Summoner Master Forum
November 27, 2024, 11:32:28 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: 1 [2]  All
  Print  
Author Topic: FANTASY WORLD V  (Read 16914 times)
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #30 on: October 15, 2005, 06:22:42 AM »

ตอน เพียงคนเดียว

“แกเป็นใครวะ” เวมและบรรดาลูกน้องอีกมากมายบุกเข้ามา
“ถ้าอยากจะรู้ เอาไว้บอกตอนก่อนที่พวกแกจะตายก็แล้วกัน ถึงยังไงวันนี้ฉันจะเอาแค่ให้พวกแกได้สารภาพบาปเท่านั้นก็พอ” มาร์คัสบอก
“เจ้าหมอนั่นใช่ปะ” เวมก้มมาถาม
“ครับลูกพี่ ใช่มันเลย” ชายสูทดำตอบ เวมก็พยักอย่างเข้ม
“ยิงมัน” เวมสั่ง แล้วพวกชายสูทและบรรดาหุ่นยนต์ต่างระดมยิงใส่ มาร์คัสเองก็แค่หลับตาลงและยืนกอดอกยิ้มเล็กๆ กระสุนทั้งหมดที่ยิงมานั้นหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา
“โห มันเล่นของเว้ยลูกพี่” ชายสูทดำตกใจและบางคนก็ถอยล้นออกห่าง
“จะกลัวห่าไรมัน ยิงไม่เข้าก็ทุบมันให้ตายซิวะ” เวมสั่งแล้วพวกชายสูทดำก็ชักดาบออกมาวิ่งเข้าโจมตีใส่
“เริ่มแล้วเหรอ” มาร์คัสบอกแล้วก็ลืมตาขึ้น กระสุนที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา พุ่งยิงใส่ชายสูทดำพวกนั้น ก้นกระสุนที่ไม่แหลมนั้นทำแค่ให้ชายสูทดำพวกนั้นจุกและล้มลง ไม่ถึงกับตาย
“โถ่ เว้ย ยืนซื่อบื้ออะไรหุ่นยนต์มีไว้ทำไรก็ลุยเข้าไปดิ๊” เวมสั่งไปพร้อมกับเริ่มหงุดหงิด

แล้วพวกหุ่นยนต์ก็บุกเข้าโจมตีใส่ ในจังหวะที่หุ่นยนต์พวกนั้นใช้หมัดทุบลงใส่ มาร์คัสก็กระโดดไต่ขึ้นไปบนหุ่นยนต์และอัดใส่ชายสูทดำที่ควบคุมจนตกจากหุ่นยนต์ แล้วเขาก็บังคับหุ่นยนต์โจมตีใส่หุ่นยนต์ข้างๆจนพังและระเบิด ไม่นานนักเวมก็เห็นสภาพลูกน้องของตนล้มกองอนาถอย่างหมดท่า
“อะไรวะ แค่นี้ต้องให้ลุยเอง” เวมบอกแล้วเขาก็เดินเข้ามาหา
“แกเป็นใครเก่งมาจากไหนวะ” เวมบอกแล้วเขาก็ใช้หมัดอัดใส่ แต่มาร์คัสปัดได้และเวมก็เตะใส่อย่างเร็ว จนมาร์คัสกระเด็นออกไป
“คนธรรมดาเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” มาร์คัสประหลาดใจ
“เหมือนจะเก่ง ฝีมือแค่นี้เองเหรอ” เวมเยาะเย้ยใส่
“ฝีมือนายดูเข้าท่า ความเร็วการเคลื่อนไหวดูใช้ได้ แต่อยากจะรู้ว่าเร็วได้ขนาดนี้หรือเปล่า” มาร์คัสบอกแล้วก็พุ่งเข้าใช้หมัดซ้ายอัดใส่ เวมยิ้มและใช้มือข้างเดียวรับหมัดของมาร์คัสได้ แล้วมาร์คัสก็ยิ้มออกมาทำให้เวมชะล่าใจ แล้วมาร์คัสก็กระโดดเตะใส่เวม 100 ครั้งอย่างรวดเร็ว แล้วถีบเวมจนกระเด็นออกไปชนกับซากหุ่นยนต์

“ยอมรับมาเถอะ พวกอันธพาลอย่างแก ไม่มีอะไรดีในตัวหรอก กลับไปหางานดีทำซะ อย่าให้เดือดร้อนคนอื่นด้วยละ เอาล่ะทีนี้ก็คุเข่าซะ เตรียมตัวสารภาพบาป พวกเจ้าจะได้หมดบาป ชาติหน้าจะได้เกิดมาได้ดี” มาร์คัสบอก ทำให้เวมนั้นรู้สึกเจ็บใจยิ่งขึ้น แล้วเวมก็ลุกขึ้น
“แก ไปตายซะ” เวมวิ่งเข้ามาพร้อมใช้หมัดทั้งสองข้างอัดใส่มาร์คัส 1000 หมัดอย่างรวดเร็วแต่มาร์คัสก็รับหมัดได้หมดและใช้หมัดซ้ายอัดสวนใส่ในจังหวะสุดท้ายจนเวมกระเด็นออกไป แล้วเขาก็วิ่งเข้ามาทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็โดนอัดใส่กลับไปทุกครั้ง จนเขาล้มลง
“เจ้าบ้านี่เป็นใครกัน ทำไมยังมีคนที่เร็วกว่าข้าอีกเหรอเนี่ย” เวมพูดพึมพำ แล้วเขาก็ลุกขึ้น แล้วมาร์คัสก็ปวดหัวอย่างหนักขึ้นทันทีและจู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องอันโหยหวนอย่างน่ากลัว และภาพความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเขา พอทุกอย่างสงบลง เขาก็เงยหน้ามองไปที่เวม ทันทีที่มองไปเขาเห็นชายชุดดำใช้ดาบแทงทะลุหลังเวมและมองมาที่เขา

“ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ มาร์คัส” ชายชุดดำบอก
“แก ฆ่าเขาทำไม” มาร์คัสถาม
“ฉันมีหน้าที่บนโลกนี้เพื่อฆ่า และมันก็เป็นสิ่งที่สนุกไม่ใช่น้อย ส่วนนาย ตอนนี้ฉันยังไม่อยากฆ่าแกหรอก รวบรวมพลังให้ครบ แล้วเรามาตัดสินชะตาชีวิตของโลกนี้ไปทีเดียว” ชายชุดดำบอกแล้วร่างของเขาก็หายตัวมาโผล่กระซิบเบาๆอยู่ด้านหลังมาร์คัส
“ลาก่อน เพื่อนเอ๋ย” แล้วร่างของชายชุดดำก็สลายเป็นควันลอยหายไป พวกชายสูทดำพอเริ่มมีแรงต่างก็รีบนำร่างของเวมกลับไปรักษาทันที
“แกมันบ้า” มาร์คัสพูดพึมพำแล้วก็เดินไปหลังต้นไม้ใหญ่และดึงผ้าพันคอออกจากแขนมาผูกไว้ที่เดิม
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไปเก็บกวาดกันได้เลย” มาร์คัส แล้วพวกชาวบ้านต่างก็ดีใจกันอย่างมาก
“ขอบคุณพ่อหนุ่มเล๊ย” ชายแก่คนหนึ่งเข้ามาขอบคุณ
“คืนนี้เราจะจัดงานฉลองกันหน่อยเพื่อหมู่บ้านของเรา” ลาสบอก แล้วทุกคนต่างก็รีบไปจัดเตรียมของ

เมื่องานฉลองในหมู่บ้านเริ่มขึ้นที่กลางลานหมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านต่างก็ออกมาร้องเล่นเต้นรำกันสนุกสนาน
“มาร์คัส ข้ามีเรื่องอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวกับท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” ลาสบอกแล้วเขาก็เดินไปที่สระน้ำโอรอนท้ายหมู่บ้าน ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่ศาลาริมสระน้ำและก็นั่งพัก
“เรียกข้ามาทำไมหรือ” มาร์คัสถาม
“ท่านคิดว่าสระน้ำนี้ตอนกลางคืนมันสวยมั้ย แสงจันทราที่สาดส่องกระทบไข่มุกมรกตใต้ก้นสระเปร่งแสงเรืองรองไปทั่ว” ลาสชมวิวสระน้ำโอรอน
“ใช่ มันสวยมาก” มาร์คัสบอก
“มาเข้าเรื่องกัน เดี๋ยวสักพักก็คงจะมีเหล่าภูตสาวน้อยทั้งหลายมาเล่นน้ำ ข้ามาเพื่อแอบดูพวกเธอเล่นน้ำกัน” ลาสบอก แล้วมาร์คัสก็ประหลาดใจ
“เอางั้นเลยเหรอ” มาร์คัสถาม
“ปล่าวไม่ใช่หรอก ล้อเล่นหนะ เรื่องที่จะบอกคือ ท่านคือหัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้าใช่หรือไม่ แน่นอนเลยว่าใช่ เทพอลิเซียฝากให้ข้ามาช่วยเหลือบอกสารกับท่านบางอย่าง” ลาสบอก
“ใช่ แล้วสารอะไรที่จะบอกเรา” มาร์คัสถาม
“เทพอลิเซียบอกให้ท่านมุ่งหน้าไปมหานครเวเอล่า แล้วที่นั่นจะมีโบสถ์ของเทพอลิเซีย ให้ท่านไปหาสาวคนหนึ่งที่ชื่อ เกลวารีน เธอจะบอกสถานที่ซ่อนพลังของท่านแห่งหนึ่งให้กับท่าน” ลาสบอก
“เมืองเวเอล่า ต้องเดินเรือจากเกาะนี้ไปก็ไม่ไกลนี่ ขอบใจท่านมากที่นำสารจากอลิเซียมาบอกแก่เรา” มาร์คัสบอก แล้วก็มีเสียงบางอย่างจากป่าฟากตรงข้ามของสระนี้
“นั่น มาแล้ว ภูตน้อยน่ารัก มาหลายตนด้วย” ลาสบอกแล้วก็ก้มตัวต่ำเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แต่มาร์คัสก็ไม่สนใจและเดินกลับไปที่หมู่บ้าน

ที่หมู่บ้านเหล่าชาวบ้านต่างสังสรรค์เฮฮารื่นเริง และเหล่าสาวๆทั้ง 4 ที่ง่วงมาก พวกเธอก็กลับไปนอนในที่พักของเธอ
“ธิดาภา ฉันขอถามจริงๆนะ นั่นใช่เจ้าลิงน้อยเหรอ ตอนเธอพากลับมาเนี่ย พามาผิดคนหรือเปล่า” มาย่าถาม แล้วธิดาภาก็หันมาทำหน้าไม่พอใจใส่
“อูย โทษทีที่เผลอเรียกว่าเจ้าลิงน้อย” มาย่าบอก
“อันนี้แน่นอนว่าใช่ เด็กน้อยที่เคยอยู่กับพวกเรา แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาก็กลับกลายเป็นแบบนี้ได้” ธิดาภาตอบ
“นี่มาย่า เธอนี่ก็ช่วงสงสัยจริงๆนะ” อรนิชาบอก
“ก็มันน่าสงสัยนี่ จู่ๆจะมีใครเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้” มาย่าบอก
“เธอง่วงไม่ใช่เหรอ ก็รีบนอนซะซิ” พิชามนญ์บอก
“ใช่จริงด้วย งั้นนอนละ” มาย่าบอกแล้วเธอก็ดึงผ้าห่มมาคลุมนอนหลับทันที
“แม่นี่ก็แปลกคนจริงแท้” อรนิชามองดู แล้วพวกเธอต่างก็เข้านอนกันทันที เพื่อพักผ่อนร่างกาย

------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 35--------------------------------------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #31 on: October 15, 2005, 06:47:32 AM »

ตอน เหตุบังเอิญ และการเดินทางมุ่งสู่เวเอล่า

เมื่อกลับมาที่หมู่บ้านโลโล่ก็ตรงเข้ามาหา
“พี่ชาย หนูมีอะไรจะให้ดูตามมาเร็วซิ” โลโล่บอก
“โอย ง่วง ขอไปนอนจะได้มั้ย” มาร์คัสบอกแต่โลโล่ก็ไม่สนใจและดึงแขนมาร์คัสวิ่งขึ้นไปยังด้านบนของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งข้างบนนี้เป็นหอสังเกตการณ์
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ดับไฟก่อนที่จะทำอะไรต่อไป” โลโล่บอก มาร์คัสก็ตกใจกับคำพูด
“คอยดูดีๆนะ” โลโล่บอก
“อืมจะดู อย่านานละเดี๋ยวฉันจะหลับซะก่อน” มาร์คัสนั่งลืมจดจ้องมอง
“ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส เจ้าแมวน้อยจงออกมา” โลโล่ร่ายคาถาโบราณเรียก ไวท์ไทเกอร์ ออกมา ลำตัวของมันเปร่งแสงสว่างออกมาได้ มาร์คัสเห็นก็ปรบมือให้ทันที
“เก่งนี่ เรียนรู้ได้ไว ทีนี้ก็ขอไปนอนก่อนนะ” มาร์คัสบอก
“คะ” โลโล่ลุกขึ้นเดินตามไป แล้วเจ้าแมวน้อยก็กระโดดขึ้นมาเกาะโลโล่ โดยที่เธอไม่ทันจะรับเจ้าแมวน้อย เล็บของมันข่วนเสื้อของโลโล่จนขาด โลโล่ก็กรีดออกมาทันที มาร์คัสจึงหันไปก็เห็นโลโล่เอาแขนทั้งสองข้างกุมหน้าอกไว้
“เจ้าแมวน้อยกลับไป” มาร์คัสขึ้นเสียงไล่ใส่มัน แล้วมันก็สลายหายไป
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ โลโล่” มาร์คัสถาม
“เสื้อหนูขาดอ่ะ เจ้าแมวน้อยมันกระโดดมาเกาะแต่หนูรับไว้ไม่ทันมันเลยข่วนเสื้อจนขาด” โลโล่ตอบ แล้วมาร์คัสก็ถอดเสื้อให้โลโล่ใส่แทน
“ทำไมวันนี้มันง่วงขนาดนี้” มาร์คัสบ่นแล้วเขาก็เดินลงจากหอนี้
“เดี๋ยว พี่ชาย หากท่านลงไปพวกชาวบ้านจะเข้าใจผิดได้ รอให้ชาวบ้านข้างล่างนั้นกลับเข้านอนให้หมดก่อนได้มั้ย ค่อยกลับไปที่พัก” โลโล่บอก แล้วทั้งคู่ก็นั่งพักอยู่บนหอ

ไม่นานนักมาร์คัสก็เผลอหลับไปทันทีด้วยความง่วง โลโล่เองก็เริ่มง่วงและอากาศตอนกลางคืนในป่านี้ก็ค่อนข้างร้อนไร้ลมพัด โลโล่ที่ไม่เคยใส่เสื้อหนา เพราะปกติเธอจะใส่เสื้อจากผ้าไหมบางๆที่ใส่แล้วสบาย เธอก็เลยถอดออกแล้วนำมาคลุมปิดร่างกายบางส่วนแทน ด้วยความง่วงเธอก็เลยนอนลงและหลับไปในเวลาต่อมา กลางดึกชาวบ้านเริ่มทยอยกลับเข้าบ้านนอนกัน และบนหอสังเกตการณ์นี้ก็มีมาร์คัสกับโลโล่ที่เผลอหลับไป โลโล่ที่นอนกลิ้งไปมาจนกลิ้งหันหน้ามาหามาร์คัส มาร์คัสเองก็ละเมอโอบกอดโลโล่ไว้ในอ้อมแอนอันอบอุ่นของเขา

เมื่อใกล้ตะวันรุ่ง ลาสที่ต้องตื่นแต่เช้าออกมาคอยดูความปลอดภัยให้กับหมู่บ้าน เขาจึงเดินจิบกาแฟร้อนๆขึ้นมายังหอสังเกตการณ์ เมื่อเขาขึ้นมาก็เห็นมาร์คัสกับโลโล่นอนกอดกันในสภาพที่โลโล่และมาร์คัสเปลือย
“เวรกรรม ลูกสาวเราเสียตัวซะแล้ว” ลาสตกใจ จึงรีบกลับลงไปทันทีและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องอันใดแล้วเขาก็เดินกลับเข้าบ้านหลังใหญ่ไป โลโล่ที่ตื่นมาเธอจึงนึกได้ว่าต้องรีบกลับไปที่บ้านก่อนที่จะมีคนมาเห็น เธอจึงรีบวิ่งกลับไปที่บ้านของเธออย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครรู้ และสักพักมาร์คัสก็ตื่นขึ้นมา เขาเห็นเสื้อของเขาวางอยู่ข้าง เขาก็เลยสวมใส่และเดินลงจากหอสังเกตการณ์ แล้วลาสก็รีบเดินตรงเข้ามาทันที
“มาร์คัส ข้ามีเรื่องด่วนจะให้ท่านรับผิดชอบ” ลาสพูดด้วยน้ำเสียงอันหนักเข้ม แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่

