาจเอ๋ยจงไปสู่สุขติเสียเถอะ Holy words ( วาจาศักดิ์สิทธิ์ ) ”
สิ้นคำของเกรเกอรี่แสงจากคฑาก็เปล่งออกมาอย่างแรงกล้าจนถึงคนสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของแสง เกรเกอรี่ชูคฑาขึ้นเหนือแล้วหัวทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก้พุ่งไปเผาพลาญอัสวินแห่งนรกจนมอดไหม้แต่ทว่าก่อนที่จะดับสูญไปนั้นก็ได้ขว้างดาบปิศาจออกไปดาบพุ่งตรงไปยังเกรเกอรี่เพียงพริบตาเดียวดาบก็เสียบเข้าในร่างของแมนเทลูม่าที่เอาตัวมารับคมดาบไว้เกรเกอรี่ตกใจจนมือปล่อยคฑาหลุดลงไปร่างของแมนเทลูม่าล้มลง
“ แมนเทลูม่า ”
เสียงมังกรดิมมินิวเลี่ยนดังขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะเบลอไปหมดและเกรเกอรี่ก็สลบไป

เช้าวันต่อมา
เกรเกอรี่ค่อยๆลืมตาขึ้นร่างของเขาอยู่บนเตียงในห้องพักของหมู่บ้านเขาเดินออกมา
ก็เห็นร่างของแมนเทลูม่ากำลังถูกฟันลงไปเกรเกอรี่เดินเข้าไปใกล้ๆเขาแทบจำไม่ได้เลยว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากที่เขาสลบไปแมนเทลูม่าเอาตัวเข้ารับดาบไว้
จนถึงแก่ชีวิต ดิมมินิวเลี่ยนเดินเข้ามาหาเกรเกอรี่
“ ท่านไม่เป็นอะไรแล้วสินะ ”
ดิมมินิวเลี่ยนเอ่ยลอยๆ
“ ข้าเสียใจด้วยเรียงเพื่อนท่านถ้าเค้าไม่ช่วยข้าไว้เค้าก็คงไม่ต้องตายแบบนี้ ”
เกรเกอรี่กล่าวโทษตัวเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้แมนเทลูม่าต้องตาย
“ อย่าโทษตัวเองเลยนี่เป็นสิ่งที่แมนเทลูม่าต้องการอยู่แล้วการปกป้องใครสักคนด้วยชีวิตแค่นี้เขาก็ตายตาหลับแล้ว ”
ดิมมินิวเลี่ยนกล่าวปลอบใจเกรเกอรี่แต่ก้ไม่ทำให้เกรเกอรี่รู้สึกดีขึ้น
“ ข้าจะต้องจับตัวคนที่ทำเรื่องแบบนี้มาลงโทษให้ได้ เพื่อนสานต่อจากที่เค้าฝากความหวังไว้กับข้า ”
เกรเกอรี่เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่เป็นประกายของความตั้งใจจริง
“ อืมถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปแจ้งให้ทางครอบครัวของแมนเทลูม่าทราบ ”
ดิมมินิวเลี่ยนกล่าวพร้อมจะออกบินไปแต่เกรเกอรี่ห้ามไว้ก่อน
“ เดี๋ยวก่อนข้ามีอะไรจะให้นี่คือสร้อยคอที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้าขอมอบมันให้ท่าน ”
เกรเกอรี่พูดพร้อมถอดสร้อยคอออกมาแล้วบรรจงสวมสร้อยให้ดิมมินิวเลี่ยน
“ จะดีเหรอให้ของสำคัญกับข้าน่ะ ”
ดิมมินิวเลี่ยนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ ดีแล้วล่ะขอพระเจ้าทรงคุ้มครองด้วยเถิดลาก่อน ”
เกรเกอรี่เอ่ยจบก็ถอยให้ดิมมินิวเลี่ยนบินไป

“ นี่คือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไงล่ะ ”
เกรเกอรี่พูด   ทั้งห้องยังคงตกอยู่ในความเงียบ   แต่ประตูก็เปิดออกพร้อมกับคนส่งสาร
“ ท่านเกรเกอรี่แย่แล้วทางฟูดินันถูกโจมตี ”
คนส่งสารกล่าวอย่างเร่งรีบ
“ งั้นต้องรีบไปแล้วพวกท่านก้ไปด้วย ”
ชาลว์กล่าวก่อนจะหันไปยังพวกL r แล้วทั้งหมดก้พากันออกจากห้องไป
Logged


Little Phoenix
Guest
« Reply #123 on: March 11, 2007, 11:00:08 PM »

ทำไมไม่แต่งต่ออ่ะ
 ???
Logged
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #124 on: March 25, 2007, 02:11:32 AM »

ไทจิ : เรื่องนั้นหากเจ้าอยากรู้ข้าก็จะตอบให้
นั้นก็เพราะว่า......
ยามาโตะ: เพราะเจ้าเกรม่อนกับเจ้าการูรูม่อนมันกลับโลกดิจิตอลไปแล้วไง
ไทจิและยามาโตะ: 555+
เกรม่อนและการูรูม่อน:เฮ้ยม่ายช่ายๆๆ
ที่ไม่ได้แต่งต่อเพราะตัวนิยายที่แต่งไว้มันโดนลบไปกะตอนซ่อมเครื่องนี่สิ
และก็บวกกับไม่ค่อยมีเวลาแต่งเลยคงต้องรอเรียนพิเสษเสร้จก่อนน่ะขอรับ
เอาล่ะไอ้พวกนี้ตายบังอาจมาตอบของคนอื่นเขาเสียๆหายๆเดี้ยงซ้า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เมก้าเฟรม
Logged


3DM
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 276


Email
« Reply #125 on: March 29, 2007, 07:51:23 PM »

สุดยอดจิงๆครับ แต่ผมว่า น่าจะอัพรูปใหม่อ่ะครับ บางรูปมองไม่เห็น
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #126 on: March 31, 2007, 07:33:13 PM »

ตอนนี้ก็มาต่อให้แล้วนะครับส่วเรื่องรูปที่โพสไปนั้นลิงค์มันเสียแล้วน่ะครับ
เพราะว่าเว็บที่ผมฝากรูปไว้มันล่มไปแล้วครับ
แต่ก็นะครับไว้เดี๋ยวตรวจทราบว่าเป็นรุปใดจะนำมาโพสแก้ทีหลังนะครับ

บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์   Part1

 ณ ฟูดินันตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วเสียงแห่งการดำรงชีวิตอันวุ่นวายของเหล่าสรรพสัตว์ในป่าก็เงียบลง
ที่ค่าย อบยพ มีการก่อกองไฟเพื่อทำการเลี้ยงต้อนรับคณะของเกรเกอรี่ที่พึ่งมาถึงเมื่อไม่นานนัก

“ เอ้อท่านบิชอปพวกเรายังไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่พวกท่านมาเยือนในครั้งนี้เลย ”
ฮารีซันเอ่ยปากถามเมื่อสังเกตเห็นว่าไม่มีใครคิดที่จะเริ่มเข้าเรื่องกันก่อนเลย

“ เป็นคำถามที่ดีวันนี้พวกท่านส่งสารขอความช่วยเหลือมาใช่มั้ย ”
เกรเกอรี่ตอบเสียงเรียบทำให้อารีซันผงะไปชั่วครู่

“ ใช่พวกเราส่งไปแต่คิดว่า นกพิราบสื่อสาร ตื่นตระหนก
กับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจนทำ หมายสารหล่นกลางทาง ”

ฮารีซันตอบกลับไปจากนั้นเกรเกอรี่จึงเอามือล้วงเข้าไปใน
เสื้อนอกแล้วหยิบเอากระดาษที่ยับยู่ยี่ราวกับเคยถูกขยำมา

“ นี่มัน ”
อารีซันอุทานขึ้นเมื่อเห็นกระดาษชิ้นนั้นเกรเกอรี่จึงรีบเอ่ยปากพุดต่อทันที
“ หมายสารของท่านมาถึงเราแล้วแต่เพราะมีเหตุบางประการทำให้เราทราบข่าวล่าช้า ”
หลังจากที่ฟังถ้อยคำของเกรเกอรี่แล้วฮารีซันก็พยายามที่จะถามต่อถึงเรื่องที่เขากำลังสงสัยแต่
ก็ถูกขัดขึ้นมาด้วยเสียงคำรามของชาวเผ่าสมิงที่มาตั้งค่ายอพยบอยุ่ข้างๆเนื่องด้วยความเสียหายจากการโจมตีของไพทอน คาร์น หัวหน้าเผ่าสมิงรีบเข้ามาหาฮารีซันด้วยสภาพที่มีแผลไปทั่วตัว
“ คาร์น!!! เจ้าไปโดนอะไรมาน่ะ ”
ดามิก้าที่นั่งอยู่ข้างๆฮารีซันรีบถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก   
“ พวกปีศาจบุกแล้ว!!! ”
เสียงตะโกนของนักรบแห่งป่าทมิฬดังขึ้นพร้อมกับการมาของสมิงหมาป่าจำนวนมากมาย
“ อะไรกันเนี่ย ”
เกรเกอรี่อุทานขึ้นชาลว์เอาตัวเข้ามาขวางระหว่างเกรเกอรี่กับพวกสมิงหมาป่าพวก Lr ที่นั่งอยู่ข้างๆก็
รีบลุกไปหลบข้างหลังเพื่อความปลอดภัย
“ ฮ.. ฮารี..ซัน ”
คาร์นครางอ่อนๆเพื่อเรียกฮารีซัน
“ มีอะไรคาร์น ”
ฮารีซันหันไปมองคาร์นแล้วคาร์นก็พูดเสียงอ่อยๆจนทุกคนโดยรอบแทบจะไม่ได้ยิน
“ เป็นความจริงหรือ ”
ฮารีวันพูดเสียงตื่นทำให้ทุกคนหันมามองชั่วครู่แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจเพราะต้องคอยรับการโจมตีของพวกสมิง
“ ทุกคนรีบหนีไปเร็ว ”
ฮารีซันตะโกนจบทุกคนก็รีบวิ่งเข้าไปหลบในป่า
ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ชั่วโมงที่ก่อน

ที่วิหารใจกลางของป่าที่ลึกเข้าไปในอาณาจักรฟูดินันผู้คนทั่วอาณาจักรต่างขนานนามให้ป่านี้ว่า ป่าแสงจันทร์
ด้วยที่ว่าป่านี้จะปรากฏขึ้นต่อเมื่อมีแสงจันทร์ตกกระทบหากไม่ป่านี้ก็จะกลายเป็นทะเลสาบเล็กๆเท่านั้น
ซึ่งในป่านี้มีวิหารจันทรา ตั้งอยู่เป็นที่อยู่ของแม่มดแสงจันทร์
นาม แอสต้า (Asta, the Moon Light Witch)



ร่างของสมิงหมาป่าสองตนเดินตรงไปยังวิหาร ร่างหนึ่งมีขนปกคลุมสีดำสนิท อีกร่างมีขนปกคลุมสีเงิน แวววาว
“ ท่านแอสต้าอยู่มั้ย ”
สมิงร่างสีดำถามเสียงสะท้อนก้องไปทั่ววิหารแต่ไม่มีการตอบกลับใดๆทันใดนั้นที่น้ำพุกลางวิหารก้มีหมอกคลุ้งออกมาพร้อมกับการปรากดตัวของหญิงสาวในชุดขาวพลังมนตรารอบๆตัวของเธอแผ่กระจายออกมา
จนทำให้แสงจันทร์ภายในวิหารสว่างขึ้นราวการเปิดสวิซไฟในปัจจุบันก็ไม่ปาน เธอคือแอสต้าน่ะเอง
“ โอพวกเจ้าในที่สุดก็กลับมาข้าคิดถึงพวกเจ้าจริงๆ ”
แอสต้ากล่าวสะอึกสะอื้นพร้อมกับที่น้ำตาของเธอไหลรินออกมาดผตรงเข้ากอดสมิงทั้งสองไม่ต่างจากแม่กอดลุกเลย
“ หยุดเถอะน่ะท่านแม่ผมอึดอัดนะ ”
สมิงหมาป่าร่างเงินพูดจึงทำให้นางคลายกอดลง
“ เจ้าโตขึ้นเยอะเลยSliver Moon เจ้าเองก็ด้วยเปลี่ยนไปมากเลยshadow Moon ”
นางกล่าวอย่างกระตือรือร้นตอนนี้ในใจของนางเต็มไปด้วยความยินดีอย่างหาที่ติมิได้
“ ว่าแต่ท่านเรามาด้วยเรื่องงานน่ะไม่ได้มาเที่ยวนะ ”
shadow Moon พูดขึ้นทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไป
“ เอาล่ะsliver Moon น้องรักจงไปจัดการเกรเกอรี่ซะส่วนเรื่องฟอจูนทรีข้าจะจัดการเอง ”
Shadow Moon ออกคำสั่งกับสมิงหมาป่าร่างสีเงิน(sliver werewolf)
“ ขอรับข้า Sliver Moon (จันทร์สีเงิน) จะจัดการพวกมันเอง ”
กล่าวจบสมิงหมาป่าสีเงินก็เดินออกไปจากวิหารแล้วสั่งการเดินทัพของสมิงหมาป่าทันที

    To be continue

« Last Edit: June 13, 2008, 01:57:34 PM by greamon » Logged


Living Storm
Guest
« Reply #127 on: April 26, 2007, 06:50:27 PM »

หนุกดีคับ
แต่งต่อเร็วๆน้า
Logged
greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #128 on: August 29, 2007, 11:16:00 AM »

เนื่องจากช่วงหลังนี้ผมไม่ค่อยได้มาแต่งต่อเลยเพราะงานที่ยิ่งทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยแต่ว่าในวันอาทิตย์นี้ผมจะนำบทต่อไปมาลงให้นะครับ
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #129 on: March 10, 2008, 07:43:11 PM »

น่าจะมีรูปเทียกับตอนที่ lr เป็นมังกรแห่งความกลัวนะครับ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #130 on: March 12, 2008, 12:43:36 PM »

คือจริงๆมันก็มีอ่ะนะครับแต่บังเอิญว่าผู้ช่วยผมมันเป็นคนบ้ากันดัมมาก
ไปหน่อยตอนที่ขอให้มันช่วยวาดรูปให้มันก็ดันวาดทาลิวิลย่าออกมาซะเหมือน
Freedom เลย - -* ส่วนช่วงหลังนี้ผมไม่ได้มาอัพเดทเลยสาเหตุคงต้องบอกว่างาน
ม.ปลายมันเยอะเกินคาดจิงๆเลยมิได้แต่งต่อเยย(ไม่น่าเลือกวิทย์คณิตเลยตู :P)
เอาเป็นว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ผมจะมาอัพเดทให้นะครับช่วงนี้ก็กำลังปืดเทอมพอดีน่าจะมีเวลาแต่งต่อได้
ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะครับแต่คงรูปอย่างว่าไม่ไหวล่ะครับเพราะแต่ละรูปพิจารณาแล้วมัน....(กันดัมชัดๆ :'()
Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #131 on: March 13, 2008, 08:57:11 PM »

สู้สู้นะครับ  รออ่านอยู่  ความจริงถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ  ยิ่งเร่งพี่ก็ยิ่งเครียด  ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่าครับ
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #132 on: March 17, 2008, 05:44:21 PM »

บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์   Part2
สายลมที่พัดอย่างเฉื่อยในยามราตีได้พัดพาเมฆหมอกออกจนฟ้าเปิดแสงจันทร์สาดส่องลงมาทั่วทั้งผืนป่า
เสียงเห่าหอนและเสียงคำรามที่วีดหวิวมาตามสายลมซึ่งพัดมาจากทางค่ายอพยพของฟูดินัน
เจ้าของเสียงนับพันๆร่างกำลังวิ่งไล่หลังกลุ่มชาวบ้านอยู่อย่างไม่ลดละ ชาวบ้านที่หนีตายบางคนถูกจับกระชากอกมาสังหารด้วยเขี้ยวและกรงเล็บพวกมันกัดกินร่างของชาวบ้านจนเลือดสาดกระเด็นไปหมด
มือสังหารเหล่านี้เป็นสมิงหมาป่าร่างสีดำสนิทพวกมันมีตาสีแดงราวกับเลือดพวกมันไม่มีลมหายใจ
        ไร้ซึ่งจิตวิญญาณใช่แล้วพวกมันเหล่านี้แม้จะคล้ายกับเผ่าสมิงแต่ก็หาใช่สมิงไม่
        สภาพภายในป่าตอนนี้หมอกลงจัดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนใบไม้ในป่าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเต็ม
ไปด้วยซากศพของชาวบ้านแต่หาได้มีซากศพของสมิงเหล่านี้เลยแล้วพวกมันหายไปไหน…
“ ต้านเอาไว้อย่าให้มันตีเข้ามาได้ ”
เสียงตะโกนของแม่ทัพดังออกมาจากด้านหลังของเหล่านักรบป่าทมิฬที่กำลังฟาดฟันกับเหล่าสมิงหมาป่านั้น

“ แย่ล่ะสิพวกมันเยอะเกินไปแถมในป่ายังหมอกลงอีกทำให้สู้ไม่สะดวกเลย ”
ทราเฮิร์นพูดขึ้นขณะที่กำลังพุ่งทวนหอกในมือเสียบทะลุสมิงหมาป่าตัวหนึ่งซักพัก
ร่างของสมิงนั้นก็สลายกลายเป็นหมอกไปในที่สุด

“ ชิเยอะจริงๆกำจัดยังไงก็ไม่หมด ”
คาร์นคำรามเบาๆขณะที่ร่านของสมิงหมาป่าจนร่างขาดสบั้น

“ จากที่ดูเจ้าพวกนี้ไม่น่าจะเป็นสมิงจริงๆหรอกนะน่าจะเป็นอสูรเวทซะมากกว่า ”
เกรเกอรี่พูดออกมาตามที่วิเคราะห์ ขณะเดียวกันก็สมิงตนหนึ่งพุ่งมายังเกรเกอรี่

“ ท่านเกรเกอรี่ระวัง! ”
ชาว์ลซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเข้าไปช่วยได้ตะโกนข้ามมาเพื่อบอกให้เกรเกอรี่หลบแต่ทว่า
สมิงตนนั้นก็เข้าประชิดตัวเกรเกอรี่ซะแล้วด้วยความตกใจจึงทำให้เขาสะดุดล้ม ดามิก้าซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดพยายามจะเข้าไปช่วย
แต่ก็โดนสมิงอีกตัวขวางไว้

“ กีซซซซซ ”(Light Flame)
สิ้นเสียงคำรามเพลิงสีขาวก็วาบออกมาจากปากของลูกมังกรขาวพุ่งตรงเข้าไปเผาร่างของสมิงจนสลาย
กลายเป็นหมอกไป Lr รีบเข้าไปพยุงตัวเกรเกอรี่ขึ้นแน่นอนระหว่างทางก็มีสมิงเข้ามาขวาง
แต่ลูกมังกรตัวอื่นก็เข้าไปช่วยกันขวางไว้

“ ไม่เป็นไรนะครับ ”
Lrพูดขึ้นขณะที่พยุงตัวเกรเกอรี่ขึ้นเกรเกอรี่ส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ ทุกคนรีบถอยออกจากป่าแล้วไปตั้งหลักกันที่มหาพฤกษาเร็ว ”
ฮารีซันที่วิ่งกลับมาตะโกนบอกทุกคนซึ่งทุกคนก็รีบผละจากการต่อสู้ทันทีทหารทั้งหลายต่างก็รีบวิ่งออกจากป่าไปยังมหาพฤกษา พวกสมิงเองก็ไล่ตามไปเช่นกันแต่แล้วเมื่อตามไปถึงมหาพฤกษา
พวกเขาก็หายลับไปแล้ว พวกมันยังคงวนเวียนสำรวจรอบๆมหาพฤกษาจมูกของมัน
เริ่มกระดุกกระดิกเพื่อดมกลิ่นของศัตรูแต่

“ ท…ทำยังไงดีครับท่านปู่ดูเหมือนพวกมันจะไม่ยอมถอยไปเลย ”
ฮารีซันกระซิบถามวูจินที่กำลังขึงข่ายมนตราอำพรางที่ฮารีซันล่วงหน้ามาบอกให้วูจินทำเอาไว้ก่อน
ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านหลังของมหาพฤกษา  ภายในข่ายเวทย์ไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่น้อย
บริเวณรอบๆเงียบลงพวกสมิงหมาป่าต่างก็เลิกสำรวจแล้วแต่กลับแหวกทางออกเป็นบริเวณ
ต่อหน้าพวกเขาเหมือนกับจะเปิดทางใหใครบางคนมาซักพักก็มีลมพัดออกมาจากป่า

หมอกเริ่มจางลงมีเงากลุ่มคนกำลังตรงมาทางมหาพฤกษาแปดคน ทุกคนที่อยู่ภายในข่ายเวทย์
ต่างรอด้วยความตื่นเต้นและความแปลกใจเกิดคำถามขึ้นในใจทุกคนมากมายแต่ทว่าก็ไม่ใครกล้าปริปากเลย

ซักคน เมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเดินเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัดพวกเขาเหล่านั้นทุกคนมีวงแหวนขนาดกลางที่มีวงแหวนขนาดเล็กกว่าคล้องเอาไว้กันคนละสี่วงที่มือสองวงที่หัวอีกสองวงแต่ละวงจะมีเชือกสีทองผูกไว้เสื้อคลุมสีม่วงดำที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำและผ้าสีแดงยาวสยายพัดสะบัดไปตามลมไม่ใช่ใครอื่นเลยพวก Lr เคยเจอกับคนกลุ่มนี้แล้วพวกเขาคือ ดราก้อนเนโครแมนเซอร์ (ผู้ควบคุมมังกรแห่งความตาย)
(ต่อไปย่อเป็น dn )ที่เป็นพวกเดียวกับแบล็คไวเซอร์ น่ะเอง เหล่า dn เริ่มล้อมวงร่ายเวทย์บางอย่างต่อหน้าพวกเขาที่ยังอยู่ในกำแพงเวทย์ซึ่งบัดนี้พวกเขาล้อมเอาไว้แล้วจึงไม่อาจที่จะหนีได้อีก

“ ท่านชาโดว์มูนพิธีพร้อมแล้วขอรับ ”
dn คนหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้นพร้อมกับทันทีที่ร่างของสมิงหมาป่าอีกตนได้กระโดดลงจากกิ่งของมหาพฤกษาขนของสมิงตนนี้เป็นสีเงินทันทีที่มันสะท้อนกับแสงจันทร์ก็ทอแสงระยิบยับเป็นมันวาวราว
กับแก้วก็ไม่ปาน ซึ่งตอนนี้ในหัวของทุกคนเริ่มมีความกังวลอยู่ในใจว่าหากสมิงตนนี้อยู่ที่มหาพฤกษานี้มา โดยตลอดเรื่องที่พวกเขาเองก็ยังอยู่ตรงนี้มาโดยตลอดไม่ได้หายไปไหนก็คงความแตกเช่นกัน

“ งั้นเริ่มเลย ”
สมิงตนนั้นขานตอนกลับไปทำให้เหล่า dn เริ่มส่งพลังเวทย์ให้แก่สมิงตนนั้น สมิงหมาป่าตนนั้นหยิบเอาเศษหินรูปจันทร์เสี้ยวที่ห้อยไว้ที่คอขึ้นมาก่อนจะเริ่มร่ายคาถา

“ ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ  จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) ”
สิ้นคำของสมิงตนนั้นพลังเวทย์ที่ส่งมาที่ร่างของมันก็ถูกส่งขึ้นสู่ท้องนภาก่อนที่สลายไปพร้อมกับการปรากฏของจันทราสีครามทิ้งไว้แต่เพียงความตกตะลึงของผู้ที่ได้เห็น



“ หึเป็นยังไงบ้างเจ้าพวกฟูดินันได้เห็นแล้วรึยังว่าอำนาจของเรานั้นสามารถที่จะเปลี่ยนได้กระทั่งดวงจันทราและยังควบคุมพลังนั้นได้อีกด้วย นามของเราคือซิลเวอร์มูน(Silver Moon) เป็นสมิงสีเงิน( Silver WereWolf )ผู้รับใช้ของ1ใน12เทพขุนศึก ”
สมิงตนนั้นกล่าวขึ้นขณะที่หันมาทางพวกเขาพร้อมกับยกแขนขึ้นทันใดนั้นพระจันทร์สีครามก็ก็ยิงแสง
สีครามลงมา



“ ทุกคนหนีเร็ว ”
ฮารีซันตะโกนพร้อมกับแบกร่างของวูจินแหวกฝูงสมิงออกมาเหล่าผู้นำเผ่าต่างๆก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนทั้งที่หลบอยู่บนต้นไม้ในป่าและอยู่ในเขตอาคมรีบทำการแหวกหนทางหนีแต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว
แม้ส่วนใหญ่จะหนีออกมาได้หมดแล้วแต่ทว่านักรบที่หนีอกมาไม่ทันก็ถูกแสงนั่นกระทบรวมไปจนถึง
เหล่าสมิงของซิลเวอร์มูนเองก็ด้วยหมอกไอเย็นที่เกิดจากลำแสงที่ตกกระทบก็พวยพุ่งตลบอบอวลไปหมดจนมองไม่เห็นอะไรเลยทันทีที่หมอกจางลงบริเวณโดยรอบกลายเป็นทุ่งน้ำแข็งไปในที่สุด
เหล่านักรบและพวกสมิงที่โดนลำแสงเข้าไปต่างกลายเป็นน้ำแข็งจนหมด
“ อะไรกันเนี่ย ”
ฮารีซันอุทานด้วยความไม่เชื่อในสายตาตัวเองทุกสิ่งที่โดนแสงนั้นกระทบถูกไอเย็นจับตัวแข็งกันจนกลายเป็นน้ำแข็ง

“ Silver Claws(เล็บสีเงิน) ”
สิ้นคำของซิลเวอร์มูนเขาก็ตวัดอุ้งเล็บออกไปเกิดเสียงหวีดหวิวขึ้นพร้อมกับคลื่นสูญญากาศพุ่งเป็นประกาย
สีเงินตรงไปทางพวกที่โดนแช่แข็งก่อนที่ก้อนน้ำแข็งบรเวณนั้นจะแตกร้าวและแหลกสลายไปในที่สุด

“ อีกเดี๋ยวพวกแกก็ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ”
ซิลเวอร์มูนพูดจบก็พุ่งเข้าหาฮารีซันทันทีแต่ทว่าคาร์นก็เอาดาบแทรกเข้ามากันไว้ได้

“ ฮึ่มนี่รึว่าแก… ”
คาร์นพูดขึ้นแต่แล้วเขาก็กลับถูกกดดาบลงทำให้เขาต้องชะงักไปจนต้องเอามืออีกข้างมายันไว้

“ แกยังจำได้รึเปล่าศิลาแห่งจันทรานี้น่ะ ”
ซิลเวอร์กำเชือกที่มัดหินรูปจันทร์เสี้ยวเมื่อครู่ไว้แน่น

“ Flying Flame ”
เสียงดังมาจากด้านบนของทั้งสองซิลเวอร์มูนผละตัวจากคารน์แล้วกระโดดหลบออก
คลื่นลมที่พุ่งลงมาอย่างจึงพัดโดนคาร์นปลิวไปกระแทกกับลำต้นของมหาพฤกษาอย่างจัง
วิลนั่นเองที่ปล่อยลมมาเพื่อที่จะพัดซิลเวอร์มูนให้กระเด็น

“ กีซซซซซซ ”(หวายโทษทีไม่นึกว่ามันจะรู้ตัว)
วิลกล่าวขอโทษกับคาร์นแต่ดูเหมือนว่าคาร์นจะสลบไปแล้วพวก Lr วิ่งออกมาจากทางป่าด้าน
หลังพร้อมกับกองกำลังต่อต้าน Holy Nightmare ของเกรเกอรี่ที่พึ่งมาถึง

“ อ่ะนี่มัน ”
ซิลเวอร์มูนกล่าวขึ้นอย่างไม่เชื่อในสายตาบัดนี้พวกเขากลับถูกล้อมซะเอง

“ กีซซซซซ ”(นี่หล่ะแผนของฉันให้กลุ่มนึงล่อพวกมันมาที่ต้นไม้ยักษ์ต้นนี้แล้วพวกเราก็
ออกไปหาทางให้ท่านเกรเกอรี่ติดต่อขอกำลังเสริมเท่าเราก็ได้เปรียบพวกมันแล้ว)
เอิท์ธกล่าวขึ้นอย่าง ลำพองใจ ซึ่งก็เป็นตามนั้นพอกองกำลังต่อต้านผนึกกำลังกับกองทัพจากทั้งสามเผ่า
ก็สามารถเอาชนะสมิงปีศาจเหล่านี้ได้จนเหลือเพียงแค่ซิลเวอร์มูนกับเหล่า dn ทั้งแปด

“ เท่านี้เราก็เป็นฝ่ายชนะแล้วยอมจำนน…. ”
แม่ทัพกองกำลังกล่าวโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมแต่โดยดีแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะชาว์ลเข้ามาขวางการโจมตี
ของ dn ที่คิดจะเข้ามาสังหารเขาพวกมันพยายามจะจับตัวชาว์ลแต่เพียงพริบตาเดียวก็ถูกฟันจนล้มลงหมด

“ ทีนี้ก็เหลือแต่เจ้าแล้ว ”
ชาว์ลพูดขึ้นหลังจากตวัดดาบขึ้นเตรียมบุกครั้งต่อไปแต่แล้วซิลเวอร์มูนแสยะเขี้ยวราวกับจะ
เยาะเย้ยเขา ชาว์ลกำดาบในมือแน่นเขารู้สึกเหมือนถูกเหยีดหยามใจเขาร้อมรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น
มาก่อนจนตอนเขาชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่คือความโกรธหรือความกลัวกันแน่

“ หึนี่พวกแกคิดว่าข้าคนนี้จะจนตรอกง่ายๆเลยรึ ”
ซิลเวอร์มูนพูดจบไม่ทันที่ทุกคนจะได้คิดแสงสีครามก็ถูกยิงลงมาอีกไม่มีใครหลบทันแม้แต่คนเดียวหมอกควันฝุ้งกระจายไปทั่วจนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย

“ หึหึสุดท้ายพวกแกก็มาตายกันหมด…..รึ ”
ซิลเวอร์มูนพูดขึ้นมาก่อนที่ควันจะจางลงแต่เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อมีแสงส่องสว่างออกมาจากกลุ่มหมอก
แสงนั้นครอบครุมพวก Lr เอาไว้เหมือนเกราะคุ้มกันที่ในเกราะคุ้มกันมีชายในชุดเกราะขาวสวมหน้ากากมังกรยกโล่ขึ้นมาสร้างเกราะป้องกันไว้

“ กีซซซซ ” (ท่านเมทาไนท์)
วิลเอ่ยขึ้นเมื่อได้เห็นเมทาไนท์อีกครั้งซึ่งมาช่วยพวกเขาไว้ทันอีกแล้วในตอนนี้มีผู้เหลือรอดจากการ
ถูกแช่แข็งแค่ Lr และเหล่าลูกมังกรกับเมทาไนท์เท่านั้น

“ แก...เป็นใคร ”
ซิลเวอร์เอ่ยถามถึงนามของผู้มาใหม่

“ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะใส่ใจหรอก ”
เมทาไนท์พูดจบก็ปลดโล่ลงก่อนที่จะกระโดดพุ่งผ่านพุ่มไม้หายลับเข้าไปในป่า
ซิลเวอร์มูนได้แต่เพียงชายตามองตามหลังไปเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาสนทนากับพวกเขาต่อ

“ เอาเถอะที่นี้ข้าจะทำลายทิ้งเสียให้หมดรวมถึงพวกเจ้าด้วย สุดท้ายไม่ว่าพวกเจ้าจะวางแผนยังไงก็ไม่สำเร็จหรอกดีมาตายกันซะให้หมด ”
ซิลเวอร์มูนพูดขึ้นก่อนที่จะวาดมือเพื่อสร้างคลื่นพลังทำลายทุกคนที่โดนแช่แข็งเอาไว้

“ นี่.นี่เป็นเพราะเราหรือเนี่ยเราทำให้ทุกคนต้องมาตายเหรอไม่นะ ”
เอิท์ธคิดในใจเขารู้สึกผิดที่จะนำพาหายนะมาแก่ทุกคน ตอนนี้ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนที่คลื่นพลังจะถูกซัดออกมาจากกรงเล็บของซิลเวอร์มูน Lr ก็เข้าไปผลักซิลเวอร์จนเซเสียหลักทำให้คลื่นพลังที่รวมไว้สลายไปซิลเวอร์มูนเอาแขนผลัก Lr จนกระเด็น

“ หนอยบังอาจนักนะพวกแกงั้นก็จงตายก่อนซะเลย ”
ซิลเวอร์มูนพูดน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแต่ทว่าทันใดนั้นก็มีแสงส่องออกมาจากดราก้อนฮอลลี่(ย่อ dgh)

“ อ่ะแสงนี่เหมือนตอนนั้นเลย ”
Lr พูดขึ้นก่อนที่แสงสว่างจะส่องสกาวออกมาจนแสงนั้นครอบคลุมร่างของเขากับไลท์เอาไว้

“ เม...โ... ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของพวกเขาทั้งสองมันพยายามะให้พวกเขากล่าวตามนั้น

" Metamorphose Fusion ( เมตามอฟอส ฟิวชั่น ) "
เสียงดังกังวานออกมาพร้อมกับแสงสว่างจ้าจาก dgh กลายเป็นลำแสงพลังงานสีขาวพวยพุ่งออกมาขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็วและแตกกระจายออกเป็นวงแหวนแสงขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งวงละอองแสงกระจายฟุ้งออกจากวงแหวนแสงขนาดไปทุกทิศทางวงแหวนแสงเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยวงแหวนแสงที่หมุนเร็วขึ้นรวมเอาละอองแสงที่กระจายออกมาในตอนแรกจนหมดและ
แล้วลำแสงพลังขนาดใหญ่ก็ถูกยิงลงมาทั้งสองในลำแสงร่างของทั้งสองได้รวมกันเป็นหนึ่งร่างกายที่รวมกันของทั้งสองนั้นค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นลำแสงพลังงานก็สลายไปเหลือไว้แต่เรือนร่างของทั้งสองที่รวมกันเป็นหนึ่งยังคงส่องแสงเจิดจ้าและค่อยๆจางลงอยู่เหนือหัวของพวกเขา
เผยให้เห็นร่างอัศวินมังกรสีขาวสะอาดปีกทั้งสองข้างที่สวยเหมือนดั่งปีกของพญาหงส์ตาสีแดงน่าเกรงขาม
มือข้างขวาถือแท่งพลังงานแสงที่ยังคงส่องประกายเจิดจ้าอยู่สักพักมันก็ค่อยเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบสีทองที่มีแถบสีขาวพาดอัศวินมังกรตนนั้นสบัดปีกทั้งสองข้างเพื่อไล่ละอองพลังงานที่ยังติดอยู่ออกจากร่างจากนั้นก็ยกดาบขึ้นฟาดฟันกระบรวนท่าอันสวยงามน่าเกรงขาม
บัดนี้ไลท์กับ Lr ได้รวมร่างกันเป็นอัศวินมังกรแห่งทาลิวิลย่าอีกครั้ง
" แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกใบนี้นามของข้าคือ
ทาลูคูส ( Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya ) "


