Summoner Master Forum
November 27, 2024, 02:32:31 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@  (Read 10539 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: August 21, 2005, 02:12:58 AM »

Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด


                       วันนี้เป็นวันโซลุม(Solum)ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหญิงอลาน่าและคณะซิสเตอร์ของซิสเตอร์โรซาน่าใช้เป็นวันสำหรับออกตรวจเยี่ยมและรักษาโรคทั่วไปให้แก่คนยากคนจนตามแหล่งสลัมและท่าเรือ   และก็เหมือนกับวันลักษ์ที่เป็นวันแจกอาหาร   เจ้าหญิงอลาน่ามักจะนำคณะไปตรวจเยี่ยมประชาชนแถวท่าเรือเป็นประจำ   แต่การรักษานี้ก็ไม่ใช่ว่าบรรดาคนป่วยทุกคนจะได้รับการรักษาในทันที ทั้งนี้ก็เพราะไม่ใช่ซิสเตอร์ทุกคนจะมีพลังในการรักษา   ซิสเตอร์ที่มีพลังพิเศษนี้จึงต้องหมุนเวียนไปตามที่ต่าง  ๆ  เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปให้ทั่วถึง          ซิสเตอร์ที่ไม่มีพลังในการรักษาก็จะช่วยวิเคราะห์โรค ทำความสะอาดแผล แนะนำการดูแลรักษาร่างกายเบื้องต้นให้แก่คนยากคนจน และแจกจ่ายยารักษาโรค   แต่ก็ไม่ค่อยเพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยเพราะยาที่ใช้รักษาอาการเจ็บไข้ต่าง  ๆ  นั้นมีราคาแพงมากนั่นเอง
                       แน่นอนว่าการออกไปรักษาโรคให้กับคนยากจนของเจ้าหญิงอลาน่านั้นถูกคัดค้านจากราชองครักษ์อองเดรเหมือนเช่นทุกครั้ง   เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหญิงถึงต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงต่อการติดโรคจากพวกคนจนสกปรกเหล่านั้น   ซึ่งเจ้าหญิงก็ให้เหตุผลว่าประเทศชาติจะเข็มแข็งมั่นคงได้อย่างไรหากประชาชนอ่อนแอและเจ็บป่วยอยู่อย่างนี้   จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหญิงผู้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการที่จะดูแลประชาชนให้มีสุขภาพดีแข็งแรง   เพื่อประชาชนจะสามารถใช้ความรู้ความสามารถมาพัฒนาแอนดิซองได้อย่างเต็มที่   ทว่าเหตุผลของเจ้าหญิงก็ไม่ได้ทำให้ราชองครักษ์ยอมรับหรือเข้าใจอะไรมากขึ้น   เขายังคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางเจ้าหญิงไม่ให้ทำตามที่ปรารถนาได้   จึงได้แต่ส่งทหารตามไปอารักขาและเตรียมหมอหลวงให้ตรวจสุขภาพเจ้าหญิงทุกครั้งที่กลับจากการรักษาโรคของคนจน
                       วันนี้คณะของเจ้าหญิงก็มาที่ท่าเรือตามเวลาปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง   เต็นท์ที่ให้การรักษาถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างง่าย ๆ ด้วยความรวดเร็วโดยเหล่านายทหารที่ติดตามมาด้วย   ทว่าวันนี้กลับดูแตกต่างไปจากทุกวัน   เพราะบริเวณท่าเรือกลับคลาคล่ำไปด้วยคนต่างชาติมากมาย   ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วเจ้าหญิงก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชาวฟูดินันและชาวฟีเลเซียแน่นอน   บางคนก็มองเข้ามาในเต็นท์ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นว่าพวกซิสเตอร์เหล่านี้กำลังทำอะไรกัน   บางคนที่รู้ว่าซิสเตอร์เหล่านี้รักษาอาการป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายก็มายืนเข้าแถวต่อคิวจนแถวยาวเยียด      
                       “ซิสเตอร์รู้ไหมคะว่าทำไมชาวฟูดินันและชาวฟีเลเซียถึงมาที่แอนดิซองมากมายขนาดนี้?” อลาน่าเอ่ยถามซิสเตอร์โรซาน่าขณะที่มือทั้งสองกำลังพันแผลที่แขนให้กับชายคนหนึ่ง  
                       “อ้าว...ซิสเตอร์ไม่รู้หรือขอรับ   คนพวกนี้เขาหนีภัยสงครามมา   นี่เห็นว่ายังจะมีมากับเรือใหญ่อีกหลายร้อยเลยนะขอรับ   คืนนี้คงมีคนนอนข้างถนนกันบานเลย” ชายที่อลาน่ากำลังพันแผลให้พูดขึ้นยิ้มแห้ง  ๆ  เพราะคิดว่าคืนนี้คงต้องมีการแย่งที่นอนกันแน่  ๆ     เขาลุกขึ้นเมื่ออลาน่าทำแผลเสร็จแล้วจึงกล่าวขอบคุณซิสเตอร์ก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ไป
                       “ซิสเตอร์คะ   ซิสเตอร์คิดว่าอย่างไรถ้าหากฉันจะสร้างอาคารขึ้นหลังหนึ่งไว้สำหรับเป็นที่พักในยามค่ำคืนสำหรับผู้ยากไร้และผู้อพยพเหล่านี้?   ฉันคิดว่าต่อให้เรารักษาอาการเจ็บไข้ของพวกเขา   แต่ถ้าพวกเขายังนอนตากน้ำค้างและลมหนาวอย่างนี้ทุกวันก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย   แล้วผู้อพยพเหล่านี้” อลาน่ากว้างตามองผู้อพยพที่มีทั้งเด็กเล็ก  ๆ   ผู้หญิง และคนแก่ “พวกเขาบางคนอพยพมาแบบแทบจะตัวเปล่าเลย   แอนดิซองอากาศหนาวเย็นกว่าที่ที่เขาจากมามากนะคะ   พวกเขาจะทนสภาพอากาศแบบนี้ได้หรือ? ”
                       “ฝ่าบาท   พระองค์ไม่จำเป็นต้องถามหม่อมฉันเลยด้วยซ้ำ   สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยจะทำเพื่อพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าทั้งนั้น” ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มอย่างชื่นชม “แต่พระองค์จะเอาทุนทรัพย์จากที่ไหนมาสร้างอาคารให้พวกเขาหรือเพคะ?   ทั้งยังที่ดินที่ใหญ่พอจะสร้างอาคารขนาดใหญ่เพื่อจุคนเหล่านี้อีก   หม่อมฉันคิดว่าพวกสมาคมพ่อค้าเจ้าปัญหาต้องไม่อยู่เฉยแน่เพคะ”
                       “ใช่...ฉันก็คิดว่าพวกเขาไม่ยอมเสียผลประโยชน์แน่  ๆ    เพราะที่ดินแถบนี้เป็นของพวกเขาทั้งนั้นเลยนี่คะ” เจ้าหญิงอลาน่ากล่าวอย่างครุ่นคิด
ซิสเตอร์โรซาน่ามองใบหน้าของเจ้าหญิงก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน “ฝ่าบาท   หม่อมฉันสังเกตว่าพระพักตร์ซีด  ๆ  ไปนะเพคะ   พระองค์ประชวรรึเปล่า?   ให้หม่อมฉันตรวจดูอาการสักหน่อยไหมเพคะ?”
                       “ไม่เป็นอะไรหรอกคะ  ซิสเตอร์ใช้พลังช่วยรักษาพวกเขาดีกว่า  ฉันแค่เพลีย  ๆ  นิดหน่อยเท่านั้นเองคะ  เพราะช่วงนี้งานในวังมีมาก   ฉันเลยต้องตรวจดูอะไรหลายอย่าง” อลาน่ายิ้มปฏิเสธด้วยความสุภาพ
                       “ถ้าเช่นนั้นพระองค์กลับไปพักผ่อนก่อนดีไหมเพคะ?   หม่อมฉันจะดูแลงานทางนี้เอง” ซิสเตอร์โรซาน่าเสนอเพราะความห่วงใย  
                       “ฉันยังไหวคะ   แล้ววันนี้คนป่วยมีมากกว่าทุกวันเกือบสามเท่าได้กระมัง   ถ้าขาดใครไปสักคนที่นี่ต้องวุ่นวายแน่  ๆ    ให้ฉันอยู่ต่อเถอะนะจ๊ะ” อลาน่าขอร้อง
                       ซิสเตอร์โรซาน่าเอียงคอเล็กน้อย มองสำรวจใบหน้าของเจ้าหญิงเพื่อประเมินอาการด้วยสายตาที่ฉายแววกังวล “ก็ได้เพคะ   แต่ถ้าพระองค์รู้สึกแย่ลงเมื่อไหร่   พระองค์ต้องรีบบอกหม่อมฉันทันที   และเมื่อกลับไปถึงปราสาทแล้วก็ต้องรีบพักผ่อนนะเพคะ”
                       “ตกลงค่ะ” อลาน่ารับคำยิ้มอย่างร่าเริง