“มีอะไรเหรอ” มาร์คัสถาม
“ท่านรู้มั้ยท่านทำอะไรลงไป หากชาวบ้านรู้เขาลูกสาวข้าจะมีแต่เสื่อมเสีย” ลาสตอบ
“ข้าทำอะไรลงไปเหรอ” มาร์คัสยังงงกับที่ลาสพูด
“เมื่อเช้าข้าขึ้นไปที่หอสังเกตการณ์ ข้าเห็นลูกสาวข้าเสียตัวให้ท่านแล้ว หากท่านไม่รับผิดชอบ หากลูกสาวข้าท้องไม่มีพ่อขึ้นมา ชาวบ้านจะต่อว่าเอาได้” ลาสบอก มาร์คัสก็สะดุ้งตกใจทันที
“เมื่อคืนฉันแค่ง่วงแล้วก็หลับไปไม่รู้เรื่องอะไรเลย คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” มาร์คัสบอก
“ไม่รู้ละ ท่านต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ หากท่านไม่รับผิดชอบ ข้ากับลูกสาวข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ลาสบอก
“แล้วจะให้รับผิดชอบยังไงละ” มาร์คัสบอก
“ท่านต้องแต่งงานกับลูกสาวข้าทันทีภายในวันนี้” ลาสบอก มาร์คัสก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
”ก็ได้ ถือว่าฉันเห็นแก่ท่านแล้วกัน” มาร์คัสบอก
“งั้นท่านไปเตรียมตัวได้เลย เที่ยงวันนี้จะเริ่มพิธี เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับโลโล่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน” ลาสพูดเสร็จก็ลุกเดินออกจากบ้านไปทางบ้านของโลโล่
“เวรแล้ว เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นบ้างวะเนี่ย” มาร์คัสที่ไม่ร็เรื่องอะไร เขาเองก็เดินไปล้างหน้าที่สระน้ำโอรอน
“จะว่าไป โลโล่ก็น่ารักใช่ได้เลยนิ เราจะกังวลใจทำไม” มาร์คัสพูดกับตัวเองแล้วเขาก็ก้มหน้ามองดูตัวเองในน้ำอยู่นาน

ที่บ้านของโลโล่ เมื่อลาสมาถึงก็เดินเข้าไปในบ้านก็เห็นโลโล่เพิ่งสวมใส่เสื้อผ้าใหม่
“ลูกรู้มั้ยว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น” ลาสถาม
“เรื่องอะไรเหรอคะท่านพ่อ” โลโล่ยังไม่เข้าใจ
“ก็เมื่อเช้าพ่อขึ้นไปที่หอสังเกตการณ์เห็นลูกกับมาร์คัสนอนกอดกันในสภาพเปลือย ลูกจะบอกพ่อมาว่ายังไง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน” ลาสบอกโลโล่ก็ตกใจทันที
“ไม่นะ เมื่อคืนหนูแค่เผลอหลับไปเท่านั้นเอง” โลโล่บอก
“แล้วลูกก็เสียตัวให้กับมาร์คัส พ่อคิดว่าจะให้ลูกแต่งงานกับมาร์คัสทันทีในเที่ยงนี้ เพื่อไม่ให้ลูกเสื่อมเสียชื่อว่าท้องไม่มีพ่อ ลูกเตรียมตัวไว้ด้วยละ เที่ยงนี้ไปหาพ่อที่ลานกว้าง เดี๋ยวพ่อจะไปประกาศงานก่อน พ่อทำเพื่อตัวลูกนะ” ลาสบอกเสร็จแล้วก็เดินออกไปทันที โลโล่ก็ยังตะลึงแล้วก็ก้มมองเอามือลูบท้องของเธอเบาๆ
“นี่เราท้องเหรอเนี่ย” โลโล่ยืนอึ้งไปอยู่นาน

เมื่อใกล้เที่ยงเข้าไป ลาสก็ประกาศไปทั่วหมู่บ้านว่าจะจัดงานแต่งงานระหว่างโลโล่กับมาร์คัส เหล่าหนุ่มๆภายในหมู่บ้านที่แอบชอบโลโล่ต่างผิดหวังและแอบเสียใจทันทีอยู่ในบ้านของพวกเขา ธิดาภาที่ยังแปลกใจว่าชาวบ้านต่างแห่ไปที่ลานกว้างกัน เธอจึงเดินเข้าไปถามป้าคนหนึ่ง
“นี่ป้าคะ ไม่ทราบว่าเขามีอะไรกันเหรอคะ” ธิดาภาถาม
“อ๊อ ก็หัวหน้าเผ่าเขาคงจะขอบใจที่พ่อหนุ่มนั่นช่วยหมู่บ้านนี้เอาไว้มั้ง ก็เลยยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย” เมื่อป้าพูดเสร็จ ธิดาภาก็ตะลึงอยู่ชั่วขณะ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอธิดาภา” มาย่าถาม
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก แค่มีงานแต่งงานกันหนะ พวกเราไม่มีอะไรนี่ ก็คงจะต้องออกเดินทางต่อเถอะ ธิดาภาบอกแล้วก็เดินตรงไปที่ทางออกของหมู่บ้าน
“เดี๋ยวซิ มันต้องมีเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ละ” อรนิชาถามด้วยความสงสัย
“มาร์คัสเขาแต่งงานกับโลโล่” ธิดาภาบอก
“เรื่องแค่นี้ อย่าเศร้าใจอะไรไปซิ เขาแค่คงจะขอบคุณก็เลยยกลูกสาวให้ เธอน่าจะจำได้นะว่าพวกชนเผ่าแบบนี้หัวหน้าเผ่ามักจะขอบคุณผู้ที่มีบุญคุณต่อหมู่บ้านโดยการยกลูกสาวให้ประมาณนี้” มาย่าบอก
“ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ เราก็คงต้องออกเดินทางต่ออยู่ดีแหละ ไปกันเถอะ เราไปที่เวเอล่า แล้วค่อยคิดเรื่องอื่นต่อก็แล้วกัน” ธิดาภาบอกแล้วก็เดินออกจากหมู่บ้านไปทันที

พอถึงเที่ยง ลาสก็ขึ้นมากลางลานและประกาศต่างๆนาๆ เกี่ยวกับที่มา
“จากที่ชายหนุ่มผู้นี้ได้ช่วยเหลือหมู่บ้านเราไว้ ข้าเองก็ไม่รู้จะขอบคุณหรือตอบแทนอย่างไร ข้าก็เลยขอยกลูกสาวคนเดียวของข้าให้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้นี้แทน” ลาสพูดเสร็จเขาก็เริ่มเข้าพิธีตามเผ่าของเขา จนเสร็จงานทั้งหมด ชาวบ้านต่างก็เข้ามาอวยพรต่างๆให้แก่โลโล่และมาร์คัส
“แล้วพวกธิดาภาละ พวกเธอไม่ได้มางานนี้เหรอ” มาร์คัสกวาดสายตามองหา
“ท่านไปเถอะ เธอคงจะรักท่านมากจนอาจจะรับงานแบบนี้ไม่ได้ เธออาจจะน้อยใจจนหนีไปจากท่าน ท่านจงไปตามหาเธอซะ อย่าให้เธอต้องผิดหวังในตัวท่านซิ” โลโล่บอก
“ไม่ ฉันรับปากกับลาสแล้วว่าจะรับผิดชอบเรื่องเธอ ถ้าฉันจะไป ฉันก็จะพาเธอไปด้วย” มาร์คัสพูดเสร็จก็จูงมือโลโล่เดินออกไปจากหมู่บ้านทันที

ที่ลานกว้าง
“ท่านหัวหน้า” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยทั้งคู่ไปเถอะ” ลาสบอกแล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่

“มาร์คัส แล้วที่ท่านพ่อบอกว่าฉันท้องเนี่ยจริงเหรอ” โลโล่ถามเพื่อให้หายคาใจ
“จะจริงหรือไม่จริง หากเธอมีลูกออกมาก็ถือซะว่าฉันเป็นพ่อของเด็กก็แล้วกัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แน่นอน ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเธอเลย อย่าคิดอะไรเลยเถิดไปขนาดนั้นซิ เรื่องแบบนั้นไว้วันหลังก็ได้” มาร์คัสบอกแล้ว โลโล่ได้หายคาใจก็เริ่มยิ้มออกแล้วเธอออกแรงวิ่งด้วยความเร็วสูงนำ มาร์คัสไป มาร์คัสเองก็ออกแรงวิ่งเต็มที่แต่ก็ไม่ทัน
“วิ่งตามมาเร็วซิ” โลโล่บอก แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินทางตามหากลุ่มสาวๆที่เข้าใจในเรื่องนี้ผิดไป

-------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 36-------------------------------------------------------------------------
« Last Edit: October 15, 2005, 06:50:31 AM by RPG_Master » Logged


Amankris_Dragon
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2


« Reply #32 on: October 15, 2005, 03:56:31 PM »

 ;Dผมชอบที่ตั้งชื่อท่า มันเท่ดี

Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #33 on: October 17, 2005, 07:18:34 AM »

ตอน เวเอล่า

เมื่อพวกพงวิชนั้นเดินทางขึ้นมาถึงยอดเขาเฟสเดอริกก็เริ่มจะค่ำ ตะวันยังทอแสงสีแดงส้มใกล้ลับขอบฟ้า  
“กว่าจะขึ้นมาถึง เหนื่อยโคตร” บุ๊คล้มนอนหน้าวิหารเทพการูด้าทันที พงวิชก็เดินตรงไปทางลงอีกฟาก เมื่อเขาเดิน เขาก็พบกับวิวทิศน์อันสวยงามจากยอดภูเขานี้ และข้างล่างนั้นเขายังเห็นมหานครเวเอล่า เขามองดูมันอย่างชื่นชม
“พวกเรา เมืองอยู่นั่นไง” พงวิชเรียกพวกเพื่อนมาดู ทุกคนก็เห็นภาพจากมุมนี้นั้นมองเห็นเมืองเวเอล่าที่ใหญ่และกว้างมาก พวกเขามองดูบ้านเรือนมากมายที่ตั้งทอดยาวจากเชิงเขาตรงไปยังทะเล และยังมีบ้านแพลอยน้ำอีกมากบริเวณริมทะเล
“จะใหญ่อะไรขนาดนี้วะเนี่ย” แพ๊คทึ่งกับความใหญ่โตของเมือง
“หิวแล้ว เร็วรีบลงไปหาอะไรกินกัน” บุ๊คบอกแล้วก็เดินนำลงไปทันที
“เรื่องกินมาตลอดเลย ไอ้นี่” ปอนบ่นแล้วก็เดินตามไป
“พงวิช ไปกัน” ตั้มมาสะกิดเพราะเพื่อนๆต่างเดินไปกันหมดแล้ว พงวิชจึงรีบวิ่งตามไป

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองเวเอล่า บุ๊คก็รีบพาเพื่อนๆเดินหาร้านอาหารทันที
“นั่นไง ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพี่หมู !!! เจ้าเก่า !!!” บุ๊ครีบเดินเข้าไปในร้านทันที พวกเพื่อนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และพวกเขาก็หิวเช่นกัน จึงเดินตามเข้าไป
“เล็กแห้งไม่งอก” บุ๊คเข้ามาในร้านได้ก็สั่งอาหารทันทีแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ
“ได้ๆ” พี่หมูบอกแล้วก็ลวกเส้นทันที
“พี่หมู ร้านนี้มีรายการอาหารอะไรเด็ดๆบ้าง” พงวิชถาม
“มีโกลเด้น แฮมเมอร์ สไปซ์ ทุบหัวทีเดียวแตก” พี่หมูตอบ
“เอ๊ย นี่มันร้านก๋วยเตี๋ยวจะสั่งอะไรมาก” เสียงชายคนนั้นพูดขึ้น พวกพงวิชจึงหันไปมอง
“อ้าว แบมบู อยู่นี่เองเหรอ” ตั้มไม่นึกว่าจะเจอเพื่อนเก่าที่นี่จึงเข้ามาทักทาย แล้วพงวิชก็กวาดสายตามองไปทั่วร้านแล้วเขาก็หนักใจและเพ่งสายตามองไปที่โต๊ะในสุด เขาสบสายตากับชายคนหนึ่ง
“ฮือ.. เฮ๊ย” พงวิชตกใจทันที
“พวกแกอีกแล้วเหรอ” พงวิชชี้ไปทางโต๊ะในสุด
“ชาติก่อนทำบุญกับมันแน่เลย ชาตินี้เลยเจอกันบ่อย” นพบอกแล้วก็กินก๋ยวเตี๋ยวต่อ
“มีปัญหาเหรอ” อรุณถามอันน่ากลัวที่ดูยังไงก็ตลกซะมากกว่าใส่
“แล้วจะเอาไรละเนี่ย” พี่หมูถาม
“พี่หมูอีกชาม” อรุณสั่ง
“เอ่อ งั้นเราเอา ไม่น้ำ ไม่ผัก เอ่อ... ไม่เอาแล้วไม่กิน” พงวิชสั่ง แล้วพี่หมูก็จ้องหน้า
“พี่หมู 6 ชาม ตั้มมื้อนี้เลี้ยงเอง” แบมบูบอก แล้วพวกพงวิชก็เดินมานั่งโต๊ะเดียวกับแบมบู
“แบมบูตอนออกจากโรงเรียนเนี่ยไปไหนเหรอ ทำไมไม่เห็นเจอเลย” ตั้มถาม
“อ๊อ เค้าก็ตรงมาที่นี่เลยแหละ ก็ตอนแรกเค้าไปกับพวกสาวๆกลุ่มหนึ่ง พวกเธอบอกจะไปที่เบรุส แต่เค้าจะมาที่นี่ก็เลยแยกกันระหว่างทาง” แบมบูบอก
“ไอ้แว่นหน้าลิง เรียนจบสาขาไร บอกมาดิ” แพ๊คถาม
“เค้าจบสาขาเวทย์มนต์ สายเวทย์มนต์เหลือง พวกถอนพิษ สร้างพิษ ทุกชนิดอ่ะ สายเราจะเน้นเรื่องนี้อย่างมาก เวทย์เพิ่มพลังต่างๆเล็กน้อย และก็พวกเวทย์มนต์โจมตีด้วยพิษ” แบมบูตอบ
“จะเก่งสักแค่ไหนเวทย์มนต์สายนี้” ปอนถาม
“สักตั้งยังได้” แบมบูตอบ แล้วพี่หมูก็ล่อนชามก๋วยเตี๋ยวมาลงกลางโต๊ะพอดี
“พี่หมูนี่สุดยอด” บุ๊คตะลึง
“เออ กินกันก่อนเว้ย กินเสร็จเดี๋ยวจะเล่าที่มาอื่นๆให้ฟัง” แบมบูบอกแล้วพวกเขาก็นั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างอร่อยเพราะฝีมือสูตรเด็ดจากพี่หมูทำเอง  

เมื่อพวกเขากินกันอิ่ม
“ชามเดียวอิ่มอร่อยจริงๆ” แพ๊คบอก
“แต่ดูบุ๊ค 5 ชามถึงจะอิ่ม” พงวิชมองดูชามที่บุ๊คกินตั้งซ้อนกัน
“เอาเถอะ ไม่เป็นไร พอดีเราโชคดี” แบมบูบอก
“แล้วแบมบูเอาเงินมาจากไหนเนี่ย” ตั้มถาม
“ระหว่างทางที่เค้ามาเมืองนี้เนี่ย มีชายแก่คนหนึ่งเขาเป็นมหาเศษฐี เขาจ้างให้เค้าเนี่ยคุ้มครองเขามาที่เมืองนี้ แล้วเขาก็ให้ค่าจ้างมา 1 ล้านโกล…” แบมบูพูดให้ฟัง บุ๊คถึงกับสำลักก๋วยเตี๋ยวออกมาทันที
“ตั้ง 1 ล้าน” แพ๊คตะลึงไปเลย
“ใช่ 1 ล้าน เขาบอกเขากลัวที่จะถูกชายคนหนึ่งฆ่า ก็เลยจ้างเค้าให้คุ้มครอง” แบมบูบอก
“เออดีจริง” ตั้มก็นั่งฟังเรื่อยๆ
“แล้วชายที่ตาแก่นั่นกลัวอ่ะ ใครตาแก่นั่นไม่ได้บอกอะไรมากเลยเหรอ” พงวิชถาม
“ไม่รู้ดิ ไม่ได้บอกอะไรมาก แค่เรียกว่า ชายชุดดำ” เมื่อแบมบูพูดเสร็จ คนทั้งร้านรวมทั้งพี่หมูต่างหยุดนิ่งเงียบทันที แต่มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเขานั่งซดเบียร์อยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง เสียงซดเบียร์ของเขาดังไปทั่วร้าน
“เก็บร้านก่อนเว้ย ไม่รับลูกค้าเพิ่มแล้ว” พี่หมูรีบปิดประตูหน้าร้านทันที
“เฮ้ย ทำไมกันละ” แบมบูถาม
“แล้วระหว่างทางนี่ไม่ได้เจอกับชายชุดดำเลยเหรอ” พงวิชถามต่อ
“เจอแล้วเค้าก็ฆ่ามันตายสนิท แค่เค้าคนเดียวก็ฆ่าได้สบายมาก” แบมบูยอความเก่งกาจของตัวเอง
“โม้ปล่าววะ” ตั้มถาม
“ใช่ เค้าโม้ อันที่จริง เค้าสู้ไม่ได้เลย ตอนนั่งเรือ เค้าพาตาแก่นั่นกระโดดลงทะเล แล้วก็ร่ายเวทย์มนต์เพิ่มพลังกายของเค้า แล้วเค้าก็ว่ายน้ำลากตาแก่นั่นขึ้นฝั่งที่เวเอล่าด้วย” แบมบูบอกแล้วก็นั่งจ๋อยทันที
“นึกว่าจะเก่ง” ปอนบ่นทันที
“เออ แล้วรู้มั้ยว่า ที่เมืองไดนาสในอีกไม่กี่วัน ราชินีบูเนสจะประกวดเต้นระบำของเหล่านักเต้น ซึ่งมีเจ้าหญิงชานย่าลงแข่งด้วย ไปดูกันมั้ย” แบมบูถาม
“ไปก็ดี” พงวิชบอก
“งั้นคืนนี้ เค้าจองห้องที่โรงแรมไว้ ไปพักที่นั่นก็ได้ห้องกว้าง มีเกือบ 10 เตียง ห้อง 203 นะอย่าลืมละ ทีนี้ตอนกลางคืนของเมืองนี้จะมีงานต่างๆมากมายทั่วเมือง จะไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้” แบมบูบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วก็เดินออกจากร้านไป พวกพงวิชเองลุกเดินออกจากร้านไป