โปรดติดตามตอนต่อไปของ บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์   Part3



« Last Edit: June 13, 2008, 01:52:09 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #133 on: April 01, 2008, 06:49:27 PM »

บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์   Part3


   ท่านกลางท้องนภาอันมืดมิด ดวงตะวันที่ลับฟ้าไปแล้วจักปรากฏจันทราช่วยส่องแสงนำทางแทนหากทว่า
จันทราในคืนนี้ส่องแสงสีครามไอเย็นและความหนาวเหน็บเข้าปกคลุมป่ารอบมหาพฤกษาขนาดใหญ่
เหนือป่าขึ้นไปกลับมีอีกแสงที่เปล่งประกายอยู่หน้ามหาพฤกษาแสงนั้นถูกส่องออกมาจากร่าง
ของอัศวินมังกรสีขาวแววตาของเขาจ้องลงไปเบื้องล่างที่ยังแววตาของสมิงหมาป่าสีเงินซึ่งยืนอยู่บนผืนแผ่นดิน

ที่เย็นแข็งจากอำนาจของจันทราเยือกแข็ง (cool moon) สายตาของทั้งสองยังคงจับจ้องอยู่กันและกันก่อนที่ใบสีเงิน
ของมหาพฤกษาจะร่วงโรยลงมาตามแรงลมทั้งสองก็ได้หายไปจากที่เดิมเสียแล้ว



ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทาลูคูส (Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya) ฟาดดาบในมือใส่ซิลเวอร์มูนอย่างไม่ยั้งมือ
ทำให้ซิลเวอร์มูนต้องปัดป้องเป็นระวิงทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ซิลเวอร์มูนมีโอกาส

สะสมพลังเพื่อทำลายพวกชาวบ้านและเหล่าทหารที่ถูกแช่แข็งอยู่เบื้องล่างทาลูคูสจึงบุกไปโดยไม่ลดความเร็วทั้งสองเคลื่อนที่ไป
เรื่อยอย่างรวดเร็วขณะปะทะซิลเวอร์อาศัยแรงส่งจากการวิ่งไต่ขึ้นลำต้นของมหาพฤษาทาลูคูสเองก็สยายปีกออกเพื่อจะรับลมได้เต็ม

เพื่อเร่งความเร็วตามซิลเวอร์มูนให้ทันทั้งสองยังคงปะทะกันไป เรื่อยๆเหล่าลูกมังกรที่เหลือทั้ง5ตัวได้แต่คล้อยสายตามองตามไปเรื่อยๆ
ด้วยความตกตะลึงและแล้วซิลเวอร์มูนก็พลาดท่าถูกทาลูคูสยันจน เสียหลักตกลงมาทาลูคูสไม่รอช้าเขารีบเบี่ยงตัวออกจากลำต้นมหาฤกษา
พร้อมง้างดาบมาคายาเดียจนสุดแขนเมื่อได้องศาแล้วตัวดาบเปล่งแสงออกมาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ

“ Lux et Dragos ”

สิ้นเสียงดาบในมือของเขาถูกตวัดลงมาคลื่นพลังงานสีขาวเป็นรูปจันทร์เสี้ยวถูกวาดออกไป
แต่ซิลเวอร์มูนก็พลิกกลับตัวกลางอากาศได้ทันพร้อมกับตั้งท่ารับมือ

“ Silver Claws ”

สิ้นเสียงซิลเวอร์มูนก็รวบรวมพลังพร้อมวาดกรงเล็บปะทะเข้า คลื่นแสงที่พุ่งเข้ามาจนแตกสลายไปซิลเวอร์มูนถูกแรงปะทะดีดออกมาจนตกลง
ไปในป่าทาลูคูสคิดที่จะตามไปแต่แล้ว เขาละทิ้งความคิดนั้นแล้วหมุนตัว กลับไปมองจันทราสีครามมันพร้อมที่จะยิงแสงอีกครั้งโดยเป้าหมายครั้งนี้คือเขา ไม่รอช้าก่อนที่เขาจะคิดซะด้วยซ้ำไปแสงสีครามกระทบ ถูกเขาแล้วไอเย็นไปทั่วบดบังร่างของเขาไว้

เหล่าลูกมังกรพูดไม่ออกได้แต่ทอดสายตาแสดงอาการตกตะลึงอย่างชัดเจนมาที่เขาทันทีที่ไอเย็นจางลง
พวกเขาก็ยิ้มออกเมื่อร่างของทาลูคูสหาได้กลายเป็นน้ำแข็งไม่   

“ นึกว่าจะแย่ซะแล้วดีนะที่ร่างนี้พลังในการลบล้างคำสาปหรือพิษทุกชนิดน่ะ ”

ทาลูคูสกล่าวขึ้นอย่างลอยๆก่อนจะตั้งท่าอีกครั้ง

“ จงแหลกสลายไปซะ ”

ทาลูคูสเอ่ยขึนก่อนจะตวัดคลื่นดาบออกเป็นรูปกากบาทออกไปคลื่นพลังนั้นค่อยๆเปล่งแสงจ้าจนกลายมังกรพลังงานสีขาวในที่สุด

“ Great of Dragon ” (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร)

สิ้นเสียงมังกรพลังก็กระแทกเข้ากับจัทราสีครามจนแตกสลายไปทั้งคู่เศษซากของจันทราสีครามค่อยๆร่วงโรยลงสู่ผืนดินหยอกล้อแสงจันทร์ที่ส่อง
ลงมาหลังจากการบดบังของจัทราสีครามราวกับเกล็ดหิมะก็ไม่ปานพร้อมกับร่างของทุกคนที่หายจากการถูกแช่แข็ง
หลังจากนั้นในวันต่อมาทุกคนก็ได้กลับไปยังค่ายอพยพชั่วคราวพร้อมกับเริ่มงานบูรณะหมู่บ้านกันอีกครั้งหลายวันผ่านไปทุกเผ่าจึงแยกย้ายกัน

กลับที่เรือนรับลองของบ้นบันดาราบิชอปเกรเกอรี่กำลังหารือทั้งกับวูจินและฮารีซันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อนส่วนลูกมังกรทั้งหลายก็ออกไป
เล่นสนุกกับพวกเด็กในเผ่า
เว้นแต่เพียงเอิธ์ทกับนิทินโคที่แยกตัวออกไปเอิธ์ทยังคงเสียใจที่ความคิดของตนเกือบจะทำให้ทุกคนถูกสังหารหมดแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้คิดหรือถือโทษ
โกรธเคืองเลยอะไรก็ตามเพราะเป็นเรื่องสุดวิสัย

ส่วน Lr หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นก็ได้ขอให้ชาว์ลสอนวิชาดาบให้กับตนเพื่อว่าจะได้ใช่ต่อกรกับศัตรูเพราะในหลายคืนก่อนนั้นเป็นเพราะศัตรูด้อยกว่า
จึงชนะมาได้แต่ก็สาหัสสากันเช่นกันด้วยเหตุนี้ Lr จึงได้คิดริเริ่มที่จะฝึกวิชาดาบโดยชาว์ลนำเอาไม้ในป่ามาทำดาบให้สำหรับใช้ในการฝึกซึ่งเขาเองก็เรียนรู้จากชาว์ลได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนนิทินโคก็บินไปเกาะที่กิ่งของมหาพฤกษาสายตามองไปยังฟ้ากว้างในใจครุ่นคิดถึงพ่อแม่อยู่ลึกๆ

ที่ลานหน้าบ้านบันดาราซึ่ง Lr ยังคงฝึกดาบอยู่กับชาว์ลเกรเกอรี่ที่เพิ่งคุยธุระเสร็จก็เดินลงมาจากบ้านตรงไปหาชาว์ล

“ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะกลับกันแล้วล่ะแล้วเธอจะเอายังไงล่ะ Lr  ”

เกรเกอรี่เอ่ยถามถึงกำหนดการซึ่งถูกเสนอไปเมื่อวันก่อนที่พวกเขาน่าจะตัดสินใจได้แล้ว

“ พวกเรายังไม่ตกลงกันครับว่าจะทำยังไงต่อไปดีหมู่บ้านมักรก็พังไปแล้วพวกพ่อแม่ของทุกคนก็โดนจับคัวไปตอนนี้ทุกคนคงจะยังสับสนกันอยู่ยิ่งกับเอิธ์ทที่ยังคิดเรื่องเมื่อคืนก่อนอยู่เลย ”

Lr ตอบน้ำเสียงเคร่งเครียดด้วยที่ว่าตอนนี้พวกเขาไร้ที่ไปเสียแล้วและยังไม่มีเป้าหมายด้วย
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรเกรเกอรี่ก็ชิงเอ่ยก่อนเขา

“ นี่ลูกมังกรตัวนั้นยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ”

เกรเกอรี่เอ่ยขึ้น

“ ครับเดิมทีเขาเป็นคน(ตัว)แบบนั้นอยู่แล้ว ”

Lr เอ่ยเสียงแผ่ว

“ ถ้ายังไงขอเวลาพวกผมอีกสักหน่อยนะครับ ”

Lr พูดขึ้นซึ่งเกรเกอรี่ก็ได้แต่พยักหน้ารับ

“ งั้นขอให้ได้คำตอบในวันพรุ่งนี้ก็ละกันนะ ”

เกรเกอรี่เอ่ยจบก็หันไปสนทนากับชาว์ลต่อ

“ ว่าแต่วันนี้ใช่ไหมที่ท่านนัดมาน่ะ ”
ชาว์ลเอ่ยถามเกรเกอรี่ถึงนัดหมายในวันนี้

“ อืมเห็ยว่าเขาจะมาตอนบ่ายๆน่ะ ”

เกรเกอรี่เอ่ยจบคาร์นที่พึ่งจะมาถึงก็เดินเข้าหาพวกเขา

“ น่ะกำลังพูดถึงอยู่เลย ”

เกรเกอรี่เอ่ยเสียงเรียบแต่ Lr เองก็อดที่จะขำกับท่าทางของพวกเขาไม่ได้

“ เอาล่ะเข้าไปคุยกันข้างในเถอะท่านฮารีซันรออยู่อ้อเจ้าจะมาด้วยก็ได้นะ ”

เกรเกอรี่กล่าวจบทั้งหมดก็เดินเข้าไปในบ้าน
เมื่อทุกคนพร้อมที่จะฟังคาร์นก็เอ่ยปากเล่าความทั้งหมด

“ เรื่องที่ข้าพูดวันนั้นเรื่องของเผ่าครึ่งสมิง ”

คาร์นเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยายามลำรึกเรียงลำดับเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต
หลายร้อยปีก่อนที่เขาจะเกิดซะอีกตั้งแต่ก่อนมหาสงครามสี่อาณาจักรหรือแต่ก่อนที่จะเกิดอาณาจักรซาโลมเสียอีกใช่แล้วมันเป็นเรื่องที่
นานมากแล้วซึ่งเล่าสืบทอดต่อๆกันมาในตระกูลของคาร์นเอง

เรื่องเล่าเกี่ยวกับศิลาวิเศษนั้นนอกจากศิลามังกรยังมีศิลาวิเศษอื่นๆอีกมากมายเล่าขานกันมาหนึ่งในนั้นศิลาแห่งจันทราก็เป็นเช่นเดียวกันมีอำนาจ
ที่จะควบคุมขุมพลังแห่งตนซึ่งว่ากันว่าผู้ครอบครองจะสามารควบคุมจันทราได้ซึ่งผู้สร้างมันขึ้นมาคือชนเผ่าครึ่งสมิงเดิมทีสมิงเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว
์อยู่แล้วซึ่งโดยส่วนใหญ่จะออกไปทางสัตว์มากกว่ามนุษย์แต่มีสมิงบางพวกที่เป็นมนุษย์และสามารถกลายเป็นสัตว์หรือสมิงได้ด้วยซึ่งนั่นก็คือครึ่งสมิงแม้เวลาปกติจะด

เหมือนมนุษย์แต่ก็ยังมีลักษณะทางสัตว์อยู่เหมือนกับสมิงแต่จะแสดงออกไปทางมนุษย์มากกว่าอย่างครึ่งสมิงหมาป่าแม้ร่างกายส่วนใหญ่เป็นมนุย์ก็ยังมีหูหางแบบหมาป่า
และนอกจากนี้พวกเขายังจำแลงกายเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆได้ด้วยและยังคงพูดอ่านได้อยู่แม้เป็นสัตว์ไปแล้วก็ตามอีกทั้งยังจำแลงกายเป็นสมิงเชกเช่นเดียวกับพวกเขา

แต่ด้วยความที่ว่าไม่ได้เป็นอะไรเลยซักอย่างเดียวทำให้พวกเขาเหล่ามองดูเป็นอสูรกายสำหรับมนุษย์และสมิงด้วยกันเองอยู่ดีพวกเขาจึงต้องแยกตัวออกจากโลกภายนอกแต่
แล้วอยู่มาวันหนึ่งพวกครึ่งสมิงก็ได้สร้างศิลาที่มีพลังในการควบคุมจันทราขึ้นมาแน่นอนพวกเขายังคงเป็นเผ่าที่มีพลังด้านมนตราเวทมนต์สูงด้วย

ซึ่งเผ่าสมิงที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกและรู้ถึงการมีตัวตนอยุ่ของพวกเขาด้วยความเกรงกลัวในพลังอำนาจจึงตัดสินใจที่จะโค่นสุดยอดเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งนี้ซะซึ่งการบุกจู่โจมโดยที่ไม่ทันตั้ง
ตัวทำให้พวกเขาต้องถูกฆ่าล้างจนหมดเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่หนีรอดไปได้
นั้นคือการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ครึ่งสมิงจนเวลาได้ล่วงเลยมาก่อนจะถึงปัจจุบัน 8 ปีได้

มีครอบครัวสมิงเข้ามาพวกเขามีลูกสมิง2พี่น้องคนโตอายุพอๆกับเด็กมนุษย์2ปีและคนน้องอายุ1ปีพวกเขาอาศัยอยู่ในเผ่าผ่านไป3เดือนความเรื่องที่พวกเขาแท้จริงเป็น
ครึ่งสมิงก็แตกบานปลายจนกลายเป็นการไล่ล่า
พวกเขาพาลูกน้อยหนีการตามล่าไปจนจะเข้าถึงเขตชายแดนของฟีเลเซียแต่พื้นที่แถวนั้นกำลังทำการรบกันอยู่ครึ่งสมิงโดนไล่ต้อนจนจนมุมหากไปต่อก็อาจต้องปะทะ

กับสงครามหากอยู่ต่อก็ต้องถูกพวกสมิงสังหารพวกเขาหมดทางหนีแต่แล้วกลุ่มคนที่วิ่งสวนมาทางพวกเขาพร้อมกับร่างของมังกรทมิฬก็ทำให้พวกสมิงต้องถอยกรูเข้าป่าไปพร้อมกับ
เจ้ามังกรทมิฬไล่หลังไปพวกเขารอดจากการถูกตามล่าแล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลย

“ .ในตอนนั้นข้าคิดว่าพวกเขาคงจะหนีหายไปแล้วแต่แล้วหลังจากนั้น1เดือนเราก็พบศพครึ่งสมิง2ตัวที่หน้าจะเป็นพ่อแม่ของเด็กที่เป็นลูกครึ่งสมิงพวกนั้นจริงๆแล้ววันนั้นข้าไม่ได้
อยู่ที่เผ่าจึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากนักได้แต่สอบถามจากพวกลูกเผ่าตระกูลของข้าเป็นผู้ที่คิดจะเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีต่อกันระหว่างสมิงกับครึ่งสมิงถ้าวันนั้นข้าอยู่ที่นั่นละก็เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้ ”

คาร์นกล่าวจบเขาก็เงียบไป Lr มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที

“ นี่หรือว่าสมิงที่เข้าจู่โจมพวกเราวันก่อนน่ะ ”

ชาว์ลกล่าวขึ้นทำให้ทุกคนหันมาสนใจกับคำพูดของเขาและความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง
ก่อนที่คาร์นจะเอ่ยขึ้น

“ ถ้าข้าจะบอกว่าศิลาจันทรานั่นคือเครื่องบ่งชี้ว่าสิ่งที่เจ้าคิดนั้นถูกต้องล่ะ ”
คาร์นเอ่ยขึ้น

..................
...................
............................
................................

ที่วิหารแห่งจันทรา

“ พร้อมแล้วนะคืนนี้พระจันทร์จะเต็มดวงอีกครั้ง ”

เด็กหนุ่มอายุราว9ปีเอ่ยขึ้นเด็กคนนั้นมีผมสีดำสนิทเหมือนเด็กทั่วไปแต่ทว่าเล็บของเขาแหลมราวราวกับเล็บของหมาป่าหูของ
เขาก็เช่นเดียวกันเป็นหูของหมาป่าด้วยเขาใส่กางเกงผ้าขายาวเนื้อสีดำเพียงตัวเดียวเท้าของเขามีเล็บของแบบเดียวกันกับหมาป่า
เขาแสยะปากเล็กน้อยเผยให้เห็นขี้ยวเล็กๆของเขาแววตาคนแข็งกร้าวราวสัตว์ป่า

“ ท่านพี่ครับการเตรียมการพร้อม ”

เด็กอีกคนที่ดูจะอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นเด็กนี้เป็นเช่นเดียวกับเขาเพียงแต่เขามีผมสีเงินพวกเขาเป็นพี่น้องแห่งเผ่าครึ่งสมิงนั้นเองครึ่งสมิง
คนพี่หันมาแล้วส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้ตามมาซึ่งคนน้องก็ทำตามแต่โดยดี
พวกเขาเดินออกจากห้องสีขาวที่ประดับด้วยหินใสที่ส่องประกายแสงอ่อนๆระยิบระยับไปยังทางเดินออกจากวิหารสู่ทะเลสาบลวงตาซึ่งเป็นทางออก

จากวิหารสู่ป่าแสงจันทร์ระหว่างทางหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของวิหารแอสต้าก็เดินสวนพวกเขา



“ นี่พวกเจ้าจะเอาจริงงั้นเหรอโลกใบนี้อาจจะไม่ได้เห็นรุ่งอรุณอีกเลยนะ ”

นางกล่าวทำให้ทั้งสองหยุดเดิน

“ นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำเพราะมันเป็นทางเดียวที่จะปกป้องพวกเราได้ครับ ”

ครึ่งสมิงคนพี่กล่าวเสียงเรียบสายตายังคงมองไปข้างหน้า

“ ปกป้องงั้นเหรอการปกป้องที่ต้องแลกกับชีวิตของผู้คนอีกนับล้านนี่เพื่อแค่พวกเรามันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ ”

นางขึ้นเสียงทำให้ครึ่งสมิงคนน้องหันกลับไปมอง

“ ครับ ”

ครึ่งสมิงคนพี่ตอบแค่นั้นแล้วก็ออกเดินต่อโดยครึ่งสมิงคนน้องตามไป

“ ท่านพี่ต้องแบกรับทุกๆอย่างเอาไว้เพื่อพวกเราแม้จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปชั่วนิรันดร์ก็ตาม ”

ครึ่งสมิงคนน้องคิดในใจขณะที่เดินตามไปเมื่ออกมาถึงข้างนอกวิหารข้างหน้าพวกเขาอสูรสมิงหมาป่านับพันที่พร้อมรบยืนเรียงรายอยู่คอยรับคำสั่งของ
เขาครึ่งสมิงคนพี่หันไปหาน้องชายของตนก่อนจะเอ่ย

“ ไม่ต้องคิดมากหรอกนี่ก็ถือเป็นการแก้แค้นของเราด้วยไม่มีใครอีกแล้วที่เราจะต้องห่วงใยนอกจากพวกเราอีกแล้วสำหรับอสูรอย่างเราคนอื่นคือศัตรู ”

ครึ่งสมิงคนพี่พูดจบก็หันกลับและหลับตาลงสักครู่ควันสีดำก็ค่อยๆพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาปกคลุมเขาไว้ก่อนที่ร่างของจะสูบควันสีดำเหล่านั้นกลับเข้า
ไปร่างของเขาเปลี่ยนเป็นสมิงหมาป่ากายสีดำ
คนน้องเห็นเช่นนั้นก็ทำตามควันสีเงินพวยพุ่งออกมาปกคลุมเขาเช่นกันก่อนจะสูบกลับเช้าไปเขากลายเป็นสมิงสีเงินอีกครั้งซิลเวอร์มูนน่ะเองเขาเป็นชนเผ่าครึ่งสมิงที่หายสาบสูญไป
สมิงคนพี่เดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับออกคำสั่งกับอสูรสมิง



“ ในนามของข้าชาโดว์มูน(Shadow Moon) 1ใน12เทพขุนศึกจากนี้ไปเราจะแผนการชิงฟอจูนทรี(Fortune Tree) ”
โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้าเอิธ์ทที่ยังรู้สึกผิดกับทุกคนจึงไม่ยอมที่จะตัดสินใจแต่ใดๆในขณะที่กองทัพของโฮลี่ไนท์แมร์กำลังคลืบคลานเข้ามาน่ะเองพลังของ
ทาลูคูสก็หายไปพวกเขาจะเป็นเช่นไรโปรดติดตามในตอนหน้า
บทที่ 12  ปฐพีคงอยู่ด้วยปัญญา

« Last Edit: June 13, 2008, 01:53:33 PM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #134 on: April 01, 2008, 07:06:35 PM »

ในที่สุด ตอนใหม่ก็ออกมา สวรรค์ทรงโปรด
หนุก  ทำหนังสือขายได้เลยนะเนี่ย
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #135 on: April 03, 2008, 04:51:33 PM »

ไม่ได้แต่งซะนานฝีมือตกไปพอสมควรเลยทุกทีแค่บทหนึ่ง 3 ชม.ต้องเสร็จแล้วแต่นี่
่ล่อเป็นวันเลยเฮ้อต้องฝึกใหม่ซะละขอบคุณที่ติดตามชมผลงานของผมนะครับแล้วจะรีบแต่งต่อให้ได้ชมกันต่อไปรออีกนิดนะ ;)
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #136 on: April 07, 2008, 05:20:23 PM »

Tip for dragonology  การ์ดตัวละครเสริม

หวัดดีค้าบสำหรับหัวข้อในวันนี้ของtip for dragonology คือการ์ดตัวละครเสริมนั่นเอง
แน่ล่ะว่าคุณๆทั้งหลายอาจจะงงว่าอะไรคือ การ์ดตัวละครเสริมงั้นผมจะอธิบายให้ฟัง
คือว่าในนิยายของผมนี้ทุกๆท่านคงได้เห็นแล้วว่าผมได้นำ เอาภาพการ์ดมาใช้ในการ์ดประกอบนิยาย
แต่ว่าภาพส่วนใหญ่จะมีแต่เหล่าตัวละครที่มีในซัมมอนเนอร์อยู่แล้วดังนั้น.ผมจึงได้ทำการสมมุติการ์ดตัว
ละครที่แต่งขึ้นมาเองบางส่วนโดยจะสังเกตได้จากแถบชุดของ การ์ดว่าจะเขียนว่า tip for dragonology
นั่นแปลว่าเป็นการ์ดที่ผมแต่งขึ้นเองเพราะฉนั้น
ลองทายกันเล่นๆดูนะครับส่วนคำตอบก็รอดูเอาในแต่ละบทละกันครับจะโพสตอบเล่นๆก็ได้นะครับถือซะว่าเป็นการช่วยไม่ให้กระทู้ตกยาวเกินไปอิอิ ;D
« Last Edit: June 13, 2008, 02:01:51 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #137 on: April 11, 2008, 05:31:40 PM »

เนื่องจากตอนนี้ยาวมากเลยจะตอบแยกกระทู้ครับ อาจจะเกะกะลูกกะตาไปหน่อยแต่ขอบอกเลยว่าตอนนี้สาระเยอะมาก


บทที่ 12  ปฐพีคงอยู่ด้วยปัญญา

ผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลของฟูดินันหลังจาก เหล่าสรรพสัตว์ผ่าน การดำรงชีวิตมาทั้งวันก็ถึงเวลาเปลี่ยน สรรพสัตว์บางตัวให้ออกหากินในยามนี้ รัติกาลได้มาเยือนอีกครั้งดวงจันทร์ในคืนนี้ขึ้น เต็มดวงอีกครั้งแต่ทว่ากลับส่องแสงสว่างมากกว่าปกติราวกับเป็น สัญญาณเตือนว่าคืนนี้พลังของจันทราได้มีมากที่สุด
เสียงของเหล่าสรรพสัตว์ในคืนนี้ต่างออกไปจากทุกคืนพวกสัตว์ต่างไม่ หลับนอน เอาแต่ส่งเสียงโหยหวน จนลั่นป่าทำให้คืนนั้นทุกเผ่าในอาณาจักรฟูดินันต้องจัดเวรยาม
อย่างหนาแน่นกว่าปกติด้วยเกรงว่า พวกสัตว์อาจคุ้มคลั่งแล้วเข้าโจมตีเอาได้
  ณ เพิงพักพิงที่หน้าบ้านบันดาราพวก Lr ตอนนี้เขาและเหล่าลูกมังกรกำลังประชุมหารือบางอย่างอยู่รอบ
กองไฟ

“ ตกลงพวกเราจะทำยังไงต่อไปดี ”
Lr ถามทุกคนทันทีที่เสียงของ Lr ดังขึ้นดราก้อนฮอลลี่(dgh)ก็เปลี่ยนคลื่นความถี่ของเสียงของเขาทำให้ลูกมังกรฟังเป็นภาษามังกรดังนั้นการสนทนาจึงไม่ติดขัดแต่อย่างใด

“ แล้วเรามีทางเลือกไหนบ้างล่ะ ”
เฟินกอลโลแย้งถามขึ้นมาเสียงของเขาถูกdghแปลงความถี่จน Lr ได้ยินเป็นเสียงมนุษย์เช่นเดียวกัน

“ 3 ..จริงๆแล้ว 2 ทางเลือกน่ะ ”
Lr พูดด้วยความไม่แน่ใจแต่เขาก็ก็เอ่ยต่อทันที

“ ทางเลือกที่1 เราจะเดินทางไปกับพวกท่านบิชอปและทางเลือกที่ 2 พวกเราจะอยู่ที่ฟูดินันนี่ต่อก็ได้เพราะคุณฮารีซันอณุญาติให้เราอยู่ในเผ่าของเขาต่อไปนานเท่าไหร่ก็ได้.. ”
Lr กล่าวยังไม่เสร็จดีเสียงของนิทินโคก็ดังแทรกขึ้นมา

“ แล้วทางเลือกที่สามล่ะ ”
คำพูดของนิทินโคทำให้เขาอ้ำอึ้งไปซักครู่ก่อนจะถอนหายใจล้วตอบคำถาม

 

“ นั่นคือพวกเราตัดสินใจออกเดินทางกันเองโดยจะไปทำอะไรก็แล้วแต่เรา ”
Lr กล่าวจบทุกคนก็เงียบไปต่างครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไรดีเพราะไม่ว่าจะทางไหนๆก็ไม่ใช่หนทางที่ดีเลยหรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตอนนี้พวกเขาจนแต้มจริงๆเพราะ2ทางเลือกแรกอาจทำ
ให้พวกเขาไม่ได้พบหน้าครอบครัวอีกเลยแต่การออกเดินทางเองสำหรับพวกเขาที่ไม่มีที่จะไปแม้แต่เส้นทางก็ไม่รู้คงเป็นไปไม่ได้

“ งั้นพวกเรารอ อยู่ที่ฟูดินันก่อนไหมล่ะรอให้ มีหนทางก่อนค่อยคิดกันอีกที ”
วิลเสนอขึ้น

“ แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะถ้ารออยู่ที่นี่จะต้องรอถึงเมื่อไหร่ล่ะมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากตอนนี้เลยนะ ”
นอฟฮอฟกล่าวซึ่งคนอื่นๆก็เห็นด้วยกับที่นอฟฮอฟพูดหากรอ อยู่ที่นี่พวกเขาก็คงไม่ได้ข่าวสารอะไรอยู่ดี



“ แล้วจะให้เดินทางไปกับพวกกองกำลังเหรอถึงอาจจะพอได้ข่าวสารบ้างก็เถอะแต่ก็เป็นเพียงแค่ความเป็นไปได้เองนะดีไม่ดีอาจจะต้องไปเสี่ยงอันตรายเหมือนที่ผ่านๆมาด้วยนะ ”
ไลท์กล่าวที่ประชุมจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งความกลัดกลุ้มเริ่มเข้าปกคลุมอีกครั้ง
แต่แล้วทุกคนก็หันไปทางเอิธ์ทที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่



“ เอิธ์ทนายจะไม่ออกความเห็นหน่อยเหรอ ”
Lr พูดสีหน้ากับน้ำเสียงแสดงออกถึงความเห็นใจแต่เอิธ์ทก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใดทำให้สถาณการตึงเครียดกว่าเดิมซะอีก นิทินโคจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปทางเอิธ์ทเขาเดินผ่านไปแล้วหยุดเดินเขาหลับตาลงก่อนจะพูดขึ้น

“ นายน่ะยังคิดมากเรื่องนั้นสินะ ”
นิทินโคพูด



“ หากฉันออกความเห็นไปแล้วมันอาจจะเป็นอันตรายกับคนอื่นอีกก็ได้ ”

เอิธ์ทกล่าวน้ำเสียงหงอยๆ Lr พยายามจะเข้าไปปลอบใจเขาแต่แล้วนิทินโคก็พูดขึ้นมาอีกครั้งทำให้ Lr ต้องชะงักไป

“ งั้นไม่ลองปรึกษาดูหน่อยเหรอกับเพื่อนลุงของนายน่ะ หึ ”

นิทินโคพูดจบก็เดินออกไปจากกลุ่มก่อนจะบินหายไป
คำพูดของนิทินโคทำให้เอิธ์ทดูเหมือนจะนึกอะไรออกเขาจึงบินออกไปจาก กลุ่มอีกคนโดย
ตรงไปทางเขาคีรีบันดาโดยที่พวกเขาไม่ทันที่จะห้าม

“ งั้นเดี๋ยวฉันจะตามไปนะปล่อยเขาไว้ไม่ได้หรอก ”

วิลพูดจบก็สยายปีกเตรียมบินแต่ก็ถูก Lr ห้ามไว้

“ ปล่อยให้เขาได้มีเวลาเป็นของเขาซักพักเถอะ ”

Lr กล่าวจบเสียงตะโกนจากหน่วยเวรยามก็ดังลั่นมาจากป่า

“ และดูเหมือนว่าเราเองจะมีเรื่องที่ต้องทำด้วยแล้วล่ะ ”
Lr กล่าวเสียงเข้มขึ้นทันทีก่อนที่ทั้งหมดจะพากันออกไปดูสถานการณ์


นิทินโคที่บินออกไปก่อนเขาบินไปทาง มหาพฤกษาโดยไม่ได้สนใจถึงสิ่งรอบตัวเขาเลยว่าบัดนี้
ดวงจันทร์ที่ยังคงสาดแสงอยู่เมื่อครู่แยกออก เป็นสองดวงแล้วดวงหนึ่งสีครามส่วนอีกดวงเป็นสีเลือด
เสียงโหยหวนของบรรดาอสูรสมิงที่เคยบุกเข้าโจมตี เมื่อคืนก่อนดังกึกก้องไปทั่วป่านิทินโคบินขึ้นสูงสู่ยอดลำต้นของมหาพฤกษา
เขาบินขึ้นมาจนสูงที่สุดเท่าที่เขาจะบินได้เขานั่งลงบน กิ่งของมหาพฤกษาแล้วทอดสายตาเหม่อมองไปทางทิศที่อาณาจักรซาโลมตั้งอยู่

“ รีบไปสมทบกับกองทัพของฟูดินันก่อนพวกศัตรูมันจะบุกมาเร็ว ”
แม่ทัพกองกำลังต่อต้านกำลังออกคำสั่งให้พลทหาร ทั้งหมดที่เหลือไปสมทบกับกองทพของฟูดินัน
ทหารนับพันซึ่งถูกลำเลียงอย่างเป็นแถวจากค่ายพัก ที่พวกเขามาสร้างเอาไว้ชั่วคราวสู่มหาพฤกษา

เอิธ์ทซึ่งบินไปทางภูเขาคีรีบันดาที่ยังหลงเหลืออยู่เขาบิน ลึกเข้าไปในหุบเขาจนถึงใจกลาง
เสียงคำรามแสบแก้วหูดังมาจากส่วนลึกของหุบเขาพร้อม กับการปรากฏตัวของมังกรสองหัวผู้พิทักษ์แห่งคีรีบันดาไพทอน ( Python, the Guardian Dragon )



“ กีซซซซ ” (ท่านไพทอน)
เอิธ์ทเรียกด้วยน้ำเสียงสนิทสนมทำ ให้ไพทอนหันมาทางเขามันตรงเข้าหาเค้าเอิธ์ท
ไม่รอช้าเขารีบบินโผ เข้าหาทันทีซึ่งไพทอนก็มีกิริยาแปลกใจเล็กน้อยที่หลานของเพื่อน
มาหาเค้าในยามวิกาลเช่นนี้เพื่อไม่ให้เสียเวลาไพทอนจึงเอ่ยถาม

“ ฮูมมมมม ” (หลานเอ๋ยเจ้ามาทำไมรึ แล้วพ่อของเจ้าล่ะลุงของเจ้าล่ะเขาไม่ได้มาด้วยเรอะ)
ไพทอนคำรามเสียงต่ำแต่คำถามของ เขากลับได้รับคำตอบเป็นเพียง เสียงร้องไห้และน้ำตาของลูกมังกรเท่านั้น
ไพทอนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย และตัดสินใจรอให้เขาพร้อมที่จะ บอกจึงโอบกอดเอิธ์ทเอาไว้ด้วยแขนและปีกทั้งสองข้าง

“ ฮูมมฮูมมม ”(โอ๋โอ๋นิ่งซะนะหลานรักนิ่งซะ)
ไพทอนพยายามปลอบใจเขา

“ ฮูมมมมม ” (นี่คงเจอเรื่องมาเยอะเลยสินะ)
อีกหัวของไพทอนกล่าวพร้อมกับมองดูเอิธ์ทด้วยความเอ็นดู

..............................
............................
.......................