« Last Edit: August 21, 2005, 02:18:53 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: August 21, 2005, 02:15:18 AM »

                        กว่าจะรักษาผู้ป่วยจนครบหมดทุกคนก็เป็นเวลาเกือบพลบค่ำแล้ว   คณะของซิสเตอร์ต่างก็มุ่งกลับอารามที่พัก   โดยคณะของเจ้าหญิงอลาน่าเข้าถึงที่พักเป็นคณะหลังสุด   ก่อนจากกันซิสเตอร์โรซาน่าก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับให้เจ้าหญิงพักผ่อนทันที   ซึ่งอลาน่าก็รับปากแต่โดยดี   ทว่าเมื่อกลับถึงปราสาทแล้วกลับมีราชกิจมากมายรออยู่   เพราะเกิดสงครามขึ้นแม้แอนดิซองมิได้เข้าร่วมในสงคราม   แต่ผลกระทบต่าง  ๆ  ก็เริ่มจะส่อเค้าว่าจะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อแอนดิซอง   มีเอกสารมากมายที่เจ้าหญิงต้องดู   มีปัญหามากมายที่ต้องนำเข้าที่ประชุม  
                        ทันทีที่เจ้าหญิงเสด็จถึงปราสาทก็ต้องรีบเข้าร่วมประชุมกับสภาขุนนาง สภาศาสนา และสภาพ่อค้าเรื่องการเพิ่มงบประมาณที่จะสำรองไว้ใช้ในราชสำนักและสภาทั้งสองสำหรับฤดูหนาวที่ปีนี้มาเร็วกว่าปกติ   การประชุมที่เคร่งเครียดดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเพราะต่างก็หาข้อสรุปที่น่าพอใจไม่ได้   เนื่องจากเริ่มมีผู้อพยพเดินทางมาที่แอนดิซองมากขึ้น   ทั้งยังอยู่ในภาวะสงครามจึงต้องสำรองเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ป้องกันอาณาจักรหากเกิดกรณีฉุกเฉิน   กว่าที่ประชุมจะได้ข้อยุติเวลาก็ล่วงเลยเกือบถึงเที่ยงคืน
                        อลาน่าเดินออกจากห้องประชุมพร้อมเหล่านางกำนัลสี่นางมุ่งสู่เขตพระราชฐานชั้นในด้วยความเหนื่อยอ่อน   ฝีเท้าของเธอช้าลงเรื่อย  ๆ  จนเหล่านางกำนัลเริ่มมองหน้ากัน
                        “ฝ่าบาท   ทรงเป็นอะไรรึเปล่าเพคะ?” นางกำนัลคนหนี่งถามขึ้นในที่สุด
                        อลาน่าหันมายิ้มน้อย  ๆ  พูดเสียงเบา “ฉันคิดว่าวันนี้ฉันคงจะเหนื่อยไปหน่อยเท่านั้นเองจ้ะ”
                        “ให้หม่อมฉันช่วยพยุงไหมเพคะ   พระองค์ดูพระพักตร์ซีดราวกับกระดาษเลยนะเพคะ” นางกำนัลอีกคนรีบพูดขยับตัวเข้าไปใกล้ด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าหญิง  
                        “ไม่เป็นไรจ้ะ   อีกนิดเดียวก็ถึงห้องของฉันแล้ว” อลาน่ายิ้มก่อนจะหมุนตัวกลับ   ทว่าทันใดนั้นก็เหมือนกับโถงทางเดินเหวี่ยงตัวหมุนเคว้ง เพดานและผนังดูเหมือนจะถูกบีบพับลงมากองกับพื้น   เจ้าหญิงได้ยินแต่เสียงหวีดร้องของเหล่านางกำนัล   อลาน่ารีบพูดปลอบขวัญพวกนางทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นแค่เสียงพึมพำเบา  ๆ    เข่าทั้งสองของเธออ่อนยวบแล้วทุกอย่างก็ค่อย  ๆ  พร่าเลือนไป   คงไม่มีใครได้ยินเสียงปลอบขวัญของเธอเพราะเธอยังรู้สึกได้ว่าเหล่านางกำนัลยังคงร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่รอบ  ๆ  ตัวเธอก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นมืดสนิท

   
s
[/b]                        

                        อลาน่ารู้สึกถึงสายน้ำเย็นสดชื่นสะอาดบริสุทธิ์ไหลผ่านทั่วทั้งร่างของเธออย่างอ่อนโยน   ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายตัวเหมือนนอนอยู่บนปุยเมฆนุ่มขาวสะอาด   นี่เธอมานอนเล่นอยู่บนสรวงสวรรค์หรือไรนะ   เมื่อคิดดังนั้นก็ปรารถนาอย่างเหลือเกินที่จะเห็นความงดงามของสรวงสวรรค์แห่งนี้   เจ้าหญิงจึงค่อย  ๆ  เปิดเปลือกตาขึ้นช้า  ๆ    แสงอรุณรุ่งรำไรที่แผ่ลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาเยี่ยมเยือนภายในห้องสีฟ้าอ่อนทำให้ทั่วทั้งห้องแลดูสดใสเหมือนท้องฟ้ายามเช้า   ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างแสนจะธรรมดาและเรียบง่ายผิดกับห้องหับอื่น  ๆ  ในปราสาทที่เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาและการตกแต่งที่วิจิตรตระการตาจากบรรดาช่างฝีมือดีนับพันคน   ห้องนี้ไม่มีเพชรพลอยประดับ  ไม่มีเครื่องตกแต่งไร้สาระราคาแพง   ไม่มีแม้แต่เครื่องเรือนหรูหราที่ประดับด้วยทองคำอย่างที่ขุนนางและชนชั้นสูงในแอนดิซองนิยมใช้กัน   หากใครได้มาเห็นห้องบรรทมนี้คงไม่มีวันเชื่อแน่ว่าจะเป็นห้องบรรทมของเจ้าหญิงผู้มีตำแหน่งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแห่งแอนดิซอง  
                        แสงอาทิตย์อ่อน  ๆ  ยามเช้าที่ทอแสงลอดตามช่องหน้าต่างเข้ามาอย่างอ่อนโยนทำให้เจ้าหญิงอลาน่ามองเห็นว่าเธออยู่บนแท่นบรรทมของเธอเองโดยมีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและน้ำตาที่เอ่อคลอของซิสเตอร์ที่เธอรักไม่ต่างจากมารดาอีกคนหนึ่งอยู่ข้างเตียงของเธอ
                        “ซิสเตอร์ดูเหมือนนางฟ้าที่มากับแสงอรุณรุ่งเลยนะคะ” อลาน่าพูดเสียงเบายิ้มน้อย  ๆ
                        “ยังจะมาตรัสล้อหม่อมฉันเล่นอีกนะเพคะ   พระองค์ทราบไหมว่าหม่อมฉันตกใจแค่ไหนตอนที่พวกมหาดเล็กวิ่งหน้าตาตื่นไปตามหม่อมฉันที่อารามแล้วบอกหม่อมฉันว่าพระองค์เป็นลม?   พอหม่อมฉันมาถึงทั้งพวกนางกำนัลและหมอหลวงก็วุ่นวายไปทั่วทั้งห้องเลย   พระองค์บรรทมไปหนึ่งวันเต็ม  ๆ  เชียว   นี่ก็เข้าเช้าวันนิล(Nil)แล้วเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่ามองเจ้าหญิงของเธออย่างอ่อนโย
« Last Edit: August 21, 2005, 02:18:08 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: August 21, 2005, 02:16:51 AM »