“งั้นก็เอาตามที่แบมบูบอกนะ คืนนี้ไปเดินเที่ยวกันก่อน เจอกันที่ห้องแล้วกัน” ตั้มบอกแล้วก็เดินแยกตัวออกไป
“เจอกันที่ห้อง งั้นเราไปนอนรอที่ห้องก่อนเลย” พงวิชบอกแล้วก็เดินไปที่โรงแรมทันที
“ง่วงเหมือนกัน ขอไปนอนก่อนแหละ เฮ้ย รอด้วย” บุ๊ครีบวิ่งตามพงวิชไปทันที แล้วที่เหลือต่างก็เดินเที่ยวเล่นตามงานต่างๆภายในเมืองอันกว้างใหญ่นี้

ทางด้านนพและอรุณ เมื่อกินอิ่มเสร็จก็ลุกไปจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วก็เดินออกจากร้านพี่หมู
“คืนนี้นอนไหนละเนี่ย” นพถาม
“ไม่รู้ นอนตามโบสถ์แล้วกัน ม้านั่วยาวอ่ะมีเยอะแยะ ไปจองได้เลย” อรุณตอบแล้วทั้งคู่ก็เดินไปที่โบสถ์ร้างแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายเมือง ภายในค่อนข้างรกร้าง แต่ก็ยังมีม้านั่งยาวอยู่บ้าง นพกับอรุณก็เลยนอนพักผ่อนกันที่นั่น

ที่โรงแรม
“พงวิชคิดยังไงกับเรื่องที่แบมบูเล่าให้ฟัง” บุ๊คถาม
“เชื่อได้ 90%” พงวิชตอบแล้วก็ขึ้นเตียงนอนทันที
“อย่าเพิ่งหลับดิ แล้วคิดยังไงกับเรื่องเมืองไดนาสละ จะไปหรือไม่ไป” บุ๊คเดินเข้าไปสะกิด
“ไปแน่นอน ไปดูนักเต้นสาวๆสวยๆ นึกแล้วชื่นใจ นอนละเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ทัน” พงวิชตอบแล้วก็ดึงผ้าห่มมาห่ม
“เรื่องพวกนี้เพื่อนเรานี่ที่หนึ่งจริงๆเล๊ย” บุ๊คพูดพึมพำแล้วก็นอน

---------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 37------------------------------------------------------------------------------------------
« Last Edit: October 17, 2005, 07:20:31 AM by RPG_Master » Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #34 on: October 18, 2005, 07:11:26 PM »

ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพี่หมู  นี่พี่หมู Onizuka อะป่าวอะ
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #35 on: October 19, 2005, 08:24:03 AM »

ผมคงต้องขอโทษด้วยนะ ที่จะบอกว่า พี่หมู ที่ผมเอ่ยถึง คือเพื่อนในห้อง ใครๆต่างเรียกว่าพี่หมู ที่ทำแบบนี้เพราะเพื่อนหลายคนในห้องก็อ่านกัน เมื่ออ่านแล้วเห็นคนในห้องมาทำอะไรแบบในเรื่อง แล้วพวกเขาก็ตลกและสนุกไปด้วย ก็เลยมีชื่อไทยมาเยอะหน่อยครับ  ;D
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน ไปให้ถึงเวเอล่า

โลโล่ที่วิ่งมาถึงท่าเรือโอรอนในเมืองโอรอนที่ติดกับทะเล เธอก็กวาดสายตามองหาพวกกลุ่มสาวๆทั้ง 4 ทันที แล้วมาร์คัสก็วิ่งตามมา
“เห็นบ้างมั้ย” มาร์คัสถาม
“อือ.... ไม่เห็นเลย ท่าเรือนี้แทบจะร้างไปเลยด้วยซ้ำ ไม่มีคนอยู่เลย” โลโล่ตอบ แล้วก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากกองลังไม้ใกล้ๆ มาร์คัสจึงเดินเข้าไปดู เมื่อเขาเดินเข้าไปดูใกล้ก็เห็นชายแก่คนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส เขาจึงรีบเข้าไปดูอาการทันที
“ลุง ที่นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมืองมันร้างขนาดนี้” มาร์คัสถาม
“ยั...ยักษ์..สี.....สี.เลือ เลือด” แล้วชายแก่ผู้นั้นก็สิ้นใจทันที
“ยักษ์สีเลือด มันมาที่นี่ทำไม” มาร์คัสสงสัย แล้วก็มีแรงสั่นสะเทือนไปจังหวะเหมือนมีบางอย่างขนาดใหญ่เดินอยู่แถวนั้น มาร์คัสและโลโล่จึงแอบอยู่หลังลังไม้ทั้งคู่เฝ้ามองไปดูมุมตึกอีกฟาก ไม่นานนักยักษ์สีเลือดก็ปรากฏออกมา ร่างกายอันใหญ่โตของมัน ทำให้ทั้งคู่ยังตะลึงอยู่ชั่วขณะ
“เราจะสู้มันยังไงเนี่ย ถ้าเราใช้พลัง หากโลโล่รู้เข้า ความลับเราจะแตกได้ มันต้องมีวิธีอื่นที่จะฆ่ามันได้ซิ” มร์คัสนึกในใจและกวาดสายตามองดูไปรอบๆ
“อ่า อันนี้น่าจะพอใช้สู้กับมันได้” มาร์คัสเหลือบไปเห็นปืนไรเฟิลตกอยู่ข้างเกวียนไม่ไกลจากตัวเขามากนัก
“โลโล่ เธอพยายามแอบอยู่ตรงนี้อย่าให้มันเห็นนะ ที่เหลือฉันจะจัดการกับมันเอง” มาร์คัสบอก โลโล่ที่ยังหวั่นๆและไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่เธอก็มีความเชื่อใจในตัวมาร์คัสมากจน เธอยอมทำตามที่เขาบอก แล้วมาร์คัสก็ยิ้มให้เพื่อแก้สถานการณ์ไม่ให้มันเครียดนัก แล้วเขาก็พุ่งตัวออกจากหลังลังไม้ ไปหยิบปืนไรเฟิลเล็งมาที่ยักษ์สีเลือด

“กระสุน 4 นัด ต้องเล็งจุดสำคัญ จุดอ่อนมันอยู่ตรงไหนกัน” มาร์คัสเล็งอยู่นาน แล้วเขาก็ลั่นไกออกไป กระสุนนั้นเข้ากลางอกของยักษ์สีเลือด แต่มันกลับไม่รู้สึกอะไร แล้วมันก็หันมา เมื่อมันเห็นมาร์คัส มันจึงวิ่งเข้าใส่ทันที มาร์คัสจึงวิ่งหนีขึ้นไปยังเรือ ยักษ์สีเลือดจึงใช้กระบองขนาดใหญ่ฟาดใส่เรือ จนเรือขาดเป็นสองท่อน แต่มาร์คัสก็กระโดดออกจากเรือได้ทันและลั่นไกอีกครั้ง เข้าหางคิ้วซ้ายของยักษ์สีเลือด ด้วยความเจ็บมันจึงทิ้งกระบองและเอามือทั้งสองข้างกุมที่ตาซ้าย แล้วมันก็ทรุดตัวลงและมีเนื้อบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากหลังคอของมัน
“นั่นซินะ จุดอ่อนของมัน” มาร์คัสเห็นแล้วก็ยกปืนขึ้นเล็งทันที แต่เขายังไม่ทันได้ลั่นไก ยักษ์สีเลือดมันก็เงยหน้ามองมาที่มาร์คัส เนื้อเยื้อนั้นก็กลับเข้าไปในร่างกายของมัน แล้วมันก็ใช้แขนเหวี่ยงไปมา ไปโดนถังที่บรรจุน้ำมันเข้า แล้วเกิดระเบิดเป็นเพลิงรุกไหม้ไปทั่วท่าเรือ มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาอย่างช้าๆ เพลิงที่รุกไหม้ไปทั่วทำให้ มาร์คัสนั้นหาหนทางหนีไปยาก และเขาก็นึกถึงโลโล่ที่ยังอยู่หลังลังไม้ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงไฟได้ดี เขาจึงรีบวิ่งกลับไปที่ลังไม้ แต่ก็ถูกยักษ์สีเลือดเหวี่ยงแขนฟาดใส่จนเขานั้นกระเด็นลอยไปชนกับตึก เมื่อเขาลุกขึ้นมาได้เขาก็เอาเลี่ยวแรงที่มีเดินเข้ามาใกล้ลังไม้

“โลโล่ รีบหนีไปซะ ไปให้ถึง เวเอล่า ตามหาพวกธิดาภา และบอกพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ฉันคงไปกับเธอต่อไม่ไหว ฉันมีแรงพอที่จะคุ้มครองให้เธอไปจากที่นี่ได้เท่านั้น ยังมีเรือที่พร้อมทำงานอยู่ รีบไปซะ” มาร์คัสตะโกนบอก แล้วยักษ์สีเลือดก็เดินตรงเข้าไปหาเขา เขาจึงยกปืนขึ้นเล็ง โลโล่ที่ได้ยินมาร์คัสพูดแบบนี้ เธอเองก็ยังห่วงมาร์คัส เธอเดินออกมาจากหลังลังไม้
“ไปซะ” มาร์คัสหันมาตะโกนใส่ แล้วโลโล่ที่ยังกังวลลังเลใจอยู่นั้น เธอก็ตัดสินใจ เธอจึงยิ้มและพยักหน้าอย่างเต็มใจ เมื่อมาร์คัสเห็นรอยยิ้มของเธอนั้น เขาเองก็อดที่ยิ้มไม่ได้ แล้วโลโล่ก็วิ่งตรงไปที่เรือเล็กลำหนึ่งด้วยความเร็ว ยักษ์สีเลือดเห็นจึงหันไปสนใจเธอแทน ทันทีที่มันหันไป มาร์คัสก็ลั่นไกปืนยิงใส่เข้าที่ตาขวาของมัน เลือดที่สาดกระเด็นไปทั่ว เสียงร้องอันเจ็บปวดรวดร้าวแสนจะทนของมันนั้นดังลั่นไปทั่ว แล้วมันก็ทรุดตัวลงไปอีกครั้ง เนื้อเยื้อนั้นก็โผล่ออกมา มาร์คัสก็ไม่รีรอเขาลั่นไกอีกที เข้าทะลุเนื้อเยื้อนั้น ยักษ์สีเลือดก็ล้มนอนนิ่งไปทันที มาร์คัสจึงทิ้งปืนและเดินมาที่ท่าเรือ เขามองดูเรือที่โลโล่นั่งอยู่นั้นแล่นออกไปไกลเรื่อยๆ โลโล่เองก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้เธอจึงหันมามองดู แต่เธอกลับเห็นรอยยิ้มของมาร์คัส เธออยากที่จะกลับเรือไปรับเขา แต่เธอก็ไม่อยากจะขัดคำที่มาร์คัสบอกให้ทำไว้ แล้วจู่ๆเธอก็ตกใจทันที เหนือเปลวเพลิงสูงขึ้นไป เธอเห็นยักษ์สีเลือดชูกระบองขนาดใหญ่ฟาดใส่มาร์คัส ท่าเรือที่มาร์คัสยืนอยู่นั้นแตกกระจายไปทั่ว แรงฟาดที่ทำให้นน้ำกระเด็นกระจายไปหมด แล้วเมืองทั้งเมืองและยักษ์สีเลือดก็ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ไปจนหมด เธอแทบจะเป็นลมทันทีที่เห็นภาพเหตุการณ์นั้น แต่เธอนั้นก็ทำได้แค่นั่งโศกเศร้าเสียใจอยู่บนเรือที่แล่นไกลออกไปจากท่าเรือโอรอนที่กำลังไหม้

“นี่เราต้องตายไปจริงหรือนี่ ความฝันที่จะรวบรวมพลังกลับคืน มันสลายไปเพียงแค่เรานั้นสู้ยักษ์ตัวเดียวไม่ได้” ร่างของมาร์คัสที่ค่อยๆจมดิ่งลงสู่ก้นทะเล
“ไม่หรอก พี่ใฝ่ฝันไว้อย่างไร พี่ต้องทำให้ได้ และหนูก็เชื่อว่าพี่นั้นย่อมทำได้อยู่แล้ว” เสียงน้อยๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาให้จิตของเขา
“พี่คงไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้วละ ทางเลือกของพี่มีสองทางคือ กลับขึ้นสวรรค์ไปรับบทลงโทษตามเคย หรือต้องลงนรกไปทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์” มาร์คัสบอก
“แต่หนูมีทางเลือกที่สามให้นะ” แอริสบอก
“พี่คงไม่รอดแล้วละจากตอนนี้ ตัวพี่นั้นเองก็ไร้เพื่อนอยู่เดียวดายมาอยู่นาน คงจะไม่มีใครอยากจะยื่นมือมาช่วยพี่แล้วละ” มาร์คัสบอก เมื่อแอริสได้ยินเธอก็หัวเราะ
“พี่นี่ก็คิดไปได้ โตมาจนมีสาวมาชอบขนาดนี้แล้ว ยังคิดเป็นเด็กไปได้ เอาเป็นว่าพี่คงไม่ลืมนะว่าหนูเป็นใคร” แอริสถาม
“ใช่ พี่ไม่ลืม เธอก็คือน้องของพี่ไง” มาร์คัสตอบ
“พี่นี่เป็นพี่ที่ไม่เอาไหนจริงๆ พี่เคยจำอะไรเกี่ยวกับน้องคนนี้ได้บ้าง แม้แต่ชื่อก็เถอะ” แอริสถาม แต่มาร์คัสก็นิ่งไปทันที
“นี่ไงละ พี่มัวแต่ห่วงแต่เรื่องของตนจนลืมน้องคนนี้ไป เอาเป็นว่า หนูจะพาพี่มาพักผ่อนสักวันสองวันที่บ้านก็แล้วกัน ” แอริสบอก
“เธอจะพาฉันไป...” มาร์คัสถาม
“ใช่ กลับบ้านของเรากันเถอะ พักผ่อนซะบ้าง แล้วนึกถึงวันดีๆกับความทรงจำเก่าๆ เมื่อพี่จำได้ว่ามีน้องคนนี้อยู่เมื่อไหร่ หนูก็จะพาพี่กลับไปเดินตามหาความฝันของพี่ต่อ” แอริสบอก แล้วมาร์คัสก็ลืมตาขึ้นมาเห็นน้องสาวตนยืนอยู่เบื้องหน้า แอริสจึงยิ้มให้ทันทีที่ได้เห็นพี่ชายกลับสู่บ้านอีกครั้ง มาร์คัสจึงมองไปรอบๆก็เต็มเป็นด้วยดอกไม้ แล้วแอริสก็จับมือพี่ชายวิ่งตรงหายเข้าไปในสายหมอก

“มาร์คัส” โลโล่สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันอันน่ากลัวที่ติดตาเธอตั้งแต่บ่าย ยามดึกดื่นกลางทะเลที่เงียบสงบ เธอจึงนอนลง
“เธออยู่ไหน หวังว่าเธอคงปลอดภัย” โลโล่กำมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างแน่น แล้วเธอก็หลับเข้าสู่นิทรา