ที่หมู่บ้านตอนนี้ทุกเผ่า ต้องป้องกันเผ่าของตนจากกองทัพสมิงอสูรนับร้อย
โดยคราวนี้หาได้มีสมิงอสูรรูปร่างหมาป่าไม่หากแต่มีอสูรสมิงราชสีห์ และ เสือกระทั่ง การูด้าสีดำทมิฬ
เองก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยไม่เว้นแต่ เหล่าครุฑที่อาศัยอยู่บนยอดมหาพฤกษา เองก็ยังไม่ต้านทานกองทัพอสูรเหล่านี้ได้เลย เหบ่าสัตว์อสูรพวกนี้คึกคะนองมากกว่าการบุกครั้งก่อนนักอีก ทั้งสภาพป่าบางส่วนเริ่มเป็นน้ำแข็ง
ทำให้บางส่วนที่สู้กันอยู่ก็ถูกแช่แข็งไปบ้างก็มี

ที่ใต้ต้นของมหาพฤกษา การรบเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะนอกจากกองทัพอสูรสมิง มารัคมังกรพิทักษ์มหาพฤกาเองก็ยังออกอาละวาดอย่างคึกคะนองที่กลาง สนามรบนั้นเอง
ทั้ง Lr และเหล่าลูกมังทั้งสี่ได้แก่นอฟฮอฟ เฟินกอลโล ไลท์ และวิล กำลังช่วยกันต่อสู้ร่วมกับชาว์ล
ที่ต้องคอยปกป้องเกรเกอรี่และผู้เฒ่าวูจินไว้ ส่วนฮารีซันเองก็ต้องออกไปบัญชาการรบร่วม กับแม่ทัพแห่งกองกำลังต่อต้าน

“ ไม่หมดซะทีมันมากันเรื่อยๆเลย..แฮ่ก..แฮ่ก ”
Lr พูดขึ้นด้วยความเหนื่อยออ่นจากการต่อสู้ทันทีที่เขาพูด จบสมิงตัวหนึ่งก็เข้าทำร้ายเขาแต่เขาก็
ย่อตัวหลบได้ทันและตวัดดาบในมือฟันใส่สมิงตนนั้นจนล้มลง ก่อนจะสลายไปราวกับควัน
แต่ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวชาว์ลก็ถูกรุมล้อมไปด้วยสมิงราชสีห์ และเหล่าการูด้าสีดำเขาพยายาม จะสู้ด้วยความเร็วแต่ก็ไม่อาจตามทันการูด้าพวก
มันเร็วกว่าเขาแขนของเขาทั้งสอง ข้างถูกการูด้าจู่โจมจนบาดเจ็บสาหัส
ดาบของเขาลงกับพื้นตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไร้ทางสู้ก่อนที่สมิงราชสีห์ จะทันขยี้ร่าง ของเขา
เงาของสิ่งมีชีวิตก่อนพุ่งออกมาจากพงไม้ตรงไปยังเขามันกระโจน ขึ้นไปตะปป เจ้าสมิงจนล้มลงและสลายไปในที่สุดร่างนั้นคือราชสีห์สีขาว
แองโกลิอ้อนเทพแห่งพงไพรผู้เป็นจิตวิญญาณแห่งผืนปฐพีนั่นเอง



    ที่บนฟ้านิทินโคเองพยายามจะบินหนีลงมายังเบื้องล่างจากการตาม ล่าของเหล่าการูด้าทมิฬ
        อย่างสุดชีวิต

“ ก็าซซ ” (ชิสลัดไม่พ้นเลยตามตื้อจริง)
นิทินโคกล่าวอย่างหัวเสียแต่ก่อนที่เขาจะทันคิดอะไรร่างของ เกลการูด้า(Gale Garuda)  อีกตัวก็ถูกซัดปลิวมาชนเขาจนหมดสติร่วงลงมา



“ กีซซ ” (นิทินโค)
เสียงของเฟินกอลโลดังขึ้นก่อนที่ร่างของ เขาจะตกลงมาตอนนี้เขาถูกเฟินกอลโล
รับเอาไว้จากการตกลงมาแต่ไม่ทันที่จะ ได้พูดอะไรเขาก็ผลักมือของเฟินกอลโลออก
ก่อนจะกระชากปีกของเฟินกอลโลตามมา เพื่อหลบวิถีลำแสงจากพระจันทร์สีคราม
แสงนั้นพุ่งลงไปตรงหน้าพมหาพฤกษาพอดีกับที่พวก Lr ถูกแองโกลิอ้อน
คาบออกมาจากรัศมีโดยมีชาว์ลที่ใช้แรง ที่เหลือทั้งหมดแบกเกรเกอรี่ออกมาด้วย

“ ก็าซซซซ ” (นี่นายจะมาช่วยชั้นหรือมาให้ชั้นช่วยกันแน่เนี่ย)
นิทินโคกล่าวหยอกๆแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการขำขันแต่อย่างใด

“ กีซซซ ” (จะขอบคุณดีมั้ยนี่)
เฟินกอลโลโต้กลับแต่ก็ไม่มีเวลา ให้พวกเขาได้ใส่ใจอีกแล้วเมื่อพื้นเบื้องล่างเหล่านักรบทั้งหมด
แม้กระทั่งศัตรู กลับกลายเป็นน้ำแข็งกันหมดเหมือนในคืนก่อน

“ จะทำยังไงดีนี่ถ้าเอิธ์ทอยู่ด้วยละก็... ”
Lr ยังไม่ทันจะขาดคำ สมิงสีเงินก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาไม่ใช่ใครนอกจาก
ซิลเวอร์มูนมัน มองมาทางพวกเขาด้วยสายตาที่ เยือกเย็น

“ ก...แก ”
เสียงของไลท์ที่ดังขึ้นถูก dgh แปลออกมา ทำให้ซิลเวอร์มูนนั้นรู้สึกแปลกใจนิดๆ

“ แกพูดได้ด้วยรึ ”
ซิลเวอร์มูนถามแต่ก็ได้รับคำตอบเป็นเพลิงสีขาวแทนพวกลูกมังกรพยายามช่วยกันโจมตีสุดความสามารถ
« Last Edit: August 31, 2008, 08:44:02 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #138 on: April 11, 2008, 05:41:06 PM »

นิทินโคเองก็พ่นเปลวเพลิงลงมาพร้อมกับผลึกน้ำแข็งทรงกลมขนาดใหญ่ของเฟินกอลโล

“ :Silver Claw ”
สิ้นเสียงการโจมตีทั้งหมดก็ถูกสวนกลับไปพวกลูกมังกรและ Lr ต่างก็โดนคลื่นพลัง
กระหน่ำซัดจนไปบาดเจ็บ ซิลเวอร์มูนก้าวเข้าใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ

“ อึก หนอย ”
Lr กัดฟันฝืนลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวดแต่แล้วเขาก็ถูกซิลเวอร์มูนทุบหลังจนล้มลงไป
ซิลเวอร์มูนหันไปด้านหลังก่อนจะตะโกนออกมา

“ ท่านพี่ทางนี้จัดการเสร็จแล้วมาได้เลย ”
สิ้นเสียงเงาสองเงาก็เดินเข้ามาเมื่อร่างของทั้งสองปะทะกับแสงจันทร์เผยให้เห็นร่างของผู้มาเยือนทั้งสอง
ร่างหนึ่งคือแบล็คไวเซอร์ และอีกร่างคือสมิงขนสีดำที่สูงกว่าซิลเวอร์มูนซึ่งน่าจะเป็นคนที่ซิลเวอร์มูนเรียกเมื่อซักครู่

“ ที่เหลือแกจัดการละกัน ”
สมิงสีดำหันไปพูดกับแบล็คไวเซอร์ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะลอยตัวขึ้นไปแล้ว
เริ่มร่ายเวทย์ซักพักก็เกิดแสงสว่างลอยออกมาจากลำต้นของมหาพฤกษาแสงนั้นทำให้ มังกรมารัคหันมาสนใจก่อนที่จะตรงมาทางพวกเขา



“ ชิ ”
แบล็คไวเซอร์อุทานออกมานิดๆ



“ ไม่ต้องสนใจเดี๋ยวข้าจัดการเอง ส่วนน้องเฝ้าที่นี่ไว้นะ ”
สมิงสีดำเอ่ย


“ อย่าให้มันมาขวางระหว่างที่กำลังดูดพลังชีวิตนะ ชาโดว์มูน ”
แบล็คไวเซอร์เอ่ยเตือนให้แก่สมิงตนนั้น



“ ช..ชาโดว์มูนเหรอหรือว่าแก... ”
Lr เอ่ยขึ้นโดยพยายามจะนึกว่าเคยได้ยินมาจากไหน

“ ใช่อย่างที่ข้าเคยบอกไงชาโดว์มูนหัวหน้าของข้าและเป็นพี่ของข้าด้วย 1ใน12เทพขุนศึกชาโดว์มูน ”
ซิลเวอร์มูนตอบทำให้ความสงสัยของเขาหายไปใช่แล้วซิลเวอร์มูนที่เป็นคนบอกเขาไว้เมื่อครั้งก่อน

“ หึถ้างั้นก็ยิ่งปล่อยเอาไว้ไม่ได้ใช่มั้ย...ไลท์ ”
Lr กล่าวซึ่งไลทืที่พึ่งได้สติก็ พยักหน้าเป็นเชิงตอบกลับสิ้นคำ dgh ก็ส่องแสงสว่างจ้าสีขาวออกมา
แสงสว่างหันเหความสนใจของเหล่า การูด้าทมิฬ พวกมันทั้งหมดหันมาโจมตี
พวกเขาแทนแต่ก่อนที่จะถึงตัวทั้งสองก็รวมร่างเป็น ทาลูคูส เรียบร้อยแล้ว

“ Great of Dragon ” (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร)
ไม่รอช้า ทาลูคูส รีบตวัดดาบเป็นกากบาทเหมือนครั้งก่อนๆคลื่นดาบทรงตัวอยู่ในอากาศก่อนเขา
จะหมุนตัวฟาด ดาบตัดกลางกากบาทนั้น คลื่นพลังพุ่งตรงออกไปก่อนจะเปลี่ยนรูปเป็นมังกรพลังงาน
พุ่งตรงเข้าทำลายเหล่าการูด้าทมิฬทั้งหมด ทันทีที่คลื่นพลังปะทะ พวกมันมอดไหม้สลายไป

ทาลูคูสตวัดดาบลงอีกครั้งทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น มังกรพลังงานก็เปลี่ยนทิศไปตามทางที่ดาบตวัดไป
พุ่งตรงเข้าเล่นงานอสูรสมิงที่ยังหลงเหลืออยู่จนหมดก่อนที่ทาลูคูส จะเบนทิศทางไปยังแบล็คไวเซอร์

ทาลูคูส ตวัดดาบอีกครั้งคลื่นพลังงานพุ่งเข้าหา แบล็คไวเซอร์ อย่างรวดเร็วรุนแรง
แต่ทว่าซิลเวอร์มูนก็เอาตัวเข้ามาขวางไว้มันเตะมังกรพลังงานจนมันแตกสลายราวกับกระจกทันทีที่ชาโดว์มูนเห็นดังนั้นมันจึง
็กระโจนตัวไปเตะ มังกรมารัค จนล้มโครมสร้างความประหลาดใจให้พวกเขาเป็นอันมาก

“ ไม่น่าเชื่อมันแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก ”
ทาลูคูสอุทานออกมาเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

“ หึเป็นเพราะจันทราสีเลือด(Bloody Moon) ไงล่ะที่ทำให้พวกเรามีพลัง ”
ซิลเวอร์มูนตอบ



“ เพราะอย่างนี้สินะพวกสมุนของแกถึงได้คึกคะนองเป็นพิเศษ ”
เกรเกอรี่กล่าวสายตาจ้องมองไปที่ซิลเวอร์มูน ซึ่งมันมองตาของเขาอยู่ซักครู่ก่อนจะตอบ

“ ถูกต้อง ”
ซิลเวอร์มูนกล่าวลอยๆ เกรเกอรี่ซึ่งตอนนี้ใจเขามีแต่ความรู้สึกหวั่นๆว่าสิ่งที่เขาจะถามต่อไปนี้
จะถูกตอบว่าอย่างไรแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องรู้ เขาจึงตัดใจแล้วถามขึ้นมา

“ แล้วพวกแกเห็นลูกสมุนเป็นอะไรทำไมถึงได้ปล่อยให้โดนอำนาจจากดวงจันทร์ทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าล่ะเมื่อครั้ง
ก่อนพวกเจ้าก็แช่แข็งพวกเราพร้อมกับพวก ของเจ้าครั้งนี้ยังทำให้พวกมันคึกคะนองจนแทบเป็นบ้ากับพลังที่มากเกินซ้ำยัง
แช่แข็งเหมือนครั้งที่แล้วอีกสำหรับพวกแกแล้วลูกน้องสมุนรับใช้คืออะไรกันแน่ ”

เกรเกอรี่ กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอยู่เนืองๆเพราะการกระทำอันน่าสมเพช ที่เขาได้เห็นมาจากพวกนั้นมานับไม่ถ้วน แต่แล้วคำถามของเขาดูจะทำให้อีกฝ่าย งุนงง เสียมากกว่าแต่แล้วแบล็คไวเซอร์ก็หัวเราะในลำคอ
ก่อนจะหันมากล่าวกับเขา

“ หึๆๆ อะไรกันนี่เจ้าห่วงเจ้าพวกนี้ด้วยหรือหึๆๆยัง เป็นคนดีไม่เปลี่ยนเลยนะ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวไปหัวเราะไปด้วยความขบขัน ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น

“ พวกมันไม่ใช่อสูรจริงๆ แต่เป็นพลังของข้าต่างหากมันเกิดจากพลังของข้า ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวก่อนจะดีดนิ้วเป็นสัญญาณ จากนั้นวิหกโลกัณฑ์คู่ใจของเขาก็บินมาขนของมันถูก
ถอนออกจนดูเบาบางไปมาก มันบินไปเกาะที่ไหล่ของเขา

“ เห็นนี่ไหมขนของเจ้านี่น่ะมีพันธุกรรมสัตว ์อสูร สถิตย์อยู่หากนำมันมาใช้ร่วมกับวัตถุที่เกิดจากพลังเวทย์ล่ะก็มันก็จะกลายเป็นสัตว์อสูร ”
ว่าแล้วแบล็คไวเซอร์ก็ไม่รอจัดแจงถอนขนของมันออกมา1เส้นก่อนจะสร้างลูกบอลเวทย์สีดำแล้วสอดมันลงไป
แล้วโยนออกมาลูกบอลที่ถูกขนเสียบ ไว้แตกระเบิดออกพร้อมกับควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาเป็นการูด้าทมิฬ
มันพุ่งตรงเข้าทำร้าย เกรเกอรี่ แต่ทาลูคูสก็ตวัดคลื่นดาบวงจันทร์ออกไปสกัดไว้ได้ก่อนจะทำลายมัน

แองโกลิอ้อนพยายามกระโจนเข้าใส่แบล็คไวเซอร์แต่แล้วมัน ก็ถูกวิหกโลกัณฑ์เข้ามาขวางไว้
ซิลเวอร์มูนจึงเริ่มบุกต่อทำให้ทาลูคูสต้องคอยรับมือ ส่วนชาโดว์มูนยังคงจัดการกับมารัคอยู่ ทำให้
แบล็คไวเซอร์สามารถทำพิธีต่อไปได้ ในตอนนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย

..................
...................
………….

“ ฮูมมมมมม ” (เอาล่ะจากที่ลุงฟังนะ ตอนนี้เธอกำลังวิตกกังวลอยู่สินะว่าการตัดสินใจของหลานจะทำให้ทุกคนได้รับอันตราย)
ไพทอนกล่าว เอิธ์ทไม่ได้ตอบแต่อย่างใดได้เพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าใช่
อีกหัวของไพทอนก็เข้ามากล่าวกับเขา

“ ก็าซซซซ ”(แล้วพวกเขาว่าอะไรหลานหรือเปล่าล่ะ)
ไพทอนอีกหัวกล่าวเสียงแหบ เอิธ์ทส่ายหน้าแล้วเอ่ยปากขึ้นมา

“ กีซซซซซ ”(ไม่ครับ ทุกคนไม่ได้ว่าอะไรที่จริงพวกเขาแทบจะไม่ได้สนใจเสียด้วยซ้ำ)
เอิธ์ทกล่าวเสียงอ่อยๆ ทำไพทอนทั้งสองเงียบไปสักพักก่อนที่อีกหัวจะหันไปกล่าว

“ ฮูมมมมมมมมมม ”(แล้วหลานจะมาคิดมากอีกทำไมล่ะ)
ไพทอนกล่าวด้วยความสงสัย

“ กีซซซซซซ....กีซซซ ”(ที่จริงผมกลัว....กล้วที่จะแสดงความคิดเห็นเพราะความคิดของผมเลยทำให้ทุกคนต้องเจอกับอันตราย)
เอิธ์ทกล่าวอย่างสะอึกสะอื้นจนเม็ดน้ำตาเล็ดออกมาทำให้ไพทอนอีกหัวต้องเข้ามาปลอบไม่ให้เขาร้องไห้อีก

“ ก็าซซซซซ ”(แล้วหลานทำดีที่สุดหรือยังล่ะ)
อีกหัวของไพทอนกล่าวเสียงแหบ เอิธ์ทเอามือปาดน้ำตาก่อนจะตอบ

“ กีซซ...กีซซซซ ”(ครับ... ผมพยายามเต็มที่แล้ว)
เอิธ์ทกล่าวแม้น้ำเสียงจะยังดูเหมือนติดอยู่ในลำคอ

“ ฮูมมมมมม ”(งั้นหลานก็ไม่ผิด หลานทำเต็มที่แล้ว แล้วหลานจะมาโทษตัวเองอยู่ทำไมล่ะ)
ไพทอนกล่าว ซึ่งอีกหัวก็พยกหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

“ ก็าซซซซ ”(หลานไม่ต้องกลัวนะ การแสดงความคิดเห็นไม่ใช่สิ่งผิดมันขึ้นอยู่กับตัวเว่าจะใช้มันไปในทางใด)
ไพทอนอีกหัวกล่าว
“ กีซซซซ ”(จริงเหรอครับ)
เอิธ์ทถามเพื่อความแน่ใจ

“ ฮูมมมมมมมมมมม ”(ถูกต้องแล้วหลานเอ๋ยทุกคนย่อมจะต้องเคยผิดพลาด แต่เมื่อผิดพลาดแล้วก็ต้องแก้ไข)
ไพทอนกล่าวอีกหัวของเขาก็ช่วยกล่าวเสริมให้ด้วย
“ ก็าซซซซซซซ ”(หากทำผิดแล้วแก้ไขย่อมดีกว่าการไม่ยอมทำอะไรเลยแล้วต้องมาเสียใจภายหลัง)
ไพทอนอีกหัวกล่าวเสียงแหบ สีหน้าของเอิธ์ทเริ่มดูดีขึ้นเขาหันไปกล่าวกับทั้งสอง
“ กีซซซซซซซซซซ ”(งั้นผมก็ไม่ควรที่จะปิดกั้นตัวเองสินะครับ ใช่แล้วการลงทำนั้นดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยผมเกือบจะลืมเรื่องไปเสียแล้ว)
เอิธ์ทกล่าวเสียงร่าเริงบัดนี้ความกังวลในใจเขาได้จางหายไปจนสิ้นเขากลับมาเป็ดังเดิมแล้ว
ซึ่งนั้นทำให้ไพทอนทั้งสองส่งยิ้มอย่างสบายใจออกมา

“ ฮูมมมมมมมมมม ..... ก็าซซซซซซซ ”(เข้าใจแล้วสินะหลานรักอย่างหลานต้องทำได้อยู่แล้ว.....ใช่ก็หลานเป็นคนเก่งออกนี่เนอะ)
ไพทอนทั้งสองกล่าวทำให้เอิธ์ทหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“ ฮูมมมมมม ”(ว่าแต่หลานรีบไปเถอะเพื่อนๆของหลานกำลังรอ อยู่นะ)
ไพทอนกล่าวแล้วชี้ไปทางมหาพฤกษาที่บัดนี้แสงจากการปะทะส่องวาบไปมา ไปทั่ว
“ กีซซซซซซซ ”(อ้ะจริงด้วยทุกคนกำลังแย่ผมต้องไปแล้วขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับคุณลุงลาก่อน)
เอิธ์ทขณะที่กำลังจะบินออกไป ซึ่งไพทอนก็เดินออกไปส่งเขาที่หน้าหุบเขาก่อน
“ ฮูมมมมมมมมม...ก็าซซซซซซซซซซ ”(พยายามเข้านะ......รักษาตัวด้วยล่ะฝากไปสวัสดีลุงของหนูด้วยนะ)
ไพทอนคำรามก่อนที่เอิทธ์จะบินหายลับไป อีกหัวของไพทอนหันมาหา
“ ก็าซซซซซ ”(คิดว่าหลานจะทำได้ไหม)
อีกหัวกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ ฮูมมมมมมมม ”(ไม่เป็นไรหรอกเขาต้องทำได้ก็เขาเป็นหลานของเจ้านั่นนี่นา เฮอะๆๆ)
ไพทอนกล่าวจบก็เดินกลับเขาไปในหุบเขา
« Last Edit: August 31, 2008, 08:54:29 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #139 on: April 11, 2008, 05:44:43 PM »

.....................
...........................
................................

“ อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อ แสงที่ส่องออกมาจากลำต้นเริ่มจางลงลูกพลังงานสีขาวซึ่งอยู่ในมือของเขากำลังส่องแสงมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้าน ทาลูคูสเอง ก็ยังคงต่อกรกับซิลเวอร์แม้จะมีพวกลูกมังกรมาช่วย
แต่ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรซิลเวอร์มูนได้ ส่วนชาโดว์มูนเองก็ยังคงปะทะกับมารัคอย่างไม่ว่างเว้น
ซึ่งมารัคเองก็ไม่อาจจะต้องตัวของเขาได้สักนิดเดียวแต่กลับเป็นฝ่ายถูกโจมตีอยู่ ฝ่ายเดียว
แอนโกลิอ้อนยังคงวุ่นกับการไล่กัดวิหกโลกัณฑ์ที่บินล่อมันไว้ ซึ่งเกรเกอรี่และชาว์ลทำได้เพียง
แต่ดูเหตุการณ์ตรงหน้าเพียงอย่างเดียวพร้อมกับหวังว่าทุกอย่างจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้

“ ฮูมมมมมมมม ”(อ็าคคคคคคค)
มารัคคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดทันทีที่มันถูกชาโดว์มูนเตะส่งมาจนล้ม
โครมอยู่ข้างๆพวกเกรเกอรี่ก่อนจะยันตัวลุกมามันมองไปทางทาลูคูส

“ ฮูมมมมมม ”(นี่เจ้าน่ะ)
มันคำรามเรียกทาลูคูส ทำให้เขาหันไปแต่ซิลเวอร์มูนเองก็อาศัยจังหวะนั้นเข้าโจมตีแต่ ก็ยังคงเอาดาบรับไว้
ทันก่อนจะพลักจนซิลเวอร์มูนกระเด็นออกไปก่อนจะหันไปอีกครั้ง
“ ท่านเรียกข้ารึ ”
ทาลูคูสกล่าว มารัคพยักหน้าตอบ
“ ฮูมมมมมมมม ”(ใช่ข้าเรียกเจ้า วิธีที่จะหยุดยั้งพวกมันไม่ให้เอาพลังชีวิตของต้นไม้ไปคือเจ้ากับข้าต้องร่วมกัน)
มารัคคำรามเสียงอ่อนๆ ซึ่งนั้นทำให้พวกลูกมังกรหันมาสนใจได้ไม่นานนักพวกเขาก็ต้องปะทะ
กับซิลเวอร์มูนอีก แต่มารัคก็เข้ามาช่วยไว้โดยฟาดหางใส่มันจนกระเด็นไปแต่ชาโดว์มูนก็พุ่งไปรับตัวซิลเวอร์มูนไว้

“ วิธีที่ท่านว่าคืออะไร ”
ทาลูคูสเริ่มต้นสนทนาดดยเร่งรีบด้วยว่าสมิงทั้งสองกำลังตรงมาทางพวกเขซึ่งลูกมังกรเองก็ได้เข้าไปต้านเอาไว้แต่คงได้ไม่นานนัก

“ ฮูมมมมมมมมมมมมม ”(พลังของข้าคือการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ข้าจะส่งพวกมันออกไปให้ไกลจากที่นี่ตามันจะต้องใช้เวลาสะสมพลัง เจ้าพอจะช่วยล่อมันไว้ได้ไหม)
มารัคกล่าวจบยังไม่ทันจะได้คำตอบพวกเขาสองคนก็ถูกสิมงสองพี่น้องเข้าโจมตีโดยทั้งสองถูกลูกเตะกระเด็นล้มลงพวกลูกมังกรซึ่งถูกซัดอย่างต่อเนื่องทำให้พวกเขา แทบไม่มีแรงพอจะขยับแล้วได้แต่นอนกองอยู่กับพื้น
“ ชิถ้าพวกเราเองก็จะสู้กันไม่ไหวแล้วนี่ถ้าเอิธ์ทอยู่ด้วยละก็ ”
ทาลูคูสกล่าว ในใจได้แต่คิดให้เอิธ์ทกลับมาหาพวกเขาแต่แล้วเขาก็ต้องเลิกคิดไปเมื่อพระจันทร์สีครามกำลังจะแช่แข็งพวกลูกมังกร ทาลูคูสพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกสมิงสองพี่น้องเข้ามาขวางไว้
“ หลีกไป ”
ทาลูคูสตะคอกแต่สมิงทั้งสองก็ยังคงนิ่งเฉย

“ คิดหรือว่าจะมาสั่งเราได้น่ะแกไม่ใช่มาสเตอร์ของเรานะ ”
ชาโดว์มูนกล่าวขึ้นสายตาจับจ้องอยู่ที่ทาลูคูสซึ่งทำให้ทาลูคูสรู้สึก เย็นวาบไปถึงสันหลังสายตานั้นคมราวกับจะตัดเขาให้ขาดสะบั้น
เมื่อไม่อาจทำอะไรได้เขาได้แต่กัดฟันฝืนบินฝ่าออกไปแต่ก็ถูกชาดดว์มูนกระชากกลับไปจนกระแทกเข้ากับมหาพฤกษา เขาได้แต่นอนมองดูเหล่าเพื่อนๆลูกมังกรของเขาถูกแช่แข็งด้วยความเจ็บใจ แสงสีครามถูกยิงลงมาก่อนที่แสงจะแช่แข็งเหล่าลูกมังกร ก็มีเงาหนึ่งบินโฉบมากระแทกพวกเขาจน หลุดจากเขตการยิง
เอิธ์ทนั่นเองที่มาช่วยพวกเขาเอาไว้ได้ทัน แต่ซิลเวอร์มูนก็ไม่รอช้าพุ่งเข้าโจมตีเอิธ์ททันที

“ Paladin Saber ”
เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นก่อนที่คลื่นแสงรูปร่าง โค้ง งอจะพุ่งเข้ากระแทกกับซิลเวอร์มูนอย่างจัง

“ ซิลเวอร์มูน..หนอยย แกเป็นใคร ”
ชาโดว์มูนกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด ร่างเจ้าของผู้ที่โจมตีเข้ามาเมื่อสักครู่
ก็ค่อยๆย่างก้าวออกมาจากเงาร่มไม้ในป่า ร่างของชายสวมหน้ากากมังกรในชุดคลุมสีขาวเขาคือเมทาไนท์น่ะเอง

“ นามข้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรสนใจ ”
เขากล่าวก่อนจะเข้าไปสมทบกับทาลูคูส

“ เอ้ามีแผนแล้วใช่มั้ย ”
เมทาไนท์กล่าว

“ อะ..เอ่อคือว่า ”
ทาลูคูสกล่าวอย่างอึกอัก

“ กีซซซซซซซ ” (ถ้าเรื่องแผนล่ะคิดไว้ให้แล้วล่ะ)
เอิธ์ททักขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง

“ ฮูมมมมมมมมมม ”(เจ้ามีแผนงั้นเหรอ)
มารัคกล่าว เอิธืทพยักหน้าก่อนจะเริ่มอธิบายแผนการ
“ กีซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ ”(เรื่องที่ท่านมีพลังในการเคลื่อนย้ายตะกี้น่ะผมได้ยินแล้วล่ะเพราะฉะนั้นเดี๋ยวท่านเริ่มเตรียมสะสม พลังงานเลยนะครับ ส่วนทาลูคูสกับท่านเออ..เมทาไนท์ก็ช่วยกันล่อสมิงทั้งสองเอาไว้เพราะ สู้กันตรงนี้พวกที่ถูกแช่เอาไว้อาจเป็นอันตรายดังนั้นช่วยพาพวกมันออกไปไกลๆด้วยนะครับส่วนเจ้า แบล็คไวเซอร์นั่นน่ะผมจะก่อกวนการทำพิธีของมันเอง)

เอิธ์ทกล่าวจบทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทันที โดยมารัคเริ่มสะสมพลังงานทันที ทาลูคูสหลอกล่อซิลเวอร์มูนออกมาจากบริเวณใต้มหาพฤกษาตรงไปยังป่า เช่นกันเมทาไนท์เองก็เข้าหลอกล่อชาดดว์มูนให้ออกห่างจากแบล็คไวเซอร์ ส่วนเอิธ์ทก็บินขึ้นไปก่อกวนแบล็คไวเซอร์
“ หนอยออกไปนะเจ้ามังกรบ้า..ฮึ่ยเฮลริค ”
แบล็คไวเซอร์ที่ถูกรบกวนพยายามเรยกวิหกโลกกัณให้มาคุ้มกันแต่ทว่า วิหกดลกัณฑ์ตอนนี้มันมัวแต่สนใจ
จะต่อสู้กับแอนโกลิอ้อนเพียงอย่างเดียว
พวกสมิงสองพี่น้องเห็นดังนั้นจึงพยายามจะกลับไปจัดการแต่ก็ถูกขวางเอาไว้
“ ฮึ่ยนี่มัน..คิดจะดึงพวกเราออกจากที่นั่นงั้นรึ ยากซะ ”
ซิลเวอร์มูนกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะซัดทาลูคูสตอนที่ไม่ทันตั้งตัวจนกระเด็นไปกระแทก
เอิธ์ทร่วงลงมาด้วย ร่างชองทาลูคูสสองแสงออกมาจางๆก่อนจะแยกกลับเป็น Lr กับไลท์ตามเดิม
บัดนี้พลังของอัศวินทาลิวิลย่าได้หมดลงแล้วซิลเวอร์มูนตรงเข้าหาพวกเขาทั้งสาม

“ หึๆๆ ทีนี้ก็จบกันล่ะนะเมื่อไม่มีพวกแกก็จะไม่มีใครมาขวางแผนการของพวกแกคงต้องจบเสียตรงนี้แล้วล่ะไว้จัดการพวกแกเสร็จมังกรยักษ์นั่นคือรายต่อไป ”
ซิลเวอร์มูนกล่าวจบก็เงื้อมือขึ้นหมายจะจบชีวิตพวกเขา

“ ถูกอย่างที่ซิลเวอร์มูนพูดแผนของเราพังลงแล้ว ”
เอิธ์ทคิดในใจอย่างสิ้นหวัง
“ นี่ถ้าเราสู้ได้ ถ้าเรามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็.. ”
เอิธ์ทคิดพร้อมกับกำแน่นด้วยความเจ็บใจในความด้อยพลังของตัวเอง Lr เห็นดังนั้น
จึงกล่าวขึ้นมา
“ เอิธ์ทถึงนายจะไม่มีพลังแต่นายก็มีปัญญาเป็นพลังนะ ”
Lr กล่าวจบก็เอาตัวพุ่งเข้ากระแทกซิลเวอร์มูนจนล้ม ลงไปทั้งคู่ไลท์เอง
ก็เข้าไปช่วยเสริมด้วย แต่แล้วพวกเขาทั้งสองก็ถูก ซัดกระเด็นออกมา
เอิธ์ทจึงรีบเข้าไปดูอาการของทั้งสอง

“ กีซซ..กีซซซ ”(ลอเรนว์ ไลท์)
เอิธ์ทเรียกชื่อของทั้งสองขณะที่พยายามเขย่าตัวพวกเขาเพื่อเรียกสติ
Lr ได้สติแล้วแต่ทว่าไลท์ยังคงสลบอยู่เอิธ์ทหันไปหา Lr จับมอของเขาขึ้นมากำเอาไว้แน่น
หยาดน้ำตาหยดเล็กๆเริ่มไหลริน

“ กีซซซ..ซซซซ ”(ฮึกๆลอเรนว์ ฉัน..ฉันขอโทษเพราะแผนของฉันไม่รัดกุมแท้ๆเลยทำให้ต้องเป็นแบบนี้ฉันขอโทษฉัน)
เอิธ์ทกล่าวอย่างสะอึกสะอื้นแต่แล้วเขาก็หยุดไปเมื่อ Lr เอามืออีข้างของเขามาประกบกับมือเอิธ์ท

“ เอิธ์ทนายไม่ผิดหรอกนายพยายาม..เต็มที่แล้วขอแค่เพียงนายกลับมาร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนก็ดีแล้วล่ะ ”
Lr กล่าวติดๆขัดๆจากอาการบอบช้ำ

“ กีซ...ซซซ ”(ล..ลอเรนว์)
เอิธ์ทพูด ในใจเขาตอนนี้พยายามคิดหาทางออกอยู่แต่ไม่ก็ไม่มีทางเขาต้องการพลัง

“ เอิธ์ทรู้ไหมก่อนหน้านี้น่ะที่นายกลับมาฉันเองยังแปลกใจเลยที่นายออกความคิดอีกครั้ง
ฉันดีใจมากเลยที่นายกลับมาแล้วนี่ล่ะเอิธ์ทคนเดิมที่ฉันรู้จักล่ะ”
Lr กล่าวทำให้เอิธ์ทรู้สึกตัว ว่าถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่หนีไปคอยอยู่ช่วยทุกคนก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายขนาดนี้
ในตอนนี้ถ้าเขามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็

“ เอิธ์ทถ้านายต้องการพลังล่ะก็ฉันจะเป็นพลังให้นายเอง... ”
Lr กล่าวจบแสงสว่างสีน้ำตาลอ่อนๆก็ส่องประกายออกมาจาก dgh

“ กีซซซซ ”(นี่..นี่มัน)
เอิธ์ทอุทานขึ้น
“ ใช่แล้วเราจะไปด้วยกันมารวมพลังกันเถอะนะ ”
Lr กล่าวเอิธ์ทได้แต่เพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้นเพราะในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกแล้ว
 ซิลเวอร์มูนที่ซึ่งกำลังจะดินไปจัดการกับมารัค ก็ต้องชะงักหันกลับมาเมื่อเห็น

ประกายแสงสีน้ำตาลที่ค่อยๆสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจับจ้องไปยังแสงนั้นเช่นกัน