                      “ฉันเป็นลมรึคะ?” อลาน่าพูดงง  ๆ  “ฉันคิดว่าปราสาทถล่มเสียอีก”
                      “ถ้าพระองค์ยังไม่ฟื้นปราสาทคงถล่มจริง  ๆ  นั่นแหละเพคะ   ราชองครักษ์อองเดรแทบจะบีบคอหมอหลวงอยู่แล้วเพราะพระองค์ไม่ฟื้นเสียที   ทั้งนางกำนัลและมหาดเล็กก็โดนหางเลขกันเป็นแถว   ขนาดหม่อมฉันยังโดนไปด้วยเลยเพคะ   โทษฐานที่ปล่อยให้พระองค์ตรากตรำทำงานมากเกินไป”
                      “โอ!ตายจริง   แล้วพวกเขาเป็นอย่างไรมากไหมคะ?   แล้วซิสเตอร์ล่ะคะ?” เจ้าหญิงอลาน่าอดตกพระทัยไม่ได้ที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ทุกคนต้องเดือดร้อน
                      “ไม่ต้องทรงวิตกกังวลหรอกเพคะ   หม่อมฉันไม่เป็นไร   เขาไม่กล้าทำอะไรหม่อมฉันอยู่แล้วเพราะหม่อมฉันเคยช่วยชีวิตเขาไว้    แต่ก็เรียกได้ว่าไม่พอใจหม่อมฉันเท่าไหร่นักหรอกเพคะ   ที่ยอมสงบลงได้ก็เพราะหม่อมฉันยืนยันว่าจะใช้พลังรักษาช่วยเสริมกำลังให้พระองค์  และยืนยันกับเขาอีกว่าวันนี้พระองค์จะคืนสติ   ที่พระองค์ยังไม่ฟื้นก็เพราะร่างกายอ่อนเพลียมากและต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอเท่านั้นเอง”  ซิสเตอร์โรซาน่าตบหลังมือเจ้าหญิงเบา  ๆ  “หม่อมฉันบอกแล้วว่าให้พระองค์พักผ่อน   ทำไมพระองค์ยังดื้อฝืนไปนั่งประชุมอีกละเพคะ?”  
                      “ฉันแค่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงเลยคิดว่าถ้าอดทนอีกหน่อยก็จะได้กลับเข้าห้องบรรทมแล้ว   ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นลมไปน่ะคะ  ขอโทษนะคะที่ฉันทำให้ซิสเตอร์ต้องลำบาก”  อลาน่าเอื้อมมือมาจับมือซิสเตอร์โรซาน่าที่เกาะกุมมือซ้ายของเธออยู่
                      “ไม่เป็นไรเพคะ   แต่ตอนนี้พระองค์นอนพักอีกสักหน่อยดีไหมเพคะ?   หม่อมฉันจะไปแจ้งราชองครักษ์และคนอื่น  ๆ  ว่าพระองค์ฟื้นแล้ว   พวกเขาจะได้คลายกังวลกัน   นี่พวกเขาเตรียมโอสถไว้ให้พระองค์มากมายจนจะเสวยได้ทั้งปีเลยมั๊งเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่าพูดขำ  ๆ  ในขณะที่อลาน่ายิ้มอย่างอารมณ์ดี  
                       “ก็ดีสิคะ   ฉันจะได้มียาไว้แจกประชาชนของฉัน” เสียงหัวเราะของสตรีทั้งสองดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน   แต่จู่  ๆ  อลาน่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งขึ้น “ซิสเตอร์คะ   อย่าแจ้งไปทางเสด็จพ่อกับเสด็จแม่นะคะ   ฉันไม่อยากให้ทั้งสองพระองค์เป็นกังวล”
                      “เพคะ” ซิสเตอร์มองตอบอย่างเข้าใจ   ก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตูลงเบา  ๆ                  