เมื่อเธอเข้าสู่ความฝัน ความฝันของเธอนั้น เธอเห็นท้องฟ้าที่แปรปวนไปหมด พื้นดินที่แตกระแหง เมืองที่พังทลายเหลือแตกซาก น้ำทะเลที่เต็มไปด้วยสีเลือด เธอตกใจและหวาดกลัวอย่างมาก แล้วเธอก็เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นเทพสวรรค์และพญามารคู่หนึ่งกำลังสู้กัน แรงปะทะของทั้งคู่ทำให้เมืองหรือภูเขา พังทลายได้ทันที แล้วเทพสวรรค์องค์นั้นก็ถูกพญามารอัดใส่จนกระเด็นตกลงสู่พื้นมาใกล้ๆกับจุดที่เธอยืนอยู่ เทพสวรรค์องค์นั้นที่พยายามจะลุกขึ้นโดยใช้ดาบนั้นยันตัวเขาขึ้นมา เมื่อโลโล่เห็นเธอรู้ทันทีว่านั่นคือ แล้วพญามารก็บินพุ่งลงมาใช้ดาบแทงทะลุร่างของเทพสวรรค์องค์นั้น เลือดที่กระเด็นเปื้อนไปทั่วหน้าของพญามารนั้น ทำให้มันซะใจเป็นอย่างมาก แล้วมันก็ดึงดาบออกปล่อยให้ร่างของเทพสวรรค์องค์นั้นค่อยๆล้มลงและตายลงอย่างช้าๆ พญามารหัวเราะขึ้นทันที โลโล่จึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเทพสวรรค์องค์นั้น เธอมองดูเทพสวรรค์องค์นั้นที่กำลังจะสิ้นใจ แล้วเธอก็หันไปมองที่พญามาร พญามารที่ยืนมองดูเธออย่างเวทนา แล้วมันก็ตะหวัดดาบใส่เธอ แต่เทพสวรรค์ใช้เลี่ยวแรงที่มีเอาตัวเข้ารับดาบแทน โลโล่น้ำตาไหลออกมาทันทีที่เห็นเทพสวรรค์องค์นั้นทำแบบนี้ แล้วเธอก็เห็นเขาส่งยิ้มให้และปาดน้ำตาของเธอออก เธอจึงตะโกนสุดเสียงด้วยใจที่สลาย

แล้วเธอก็สะดุ้งขึ้นมาอีกทีก็ก็จะเช้าแล้ว เธอยังคงสงสัยและค้างคาใจว่าทำไม คนที่ยอมตายแทนเธอนั้น เขาถึงยิ้มอย่างมีความสุขแต่ตัวเธอเองนั้นกลับเศร้าใจยิ่งมากขึ้น แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกเรือ เธอก็เห็นแสงไฟนำทางเรือจากประภาคาร เธอจึงรู้ดีว่าเธอนั้นใกล้ถึงท่าเรือเวเอล่าแล้ว เธอจึงกลับลงไปเตรียมตัว เพื่อออกเดินทางทำตามที่ชายผู้ที่ยอมเสียสละเพื่อเธอนั้นขอไว้
“เราต้องไม่ร้องไห้ซิ เราต้องเข้มแข็งไว้” เธอพยายามพูดปลอบใจตัวเอง เมื่อเธอจัดเตรียมของเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินออกมานอกเรืออีกครั้ง ยืนมองดูแสงตะวันที่ค่อยๆทอแสงสาดส่องขึ้นอย่างช้าๆ
“ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวังเลย มาร์คัส” โลโล่บอกกับตัวเอง แล้วเธอก็ยิ้มออกมาแทนที่จะโศกเศร้าเสียใจอีก

-----------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 38---------------------------------------------------------------------------------------------
« Last Edit: October 19, 2005, 09:52:41 AM by RPG_Master » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #36 on: October 20, 2005, 09:25:29 AM »

ตอน ปีศาจน้อยนักล่า

ที่ยอดเขาเวเอล่า นันที่บาดเจ็บอยู่นั้นในตอนนี้ เขาได้หายดีเป็นปกติ เขาลุกขึ้นมานั่งบนแท่นที่เคยมีรูปปั้นเทพการูด้า
“มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย ลูกน้องก็ตายห่าเกือบหมด เจ้าปีศาจอย่างเราตกอับขนาดนี้เชียวเหรอ” นันนั่งบ่นพึมพำ แล้วก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาด้านในวิหาร นันจึงสลายตัวเป็นเงาล่องหนอยู่ติดกับกำแพง เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา เมื่อถึงใจกลางวิหาร นันก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งมัดผมเป็นจุกยื่นออกมาด้านหน้า มีคันธนูประหลาดสะพายอยู่ เด็กน้อยคนนั้นเมื่อเดินเข้ามาก็กวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง แล้วก็เหมือนกับว่าเขาเห็นบางอย่างที่ต้องการ เขาจึงวิ่งเข้าไปที่มุมห้อง

“หาตั้งนานอยู่ที่นี่เอง” เด็กน้อยคนนั้นก้มลงไปหยิบสิ่งของบางอย่างในซากหินที่ทับถม
“นั่นมัน ข้าเห็นหน้าไม่ถนัด สงสัยต้องเข้าไปดูใกล้กว่านี้จะได้รู้” นันนึกพึมพำในใจแล้วเขาก็เดินเข้าไปใกล้เด็กน้อยคนนั้น เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ เสียงหัวเราะดีใจของเด็กน้อยคนนั้นก็เงียบลงทันที แต่เขากลับชักมีดสั้นออกมาจ่อใส่นัน
“เผยตัวออกมานะ ไม่งั้นเสียบให้พุงแตกเลย” เด็กน้อยคนนั้นพูดจาอย่างดุดันใส่ แล้วนันก็เผยตัวออกมา
“ฮอนเน็ท นั่นใช่แกใช่มั้ย” นันถาม
“พี่นัน” ฮอนเน็ทดีใจทันทีที่รู้ว่านั่นคือพี่ชายของตน เขาจึงลุกขึ้นหันมายิ้มและดีใจที่ได้เจอ
“แกมาที่นี่ทำไม” นันถาม
“ฉันก็เดินทางไปทั่ว ไม่มีอะไรจะทำ พอดีนึกได้ว่า ฉันเคยลืมลูกแก้ววิญญาณไว้ที่นี่ก็เลยกลับมาเอา แล้วพี่ละ มาที่นี่ทำไม” ฮอนเน็ทบอกและถามกลับ นันก็เดินนั่งที่แท่นและนึกอยู่สักพัก
“ช่วงนี้ แกว่างมั้ย พี่ว่าพี่มีอะไรอยากจะให้แกช่วย” นันบอก
“เรื่องฆ่าคนอย่าบอกเลย ฉันไม่ใช่พวกใจโหดเหี้ยมอย่างพี่ ลูกน้องพี่ก็มีเยอะแยะไม่ใช้พวกมันละ ฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้” ฮอนเน็ทตอบแล้วก็หันหลังให้
“นี่พี่แกนะเว้ย” นันขึ้นเสียงใส่ จนฮอนเน็ทสะดุ้งสุดตัว
“จ้า พี่คนเก่ง ใครจะกล้าขัดคำของพี่ได้เล่า งานอะไรละที่จะให้ช่วย” ฮอนเน็ทถาม
“แกเคยมีประวัติอะไรดีๆ ลองเล่ามาหน่อยดิ จะได้จัดหน้าที่ให้ถูก เพราะงานนี้ แกต้องร่วมมือกับลูกน้องพี่ด้วย ให้พวกมันไปคนเดียวตายห่าหมด” นันถาม แล้วฮอนเน็ทก็ยืนนึกอยู่สักพัก
“ประวัติดีๆเหรอ อ๋อจำได้ละ เคยจัดการกับฝูงมิโนทอร์ที่บุกเข้าเมืองอีสตั้น เคยช่วยพาคุณยายจากเมืองเบรุสไปเมืองคอนเวส เคยช่วยคุณลุงที่กำลังถูกพวกโจรมาขโมยผลไม้ในสวน เคย...” ฮอเน็ทยังเล่าไม่ทันจบนันก็ตะลึงจนตกจากแท่น
“ดีบ้าอะไรของแกวะ เออข้าผิดเอง ดีในที่นี้หมายถึงพวกฆ่าคน ดีในภาษาปีศาจอย่างพวกเราจำเอาไว้ ไม่ใช่ดีแบบนั้น” นันตะหวาดใส่
“จ้า หลายเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ออกแรงจริงๆจังๆเลย เลยจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไปหรือปล่าว แต่ที่แน่ๆ ฉันมันยอดนักล่ามือหนึ่งของตระกูลอยู่แล้ว เรื่องล่าหรือโจมตีจากระยะไกลที่ฉันถนัด ไม่เคยเป็นรองใคร” ฮอนเน็ทยิ้มให้
“ทำใจกับน้องคนนี้ลำบาก” นันก้มหน้าเซงนิ่งไปอยู่สักพัก

“สรุปพี่มี 2 งาน แต่จะให้แกเลือกทำอย่างเดียว งานแรกจัดการกับกลุ่มคนธรรมดา 6 คน งานที่สองชิงเอาลูกแก้วไฟที่ไดนาสมาให้พี่” นันเสนอตัวเลือกให้
“งานแรกแค่ 6 คนมันก็จัดการได้สบายๆ เอาเป็นฉันเอางานแรกง่ายกว่าไม่ต้องลำบากเดินทางไปที่ไกลกว่า” ฮอนเน็ทบอก
“แต่เพราะไอ้ 6 คนเนี่ยแหละ พี่ต้องเสียลูกน้องหลักๆไป 3 ตน รวมหมาที่พี่เลี้ยงไว้อีก 1 ด้วย” นันบอก
“งั้นโปรโมชั่นพิเศษเลย ฉันจะรับทั้งสองงานเอง แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อย” ฮอนเน็ทคิดเสนอข้อแลกเปลี่ยนขึ้น
“ก็ได้ ก็ได้ ต้องการอะไรไอ้น้องตัวแสบ” นันถาม
“ข้อแรก ฉันขอเลือกลูกน้องพี่ไปเล่นด้วยสักตนสองตน” ฮอนเน็ทบอก
“อันนี้ไม่มีปัญหาเลือกได้ตามสบาย” นันบอก
“ข้อสอง เอ่อ... ช่วงนี้ฉันดูว่าลูกแก้ววิญญาณของฉันจะหมด ฉันขอเพิ่มสัก 100 ลูกจะได้มั้ย” ฮอนเน็ทถาม
“จะเอาไปทำไรของแกตั้งเยอะแยะ ลูกแก้ววิญญาณใช่ว่าจะหาผลิตกันได้ง่ายๆนะ กว่าจะได้ 1 ลูกต้องบูชายัญคนทีละคนกว่าจะได้มา” นันบ่นใส่
“เถอะน่านะ พี่น้องกันแบ่งปันกันบ้างซิ มาข้อสุดท้ายเลย ฉันขอดื่มเลือดของแฟนพี่หน่อยซิ จำได้ว่าพี่สาวคนนั้นเคยให้พี่มา แน่นอนว่าพี่คงไม่กล้ากินที่เดียวหมด มันต้องมีเหลืออยู่บ้าง” ฮอนเน็ทพูดพร้อมกับทำแววตาเจ้าเล่ห์ใส่
“เออๆ ได้ เลือดนีวานทำให้พวกปีศาจอย่างเรามีพลังเพิ่มขึ้น แต่เชิญเอาไปได้ตามสบาย มันเหลืออยู่ 2-3 หยด” นันร่ายมนต์เรียกขวดแก้วที่ใส่เลือดของนีวานไว้และส่งให้
“อะไร ทำไมมันเหลือเลือดแค่นี้ ตอนพี่สาวให้มามันมีตั้งเยอะนี่” ฮอนเน็ทดูหยดเลือดที่อยู่ในขวด
“เหลือแค่นี้ไม่เอาก็ตามใจ แล้วลูกน้องเนี่ยจะเลือกใครไปเล่นกับแกด้วย ฮึ” นันถาม
“ตนแรกขอเป็นทาร่อน ตนที่สองขอเป็นพัฟแล้วกัน” ฮอนเน็ทตอบ
“ทาร่อน ออกมาดิ ส่วนพัฟพี่ปล่อยเธอกลับบ้านเกิดไป เห็นว่ายังเด็กไม่อยากให้มาทำงานมาก” นันบอก
“ไม่เชื่อ พี่โกหก พัฟ ฉันอยู่นี่เรามาเล่นด้วยกันนะ เหมือนตอนยังเล็กไง” ฮอนเน็ทตะโกนไปทั่ววิหาร
“บอกว่าไม่อยู่ก็ไม่อยู่ไงหนวกหู” นันตะหวาดใส่
“มีอะไรเหรอนัน” ทาร่อนห้อยหัวลงมาจากเพดาน
“งานที่ฉันเคยบอกพวกแกอ่ะ ฉันจะให้น้องฉันเป็นคนนำทีม ทำตามที่น้องฉันบอกด้วยละ แต่ถ้านอกเรื่องจากงานที่บอกมากเกินไป ก็อย่าไปทำตาม” นันสั่ง
“ฮอนเน็ท” เสียงเด็กสาวเล็กๆดังขึ้นทั่ววิหาร
“พัฟ” ฮอนเน็ทตะโกนเรียก แล้วเด็กสาวตัวเล็กก็วิ่งตรงเข้ามาหาฮอนเน็ท นันก็กลุ้มใจทันที
“งานนี้จะรอดมั้ยวะเนี่ย” นันนั่งเศร้าคอตก
“เอาล่ะ ไปก่อนนะพี่ชาย พวก 6 คนนั้นอยู่ในเมืองนี้ใช่มะ โอเค รอฟังผลได้เลย ฉันไม่เคยทำอะไรให้ตระกูลต้องผิดหวังเลยสักครั้ง” ฮอนเน็ทหันมายิ้มให้แล้วก็วิ่งออกจากวิหารไป
“รอฉันด้วยซิ” พัฟวิ่งตามออกไป
“นัน เชื่อใจเถอะน่า ฉันอยู่ทั้งคน น้องแกก็เก่งไม่ใช่เล่นนี่ จะกลัวอะไรไป” ทาร่อนเดินเข้ามาอยู่เหนือหัวนันขึ้นไป
“เห็นว่าแกเป็นเพื่อนเก่านะถึงไว้ใจได้อยู่บ้าง แต่ที่หนักใจ สิ่งที่เรากำหนดว่าจะเจอมันเมื่อไหร่มันทำไม่ได้ หากแกกับน้องฉันไปเจอกับชายชุดดำเข้า ฉันเชื่อในตัวแกนะเพื่อน โปรดพาน้องฉันหนีจากมันให้ได้” นันเงยหน้าขึ้นไปบอก
“โอเค ถ้าเจอก็หนีทันทีไม่รีรอ เชื่อใจได้ไปละ” ทาร่อนบอกแล้วก็หมุนตัวจนเกิดควันขึ้นฟุ้งไปทั่วห้องและสลายหายไป

และแล้วเรือน้อยของโลโล่ก็ลอยเข้าสู่ฝั่งติดกับเชิงเขาเวเอล่า แล้วโลโล่ก็เดินลงจากเรือและเดินอ้อมทะเลเพื่อเข้าใปในเมือง แต่ระหว่างทางนั้นเธอก็เดินไม่ได้ดูตาม้าตาเรือจนไปชนกับคนกลุ่มหนึ่งจนทั้งคู่ล้มลง
“ขอโทษค่ะ พอดีหนูเดินไม่ได้ดูทาง มัวแต่เหม่อ” โลโล่รีบขอโทษทันที
“เธอเป็นใครกัน ฉันไม่คุ้นหน้าเลย” ฮอนเน็ทถามแล้วก็ลุกขึ้น
“หนูมาจากคาดาเรีย มาตามหาคนกลุ่มหนึ่ง หนูเชื่อว่าพวกเธอได้มาที่นี่” โลโล่ตอบ
“มาจากโน้นเชียวเหรอ แถวนี้มันอันตราย มาซิ มากับฉัน ฉันก็จะเข้าเมืองอยู่พอดี” ฮอนเน็ทบอกและส่งมือให้ โลโล่จึงจับมือแล้วฮอนเน็ทก็ออกแรงดึงเธอขึ้นมา
“น้องชาย อย่านอกงานจนเสียเวลาละ” ทาร่อนเดินเข้ามาสะกิด
“เอาเถอะน่า นิดเดียวจะเป็นไรไป พี่นันคงไม่รีบร้อนขนาดนั้นหรอก” ฮอนเน็ทหันมาบอกแล้วก็เดินไปต่อ โลโล่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับคนกลุ่มนี้เท่าไหร่ แต่เธอเห็นว่ายังมีเด็กรุ่นเดียวกับเธอในกลุ่มอีก 2 คนทำให้เธอนั้นไม่กังวลอะไรมากและเธอก็เดินตามพวกเขาเข้าไปในเมือง