“ เม...โฟ...มอส ”
เสียงนี้ดังขึ้นในหัวของทั้งสองก็ลำแสงสีน้ำตาลจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
และแตกกระจายออกไปกลายเป็นวงแหวน สีน้ำตาลขนาดใหญ่หมุนเร็วขึ้นเรื่อยดูดเอา
ละอองพลังงานที่เกิดจากการพุ่งขึ้นมาและ ยิงส่งลงไปยังร่างของทั้งสอง

ร่างของทั้งสองหลอมรวมกันเป็นหนึ่งในลำแสงนั้น
พื้นดินบริเวณรอบก่อตัวขึ้นครอบร่างนั้นไว้และหยุดนิ่งไป
ซักพักก้อนดินก็ระเบิดแตกออก
เผยให้เห็นร่างของอัศวินมังกรกายสีน้ำตาลเข้ม
หางที่ยาวสะบัดไปมาในมือข้างขวาถือดาบมาคายาเดีย
ที่เปลี่ยนรูปจนกลายเป็นดาบโค้งงอมือซ้ายถือโล่กระโหลกมังกร
ทั้งสองกลายร่างเป็น ทาโซรอส (Thasolos, The Dragoon of Thaliwilya)

“ เมื่อความกลัวเข้าปิดหนทาง พลังแห่งปัญญาจักส่องนำทางสู่แสงสว่าง ทาโซรอส ”

« Last Edit: August 31, 2008, 08:56:03 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #140 on: April 19, 2008, 08:13:11 PM »

พักนี้เงียบไปเยอะเหมือน กันนะนี่ไม่ทราบว่าตอนที่แล้วยาวไปมั้ย ครับถ้ายาวไปผมจะได้สรุปย่อความให้อีกที
เพราะว่าตอนที่แล้วผมต้องรวบบทเยอะๆเลยเล่นเขียนตั้งสองฉากแน่ะ บรรยายกันไม่หวัดไม่ไหว
เพราะงั้นสบายใจได้วันนี้สั้นครับไม่ยาวมากนัก ส่วนวันนี้12เทพขุนศึกคนใหม่มาอีกแล้วครับไปดูกันว่าเป็นใคร



บทที่ 13 อดีต-----การตัดสินใจ-----ปัจจุบัน (การตัดสินใจระหว่างอตีดและปัจจุบัน)

ที่วิหารแห่งจันทรา แอสต้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแห่งวิหารกำลังตรงไปตามทางเดินสีขาวจากโถงใหญ่ของวิหาร
ซึ่งวิหารแห่งนี้เชื่อต่ออาคารวิหารไว้ถึงห้าห้องด้วยกันโดยทุกห้อง จะเชื่อมไปยังโถงใหญ่ ของวิหารและ
จากโถงใหญ่จะเชื่อมต่อสู่ทะเลสาบลวงตาอันเป็นทาง ออกจากวิหารนี้ นางเดินทางไปยังห้องวิหารทาง ตะวันออก
 ระหว่างที่เดินไปในหัวของนางเอง ก็กำลังกลัดกลุ้มใจ กับปัญหาที่นางไม่อาจตัดสินใจได้
ระหว่างนั้นเองนางก็เดินไปจนสุดทาง ประตูที่สลักไว้ด้วยอักขระแปลกประหลาดอยู่ที่ ขอบประตูทั้งสี่ด้าน

ตรงกลางประตูที่ซึ่งขอบของประตูทั้งสองบาน ประกบชิดกันมีลายดวงจันทร์ วาดไว้
นางผลักประตูออก ภายในห้องนี้มืด สนิทจนกระทั่งไม่เห็นพื้นที่กลางห้อง มีแท่นหิน
อยู่สองต้นตั้งอยู่ แท่นหินอันหนึ่งว่างเปล่า ส่วนอีกอันมีหินรูปจันทร์เสี้ยว วางไปอยู่
มันส่องประกายแสงสีขาวอ่อนๆ จนเด็นเป็นสง่าท่ามกลางห้องที่มืดมิด นางเดินไปยังแท่น
หินที่มีหินแสงนั้นวางอยู่

“ หินจันทราของข้าไม่นึกเลยว่าจะต้องใช้มันอีก ”
นางหยิบเอาศิลาขึ้นมากำไว้ ก่อนจะละลึกถึงเรื่องราวเมื่อ 8 ปีก่อน ในวันนั้นนาง
ได้ใช้พลังของศิลาแห่งจันทรา เป็นสื่อในการมองผ่านดวงจันทร์ ทำให้นางสามารถที่จะ
ดูสถานการณ์ต่างจากที่ดวงจันทร์เห็นได้ ประหนึ่งนางเป็นดวงจันทร์เลยทีเดียว

ในคืนนั้นนางได้เห็นครอบครัวครึ่งสมิงกลุ่มกนึ่งวิ่งหนีตายออกมาจากป่าก่อนจะถูก
มังกรดำบุกเข้าทำร้ายนางเห็นดังนั้น จึงไม่อาจนิ่งดูดายนางจึงคิดที่จะออกไปช่วยแต่ทว่า
เพราะเมฆมาบดบังพระจันทร์เอาไว้ซะก่อนขึงทำให้นางไม่อาจใช้พลังได้ นางจึงได้แต่รอให้เมฆผ่านไป
อย่างใจจดใจจ่อ นางร้อนรนมากจน กระทั่งเมื่อเมฆผ่านไปแล้วนางไม่รีรอที่จะดูสถานการณ์ก่อนกลับรีบใช้พลังของศิลา

เคลื่อนย้ายไปทันที นางเริ่มร่ายคถา สักพักศิลาก็ส่องแสงสว่างจ้าจนแสงนั้นอาบไปทั่วตัวนาง
ก่อนจะจางหายไปพร้อมกับนาง ในขณธเดียวกันที่บริเวณชายป่าที่พวกครึ่งสมิงถูกมังกรดำไล่มา
ก็ปรากฏแสงสว่างจ้าก่อนจะจงลงพร้อมกับการปรากกตัวของนาง บัดนี้นางได้เคลื่อนย้าย
ผ่านดวงจันทร์เป็นตัวกลางมายังสถานที่เกิดเหตุ แต่แล้วนางก็ต้องตกตะลึง เพราะภาพตรงหน้านั้นแทนที่จะ

เป็นครอบครัวครึ่งสมิงที่กำลัรอความช่วยเหลือกลับกลายเป็นภาพ เด็กครึ่งสมิงสองพี่น้องซึ่งเป็นลูกๆของพ่อแม่ครึ่งสมิงที่นางเห็นผ่านมนตรา
 กำลังต่อสู้กับ ปีศาจในชุดเกราะโลหะโดยที่เกราะบริเวณไหล่
นั้นยื่นยาวโค้งออกไปทางด้านหลังคล้ายกับปีกหัวพวกมันมีก้อนเนื้องอกออกมา ทำให้หัวของมันใหญ่ผิดปกติ พวกมันคือเหล่าปีศาจผู้เมินความตายสเปกเตอร์(Chief Specter)

 จำนวน5ตนกำลังรุมล้อมทำร้ายเด็กทั้งสองที่ข้างตัวของพวกเขามีร่างของสมิงชายหญิงนอนล้มอยู่ข้างๆพร้อมบาดแผลเต็มตัว นางเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบทำการร่ายมนตราทันที

“ Moon Light Illusion ”
สิ้นคำแสงจากดวงจันทร์ก็ส่องลงมา ทันทีที่พวกสเปกเตอร์สัมผัสถูกแสง เงาของพวกมันที่เกิดจากแสงจันทร์
ก็ลุกขึ้นมาและแปลงสภาพจนมีหน้าตาเหมือนพวกมัน พวกมันเข้าต่อกรกับร่างเงาของตัวเอง
จนแตกสลายกลายเป็นควันทั้งคู่ นั่นทำให้ความของสงสัยของนางมากขึ้นไปอีก

“ พวกนี้ไม่ใช่อสูรจริงๆแต่เป็นมนตรา แล้วใครล่ะที่อัญเชิญพวกมันมา ”
นางรำพึงกับตัวเอง แต่แล้วนางก็ละความสงสัยนั้นไว้แล้วหันไปหาลูกสมิงทั้งสอง
ซึ่งตอนนี้พวกเขาเอาแต่ ร้องไห้เขย่าร่างซึ่งไร้ชีวิตทั้งสองของผู้เป็นพ่อและแม่ ทันทีที่นางเข้าใกล้
ทั้งสองก็ แสดงอาการหวาดกลัวและพยายามจะถอยหนี นางเห็นเช่นนั้น จึงหยุดก้าวเท้า

“ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันมาช่วยจ้ะ ”
นางกล่าวอย่างอ่อนโยน ทำให้สองพี่น้องคลายจากความหวาดกลัว นางจึงเดินเข้าไปกอดทั้งสองเอาไว้
หวังจะช่วยปลอบประดลมใจที่เต็มไปด้วยความหวาดวิตกของทั้งสอง ซึ่งนั่นทำให้นางรู้
ในตอนแรกที่กอดพวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ตอนนี้มันอ่อนลงเรื่อยๆแล้วทั้งสองก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของนาง ในที่สุดเมื่อไม่มีทางเลือกเพราะ

พ่อแม่ของพวกเขาตายไปแล้วแม้แต่ครึ่งสมิงตัวอื่น
ต่างก็สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปจากทวีปนี้จนหมดแล้วนางจึงตัดสินใจรับพวกเขามาเลี้ยงดู
ด้วยว่าทั้งสองอายุยังน้อยนักจึงยังจำชื่อของพวกเขาไม่ได้นางจึงตั้งชื่อให้พวกเขา โดยคนพี่ซึ่งมีผมสีดำชื่อเจนัส(Genus)

คนน้อง มีผมสีเงินชื่อ ลากุน่า (Laguna) นาง เลี้ยงดู พวกเขาด้วยความรัก จนทั้งสองคิดว่านางเป็นเสมือนแม่ของพวกเขาจริงๆ จนเวลาได้ล่วงเลยมา 4 ปี
พวกเขาต่างเติบโตขึ้นแต่แล้วห้วงเวลาแห่งความสุข ก็จบสิ้นลง
เมื่อวันหนึ่ง ได้มีศัตรูบุกเข้ามาพวกมันคือเหล่าสเปกเตอร์ที่เคยถูกนางกำจัดไป พวกมันถูกบงการโดยชายในชุดคลุมสีดำ ซึ่งก็คือแบล็คไวเซอร์นั่นเอง
นางได้เจรจากับแบล็คไวเซอร์

“ สิ่งที่พวกเจ้าต้องการก็ศิลาจันทราสินะ ”
นางกล่าวซึ่งเมื่อได้ยินดังนั้นแบล็คไวเซอร์ก็แสยะยิ้มขึ้นมา

“ มันมีจริงๆสินะศิลาที่ว่าน่ะ งั้นก็คงไม่ต้องสินะว่าต้องทำยังไง  ”
คำพูดของแบล็คไวเซอร์ทำให้นางขมวดคิ้วด้วยความโกรธนางจึงรีบตั้งท่าร่ายเวทย์ทันที
แต่แล้วคฑาในมือนางก็ถูกปัดออกไป ด้วยพลังของแบล็คไวเซอร์

“ ส่งศิลานั่นมาไม่งั้นพวกแกทั้งหมดต้องตาย ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวอย่างเฮี้ยมเกรียม  นางได้แต่ครุ่นคิดด้วยความสิ้นหวัง
หากนางไม่ยอมมอบศิลาให้ ทั้งนางและพวกครึ่งสมิงที่เป็น เสมือนลูกของนาง ก็ต้องมาตายกันหมด
แต่หากศิลาตกไปอยู่ในมือของ ศัตรูก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า พวกมันจะนำไปใช้ในทางใด

“ ก็ได้พวกแกชนะศิลาน่ะ….. ”
นางพูดได้ไม่ทันขาดคำเจนัสก็แทรกเข้า

“ เดี๋ยวก่อนถึงพวกแกเอาศิลาไปก็ใช่ว่าจะใช้มันได้นะ ”
เจนัสกล่าว ทำให้แบล็คไวเซอร์ยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย

“ เจ้าว่ายังไงนะ ”
แบล็คไวเซอร์ถาม เจนัสเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มที่มุมปาก เป็นเชิงให้กับแอสต้าเพื่อจะบอกว่า ให้ไว้ใจเขาได้ก่อนจะ
กล่าวต่อ

“ ศิลาที่นี่น่ะมีสองอัน ”
เจนัสกล่าว

“ สองเหรอแต่ว่า ตามตำนานแล้วมันมีแค่อันเดียวไปใช่เหรอ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวด้วยความงุนงง

“ ใช่แต่เดิมมันเคยมีเพียงก้อนเดียวแต่ตระกูล ของเราได้สร้างขึ้นมาอีกก้อนเพื่อถ่วงดุลพลังของศิลานั้น ”
เจนัสกล่าว

“ แล้วมันยังไงกันก็แค่มีเพิ่มอีกก้อนเท่านั้นเอง ”
แบล็คไวเซอร์ กล่าวอย่างหงุดหงิด เพราะเขาชักที่จะหมดความอดทนแล้ว

“ หากเจ้าจะใช้พลังของ ศิลาจำเป็นจะต้องให้พวกเรา  เผ่าสมิงหรือแอสต้าเป็นผู้ใช้เท่านั้นมันจึงจะสำแดงพลังได้ ”
เจนัสกล่าวจบแบล็คไวเซอร์ก็ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก ซึ่งสิ่งที่เจนัสบอกไปนั้น
ล้วนเป็นความจริงเพื่อถ่วงดุลอำนาจของศิลานาง จึงให้ตระกูลครึ่งสมิงที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนต์

แบ่งพลังจากศิลาครึ่งหนึ่งไปผนึกไว้ เพื่อทำเป็นศิลาอีกก้อนทำให้เมื่อจะสำแดงพลังจำต้อง
มีพลังของนางหรือครึ่งสมิงเป็นตัวขับดัน

“ เหลวไหลทั้งเพ ”
แบล็คไวเซอร์ตะคอกกลับ

“ พวกเจ้าไม่อยากจะมอบมันให้สินะถึง พยายามสร้างเรื่องขึ้นมา เอาเถอะในเมื่อเจ้าไม่ยอมมอบให้แต่โดยดีไว้จัดการพวกเจ้าแล้วข้า ค่อยหาเอาเองก็ได้ ”
แบล็คไวเซอร์พูดจบก็ดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้เหล่าสเปคเตอร์ลงมือ แต่ทว่าก่อนที่จะมีใครได้ขยับเหล่าสเปคเตอร์ทั้งหมดต่างก็ขุกเข่าลงราวกับทำความเคารพ
ปฎิกิริยาของพวกมันทำให้พวกเขาต้องแปลกใจ สักพักก็มีวงเวท รูปดาวหกแฉกอยู่ตรงกลางวงก็ผุดขึ้นมาบนพื้น สีลวดลายของวงเวทราวกับเขียนด้วยเลือด

ไม่นานนักก็มีมือโผล่ขึ้นมาจากวงเวท ก่อนจะลากเอาร่างตามขึ้นมาด้วย ชายที่มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
เขาเป็นชายที่อยู่ในชุดรัดรูปสีดำ เกราะที่หน้าอกก็ ยื่นขึ้นมาบังใบหน้าส่วนล่างเอาไว้

“ นี่แก ”
แบล็คไวเซอร์ได้แค่อทานอย่างเดียวก่อนที่จะทันพูดอะไรชายคนนั้ก็ยกมือขึ้นมาห้ามปรามเอาไว้ ทำให้แบล็คไวเซอร์หยุดพูดก่อนจะหันไปสบถคำพูดอยู่ลับๆ ซึ่งดูเหมือนชายคนนั้นจะไม่ได้ถือสาอะไร ที่จริงคือเขาไม่ได้สนใจเลยเพราะสายตาของเขาจับจ้องมาทางพวกเจนัส

“ ที่พวกเจ้าบอกมาเป็นความจริงสินะฮึๆ  ”
ชายคนนั้นพูดจบก็หัวเราะในลำคอห้วนๆ ก่อนตวัดคฑาในมือฟาดใส่เจนัส แอสต้าเห็นเช่นนั้น
จึงคิดจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกเหล่าสเปคเตอร์เข้ามาจับตัวเอาไว้ แม้นางพยายามจะขัดขืนก็ไม่อาจสลัดให้หลุดได้

ทว่าก่อนที่คฑาจะได้ทันแตะต้องถูกเจนัสคฑาใน มือของเขาก็เหมือนถูกแรงบางอย่างปัดออกจนหลุดจากมือ
เขาเห็นเช่นนั้นจึงหันไปทางครึ่งสมิงอีกคนที่ยังไม่ได้ถูกจับหรือตรึงไว้แต่อย่างใด เด็กครึ่งสมิงที่มีผมสีเงินกำลังร่ายเวทอยู่ซึ่งเป็นต้นเหตุที่คฑาในมือของเขาถูกปัดจนหลุดไปนั่นเอง เขาแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ

“ น่าสนใจจริงทั้งเจ้าและก็ครอบครัวของเจ้าตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน ”
คำพูดของชานผู้นี้ทำให้เจนัสและลากูน่า มีสีหน้าเปลียนไป ความทรงจำที่ปวดร้าวที่พวกทั้งสองพยายามจะลบมันไปก็ได้หวนกลับมาอีก แม้ใบหน้าอีกครึ่งจะถูกบดบัง เอาไว้แต่ใบหน้าของชายคนนี้พวกเขาไม่มีวันลืมไปได้

“ แก.. ”
เจนัสพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่เหลือของเขาล้วนถูกความโกรธ กลืนกินไปจนสิ้นในตอนนี้ ใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่เคยรู้สึกโกรธใครเท่านี้อีกแล้ว ลากูน่าเองก็เช่นกันเขาเริ่มส่งเสียง ขู่คำรามแบบสัตว์ป่า ออกมาทำให้
แบล็คไวเซอร์ถึงกับต้องผวา ไปชั่วครู่ จิตสังหารของสองพี่น้องที่แรงกล้าจนเหล่าสเปคเตอร์ที่จับตัวแอสต้าไว้รู้สึกได้จนถึงกับต้องผงะออกห่างจากพวกเขา

“ โฮ่ นี่เจ้าจำได้ด้วยเรอะ ”
ชายคนนั้นอุทานขึ้นแต่เหมือนเขาจะ ไม่แปลกใจเลยด้วยซ้ำ

“ ถึงตายก็ไม่มีวันลืมหรอก แกที่เป็นคนทำให้พ่อแม่เราต้องตาย ”

เจนัส ตะคอกก่อนที่ ลากูน่า จะคำรามออกมาควันสีเงินพวยพุ่งออกมาคลุมร่างเขาไว้ก่อนที่จะถูกสูบกลับเข้าไป พร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนเป็นสมิงสีเงินเต็มตัวเจนัสเองก็เช่นกัน ควันสีดำพวยพุ่งครอบตัว เขาไว้ก่อนจะถูกสูบกลับและร่างที่แปลงเป็นสมิงสีดำ พวกเขาทั้งสองไม่รีรอที่จะพุ่งเข้าจู่โจม

“ พวกเจ้านี่น่าสนใจจริงๆ ”
ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ทำให้เขาดูหน้าเกรงขามยิ่งนัก แต่ก็หาได้ทำให้สองพี่น้องลดละความพยายามแต่อย่างใด
เขาชูมือไปยังคฑาที่ตกอยู่บนพื้นก่อนมันจะเข้ามาอยู่ในมือเขา
และด้วยความเร็วในการแกว่งคฑาเพียงพริบตาทั้งสองก็ถูกฟาดจบล้มลงก่อนที่ จะมีควันตอนที่พวกเขากลายรางพุ่งออกมาและกลับสู่ร่างครึ่งสมิง
พวกเขาต่างอ่อนแรงลงจนไม่มีแรงที่จะพยุงตัวขึ้น
ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้พวกเขาก่อนจะเอยในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเอ่ย

“ พวกเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้าเถอะแล้วจงใช้พลังของพวกเจ้าเพื่อท่านผู้นั้น ”
ชายคนนั้นพูดจบแบล็คไวเซอร์ก็แทรกขึ้นทันที

“ นี่เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้าน่ะ เซอร์เซส ”
แบล็คไวเซอร์ตะคอกด้วยความไม่อยากเชื่อ



“ ข้าก็หมายความอย่างที่พูดนั่นล่ะ ”
เชอร์เซสกล่าวด้วยความเยือกเย็นจนถึงกับทำเอา แบล็คไวเซอร์ เสียววาบ

“ นี่แกคิดว่าเราจะยอมยังงั้นเรอะ ”
ลากูน่ากล่าวอย่างแค้นใจเขาพยายามจะลุกขึ้นต่อกรอีกครา แต่เจนัสก็ห้ามไว้เค้าหันไปมองแอสต้า
ซึ่งนางเองในตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า เจนัส คงไม่คิดที่จะยอมสละตัวเองรับเงื่อนไขนี้เพื่อปกป้องนางเอาไว้
แต่แล้วเจนัสก็กลับลุกขึ้นและย่อตัวขุกเข่าข้างหนึ่ง ลงต่อหน้าเซอร์เซส
ซึ่งนั่นทำให้นางแทบจะหัวใจสลาย ลากูน่าเองก็ไม่อยากจะเชื่อในสายตา เซอร์เซสยิ้อย่างพอใจ

“ เจ้าฉลาดมากที่ตกลงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ”
เซอร์เซสกล่าว แต่ลากูน่าซึ่งก็คลานเข้าไปใกล้พี่ชายอย่างลำบาก

“ ท่านพี่ทำไมล่ะ ”
ลากูน่าเอ่ยเสียงอ่อย เขามองตาเจนัสอยู่สักครู่ก่อนจะหันไปมองแอสต้า นั่นทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า
พี่ของเขาคิดเช่นไรเขาจึงยอมศิโรลาบแก่ เซอร์เซส
“ ดีถ้างั้นตั้งแต่วันนี้เทพขุนศึกเซอร์เซสผู้นี้จะถ่ายทอดวิชาให้พวกเจ้าเป็นข้ารับใช้ของท่านผู้นั้นให้พวกเจ้าเป็นว่าที่เทพขุนศึกคนใหม่ ส่วนศิลานั้นเราจะยกให้พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง เพราะเมื่อพวกเจ้ามาอยู่ใต้อานัติ
ของเราแล้วก็ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องแย่งชิงมันไป ”

เซอร์เซสกล่าวจบแบล็คไวเซอร์ก็ถอนกำลังกลับออกไป และก่อนที่เซอร์เซสจะพาทั้งสองไป
เขาก็ได้เอ่ยสิ่งที่ทำให้นางต้องเจ็บช้ำ ยิ่งไปอีก

“ ตั้งแต่วันนี้ข้าแต่งตั้งนาม ให้เจ้าทั้งสองใหม่ เจ้า คนพี่ต่อแต่นี้ไปนามของเจ้าคือ ชาโดว์มูน ว่าที่เทพขุนศึกส่วนเจ้าคนน้องนามเจ้าตั้งแต่นี้ไปคือ ซิลเวอร์มูน เอาล่ะจงตามข้ามา พระจันทร์แห่งความวิบัติทั้งสองต่อแต่นี้พวกเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า ฮ่าฮ่าฮ่า~~~~~~ ”

เซอร์เซสกล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม นางสลบไปด้วยความโศกเศร้า นับแต่วันนั้นนานๆทีนางจะได้เจอกับลูกๆบ้างเป็นครั้งคราว พวกเขาทั้งสองค่อยๆเปลี่ยนไป หัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความไร้เดียงสา กลับเย็นชาลงเรื่อยๆ  โดยเฉพาะเจนัสที่เปลี่ยนไปจนนางคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่นางรู้จักอีก

ต่อไปแล้ว  ความทรงจำส่วนลึกที่นางพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้นั้นได้หวนกลับมา เมื่อนางได้เห็นศิลาที่นางเคยใช้เพื่อช่วยพวกเขา แบะนั่นซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้นางได้รับรู้ความรู้สึกของแม่คน นางกำศิลาไว้แน่นพร้อมกับเดินออกไปยังทะเลสาบลวงตาอันเป็นทางออกจาก วิหารจันทรา

“ นั่นคือการตัดสินใจของเจ้าในวันนั้นเพื่อปกป้องข้าสินะลูกรักแต่เจ้ารู้บ้างมั้ยว่ามันทำให้แม่เจ็บปวดแค่ไหน ”
นางหลับตาลงพยายามจะลบความรู้สึกในตอนนั้นออกไป ก่อนจะลืมตาซึ่งแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นขึ้นมา

“ ส่วนการตัดสินใจในครั้งนี้แม่จะเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันจบเอง ถึงคราวแม่ช่วยเจ้าให้หลุดจากพันธนาการบ้างล่ะ ”
นางคิดได้ดังนั้นก็ก้าว ออกสู่ป่าแสงจันทร์แล้วมุ่งหน้าสู่สมรภูมิทันที

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้าแอสต้าตัดสินใจที่จะใช้พลังของนางหยุดการกระทำของชาโดว์มูน แต่สภาพการรบที่ยุ่งเหยิงไปหมดในตอนนั้นนั่นเองมารัคก็ได้สะสมพลังงานสำเร็จทว่า เรื่องที่ไม่ควรเกิดก็อุบัติขึ้น

ติดตามได้ในตอนหน้า บทที่ 14 (กำลังคิดชื่อบทอยู่ขอไม่บอกละกัน)
« Last Edit: June 13, 2008, 02:20:27 PM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #141 on: April 20, 2008, 03:45:58 PM »

ก็ไม่ค่อยยาวนักหรอกครับ  ค่อย ๆ อ่านไปก็สนุกดี  การเว้นวรรค เว้นบรรทัดก็ดี แต่ตอนใหม่รู้สึกอ่านง่ายกว่า 
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #142 on: April 23, 2008, 07:11:00 PM »

แหมในที่สุดก็คิดชื่อบทออกซะทีและชื่อบทเข้ากับเนื้อเรื่องของบทนี้สุดๆเลย
 เพราะพลิกล็อกกันเละเทะถล่มทลายเลยครับลองไปชมกันเลย

บทที่14  ชะตาที่พลิกผัน

บัดนี้ผืนแผ่นดินแห่งอาณาจักรฟูดินันตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายของสงครามกับกองทัพโฮลี่ไนท์แมร์
 ซึ่งก็อาจพูดว่าเป็นเช่นนั้นแต่ ภาพโดยรวมแล้วทุกสรรพสิ่งในฟูดินันแทบจะหยุดนิ่งและไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกจากค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็งไป
ซึ่งบัดนี้ก็ใกล้จะรุ่งสางแล้ว หาก
แต่ดวงจันทรายังคงส่องสว่างอยู่ถึงสองดวงด้วยกัน ที่บริเวณมหาพฤกษาซึ่งเป็นต้นไม้เพียงหนึ่'ที่ยังไม่กลายเป็นน้ำแข็งไป ความวุ่นวายของการปะทะกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อนบัดนี้เหลือเพียงร่างน้ำแข็งของทั้งนักรบสัตว์ อสูรสมิง ครุฑและเหล่านักรบจากทุกเผ่ารวมไปถึง
กองกำลังต่อต้านได้กลายเป็น น้ำแข็ง และหยุดการโรมรันลงตรงนั้น เหล่าผู้บุกรุกจาก โฮลี่ไนแมร์ ทั้งแบล็คไวเซอร์หรือกระทั่ง 12เทพขุนศึกชาโดว์มูน
และรองว่าที่12เทพขุนศึกซิลเวอร์มูน ต่างก็ได้แต่ตกตะลึงกับภาพที่เห็น ร่างของอัศวินมังกร
กายสีน้ำตาล ซึ่งกำลังทำการ รวมพลังเอาไว้สังเกตได้จากการที่ ดาบของอัศวินมังกรเริ่มเปล่งแสงสีน้ำตาลออกมา

“ Solum et Dragos ”
 สิ้นคำพื้นดินก็ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงล้อมรอบพวกที่ถูกแช่แข็งและมารัคเอาไว้ โดยเมื่อขึ้นถึงที่สุดการขยายตัวก็หยุดลงกำแพงดินที่ถูงสร้างขึ้น
ตั้งสูงถึงครึ่งของลำต้น มหาพฤกษา เป็นตระหง่านต่อหน้าพวกเขา

“ ท่านผู้พิทักษ์ท่านหลบอยู่ในนี้ก่อนนะคอยสะสมพลังเอาไว้ส่วนพวกนั้นข้าจะสกัดเอง ”

ทาโซรอสกล่าว ก่อนจะพุ่งออกจากกำแพงดินและเข้าต่อกรกับซิลเวอร์มูน

“ ย้ากกกกกก ”
ทาโซรอสพุ่งตรงเข้าไปพร้อมเหวี่ยงดาบออกไป แต่ซิลเวอร์มูนก็ก้มหลบได้ทัน แต่ทว่าทาโซรอสหลังเหวี่ยงดาบไปแล้วก็หมุนตัวตามแรงดาบทำให้
ดาบวนมาฟันอีกข้าง แต่ซิลเวอร์มูนก็ เอากรงเล็บรับไว้ทัน
ก่อนที่จะกระไหล่ใส่ ลำตัวของทาโซรอสอย่างแรงแต่ว่า ร่างของทาโซรอสก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือ
ลื่นไถลไป แต่ตัวชองซิลเวอร์กับถูกแรงสะท้อนจากการกระแทก สะเทือนไปทั้งร่าง สร้างความแปลกใจให้แก่ซิลเวอร์มูนยิ่งนัก

“ หนอยแก ไม่สะเทือนเลยเรอะ งั้นลองนี่ Silver Strike ”
สิ้นคำ ซิลเวอร์มูนก็กระโจนเข้าใส่ทาโซรอสและซัดกรงเล็บทั้งสองข้างลงเหนือหัว ของทาโซรอสแต่ทาโซรอสก็ยกเอาโล่กระโหลกมังกรขึ้นมาตั้งรับไว้ได้ทัน ทันทีที่โล่ถูกแรงกระแทกจากกรงเล็บในตอนแรกจนแขนที่ถือไว้ได้ลดระดับลง ลูกถีบคู่ซึ่งถูกแรงเหวี่ยงจากการโจมตีครั้งแรก ก็ถูกยกขึ้นมาตามแรงเหวี่ยงและถีบ
ทาโซรอสเข้าอย่างจัง ครั้งนี้ทาโซรอสถึงกับเซไปเพราะแรงกระแทก ส่วนซิลเวอร์มูนหลังจากถีบไปก็ได้อาศัยแรงสะท้อนตีลังกา กลางอากาศก่อนที่เท้าขวาจะเหยียบพื้น
และดีดตัวอีกครั้ง พร้อมกับม้วนตัวเอาไว้

ทำให้ ความเร็วในการพุ่งเพิ่มขึ้น และกระแทกเข้ากับทาโซรอสที่ยังไม่ทันตั้งตัวอย่างจังอีกครั้ง
จนกระเด็นครูด ไปตามพื้นแต่ซิลเวอร์มูนหลังจากกระแทกก็อาศัยแรงสะท้อนเหมือนเช่นเคยดีดตัวอีกครั้งพร้อมกับม้วนตัวหมายจะกระแทกทาโซรอส อีกต่อนึง
ทาโซรอสซึ่งยังจุกกับการโจมตีต่อเนื่อง  ก็ลุกขึ้นพร้อมกับฟาดดาบลงไปที่พื้นอีกครั้งที่กำแพงดินก่อตัวขึ้นมาป้องกันเขาเอาไว้ ซิลเวอร์มูนก็กระแทกเข้ากับกำแพงดินจนกระเด็นออกไปแต่ทว่ากำแพงดินก็มีอาการร้าว
ก่อนที่ซิลเวอร์มูนจะได้ทันดีดตัวอีกครั้งก็มีแสงส่องออกมาจากด้านหลังกำแพงดิน พร้อมกับเสียงก้องกังวานของทาโซรอส

“ Great of Dragon ” (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร)
มังกรพลังสีน้ำตาลพุ่งออกมา กระแทกเข้ากับซิลเวอร์มูนจนเสียหลักล้มลงการโจมตีต่อ เนื่องของเขาต้องหยุดชะงักไปมังกรพลังที่พุ่งไปแล้วก็วกย้อนกลับมาตรงไปยังร่างของซิลเวอร์มูนที่นอนแผ่จากแรงกระแทกเมื่อครู่ แต่ก่อนที่มังกรพลังงานจะได้สัมผัสถูก ชาโดว์มูนก็พุ่งเข้ามารับเอาไว้ทำให้ตัวชาโดว์มูนเองปลิวไปกระแทกกับต้นไม้บริเวณชายป่า จนกิ่งไม่เกี่ยวโดนแขน เลือดสีแดงสดไหลย้อยออกมาจากปากแผล

“ ท่านพี่ ”
ซิลเวอร์มูนตะเบ็งเสียง ขณะที่พยายามลุกขึ้น แต่ชาโดว์มูนก็ลุกขึ้นมาโดยทันทีทำให้ซิลเวอร์คลายความกังวลไป

“ ไม่ต้องห่วงถ้าพี่ยังอยู่จะไม่ให้ใคร ทำ อันตรายน้องได้ ”
ชาโดว์มูนกล่าว
ขณะเดียวกันแบล็คไวเซอร์ที่กำลัง ประกอบพิธีกรรมอยู่นั้นก็เริ่มที่จะมีแสงลอยออกมายังมือของเขามากขึ้นเรื่อยๆพลังชีวิตส่วนเกินที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้ในมหาพฤกษา นับร้อยปีกำลังจะถูกดูดออกไป
เมทาไนท์ที่ตามชาโดว์มูนออกมาจากป่าได้เห็น พิธีกรรมของแบล็คไวเซอร์กำลังจะสำเร็จจึงรีบเข้าขัดขวาง
แต่แล้วขาของเขาก็ถูกรากไม้ พันเอาไว้จนดึงไม่ออกและสะดุดล้มลง รากไม้เริ่มเข้ามารัดตัวเขาไว้มากขึ้นทุกที จนเขาถูกตรึงเอาไว้กลางอากาศ

“ นี่มัน…. ”
เมทาไนท์กล่าวได้เพียงเท่านั้น ร่างของผู้ที่สั่งการรากไม้พวกนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา

“ มิน่าเผ่าพันธุ์พฤกษาชาติที่จะต้องพิทักษ์ต้นอิกดราซิล (Yggdrasil)จึงไม่ปรากฏกายขึ้นมาเลย ”
คำพูดของเมทาไนท์ดูเหมือนจะถูกทั้งหมดเพราะ รอบกายชายผู้นั้นเหล่าพฤกษาชาติที่เคยต่อสู้กับสมุนของแบล็คไวเซอร์เพื่อปกป้อง มหาพฤกษา
ต่างมารายล้อมคอยรับใช้ชายคนนี้

“ หัวไว ดีนี่ถูกต้องข้าคือคนบงการให้เจ้าพวกนี้มารับ ใช้ข้าในตอนนี้เพราะแผนการ ในวันนี้จะให้ผิดแผนไม่ได้เ ดี๋ยวท่านหัวหน้า แบล็คไวเซอร์กับท่านผู้นั้นจะเกรี้ยวเอา ”
ชายคนนั้นตอบเสียงหวานโดยสำเนียงออกไปทางหญิงมากกว่าชาย