                      เช้าวันลักษ์เจ้าหญิงอลาน่าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระฉับกระเฉง   เธอฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี   ตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับวันนี้ที่เธอจะได้แจกอาหารให้แก่คนยากจนอย่างมีความสุข   ทันทีที่เจ้าหญิงเสด็จไปถึงบริเวณลานกว้างหน้าประตูทิศตะวันออกที่ที่เหล่าซิสเตอร์ใช้เป็นจุดนัดพบประจำก่อนออกช่วยเหลือคนยากจน   เจ้าหญิงเห็นซิสเตอร์กลุ่มใหญ่ยืนรออยู่ก่อนแล้วจึงรีบตามไปสมทบทันที   ทว่าบรรยากาศวันนี้กลับดูตึงเครียดหม่นหมองกว่าทุก  ๆ  วัน
                      “เกิดอะไรขึ้นหรือคะซิสเตอร์?” เจ้าหญิงถามซิสเตอร์โรซาน่าด้วยความสงสัยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน
                      “ราชองครักษ์อองเดรนำกำลังทหารหลายร้อยนายตั้งด่านสกัดตามถนนสายต่าง  ๆ  เพื่อกันคนยากคนจนไม่ให้เข้ามาในเขตเมืองท่าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพคะ   รวมทั้งกวาดต้อนคนยากจนและผู้อพยพขึ้นเกวียนออกไปนอกพื้นที่ที่เราจะแจกจ่ายอาหารในวันนี้ทั้งหมด วันนี้จึงไม่มีคนยากจนและผู้อพยพอยู่ในเมืองเลยแม้แต่คนเดียวเพคะ” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
                      “เขาทำอย่างนั้นทำไมคะ?” อลาน่าถามอย่างตกใจ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นด้วยความตระหนก
                      “เขาบอกว่า เพราะคนจนเหล่านี้ทำให้พระองค์เหน็ดเหนื่อยจนถึงกับประชวร   และถึงแม้ว่าพระองค์ประชวรอยู่อย่างนี้   พวกเขาก็ยังไม่รู้จักสำนึกยังคิดจะเดินทางเข้ามารับบริจาคทำให้พระองค์ไม่ได้พักผ่อน”
                      “ไม่มีเหตุผลเลย   ดีละ...ถ้าเช่นนั้นฉันจะออกไปแจกอาหารพวกเขาที่นอกเมืองเอง” อลาน่ากล่าวจบก็ก้าวขึ้นรถม้าอย่างเด็ดเดี่ยว  
                      “ฝ่าบาท” ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวทัดทานสีหน้ายังไม่คลายความวิตกเพราะรู้แน่ว่าอองเดรคงแทบคลั่งที่เจ้าหญิงจะเสด็จออกนอกเมืองเช่นนี้
                      “ถ้าท่านราชองครักษ์ไม่พอใจก็ให้เขามาพูดกับฉันเองคะ   ฉันจะไม่ยอมให้ประชาชนของฉันต้องหิวโหยและหนาวสั่นอยู่นอกเมืองอย่างนั้น” อลาน่าพูดอย่างเศร้าสร้อยเมื่อคิดถึงภาพคนยากจนและผู้อพยพนับพันที่แออัดอยู่นอกเมืองโดยไม่มีอาหารกิน
                      “ฝ่าบาท!!”
                      เสียงเย็นยะเยือกเปี่ยมด้วยพลังอย่างนายทหารดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้เหล่าซิสเตอร์ตกใจหันไปมองที่มาของเสียงเป็นตาเดียว   ทุกคนต่างยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอกับสายตาแข็งกร้าวที่ตรึงทุกคนไว้กับที่   ราชองครักษ์อองเดรยืนนิ่งอยู่ที่กาบประตูปราสาทฝั่งตะวันออกดวงตาเย็นยะเยือกฉายแววตระหนกอยู่เพียงชั่ววูบก่อนจะกลายเป็นไร้อารมณ์เช่นเดิม   สายตาคมกริบของเขามองปราดเข้าไปบนรถม้าก่อนจะจ้องมองเขม็งไปทางซิสเตอร์โรซาน่าก่อนจะสาวเท้าผ่านกลุ่มซิสเตอร์ที่เดินเลี่ยงหลบเป็นทางให้เขา  
                      “เจ้าหญิงยังไม่ทรงหายประชวรดีทำไมท่านถึงยังให้พระองค์ออกมาข้างนอกอย่างนี้” อองเดรตำหนิซิสเตอร์อย่างกล่าวหาด้วยสายตาและน้ำเสียงเย็นเฉียบ
                      “ซิสเตอร์ห้ามแล้วจ้ะ   แต่นี่เป็นความประสงค์ของฉันเองที่จะออกไปนอกเมือง”

« Last Edit: August 21, 2005, 02:20:20 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: August 21, 2005, 02:21:20 AM »

                       อองเดรร่างกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น  แม้ใบหน้าจะยังคงนิ่งเฉยอยู่ “นอกเมืองหรือพ่ะย่ะค่ะ!?   พระองค์จะออกไปนอกเมืองเพื่ออะไรกัน?   พระองค์ไม่ควรออกมาตากลมอยู่เช่นนี้ด้วยซ้ำ”
                        “ฉันก็จะออกไปแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนของฉันอย่างที่ทำทุกวันลักษ์นะสิจ๊ะ   ในเมื่อพวกเขาเข้ามารับอาหารไม่ได้   ฉันก็จะออกไปส่งอาหารให้พวกเขาเอง”
                        “ไม่ได้เด็ดขาด และพระองค์เองก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกมาข้างนอกอย่างนี้ด้วย” อองเดรยังคงดึงดันกล่าวเสียงเฉียบ   ใบหน้าแข็งกร้าวขึ้น
                        “ใครจะรู้จักร่างกายของฉันได้ดีไปกว่าตัวฉันเองล่ะจ๊ะ   ตอนนี้ฉันรู้สึกสบายดีมาก ๆ และตื่นเต้นมากจนแทบทนไม่ได้ที่จะได้ไปแจกอาหารให้ประชาชนที่น่าสงสารของฉัน   ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันออกไปนอกเมืองก็แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาหาฉันที่นี่ละจ๊ะ”
                        อองเดรนิ่งเงียบไปทันทีรู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุมอีกครั้ง   เขาจ้องพระพักตร์อันงดงามของเจ้าหญิงด้วยดวงตาสีฟ้าอมเทาที่ไร้อารมณ์ทว่ากลับฉายแววประหลาดน้อย  ๆ  ขึ้นวูบหนึ่งที่หากไม่จับตาดูให้ดีคงไม่มีใครสังเกตเห็น  
                        “ทำไมพระองค์ถึงต้องทำร้ายพระวรกายของพระองค์เองเช่นนี้” อองเดรพูดเสียงเย็นเบา  ๆ    เป็นเสียงที่ทำให้ซิสเตอร์โรซาน่าต้องหันมามองด้วยความประหลาดใจในความรู้สึกที่เจือออกมาทางน้ำเสียงของราชองครักษ์หนุ่มวัยสามสิบสามปีผู้นี้
                        “ฉันไม่ได้ทำร้ายตัวเองจ้ะอองเดร   แต่การช่วยเหลือผู้คนคือความสุขเพียงอย่างเดียวสำหรับฉัน   ฉันยินดีที่จะลดราชกิจต่าง  ๆ  ลงเพื่อแลกกับการที่ฉันจะได้ช่วยเหลือประชาชนของฉันได้มากขึ้น” อลาน่าพูดขึ้นแล้วก็ต้องยิ้มออกมาในทันทีเมื่อคิดถึงเวลาที่มากขึ้นหากเธอลดงานราชการลง   ทำไมเธอเพิ่งจะนึกวิธีนี้ได้นะ
                        “ถึงกระนั้น   กระหม่อม...”
                        “ถ้าเธอกังวลเรื่องสุขภาพของฉัน   ฉันก็ยินดีที่จะตั้งซุ้มแจกอาหารที่หน้าปราสาทนี้ และถ้าฉันรู้สึกอ่อนเพลียฉันก็จะได้เข้ามาพักผ่อนในปราสาทได้ทันที”
                        อองเดรขบกร้ามแน่น   สีหน้าของเขายังคงราบเรียบแต่ทุกคนก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่แผ่ออกมาเป็นริ้ว  ๆ  ซึ่งหมุนวนอยู่รอบ  ๆ  ร่างของบุรุษน้ำแข็งผู้นี้  
                        “สั่งยกเลิกด่านกักบริเวณ   แล้วจัดการตั้งซุ้มที่หน้าปราสาทให้เจ้าหญิงเดี๋ยวนี้” อองเดร หันไปสั่งมหาดเล็กด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและเย็นยะเยือกจนผู้รับคำสั่งถึงกับขนลุกซู่  เมื่อพูดจบอองเดรก็โค้งให้เจ้าหญิง
                        “ถึงอย่างไรก็ขอให้พระองค์ทรงรักษาพระวรกายด้วย”
                        “ขอบใจจ้ะ” อลาน่ายิ้มกล่าวอย่างมีความสุข  
                         อองเดรยืนนิ่งมองเจ้าหญิงอยู่ครู่หนึ่งดวงตาสีฟ้าหม่นของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด  ๆ    ริมฝีปากเม้มแน่นสนิทแต่ท่าทางของเขากลับดูเหมือนว่าเขามีความลังเลใจคล้ายกำลังตัดสินใจว่าจะกล่าวอะไรบ้างอย่างกับเจ้าหญิง   ทว่าเพียงชั่วครู่เขาก็เปลี่ยนใจก่อนโค้งให้เจ้าหญิงอย่างสง่างามพลางหมุนตัวกลับก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความโล่งใจของบรรดาซิสเตอร์    
                          อองเดรเดินจากไปพร้อมกับคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในใจของเขา  เขาไม่เคยห้ามเจ้าหญิงได้สำเร็จเลยสักครั้ง   เขาไม่เคยเข้าใจความคิดของเจ้าหญิงเลย   ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องปฏิเสธความหวังดีของเขาทุกครั้ง?   ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องทำเพื่อคนยากจนสกปรก ไร้ค่า และไม่มีอะไรเลยมากมายถึงขนาดนี้?   เขาไม่เข้าใจว่าทำไมความสุขเพียงอย่างเดียวของเจ้าหญิงคือการช่วยเหลือคนเหล่านี้?   ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหญิงถึงไม่ต้องการความสุขสบายและความร่ำรวยทั้ง  ๆ  ที่ทุกคนในอาณาจักรนี้ปรารถนาและขวนขวายหามันอย่างไม่เคยพอ?   ทำไม?...ทำไม?  
« Last Edit: August 21, 2005, 02:21:54 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: August 21, 2005, 02:23:46 AM »