เมื่อพวกเขาเดินทางมาจนถึงประตูเมืองเวเอล่า พวกเขาก็หยุดยืนดูชาวเมืองมากมายเดินผ่านไปผ่านมาในเมือง
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อไปละ จะไปตามคนที่เธอตามหาเองหรือจะไปกับฉันให้ฉันช่วยกันหาด้วย” ฮอนเน็ทหันมาถาม
“จะเอายังไงก็ได้ เพราะหนูก็ไม่คุ้นเคยกับคนในเมืองนี้ หากเดินคนเดียวอาจจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ได้ งั้นหนูไปกับพวกเธอก็แล้วกันจะได้อุ่นใจอยู่บ้าง” โลโล่บอก
“ไม่ต้องห่วงหรอก มากับพวกเราสนุกแน่นอนละ” พัฟบอกแล้วก็วิ่งนำเข้าไปในเมือง ผ่านสายตาหลายคู่ของชาวเมืองรวมทั้งนพและอรุณที่อยู่บริเวณนั้นด้วย

“เฮ้ย สัญลักษณ์ลูกน้องนี่หว่า จัดการมันเลยมั้ย” อรุณถาม
“เด็กขนาดนั้นยังทำลงอีกเหรอ” นพตอบ
“เด็กบ้าอะไรไม่สน ชาตินี้เกิดมาเป็นนักฆ่า หมาบ้าอรุณ ไม่ตายกันไปข้างก็ให้รู้กันไป” อรุณบอก แล้วพวกฮอนเน็ทที่เดินตามเข้ามาก็เดินตรงเข้าไปพัฟ
“พวกมันมากันหลายคนวะ” นพสะกิดให้อรุณดู
“งั้นก็ล้อมมันไว้ดิ” อรุณบอกแล้วก็จะเดินเข้าไปสู้ทันที แต่นพดึงหลังไว้
“ล้อมห่าไร กี่คนนับดิ 2 ต่อ 4 มันจะล้มแกซะมากกว่า” นพบอก
“เออเราผิด เราผิด 4 อะไรดูนั่นอีกคนไม่มีสัญลักษณ์ของนัน แปลว่ามันต้องจับเด็กสาวมาเป็นตัวประกันหากไม่ช่วย แล้วพวกมันเอาไปบูชายัญจะว่าไง” อรุณถาม
“งั้นก็หาพวกก่อนซิวะ มีกัน 2 คนจะสู้อะไรมันได้” นพตอบ
“เออเราผิด แล้วจะไปหาพวกจากที่ไหน” อรุณถาม
“พวกพงวิชไง ถึงจะไม่สนิทกับพกวบ้านั่นเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องสู้กับพวกนันเนี่ย พวกนั้นอาจจะเอาด้วย ไปเหอะ” นพบอกแล้วก็เดินไปทันที
“รอด้วย” อรุณรีบวิ่งตามไป

“เอาไงดีละ เมืองนี้มันก็ใหญ่โต คงต้องแยกกันหาแล้วละ” ฮอนเน็ทบอก
“แยกกันหาก็ดี คืนนี้ค่อยลุย เอาตอนพวกมันหลับก็แล้วกัน ฉันจะไปดูแถวชานเมืองฝั่งโน้นแล้วกัน” ทาร่อนบอกแล้วก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง
“พัฟ งั้นเธอช่วยไปดูแถวบ้านแพรลอยน้ำแล้วก็ท่าเรือแถวนั้นด้วยนะ คืนนี้ค่อยกลับมาเจอกันที่โรงแรม เดี๋ยวฉันจะไปจองให้ ถ้าไปดูเสร็จเร็วถ้าจะมาหา ฉันก็อยู่แถวกลางเมืองนี่แหละ” ฮอนเน็ทบอก
“ได้เลยค่ะ” พัฟวิ่งไปทันที
“งั้นฉันจะพาเธอไปหา พวกคนที่เธอตามหาก็แล้วกัน” ฮอนเน็ทหันมาบอก แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปยังใจกลางเมือง

-------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 39----------------------------------------------------------------------------------------
« Last Edit: October 20, 2005, 09:38:23 AM by RPG_Master » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #37 on: October 21, 2005, 07:27:54 AM »

ตอน คำสาปสาวพหรมจรรย์

นพและอรุณรีบมุ่งหน้าออกตามหาพวกพงวิชก่อนที่พวกฮอนเน็ทจะเจอเข้า ทั้งคู่ต่างใช้วิธีของแต่ละคนในการตามหาที่ต่างกัน โดยนพยิงกล้องดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้า และปรากฏจอภาพของเมืองในจอคอมพิวเตอร์ของปืนใหญ่ เขาซูมภาพมองหาพงวิชไปทั่วเมือง แต่เขาก็ประหลาดใจเพราะมองไปมองมาเห็นทาร่อนที่กระโดดไปตามหลังคาตามหาพวกพงวิชได้อย่างเร็วมากๆ แล้วก็มีเสียงที่ทำให้นพนั้นตกตะลึงวิตกกังวลมากขึ้นกว่าเก่า
“พงวิชโว้ย อยู่ไหนวะ” อรุณตะโกนสุดเสียงเรียกหาพงวิช ท่ามกลางผู้คนมากมาย จนผู้คนเหล่านั้นรุมกันจ้องมองมาที่นพและอรุณเป็นสายตาเดียวกัน
“เฮ้ย อรุณ หยุดก่อนดิ ใช้วิธีอื่นเหอะ อย่าใช้วิธีนี้เลย” นพบอกแล้วก็เอามือปิดหน้าทันทีเพราะทนรับความอับอายขายขี้หน้าไม่ได้
“เอองั้นลองไปถามที่โรงแรมดูแล้วกัน เมื่อคืนพวกนั้นคงไปพักกันที่นั่น” อรุณหยุดและหันมาบอก
“แล้วเรื่องคนพวกนี้ละ” นพถาม
“ไม่มีปัญหา” อรุณพูดเสร็จ ก็ทำสีหน้านักเลงโคตรน่ากลัวใส่ จนผู้คนแถวนั้นเห็นต่างตะลึงและหนีกันไป
“โอเค มีเพื่อนแบบนี้ มีแต่ต่ำลง” นพบ่น
“เฮ้ย ไอ้แว่นหน้าลิง อยู่นั่นไง เมื่อคืนเห็นพวกมันคุยกัน คงเป็นเพื่อนกัน เข้าไปถามมันดีกว่า” อรุณเหลือบไปเห็นแบมบูที่เดินผ่านไปแถวนั้น ทั้งคู่จึงวิ่งเข้าไปหา

“ไงไอ้หน้าลิง แล้วพวกแกละ” อรุณถาม
“คุณเป็นใครกัน” แบมบูที่ถามเพราะไม่รู้จักทั้งคู่
“พวกเราต้องรีบไปหาพวกพงวิชด่วน หากช้า พวกนั้นอาจโดนฆ่าตายได้” นพตอบ
“โดนฆ่า จากใครแล้วทำไม พวกนายเป็นใครยังไม่ตอบเลย” แบมบูเริ่มงงๆ
“นี่หมาบ้าอรุณเว้ย ถ้าไม่อยากโดนฆ่าตายก่อนพวกนั้น ก็รีบพาพวกเราไปหาซะ” อรุณกระชากคอเสื้อแบมบูอย่างโหดเหี้ยม
“เดี๋ยวแปปดิ บอกก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกแกเป็นนักฆ่า ถ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าเลยซิ แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกนั้นด้วย” แบมบูถาม
“มีพวกปีศาจกลุ่มหนึ่งมาที่นี่เพื่อเก็บเพื่อนของแกอ่ะ ทุกทีมันมาตัวเดียวแล้วพวกนั้นก็ชนะได้ แต่คราวนี้มันมา 3 พวกนั้นอาจจะเอาไม่อยู่ หากข้าไม่ช่วยพวกนั้น รับรองไม่รอดแน่” นพตอบ
“อย่างงั้นซินะ เร็ว ตามมา จะพาไป” แบมบูบอกแล้วก็วิ่งไปทันที อรุณกับนพจึงวิ่งตามไป

เมื่อแบมบูกลับมาถึงที่โรงแรมก็ไม่เจอพวกพงวิชแล้ว
“อ้าว พวกนั้นออกไปกันหมดแล้ว” แบมบูตกใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปไม่เจอใครเลย
“แล้วพวกนั้นไปไหนกันวะ” นพบ่นพึมพำแล้วแบมบูก็วิ่งออกจากโรงแรม อรุณกับนพก็วิ่งตามไปติดไม่ห่าง
“ไอ้หน้าลิง จะวิ่งไปไหนของแกวะ” อรุณตะโกนถาม
“วิหารอลิเซีย ที่นั่นมีคนคนหนึ่งที่อาจจะรู้ว่าพวกพงวิชอยู่ที่ไหนกัน” แบมบูตอบแล้วทั้ง 3 ก็วิ่งตรงไปที่วิหารอลิเซีย

“เฮ้ย มาที่นี่ทำไมวะ” พงวิชถาม
“ไม่รู้ดิ มาเมืองไหนทั้งทีก็น่าจะเดินเล่นในวิหาร จะได้รู้จักพวกตำนานบ้าง หัดหาอะไรดีๆใส่สมองบ้างดิวะ” ตั้มตอบแล้วทั้ง 6 ก็เดินเข้าไปในวิหาร เมื่อพงวิชผ่านประตูวิหารเข้ามา เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งด้านใน พงวิชก็เริ่มมีอาการท่าทีดีใจออกมาเล็กๆ
“คึกอะไรอีกพงวิช” บุ๊คถาม
“ธิดาภา” พงวิชตะโกนเรียก แล้วสาวๆกลุ่มนั้นที่นั่งอยู่ด้านในก็หันออกมามอง
“พวกนั้นอีกแล้วหรือ ถ้าเจอพวกนี้ อยู่กับเจ้าลิงน้อยยังจะดีกว่ามั้งเนี่ย” มาย่าบ่นพึมพำ แล้วพวกพงวิชก็เดินเข้ามาหา
“ไง ไม่นึกว่าจะได้พวกเธอที่นี่” พงวิชทัก
“ไม่รู้เหมือนกันซิ แต่ก็ดีนะที่ได้เจอเพื่อนเก่าในโรงเรียน” ธิดาภาบอก
“ก็ล่อหนีเจ้าลิงน้อยมานี่” มาย่าพูดแทรกขึ้นมา
“พวกเธอจะไปไหนกันมั้ย หรือถ้ายังไม่มีที่ไป ไปกับพวกเราก่อนก็ได้” พงวิชบอก
“ก็ดีนะ หรือคิดว่าไง” อรนิชาบอกแล้วก็หันไปมองเพื่อนๆ
“6 คนจะดีเท่าเจ้าลิงน้อยมั้ยเนี่ย” มาย่าบอก
“เจ้าลิงน้อยคือใครกัน” พงวิชถามด้วยความสงสัย
“ก็เจ้าลิงน้อยคือ...” มาย่ากำลังจะตอบ แต่ธิดาภาก็รีบเอามาปิดปากมาย่าไว้
“คือลิงตัวเล็กๆละ ไม่ต้องสนใจอะไรมากหรอก” ธิดาภาก็พูดตอบแทน
“ตั้มมมมมม” เสียงแบมบูที่ตะโกนมาแต่ไกล

“แบมบู รีบร้อนอะไรนักหนาวะ” ตั้มถาม
“ขอพักแปป” แบมบูหมดแรงล้มลงนอนบนม้านั่งยาวทันที
“กินน้ำก่อน” อรนิชาส่งน้ำให้ แบมบูก็รีบดื่มแก้เหนื่อยทันที
“แล้วพวกนี้ใครกัน อ๋อ พวกแกนี่เอง” พงวิชถามด้วยความสงสัยแล้วก็หันไปเจออรุณและนพ
“พวกเรามาดี” นพบอก
“แบมบู เล่ามาดิเกิดไรขึ้น รีบร้อนแบบนี้มีเรื่องไม่ดีแน่” ตั้มถาม
“พวกเราจะเล่าให้ฟังเอง นพเล่าดิ” อรุณบอกแล้วก็หันไปสะกิดนพเบาๆ
“คือ เมื่อเช้า ที่ประตูเมืองหนะ พวกเราเห็นพวกลูกน้องนัน มันมากัน 3 คน มันมาเยอะกว่าคราวก่อนๆคงหวังจะเก็บพวกแกให้สิ้นซากชัว พวกเราก็เลยสงสารไม่อยากจะเห็นพวกที่ยังมีอนาคตแบบพวกแกต้องตายอย่างอนาถเอา ก็เลยคิดที่จะมาช่วย อยู่ที่พวกแกจะรับการช่วยเหลือจากพวกฉันมั้ย” นพบอก
“พวกนันอีกแล้วเหรอ” พงวิชบอก แล้วนพกับอรุณก็พยักหน้า
“เอาไงดีละ พงวิชหันมาถามเพื่อนๆ
“แล้วรู้มั้ยว่าพวกมัน 3 คนหน้าตาเป็นยังไงกันบ้าง” ตั้มเอ่ยถามขึ้น

“พี่ชายสุดหล่อและพี่สาวสุดสวย ช่วยหลีกทางให้ผมเข้าไปสักการบูชารูปปั้นเทพอลิเซียหน่อยจะได้มั้ย” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากประตูวิหาร พวกเขาทั้งหมดจึงหันไปมองตามเสียง แล้วนพกับอรุณก็ผวาทันที แล้วพวกเขาก็หลีกทางให้
“ขอบคุณครับ” เด็กน้อยคนนั้นค่อยก้าวเท้าเดินเข้ามา ทั้งวิหารต่างหยุดเงียบไปหมดมีเพียงเสียงฝีเท้าของเด็กน้อยคนนี้เท่านั้น เมื่อเด็กน้อยคนนี้เดินผ่านไป พวกพงวิชก็เดินเข้ามากระซิบกัน
“นั่นหนะเหรอลูกน้องเจ้านัน” พงวิชพยายามจะพูดเสียงดังแต่กั้นเสียงให้เบาๆ
“มันนั่นแหละ” นพกระซิบบอก
“ทำไมมาแค่คนเดียววะ” บุ๊คถาม
“มาคนเดียวเก็บแมร่งเลย” อรุณบอกแล้วก็จะเดินตามเด็กน้อยคนนั้นไป แต่พวกพงวิชก็ดึงลั้งเอาไว้
“แล้วพวกเธอคิดว่าไงกับเรื่องแบบนี้” พงวิชหันไปถามพวกสาวๆ
“มากับพวกนี้แค่ไม่ถึง 5 นาทีก็เจอเรื่องเลย” มาย่าบ่นขึ้น
“ช่วยพวกเขาก็แล้วกันนะ ยังไงหลายคนย่อมดีกว่า” ธิดาภาบอก
“งั้นเอาตามนี้เลย พวกเรา 13 คน รุมมันเลยคนเดียว” พงวิชบอก
“แต่นั่นยังเด็กอยู่เลยนะ จะรุมกันแบบนี้มันไม่อายบ้างเหรอ” พิชามนญ์บอก แล้วพวกพงวิชก็เงียบลงทันที จนสักพักเด็กน้อยคนนั้นก็บูชากราบไหว้รูปปั้นเทพอลิเซียเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นและกลับหลังหันมาพร้อมกับรอยยิ้มและสายตาที่แฝงความน่ากลัวอยู่ด้านใน
“พี่สาว พี่ชาย เรามาเล่นอะไรกันสนุกๆดีกว่ามั้ย เห็นจำนวนคนเยอะกว่าที่คาดคิดไว้ดี” เด็กน้อยคนนั้นบอก
“เล่นอะไรหรือจ๊ะ แต่พวกพี่ขอทราบชื่อหนูจะได้มั้ย” ธิดาภาถาม
“อ๋อ ผมชื่อ ฮอนเน็ท ส่วนเรื่องที่จะมาเล่นด้วยกันนั้น คิดว่ามันต้องออกแรงกันสักเล็กน้อย” ฮอนเน็ทตอบ แล้วพวกพงวิชก็ตั้งท่าสู้ทันที
“ใจกล้าแบบนี้ ถึงว่า ทำไมพวกนันถึงแพ้ มา 3 แต่อยากลุยเดี่ยว” พงวิชบอกแล้วก็ชักดาบออกมา

“หยุดเถอะนะคะ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากหลังรูปปั้นเทพอลิเซีย แล้วเธอก็เดินออกมา
“นี่มันเขตศักดิ์สิทธิ์อย่ามาฆ่าฟันกันในนี้เลยนะ อีกอย่าง ทำไมพวกคุณต้องสู้กันด้วย ทั้งๆที่พวกคุณก็อยู่กันอย่างปกติ ไม่มีเหตุร้อนอันใดแล้วนี่ จะมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นกันทำไม” แม่ชีผู้นั้นบอก
“แม่ชีเกลวารีน” แบมบูเอ่ยขึ้นพร้อมกับตกใจที่เห็นเกลวารีนทำสีหน้าหวาดกลัว
“ก็ได้ครับ ผมจะไม่เล่นก็ได้ ผมเองแค่อยากเล่นนอกเวลาก็เท่านั้นเอง แล้วส่วนพี่ชายทั้ง 6 คืนนี้เราค่อยมาเล่นกัน อย่าหลับแล้วกันละ ถ้าหลับเดี๋ยวผมจะไปปลุกถึงที่เลย” ฮอนเน็ทบอกแล้วก็เดินตรงเข้ามา พวกพงวิชต่างหลีกห่างออกทันที แล้วพวกพงวิชต่างก็วิ่งเข้าไปหาแม่ชีผู้นั้น