“ แก... ”
เมทาไนท์กัดฟันด้วยความโกรธในความด้อยพลังของตน ตอนนี้แค่จะหนีเขายังทำไม่ได้
เลย

“ โอะ โอ๋ เจ้านี่โกรธง่ายจังเลย น้า~~~~ ”
ชายคนนั้นกล่างลากหางเสียง แสงจันทร์ที่ส่องลงมา เริ่มเลื่อนมาทาง ชายคนนั้น
ร่างของเขาเป็นรากไม้ที่มีรูปร่างราวกับปีศาจหลังของเขามีสิ่งคล้ายดอกตูม อยู่4ดอก แส้เถาวัลย์สะบัดไปมาจากดอกไม้ที่อยู่ด้านหลัง

“ เอาเถอะใจเย็นๆ เดี๋ยวข้า1ใน12เทพขุนศึก รากไม้ปีศาจ วูลเซวิล (Wurzevil) ผู้นี้จะดูแลเจ้าเองช่วยอยู่เฉยๆซักพักเถอะนะ ฮุฮุ ”
รากไม้ปีศาจนั่นกล่าวจบก็โปรยละอองจากดอกไม้ประหลาดๆทันทีที่ เมทาไนท์สูด ดมเข้าไปก็เกิดอาการอ่อนเพลียจนสลบไป



“ ฮิฮิ ทางนี้จัดการเรียบร้อยดำเนินการพิธีกรรมต่อไปเลยท่านแบล็คไวเซอร์ ”
วูลเซวิลกล่าวซึ่งแบล็คไวเซอร์ก็พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบ วูลเซวิล จึงหันกลับไปยังโดมกำแพงที่ทาลิวิลย่าสร้างขึ้นเพื่อปกป้องมารัคและทุกๆคนไว้

“ เอาล่ะพวกเจ้าจงสูบกำแพงดินพร้อมกับเจ้ามังกร นั่นและชาวบ้านลงไปใต้ดินกันให้หมดเลย ”
สิ้นคำของวูลเซวิล มอลเดียร่าที่เคยจับไพทอนตอนที่มันถูกแบล็คไวเซอร์ควบคุม ก็พากันลุกขึ้นมาจากพื้นดินตาของพวกมันครั้งนี้ไม่เหมือนก่อน
พวกมันตาสีแดงก่ำราวกับปีศาจซึ่งไม่ต่างพวกอราวเน่และแม้แต่กระทั่งดรายแอดที่ล้อมรอบตัววูลเซวิลอยู่
พวกมอลเดียร่าเริ่มขุดพื้นล้อมรอบกำแพงดินจนมันเริ่มจมลงสู่ใต้ดิน

“ อะ กำแพงที่สร้างไว้มัน ”
ทาโซรอสที่กำลังรับมือกับทั้งชาโดว์มูนและซิลเวอร์อยู่เห็นเช่นนันจึงคิดจะไป
ยับยั้งไว้แต่ก็ถูกทั้งสองขวางเอาไว้

“ อย่าหวังเลยว่าจะไปช่วยพวกมันได้รับไปซะ เทศกาลเลือด (Blood Festival) ”
สิ้นคำของชาโดว์มูนเลือดที่หลั่งออกมาจากแขนของมันก็หลั่งออกมามากกว่า เดิมและอาบทั่วทั้งตัวมัน
ก่อนจะซึมหายไป และบาดแผลทั่วทั้งตัวของมันก็หายไป ชาโดว์มูนเริ่มโจมตีโดยชกหมัดขวานำไปกระแทกกับโล่ที่ทาโซรอส
ยกขึ้นป้องกันไว้ได้ทันจนเขากับโล่ปลิวกระเด็นไปด้วยกัน จนทำให้เขาต้องทึ่งกับพลังอันมหาศาลของชาโดว์มูน

“ เป็นไงบ้างล่ะ เทศกาลเลือดของท่านพี่น่ะ เพราะหากท่านพี่ได้อาบเลือดในขณะที่อยู่ในร่างนี้ก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น ”
ซิลเวอร์มูนเสริมให้ทำให้เขาหายสงสัยกับพลังเมื่อสักครู่

“ จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าไม่รีบทุกคนที่อยู่ในกำแพงนั่นต้องตายหมดแน่รวมทั้งพวกวิลด้วย ”
เสียงของ Lr ดังขึ้นในใจของทาโซรอส

“ ทางเดียวจะต้องหาทางทำลายพลังของจันทราสองดวงนั่นและขัดขวางแบล็คไวเซอร์พร้อมกับช่วยทุกคน ”
เสียงของเอิท์ธดังขึ้นในใจของทาโซรอสเช่นกัน

“ เป็นไปไม่ได้หรอกเพียงแค่พวกเราสองคน ก็จะรับมือเจ้าพวกนี้ไม่ไหวแล้ว ไม่ทันแน่ ”
ทั้งสองคิด และขณะที่สิ้นหวังอยู่นั่นเอง อยู่ๆแสงตะวันยามรุ่งอรุณก็ส่องสว่างลงมา
ทำให้พวกเขาต้องแหงนหน้ามองฟ้าด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา ดวงจันทร์ทั้งสอง เริ่มจะรวมกลับกันเป็นดวงเดียวและเริ่มจางหายไปพร้อมกับ แสงอรุณที่สาดส่องลง ทุกอย่างที่ถูกแช่แข็งเอาไว้เริ่มละลายและกลับสู่สภาพเดิม เหล่ามอลเดียร่าและพวก พฤกษาชาติเริ่มระสับระส่ายและดิ้นรนด้วยความ
 ทรมานราวกับปีศาจที่ถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้ เสียงกรีดร้องของอราวเน่ทำให้ วูลเซวิลต้องยกมือขึ้นปิดหู
แม้แต่พวกสองพี่น้องสมิง เองด้วยที่ว่าหูสัมผัสได้ไวกว่ามนุษย์จึงรู้สึกปวดหูทันทีแม้ เสียงจะดังจากที่ไกลมาก

“ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ”
ทาโซรอสอุทาน ขณะดียวกันเมทาไนท์ที่เห็นต้นเหตุก่อนทุกคนก็ เข้าใจสถานการณ์ทันที จึงรีบปลดตัวเองออกจากรากไม้ที่อ่อนแรงลงจากการที่
การควบคุมของ วูลเซวิล รวนไปหมด
แล้วหันไปบอกพวกทาโซรอส

“ ทาโซรอสรีบเอาหินจันทราที่แขวนอยู่ที่คอของซิลเวอร์มูนมาเร็ว ”
ทาโซรอสได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองที่ตัวของซิลเวอร์มูนที่คอ ของมันมีสร้อยคอที่แขวนหินรูปจันทร์เสี้ยวเอาไว้ไม่รอช้าเขารีบเข้าไปกระชาก
ออกมาซึ่งพวกซิลเวอร์มูนไม่อาจที่จะตั้งตัวได้เพราะยังคง เจ็บปวดจากการกรีดร้องของอราวเน่อยู่

“ ส่งมานี่เลยเร็ว เราไม่มีเวลาแล้ว ”
เสียงนี้ดังมาจากเหนือหัวของพวกเขา เจ้าของเสียงซึ่งปรากฏตัวอยู่เหนือพวกเขานางคือแอสต้านั่นเอง
ทาโซรอสไม่รอช้ารีบขว้างศิลาให้นาง ทันทีที่นางได้มาไว้กำมือนางก็ปลดปล่อยพลังของศิลาออกมาจนดวงจันทร์ทั้งสองสลายไป
เมื่อหมดพลังจากดวงจันทราทั้งสอง เหล่าอสูรสมิงและสมุนการูด้าทมิฬ ก็สลายตัวไปทันที

“ ฮูมมมมมมมมมมมม ”(รวมพลังเสร็จแล้ว)
มารัคคำรามก้องออกมา ทาโซรอสจึงรีบทำการสลายกำแพงทันที เมื่อกำแพงทลายลงแล้วกองทัพต่อต้านรวมทั้งนักรบจากทุกเผ่า
ก็เป็นอิสระจากการถูกแช่แข็งทันที ต่างก็กรูกันออกมาล้อม12เทพขุนศึกทั้งหมดเอาไว้

“ หนอยเจ้าพวกก้างขวางคอ ”
แบล็คไวเซอร์สบถคำพูดอย่างเกรี้ยวกราด แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนท่าทีทันที่การดูดพลังชีวิตเสร็จสมบรูณ์

“ ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็ทำสำเร็จ ฟอจูนทรีมาอยู่ในมือของเราแล้ว ฮ่าๆๆๆ ”
แบล้คไวเซอร์หัวเราะอย่างกระหิ่มจองหอง แต่แล้ว ก็เกิดฟ้าผ่าลงที่ตรงหน้าของพวกเขา
พร้อมกับการปรากฏกายของ มัจฉาเทพ พันนิชชูล่า (Punishula)

“ ก...แกอีกแล้วรึ ”
แบล็คไวเซอร์ถึงกับผงะไป

“ เราเตือนเจ้าแล้วไม่ใช่รึ ว่าอย่ามายุ่งกับอาณาจักรนี้อีกการกระทำของเจ้าจะทำให้ เกิดเภทภัย แก่มวลมนุษย์ ”
เสียงนี้ดังกังวานขึ้นในใจของทุกคนในเหตุการณ์ นี่คือจิตที่สื่อจากพันนิชชูล่า

“ อะ..ท่านแบล็คไวเซอร์ ”
วูลเซวิลกล่าวด้วยความเป็นห่วงก่อนจะทะยานขึ้นไปขวางระหว่าง พันนิชชูล่า กับ แบล็คไวเซอร์
และทันทีกับที่แสงที่เปล่งออกมาจากเขาของ พันนิชชูล่าพุ่งออกมาปะทะกับร่างของวูลเซวิลจนแตกสลายไป
ประกายแสงนั้นกระเด็นไปโดนมือของ แบล็คไวเซอร์จนก้อนพลังงานแสง ฟอจูนทรี ขนาดท่าลูกแก้วร่วงหล่นลงมา พันนิชชูล่าจึงทะยานไปกลืนก้อนพลังงานเข้าไป

แบล็คไวเซอร์เห็นเช่นนั้น จึงหมายจะจัดการกับมันด้วยความโกรธเกรี้ยวจึงยิงพลังเวทย์ออกไป
แต่แอสต้าก็เอาร่างเข้ากันพันนิชชูล่าเอาไว้จนทำ ให้นางได้รับบาดเจ็บ
ชาโดว์มูนเห็นเช่นนั้นจึงพุ่งฝ่าวงล้อมออกไปรับตัวนางไว้
“ท่านแม่ ”
ซิลเวอร์มูนตะโกนเสียงหลง ขณะที่ตามชาโดว์มูนไปร่างของทั้งสองตอนนี้มีควันครอบคลุม ตลบอบอวลออกมาทันทีที่ควันสลายไปร่างของเด็ก
 เผ่าครึ่งสมิงก็ปรากฏแก่สายตาของทุกคน

“ นั่นมัน ”
คาร์นคำรามเบาอย่างไม่อยากเชื่อในสายตา

“ นั่นน่ะหรือเผ่าครึ่งสมิงน่ะ ”
ทาโซรอสอุทาน อย่างไม่เชื่อสายตาเช่นกัน ทุกคนที่ได้เห็นต่างพากันวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ

หลังจากแบล็คไวเซอร์ลงมือไปแล้ว พันนิชชูล่าเองก็หันมาโจมตีใส่เขาแต่แบล็คไวเซอร์ก็ต้านเอาไว้

“ ข้าไม่ยอมหรอกน่า เฉพาะแผนการครั้งนี้เท่านั้นที่จะพลาดไม่ได้ ”
แบล็คไวเซอร์ กล่าวจบก็เรียกให้วิหกโลกัณฑ์ลามือจาก แองโกริอ้อนที่ถูกมันเล่นงานจนหมอบไปแล้ว
กลับมา พร้อมถอนขนมาสามเส้นและบรรจุลงลูกบอลสีดำ พร้อมกับขว้างออกไป
บอล ระเบิดออกพร้อมกับควันที่ตลบเหมือนทุกครั้งพร้อมกับร่างของอสูรสามตน

“ จงขยี้พวกมันซะสัตว์อสูรของข้า ”

“ เซอร์คัสมังกรกระดูกต้องสาป (Circus, Cursed Bone Dragon) ”



“ ชะตาแห่งความมืด (Darkdoom) ”



“ เดมอนขุมนรก (Deep Pit Demon) ”



สิ้นคำของแบล็คไวเซอร์ อสูรรับใช้ของแบล็คไวเซอร์ขนาดยักษ์สามตัวก็โผล่ออกมา
โดยตัวที่ชื่อเซอร์คัสเป็นมังกรกระดูกที่ต้องคำสาปจึงมีชีวิต กับชะตาแห่งความมืดหรือ ดาร์กดูม
มันคืออสูรที่จะกำหนดชะตาของมนุษย์สู่ความมืด และสุดท้าย เดมอนขุมนรกมันคือเดมอนที่ถูกจองจำยังขุมนรกที่ลึกสุดๆ บัดนี้อสูรระดับสูงทั้งสามตนได้มาปรากฏตรงหน้าพวกเขาแล้ว พันนิชชูล่ามีท่าทางลำบากใจกับการปรากฏของอสรูทั้งสามตน

“ ท่านแม่ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย ”
เด็กชายครึ่งสมิงที่เป็นชาโดว์มูนเมื่อครู่เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตารวมถึงน้องชาย
ของเขาที่เป็นซิลเวอร์มูนก็เช่นกัน แอสต้าจึงเอามือจับมือของลูกๆทั้งสองอย่างอ่อนโยน

“ ลูกๆฟังแม่นะจ้ะ การกระทำของลูกมันผิดแม่จึงต้องมาห้าม..เอาไว้ ”
นางฝืนทนกล่าวไปสำลักไปจากอาการบาดเจ็บ

“ ไม่นะหยุดพูดก่อนเถอะท่านแม่เราจะพาท่านไปรักษา ”
ครึ่งสมิงคนน้องกล่าว

“ ไม่ต้องหรอกแม่คงไม่รอดแล้ว ”
นางกล่าว

“ ไม่ท่านต้องไม่ตาย ท่านจะมาตายไม่ได้นะท่านแม่ ”
สมิงคนพี่กล่าวใจของทั้งสองตอนนี้สั่นไหวและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

“ ก่อนจากแม่จะต้องบอกพวกเจ้าให้ได้รับรู้ก่อน ”
นางกล่าวอย่างอึกอักแต่ด้วยความมุ่งมั่นของนางลูกๆจึงยอมรับฟัง

“ ลูกรัก..นับตั้งแต่วันที่ลูกได้ไปสวามิภักดิ์ต่อพวกมันเพื่อปกป้องแม่และพวกเราแล้ว ตลอกเวลาหลังจากนั้นมันราวกับตกนรกถูกเผาทั้งเป็น แม่เคยคิดว่าสักวันจะต้องนำลูกทั้งสองคนกลับมาให้ได้..อึก ”
นางฝืนกล่าวออกมาจนกระอักเลือดแม้ลูกๆจะห้ามก็ตามทีแต่นางก็ยังกล่าวต่อไป

“ แม่ทุกข์ใจมากที่เป็นตัวการทำให้ลูกต้องทำผิดบาปทั้งหมดของลูกแม่จะขอชดใช้แทนเอง ”
นางกล่าว

“ ไม่นะท่านแม่ไม่ผิดซะหน่อยอย่าจากพวกเราไปเลยนะท่านแม่ ”
ครึ่งสมิงคนน้องกล่าวอย่างร้อนรนแต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจยังคงกล่าวต่อไป

“ ลูกครั้งสุดท้ายนี้แม่ขอร้องล่ะกลับมาเถอะ กลับมาเป็นลูกที่ดีของแม่ นะ เจนัส ลากุน่า ”
นางกล่าว

“ ครับท่านแม่ ”
ทั้งสองกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

“ สุดท้ายนี้แม่จะไม่เป็นภาระให้แก่ลูกอีกแล้ว จำไว้นะ จงช่วยเหลือทุกคนอย่าได้โกรธแค้นใครอีกเพราะพวกเจ้าไม่ใช่อสูรหากพวกเจ้าทำได้จงใช้พลังของพวกเจ้ากำจัดความโสมน ของพวกโฮลี่ไนท์แมร์ซะ
พลังของพวกเจ้ามีไว้เพื่อการนี้... ”
นางกล่าวจบก็สิ้นใจลงทันทีทั้งสองต่างร่ำไห้ กับการจากไปครั้งนี้อย่างที่สุดแต่แล้วคนพี่ก็ลุกขึ้นและวางตัวของนางลงพร้อมกับดึงเอาศิลาที่นางกำเอาไว้มาร่ายเวทย์ร่างของนางค่อยๆสลายกลายเป็นแสงล่องลอยสู่ฟากฟ้า

“ เอาล่ะลากุน่า ไปกันเถอะเพื่อท่านแม่ไปจัดการมันกัน ”
เจนัสกล่าวขณะที่ปาดน้ำตาออก

“ ครับท่านพี่ ”
ลากุน่าเองก็เช่นกันทั้งสองหันไปและเปลี่ยนความคิดเพื่อที่จะต่อกรกับแบล็คไวเซอร์

ขณะเดียวกันมารัคกำลังจะทำพิธีเคลื่อนย้ายแต่ทว่ายังต้องใช้เวลาปรับคลื่นพลังอีกซักระยะ

ทำให้ทาโซรอสกับเมทาร์ไนท์ต้องรับกับเหล่าอสูรทั้งสามเพียงลำพัง
ขณที่กำลังจะเสียท่าให้กับพวกมันอยู่นั่นเอง สองพี่น้องก็ตรงเข้ามาร่วมต่อสู้กับพวกเขา
ทำให้แบล็คไวเซอร์ ตกตะลึง
“ นี่พวกเจ้าจะทรยศเรอะ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ เราไม่ได้เป็นลูกน้องของใครทั้งนั้นเราแค่ทำเพื่อปกป้องคนสำคัญเท่านั้น ”
เจนัสกล่าวอย่างแค้นใจ

“ ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่แล้วเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปกป้องอีกนอกจาก กันและกัน ”
ลากุน่ากล่าวทำให้แบล็คไวเซอร์ต้องตั้งรับทันที

“ ชาโดว์มูน ซิลเวอร์มูนนี่พวกแกหนอย.. ”
แบล็คไวเซอร์ กล่าวอย่างขุ่นข้องใจ

“ ไม่ใช่เราไม่ใช่พวกของแกอีกแล้วชื่อของเราคือชื่อที่ท่านแอสต้าตั้งให้ ”
“ เจนัส ”
“ ลากุน่า ”
ทั้งสองกล่าวพร้อมกันขณะที่กำราบอสูรทั้งสามร่วมกับพวกเขาจน สิ้นฤทธ์

“ หนอยยยยย ”
แบล็คไวเซอร์ได้แต่กัดฟันด้วยความแค้นใจ

“ ดูเหมือนว่าแกจะแพ้แล้วนะ ”
เสียงของพันนิชชูล่ากังวานขึ้นอีกครั้ง

“ ถึงข้าจะแพ้แต่ข้าก็ไม่ยอมปล่อยเอาไว้หรอกแกเจ้าอัศวินมังกรกับลูกๆมังกรของแจะต้องชดใช้เรื่องนี้ ”
แบล็คไวเซอร์กล่าวจบก็โจมตีใส่พวกวิลทันทีทาโซรอสและสองพี่น้องพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ทว่าเป้าโจมตีของแบล็คไวเซอร์หาใช้พวกเขาแต่เป็นมารัคที่กำลังปรับพลังข้ามมิติอยู่

การโจมตีทำให้พลังเคลื่อนย้ายเกิดรวนจนระเบิดออก มันได้ส่งทาโซรอสกับเหล่าลูกมังกรและสองพี่น้องสมิงกับแบล็คไวเซอร์ไปคนละทิศคนละทาง ทั้งหมดหายไปทันทีที่แสงจางลง

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้าLr กับ ไลท์และเจนัส ทั้งสามได้กระเด็นไปตกที่เกาะใกล้ๆกับ เกาะวาร็อคพวกเขาติดอยู่บนเกาะร้างกลางทะเล
ซะแล้ว ไลท์ที่บินไม่ได้ครั้งนี้เขาจะต้องพยายามเอาชนะความกลัวเพื่อที่จะช่วยทุกคน
อีกด้านหนึ่งเซอร์เซสก็เริ่มเคลื่อนไหวทันทีที่รู้ว่าลูกศิษย์ทรยศจึงส่งคนมาสังหาร พวกเขาจะเป็นเช่นไรโปรดติดตามได้ในตอนหน้า

บทที่ 15 จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไลท์!


« Last Edit: August 31, 2008, 08:58:37 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #143 on: April 30, 2008, 06:16:01 PM »

 และแล้วก็มาถึงบทที่15 จนได้นะครับ ในวันนี้ผมจะได้เฉลยแล้วว่าการ์ดตัวละคร
เสริมที่ผมเคยพูดถึงคือใครวันนี้ผมได้เอามาเฉลยแล้วครับในบทนี้


บทที่15 ด้วยความพยายาม จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไลท์!

หลังจากการ ระเบิดของพลังเคื่อนย้ายมิติที่มารัคสะสมเอาไว้ทำให้ พวก Lr และครึ่งสมิงสองพี่น้อง เจนัสกับลากุน่ากระเด็นตกลงไปในห้วงมิติและได้แยกพวกเขาออกไปคนละทิศโดยแต่พวกเขาถูกเคลื่อนที่ผ่านมิติออกจากอาณาจักรฟูดินันจน มาถึงเขตทะเลใกล้กับเกาะ วาร็อก(Warok) ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของไฮดรามังกรวารีที่มีพิษร้ายแรง เกาะที่ Lr ตกลงมาเป็นหนึ่งในเขตเกาะร้างรอบหมู่เกาะ วาร็อก ซึ่งเมื่อก่อนไอพิษของ”ไฮดราจะกระจายฟุ้งมาถึงที่นี่ตลอดจึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่หลังจากที่

กษัตริย์ซิกมันต์ที่ 2 ได้ปราบมันลงและ ในช่วงยุคสงคราม 4 อาณาจักร เกาะเต่าวอลเนีย ก็ได้เคยมาลงทำเลแถวนี้ด้วย ทำให้สภาพของหมู่เกาะร้างเปลี่ยนไป ต้นไม้บนเกาะเริ่มที่จะเติบโตได้และในที่สุดต้นไม้เหล่านี้ก็ปกคลุมไปทั้วทั้งเกาะ ในทะเลตอนนี้ยังมีหมอกอยู่แน่นหนา  Lr ไลท์และครึ่งสมิงเจนัส พวกเขาตกลงมาบนเกาะนี้ได้วันนึงแล้ว แต่พวกเขาเองก็แทบจะไม่ได้ พูดคุยด้วยกันเลยเช่นกัน บนเกาะแห่งนี้

เป็นพื้นเกาะที่ยกตัวสูงจากน้ำทะเล รอบเกาะก็คือหน้าผาดีๆนี่เองซึ่งข้างล่างก็คือทะเลที่กระแสน้ำเชี่ยวกราด
ซัดสาดใส่โขดหินโสโครกอย่างรุนแรง ไม่มีทางที่จะมีเรือมาจอดเทียบได้แน่นอน เกาะทั้งเกาะเลยราวกับถูกปิดกั้นออกจากโลกภายนอก ที่บริเวณโขดหินทางฝั่งตะวันออกของเกาะ เจนัสกำลังยืนอยู่บนโขดหิน
ที่ด้านมีกระแสน้ำ ที่แรงมากหาก ตกลงไปอาจจะถูกซัดหายไปได้

เขาหลับตาราวกับทำสมาธิอยู่ หูของเขากระดิก เป็นจังหวะเพื่อฟังเสียงทันทีที่คลื่นลูกใหญ่ลูกหนึ่งกำลังจะซัดใส่โขดหิน พริบตานั้นเขากระโดดลงไปยัง โขดหินที่เริ่มโผล่ขึ้นจากใต้น้ำเนื่องจากคลื่นที่กำลังจะซัดได้ดูดน้ำไป และทันทีที่คลื่นกระทบฝั่ง เขาก็พุ่งตัวผ่านคลื่น พร้อมกับสะบัดกรงเล็บอย่างรวดเร็วด้วยเล็บหมาป่าที่มือของเขา ปลาที่ถูกจับได้จึงไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือของเขาได้ ร่างของเขาทะยานขึ้น สู่ผิวน้ำทันทีหลังจากที่จับฝูงปลาที่ผลัดมากับคลื่นได้ทั้งหมด 6 ตัว เขาจึงไต่ขึ้นหน้าผาไปตาม ชะง่อนหินที่ยื่นออกมา
ด้วยความคล่องแคล่ว เขาเอาปลาทั้งหมดที่จับมาได้ ห่อด้วยใบไม้ขนาดใหญ่ ที่เด็ดมาจากต้นไม้บนเกาะ
ก่อนจะแบกมันเข้าป่าไป เขาเดินทะลุป่าไปซักระยะก็ออกสู่ ทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ท่ามกลางท้องทุ่งนั้นมีเหล่า



สัตว์ประหลาด ตัวสีขาวสลับขนสีม่วง กำลังกระโดดเหย๋งๆ กันอย่างสนุกสนานพวกมันคือ
ชอโทริโซ่ (Chortorizo) พวกมันกระโดดได้เร็วมากจนไม่อาจจะจับด้วยมือเปล่าได้อีกทั้งยังมีประสาทสัมผัสที่ฉับไวหากได้ยินเสียงผิด
ปกติแม้แต่นิดเดียวก็จะพากันวิ่งหายไปทั้งฝูง อย่างรวดเร็ว
ที่ทำอย่างนี้ได้เพราะพวกมันสามารถรวบรวม มวลอากาศมาไว้โดยรอบหางก่อนที่จะพุ่งตัวออกไป
โดยใช้หางส่งทำให้แรงลมบวกแรงส่ง จากหางทำให้พวกมันกระโดดได้สูงมาก และเร็วด้วย



เจนัสวางห่อปลาเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ และก่อนที่พวกมันจะได้ทันวิ่งหนีควันสีดำก็พุ่งออกจากร่างเขา
ก่อนเขาก็พุ่งกระโจนออกไป ในร่างสุนัขป่าสีดำ และควบสี่ขาอย่างรวดเร็ว คาบและตะบบ พวกมันไว้ได้ 2 ตัว นี่คืออีกร่างของเขาร่างแปลงสัตว์ ที่ทำให้พวกเขาสามารถจำแลงร่างเป็นดังสัตว์ต้นแบบของพวกเขาได้จึงทำให้พวกเขาหลบจากสายตาของผู้คนรอบข้าง ได้โดยไม่มีคนสงสัย

เจนัสออกแรงขบฟันจนเจ้าชอโทริโซ่สิ้นใจ คาปากของเขาและออกแรงกดกรงเล็บจนอีกตัวสิ้นใจตามไปด้วย

เขาจึงจำแลงร่างกลับ สู่ร่างครึ่งสมิง และอุ้มเอาพวกมันทั้งสองตัวกลับไปตรงปากทางเข้าป่าที่เขาวางห่อปลาไว้และหยิบเอาห่อปลาไปแบกใส่หลัง
แล้วเดินเข้ายังป่าอีกฟาก ซึ่งป่านี้มีลูกไม้และผลไม้มากมาย ขึ้นอยู่เต็มต้น เจนัส วางห่อเสบียงทั้งหมดเอาไว้ก่อนจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ และพุ่งไปตามต้นต่างๆอย่างรวดเร็วและเด็ดเอาผลไม้กับลูกไม้ติดมือมา หลายกำมือ และลงใส่ห่อปลาพร้อมกับแบกขึ้นเดินลึกเข้าไปในป่า
ทะลุ ออกไปยังทางใต้ของเกาะ อย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน Lr กับ ไลท์ที่นั่งพักอยู่ที่ ทีพักทางใต้ของเกาะ พวกเขานั่งสุมกองไฟด้วยความหนาวเหน็บ
 จากอากาศเย็นบนเกาะซึ่งเย็นติดต่อมาจากเมื่อวานที่พวกเขามาถึงเกาะนี้แล้ว

“ ล...ลอ..ลอเรนว์ ”
ไลท์พูดเสียงสั่นจากความหนาว Lr ได้ยินจึง เงยหน้าจากกองไฟ โดยที่ปากยังสั่นจากความหนาวเย็น

“ ทำ..ทำไมเหรอไลท์ ”
แม้จะหนาวเหน็บ Lr ก็กัดฟันข่มความหนาวแล้วพูดออกมา

“ น..นายคิด..คิดว่าหมอนั่น..น่ะ..นะคิดจะ..ทำ..ฮ...ฮ...ฮัดชิ้ว..อะไร ”
ไลท์พูดตะกุกตะกักและจามก่อนจะได้พูดจบประโยค

“ อ้าวเป็น หวัดซะแล้วเหรอ ”
เสียงนั้นดังขึ้นข้างๆหูของไลท์ทำให้ไลท์ตกใจสะดุ้งก่อนจะรู้ว่าเป็นเสียงของเจนัส

“ แว้ก..น..นายเอง..ร..เหรอ..ฮ...ฮ..ฮัดชิ้ว ”

ไลท์อุทาน แต่แล้วก็นิ่งไป เมื่อเจนัสเอาหลังมือแตะที่หน้าผากของเขา

“ อืมมมม มีไข้นิดหน่อย แต่กันไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะทำยามาให้รอเดี๋ยวนะ ”
เจนัสกล่าวจบก็ลุกไปหยิบเอาสมุนไพรที่เก็บติดมือ กลับมาระหว่างทาง และเดินไปที่น้ำตกใกล้กับที่พัก
และตักน้ำใส่ใบไม้ ที่พับเป็นภาชนะรองน้ำ และเริ่มทำยา โดยที่ Lr และ ไลท์ได้แต่มองตามหลังไป

“ เฮ้   นี่ ”
Lr ตะโกนเรียกเจนัส แต่เขาก็ไม่ได้หันมาสนใจ  Lr เห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจนิดๆ แต่ก็ยังคงถามต่อ

“ นายไม่หนาวบ้างเลยเหรอ  ”

 Lr กล่าวสาเหตุที่เขาถามเช่นนี้เพราะขนาดเขาใส่เสื้อแขนยาว กางเขนขายาวซึ่งทั้งหนาและมิดชิดอีกทั้งยังปรับระดับความหนาแน่นของผ้าได้
เพราะเป็นเสื้อที่ผลิตด้วย เทคโนโลยี ของ
มิติมังกร (Dragon Dimension) ซึ่งที่หมู่บ้านมังกรก็มีอากาศหนาวเย็นในระดับหนึ่งและเขาก็อยู่จนชินกับความเย็น
ที่นั่นโดยไม่ได้ปรับระดับความมิดชิดของเสื้อเลย แต่บนเกาะแห่งนี้เขายังหนาวเหน็บได้อย่างสาหัส แม้กระทั่งไลท์ที่เป็นมังกรยังหวัดกินเอาได้ง่ายๆ
แต่เจนัสที่ใส่เพียงแค่กางเกงตัวเดียวและไม่ได้สวมเสื้อหรือคลุมผ้าเลยกลับอยู่ได้อย่างสบายๆ

“ เสื้อก็ใส่แค่กางเกง ตัวเดียวแต่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลย แปลกคนจริงๆ  ”
ไลท์กล่าวประชดประชัน แต่ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อมีมือของใครมาสะกิดหลัง

“ โทษทีนะที่ฉันไม่เหมือนพวกนาย น่ะ ”
เจนัสกล่าวเรียบๆ เขานั่นเองที่สะกิดหลังของไลท์ เจนัสวางยาที่ใส่ลงบนใบไม้ ไว้ข้างๆพวกเขา
และหยิบเอาปลากับ ชอโทริโช่ไปที่น้ำตกอีกครั้งเพื่อชำแหละมาทำอาหาร
ทั้งสองจึงได้แต่อึ้งกับท่าที ของเจนัสอีกครั้ง

“ อะไรของเค้านะ พูดด้วยก็ไม่ยอมพูดตอบ เอาแต่เงียบอยู่นั่นแหล่ะ ”
ไลท์ พูดประชดอีกครั้งแต่เบาเสียงลงเพราะกลัวว่าเจนัสจะได้ยิน
 Lr ที่คอยมองเจนัสอยู่ตลอดก็อดคิดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเด็กครึ่งสมิงอย่างเจนัส
ถึงได้เชี่ยวชาญการเอาตัวรอดนัก เพราะในตอนที่พวกเขาตกลงมาที่เกาะแห่งนี้พวกเขา
ต้องเกาะหิน เชิงผา อยู่อย่างหมิ่นเหม่จะตกลงทะเลไป ก็ได้เจนัสช่วย แบกพวกเขากระโดดขึ้นมาบนเกาะ

และอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาขึ้นมาได้ก็มีแผ่นดินไหว ถูกสัตว์ประหลาดบนเกาะไล่ล่า
ก็ได้เจนัสเป็นคนช่วยพวกเขาเอาไว้ และตอนนี้แม้กระทั่งทำที่พักก่อกองไฟหาอาหาร เจนัสล้วนแต่เป็นผู้ช่วยพวกเขาทั้งสิ้น
ขณะที่พวกเขาได้แต่สั่นงกๆ จากความหนาวเย็นบนเกาะ

เมื่อเขาลองสังเกตดูจึงได้เห็นว่าแม้เจนัสจะเป็นพี่เขาเพียง 1 ปี แต่กลับดูพึ่งพาได้ และรู้สึก
อบอุ่นใจ เมื่อมีเขาอยู่เคียงข้าง จึงไม่แปลกใจเลยที่ซิลเวอร์มูนหรือลากูน่าน้องของเจนัสจะ
รักและเคารพเขาอย่างมาก อีกทั้งร่างของเจนัสยังแข็งแรงกำยำ ราวกับนักรบที่ผ่านการฝึกมาอย่างสาหัสก็ไม่
ปาน แต่จากการที่เจนัสเคยเป็น 12 เทพขุนศึกทำให้เขาคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่เขาติดใจเป็นที่สุด

ก็คือท่าทีของเจนัสที่มีต่อพวกเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขายังสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่ตอนนี้กลับมาช่วยเหลือเขาเอาไว้ ราวกับเรื่องที่พวกเขาเป็นศัตรู กันไม่เคยเกิดขึ้น
อีกทั้งแม้เขาจะพยายามถามเรื่องนี้แต่เจนัสก็ปัดที่จะไม่ตอบทุกครั้งไป

“ ลอเรนว์ ”
ไลท์เรียกแต่ เขาก็ยังคง เหม่อมองอยู่
“ ลอเรนว์ ”
ไลท์เรียกอีกครั้ง ทำให้ เขารู้สึกตัวและหันมา

“ รีบกินเถอะเดี๋ยวเย็นหมดหรอก ”
ไลท์กล่าวขณะที่มือยังถือลูกไม้ ที่เจนัสเก็บมาให้และยังคงนั่งกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย
ที่ตรงหน้าเขา ชอโทริโซ่ ที่จับมากับปลาย่างถูกแล่ออกและเสียบไม้ย่างไฟที่ก่อเอาไว้จนสุกถูกตั้ง
อยู่ส่งกลิ่นหอมโชยออกมาเตะจมูก ชวนน้ำลายสอ เขาไม่รีรอที่จะรีบทานมันอย่างเอร็ดอร่อย

ส่วนเจนัสหลังจากที่เอาเสบียงส่วนที่เหลือไปเก็บตุนเอาไว้และนำ เอาเนื้อส่วนที่แล่เหลือไปแช่น้ำให้มันเย็นจนน้ำแข็ง
เกาะเพื่อถนอมอาหารไว้ ก็เดินมาร่วมวง กินข้าวกับพวกเขา

ในตอนนี้ Lr มีแต่คำถามอยู่เต็มหัวแต่ก็อดใจเอาไว้ไม่ถามออกไป แต่ดูท่าว่าเจนัสจะดูออก
เพราะเจนัส มองหน้าเขาด้วยสายตา สงสัย ทำให้เขาพยายามที่จะถามอีกครั้ง

“ เอ่อ..... ”
Lr ยังไม่ทันที่จะถามเจนัสก็แทรกตอบทันที

“ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ”
เจนัสกล่าว Lr ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงว่าใช่ เจนัสจึงถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยใจ และนิ่งไปซักพัก
เหมือนชั่งใจอยู่ว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่แล้วเขาก็เอ่ยปากจนได้

“ จริงอยู่ ที่แรกเริ่มเดิมทีพวกเราเองจ้องจะเอาชีวิตนาย แต่นั่นน่ะมันความคิดของหัวหน้าพวกเราส่วนพวกเราก็ได้แค่ทำตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ”
เจนัสกล่าวจบ เขาก็เงียบไป

“ แอสต้าสินะ ”
ไลท์ เดา แต่ก็ตรงตามที่บอกสีหน้าของ เจนัส ออกอาการทันที

“ แอสต้าน่ะเป็นเสมือนแม่ของเรา เพื่อที่จะปกป้องท่านกับวิหารจันทราและศิลานี่... ”
เจนัสกล่าวจบก็หยิบเอาศิลาจันทราที่ห้อยคอไว้ ขึ้นมาให้พวกเขาดู

“ ศิลานี่คือสิ่งที่ทำให้เรา อัญเชิญจันทราสามแบบออกมาได้ ซึ่งสองดวงที่พวกเจ้าเห็นก็คือ 2 ใน 3 แบบ ”
เจนัส กล่าวจบก็ห้อยศิลาไว้ตามเดิม พวก Lr จึงหายข้องใจเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น

“ และเพื่อที่จะเป็นการแลกเปลี่ยนไม่ให้พวก โฮลี่ไนท์แมร์ สังหารพวกเราและชิงศิลาไปเราจึงตัดสินใจสวามิภักดิ์
ต่อพวกมันและเริ่มฝึกฝนวิชาเพื่อขึ้นเป็นผู้นำกองทัพ หรือ12เทพขุนศึกนั่นแหล่ะ ”
เจนัสกล่าวจบก็ลุกขึ้นและเดินออกจากวงไป

“ เดี๋ยวแล้วนั่นจะไปไหนน่ะ ”
 Lr ถามแต่เจนัสไม่ได้หันมา แต่ตอบไปขณะที่ยังคงเดินหน้าต่อ

“ หาทางออกจากเกาะนี้ เพราะเราคงอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอก ”
เจนัสกล่าวจบก็เดินหายไป ถูกอย่างที่เจนัสกล่าวพวกเขาจะมามัว อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ไม่ได้
เพราะพวกลูกมังกรตัวอื่นๆจะต้องหลงไปอยู่ที่ไหนซักแห่งในบริเวณทะเลนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มออกสำรวจเกาะกันอีกครั้งเพื่อหาทางออก
..............................
......................
…….