                       ภายในงานชุมนุมหัวหน้าเผ่าใต้มหาพฤกษาอิกดราซิลที่ทางเผ่าฟูดินันได้จัดขึ้นซึ่งหลังจากเทศกาลเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว(Harvest Spirit)หนึ่งวัน   หัวหน้าเผ่าและผู้นำระดับสูงจากเผ่าต่าง  ๆ  ทั้งน้อยใหญ่ต่างเดินทางมาร่วมชุมนุมกันมากมาย   รวมถึงผู้อาวุโสของเผ่าต่าง  ๆ  ก็ได้รับเชิญมาร่วมในงานชุมนุมในวันนี้เช่นกัน   แต่เผ่าที่ดูโดดเด่นและเป็นที่น่าจับตามองคงไม่พ้นเผ่าฟูดินัน เผ่าเซนทอร์ เผ่าสมิง และ เผ่าป่าทมิฬ
                        เผ่าสมิงเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่มากบริเวณตอนใต้ของเผ่าป่าทมิฬ   ถิ่นอาศัยกินอาณาบริเวณกว้างตั้งแต่ตอนใต้ของป่าทมิฬจรดทะเลสาบนีรันดาซ้ายติดเทือกเขาที่เป็นที่ตั้งเมืองวอลเนียของฟีเลเซียส่วนด้านขวาติดกับเผ่าฟูดินัน   เผ่าสมิงส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมทั้งสามตน คือ คาร์น(Karn, Leon Infantry) สมิงสายพันธุ์สิงโตผู้ซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์สูงใหญ่กำยำบึกบึน   ใบหน้าเหมือนราชสีห์ดูองอาจน่าเกรงขามสมกับเป็นจอมทัพสมิงตัวแทนของผู้นำเผ่า   ข้างกายคาร์นคือยอดฝีมือนามว่า แกสช์(Gash) สมิงสายพันธุ์เสือผู้มีเขายาวสีทองบิดเป็นเกลียวอยู่บนหน้าผาก ใบหน้าดุดัน  ท่วงท่าสง่างามไม่ต่างจากพยัคฆ์ใหญ่ผู้เจนไพร  มีอาวุธร้ายกาจถึงสองชิ้นเป็นอาวุธคู่กายคือขวานสองคมขนาดใหญ่และโซ่ที่ปลายมีตุ้มหนามเหล็ก   ส่วนสมิงอีกตนหนึ่งคือผู้ที่มีฉายาว่าโทมาฮอว์ค เลพเพิร์ด(Tomahawk Leopard) สมิงสายพันธุ์เสือดาวรูปร่างใหญ่โตเต็มไปด้วยมัดกล้าม   เขี้ยวยาวคมกริบสีขาวทั้งสองยาวเกือบจรดอกแลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก   ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาแต่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกเขาว่าโทมาฮอว์ค เลพเพิร์ด ตามฝีมือที่ร้ายกาจในการใช้อาวุธคู่กายของเขา   ซึ่งก็คือขวานสองคมขนาดใหญ่ที่มีผ้าสีแดงราวกับเลือดผูกคิดอยู่ที่โค่นขวานยักษ์นั่นเอง   การปรากฏตัวของสมิงทั้งสามสร้างความครั่นคร้ามให้แก่หัวหน้าเผ่าต่าง  ๆ  ไม่น้อยทีเดียว   เผ่าสมิงเป็นเผ่าที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครนัก   ไม่เคยเข้าร่วมสงครามหากไม่ถูกบีบบังคับ   ดังนั้นการที่เผ่าสมิงมาร่วมในงานประชุมในครั้งนี้จึงทำให้หลาย  ๆ  เผ่าอดหวั่นวิตกกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นไม่ได้
                        ข้างฝ่ายเผ่าป่าทมิฬนำโดยดามิก้า ผู้นำระดับสูงของเผ่าทมิฬที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นระดับหัวหน้าได้แม้จะเป็นผู้หญิงและอายุยังน้อย ดามิก้ามีโทนิม่านักรบผู้ฝึกสัตว์ที่มากด้วยความสามารถเป็นผู้ติดตาม และ ฟูมิน(Fumin)นักรบระดับสูงอีกผู้หนึ่งของเผ่าป่าทมิฬ   เขาสวมผ้าคลุมสีน้ำตาลขนาดใหญ่   แต่งกายมิดชิดจนไม่เห็นผิวเนื้อ   เขาซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากากสีขาวที่เห็นเพียงดวงตาที่แข็งกร้าวของเขาเท่านั้น      อาวุธคู่กายคือดาบสีแดงสองปลาย   ฟูมินก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าร่วมในสงครามระหว่างเผ่าเมื่อสิบห้าปีก่อน   หลายคนเชื่อว่าเขาถูกไฟคลอกตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างเผ่าในครั้งนั้นจนกลายเป็นคนที่มีรูปร่างและหน้าตาอัปลักษณ์ เป็นเหตุให้เขาต้องสวมหน้ากากและแต่งกายปกปิดผิวหนังที่ถูกไฟไหม้อย่างน่ากลัว   ตั้งแต่นั้นมาจึงแทบจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาอีกเลยแม้แต่คนเดียวตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา   แต่แท้จริงแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่  
                        ชาวเผ่าป่าทมิฬมักจะโดนตั้งข้อรังเกียจและถูกดูแคลนระคนหวาดกลัวจากเผ่าอื่น  ๆ  อยู่เสมอ   ไม่ว่าจะเพราะความเหี้ยมโหดหรือฝีมือการรบที่รุนแรงร้ายกาจตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่า   การใช้เวทย์สายดำของเหล่าพ่อมดหมอผีในเผ่า   และรวมไปถึงการอยู่ร่วมกันอย่างแปลกประหลาดและหลากหลายของคนต่างเผ่าต่างพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เผ่าต่าง  ๆ  สมิงที่หลากหลายสายพันธุ์ และรวมไปถึงเผ่าประหลาดอื่น  ๆ  ที่อยู่ร่วมประสมปนเปกันไปหมด    จนทุกเผ่าตราหน้าว่าเผ่าป่าทมิฬเป็นเผ่าที่ไม่บริสุทธิ์   ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสามจะถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก    
                         ในขณะที่เผ่าเซนทอร์เองก็ส่งนายพลทราเฮิร์น(Trahern, the Centaur General)   แม่ทัพเซนทอร์ผู้มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในเผ่าเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน   อาวุธประจำกายของเขาคือทวนปลายแหลมขนาดใหญ่อันแข็งแกร่ง   แม่ทัพทราเฮริ์นก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เคยนำทัพเมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฟูดินันเนื่องจากเผ่าเซนทอร์นั้นเป็นพันธมิตรที่เหนี่ยวแน่นของเผ่าฟูดินันมาช้านาน   โดยนายพลทราเฮิร์นนั่งอยู่ไม่ไกลจากผู้เฒ่าวูจินนัก
                        เมื่อทุกเผ่ามาพร้อมหน้ากันแล้ว   ฮารีซันจึงลุกขึ้นกล่าวต้อนรับด้วยเสียงอันดัง
                        “ขอบคุณท่านผู้นำเผ่า ผู้อาวุโส และตัวแทนเผ่าต่าง  ๆ  ทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานชุมนุมในวันนี้   เหตุที่ข้า ฮาริซันแห่งฟูดินันต้องเชิญทุกท่านมาร่วมชุมนุมเป็นการด่วนในวันนี้ก็เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้ข้าเพิ่งได้ข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างซาโลมและฟีเลเซียที่กำลังเกิดขึ้นอีกฟากของคีรีบันดา”
เสียงฮือฮาด้วยความตระหนกตกใจดังกระหึ่มขึ้นทันที   เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งผู้อาวุโสและบรรดาผู้นำเผ่าต่าง  ๆ  ดังเซ็งแซ่  
                        “ท่านรู้ได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสจากเผ่าหนึ่งเอ่ยถามขึ้นในที่สุด   ฮารีซันจึงเล่าเหตุการณ์ที่ได้ฟังจากโจซานให้ฟังทั้งหมด   ทุกคนที่ได้ฟังต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
« Last Edit: August 27, 2005, 05:09:47 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: August 21, 2005, 02:25:30 AM »