“พวกท่านโปรดอย่าได้ฆ่าฟันกันเลยนะคะ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่คนแท้ๆ แต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนกับพวกคุณได้ การที่จะมาฆ่าฟัน พวกท่านเอาเวลานั้นไปทำอย่างอื่นจะดีกว่ามั้ย” แม่ชีผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงแพร่วเบา
“สีหน้าแบบนี้ แม่ชี ท่านต้องบางอย่างปิดบังไว้แน่” แบมบูถาม แล้วเกลวารีนก็ไอออกมา
“แม่ชี ไม่สบายนี่เอง นึกว่าอะไร” บุ๊คบอก
“รีบพาแม่ชีไปที่ห้องด้านในก่อน” แบมบูบอกแล้วบุ๊คก็อุ้มร่างของแม่ชีตามแบมบูเข้าไปด้านใน

และไม่กี่นาทีต่อมา แบมบูก็เดินออกมาจากห้อง
“แม่ชีผู้นั้นเป็นอะไรเหรอคะ” ธิดาภาถาม
“คงจะโดนคำสาปบางอย่างเข้า บวกกับไม่สบายอยู่ด้วย” แบมบูตอบ
“แล้วจะหาวิธีรักษาได้อย่างไร” ตั้มถาม
“โรคปกติคงรักษาได้แหละ แต่คำสาปนี่ดูท่าจะยาก มันเป็นคำสาปโบราณที่ร้ายแรง ถึงขนาดหากปล่อยไว้เกิน 7 วันโดยไม่รักษาอย่างถูกต้องจะต้องตายได้ในทันที” แบมบูตอบแล้วพวกพงวิชก็ตกใจขึ้นทันทีที่ได้ยินแบมบูเล่าให้ฟัง
“ถึงตายเลยเหรอ” บุ๊คบอก แล้วแบมบูก็พยักๆและเดินไปนั่งที่ม้านั่ง
“คืนนี้ ถ้าพวกเราไม่ชัว ก็จะโดนไอ้เด็กนั่นมันเล่นเอา แต่ถ้าไม่หาวิธีรักษา แม่ชีผู้นี้ก็ต้องตาย” พงวิชบอก
“คืนเป็นแบบนี้ ไม่พวกเราก็แม่ชี ต้องได้ตายกันไปข้างละ” บุ๊คบอก
“เดี๋ยวแต่ถ้าเราทำแบบนี้ละ” ตั้มนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“อะไรเหรอตั้ม” พงวิชถาม
“ถ้าพวกเรามั่นใจว่าพวกเราชนะเจ้าเด็กนั่นได้แน่ พวกเราจะทุ่มเททั้งหมดไปทำไมกัน เราก็น่าจะแบ่งกลุ่มนะ กลุ่มแรกคือพวกเรา 6 คนหลักกับอรุณและนพ เตรียมตัวรอจัดการเจ้าเด็กนั่น อีกกลุ่มให้แบมบูนำพาพวกสาวๆไปหาวิธีที่จะมาช่วยรักษาแม่ชีผู้นี้ เป็นไง ความคิดดีมั้ย” ตั้มตอบ
“มีเพื่อนแบบนี้ มีประโยชน์ดี” พงวิชบอก
“งั้นตามนี้เลย” แบมบูบอกแล้วก็เปิดหนังสือตำราของเขาขึ้น
“เอาละ ที่นี้มาดูวิธีถอนคำสาปกัน ขั้นแรก คนไข้ที่จะโดนคำสาปนี้จะเป็นสาวพหรมจรรย์หรือพวกนักบวชเท่านั้น ขั้นที่สองต้องนำเลือดของผู้ที่ใช้คำสาปนี้มา 1 หยด ขั้นที่สามนำเลือดนั้นมาผสมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ และขั้นสุดท้ายเทน้ำที่ผสมแล้วนั้นลงบนร่างของคนไข้พร้อมกับร่ายคาถาโบราณแก้คำสาป” แบมบูอ่านตามตำรา
“เกือบทุกขั้นตอน ทำยากวะ” พงวิชฟังแล้วบ่นทันที
“จะรู้ได้ไงวะว่าใครเป็นคนสาป แล้วทั้งหมดนี่ก็ไม่มีใคร พูดภาษาโบราณเป็น เคยอ่านสะกดที่ละคำยังไม่รู้เรื่องเลย” บุ๊คบอก
“งั้นต้องไปถามแม่ชีละ เพราะคำสาปนี้ ผู้ที่สาปจะต้องยืนร่ายคาถาคำสาปต่อหน้า” แบมบูบอกแล้วพวกเขาก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

“แม่ชีเกลวารีน ท่านจำได้มั้ยว่า มีใครที่พูดภาษาโบราณต่อหน้าท่านบ้าง” แบมบูถาม
“ฉันจำได้ ใช่ ฉันจำได้ มีชายร่างสูงใหญ่อยู่คนหนึ่ง เข้ามาในวิหารเพื่อถามหนทางสู่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่ แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่ ฉันควรจะบอก เขาก็เลยพูดภาษาโบราณบางอย่างจนฉันสลบไป” แม่ชีเกลวารีนเล่าให้ฟัง
“แล้วจำได้มั้ยชายคนนั้นแต่งตัวยังไง หรือหน้าตายังไง” แบมบูถามต่อ
“เขาสวมแว่นเหล็กหนาๆ ผมตั้งสูง และที่เห็นเด่นชัดเป็นเอกลักษณ์ของชายคนนั้น ก็คงจะเป็นที่เขาสวมใส่เสื้อผ้าและผ้าคลุมสีดำหมด” ทันทีที่แม่ชีเล่าให้ฟังเสร็จพวกพงวิชก็ตกใจกะทันหัน
“ชายชุดดำ ชัวเลย” อรุณบอก
“สงสัย ระบบแบ่งกลุ่มต้องยกเลิกแล้วมั้งเนี่ย ถ้าให้แบมบูเป็นคนหาวิธีรักษา ก็ต้องซัดให้เจ้าบ้านั่นเลือดไหลสักหยด แน่นอนว่า ไอ้แว่นหน้าลิงนี่ทำไม่ได้แน่นอน” พงวิชบอก
“แต่ปล่อยไว้ก็ไม่ได้” ตั้มบอก
“ไม่เป็นไร เค้าพอสู้ได้ แค่เอาเลือดหยดเดียว เค้าแค่ยอมเสี่ยงเข้าใกล้มัน แล้วเอามีดกีดให้โดนเพียงนิดเดียวแล้วก็หนี มันก็จบแล้วละ” แบมบูบอก
“มันจะไม่จบอย่างนั้นซิ” บุ๊คบอก
“แล้วจะเอาไง” แบมบูถาม
“งั้นถ้าแกกล้าตายก็โอเค ตั้มอย่าไปห้ามเลย” พงวิชบอกแล้วก็เดินออกจากห้องไป
“โอเคตามนี้ เขาตายก็ไปฝังศพให้เค้าด้วยนะ แน่นอนถ้าเค้าตาย แม่ชีเกลวารีนก็หมดทางรอด ถ้าทำได้เอาเค้าฝั่งข้างหลุมศพแม่ชีด้วยนะ ชาติอย่างน้อยก็จะได้เกิดมาเจอกันอีก” แบมบูบอก แล้วเขากับพวกสาวๆก็เดินออกไป
“มันอยากตายปล่อยมันเห๊อะ” บุ๊คบอกแล้วพวกตั้มก็เดินตามออกไป

----------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 40--------------------------------------------------------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #38 on: October 22, 2005, 07:46:36 AM »

ยิ่งแต่ง จำนวนคนเข้าอ่าน ช่วงห่างระหว่างตอนต่อตอน มันน้อยลงจนมีคนเข้ามาอ่านตอนนึงไม่ถึง 20 ครั้งเลย  :(
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน แผนการประหลาด

คืนวันนั้นปีศาจน้อยฮอนเน็ทก็รอเพื่อนที่มาเล่นกับเขาด้วยอีก 2 คนอยู่ในโรงแรม
“มีเยอะกว่าที่คิดซะอีก ถ้าพวกนั้นฝีมือดีจริงเหมือนอย่างที่พี่นันบอกไว้ คืนนี้ก็คงจะได้เล่นอย่างสนุกแล้วละ” ฮอนเน็ทนั่งพูดอยู่คนเดียวอยู่บนเตียง แล้วเขาก็เงียบไป ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องล้วนแต่เงียบสนิท
“ทำไมมันง่วงแต่เย็นแบบนี้เลยละ นอนก่อนก็แล้วกัน” ฮอนเน็ทที่ทนรับความอบอุ่นและอ่อนนุ่มที่เขาไม่ได้นอนมานาน แล้วเขาก็หลับลงทันทีในเวลาต่อมา
“โถ เด็กเอ๋ย เด็กน้อย ถึงเจ้าจะเป็นปีศาจแต่ยังไงก็ยังเด็ก ทำตัวซ่าร่าเริง ไม่เกรงกลัวความตายเลย    พัฟ” ทาร่อนยืนห้อยหัวมองดูฮอนเน็ทจากเพดาน
“คะ” พัฟขานขึ้น
“เธอเฝ้าดูแลเจ้าหนูนี่เอาไว้นะ ถ้าถึงเที่ยงคืนก็ปลุกซะ แล้วบอกด้วยฉันจะไปรอที่ถนนใหญ่ มันกว้างพอที่จะสู้” ทาร่อนพูดเสร็จเขาก็จมหายไปในเพดาน

ที่วิหารอลิเซีย พวกพงวิชต่างนั่งเคร่งเครียดวิตกกังวลกันนิ่งมากจนไม่มีเสียงอื่นใด พงวิชที่ทนอยู่นิ่งไม่ได้เขาก็มองดูเพื่อนๆ ที่นั่งหลับตาหน้าเคร่งเครียดกัน พงวิชเลยคิดจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก่อนที่เขาจะพูด พงวิชก็ได้ยินเสียงกรนของบุ๊คดังขึ้น เพื่อนคนอื่นค่อยๆลืมตาขึ้นมามองอย่างช้าๆ แล้วพวกเพื่อนก็ลุกเดินมายืนเรียงอยู่ตรงหน้าบุ๊ค แต่บุ๊คก็ยังนั่งหลับกรนเสียงดังอยู่ พวกเพื่อนจึงหันมามองแล้วก็พยักหน้าให้สัญญาณกัน แล้วพวกเขาก็บริจาคสหบาทาสามัคคีใส่บุ๊ค

“มันบุกมาแล้วเหรอ ไหนๆ” บุ๊ครีบลุกขึ้นมองหาทันที
“ไม่มีหรอก 5 บาทานี้ถีบแกเอง คนอื่นเขานั่งเครียดว่าจะทำไง ส่วนแกมานั่งหลัง น่าซะอีกรอบ” พงวิชบอก
“เราหลับไปเหรอ โทษที ไม่รู้เห็นมันเงียบ ก็เลยหลับไปเอง” บุ๊คบอกแล้วพวกเพื่อนๆต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งคิดกันอย่างเงียบๆ แล้วอรุณกับนพก็เดินเข้ามา
“ได้ไรบ้าง” พงวิชถาม
“ไอ้เด็กบ้านั่นมันเอากระดาษพับจรวดพาใส่หัวมาอ่ะดิ เลวจริงๆ” นพตอบแล้วก็ยื่นกระดาษให้
“คืนนี้เที่ยงคืนเจอกันถนนใหญ่ ถ้าไม่มา เราจะไปหาเอง” พงวิชอ่าน แล้วเพื่อนๆก็หนักใจอยู่เล็กๆ
“พวกมันเอาจริงเว้ย” บุ๊คบอก
“ง่วงเว้ย” อรุณบอกแล้วก็เดินไปกระโดดนอนลงบนม้านั่งยาว แต่ทันทีที่ตัวลง ม้านั่งก็หักทันที
“ไม่ดูหุ่นตัวเองเล๊ย เจอเข้าไปทีหายง่วงเลยอ่ะดิ” นพบอก แล้วอรุณก็ลุกขึ้นไปนอนบนม้านั่งยาวแบบปกติ
“เตรียมตัว เร็วพวกเรา นี่มันก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว” พงวิชบอก
“จะไปจริงเหรอพงวิช” ตั้มถาม
“ไม่ไปมันก็มา ไปสู้ซึ่งๆหน้าเลยดีกว่า เรายังมี พี่น้องปักษาและอีฟริตอยู่ด้วย เรายังได้เปรียบอยู่บ้างนะ” พงวิชตอบแล้วก็เดินออกไปทันที
“ไปเร็ว ยังไงก็ต้องลุย ตายก็ตายวะ เรื่องมันจะได้จบๆไปเสียที” บุ๊คบอกแล้วพวกเพื่อนๆก็เดินตามพงวิชออกไป เหลือเพียงพวกสาวๆและแบมบูที่คอยดูแลแม่ชีเกลวารีน

“ฮอนเน็ท ฮอนเน็ท” พัฟเขย่าร่างของฮอนเน็ทไปมา จนฮอนเน็ทค่อยๆตื่นขึ้นมา
“อะไรกัน มาปลุกทำไมตอนดึก” ฮอนเน็ทขยี้ตาแล้วถาม
“ทาร่อนบอก เมื่อถึงเที่ยงคืนให้พวกเราไปที่ถนนใหญ่” พัฟบอกแล้วฮอนเน็ทก็ลุกเดินออกจากห้องไปพร้อมกับพัฟ เมื่อเขาเดินออกมาจากโรงแรมก็เห็นโลโล่ยืนรออยู่แล้ว
“จะไปไหนกันเหรอ” โลโล่ถาม
“ทำงานนิดหน่อยน่ะ จะไปด้วยกันมั้ย คืองานนี้ จะบอกเลยว่า มันรุนแรงถึงขนาดต้องฆ่ากันตาย” ฮอนเน็ทตอบ แล้วโลโล่ก็ตกใจทันทีที่ได้ยิน
“มีใครจะฆ่าเธอเหรอ” โลโล่ถาม
“ใช่ มีพวกคนกลุ่มหนึ่ง มันคิดจะฆ่าฉัน” ฮอนเน็ทตอบแล้วก็เดินต่อไป
“ให้ฉันช่วยมั้ย เผื่อจะได้ช่วยอะไรเธอได้บ้าง” โลโล่บอก แล้วฮอนเน็ทก็หันมายิ้มทันที
“ก็ได้ มาซิ” ฮอนเน็ทกวักมือเรียกแล้วเด็กน้อยทั้ง 3 ก็มุ่งหน้าไปถนนใหญ่

ที่ถนนใหญ่ พวกพงวิชได้เดินเรียงหน้ากันมาอย่างองอาจหาญกล้าไร้ความกลัวตาย และพวกเขาก็เห็นทาร่อนที่ยืนอยู่กลางถนนอีกฝั่งคนเดียว
“มาคนเดียวรึ” พงวิชตะโกนถาม แล้วสักพักฮอนเน็ทและสาวน้อยอีก 2 คนก็โผล่ออกมา
“เฮ้ยอรุณไหนบอก 3 ไง ทำไม 4 คนวะ” พงวิชหันมาถาม
“ไหนละอรุณ ที่บอกอีกคนไม่เกี่ยว บอกแล้วว่า 4” นพตอบ แต่อรุณก็ยืนยิ้มนิ่งๆ
“พงวิช มีแผนอะไรมั้ย” บุ๊คถาม
“ไม่มี แต่เวลาสู้เดียวมันก็มีเอง” พงวิชตอบแล้วก็ท่องคาถาเรียกวิญญาณอีฟริตออกมา แล้ว 3 พี่น้องปักษาก็ปรากฏตัวออกมาจากอาวุธของพวกเขา
“มีของดีแบบนี้ ก็สนุกดีนะ” ฮอนเน็ทบอกแล้วก็หยิบคันธนูสีม่วงประหลาดออกมา
“ทำไมพวกนั้นถึงอยากฆ่าเธอละ” โลโล่เริ่มหวาดกลัวเล็กๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันดูแลตัวเองได้ และเธอเชื่อเถอะ พวกนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” ฮอนเน็ทบอก

แล้วพงวิชก็สะดุ้งตัวขึ้นมาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“พงวิช มีแผนแล้วเหรอ” ตั้มถาม
“ไม่อ่ะ ไม่เชิงแผนหรอก ในนี้ใครเร็วที่สุด” พงวิชหันมาถาม
“ทำไม ในนี้ถ้าจะเร็วก็คงจะเป็น 3 ปักษาน้อยนั่นแหละ” บุ๊คตอบ
“โอเค เซฟิ มานี่ที” พงวิชเรียกแล้วเซฟิก็บินเข้ามาหา พงวิชก็กระซิบเบาๆทันที
“แผนไรวะ พงวิช ไม่บอกเพื่อนเลย” ตั้มบ่น
“โอเค มาเริ่มเล่นกันเลยดีกว่า” พงวิชหันกลับไปตะโกนบอก