ขณะเดียวกัน

ที่ป่านอกเมือง แห่งหนึ่ง เด็กชายเผ่าครึ่งสมิงผมสีเงิน เขาใส่กางเกงสีขาวเพียงตัวเดียว
ซึ่งคล้ายกับเจนัส น้องชายของเขาลากูน่าอดีตว่าที่12เทพขุนศึกนามซิลเวอร์มูน



เขานอนสลบไสลไม่ได้สติมา กว่าครึ่งวันแล้ว ตอนนี้มีเงาของหญิงสาวคนหนึ่งคลืบคลานเข้ามาหาเขา
ก่อนที่นางจะได้ทันเข้าใกล้เขา ก็มีวังวนมิติ โผล่ขึ้นมาต่อหน้านาง ในนั้นมีเงาของชายคนหนึ่ง
ที่ถือคฑาอยู่ในมือสวมเสื้อเกราะสีดำสนิท ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซอร์เซสนั่นเอง

“ ศิษย์ข้าเจ้าจงรับคำสั่งต่อไปนี้ไปจัดการเก็บคนทรยศซะ ”
เซอร์เซสกล่าว

“ หมายถึง ชาโดว์มูนกับซิลเวอร์มูนใช่มั้ยคะ ”
นางกล่าวเสียงเรียบ

“ ถูกต้องรีบเก็บกวาดให้เสร็จๆซะล่ะ ”
เซอร์เซสกล่าวจบนางก็โค้งรับพร้อมกับเอ่ยต่อทันที

“ ค่ะวางใจได้เลย ข้า 1ใน12 เทพขุนศึกจอมโจรแมวป่าRise Night (ไลซ์ไนท์ ช= อรุณราตรี)จะจัดการให้เรียบร้อยเอง  ”
นางกล่าวรับรองจบ เซอร์เซสก็ตัดการติดต่อไป นางเดินเข้าใกล้ ลากูน่า พร้อมกับกางกรงเล็บ
ที่เหมือนแมวป่าออกมา นางมีหูเป็นแมวป่าเช่นเดียวกับที่ลากูน่ามีหูหมาป่า นางอยู่ในชุดราตรีกระโปรงสั้นสีดำสนิททั้งชุด
 อีกมือนึงของนางคว้าปืนขึ้นมาควงเล่นก่อนจะหยุดเดินตรงข้างหน้า ลากูน่า ที่นอนสลบอยู่



“ จะเอายังไงดีน้าเรา ”
นางพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เสียงปืนจะดังรัวขึ้นจนลั่นไปทั้งป่า

............................
.............
.......

« Last Edit: August 31, 2008, 09:02:38 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #144 on: April 30, 2008, 06:16:51 PM »

ขณะเดียวกันพวก Lr เองก็ยังคงเดินสำรวจไปรอบๆเกาะคู่กับไลท์ จนเมื่อถึงเวลากลางวัน ความหิวเริ่มทำให้พวกเขาเหนื่อยอ่อน
พวกเขาทั้งสองจึงตีดสินใจจะกลับที่พักก่อนแล้วค่อยสำรวจต่อ

แต่ทว่าจู่ๆเกิดแผ่นดินไหวขึ้นจนเกิดรอยแยกพวกเขาตกลงไปในรอยแยกนั้นและเกาะก็เริ่ม ทลายลงเรื่อยๆ Lr
เกาะเชิงหินที่ยื่นออกมาไว้ได้ทันและไลท์ก็เกาะเอวของ Lr เอาไว้ เพราะตัวของเขาไม่สามารถบินได้เหมือนเพื่อนๆของเขา
ทันทีที่พื้นเกาะทลายจมลงพวกเขาก็ได้เห็นถึงสาเหตุที่เกาะจมลงในทันที ข้างใต้เกาะถูก น้ำวน
ชะเซาะจนเริ่มทลายไปกับแรงกระแสน้ำ เกาะนี้กำลังจะถูกน้ำวนดูด ลงไป

“ นี่น่ะเองสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อวาน ”
Lr กล่าวขณะที่ต้องคอยปัดเศบดินที่ร่วงลงใส่พวกเขา แต่แล้วทั้งสองก็ต้องใจสั่นเมื่อ
เชิงหินที่คว้าไว้ได้ มีรอยร้าวและเริ่มจะเอนลง

“ ทำไงดี ลอว์เรน ฉันกลัว~~~ ”
ไลท์กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความกลัว ความทรงจำในอดีตที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมันก็แล่นเข้ามาทันทีทันใด

“ ไม่ต้องกลัวนะไลท์ ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวเค้าต้องมาช่วยเราแน่ ”
Lr กล่าวเพื่อปลอบไลท์

“ นายแน่ใจได้ยังไงว่าหมอนั่นจะมาน่ะ ....หวา ”
ไลท์กล่าวอย่างไม่เชื่อในคำพูดของ Lr

“ ไม่หรอกฉันเชื่อนะ... ”
Lr กล่าวเสียงเข้ม

“ เอ๋~~~~ ”
ไลท์ ร้องออกมาด้วยความสงสัยขณะที่มองหาทางหนีอยู่

“ ฉันเชื่อว่าเค้าจะต้องมาแน่ หมอนั่นน่ะจะต้องมาช่วยเราแน่ฉันเชื่อว่ายังงั้น ”
Lr กล่าวอย่างมั่นใจด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แต่ ไลท์กลับตีหน้าเบ้ทันที

“ ลอว์เรนนายนี่น้า ”
ไลท์กล่าวอย่างเหนื่อยใจ

“ อ้าวเป็นอะไรไปอีกล่ะ ”
Lr ถามอย่าง งงๆ

“ ลอว์เรน นายเนี่ยนะแก้หายซักทีน้า ไอ้นิสัยเชื่อคนง่ายๆแบนี้เนี่ยเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เฮ้อ ”
ไลท์กล่าวไปพลางถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่เขาจะนึกถึงเรื่องที่เคยผ่านมา
ตอนที่อยู่หมู่บ้างมังกร(Dragon Village) ในตอนที่พวกเขายังเด็กอยู่มาก เคยถูกเพื่อนๆหรอกให้เข้าหา
สมบัติในป่าช้าของหมู่บ้านและเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกล่าโดยมังกรแห่งความสยดสยอง โรเมเนี่ยน(Lomenian, the dragon of Terror)
 หากเขาไม่พา Lr บินหนีออกมา ทันทีที่คิดถึงตรงนี้

ความทรงจำทอันเจ็บปวดที่แล่นผ่านเข้ามาเมื่อครู่ก็ยิ่งเด่นชัดเข้าไปอีก เขาจึงส่ายหัวอย่างแรง เพื่อไม่ให้ถนึกถึง
แต่ทันที่เขาเริ่มส่าย แรงจากการขยับทำให้ เชิงหินร้าวเร็วขึ้นจนพวกเขาเอนลงมาอีก
ความทรงจำนั้นแทนที่จะถูกทำให้ลืมกลับ เด่นชัดขึ้นมากกว่าเก่าอีก

และไม่นานนักเชิงหินก็ร้าวและแตกทลายลงร่างของทั้งสองตกลงมาเรื่อยๆ ในขณะที่คิดว่าจะไม่รอดแล้วความทรงจำนั้นก็ผุดขึ้นมา
 ความเจ็บปวดในอดีตที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะบินได้อีกนับแต่วันนั้น
วันที่เขาทะเลาะกับ Lr เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ในวันนั้นเขากับ Lr ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง
พวกเขาจึงออกห่างกันไปเพื่อจะไม่ต้องเจอหน้าอีกฝ่ายซึ่งในตอนนั้นเขายังบินได้อยู่ วันนั้นเขาได้บินออกไปขณะที่เมฆพายุเริ่มก่อตัว
ส่วน Lr เองก็นั่งระบายความโกรธอยู่ในบ้านโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า

ข้างนอกพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำอย่างแรง วันนั้นเป็นวันที่ ดีวายดราก้อนพ่อของพวกเขาได้ออกไปธุระนอกมิติพอดีจึงทิ้งให้พวกเขาอยู่กันสองคน ด้านไลท์ที่บินออกไปก็โดนพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างแรงจนบินไปข้างหน้าไม่ได้ จนกระทั่งฟ้าได้ผ่าลงมาโดนต้นไม้จนโค่นลงมาทับเขาที่เชิงผา
 ปีกทั้งสองข้างของเขาหักจนบินไม่ไหวและพื้นที่ถูกน้ำฝนชะ จนทลายลงเขาจึง ต้องเกาะต้นไม้ที่โค่นลงมาทับเขานั้นไว้
ซึ่งไม่ต่างจากเหตุการณ์วันนี้เลย แม้เขาจะรอดมาได้และปีกของเขาจะหายเป็นปกติแล้วก็ตามแต่ทันทีที่เขาพยายามจะบินความกลัวจากครั้งนั้นก็เข้ามาหลอกหลอนเขาจนทำให้ไม่สามารถที่จะบินได้อีกเขากลัวการบิน

นับแต่นั้นมา เขาจึงไม่เคยใช้ปีกบินอีกเลย และตอนนี้เขาเองกำลังร่วงลงสู่วังน้ำวนข้างล่าง หากแต่
เจนัสก็กระโจนลงมารับตัวพวกเขาทั้งสองเอาไว้ พร้อมกับ ท่องมนอัญเชิญจันทราศิลาจันทราอีกก้อนที่เขาได้
จากแอสต้าซึ่งห้อยคอเขาเอาไว้ก็ส่องแสงออกมา

“ ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ  จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) ”
สิ้นคำแสงจากศิลาก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ก้อนเมฆต่างพากันมาปกคลุมบริเวณรอบๆเอาไว้ ก่อนที่จันทราสีครามจะค่อยๆปรากฏขึ้นทั้งหมด
เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะตกลงสู่กระแสน้ำวน
จันทราสีคราม ที่เคยแช่แข็งผืนปฐพีของฟูดินัน ก็ยิงแสงเยือกแข็งลงมาที่น้ำวนนั้น
จนมันแข็งและกลายเป็นพื้นน้ำแข็งแทนควันอเย็นที่เกิดจากการแช่แข็งลอยตลบอบอวลไปทั่ว
เจนัสที่แบกพวกเขาไว้จึงกระโดลงบนพื้นน้ำที่แข็งตัวได้ ทันทีที่ถึงพื้น เขาก็ปล่อยตัวทั้งสองลง

แต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรกระแสน้ำรอบๆก็เริ่มหมุนวนอย่างเร็วอีกครั้ง น้ำวน
ได้ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเกาะทั้งบัดนี้ได้จมลงสู่ใต้ทะเลแล้ว น้ำทะเลทะลักถ่วมผืนป่าและพัดพา
สัตว์และสิ่งมีชวิตบนเกาะลงสู่ก้นทะเลและจมหายไปบัดนี้พวกเขายืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง
ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางทะเล ทันทีที่ เกาะจมลงน้ำวันก็เริ่มหมุนแรงขึ้นอีกครั้ง
จนแผ่นน้ำแข็งเริ่มแตกร้าว

“ ช้าไม่ได้แล้ว ต้องรีบอะไรสักอย่างไม่งั้นเรานี้ได้จมน้ำตายกันหมดแน่ ”
Lr กล่าวอย่างร้อนรน ไลท์ยังคงนิ่งเงียบจากการที่ความทรงจำอันปวดร้าวในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง

“ งั้นก็ช่วยไม่ได้คงต้องแช่แข็งทั้งทะเลแล้วล่ะ ”
เจนัสกล่าวจบก็เร่งพลังของศิลา จันทราสีคราม เริ่มยิงแสงอันเย็นยะเยือก ลงมาแช่แข็งผิวน้ำ
แต่ด้วยว่าน้ำทะเลตอนนี้ถูกวนด้วยกระแสน้ำวนจึงทำให้การแช่แข็งช้าลง แต่ผืนน้ำก็เริ่มจะนิ่งและแข็งตัวเป็นแผ่นน้ำแข็ง
 แต่แล้วแผ่นน้ำแข็งก็เกิดสะเทือนทำให้การบังคับแช่เย็นสะดุด ลง เงาขนาดยักษ์เคลื่อนไหว

อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งที่พวกเขายืนอยู่ลำตัวของมันยาวมาก ราวกับมังกรก่อนที่มันจะกระแทกแผ่นน้ำแข็งจนสะเทือนอีกครั้ง
แผ่นน้ำแข็งเริ่มร้าวจากสะเทือนพวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างล่างคืออะไร
ได้คอยระวังการสะเทือนครั้งต่อไปแต่คราวนี้มันกลับเงียบหายไปเงานั้นได้ว่ายห่างจากออกไป

พวกเขารู้สึกโล่งใจอย่างมาก แต่ไม่นานพื้นน้ำที่ไกลออกไป ก็ระเบิดน้ำพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็วก่อนจะตกลงมาราวกับสายฝน
และร่างอันมหึมาของมังกรวารีขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง

“ นี่..นี่มัน มังกรนี่นา ”
Lr อุทาน แต่แล้วก็มีแสงจากดราก้อนฮอลลี่ ส่องวูบวาบออกมาราวกับมันกำลังอ่านคลื่นพลังหรืออะไรบางอยู่ แต่ก่อนที่จะได้ทันคิดอะไรมังกรตัวนั้นก็อ้าปากพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจของมันแหวกน้ำมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับพายุก็ไม่ปาน พวกเขาถูกแรงพายุพัดจนปลิวแต่เจนัสก็รั้งตัวพวกเขาทั้งคู่ไว้
ได้ทันก่อนจะกางกรงเล็บที่เท้าเพื่อยึดเกาะพื้นน้ำแข็ง จนแน่นดีแล้วจึงพยายามทรงตัวไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม มังกรนั่นคำรามออกมาอีกครั้ง
และขณะเดียวกัน ดราก้อนฮอลลี่ก็หยุดส่งแสงกระพริบออกมา
จากหน้าจอ เสียงพูดดังออกจากมัน

“ พวกแกบังอาจปลุกข้าจากการจำศีล พวกแกต้องตาย ”
เสียงนั้นดังออกมาจากดราก้อนฮอลลี่ แม้จะไม่อยากเชื่อแต่พวกเขาก็รู้แล้วว่า
เจ้าเครื่องนี้ สามารถแปลภาษามังกรออกมาได้ จริงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้น Lr จึงคิดจะใช้มัน
เป็นสื่อในการเจรจากับมังกรนั่น แต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไร เสียงคำรามของมัน
ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่เสียงแปลจากดราก้อนฮอลลี่ ดังขึ้น

“ Tidal Wave ”(คลื่นวารีคลั่ง (ซึนามิแหล่ะแค่เปลี่ยนให้มันดูดีหน่อย))
สิ้นเสียงมังกรตัวนั้นก็โจนลงสู่พื้นน้ำอีกครั้งจนเกิดคลื่นยักษ์ ถล่มเข้าส ู่แผ่นน้ำแข็งทั้งคุ๋จึงต้องเกาะตัว   เจนัสอย่างแน่นอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เจนัสเอากรงเล็บอีกสองมือเกาะยึดเอาไว้ด้วย เพื่อความมั่นใจ
แต่ทว่าคลื่นยักษ์นั้นหามีเพียงระลอกเดียวไม่หากแต่มังกรนั่นมันโจน ขึ้นลงจนเกิดคลื่นยักษ์
ซ้อนกันหลายลูก บัดนี้คลื่นทุกลูก รวมตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่เทียมฟ้า

“ ก็าซซซซซซซซซซซซ ”(จงจมหายไปกับคลื่นทะเลซะ)
เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับที่พวกเขาถูกคลื่นพัด กระหน่ำแม้จะไม่ปลิวไปกับกระแสน้ำแต่คลื่นก็พัดจน
แผ่นน้ำแข็งพลิกคว่ำ เจนัสเห็นเช่นนั้นก่อนที่แผ่นน้ำแข็งจะเอนลงเขาก็แกะกรงเล็บมือ ออกพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะกำหมัด
ซึ่งเปล่งแสงออกมาจากการรวมพลังเวทย์ไว้ที่
กำปั้น

“ Spell Fist ”
สิ้นเสียง ทันทีที่กำปั้นกระแทกจน พื้นน้ำแข็ง ร้าวและแตกลง  แรงจากการพุ่งตัวทำให้พวกเขาลอยตัวอยู่กลางอากาศชั่วครู่ก่อนที่แผ่นน้ำแข็ง
จะเอนrลิกลง พวกเขาก็ข้ามไปอยู่อีกด้านที่พลิกขึ้นมาได้แล้ว

ทันทีที่เจนัสลงถึงพื้นเขาก็คุกเข่าลงอย่างเหนื่อยอ่อน Lr เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปพยุงตัวทันที

“ เฮ้นาย ไม่เป็นไรนะ ”
Lr ถามด้วยความเป้นห่วง แต่เจนัสก็ส่ายหน้าเบาๆแทนการตอบ Lr จึงค่อยๆผ่อนตัวเจนัสลง
ดจนัสเหนื่อยอ่อนมากจากการ ใช้พลังมนตราต่อเนื่องทั้งจากการอัญเชิญจันทรามาและการชกแผ่นน้ำแข็งเมื่อครู่อีกทั้งยังต้อง
คงสภาพของจันทราเอาไว้ไม่เช่นนั้นแผ่นน้ำแข็งนี่ก็จะละลาย

“ ก็าซซซซซซซ ” (Tempest Breath(พายุลมหายใจ))
สิ้นเสียงคำรามและเสียงจาก ดราก้อนฮอลลี่ มังกรนั่นก็อ้าปาก สูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรงจนพวกเขาแทบจะไถลไปตามแรงลม
 และเมื่อมันพ่นออกมาลมพายุพุ่งแหวกทะเลออกจาปากมันเหมือนตอนแรก
แต่ทว่าคราวนี้เจนัสไม่มีแรงจะช่วยพวกเขาแล้ว ทั้งสามจึงถูกลมพัดตกทะเลและทันทีที่เจนัส
ตกลงไปเขาก็หมดแรงที่จะคงสภาพของการอัญเชิญจันทราไว้ได้ จันทราสีครามจึงเริ่มสลายไปและแผ่นน้ำแข็ง

ก็ละลายกลับเป็นน้ำดังเดิม ตอนนี้พวกเขาลอยคออยู่ในทะเลโดย ลอว์เรนช่วยพยุงเจนัสเอาไว้ ส่วนไลท์เองก็ว่ายผุดจมผุดลอยอยู่แต่ก็ไม่ได้จมน้ำลงไป ในตอนนี้เจนัสรู้สึกสงสัยกับการที่ทั้งสองพยายามจะช่วยเขาแต่ ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาให้คิดเมื่อเจ้ามังกรยักษ์กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะงาบพวกเขาลงทะเลไป

“ ไลท์ ”
Lr หันมากล่าวกับไลท์สีหน้าของทั้งคู่เคร่งเครียด อย่างหนัก
แม้ไม่พูดเขาก็รู้ว่ามีเพียงทางเดียวที่พวกเขาจะ รอดนั้นคือทะยานสู่ท้องนภา แต่ไลท์ก็ส่ายหน้าเป็นเชิง
ให้รู้ว่าเขาทำไม่ได้ Lr จึงให้เจนัสที่ยังคงมีสติอยู่แม้จะเหนื่อยอ่อน เกาะหลังเขาไว้ ส่วนเขาก็ว่ายไปหาไลท์แล้วเอามือทั้งสอง
แตะไหล่ของไลท์ และจ้องตาของอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น

“ สุดท้ายแล้วไลท์นายต้องทำให้ได้ตอนนี้นายเท่านั้นที่ช่วยเราได้ขอร้องล่ะ ไลท์ ”
Lr กล่าวเสียงเข้ม แต่ไลท์กลับส่ายหน้า

“ เป็นไปไม่ได้หรอกฉันทำไม่ได้ Lr ฉันกลัว ทุกครั้งที่จะกางปีกมันก็แวบเข้ามาในหัว ฉันรู้นะว่าคราวนี้มันจำเป็นแต่ฉันทำไม่ได้ ลอว์เรนฉันทำไม่ได้  ฉันบินไม่ได้หรอก ”
ไลท์กล่าวออกมาทั้งน้ำตา เขาไม่อาจเอาชนะความกลัวที่ฝังใจเขามาตลอดได้

“ ไลท์..... ”
Lr กล่าวเสียงอ่อนลง แต่แล้วเจ้ามังกรนั่นก็พุ่งมาแม้พวกเขาจะว่ายหลบไปได้ แต่เขี้ยวของเจ้ามังกรนั่นก็
เฉี่ยวถูกขาของ Lr  และขาข้างที่ถูกเฉี่ยวก็เริ่มมีน้ำแข็งเกาะ Lr เริ่มรู้ว่าตัวเขาเย็นลงขาของเขาเริ่มที่จะชา
จนไม่มีแรง นี่เป็นผลจากพิษของ มังกรวารีนี้
ทั้ง Lr และเจนัสที่เกาะอยู่ด้วยเพราะไม่มีแรงจะว่ายน้ำ กำลังจะจมมิจมแหล่อยู่
ไลท์เห็นดังนั้นจึงหันไปสนทนากับเจ้ามังกรวารีให้ปล่อยพวกเขาไป

“ กีซซซซซซ ”(ท่านมังกรวารีได้โปรดไว้ชีวิตเราด้วยเถอะ)
ไลท์ขอร้องทั้งน้ำตาแต่เจ้ามังกรยักษ์ดูจะไม่ได้สนใจท่าทีของเขาเลย
“ ก็าซซซซซซซซ ” (พวกเจ้าบังอาจมารบกวนข้า มังกรวารีผู้ยิ่งใหญ่ จอร์มอนการ์ด ผู้นี้แล้วคิดว่าจะรอดไปอีกเรอะ ฝันไปเถอะ)
เจ้ามังกรยักษ์ตอบกลับ ทันทีที่ได้ยินชื่อของมังกร ตัวนั้นเขาก็นึกออกเขาเคยได้ยินจากครูอีสควอเทียว่า
มันเป็นมังกรวารีแห่งตำนานที่อาศัยอยู่ ในน่านน้ำทะเลของแอนดิซองมันคือ มังกรจอร์มอนการ์ด (Jormungand, the Legendary Dragon)
เขี้ยวของมันมีพิษที่ทำให้ร่างกายชาราวกับเป็นน้ำแข็ง
อีกทั้งมันยังมีอำนาจในการสร้างน้ำวน มังกรตัวนี้ต้องใช้คาถาในการผนึกสะกดวึ่งจะทำโดย
จอมเวทย์แห่งราชวงศ์แอนดิซอง



“ กีซซซซซ ”(ทำไมกันเราไม่ได้ไปรบกวนอะไรท่านเลย ท่านนั่นแหล่ะที่มาระรานเราก่อน)
ไลท์สวน

“ ก็าซซซซซซซซซซ ” (อย่ามาปากแข็งยังไงซะพวกแกต้องตาย)
มันคำรามตอบกลับก่อนสร้างคลื่นยักษ์ ไลท์หันกลับมาดูอาการของ Lr
ตอนนี้ Lr ไม่มีแรงที่จะว่ายอีกแล้วไลท์จึงต้องช่วยพยุง ในใจเขาตอนนี้สับสนไปหมด
หากเขาไม่บินพาทุกคนหนีเขาและทุกคนก็ต้องจมทะเลตายแต่หากเขาบิน ความเจ็บปวดฝังใจนั่นก็จะทำให้เขาต้องหวาดวิตก
ตอนนี้เขาราวกับอยู่บนทางแยกสองทางเขาต้องรีบตัดสินใจในทันทีเพราะ วินาทีนี้คลื่นได้กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆแล้ว

“ ถ้าเรามัวแต่กลัวอยู่อย่างนี้เราก็จะทำให้ทุกคนต้องตายไปด้วยนี่ เป็นทางเลือกที่ดีแล้วเหรอ ”
ไลท์คิดในใจขณะที่กำลังตัดสินใจอยู่นั้น มโนภาพจากความทรงจำอันเจ็บปวดก็ได้แทรกเข้ามา
แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะบินอีกครั้งทันทีที่สยายปีก ความเจ็บปวดของความทรงจำก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเขาแทบท้อใจแต่ทว่าในตอนนั้นมโนภาพนึงก็ผุดขึ้นมาในใจมันเป็นมโนภาพที่เขาจำได้แม้จะเรือนลาง เขาหันมามองหน้า Lr ที่เริ่มซีดเพราะผลจากพิษ ใช่แล้วในวันนั้น
ขณะที่เขากำลังจะตกลงจากหน้าผาคนที่ มาช่วยเขาไว้ คนฝ่าพายุอันบ้าคลั่งเข้ามาจับมือเขาไว้
 Lr ที่เป็นห่วงจึงออกมาตามหาเขาท่ามกลางพายุฝนในวันนั้น ทำให้เขาคืนดีกับ Lr

อีกครั้งแต่ทว่าเป็นเพราะ ความกลัวที่เกือบจะทำให้เขาต้องปิดผนึกมันไปพร้อมกับความทรงจำอันดีนี้ด้วย
ทันทีที่นึกได้เช่นเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปเขากระพือลาทั้งสองขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว โดยไม่กลัว
แม้ทั้งสองจะหนักจนเขาแทบจะบินไม่ขึ้นแต่เขาก็พยายามจนสำเร็จพวกเขา
ทะยานขึ้นสู่ฟ้าได้และหลบคลื่นยักษ์สำเร็จแต่ทว่า

จอร์มอนการ์ดก็ตรงรี่เข้ามาหมายจะขย้ำพวกเขา มันอ้าปากกว้างและพุ่งเข้าทันใดนั้น
ที่บนท้องฟ้าอันห่างไกลแห่งหนึ่งยานยนต์รูปร่างคล้ายมังกร ส่วนที่น่าจะเรียกได้ว่าพัง พืดของมังกรปีกของมันบางและใสราวกับกระจก
 มันบินด้วยความเร็วสูงอยู่เหนือน่านฟ้าจนแทบจะใกล้กับสรวงสวรรค์
ล่องที่ส่วนหัวของมันซึ่งเป็นเสมือนตาของมันเริ่มส่องแสงสีแดงออกมา ก่อนที่

สิ่งที่คล้ายกับปืนใหญ่กำลังจะรวบรวมพลังงานจนเกิดเป็นสว่างส่องวาบออกไปอย่างรวดเร็ว
แสงนั้นตรงออกไปยังที่ที่พวกไลท์อยู่ แสงนั้นเข้าห่อหุ้มตัวเขาไว้ทำให้จอร์มอนการ์ดไม่อาจ
ทำอันตรายพวกเขาได้ ดราก้อนฮอลลี่เริ่มปฏิกิริยากับแสงนั้น ไฟหน้าจอของมันเริ่มกระพริบอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงออกมา

“ Down Load Tag ”
เสียงของมันดังออกมาเป็นเสียงทุ้มต่ำราวกับเสียงเครื่องยนต์กลไกที่กระหึ่มเป็นเสียงออกมา

“ Set Up Complease ”
เสียงของมันดังอีกครั้งก่อนที่จะมีสัญลักษ์บางขึ้นบนหน้าจอ มันเป็นสัญลักษณ์ ประจำธาตุแห่งแสง
ก่อนที่จะมีแสงสว่างวาบออกมาอาบร่างของพวกเขาไว้ ภายในเกราะกำบังที่ได้จากแสงที่พุ่งตอนแรก
จอร์มอนการ์ดเริ่มสูดลมหายใจก่อนจะพ่นออกมาเป็นพายุ
และทันทีที่พายุกระทบถูกเกราะกำบัง จนมันแตกสลายแสงก็จางลงพร้อมกับลมพายุที่แรงกว่าพัดต้านแรงลมที่มันพ่นออกมา
จนสลายไปด้วยขนนก สีขาวที่หลุดออกมากับแรงลมร่วงโปรยปรายลง Lr และเจนัสต่งต้องประหลาดใจเมื่อพวกเขาอยู่บนหลัง
ของมังกรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นมังกรที่มีรูปร่างคล้ายกับกริฟฟิน
ขนของมันอ่อนนุ่มราวกับขนนกและเป็นสีขาวสะอาด ขาของมันเป็น นก กริฟฟิน

“ ไม่เป็นไรนะ ทั้งสองคน ”
เสียงของมันดังขึ้น แต่ Lr จำได้ว่านั่นคือเสียงของไลท์

“ ไลท์นั่นนายเองเหรอ ”
Lr อุทาน อย่างไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง บัดนี้เพื่อนของเขากลายร่างเป็นครึ่งมังกรครึ่งกริฟฟินไปแล้ว

“ แผลนั่นน่ะเดี๋ยวจะรักษาให้อยู่นิ่งๆนะ ”
ไลท์หันมาดูที่ขาของ Lr และพ่นลมหายใจออกมา พิษที่อยู่ในร่างก็จางหายไปราวเวทมนต์
เขารู้สึกสดชื่นขึ้น ราวกับได้เกิดใหม่และปากแผลก็ปิดสนิทลงทันที

“ ยอดไปเลย ขอบใจนะไลท์ ”
Lr กล่าวขอบคุณ

“ อืม ไม่หรอกที่ควรจะต้องขอบใจคือฉันต่างหากเพราะนายทำให้ฉันมีความกล้าที่พยายามจะบินอีกครั้งปาฏิหารย์เลยเกิดขึ้น ”
ไลท์ตอบซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นรู้ แต่เพียงว่าอยู่ๆก็มีพลังพวยพุ่งออกมา
และตอนนี้ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวเหมือนในตอนที่เขาเคยรวมร่างกับ Lr เพื่อเป็นทาลูคูส

 “ จงกล่าวนามของเจ้าออกไป..... ”
เสียงนั้นดังขึ้นในหัวของเขา ซึ่งด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดทำให้เขาไม่ลังเลเลยที่จะทำตามนั้น

“ ก็าซซซซซซซซ ”(เจ้าเป็นใครกันทำไมถึงได้มาขัดแข้งขัดขาข้า ข้าจะไม่ปล่อยแกไว้แน่จมทะเลลงไปซะ)
จอร์มอนการ์ดคำราม ก่อนที่จะเริ่มสร้างคลื่นยักษ์อีกครั้ง

“ เจ้ามังกรโอหัง โทสะของเจ้าจักทำให้ผู้คนเดือดร้อน ”
ไลท์กล่าวออกมาโดยที่แทบจะไม่รู้สึกตัวเลย แต่น้ำเสียงของเขาทำให้ Lr กับเจนัสรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
เพราะราวกับเมื่อกี้นี้เค้าไม่ใช่ตัวของตัวเอง

“ ก็าซซซซซซ ”(ไม่สนใครมันบังอาจต่อกรกับข้าต้องตาย)
จอร์มอนการ์ดคำรามขณะที่กำลังผุดขึ้นมาจากน้ำ

“ หึงั้นเราจะได้เห็นดีกัน จงฟังเอาไว้ข้าคือ มังกรกริฟ(Dragogriff) อิมซาน(Imsarn, the Shining Dragogriff) ”
ทันที่กล่าวจบคลื่นยักษ์ก็ถูกสาดเข้ามาอิมซานจึงเริ่มรวบรวมพลังงาน จนทั้งร่างเปล่งแสง
ความร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากร่าง Lr และเจนัสรู้สึกได้ทันทีจากการร่างอันเปียกโชกของพวกเราแห้งลงทันตา




“ Flash Flame ”
สิ้นคำแสงพลังงานก็พุ่งออกมาจาก จงอยปากของ อิมซาน แสงนั้นแรงกล้าจนแผดเผาคลื่นยักษ์ที่สาดเข้ามาแห้งเหือด
ไปในบัลดล แสงนั้นพุ่งตรงต่อไปอาบจอร์มอนการ์ด ผิวของมันร้อนและแห้ง จากการถูกแสงสาดใส่มันร้อนและเจ็บแสบระคายผิวราวกับถูกย่างทั้งเป็น
มันทนไม่ได้จึงหนีหายลงทะเลไป

“ คิดหนี รึ ฝันไปเถอะ ”
อิมซานไม่รอช้ารีบรวมพลังอีกครั้งก่อนจะพ่นแสง ลงทะเลไปจนน้ำทะเลเดือดปุดๆ
จอร์มอนการ์ดทนความร้อนไม่ไหวจนต้องดำลึกหายลงทะเลไป

“ แค่นี้คงจะเข็ดไม่กล้ามารังควานอีกแล้วนะ ”
อิมซาน กล่าว

“ เฮ้ทุกคน ”
เสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหลังพวกเขา วิลนั่นเองที่เรียกพวกเขา



.....................
.............................
..................................