                        “ข้าเพิ่งรู้ว่าหัวหน้าเผ่าฟูดินันเชื่อลมปากช่างโม้ของเจ้าโจซานด้วย” ฟูมินพูดขึ้นมาลอย  ๆ    แต่ก็ทำให้หลายคนที่ยังกังขาในความอ่อนเยาว์เกินไปของฮารีซันที่ได้เป็นหัวหน้าเผ่าใหญ่อย่างฟูดินันอดหัวเราะออกมาไม่ได้  
                         ดามิก้าซึ่งถือว่ามิตรที่สนิทสนมกับเผ่าฟูดินันโดยเฉพาะกับครอบครัวบันดาราจึงอดโมโหแทนไม่ได้ที่เพื่อนของตนถูกหักหน้ากลางที่ประชุม   จึงตบโต๊ะเสียงดังหันไปมองฟูมินทันที   พร้อม  ๆ  กับเสียงหัวเราะที่เงียบสนิทลงทันทีเช่นกัน   ในขณะที่ฟูมินก็จ้องตอบดามิก้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
                         “ไม่เป็นไรหรอกดามิก้า   ท่านฟูมินและคนอื่น  ๆ  ก็มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นเช่นกัน   และด้วยอุปนิสัยของโจซานก็เป็นไปได้ที่จะทำให้คิดเช่นนั้น”
                         คำพูดที่ไม่แม้แต่จะแสดงความโกรธเคืองหรือคิดถือสาหาความของฮารีซันนั้นทำให้ผู้อาวุโสและผู้นำเผ่าหลายคนเกิดความประทับใจในความอดทนและใจกว้างของผู้นำเผ่ารุ่นเยาว์ผู้นี้
                         ฮารีซันกล่าวต่อไปว่า  “ทุก  ๆ  ท่าน   แม้โจซานจะชอบคุยโม้คุยโตจนเกินจริงแต่ทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมีพื้นฐานมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงทั้งนั้น   พวกเราทุกคนที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่ทราบดีว่าฝูงมังกรไฟที่บุกเผาทำลายป่าของพวกเราที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นฝีมือของอาณาจักรซาโลมเช่นกัน   ซึ่งก็เป็นที่เครื่องยืนยันว่าอาณาจักรซาโลมได้ยกทัพมาทางตอนกลางของทวีปเมอรีเซียจริง   พวกมันคงหวังจะขยายอาณาจักรจึงคิดทำลายล้างและขับไล่พวกเรา   เพียงแต่ท่านมหาพฤกษาอิกดราซิลช่วยคายน้ำดับไฟป่าให้เรา   ทำให้แผนการของพวกมันไม่สำเร็จจึงได้หันไปโจมตีอาณาจักรฟีเลเซียแทน   แต่พวกเราก็คงเคยได้ยินกิตติศักดิ์ของอาณาจักรซาโลมมาแล้วว่าหากหมายตาสิ่งใดแล้วละก็จะไม่ยอมรามือง่าย  ๆ    ดังนั้นข้าจึงเห็นว่าเวลานี้พวกมันอาจจะแค่เปลี่ยนแผนไปบุกฟีเลเซียก่อนและอาจจะกำลังรอเวลาที่จะโจมตีพวกเราอีกครั้ง”  
                         ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของฮารีซัน   แม้จะมีบางคนที่ยอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าการวิเคราะห์ของฮารีซันมีความเป็นไปได้สูง
                         “แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ไม่ใช่รึว่าพวกมันอาจจะเปลี่ยนใจแล้ว” ผู้อาวุโสจากเผ่าเล็ก  ๆ  เผ่าหนึ่งกล่าวขึ้น   สีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“เหลวไหลน่า   พวกเราทุกคนก็เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับอาณาจักรซาโลมกันมาแล้วว่าพวกมันร้ายกาจแค่ไหน” ผู้อาวุโสอีกเผ่าเอ่ยขึ้น
   “ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดี?” ผู้นำเผ่าขนาดกลางคนหนึ่งถามด้วยความวิตก
                         “ถ้ามีสงครามอีก   เผ่าของข้าคงไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป   ลูกเผ่าก็เหลือน้อยจนจะไม่เรียกว่าเผ่าแล้ว   ข้าจะอพยพ” หัวหน้าเผ่าเล็ก  ๆ  อีกเผ่ากล่าวเสียงสั่น
                         “ขี้ขลาด   ถ้าเจ้าอ่อนแอขนาดนี้ก็ยุบเผ่าของเจ้าแล้วออกจากการประชุมไปซะเดี๋ยวนี้เลยสิ   ที่นี่ไม่เหมาะให้หมาขี้แพ้อย่างเจ้ามานั่งให้พื้นสกปรกหรอก” ฟูมินกล่าวหยามดวงตาแข็งกร้าว   เพราะสำหรับนักรบที่สู้ไม่เคยถอยอย่างเขาการถอดใจเป็นเรื่องที่น่าสมเพทที่สุด
                         สิ้นคำฟูมินก็เกิดการทุ่มเถียงกันในหมู่ผู้นำเป็นการใหญ่   หลายคนที่ไม่พอใจท่าทีของฟูมินก็กล่าวหาชาวป่าทมิฬอย่างรุนแรง   ในขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสงครามก็ยิ่งทวีความหวั่นวิตกในหมู่ผู้ชุมนุมขึ้นเรื่อย  ๆ    ทำให้การประชุมระอุแทบจะลุกเป็นไฟ   ฉับพลันนั้นจู่  ๆ  หัวหน้าเผ่าผู้ถูกหยามก็ชักดาบพุ่งเข้าใส่ฟูมินอย่างรวดเร็ว   ด้านฟูมินเองก็ตวัดดาบกระโจนเข้าใส่อย่างไม่กริ่งเกรงท่ามกลางเสียงอุทานและความตระหนกตกใจของบรรดาผู้อาวุโสและผู้นำเผ่า
                         เคร้ง!!
                         ที่กลางลานประชุมนั้นเองดาบของทั้งสองกระทบเข้ากับอะไรบางอย่างจนต้องหยุดค้างอยู่ห่างจากกันเกือบวา   ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงระคนโล่งใจของทุกคนเมื่อระหว่างบุคคลทั้งสองคือฮารีซันผู้นำแห่งเผ่าฟูดินันซึ่งพุ่งตัวออกไปขวางคนทั้งสองไว้ได้ทันท่วงที   ฮารีซันยกโล่ที่แขนขึ้นรับแรงปะทะจากดาบทั้งสองไว้ได้อย่างมั่นคง   เมื่อถูกฮารีซันขวางเช่นนี้ทั้งสองจึงชักอาวุธกลับแม้จะไม่ค่อยพอใจนัก
                         “ท่านทั้งสองและทุก  ๆ  ท่าน   เวลานี้อยู่ในช่วงเวลาคับขัน   ข้าศึกอาจจะบุกโจมตีเราได้ตลอดเวลา   เราควรจะสามัคคีกันและมาช่วยกันหาทางรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นดีกว่า”
                         “ท่านฮารีซันพูดถูกแล้ว   พวกเราก็อยู่มานานแล้วแต่กลับลืมตัวปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความคิดเสียได้ช่างน่าละอายจริง  ๆ    ท่านวูจินคิดถูกแล้วที่มอบเผ่าฟูดินันให้ท่านดูแล” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับเสียงสนับสนุนจากผู้นำอื่น  ๆ  มากมาย   ซึ่งวูจินก็ยิ้มรับอย่างยินดี   วันนี้ฮารีซันพร้อมจะเป็นผู้นำเต็มตัวแล้ว      
                         ฟูมินซ่อนแห่งความชิงชังไว้ใต้เปลือกตาที่หรี่แคบ   แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจเก็บซ่อนอารมณ์ที่ประทุจนเดือดไว้ได้“ข้าไม่ยอมรับเจ้าหรอกเจ้าเด็กเมื่อวานซืน   เจ้ามันก็เหมือนกับพ่อของเจ้านั่นแหละ   อวดดีทำเป็นนิ่งเงียบไม่ตอบโต้เหมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง   แล้วยังมาเจ้ากี้เจ้าการทำตัวเป็นผู้นำเผ่าต่าง  ๆ    คนอย่างข้าจะก้มหัวให้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นไม่ใช่เด็กอ่อนแอขี้ขลาดแล้วยังอวดดีอย่างเจ้า” ฟูมินประกาศกร้าวเผยความในใจออกมาในที่สุด
                         “ที่ข้านิ่งเฉยใช่ว่าเพราะข้าโง่งม ที่ข้าอดกลั้นไม่ใช่เพราะข้าขลาดกลัว แต่การที่ข้าอดทนและปกป้องนั่นต่างหากคือความเข้มแข็งที่ประเสริฐสุด”ฮารีซันกล่าวชัดถ้อยชัดคำด้วยความสุภาพไม่เจืออารมณ์เคืองโกรธแม้สักนิดจึงยิ่งทำให้เหล่าผู้นำและผู้อาวุโสยิ่งเกิดความนับถือในน้ำใจของผู้นำรุ่นเยาว์
« Last Edit: August 21, 2005, 02:26:04 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: August 21, 2005, 02:27:17 AM »