ฮอนเน็ทก็ยิ้มทันที
“ทาร่อน พัฟ เรามาเล่นด้วยกันกับพวกเขาให้สนุกนะ” ฮอนเน็ทบอกแล้วเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งที่ไม่ได้จับคันธนูร่ายมนต์สร้างลูกศรวิญญาณสีม่วงชาร์ตไว้
ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส   โลโล่ร่ายเวทย์มนต์คาถาโบราณเรียก ไวท์ไทเกอร์ ออกมา ทันทีที่เธอท่องคาถา ฮอนเน็ทและพวกพงวิชทึ่งทันที
“สาวน้อยคนนี้ เรียนรู้เวทย์มนต์โบราณเป็นด้วยเหรอเนี่ย” ฮอนเน็ทหันมามองและนึกไปในใจ พงวิชเองก็ยิ้มออกทันที
“เซฟิเปลี่ยนแผน เปลี่ยนเป้าหมายเล็งที่คนนั้นนะ เธอยังมีประโยชน์ต่อเรา” พงวิชตะโกนบอกแล้วเซฟิก็พยักหน้า แล้ว 3 พี่น้องปักษาก็บินพุ่งบุกเข้าโจมตีทันที

“Soul Wind” ฮอนเน็ทยิงลูกศรวิญญาณโจมตีเป็นสายลมออกไป เฟียเรียสจึงพุ่งตัวเอาโล่ของเธอเอามาป้องกันพวกพี่ๆของเธอไว้
Million Arrow อูติกบินพุ่งขึ้นเหนือน้องสาวและยิงลูกศรลมนับล้านโจมตีใส่ ไวท์ไทเกอร์จึงพุ่งออกมาได้หน้าและสร้างบาเรียแสงป้องกันไว้ แล้วก็ร่ายเวทย์มนต์จากด้านหลัง เซฟิจึงบินพุ่งผ่านทะลุบาเรียเข้ามาใช้ดาบฟันใส่ฮอนเน็ท แต่ทาร่อนปรากฏตัวออกมาด้านหลังเซฟิจนเขานั้นตกใจกับความเร็วในการเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ได้จนไม่ทันได้สังเกต
“Sorrow Punch” ทาร่อนสร้างพลังความมืดและโจมตีอัดใส่เซฟิจนกระเด็นออกไป แล้วอีฟริตก็พุ่งตรงเข้ามา ร่างกายที่ล้อมไปด้วยเปลวไฟอันร้อนแรงจนพื้นดินที่มันผ่านนั้นไฟรุกโชดขึ้นตามเป็นทาง
Magma Burst อีฟริตพุ่งผ่านกลุ่มพวกฮอนเน็ทไปอย่างรวดเร็ว แล้วไฟที่รุกตามเป็นทางนั้นก็ค่อยขยายกว้าง พื้นเริ่มร้อนระอุขึ้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิง
Ice Storm พัฟที่ร่ายเวทย์มนต์เสร็จก็เรียกพายุหิมะพัดโจมตีใส่พวกพงวิช และทำให้ไฟบนพื้นนั้นดับลงหมด
“อิศราเปิดเร็วๆ” เพื่อนๆต่างเร่งรีบช่วยอิศราเปิดตำราหาเวทย์มนต์มาป้องกัน
“อ๊ะได้ละ Body Shied ” อิศราร่ายบาเรียออกมาป้องกันพายุหิมะที่โหมกระหน่ำใส่อย่างรุนแรง
Meteor Flare  อีฟริตที่ลอยตัวอยู่เหนือพวกฮอนเน็ทนั้นเรียกพายุอุกาบาตรขนาดใหญ่จำนวนมากโหมโจมตีใส่พวกฮอนเน็ท ไวท์ไทเกอร์จึงพุ่งเข้าสร้างบาเรียป้องกันแต่บาเรียทนรับพลังไม่ได้จนแตกกระจายไปหมด อุกาบาตรที่โฆมตกใส่จนทาร่อนนั้นต้องหลบหนีออกจากบริเวณอย่างรวดเร็ว แต่ฮอนเน็ทใช้ลูกแก้ววิญญาณสร้างเกราะพิเศษคุ้นครองตน เมื่อหลังจากที่อุกกบาตรชุดนั้นได้ถล่มจนหมดสิ้นไป ทาร่อนและฮอนเน็ทต่างก็กลับมาตั้งหลักที่เดิม แต่เขากลับเห็นพงวิชยืนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ยิ้มอะไร โจมตีเพียงแค่นี้คิดว่าจะชนะงั้นเหรอ” ฮอนเน็ทบอก
“ไม่ เราไม่ชนะแกหรอก แกมันเก่งเกิน แต่เราก็มีวิธีบางอย่างที่จะชนะเอาให้ได้” พงวิชบอก
“วิธีอะไรของแก” ฮอนเน็ทถาม แล้วพงวิชก็หลีกทาง ฮอนเน็ทตกใจขึ้นเล็กๆ พัฟและโลโล่ที่ถูก 3 พี่น้องปักษาจับตัวไป ในสภาพที่ถูกมัดมือมัดเท้าและปิดปากไว้
“พัฟ” ฮอนเน็ทตะโกนเรียก
“ถ้าไม่อยากให้ฉันปลิดวิญญาณของสาวน้อยทั้ง 2 คนนี้ก็กลับไปซะ แล้วเลิกตามล่าพวกฉันซะที ภายใน 7 วันฉันถึงจะปล่อย 2 คนนี้” พงวิชบอก
“แกมันไร้ศีลธรรมแห่งการต่อสู้ ขี้โกงกันซึ้งๆหน้า” ฮอนเน็ทด่าใส่
“ใช่ เรามันขี้โกง แต่แกจะยอมทำตามไม่ละ” พงวิชบอกแล้วก็ดาบเล็กเล่มหนึ่งกีดเข้าที่หน้าอกของพัฟจนเลือดไหลออกมา
“อย่า” ฮอนเน็ทตะโกนบอก
“อ่ะ ที่แท้สาวน้อยคนนี้ก็คงจะมีค่าต่อแกมากเลยซินะ” พงวิชบอก
“พงวิช แผนนี้มันเหมือนตัวโกงมากเลยนะ ทำตัวก็เหมือน มาเป็นพวกเราได้ไงเนี่ย” ตั้มบ่น
“เถอะน่า วิธีนี้ละถึงจะชนะ” พงวิชบอก
“แล้วแกจะเอายังไง” พงวิชหันไปถาม แต่ฮอนเน้ทก็ยังลังเลใจ
“ฮอนเน็ท เจ้าอย่าได้เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน เรา 2 คนถ้าเอาจริงก็ชนะพวกมันได้ง่ายๆ” ทาร่อนบอก แต่ฮอนเน็ทก็ยังลังเลใจ
“เร็ว” พงวิชบอก แต่ฮอนเน็ทยังก็ยืนนิ่งลังเลในการตัดสินใจ
“ยังช้าอีก ไม่งั้นสาวน้อยคนนี้ แกจะได้เห็นใบหน้าอันน่ารักของเธอเป็นครั้งสุดท้าย” พงวิชบอก
“เฮ้ย พงวิช มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ” ตั้มถาม
“อย่างนี้ เป็นพวกนักฆ่าได้เลย พงวิชจอมเจ้าเล่ห์ ชื่อฉายาเข้าท่าดีเลย” นพบอก
“เอาเถอะ” พงวิชตอบ แล้วก็เอาปลายดาบนั้นมาจ่อลงบนแก้มของพัฟ สีหน้าของเธอที่หวาดกลัวเป็นอย่างมากนั้น ยิ่งทำให้ฮอนเน็ทกังวลใจยิ่งขึ้น
“ฮอนเน็ท อย่าเชื่อมัน ถึงแม้พัฟต้องตาย แต่พวกเราก็ฆ่ามันชดใช้แทนกันได้นี่” ทาร่อนบอก แล้วพงวิชก็ค่อยออกแรงทิ่มปลายดาบลงไปเบาๆจนมีเลือดไหลออกมาจากแก้มของพัฟ
“ก็ได้” ฮอนเน็ทตะโกนบอก แล้วพงวิชก็ดึงดาบออก
“ฮอนเน็ท” ทาร่อนพูดขึ้น แต่ฮอนเน็ทก็หันหลังและเดินจากไป
“ฉันคือผู้นำทีม ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่คนแท้ๆ แต่พวกเราก็เห็นความสำคัญของเพื่อนๆมาตลอด รวมทั้งที่พี่นันเขาไว้ใจในตัวนายใช่มั้ยละ ทาร่อน” ฮอนเน็ทบอก แล้วเขาทั้ง 2 ก็เดินจากไป

“แล้วทีนี้จะเอายังไงก็ 2 สาวนี้ละ” บุ๊คถาม
“ก่อนอื่นต้องห้ามเลือดให้ก่อน” พงวิชบอกแล้วก็ดูดเลือดบนแก้มของพัฟที่ไหลออกมา
“ห้ามเลือดบ้าอะไรของพงวิชวะ” ตั้มและเพื่อนๆรีบดึงพงวิชออกมา
“เห็นเป็นสาวน้อยไม่ได้เลยนะ ไอ้นี่” นพบอก แล้วอิศราก็ควักหายามาทำแผลให้พัฟ
“ต้องขอโทษ เธอด้วยนะ ที่เพื่อนเราทำเกินเหตุไปซะขนาดนี้ เรารู้ว่า พวกสาวๆนั้น ใบหน้านั้นสำคัญมากแค่ไหน” ตั้มกล่าวคำขอโทษ แล้วบุ๊คก็ดึงผ้าปิดปากที่ปิดปากพวกเธอไว้ออก
“พวกเธอจะทำอะไรฉันก็ทำไปเถอะ ฮอนเน็ท เขาคงทิ้งฉันไปแล้วละ” พัฟพูดอย่างเศร้าใจ
“งั้นดีเลย” พงวิชบอกและเริ่มนึกอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาในสมอง
“พอเลย พงวิช ในหัวคิดอะไรอยู่ นึกว่าไม่รู้เหรอ” ตั้มตบหัวพงวิชเข้าที
“อะไรวะ ก็เธอบอกมานี่ว่าจะทำอะไรก็ได้” พงวิชเอามือลูบหัวเบาๆ
“ส่วนสาวน้อยคนนี้ พวกเราเห็นเธอใช้พวกเวทย์มนต์โบราณได้ แปลว่าเธอต้องรู้และอ่านภาษาโบราณออกใช่มั้ย” ตั้มถาม
“พวกคุณจับหนูมาเพราะหนูนั้นพูดภาษาโบราณที่หายากได้งั้นซินะ” โลโล่บอก
“เปล่าหรอก ก็แค่อยากจะให้ช่วยเฉยๆ คือตอนนี้ มีแม่ชีผู้หนึ่ง โดนคำสาปโบราณวิธีแก้มันก็ต้องทำการร่ายคาถาโบราณแก้ขวบคู่ไปด้วย แต่ไม่มีใครที่สามารถจะพูดภาษาโบราณได้เลย แต่ก็มาเจอเธอนี่แหละ” พงวิชบอก
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หนูเองก็จะช่วย” โลโล่บอก
“โอเค คืนนี้ไปนอนกันเถอะ ง่วงแล้ว” บุ๊คบอกแล้วก็เดินตรงกลับไปที่วิหาร
“ใช่ ง่วงแล้วเหมือนกันกลับกันเถอะ” พงวิชบอก
“แล้ว 2 คนนี้ละจะทำยังไง” ตั้มถาม
“เอาไปนอนกับเราก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราจะเฝ้าไว้ เผื่อเจ้าเด็กผีนั่นมันคิดไม่ซ่อกะจะมาชิงเอาตอนพวกเราหลับ” พงวิชตอบ
“ปล่อยไว้ไม่ได้ มีเพื่อนแบบนี้ ขนาดต่อหน้าเพื่อนๆยังกล้าทำแบบเมื่อกี๊เลย ถ้าไม่มีพวกเราจะขนาดไหนวะ” ปอนบ่นใส่
“ให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพวกธิดาภาแล้วกัน” ตั้มบอก
“โห่ อดเลย” พงวิชเดินเตะฝุ่นทันที แล้วอรุณก็แบกร่างของพัฟและโลโล่เดินตามพวกพงวิชไป

-----------------------------------------------------จบตอนที่ 41---------------------------------------------
« Last Edit: October 22, 2005, 07:51:54 AM by Code Name ADA » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #39 on: October 23, 2005, 05:43:30 AM »

ตอน ซามูไรลึกลับ

เช้าวันต่อมา พวกพงวิชก็ตื่นมากันอย่างสดชื่นภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องผ่านกระจกในวิหาร
“หลับสบายดี ขนาดนอนแค่บนม้านั่งนะเนี่ย ถ้านอนบนเตียงจะสบายขนาดไหน” พงวิชพูดไปเรื่อยๆ
“แล้วพวกอรุณละ” บุ๊คหันมาถาม
“อ๋อ พวกนั้นเห็นไปแต่เช้าแล้วละ” แบมบูตอบ
“มาแล้วก็ไป เดี๋ยวก็มา มันแปลกหน๊อ 2 คนนั้น” พงวิชบอก
“แล้วทีนี้จะช่วยแม่ชียังไงต่อละ อีก 5 วันตามล่าชายชุดดำเนี่ยนะ แล้วต้องเอาเลือดมันมาให้ได้ ให้ตายเถอะ ทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้” บุ๊คบ่นขึ้นทันที
“เฮ้ย แต่ยังไงก็ต้องหาทางช่วยแม่ชีไว้ให้ได้นะ เธอเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อเมืองนี้และสมาคมนักบวชมาก” แบมบูบอก
“แล้วจะทำกันอย่างไรละ พวกเราก็เคยเจอชายชุดดำ ก็รู้ดีกันอยู่นี่ว่า มันโหดขนาดไหน” ตั้มบอก
“งั้นไม่ต้องช่วยหรอก คนเรจะถึงคราวตายมันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก” พงวิชบอก
“เฮ้ย พูดอะไรอย่างงั้นวะ” แบมบูพูดแย้งขึ้น
“พวกเราก็เห็นด้วย” ปอนพูดขึ้น
“เพราะเค้าหล่อ เดี๋ยวก็หายเอง” แพ๊คเก๊กหล่อทันที
“เอาดีๆกันดิวะ” ตั้มบอก  

แล้วและพวกสาวๆก็เดินมาจากด้านในวิหาร พวกหนุ่มๆต่างตะลึงกับความน่ารักของพัฟจนอ้าปากค้างทันที
“พงวิช ระวังย้อย” ตั้มบอก แล้วพงวิชก็ปาดน้ำลายตัวเอง
“ทำอย่างกะหมาบ้าเลย” อิศราบอก
“ไม่น่าเชื่อ ขนาดเมื่อคืนก็โดนเราสร้างแผลบนใบหน้าให้ แต่วันเดียวแผลนั้นหายไปแล้ว” พงวิชทึ่งอยู่กับความน่ารักของเธอ แล้วพงวิชก็เหลือบไปเห็นโลโล่และธิดาภาที่มีสีหน้าเศร้า
“ธิดาภา มีเรื่องเศร้าใจอะไรเหรอ” พงวิชถามด้วยความสงสัย แต่เธอก็ไม่ตอบอะไร
“ก็เจ้าลิงน้อย ตายไปแล้วละซิ” มาย่าตอบขึ้นแทน
“ใครกันเจ้าลิงน้อย ฉันเริ่มสงสัยแล้วละเนี่ย ทำไมมันมีความสำคัญต่อเธอขนาดนั้นเลยเหรอ” พงวิชถาม
“ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ธิดาภาถึงเห็นเขาสำคัญขนาดนี้” พิชามนญ์ตอบ
“แล้วพัฟ ทำไมวันเดียวถึงเปลี่ยนไปเหมือนคนละคนเลยละ จากที่เป็นพวกนั้น ทำตัวเหมือนสนิทเป็นพวกเราเลย” ตั้มถาม
“ฉันก็คิดว่า ถ้ามีเพื่อนเล่นด้วยกันเยอะมันก็คงจะดีนะ ก็เลยอยากจะมาอยู่กับพวกเธอไง” พัฟตอบ
“เอาเถอะ คราวนี้พวกเราก็ต้องออกเดินทางช่วยแม่ชีผู้นี้ให้ได้ภายใน 5 วันนับจากนี้” พงวิชบอก
“แล้วจะปล่อยให้แม่ชีนอนพักอยู่ในนี้เหรอ แล้วใครจะช่วยหากแม่ชีป่วยหนักมากๆละ” แบมบูถาม
“เอ่อ... งั้นบุ๊ค ช่วยอุ้มแม่ชีขึ้นหลังแกพาไปด้วยแล้วกัน” พงวิชตอบ
“เราอีกแล้วเหรอ” บุ๊คถาม แล้วเพื่อนๆก็พยักหน้า บุ๊คจึงเดินเข้าไปในวิหารและแบกแม่ชีขึ้นหลังและเอาผ้าคลุมมาคลุมปิดไว้เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและเอาผ้านั้นมัดร่างของแม่ชีกับบุ๊คไว้เพื่อไม่ให้หลุดออกจากกัน