ด้าน ลากูน่า ที่บัดนี้ครึ่งสมิง แมวป่า สาวกำลังคิดจะจัดการเก็บเขาโดยชักปืนออกจากซอง
ปืนของนาง เป็นปืนสั้น ที่มีช่องบรรจุกระสุนเป็นลูกโม่ ปากกระบอกปืนขนาดใหญ่และมีรู กระสุน 8รูด้วยกันซึ่งตรงกับตำแหน่งที่ลูกโม่กระสุนจะถูกใส่เข้าไปนางบรรจงใส่ลูกกระสุนเข้าไปในลูกโม่ของปืนแปดนัด
ก่อนจะลั่นไกปืนยิงขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วกระสุนทั้ง 8 นัดถูกยิงออกมาพร้อมกันทั้งหมด

 ทันทีที่กระสุน พุ่งออกจากปืนมันก็กลายเป็นแสงพลังงานพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาก่อนจะเบนทิศมารวมกันที่ปลายทาง

และระเบิดจนดังลั่นป่า แสงสีที่ส่องออกมาราวกับพลุก็ไม่ปานเสียงที่เกิดจากการระเบิดทำให้ลากูน่าสะดุ้งตื่น ด้วยความตกใจ
เช่นกันพอๆกับที่พวกฝูงนก ในป่าพากันบินหนีไปด้วยความตกใจ ทันที่ เขาเห็นนาง
เขาก็ตั้งท่าด้วยความหวาดระแวง แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจกับท่าทีของนาง
เพราะนางพุ่งเข้ามาโอบกอดเขไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก

“ โอ๋ๆเด็กดีตื่นแล้วเหรอจ้ะ ”
นางกล่าวเสียงหวานทำให้เขางง ไปหมดหลังจากที่นางปล่อยเขานางก็แนะนำตัวทันที

“ ฉันชื่อนีน่า(Neena)จ้ะ ”
นางกล่าวเสียงใส ทำให้ เขารหน้าแดงด้วยความเขินอาย

“ ผ..ผมชื่อ ลากูน่า ครับ ”
เขาแนะนำตัว

“ ลากูน่าเหรอยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ ”
นางกล่าวพร้อมกับยื่นมือออกไปซึ่งลากูน่าเองก็ยื่มมือออกไปจับมือเพื่อเป็นการทักทาย

“ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ”
ลากูน่ากล่าว นางยิ้มให้อย่างเป็นมิตรทำให้เขาไว้วางใจนาง
และทันทีที่เขาหันไปนางก็ยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย

“ ฮึๆเซอร์เซสอีกไม่นานแล้วรอก่อนเถอะ... ”
นางคิดในใจ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า พวก Lr ได้พบกับวิลและแล้วพวกเขาก็ถูกวิลนำไปที่ เกาะร้างกลางทะเลอีกแห่งหนึ่งที่นั่นครูอีสควอเทีย
คอยพวกเขา และแล้วพวกเขาก็ได้ทราบถึงเรื่องราวในอดีตของตนที่เกี่ยวข้องถึงกัน ละตำนานของพวกเขาก็เปิดฉากขึ้น.....
พบกันในตอนหน้าบทที่ 16 ตำนาน
« Last Edit: August 31, 2008, 09:04:00 PM by greamon » Logged


boy
Member
*****
Offline Offline

Posts: 1106


Email
« Reply #145 on: April 30, 2008, 08:48:45 PM »

เนื้อเรื่องชักจะเหมือนดิจิม่อนเข้าไปทุกวินาที  ตกลงนังนีน่ามันดีหรือเปล่าเนี่ย
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #146 on: April 30, 2008, 09:54:08 PM »

แม้แค่คล้ายๆกันเอง อีกอย่างผมก็เป็นดิจิม่อนตัวนึงน้าอิอิ ;D
ส่วนนีน่าดีไม่ดีเดี๋ยวดูกันไปนะครับคงไม่กี่บทก็รู้แล้วล่ะ

นี่ถ้าทรยศอีกคนเซอร์เซสไปเกิดใหม่เลยดีกว่ามีแต่ศิษย์ทรพี เหอๆๆ :D
Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #147 on: May 06, 2008, 07:07:29 PM »

มาแว้วบทที่16จ้า แหมรู้สึกว่าช่วงนี้นิยาย ผมเขียนแล้วมันโดดฉากไปมาเยอะยังไงๆก็ไม่รู้เนอะ ยังไงก็ทนเอ่หน่อยนะครับ
เพราะตัวละครมันอยู่คนละที่ละแหง่เลย ส่วนนิยายผมมีส่วนคล้ายดิจิม่อนเนี่ยรู้สึกแบล็คไวเซอรืก็จะได้แนว
เดียวกับอังเคนิม่อนเลย เพียงแต่ของใช้เส้นผมกะดาร์คทาวเวอร์แต่ของเราใช้ขนนกกะดาร์คซีลก็พอถูไถเนอะ 5555+ ;D

บทที่ 16 ตำนาน

ณ ชายป่า อาณาจักรฟีเลเซียอันเป็นที่ตั้งบ้านของทิโมธีซึ่ง บัดนี้เขากำลัง
สนทนาอยู่กับเกรเกอรี่ อยู่กันเพียงสองคนโดยไม่ได้มีทหารหรือใครตามมาให้การอารักษ์ขา
แต่อย่างใดหากเป็นเพราะนี่เป็นการแอบมานัดพบกันของทั้งสอง ซึ่งนับตั้งแต่ที่พวกเขา
แยกจาก พวก Lr เพราะอุบัติเหตุการระเบิดของพลังข้ามมิติ แต่โชคยังดีทีไม่มีใครโดนลูกหลงไปด้วย
ซึ่งพวกเขาได้กลับกันมาจากฟูดินันก็นับเป็นเวลาสามวันแล้ว

“ แล้ว ชาว์ล ไม่ได้มากับท่านด้วยเหรอ ”
ทิโมธีเอ่ยถาม

“ เขาพักรักษาตัวจากการปะทะกับพวก โฮลี่ไนท์แมร์ อยู่น่ะ ”
เกรเกอรี่ตอบทำให้ทิโมธีหายสงสัยแต่ ดูเหมือนทิโมธีมีอะไรจะพูดกับเขาสักอย่างแต่
แล้วก็ตัดใจไม่เอ่ยปากแล้วออกคำสั่งให้ทินทอนไปยกชา มาบริการ
ก่อนจะหันกลับไปถามเขา

“ แล้ววันนี้ท่านมาหาเราทำไมล่ะ มีธุระอะไรรึ ”
ทิโมธี ถามถึงธุระระหว่างที่เกรเกอรี่เองก็ กำลังวุ่นกับการรับถ้วยชาจากมือของทินทอน
มือของมันสั่นไม่เลิกเหมือนกับระบบจะมีปัญหาขึ้นมากะทันหันก่อนที่จะล้มกราวลงไป
หลังจากที่วางถ้วยชาลงบนโต็ะ ซึ่งทิโมธีก็รีบเข้าไปดูอาการของเจ้าหุ่นกระป๋องทันที

“ อืมดูท่าทางน็อตจะหลวมไปหน่อยล่ะมั้ง ”
ทิโมธีพึมพำขณะดูอาการของเจ้าหุ่นกระป๋อง ก่อนจะยกมันขึ้นไปวางบนโต็ะเครื่องมือ
จัดแจงเอาเครื่องไม้มือเตรียมไว้ก่อน จัดรามือแล้วกลับมาสนทนากลับเกรเกอรี่อีกครั้ง

“ เอาไว้คุยให้เสร็จก่อนก็ละกัน แล้วค่อยซ่อมนะ ทินทอน ”
ทิโมธี กล่าวทิ้งกับเจ้าหุ่นที่ดูจะหยุดทำงานไปแล้ว

“ งั้นก็มาคุยธุระกันให้เสร็จเลยละกันเพราะข้าเองก็ไม่มีเวลาแล้ว ”
เกรเกอรี่ กล่าวก่อนที่บรรยากาศในห้องจะเริ่มตึงเครียดเพราะการสนทนา

…………………….
……………
…..

ที่เกาะร้างกลางทะเลซึ่งไม่อยู่ในแผนที่ น่านน้ำรอบเกาะถูกปกคลุมด้วยหมอกและวังน้ำวน
จึงไม่เคยมีเรือเข้ามาใกล้เกาะนี้ได้ และเพราะหมอกที่ปกคลุมทำให้แม้แต่เรือบินหรือสตว์พาหนะที่บินได้ก็
ไม่อาจฝ่าหมอกนี้ได้
แต่บัดนี้ พวก Lr ได้ขี่หลังของ เทลูมานามังกรแห่งนภา (Telumana, the Sky Dragon)



บินข้ามทะเลหมอกและน้ำวนที่ปิดกั้นเกาะออกจากโลกภายนอก พวกเขาบินสูงเหนือน่านฟ้าด้วยความเร็วสูง
และเทลูมานาก็ได้บินพาพวกเขาฝ่าน้ำตกของหน้าผาเกาะไป Lr เจนัส วิล และ ไลท์ต่างก็เปียกปอนจากการฝ่าน้ำตก ด้าน
หลังน้ำตกเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่พอสมควร พวกเขาบินลึกเข้าไปเรื่อยๆ



ทางยิ่งมืดลงๆ จนผ่านไปซักระยะพวกเขาก็เห็นแสงที่ปลายทางเมื่อบินออกมาพวกเขาก็ได้
เห็นสภาพภายในถ้ำ มีต้นไม้โตขึ้นเต็มไปหมด แสงจากโพรงบนเพดานถ้ำที่เว้นว่างอยู่ซึ่งเล็ดลอดลงมาตามช่องว่างของเถาวัลย
์ที่โตและปกคลุมเพดาน ถ้ำอยู่ส่องลงกระทบกับทะเลสาบเป็นประกายงดงาม
ที่ต้นทะเลสาบมีน้ำตกขนาดย่อมไหลลงมา เสียงอันดังจากการกระทบของน้ำทำให้พวก Lr หาได้ไม่ยากเลย

เทลูมานา ส่งพวกเขาลงเพียงแค่ตรงนี้ก่อนจะบินขึ้นผ่านร่องเถาวัลย์ ไปอย่างรวดเร็ว

วิลเดินนำพวกเขาอ้อมทะเลสาบไป จนถึงชะง่อนหินขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมา จนถึงแอ่งน้ำตก
บนนั้นมีมังกรชราตัวหนึ่งนั่ง อยู่ร่างของมันมีสีเขียวราวกับมรกต Lr และ ไลท์ยิ้มออกทันที
เพราะเขาทั้งสองรู้จักกับมังกรชราผู้นี้ดี อีสควอเทียครูวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนังกรนั่นเอง



………………………
………………
……..

ด้านลากูน่า

ตอนนี้ลากูน่าและนีน่าทั้งสองได้เดินทางสู่หมู่บ้าน จากชายป่าที่เขา สลบอยู่

และในตอนที่กำลังจะผ่านประตูเข้าหมู่บ้าน ลากูน่าก็หยุดเดินเอาซะดื้อๆ ทำให้นีน่าอดสงสัยไม่ได้

“ มีอะไรเหรอลากูน่า เป็นอะไรไปน่ะ ”
นีน่าถามด้วยความเป็นห่วง

“ คือว่าเราจะเข้าไปจริงๆน่ะเหรอครับ หมู่บ้านของมนุษย์เนี่ย ”
ลากูน่าพูดเสียงสั่นนิดๆ ด้วยความตื่นเต้น

“ เอ๋ ก็ใช่สิจ้ะ ทำไมถามแปลกๆยังงั้นล่ะ ”
นีน่ากล่างอย่างประหลาดใจในคำตอบของเขา

“ ก็เราน่ะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ทั้งสมิงเลยนะครับขืนเข้าไปทั้งสภาพ
แบบนี้เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นกันหมดพอดี ทางที่ดีผมว่าเรารีบกลายร่างเป็นสัตว์ก่อนจะมีใครมาเห็นดีกว่านะครับ ”
ลากูน่ากล่าวอย่างรีบร้อนคอยหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าไม่ใครเห็นพวกเขา
นีน่า เห็นเช่นก็อดหัวเราะไม่ได้ ทำให้ลากูน่ารู้สึกงง กับท่าทีของนาง
“ คือว่านี่นะ ลากูน่าไม่ต้องกังวลหรอกเพราะที่นี่น่ะ…. ”
นางยังกล่าวไม่ทันจบก็มีเสียงของหญิงชราดังมาซึ่งนั่นทำให้เขาเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที

“ อ้าวนีน่า สบายดีมั้ยจ้ะ แล้วนั่นใครน่ะ คนรักของหนูหรือจ้ะ ฮิๆ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง ”
เสียงนั้นดังมาจากข้างหลังเขา เมื่อเขาหันไปเขากลับต้องประหลาดใจมากกว่าเดิม
เมื่อเจ้าของเสีงกลับเป็นหญิงชราที่เป็นครึ่งสมิงด้วย นางเป็นครึ่งสมิงหมี
ขณะที่เขากำลังประหลาดใจอยู่นั่นเอง ก็มีเด็กชายครึ่งสมิงหมาป่าที่อายุราว 5 ปี
4 คนวิ่งเล่นผ่านพวกเขาไป และยังไม่ทันไร ก็มีชายสูงอายุอีกคนเดินสวนมาเช่นกันเขาเองก็เป็นครึ่งสมิง
โดยที่เขาควงมือกับมนุษย์หญิงสาวมาด้วย

“ อ้าวไง นีน่า ไม่เจอกันซะนานเลยนะนี่ กลับมาจากการเดินทางแล้วเหรอ ”
ชายครึ่งสมิงคนนั้นเดินเข้ามาคุยกับนาง

“ อ๋อค่ะพึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เองค่ะ ”
นีน่ากล่าวตอบ

“ แหม หนูนีน่า นี่ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะ แล้วนั่นพาใครมาด้วยจ้ะ คนรักเหรอ แหมแต่ดูเหมือนน้องชายมากกว่านะจ้ะ ”
หญิงที่เดินมากับชายครึ่งสมิงเมื่อครู่เข้ามาทักบ้าง นางมองลากูน่าอย่างเอ็นดู

“ อ๋อนี่น่ะค่ะฉันเจอเขาระหว่างทางเห็นว่าผลัดหลงกับพี่ชายก็เลยพามาด้วยน่ะค่ะ ”
นีน่า ตอบ ทำให้พวกชาวบ้านเปลี่ยนท่าทีด้วยความเห็นใจ

“ โถๆๆ หนูคงเหงามากเลยสินะ ขอให้เจอพี่ชายไวๆนะ ”
หญิงชรากล่าวก่อนจะจากไป

“ นะนี่มันอะไรกันครับเนี่ย ”
ลากูน่าหันมาถาม นีน่า ในใจเขาตอนนี้สับสนไปหมดแล้ว
นีน่าเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มๆเพราะกับตอบกลับไป

“ คือว่าก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะ นี่คือหมู่บ้านที่ครึ่งสมิงและมนุษย์อยู่รวมกันยังไงล่ะ ”
นีน่าตอบ แต่แล้วลากูน่ากลับรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของนางมากกว่า

“ ต..แต่ว่าครึ่งสมิงน่ะไม่น่าจะเหลืออยู่ในทวีปเมอริเซียแล้วนี่นา ”
ลากูน่ากล่าวอย่างตกตะลึง

“ แหงสิก็ที่นี่น่ะมันนอกทวีปเมอริเซียแล้ว ”
นีน่ากล่าว


…………………
…………
………..

“ อาจารย์ อีสควอเทีย ”
“ กีซซซซซซ ”(อาจารย์ อีสควอเทีย)
Lr และ ไลท์อุทานอกมาพร้อมกันด้วยความดีใจ

“ ก็าซซซซ ”(ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทั้งคู่เลย)
อีสควอเทียกล่าวต้อนรับก่อนจะกระโดลงมาจากชะง่อนหิน ลงมาตรงหน้าพวกเขา

“ ครูรอพวกเธออยู่นานแล้วล่ะ เอาล่ะมาทานอะไรกันก่อนสิ ”
อีสควอเทียกล่าวจบก็เดินนำพวกเขาไปทางด้านป่าที่โตในถ้ำแห่งนี้
ต้นไม้ทุกต้นล้วนมีผลไม้ชนิดที่ไม่เคยเห็นลูกใหญ่ขึ้นเต็มไปหมดทั้งต้น

 “ กีซซ กีซ ” (Lr ไลท์)
เสียงดังมาจากทางทะเลสาบ เมื่อพวกเขาหันไปก็เห็น นอฟฮอฟแบกปลา
มาเต็มไม้เต็มมือ ไปหมดซึ่งปลาพวกนีก็คงจะจับมาจากน้ำตกที่พวกเขา
เพิ่งเดินมา

“ นอฟฮอฟ ”
 Lr กล่าาวพร้อมกับเข้าไปช่วยถือปลาไว้และแบกมาวางลงตรงหน้าพวกเขา

“ เอาล่ะจ้ะมาทำอาหารกันเลยนะจ้ะ ”
เสียงของอีสควอเทีย สะท้อนเข้าไปที่ ดราก้อนฮอลลี่ และถูกแปลออกมาแม้
ทุกคนจะชินแล้วก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดีแต่ที่แปลกกว่าก็คือทั้งที่อีสควอเทียไม่เคยได้เห็นหรือได้ยิน
เกี่ยวกับดราก้อนฮอลลี่แท้ๆแต่ดูเหมือนอีสควอเทียจะไมได้ แปลกใจเลย
แรกๆเขาก็คิดว่า อีสควอเทียคงจะไม่ได้ยิน แต่แล้วไลท์ก็อดสงสยไม่ได้จึงได้ถามขึ้น

“ เอ่อคือ อาจารย์จะไม่ถามหน่อยเลยรึครับ เรื่องเจ้าสิ่งนี้น่ะ แล้วก็เรื่องของเค้าคนนี้ด้วย”
ไลท์กล่าวขณะที่ชี้ไปยัดราก้อนฮอลลี่ทางชี้ไปที่ เจนัสทาง

“ ทำไมล่ะ อาจารย์เองก็ไม่สงสัยอะไรซะหน่อย ”
อีสควอเทียตอบ แต่แล้วคำตอบขงเขาดูจะทำให้พวก เค้างง ซะมากกว่า

“ โอ้ตายจริงสงสัยอาจารย์คงต้องเล่าให้ฟังแล้วล่ะ แต่หลังทานอาหารเสร็จนะ ”
อีสควอเทียกล่าวจบ ก็แยกไปเตรียมอาหารทันที
ทิ้งไว้แต่เพียงความสงสัยให้กับพวกเขา

………………

“ งั้นก็หมายความว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ ”
ทิโมธีกล่าว ก่อนจะยกถ้วชาขึ้นมาจิบชาอึกใหญ่

“ มีความเป็นไปได้สูงมากเพราะถึงขนาดให้เหล่าแม่ทัพทั้ง 12 ส่วนหนึ่งถอนกำลังมาที่ฟูดินันเลย ”
เกรเกอรี่กล่าว ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่ดู ทิโมธีจะไม่ค่อยสนใจต่อท่าทีของเขาเลยกับนั่งจิชาต่ออย่างเฉยเมย
ทำให้เกรเกอรี่แกล้งกระแอ่มไอขึ้นเพื่อเรียกเขาทำให้ ทิโมธีรีบวางถ้วยชาทันที

“ อ..เอ่อโทาที เล่าต่อเลย ”
ทิโมธี กล่าวอย่างระสับระส่ายก่อนจะวางถ้วยชาลง เกรเกอรี่จึงเริ่มกล่าวต่อ

“ เราคิดว่า จะเริ่มระดมพลกันซักที เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกมันคืออะไรกันแน่ ”
เกรเกอรี่ กล่าว

“ แล้วท่านรายงายเรื่องนี้ให้เบื้องบนได้ทราบรึยัง ”
ทิโมธี กล่าวถาม แต่แล้วเกรเกอรี่ก็มองซ้าย มองขวา ก่อนจะลุกขึ้น เขยิบเข้าไปกระซิบที่หูของทิโมธี
 เป็นสัญญาณว่าเรื่องที่จะพูดกันต่อจากนี้สำคัญมาก ทิโมธีจึงรีบลุกไปปิด
หน้าต่างและประตูทั้งหมดก่อนจะกลับมานั่งที่

“ เราคิดว่าในตอนนี้ เบื้องบนดูแปลกๆอยู่อาจมีหนอนบ่อนไส้ เลยยังไม่ได้แจ้งไป ”
เกรเกอรี่กล่าว

“ แล้วอะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้น ”
ทิโมธีกล่าว

“ เพราะเมื่อวานตอนทีเราจะเข้าแจ้งเรื่องนี้ต่อท่านมหากษัตริย์ เราได้เห็นคนที่เราไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้น่ะสิ ”
เกรเกอรี่กล่าวเสียงเบา

“ ใครล่ะ ”
ทิโมธีกล่าวเขาเริ่มรู้สึกรำคาญกับท่าที ระแวงเกินขีด ของเกรเกอรี่เต็มทนทั้งที่
ที่นี่ก็อยู่ห่างจากเมืองั้งไกลแถมยงมีประตูกับหน้าต่างที่เขาออกแบบมาอย่างดี
ที่แม้แต่เสียงยังเล็ดออกไปไม่ได้ สาเหตุที่เขาต้องทำซะหนาแน่นขนาดก็มา
จากการที่อยู่ระหว่างการทดลองหากผิดพลาดจนเกิดเสียงระเบิดชางบ้านจะได้
ไม่ต้งแตกตื่นเพราะจะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกไปเลย

“ ก็คนที่เราเคยเจอตอนที่ เดินเอาเครื่องสื่อสารไป กระจายให้กองกำลังที่อยู่ด้านนอกทวีปน่ะสิ ”
เกรเกอรี่กล่าวได้เพียงเท่านั้นทิโมธีก็เริ่มมีอาการตึงเครียดทันที

“ ใช่หมอผีที่ใส่ชุดเกราะดำนั่นรึเปล่า ”
ทิโมธีกล่าว ซึ่งเกรเกอรี่เองก็พยักหน้าตอบ สีหน้าของทิโมธี เปลี่ยนไปทันที เขาเริ่มหวาดระแวง
“ แล้วนี่เราจะไม่เป็นะไรกันเลยเหรอหากว่ามันเข้ามาได้แล้วปานนี้ทั้งอาณาจักรเองก็คงตกเป็นของพวกมันแล้ว ”
ทิโมธีกล่าวอย่างร้อนรน

“ ใจเย็นๆก่อน สิ ”
เกรเกอรี่กล่าวเตือนสติทำให้ทิโมธีเลิกร้อนรนได้ และกล่าวต่อทันที

“ ฟังนะเราคิดว่าจะสั่งรวมพลโดยที่ไม่แจ้งใหทางเบื้องบนทราบ ”
เกรเกอรี่กล่าว

“ แล้วท่านจะทำยังไง  คราวก่อนที่เราไปกันโดยไม่บอกไม่กล่าวก็เล่นเอาวุ่นกันซะให้หมดทั้งอาณาจักรจนแทบจะ
เกิดสงครามความขัดแย้งกันเลยนะ ดีที่ว่าคราวก่อนเรากลับมาทันพอดี ขืนท่านหายตัวไปอีกทีคราวนี้มีหวังได้ถูกจับไปสอบแน่
ดีไม่ดีพวกนั้นมันจะหาข้ออ้างมาสังหารเราก็ได้ ”

ทิโมธี กล่าว

“ ก็เพราะยังงี้ไงเราถึงได้จะหาตัวแทนที่จะไว้ใจให้ส่งสารให้เราได้โดยที่ไม่มีใครสงสัย ”
เกรเกอรี่อธิบาย แต่ทิโมธีถึงกับวิตกเลยทันที

“ นี่คงไม่ได้หมายความว่าจะให้ข้าไปคนเดียวหรอกนะ ”
ทิโมธีกล่าวเสียงครือ ในใจเขาเอาแต่กลัวคำตอบที่จะได้ยิน

“ จะเป็นไปได้ยังไงเล่า เจ้านักน่ะเป็นประดิษฐ์ ที่สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงแห่งฟีเลเซียเชียวนะขืน พระองค์มาหาเจ้าแล้วไม
่เจอเดี๋ยวก็ได้วุ่นวายกันไม่ต่างจากเราไปหรอก ”
เกรเกอรี่กล่าวทำให้ทิโมธีเบาใจลง ก่อนจะเริ่มรู้สึกสงสัยถึงสาเหตุที่นัดมาวันนี้ เลยตัดสินใจถามโดยไม่แม้แต่จะตริตรอง

“ แล้วจะให้ใครไล่ะ คงไม่ได้มาหาเพราะแค่จะมาเล่าแค่นี้หรอกนะ ”
ทิโมธีกล่าว

“ อืมอันที่จริงก็คิดเอาไว้แล้วล่ะ ที่จริงเราว่าจะถามเค้าตอนไปฟูดินันพอดีแต่ว่าเกิดเหตุซะก่อนเลยไม่ได้ถามเขาเลย
ก็เลยจะให้เจ้าช่วยหน่อยน่ะ ”
เกรเกอรี่กล่าว

“ ช่วยอะไรล่ะ ”
ทิโมธีถามอย่าง งงงวย
……………………..
…………….
……..
“ เอาล่ะทุกคนตามอาจารย์มาทางนี้เลย ”
อีสควอเทีย กล่าวจบก็เดินนำพวกเขาที่พึ่งทานอาหารเสร็จไป ออมไปตามทะเลสาบย้อนกลับไปยังน้ำตก
พวกเขาเดินตามไปเรื่อยๆระหว่างทาง ไลท์ก็เที่ยวถามนอฟฮอฟกับวิล

“ พวกนายมาที่นี่ได้ยังไง แล้วอะไรที่อาจารย์จะให้ดูล่ะ ”
ไลท์ถาม

“ พวกเราพอฟื้นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้วจำอะไรไม่ได้หรอก ”
วิลตอบ

“ อีกอย่างอาจารย์เองก็เป็นคนบอกให้วิลออกไปตามพวกนายด้วย ดูเหมือนอาจารย์จะรู้ไปซะหมดเลยว่าพวกเรา
ทำอะไรอยู่ อย่างกับว่าอยู่ด้วยกันกับพวกเราตลอดงั้นแหล่ะ ”
นอฟฮอฟ กระซิบขณะที่คอยดหลือบไปมองว่า อีสควอเทียได้ยินที่พวกเขาสนทนากันหรือไม่แต่ดูถ้าว่า
อีสควอเทียดูจะไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเลย ในระหว่างที่เดินไปยังน้ำตก

“ แล้วเรื่องบิชอปที่ชื่อเกรเกอรี่น่ะ พวกนายสองคนเล่าให้อาจารย์ฟังรึยัง ”
 Lr ถามบ้าง ทั้งสองไม่ตอบได้แต่ส่ายหัวไปมาแทน

“ พวกเรายังไม่ทันจะได้เล่าด้วยซ้ำอาจารย์เค้าก็พูดออกมาเองเลย ใช่มะนอฟฮอฟ ”
วิลกล่าวจบก็โบ้ยไปให้ นอฟฮอฟ

« Last Edit: August 31, 2008, 09:06:34 PM by greamon » Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #148 on: May 06, 2008, 07:07:45 PM »

“ อืม อาจารย์แกบอกเองเลยล่ะ ว่าเรื่องที่อาจารย์เข้าใจผิดว่าบิชอปเป็นคนที่สังหารพ่ออาจารย์น่ะ เค้ารู้หมดแล้ว ”
นอฟฮอฟตอบ ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิมกับ ท่าทีของอาจารย์พวกเขาที่รู้ไปซะหมดว่าพวกเขาไปทำ
อะไรมาได้ฟังอะไรมา ได้อย่างเหลือเชื่อ

พวกเขาเดินตามอีสควอเทียจนมาหยุด ที่หน้าน้ำตกซึ่งอีสควอเทียกำลัง คำรามบทสวดอะไรบางอย่าง
สักพักที่ผิวน้ำตกก็เริ่มประกฎภาพออกมาโดยมีเส้นแบ่งภาพบนจอน้ำตก
ออกเป็นสามสถานที่ ในนั้นพวกเขา เห็น เฟินกอลโล ว่ายอยู่ในแมน้ำที่ไหนซักแห่ง
อีกภาพ นิทินโคกับ เอิธ์ท กำลังวิ่งตามเด็กอยู่ในเมืองไหนซักเมือง และอีกภาพเป็นเด็กชายครึ่งสมิง
ที่มีผมสีเงิน ซึ่งคนที่มีปฏิกิริยากับภาพนี้ที่สุดดูจะเป็นเจนัสนั่นเอง

“ นิทินโค เฟินกอลโล เอิธ์ท ”
Lr และพวกลูกมังกร อุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“ ลากูน่า ”
เจนัสเองก็ พึมพำขึ้นมาเบาๆ


ภาพที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือภาพของพวกเขาทุกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่กำลังสะท้อนอยู่บน
น้ำตก

“ นี่ก็คือ น้ำตกแห่งกานหยั่ง รู้อันเป็นสมบัติล้ำค่าของวิหารแห่งปราชมังกรแห่งนี้ยังไงล่ะ ”
อีสควอเทียอธิบาย ให้พวกเขาฟังซึ่งตอนนี้พวกเขาต่างก็เข้าใจแล้วว่าที่อีสควอเทียรับทราบเรื่องราวหรือการกระทำของ
พวกเขาได้ทั้งหมด มันมาจากการที่อาจารย์คอยเฝ้าดูพวกเขาผ่านน้ำตกนี่จากถ้ำแห่งนี้

“ หลังจากที่ครูออกมาจากมิติมังกร ครูก็มาเก็บตัวอยู่ที่นี่แล้วก็คอยมองดู ความเป็นไปของชะตากรรม ”
อีสควอเทียกล่าวก่อนจะหันไปหาพวกเขาแล้วเริ่มอธิบาย

“ พวกเธอเคยสงสัยบ้างมั้ย เรื่องศิลามังกรที่หมู่บ้านของพวกเรารักษาปกปักษ์มันไว้ รวมไปถึงอัศวินมังกรที่โพล่มา
ตอนพวกเธอกำลังลำบากน่ะ รวมถึงมังกรกริฟฟินนั่นด้วย ”
ในตอนท้ายนางก็ลากเสียงยาว พวกเขาเริ่มที่จะอยากรู้ขึ้นมาแล้ว ว่าตลอดมามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอะไรคือสาเหตุ
ที่พวกเขาต้องมาร่อนเร่จากบ้านจากครอบครัวมา ทั้งหมดไม่ได้ตอบอะไรแต่คอยที่จะรับฟังเรื่องราวจากปากของนาง

“ ตกลงสินะ ”
นางกล่าว ทุกคนพยักหน้าเบาแทนการตอบนางจึงเริ่มเรียงลำดับสิ่งที่จะพูดก่อนจะกล่าว

“ งั้นก่อนอื่นขอเล่าถึงประวัติของถ้ำนี้ก่อนละกัน อันที่จริงถ้ำนี่น่ะเป็นวิหารที่สร้างโดยปู่ของอาจารย์เอง
และอาจารย์ก็ได้รับสืบทอดมันมา ในสมัยก่อนพวกเราชาวปราชมังกร(Elder Dragon)จะใช้ที่นี่ เป็นที่ทำนายดวงชะตาและคอยเฝ้ามองโลกภายนอกโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันแต่จนบัดนี้ปราชมังกรส่วนใหญ่ก
็เริ่มจะเปลี่ยนไปประจำในโรงเรียนมังกร(Dragon Academy)บ้างหรือไม่ก็เป็นที่ปรึกษาสภามังกรสวรรค์บ้าง ”
นางอธิบายจบก็เริ่มร่ายบทสวดอีกครั้งก่อนที่ทั้งถ้ำจะเริ่มมืดลงแม้พวกเขาจะมีอาการตกใจเล็กน้อยแต่นางก็ยังคงอธิบายต่อ
ทันทีที่ภาพเริ่มปรากฏ

“ เอาล่ะภาพต่อจากนี้ไปคือตำนานของศิลามังกรที่ถูกปกปักษ์อยู่ จะให้พวกเธอได้สัมผัสกับมันราวกับอยู่ในเหตุการณ์จริงเลย ”
นางกล่าวจบ ทั้งห้องก็มืดลงจนในที่สุดก็ไม่สามารถมองอะไรเห็นได้

.......................................
....................
.........