                         “ทำเป็นพูดดีไปเถอะ   ข้าจะคอยดูว่าคนอย่างเจ้าจะไปได้สักกี่น้ำ” กล่าวจบฟูมินก็สะบัดผ้าคลุมเดินออกจากที่ประชุมไปโดยไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น   เมื่อฟูมินจากไปแล้วดามิก้าจึงลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุมด้วยเสียงเคร่งเครียด
                          “ขออภัยท่านผู้นำและผู้อาวุโสทุกท่านที่ฟูมินเสียมารยาท   แต่เพราะเขาสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปมากรวมถึงครอบครัวของเขาตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างเผ่า   แล้วยังการโจมตีของซาโลมครั้งที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าเผ่าป่าทมิฬโดนโจมตีหนักที่สุด   จึงทำให้เขายังมีความแค้นฝั่งลึกอยู่ในใจ   เมื่อกลับไปถึงเผ่าข้าจะพูดกับเขาเอง”
                          “ขอบใจมากดามิก้า   ท่านฟูมินเองก็จัดว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง   ข้าก็หวังว่าเขาจะใช้ความสามารถของเขาช่วยเหลือพวกเราได้ในอนาคต   อย่าวิตกเลยข้าไม่ถือสาหาความหรอก   เรามาหารือกันต่อเถอะว่าพวกเราจะเตรียมรับมือพวกซาโลมอย่างไรดี”
                          เป็นอีกครั้งที่แม้ตัวฮารีซันเองจะไม่ได้สังเกตเห็นแต่คำพูดของเขาที่แสดงถึงความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจไม่ถือโทษคนที่ร้ายกาจกับตนได้ทำให้เหล่าผู้นำและผู้อาวุโสยิ่งเลื่อมใสในตัวของเขา  
                          จากนั้นการประชุมจึงได้เริ่มดำเนินต่อไปด้วยความสงบ   ทว่าก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการประชุมที่ราบรื่นนักเพราะเผ่าสมิงยืนกร้านที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้  
                          “ข้าไม่เห็นว่าเผ่าสมิงจะมีความจำเป็นใด  ๆ  ที่ต้องเข้าร่วมในการเตรียมการครั้งนี้” คาร์นกล่าวด้วยเสียงคำรามต่ำคล้ายสิงโต
                          “แต่อย่างน้อยพวกเราก็อยู่ร่วมป่าเดียวกัน   หากเกิดภัยสงครามขึ้น   ทั่วทั้งป่าก็ต้องลุกเป็นไฟและแม้เผ่าสมิงเองก็มิอาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนมิใช่หรือ?” นายพลทราเฮิร์นออกความเห็น
                          “ผลกระทบพวกนั้นไม่เคยสร้างปัญหาให้เผ่าของเรา” คาร์นกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจนักเพราะตลอดมาเผ่าสมิงแทบจะปิดเผ่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเผ่าใด  ๆ  มาช้านานแล้วทำให้ผลกระทบต่าง  ๆ  ภายนอกเผ่าแทบจะไม่เคยย่างกรายเข้าไปในเขตแดนของเผ่าสมิงเลย  คาร์นกวาดดวงตาที่เป็นประกายคมดุอย่างสิงโตมองไปทางตัวแทนเผ่าต่าง  ๆ    ซึ่งก็มีทั้งคนที่หลบตาและผู้อาวุโสบางคนถึงกับตัวสั่น  คาร์นหัวเราะในลำคอคล้ายเสียงคำรามแฝงแววยิ้มเยาะในแววตา “หึ หึ ท่านฮารีซัน   ท่านคิดอย่างไรหรือถึงเชิญเผ่าสมิงให้ร่วมเตรียมการณ์ในครั้งนี้?”
                          ที่คาร์นกล่าวเช่นนี้ก็เพราะรู้ดีว่าเผ่าสมิงเองก็ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับของหลาย  ๆ  เผ่าเช่นกัน   ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเผ่าสมิงทำเรื่องร้ายกาจอะไร   แต่เป็นเพราะความกลัวพื้นฐานที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ในเผ่าต่าง  ๆ  นั่นเอง   ใบหน้าที่ดุดันเยี่ยงสัตว์ร้ายของเผ่าสมิง   ทำให้ผู้คนแค่เพียงต้องเผชิญก็ต้องหวาดกลัวด้วยเกรงจะถูกทำร้ายตามสัญชาตญาณของสัตว์ป่า   ทั้ง  ๆ  ที่ความจริงแล้วพวกเขาก็มีความนึกคิดไม่ต่างกับมนุษย์เพียงแค่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาทำให้มีรูปร่างแตกต่างไปเท่านั้น    แต่ความหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผลของพวกมนุษย์และการแสดงความรังเกียจที่ฉายชัดในแววตาของพวกมนุษย์   สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับเผ่าสมิงไม่น้อย   จากความไม่เข้าใจกันนานวันเข้าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเบื่อหน่ายรำคาญใจ   ในที่สุดเผ่าสมิงจึงตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยวใด  ๆ  กับเผ่ามนุษย์อีก   แต่ในครั้งนี้ที่เผ่าสมิงยอมมาเข้าร่วมประชุมหัวหน้าที่ฟูดินันจัดขึ้นก็เป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างเผ่าสมิงและเผ่าฟูดินันตั้งแต่ครั้งกาลก่อน   อีกทั้งผู้เฒ่าวูจินก็เคยมีบุญคุณกับแกสช์ สมิงสายพันธุ์เสือเขาทองเพราะเคยช่วยชีวิตแกสช์เอาไว้เมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่า   แกสช์ถูกลอบทำร้ายเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นสมิงจากเผ่าป่าทมิฬ   ในครั้งนั้นวูจินได้ช่วยชีวิตเอาไว้และรักษาจนหายดี   ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าสมิงและเผ่าฟูดินันดีขึ้น   แม้เผ่าสมิงยังคงปิดตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครแต่เมื่อฟูดินันเชื้อเชิญมาเผ่าสมิงจึงให้เกียรติยอมมาร่วมงานในครั้งนี้
                          “ข้าคิดว่าพวกเราทุกคนก็ล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ใต้ร่มเงามหาเทพพฤกษาอิกดราซิล   ซึ่งก็เสมือนอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน   ดังนั้นพวกเราก็คือพี่น้องที่แม้จะไม่ได้ร่วมอุทรจึงย่อมต้องมีความแตกต่างกันบ้าง   แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะต้องแบ่งแยกกันมิใช่หรือ?” ฮารีซันกล่าว
                          คาร์นเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ  แม้ความคิดของหัวหน้าเผ่ารุ่นเยาว์ผู้นี้จะยังไม่อาจเปลี่ยนทัศนะคติของเผ่ามนุษย์และเผ่าสมิงในเวลานี้ได้   แต่ก็ทำให้หลาย  ๆ  คนเริ่มมองเห็นประกายแห่งการปรองดองระหว่างเผ่าต่าง  ๆ  เปล่งออกมาจากเขา   คาร์นมิได้พูดใด  ๆ  ต่อปล่อยให้การประชุมดำเนินต่อไปโดยเผ่าสมิงเริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้นด้วยการร่วมออกความเห็นต่าง  ๆ    กระนั้นก็ดีเผ่าสมิงก็ยังคงไม่มีท่าทีใด  ๆ  ที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้แม้ฮารีซันจะพยายามพูดหว่านล้อม      ที่สุดวูจินจึงลุกขึ้นหันหน้าไปเผชิญสมิงทั้งสามกล่าวแนะให้ทั้งสามได้คิด
                          “ข้ารู้ดีว่าพวกเรามนุษย์เคยสร้างความบาดหมางให้บรรพบุรุษของท่านมาตั้งแต่ครั้งกาลก่อน   ทำให้พวกท่านเบื่อหน่ายและไม่อยากสุงสิงกับพวกมนุษย์อีก   แต่นี่แน่ะท่านทั้งสาม   ไม่มีใครสามารถอยู่อย่างโดดเดียวได้ตลอดไปหรอกนะ   น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า   ทุกชีวิตบนโลกนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องพึงพาอาศัยกันทั้งนั้น   ท่านจะก่อกำแพงขังตัวเองไว้ตลอดกาลอย่างนั้นหรือ   ทำไมไม่ใช้เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้คืนดีและเรียนรู้เข้าใจกันและกันให้มากขึ้นล่ะ?”
                          เมื่อคาร์นและโทมาฮอว์ค เลพเพิร์ดยังคงนิ่งเงียบ แกสช์จึงกล่าวออกมาในที่สุด “ข้าเข้าใจดีว่าเผ่าของข้ายังไม่พร้อมที่จะคบค้ากับเผ่าอื่น  ๆ  ในทันที   จึงเป็นการลำบากที่พวกข้าจะรับปากใด  ๆ  กับพวกท่าน” แกสช์กล่าวด้วยเสียงทุ้มดังเหมือนเสือคำราม “แต่สำหรับตัวข้า   ในเมื่อท่านวูจินออกปาก   ข้าก็ยินดีจะให้ความช่วยเหลือเท่าที่สามารถ   ถือว่าเป็นการตอบแทนท่านที่เคยช่วยเหลือข้าอย่างดี”
โทมาฮอว์ค เลพเพิร์ด เมื่อได้ยินดังนั้นจึงกล่าวตอบเสียงคำรามต่ำ “ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจของเจ้าเป็นการส่วนตัว   ทางเผ่าก็คงไม่มีปัญหาหรือมีข้อขัดข้องใด  ๆ  ต่อการตัดสินใจของเจ้าในเรื่องนี้”
                          คาร์นเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกัน   ทั้งวูจิน ฮารีซัน และคนอื่น  ๆ  ต่างก็ยินดีอย่างยิ่ง   วูจินจึงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบใจมาก   พวกเราได้ยอดฝีมืออย่างท่านมาช่วยก็เบาแรงไปได้มากเชียวล่ะ”
                          “อย่าเกรงใจไปเลยท่านผู้เฒ่า   ข้ามีโอกาสตอบแทนบุญคุณของท่านก็ยินดีแล้ว” แกสช์ตอบ
                          หลังจากนั้นการประชุมก็ยังคงดำเนินต่อไปจนเมื่อล่วงเข้าเวลาพลบค่ำทุกเผ่าจึงได้ข้อสรุปว่า เผ่าเซนทอร์จะส่งเซนทอร์เรนเจอร์(Centaur ranger)ออกดูแลความสงบเรียบร้อยและส่งเซนทอร์สเกาท์(Centaur scout)คอยออกสอดแนมพื้นที่โดยรอบ   ในขณะที่เผ่าสมิงก็มีแกสช์ซึ่งอาสามาช่วยฝึกการรบให้แก่ฟูดินันโดยแต่งตั้งแกสช์ให้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าในการฝึกการรบแห่งฟูดินัน (Gash, the Fudenun’s Warlord)  โดยเผ่าน้อยใหญ่อื่น ๆ จะส่งกองกำลังมาฝึกกับแกสช์ร่วมกันที่เผ่าฟูดินัน   ข้างฝ่ายเผ่าป่าทมิฬก็จะช่วยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยร่วมกับเผ่าเซนทอร์รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในต้านตั้งรับการโจมตีจากซาโลมด้วย   เมื่อตกลงกันได้ดังนี้แล้วทุกคนจึงได้แยกย้ายกันกลับที่พักที่ทางฟูดินันจัดไว้ต้อนรับก่อนจะแยกย้ายกันเดินทางกลับเผ่าของตนในวันรุ่งขึ้น
« Last Edit: August 27, 2005, 05:12:01 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #7 on: August 26, 2005, 05:01:27 AM »

มาเม้าส์ที่นี่เลยคะ

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=14431
« Last Edit: August 26, 2005, 05:02:42 AM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.097 seconds with 21 queries.