“ หมายความว่าตอนนี้เราอยู่นอกทวีปเมอริเซียเหรอครับ ”
ลากูน่ากล่าวอย่างร้อนรน

“ จ้ะ ถูกแล้วที่นี่น่ะคือแหลมทวีป คาดาร่า นะ ”
นีน่ากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ทำให้ลากูน่ารู้สึกแปลกๆจน ลืมเรื่องสถานที่ไป เขารู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของเฮมากขึ้น
เรื่อยทุกๆครั้งที่เธอยิ้มให้ เขารู้สึกเหมือน เขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
แต่ก็นึกไม่ออก

“ มาเถอะเราเข้าไปในเมืองกัน ฉันจะซื้อเสื้อให้เธอนะปล่อยไว้ยังงี้ เดี๋ยวเธอเป็นหวัดแน่ ”
นางกล่าวจบก็ลากเขาไปทันที

“ อ..เอ่อ ม..ไม่ต้องก็ได้ครับรบกวนซะ...เหวอ ”
ลากูน่ายังไม่ทันที่จะปฏิเสธจบนางก็ลากเขาไปอย่างเร็วซะจน เขาเองยังแปลกใจเลยว่าทำไม
หล่อนถึงแรงเยอะขนาดนี้ทั้งๆที่ขนาดเทอเรี่ยน(Therion) 5 ตัวมาลากเขา เขายังสามารถกระชากจนพวกมันล้มระเกะระกะ
ไปได้ทั้งหมดในตอนที่พวกเขาสองพี่น้องรับการฝึกกับเซอร์ส
แต่นางกับฉุดเขาไปได้ราวกับเขาไม่ได้ออกแรงสวนการฉุดเลย

นางลากเขามาจนถึงร้านเสื้อ ทันทีที่ เข้าไปในเจ้าของร้านก็ทักทายเธออย่างสนิทสนมทันที

“ อ้าวนีน่า เป็นไงสบายดีมั้ยวันนี้พาหนุ่มที่ไหนมาล่ะนี่ ฮ่ะๆ ”
เจ้าของร้านทักทายอย่างเป็นมิตร

“ วันนี้ขอรบกวนหน่อยนะคร้า~~~~ ”
นางลากเสียง เล่นทำให้เจ้าของร้านอดหัวเราะไม่ได้

“ โฮ่โฮ่ ยังสดใสร่าเริงเหมือนเดิมเลยนะ เอ้าเชิญเลยวันนี้มีสินค้าใหม่ส่งมาจากแอนดิซองด้วยนะจะลองหน่อยมั้ย ”
เจ้าของร้านกล่าว

“ อ๋องั้นดีเลยค่ะ ขอให้เด็กคนนี้ลองหน่อยละกันนะคะ ”
นางกล่าวจบ เจ้าของร้านก็เดินเข้าไปหลังร้าน เพื่อไปหยิบ สินค้า

“ เอ่อคือว่าเรื่องเสื้อผ้านี่ไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ ”
ลากูน่ากล่าว แต่แล้วเขาถูกนางตบหลังเบาๆ นางยิ้มส่งให้จนเขาหน้าแดงด้วยความเขินอายอีกครั้ง

“ ได้ไงขืนให้เธอเดินไปกับฉันในสภาพที่ใส่แต่กางเกงอย่างเดียวก็เสียชื่อ ราชินีแห่งอาภรณ์ กันพอดี ”
นางกล่าวเสียงใส แต่ทว่าลากูน่าเรอ่มรู้สังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ว่าจากนี้ไปเขาคงถูกจับทำเป็นต็กตาให้หล่อนเล่นแต่งตัวเป็นแน่ แต่เขากลับรู้สึกว่าเคยเห็นนิสัยอย่างนี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อนแต่ระบุไม่ได้

..........................................
.............................
..............


“ นานมาแล้วได้มีสงครามระหว่างทูตสวรรค์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสงครามระหว่างเทพกับคนบาป ”
เสียงอันหาที่มาไม่ได้ดังขึ้น ในขณะที่พวกเขาทั้ง 5 ยืนอยู่ในความมืดรอบตัวพวกเขา เหล่าทูตสวรรค์กำลังรบกับ ปีศาจและเหล่ามังกร

“ ในสงครามครั้งนั้นเหล่าคนบาปได้ชักจูงมังกรไปเป็นพวก แต่ทว่ามังกรขาว ”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้นภาพรอบตัวพวกเขาแปรสภาพอีกครั้ง ต่อมาภาพมังกรที่เคยรบกับทูตสวรรค์
ก็ได้เปลี่ยนฝ่ายไปอยู่กับฝ่ายทูตสวรรค์เอง


“ ได้ทำการแปรพักมาอยู่ข้างพระผู้เป็นเจ้าและเหล่ามังกรอื่นๆก็ตามมาเว้นแต่มังกรดำที่ยังคงรับใช้เหล่าคนบาปต่อไป ”
เสียงนั้นก้องขึ้นก่อนที่ภาพจะเริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง ครวานี้เป็นภาพเหล่ามังกรดำที่ถูก ขับไล่โดย
ทูตสวรรค์ที่ทรงมังกรกายสีทองอยู่


“ องค์อิสราเฟลอันเป็นเทพผู้คุ้มครองเหล่ามังกรได้ทำการขับไล่พวกมังกรดำที่กระทำผิดให้ไปอยู่ส่วนลึกสุดของมิติมังกร
 และได้รับสั่งไว้ ให้มังกรดำที่ไม่ได้กระทำผิดรุนแรงเป็นผู้เฝ้าดูแลผนึกนี้ พร้อมกับจัดที่อยู่ให้ในมิติที่ใกล้ๆกันกับมิติที่ผนึก
เอาไว้เพื่อให้พวกเขารับผิดชอบดูแล จนต่อมาได้เป็นที่อยู่อาศัย
ของเหล่ามังกรดำในมิติมังกรหรือหมู่บ้านมังกรมืดนั่นเอง (Dark Dragon Village)  ”
เสียงนี้ดังขึ้นพร้อมกับภาพร่างการแบ่งมิติมังกรที่พวกเขาเคยเห็นในโรงเรียน

“ ต่อมาได้กำเนิดอัศวินมังกรนามทาลิวิลย่าอันเป็นอัศวินมังกรแท้คนแรก ”
ภาพต่อมาที่พวกเขาได้เห็นก็คือภาพของ อัศวินมังกร ที่ยืนอยู่บนซากของเทียแมต
ซึ่งภาพนี้นอฟฮอฟพยายามจะเลี่ยงสายตาไป แต่ทุกคนก็ไม่ได้มีใครสังเกตเพราะต่างก็จับจ้องอยู่ที่ภาพนั้น

“ ศิลามังกรอันแข็งแกร่งที่ฝังในตัวเขาได้ถูกนำมาไว้ ที่วิหารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสักการะเขาหลังจากเขาได้ตายลง  ”
ภาพรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนเป็นภาพวิหารที่กำลังอยู่ระหว่างการสร้าง

“ และได้มีคำทำนายกล่าวเอาไว้ว่า อัศวินมังกรทาลิวิลย่า จะจุติลงมาอีกครั้งเพื่อต่อกรกับเหล่าคนบาปและฝูงมังกร
ที่รับใช้คนบาปเหล่านั้นจะถูกปลดปล่อยมาเพื่อยับหยั้งเค้า ”
ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง เป็นภาพวาดที่พวก Lr  เคยเห็นในวิหารมังกรที่มิติมังกร มันเป็นภาพของอัศวินมังกร
6 ตน กำลังต่อกรกับเหล่าปีศาจ

“ โดยในครั้งนี้เขาไม่ได้สู้เพียงลำพังหากแต่จะมีร่างของอัศวินรับใช้ 6 องค์ร่วบรบด้วยหากแต่ผู้ที่เป็นร่างอวตาร
จำเป็นจะต้องเข้าใจถึงพลังที่จะต่อกรกับเหล่าคนบาป ”
ภาพต่อมาคือภาพวาดที่วาดอยู่บนฝาผนังในวิหารที่พวก Lr เห็นเช่นกัน มันเป็นภาพร่างของอัศวินมังกรที่ประจำอยู่ใ
นวิหารแต่ละธาตุอันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และ ความมืด

“ โดยเงื่อนไขของผู้ถูกเลือกให้เป็นร่างอวตารจำเป็นที่จะต้อง รวบรวมดาบและโล่ซึ่งจะเป็นพลังในการรบให้กับเขา ”
สิ้นเสียงรอบตัวพวกเขาก็มืดลงอีกครั้งก่อนจะกลับมาสู่ ถ้ำน้ำตกอีครั้ง

“ อาจารย์ครับ ตะกี้นี้ มัน.... ”
Lr หันไปถามด้วยความตื่นตระหนก สิ่งที่พวกเขาได้พบมามันแทบจะอธิบายไม่ได้พวกเขาราวกับเข้าไปเป็นส่วน
หนึ่งของเหตุการณ์ทันทีที่จะถามก็ถูกห้ามไว้

“ อาจารย์เข้าใจว่ามันยากที่จะเชื่อแต่ว่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานที่เล่าต่อกันมาเท่านั้น และศิลาที่หมู่บ้านเหล่ารักษา
ไว้มันก็คนละอันกัน เพราะฉนั้นเธอไม่ต้องตีโพยตีพายไปหรอก ”
นางกล่าว ทำให้ Lr ใจเย็นลงและเริ่มทบทวนเหตุการณ์อีกครั้งก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

แวบหนึ่งที่เขาคิดไปว่าตัวเขาคือผู้ถูกเลือกให้เป็นร่างอวตารของอัศวินมังกรแห่งตำนาน

แต่เมื่อมาคิดดูแล้วศิลานั่นไม่ใช่ศิลาอันที่กลายเป็นดราก้อนฮอลลี่แน่เพราะมันเป็นศิลาของมิติมังกร
ไม่มีทางเป็นของที่วิหารสักการะอัศวินมังกรอยู่แล้ว อีสควอเทียจ้องมองท่าทีของเขาด้วยสายตา
แฝงเลศนัย

“ เอาล่ะงั้นต่อไปก็คราวนี้อาจารย์จะเล่ารายระเอียดเกี่ยวกับผู้บุกรุกโจมตีหมู่บ้านและสถานณการตอนนี้ ให้ฟัง ”
อีสควอเทียกล่าวจบทุกคนก็หันมาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ เรื่องนี้น่ะสาเหตุมันเริ่มมาจากเมื่อ 8 ปีก่อนแล้วล่ะ ”
นางกล่าวจบ พวก Lr ก็ปฏิกิริยาเล็กน้อย รวมทั้งเจนัสด้วยเช่นกัน อีสควอเทียประเมินทีท่าของพวกเขาดู ก่อนจะเล่าต่อ

“ เรื่องในส่วนนี้น่ะนะฉันจะไม่พูดในบางส่วนนะเพราะบางเรื่องบางคนก็คงไม่อยากให้รู้เหมือนกันจริงมั้ย ”

นางกล่าวก็จะเชยตามองไปยังนอฟฮอฟชั่วครู่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นแต่ก็ไม่มีใครคัดค้านแต่อย่างใดเพราะต่างก็
พอจะเข้าใจว่าในกลุ่มพวกเขา Lr คงจะสะเทือนใจที่สุด แต่เขาก็กลับบอกไปว่าไม่เป็นไร
อีสควอเทียจึงเริ่มเล่าต่อ

“ คิดว่าพวกเธอคงได้ฟังจากปากของบิชอปเกรเกอรี่แล้วสินะเรื่ององค์กรที่กำลังก่อความวุ่นวายไปทั่วทั้งเมอริเซียตอนนี้น่ะ ”
นางกล่าวจบ ทุกคนก็พยักหน้าเป็นเชิง นางจึงอธิบายต่อทันที

“ ที่จริงองค์กรนี้น่ะ เบื้องหลังถูกชักใยโดย เจตนารมณ์ของเหล่าคนบาปในครั้งอดีต เป้าหมายที่พวกมันมาจับ
ตัวทุกคนในหมู่บ้านในจุดประสงค์ก็คือเพื่อ พลังของศิลามังกร หรือดราก้อนฮอลลี่ที่ Lr พกอยู่นั่นล่ะ ”

นางกล่าวพร้อมกับจ้องไปยังดราก้อนฮอลลี่

“ พวกเธอรู้มัยว่าศิลานี้น่ะมีคุณสมบัติที่จะทำให้สามารถควบคุม พลังงานของมังกรได้อย่างที่พวกเธอได้ประสบกับตัวเองมาไงล่ะ ใช่มั้ยไลท์ ”
อีสควอเทียกล่างพรางมองไปยังไลท์ให้ช่วยยืนยัน

“ ครับ ”
ไลท์ตอบ

“ ศิลาอันนั้นน่ะยังมีหน้าที่ ควบคุมเส้นแบ่งกั้นมิติของเรากับมิติต่างๆรวมถึงที่ผนึกมังกรแห่งบาปเอาไว้ด้วย ”
ทันทีที่กล่าวจบทุกคนก็มีสีหน้าเหมือนกับพึ่งนึกออก

“ ใช่มั้ยล่ะเป้าหมายของพวกมันไม่ได้มีไว้เพื่อกำจัดมังกรหรือก่อตั้งการล่ามังกรพวกมันเพียงแค่จะหาที่อยู่ของ ศิลาและลบเส้นแบ่งเขตนั้นออกซะเพื่อสร้างทางออกให้แก่เหล่ามังกรบาปทั้งหลายออกมาจากผนึก โดยไม่ต้องผ่าน
ทางประตูผนึก คิดว่าเรื่องนี้ ไฟร์ (ชื่อจริงของนิทินโคในเรื่องน่ะครับเพราะอาจารย์สนิทกับนักเรียนอยู่แล้วเลยเรียก
ชื่อแต่พวก Lr ไม่ค่อยจะถูกกันซักเท่าไหร่เลยเรียก นามสกุลของเขาแทนเป็นธรรมเนียมของมิติมังกร) คงจะทราบดี
อยู่แล้วเพราะในวันนั้นเขาออกจากกลุ่มประชุมเพื่อไปดูสภาพของปะตูมิติจากที่สูง ”

นางกล่าวขณะที่ภาพเหตุการณ์ค่อยๆปรากฏบนน้ำตก

“ ในตอนนี้พวกมันยังคงออกมากันไม่ได้หรอกเพราะความเสียจากการหลอมรวมกันของมิตทำให้ประตูพังกว่า
พวกมันจะออกมาก็คงจะอีกนานแต่มันก็ไม่ได้ถาวร หรอกนะ ”
นางกล่าวจบภาพบนน้ำตกก็เปลี่ยนไปเป็นภาพของเหล่าประชากรมังกรจากมิติมังกร
พวกเขาถูกขังอยู่ในกรงที่ไหนสักแห่ง

“ พวกมันจับตัวพวกเราทุกคนไป เพื่อการอะไรซักอย่างอาจารย์ก็ไม่ทราบหรอกนะแต่ถ้าจะพูดว่าตอนนี้ครอบครัว
ของพวกเธออยู่ในอันตรายก็คงจะไม่ผิดนักหรอกนะ ”
อีสควอเทียกล่าว

“ แล้วพวกเราควรจะทำยังไงดีล่ะครับ ”
 Lr ถามอย่างสงสัย เพราะถึงแม้พวกเขาจะรู้แล้วครอบครัวพวกเขาเป็นยังไงบ้างแล้วในตอนนี้พวกเขาก็ยังคงไร้เป้าหมายอยู่ดี

“ ถ้าให้อาจารย์แนะล่ะก็นะ พวกเธอควรจะให้ความร่วมกับกองกำลังต่อต้านเพราะพลังที่พวกเธอม
ีสามารถต่อกรกับพวกมันได้ และ อีกเรื่องตามหาตัวเพื่อนๆของพวกเธอที่หลงไปซะโดยเฉพาะ ไฟร์
เขารู้ว่าต้องทำยังไงเพราะพ่อเขาที่เป็นนายพลซาลามันเดอร่าได้รับมอบหมายให้สืบเรื่องนี้อยู่แล้ว
อาจารย์คิดว่าเขาเองก็น่าจะรู้ว่าเรื่องราวมันควรจะแก้ยังไงนะ  ”

อีสควอเทียกล่าวจบ พวกเขาก็ก็เริ่มหารือกันและในที่สุดก็ตกลงว่าจะทำตามนั้น
..........................
..............
........

“ อืมม..ชุดนี้ก็ดูดีอ่ะนะแต่ไม่เอาดีกว่า ดูมันรุ่มร่ามยังไงก็ไม่รู้สิ ”
นีน่าพึมพำขนาดที่มองดูลากูน่าในชุด ผ้าไหมของขุนนางแอนดิซอง
ก่อนจะไปหยิบเอาชุดอื่นมาเปลี่ยนอีก
ซึ่งลากูน่าเองก็มีสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับ ความโลเลของหล่อนเต็มประดา เพราะเขาถูกบังคับ
ให้ลองเสื้อเกือบจะหมดทั้งร้านอยู่แล้วแต่ก็ไม่มีตัวไหนถูกใจหล่อนเลย

จนกระทั่งนางหยิบเอาเสื้อยืดแขนยาวสีเขียวขึ้นมาตัวนึงและจับใส่ให้เขาก่อนจะพิจารณา

“ อืม..นี่ล่ะเข้าสุดๆเลย ตกลงขอตัวนี้ค่ะ ”
นางกล่าวจบก็จ่ายเงินให้เจ้าของร้านและพาเขาออกจากร้านในชุดเสื้อสีเขียวกางเกงสีขาวตัวเดิมออกมาเดินเที่ยวในหมู่บ้าน

ซึ่งก็แน่นอนดูเหมือนนางจะสนิทกับทุกคนในหมู่บ้านเลย เพราะตลอดทางพวกเขาถูกทุกคนในหมู่บ้าน
ทักทายมาตลอดทางอยู่เนืองๆซึ่งนางก็รับคำทักทายและส่งยิ้มให้กับทุกคน ระหว่างทางลากูน่า
กลับรู้สึกเหมือนเป็นเป้าสายตาจากเด็กๆในหมู่บ้านที่อายุราวเดียวกับเขาโดยเขามักจะถูกกลุ่มเด็กชาย
มองตาขวางราวกับอิจฉา อยู่ตลอดทาง และกลับกันเด็กหญิงในหมู่บ้านกลับส่งสายตาหวานๆมาให้เข้าด้วย

“ ดูท่าวุ่นๆแฮะโดยหมายหัวกันทั้งหมู่บ้านเลยมั้งเราเนี่ย  ”
ลากูน่าคิดในใจ ด้วยความรู้สึกเก้ๆกังๆ

“ แหมลากูน่านี่ เนื้อหอมเหมือนกันนะดูสิพึ่งมาเองแท้ๆก็ถูกสาวๆหมายตากันใหญ่เลย ”
นีน่ากล่าวหยอกๆ แต่ดูเหมือนลากูน่าจะรู้สึกเซ็งๆซะมากกว่า

“ อย่าว่าแต่ผมเลยพี่สาวก็ด้วยแหล่ะดันมาเดินจูงมือกันอย่างนี้จนดดนเข้าใจผิดกันไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ”
ลากูน่าคิดในใจ

ขณะที่เดินอยู่นั้นพวกเขาสองคนก็บังเอิญไปเห็นประกาศแผ่นหนึ่งเข้า ในใบประกาศเขียนเอาไว้ว่า



งานประลองหมัดมวยรุ่นเล็กที่จะจัดในวันพรุ่งนี้

ของรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศคือลูกมังกรธรณีและลูมังกรวารี
ที่หายากสองตัวจะเป็นรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศในงานประลองนี้

สนใจสมัครได้ที่ สมาคมกองกำลังต่อต้าน ที่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
เงื่อนไขการเข้าร่วม

1.ผู้เข้าร่วมจะต้องมีอายุ ตั้งแต่  8-12 ปี เพศชาย ไม่จำกัดว่าเป็นมนุษย์หรือครึ่งสมิงหรือ เอฟล์
2.ผู้เข้าร่วมจะต้องใส่กางเกงนักกีฬาและสนับมือทำจากผ้าที่ทางงานจัดให้เท่านั้นโดยไปรับได้ตอนสมัคร

กฎกติกา ในการประลอง
1.ให้ใช้ได้แค่หมัด และ ศอกเท่านั้น 
2.จะชกกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่สามารถสู้ต่อได้  หรือเมื่อล้มลงและนับครบสิบยังไม่สามารถลุกขึ้นมาสู้ต่อได้จะถือว่าการชกสิ้นสุด

***หมายเหตุอุบัติเหตุที่เกิดจากการประลองทางเราจะไม่ผิดชอบใดๆทั้งสิ้นหากผู้เข้าร่วม
ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพิการหรือตาย ขอให้พิจารณาให้ดีก่อนเข้าร่วม *****


“ ของรางวัลเป็นลูกมังกรธาตุธรณีกับวารีเหรออยากได้จังเลย น้ำตามังกรเนี่ยเอามาทำกระเวทมนต์สังกัดธาตุได้ดีซะด้วยแต่เรื่องประลองหมัด
นี่เราไม่ถนัดเลยอีกอย่างให้เฉพาะผู้ชายเข้าร่วมด้วยเท่านั้นอีกอ่ะ ถ้าเป็นแข่งยิงปืนก็ว่าไปอย่างเฮ้อคงต้องตัดใจซะล่ะมั้ง ”
นีน่ากล่าวอย่างผิดหวัง ลากูน่าเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกอยากช่วย

“ งั้นผมลงให้ก็ได้นะครับ ”
ลากูน่ากล่าวทำให้นางหันมา

“ มันจะดีเหรอ ”
นีน่าถาม

“ ครับ ไม่ต้องห่วงแค่วิชาหมัดน่ะผมฝึกจนจะบรรลุอยู่แล้ว แค่นี้สบาย ”
ลากูน่ากล่าวอย่างมั่นใจ เพราะว่าตอนที่เขารับการฝึกเพื่อเป็นขุนพล ก็ถูกฝึกวิชาหมัดกันสองคนกับพี่
มาด้วยและอีกอย่างเขายังมีพลังเวทย์คอยเสริมร่างกาย ด้วยซึ่งแม้ว่าเรื่องเทคนิคและความชำนาญของวิชา
หมัดเขาจะด้อยกว่าพี่ชายนัแต่ถ้าเรื่องพลังเวทย์ละก็เค้าเหนือกว่าพี่ชายนัก

“ งั้นฝากด้วยละกันนะลากูน่า ช่วยพี่ทีนะฮิๆ ”
นางกล่าวอย่างอารมณ์ดี

“ ครับถือซะว่าตอบแทนเรื่องชุดนี่ก็ละกัน ”
ลากูน่ากล่าวจบ พวกเขาสองคนก็ตรงไปยังสมาคมกองกำลังต่อต้านเพื่อสมัครเข้าร่วมประลอง

.............................
...................
.........

“ งั้นอาจารย์ส่งแค่ตรงนี้นะ ”
อีสควอเทียกล่าวขณะที่ส่งพวกเขาทั้งหมดขึ้นหลังของเทลูมานา

“ จากเกาะนี้บินขึ้นไปทางเหนือก็จะเจอทวีปคาดาร่านะที่แหลมทวีปมีหมู่บ้าน อยู่แห่งหนึ่งที่นั่นมีสมาคม
ของกองกำลังต่อต้านอยู่ด้วยลองไปติดต่อดูก็ละกันนะ ”
อีสควอเทียกล่าวเสร็จก็แยกห่างออกมา

“ อาจารย์แน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปด้วยน่ะครับ ”
Lr กล่าวเพื่อย้ำถามอีกครั้ง

“ ไม่ล่ะอาจารย์จะขอทำอย่างบรรพบุรษเคยทำมา อาจารย์จะคอยมองพวกเธอและเอาใจช่วยอยู่จากที่นี่นะ ขอให้พวกเธอทำสำเร็จนะลาก่อนจ้ะ ”
อีสควอเทียกล่าว:ซึ่งพวก Lr เองก็เข้าใจดีว่าหากเป็นตัดสินใจของนางแล้ว
พวกเขาคงจะค้านไม่ได้


“ งั้นลาก่อนนะครับเราคงจะได้เจอกันอีกนะครับ ”
Lr กล่าวจบเทลูมานาก็ออกตัวไปอย่างรวดเร็วและบินหายลับไปในฟากฟ้า ทิ้งไว้ให้นางคอยจ้องมองด้วยสายตาเวทนา

“ Lr อาจารย์โกหกเธอไปอย่าง แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่คนที่ทำได้แต่คอยเฝ้าดู จะทำให้ได้ ”
อีสควอเทียคิดในใจ

“ ศิลาที่เธฮถือครองอยู่น่ะคือศิลาที่ว่าน่ะแหล่ะ พวกเธอคงไม่มีใครรู้เลยสินะไม่สิแม้แต่พวกมนุษย์เองก็คง
จะไม่รู้ว่าศิลาที่ตั้งอยู่ในวิหารสักการะน่ะถูกสับเปลี่ยนเป็นของปลอมไปตั้งนานแล้ว ”
นางคิด

“ ที่จริงแล้วก็ไม่อยากปิดเธอไว้หรอกนะแต่ชะตาของเธอมันน่าเวทนานัก ศึกนี้เราไม่มีทางชนะเลยจริงๆ ”
นางคิดอย่างโศกเศร้าก่อนที่น้ำตาจะไหลริน
ในขณะที่ภาพบนน้ำตกที่นางพยายามจะปิดมันไว้ไม่ให้พวกเขาเห็น ในนั้นเป็นภาพเหตุการณ์ที่
 เศษซากดราก้อนฮอลลี่ซึ่งแตกกระจายเกลื่อนพื้นที่ชโลมไปด้วยเลือดซึ่งมีร่างของเด็กชาย 3 คน
และเด็กหญิง 1 คน นอนสลบไม่ได้สติและมีบาดแผลเต็มตัว

โปรดติดตามตอนต่อไป

ในตอนหน้า พวก Lr ได้ไปถึงหมู่บ้านที่ลากูน่าอยู่ และขณะที่พวกเขาไปยังสมาคมนั่นเองก็ได้ไปเห็น
เฟินกอลโลและเอิทธ์ ถูกจับเอาไว้ซึ่งพวกเขาก็คือรางวัลชนะเลิศในงานประลองนั่นเอง
เมื่อไม่มีทางเลือกเจนัสจึงอาสาที่จะลงแข่งเพื่อช่วยพวกของเขาออกมา
แล้วการพบกันสองพี่น้อง ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้ เริ่มขึ้น
ใน บทที่17 สัญญาลูกผู้ชาย

Logged


greamon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 534


Email
« Reply #149 on: May 11, 2008, 06:07:58 PM »

กว่าจะเขียนบทนี้จบ ลากเลือดเลยครับ เพราะไม่มีประสบการณ์เขียนแบบนี้เลยฮือๆ :-\
บรรยายไม่ถูกเลยขอให้สนุกละกันนะครับ

บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย

แสงตะวันยามรุ่งสาง ที่ค่อยๆสาดส่อง ไปจนทั่วหมู่หมู่บ้าน เสียงร้องของนกเนเดียที่ราวกับถูกขับขาน
ออกมาให้ได้รับฟังกันเพื่อสลัดให้พ้นจากพวังของ ความเหนื่อยล้า ราวกับเป็นยาชูกำลังให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย  ที่ชายป่านอกหมู่บ้าน บัดนี้กระแสลมได้พัดอย่างแปรปรวนก่อนจะสงบลงพร้อมกับการปรากฏกร่าง ของมังกรขนาดใหญ่

“ ถึงแล้วล่ะ ”
เทลูมานาคำรามเพื่อปลุกพวกเขาที่นอนอยู่บนหลังของมัน ให้ตื่นจากนิทรา
Lr ลุกขึ้นมานั่งด้วยความงัวเงีย เขารู้สึกอยากจะหลับต่อแม ้สมองจะสั่งให้ลุกข้นแต่ร่างกายก็ไม่ค่อยจะยอมทำตาม จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเขาลอยขึ้นก่อนจะตกลงอย่างรวดเร็ว เขาจึงสะดุ้งตื่นด้วยวามตกใจ อาการงัวเงียเมื่อครู่หายไปทันที เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าตัวเขาถูกเจนัส อุ้มลงมาจากหลังของเทลูมานา

“ นายนี่ขี้เซาจังเลยนะ ”
เจนัสกล่าวหยอกๆ ทำให้ Lr หงุดหงิดขึ้นมาก่อนจะผลักมือของเจนัสออกและกระโดดลงสู่พื้น

“ ลอว์เรน ไหวไหมถ้ายังไงจะนอนต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยเดินทางต่อก็ได้นะ ”
ไลท์กล่าวด้วยความเป็นห่วง

“ ไม่ล่ะเราช้าไม่ได้แล้ว ฉันไม่เป็นไร เดินสูดอากาศซักหน่อยก็ตาสว่างแล้วล่ะ ”
Lr กล่าวไม่ในใจเขาคิดอยากพักตามข้อเสนอที่ไลท์ยื่นให้ก็ตามที
แต่ด้วยข้อมูลที่เขาได้มาจากอีสควอเทียพวกเขาจึงต้องรีบร้อนกันซักหน่อย

เขาหวนคิดกลับไปถึงตอนที่ก่อนจะออกจาก วิหารแห่งปราชมังกรที่พวกเขาได้พบกับอีสควอเทีย

หลังจากที่พวกเขาได้รับรู้ถึงเป้าหมายและสถานการณ์ จากอีสควอเทียแล้ว

“ พวกเธอน่ะถ้าจะตามหาเพื่อนๆที่หายไปอยู่ล่ะก็ อาจารย์พอจะรู้อยู่บ้าง ”

“ จากที่พวกเธอเห็นที่น้ำตก เอิทธ์กับอควาน่ะอยู่ด้วยกันและก็ ครึ่งสมิงอีกคนก็อยู่ที่หมู่บ้านนั้นด้วยถ้าไปที่นั่นล่ะก็พวกเธอจะได้เจอพวกเขาแน่นอน ”
คำพูดของอีสควอเทียยังคงก้องอยู่ในหัวเขา หลังจากที่ทุกคนลงมาจากหลังของ เทลูมานาจนครบแล้ว
มันก็บินหายลับไป  พวกเขาพากันเดินไปตามทาง จนมาถึงหน้าหมู่บ้าน

“ นี่นายน่ะจะทำยังไงล่ะ ”
 Lr หันไปถามเจนัส ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“ อะไร ”
เจนัสตอบด้วยความ ฉงน

“ ก็จะอะไรซะอีกล่ะนายน่ะไม่ทั้งสมิงทั้งมนุษย์ขืนเข้าไปยังงี้ก็ได้แตกตื่นกันพอดี ”
Lr กล่าว ซึ่งทันทีที่ ได้ยินคำตอบเจนัสก็เข้าใจแล้วว่าทำไม เขาถึงได้มีอาการกังวลตลอดทางที่เดินมา

“ หึไม่ต้องห่วงไปหรอกที่นนี่น่ะไม่ใช่ในเมอริเซีย ซะหน่อยอย่างพวกข้าน่ะไม่ใช่ของแปลกหรอก ”
เจนัสกล่าวจบก็เดินนำเข้าไปในหมู่บ้าน  แม้จะยังไม่เข้าใจที่พูดแต่พวกเขาก็เดินตามเข้าไปจนถึงลาน
กว้างของหมู่บ้านจึงเข้าใจ ถึงคำพูดเมื่อสักครู่ได้ เพราะในหมู่บ้านนี้เต็มไปด้วย ครึ่งสมิง และมนุษย์ปะปนกัน
แม้แต่เอฟล์ ซึ่งพวกเขาเคยได้แต่เห็นจากภาพที่อยู่ในโรงเรียนมังกรเท่านั้นก็ยังมาเดินกันให้พวกเขาเห็นตัวเป็นๆอยู่ตรงหน้า  หลังจากที่อึ้งไปได้ซักพัก กับสภาพแวดล้อมของหมู่บ้าน พวกเขาก็ออกเดินต่อไปตามทาง
ที่ป้ายบอกทางตรงลานกว้างเขียนไว้เมื่อสักครู่จนมาถึงหน้า เรือนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน

ซึ่งมีป้ายติดไว้ คานของประตูว่า สำนักงานกองกำลังต่อต้าน

พวกเขาไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปซึ่งก่อนที่จะผ่านประตูเข้าไป ทหารยามในชุดสีขาวเหมือนกับที่กองกำลังต่อต้านในเมอรเซียใช้ ก็ได้เรียกพวกเขาเอาไว้

“ พวกเจ้ามึธุระอะไร ”
ทหารยามกถามถึงธุระของพวกเขา พวกเขามองหน้ากันอยู่ซักครู่ก่อนที่ วิลจะกระซิบใส่ Lr จนเขานึกออก
เขาเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าด้านในเสื้อนอกของเขา ก่อนจะหยิบเอาแผ่น โลหะชิ้นขนาดกำมือ ซึ่งมีตราประทับเป็นรูปปีกนกเหมือนกับตราของกองกำลังให้ทหารยามดู และทันทีที่ทหารยามรับเอาแผ่นโลหะนั้นมาดู เขาก็ถึงกับหน้าซีดทันที

“ ข..ขออภัยอย่างยิ่งข้าไม่ทราบว่าท่านเป็นตัวแทนจากส่วนกลาง ต้องขออภัยด้วย ”
ทหารยามรีบกล่าวขอโทษขอโพยอย่างระล่ำระลัก ก่อนจะหลีกทางให้พร้อมกับคืนแผ่นโลหะแก่พวกเขา

ตอนนี้พวกเขาเข้ามาภายในสำนักงานได้แล้ว

“ ไม่เคยคิดเลยนะว่าตราประทับที่ได้มา ก่อนออกจากฟีเลเซียจะมามีประโยชน์เอาตอนนี้น่ะ ”
Lr กล่าวเมื่อเขาย้อนนึกถึงตอนที่ จะออกเดินทางไปฟูดินัน บิชอปเกรเกอรี่ก็ได้ให้ตราประทับนี้แก่พวกเขา
เพื่อให้พวกเขาสะดวกแก่การ เดินทางในกองกำลัง และเพื่อสำหรับติดต่อผ่านกองกำลังด้วย

เมื่อพวกเขาเข้ามาได้แล้ว จู่ๆพนักงานคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่ตะสอบถามก็เห็นพวกเขา และรีบลุกมาหาพวกเขาอย่างร้อนรน

“ พวกท่านมากันแล้วเหรอ ถ้ายังไงขอเชิญ ตามข้ามาก่อนเลย ”
เขากล่าวจบก็รีบเดินนำไปยังอีกห้อง ทันที แม้จะยังไม่เข้าใจแต่พวกเขาก็เดินตามไปเพราะไม่รู้อยู่ดีว่าจะมาทำอะไรได้ที่นี่ พวกเขาเดินตามจนถึงโต็ะที่มีเครื่องมือประหลาดๆเหมือนกับที่ห้องของทิโมธี ที่พวกเขาค้างก่อนจะออกเดินทางไปฟูดินัน
และที่ค่ายพักของกองกำลังเขาเองก็ได้เห็นเครื่องนี้ตั้งอยู่ทั่วไป โดยมันมีหน้าตาเหมือนเครื่องเล่นเสียง
ที่ต่อสายเข้ากับกล่องโลหะสีดำที่มีหน้าที่เหมือนตัวส่งกระแสไฟ

ที่โต๊ะ พนักงานที่นำพวกเขามากำลังคุยกับเคื่องมือที่วางอยู่โดยมีเสียงตอบกลับมาจากสิ่งที่เหมือนกับลำโพงของเครื่องเล่นเสียง ซึ่งเสียงที่ตอบกลับมานั้นเป็นที่พวกเขาคุ้นหูมาก พนักงานกวักมือเรียกพวกเขาให้ไปหา

………………….
………….
…..

Logged


Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.22 seconds with 21 queries.