เมื่อพวกเขาเริ่มออกเดินทางกันเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังเมืองไดนาส แต่ระหว่างที่พวกเขาจะไปนั้น บุ๊คเกิดหิวข้าว เพราะเช้านี้เขายังไม่ได้ทานอะไรเลย เขาจึงบอกให้เพื่อนๆแวะไปกินข้าวก่อนออกเดินทางต่อ พวกเขาจึงเข้าไปในร้านอาหารพี่หมูเจ้าเก่า ทันทีที่บุ๊คเข้าไปในร้านก็สั่งอาหารทันทีและเดินไปรอข้างใน
“เรื่องกินยกให้ที่ 1 ในโลกเลย” พงวิชบอกแล้วก็เดินตามเข้ามาและตรงไปนั่งโต๊ะที่บุ๊คนั่งอยู่ ซึ่งโต๊ะข้างๆนั้น มีชายใส่ชุดเกราะซามูไรสีน้ำเงินทั้งชุดเตรียมขั้นกำลังทานอาหารอยู่
“บุ๊ค ห่วงกินแบบนี้ เวลาใกล้ตายยังจะกินอยู่ปะ” พงวิชถาม
“แน่นอน ของมันตาย ถึงจะตายก็อิ่มก่อนตายจะดีกว่า ตายไปจะได้ไม่ต้องทนหิว” บุ๊คตอบ ไม่นานนักพี่หมูก็ร่อนอาหารเสิร์ฟให้ พวกเขาต่างก็ทานอาหารกันจนอิ่ม พวกเขาก็ลุกขึ้นไปจ่ายเงินให้พี่หมูและออกจากร้านไป

“ทีนี้จะเอายังไงต่อ มีอะไรค้างคาอีกมั้ย ถ้าไม่มีจะได้ไปทีเดียวเลย” พงวิชถาม แล้วซามูไรคนนั้นก็เดินออกจากร้านมา ธิดาภาที่สบสายตากับซามูไรคนนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียว เธอก็ตะลึงอยู่นานจนพวกพงวิชนั้นสังเกตได้
“เป็นอะไรไป ธิดาภา” พิชามนญ์พยายามสะกิดเรียกสติเธอคืนมา แล้วพงวิชก็เห็นซามูไรคนนั้นเดินผ่านไป จึงนึกสงสัย
“เฮ้ย แกน่ะ ใครวะ หันมาคุยกันก่อนดิ” พงวิชตะโกนเรียกแล้วซามูไรคนนั้นจึงหยุดเดิน
“โปรดอย่าเรียกอีก ถ้าไม่มีเรื่องอันใด” ซามูไรคนนั้นบอก
“แกชื่อไรวะ แล้วจู่ๆทำไมเพื่อนฉันถึงเป็นแบบนี้ แกทำอะไรเธอ” พงวิชถาม ซามูไรผู้นั้นก็หัวเราะเล็กๆ ก่อนที่จะหันมา
“ข้าชื่อ อสุเระ ส่วนเรื่องของเพื่อนนายนั้น ฉันไม่รู้เรื่องอันใด” อสุเระตอบ พวกสาวๆจึงตกใจทันทีที่เห็นใบหน้าของซามูไรคนนั้น

“นั่นมันเจ้าลิงน้อยนี่” มาย่าบอก
“แล้วทำไมต้องปิดตาข้างขวาด้วยละ” อรนิชาถาม
“เจ้าลิงน้อย ใครกัน อีกอย่างฉันก็ไม่เคยเจอกับพวกเธอมาก่อน” อสุเระตอบ
“แล้วทำไมต้องปิดตาด้วย หรือไปทำอะไรไม่ดีไว้แล้วกะหนีความผิดละซิ จริงเปล่า” แพ๊คถาม
“มันไม่เกี่ยวกันเลย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัว” อสุเระบอกแล้วก็หันหลังกลับเดินต่อไป
“นั่นไม่ใช่มาร์คัสหรอก ถึงเขาจะรูปร่างหน้าตาเหมือนกันจนหาที่แยกแยะออกไม่ได้ว่า นั่นไม่ใช่มาร์คัสก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่คนที่พวกเราเอ่ยถึงหรอก” โลโล่บอก
“ทำไม” มาย่าถาม
“มาร์คัส เขาไม่เย็นชาขนาดนี้ และรอยยิ้มของชายคนนั้นมันไม่เหมือนกับมาร์คัสเลย” โลโล่ตอบ
“เดี๋ยว” พงวิชตะโกนเรียก อสุเระจึงหยุด
“แกต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเธอแน่ ฉันจะล้างแค้นให้พวกเธอ ฉันไม่รู้หรอกแกไปทำอะไรพวกเธอไว้ แต่วันนี้ แกตายแน่” พงวิชบอก อสุเระจึงหันหลังกลับมา
“ถ้าทำได้ก็เอาซิ” อสุเระบอกแล้วก็ยืนกอดอก พงวิชจึงก้าวออกมา
“ทุกคนไม่ต้อง ฉันขอดวลกับมันตัวต่อตัว” พงวิชบอกเสร็จก็เอามือจับด้ามดาบของอายะไว้ในปอก (ช่วยฉันหน่อยนะอายะ) พงวิชสื่อจิตในใจ

“เพลงดาบคลื่นวารี เนมโมคุ” พงวิชชักดาบฟันออกมาอย่างเร็วจนเกิดคลื่นพลังน้ำโจมตีใส่ อสุเระก็ไม่รีบร้อนอะไรเขาแค่ชักดาบเล่มหนึ่งออกมาปักไว้ตรงหน้าของเขา เมื่อคลื่นดาบวารีโจมตีเข้าใส่ดาบของอสุเระ พลังของคลื่นวารีก็พุ่งกระจายออกเป็น 2 ทางผ่านตัวอสุเระไป พงวิชและเพื่อนๆทึ่งกับดาบเล่มนั้นทันที
“จบรึยัง หรือมีแค่นี้” อสุเระถาม พงวิชจึงโกรธมากและร่ายมนต์เรียกเซฟิออกมาพร้อมกับดาบ

“จัดการมันเลยเซฟิ” พงวิชสั่ง แล้วเซฟิก็บินพุ่งตรงเข้าไป
“Grand Slash” เซฟิชูดาบขึ้นจนมีพลังลมเปร่งออกมาจากดาบ อสุเระจึงใช้มือข้างหนึ่งจับดาบที่ปักไว้ แล้วเซฟิก็ฟันลง
“Jet-X” อสุเระชักดาบอีกเล่มหนึ่งออกมาพร้อมพุ่งเข้าฟันเป็นรูปกากบาทอย่างรวดเร็วแม้แต่การฟันอย่างรวดเร็วของเซฟิยังหลบและโจมตีสวนกลับได้ แล้วร่างของเซฟิก็สลายเป็นสายลม
“สงสัยจะกินอิ่มไป จุกเลย” อสุเระบ่นพึมพำ
“ออกแรงมากจนจุก คราวต่อไม่รอดแน่” พงวิชร่ายมนต์เรียกอีฟริตออกมา
“เผามันให้สิ้นซาก...” พงวิชกำลังจะสั่ง
“หยุดเถอะ พงวิช” ธิดาภาพูดห้ามขึ้น
“ไม่หรอก มันยังไม่จบแค่นี้หรอก มันต้องยิ่งกว่านี้” พงวิชบอก แล้วอีฟริตก็พุ่งเข้าไปพร้อมกับลูกไฟจำนวนหนึ่งที่วนอยู่รอบตัวมัน

“Flare Bomb” อีฟริตยิงลูกบอลไฟทั้งหมดโจมตีใส่ อสุเระ
“Cross Blade” อสุเระใช้ดาบทั้ง 2 ฟันลูกไฟจนขาดกระจายไปทั่ว แต่อีฟริตก็เร่งยิงลูกบอลไฟเข้าโหมใส่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพวกพงวิชก็ทึ่งมากกับลีลาของอสุเระที่เขาสามารถชักดาบอีก 2 เล่มออกมาโดยมือข้างหนึ่งนั้นจับดาบ 2 เล่มไว้และฟันลูกบอลไฟจนหมดสิ้น เมื่อเปลวเพลิงและควันไฟนั้นจางหายไป พวกพงวิชก็เห็นดาบทั้ง 4 เล่มของอสเระที่รุกโชดด้วยเปลวเพลิงและรอยยิ้มของเขา

“มันทำได้ไงวะ” พงวิชตกใจทันทีและถอยออกมาก้าวหนึ่งอย่างกลัว แล้วอสุเระก็ใช้ดาบ 2 เล่มในมือข้างหนึ่งกวักท้าทายพงวิช
“อีฟริต เรามาลุยไปพร้อมๆกันเลย” พงวิชสั่งแล้วทั้งคู่ก็ออกวิ่งตรงเข้าไปหาอสุเระ
“Fire Bird” อีฟริตใช้หมัดเพลิงอัดพุ่งเข้าตรงใส่เป็นรูปนกไฟยักษ์ที่พุ่งเข้าโจมตีเหยื่อ
“เพลงดาบสลายพลัง ไซกุเดน” พงวิชชักดาบพุ่งแทงใส่ร่างของเขาหลอมรวมไปกับเปลวเพลิงของอีฟริต พลังของเขาทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียว อสุเระจึงวิ่งเข้าปะทะกัน
“กงเล็บมังกร Dragon Claw” อสุเระชักดาบที่เหลืออีก 2 เล่มออกมาถือเป็นกงเล็บกระโดดพุ่งเข้าทะลุหมัดไฟของอีฟริตและใช้กงเล็บนั้นฟันทะลุผ่านออกมา เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเปลวไฟที่รุกไปทั่วร่างและค่อยๆดับลง แต่อีฟริตนั้นก็สลายเป็นเปลวเพลิง และพงวิชนั้นทรุดตัวล้มลงทันที
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะฆ่าใครทั้งนั้น ถือว่าแกโชคดีมาก ไอ้หนู เพราะฉันเพิ่งอิ่ม” อสเระบอกแล้วก็เก็บดาบทั้ 6 เล่มใส่ปอกและเดินจากไป

“นี่เราแพ้มันหรือเนี่ย” พงวิชเจ็บใจที่ตนเองนั้นแพ้จึงเอามือทุบลงบนพื้น แล้วพวกเพื่อนๆก็วิ่งเข้ามาหา
“เฮ้ย ไปท้ามันเองนี่ แพ้ซะหมดท่าเลย” แบมบูบอก
“พงวิช ไม่น่าไปยุ่งกับมันเลย” ตั้มจับไหลพงวิช แล้วตั้มก็ต้องดึงมือกลับทันที เพราะร่างของพงวิชนั้นร้อนเอามากๆจากการรวมพลังกับอีฟริต
“ร้อนขนาดนี้ หมอนั่นมันทนได้ไงวะ” ตั้มเป่ามือตัวเองทันที
“พงวิช” ธิดาภาพูดปลอบใจ
“หมอนั่น เก่งกว่าเจ้าลิงน้อยซะอีก” มาย่าบอก
“เขาก็เลยไม่ใช่เจ้าลิงน้อยของพวกเราอีกแล้วไง” อรนิชาบอก
“พงวิช ไปต่อเถอะ คนเราใช่ว่าจะแพ้หรือชนะกันตลอดหรอก สักวันเดี๋ยวเจ้าหมอนั่นมันก็แพ้คนอื่นไปเองแหละ” บุ๊คบอก แล้วพงวิชก็ทำใจได้จึงลุกขึ้นยืน และส่งยิ้มให้กับเพื่อนๆเพื่อให้รู้ว่าเขานั้นยังปกติไม่ได้โศกเศร้าเสียใจอะไรกับการดวลครั้งนี้
“ไปกันเถอะ” พงวิชบอกแล้วก็วิ่งนำออกไปทันที
“รอด้วยดิ ไปไม่รอเลย” ตั้มรีบวิ่งตามพงวิชไป พวกสาวๆก็หัวเราะกันเล็กๆกับพวกหนุ่มๆที่ดูแปลกคน แล้วพวกเธอก็เดินตามไป เหลือเพียงพัฟที่หันหลังกลับไปมองดูอสุเระที่เดินจากไป
“มังกรอสุเระ เหรอ นี่น่ะเหรอซามูไรในตำนาน” พัฟพูดพึมพำแล้วเธอก็วิ่งตามพวกพงวิชออกไป

------------------------------------------------------------จบตอนที่ 42----------------------------------------------
« Last Edit: October 23, 2005, 05:45:58 AM by Code Name ADA » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #40 on: October 23, 2005, 07:53:24 AM »

ตอน เส้นทางสู่ไดนาส

“ทำไมแกไม่จัดการพวกมันวะ” นันตะหวาดเสียงใส่น้องชายของตนด้วยความโมโห
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ มันมีชีวิตของพัฟเสี่ยงอยู่ ฉันไม่กล้าเสี่ยง อีกอย่างพวกมันก็ทำจริงด้วย ฉันทนเห็นมันใช้ดาบกีดไปบนร่างของพัฟไม่ได้ เลยต้องกลับมานี่ไง” ฮอนเน็ทบอก
“โถ่เว้ย มีน้องใจอ่อนแบบนี้ จะมีไปทำไมวะเนี่ย” นันกลุ้มใจทันที
“ใจเย็นๆ นัน อย่างน้อยน้องชายแกก็ยังอยู่” ทาร่อนบอก
“แล้วรู้มั้ยว่าพวกมันจะไปไหน” นันถาม
“เมืองที่ใกล้จากเวเอล่าก็มีเพียงเมืองไดนาสเท่านั้นที่ใกล้ที่สุด” ทาร่อนตอบ
“งั้นเอางี้ ฉันจะให้โอกาสแกไอ้น้องเฮงซวย ฉันจะให้แกแก้มืออีกครั้ง หากพลาดตัดความเป็นพี่น้องกันเลย แล้วคราวนี้แกไม่ต้องลุยด้วย แค่ค่อยเข้าเสริมเวลา ลูกน้องฉันพลาดก็พอ ยิววา ออกมาดิ” นันบอก แล้วพื้นที่พวกเขายืนอยู่นั้นก็มีกลุ่มเส้นผมสีดำขยายไปทั่ว แล้วก็มีมือพุ่งเข้ามาจับขานัน จนนันสะดุ้งสุดตัว
“จับห่าอะไรอีกวะ คนยิ่งหงุดหงิด” นันตะหวาดใส่
“ขอโทษค่ะ นายท่าน” เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นแล้วร่างของเธอก็ค่อยๆลอยขึ้นมา โดยเส้นผมบนพื้นพวกนั้นก็คือเส้นผมของเธอ เส้นผมเหล่านี้ปิดบังร่างกายของเธอจนมิด
“ที่ไดนาสจะมีประกวดใช่ปะ เธอแฝงตัวเข้าไปร่วมงาน หาโอกาสชิงลูกแก้วไฟมา และถ้ามีโอกาสก็จัดการไอ้ตัวแสบพวกนั้นด้วย” นันสั่ง แล้วยิววาก็เดินเข้ามาหานันใกล้ๆและขึ้นนั่งค่อมบนตักของนันและทำสายตาเย้ายวนใส่
“ค่ะ นายท่าน” ยิววาบอก นันแทบจะหลวมตัวหลงเสน่ห์ของเธอ เขาพยายามจะห้ามใจแต่เสน่ห์ร้ายแรงของเธอนั้นแรงจนเกินที่ห้ามใจได้
“เด็กห้ามดูนะ” ทาร่อนเดินเข้ามาด้านหลังฮอนเน็ทและเอามือปิดตาไว้ ก่อนที่ฮอนเน็ทจะเห็นภาพอันมิควร

“แบมบูแน่ใจนะว่าพามาถูก ทำไมแถวนี้มันร้อนขนาดนี้ละ แถมมองไปไกลๆก็เห็นภูเขาไฟเพียบเลย” ตั้มปาดเหงื่อทันที แต่แบมบูก็แค่พยักเหมือนตอบว่าใช่
“อิศรา พอมีเวทย์อะไรช่วยคลายร้อนได้บ้างมั้ย” พงวิชถาม
“ไม่มีอ่ะ มีแต่เวทย์มนต์ป้องกันพลังไฟ ไม่ใช่ป้องกันความร้อน” อิศราตอบ
“Cold Fog” พัฟร่ายเวทย์มนต์สร้างหมอกเย็นปกคลุมบริเวณรอบๆพวกเธอ ทำให้อากาศที่ร้อนนั้นเปลี่ยนกลับมาเย็นสบายปกติ
“เย็นขึ้นหน่อย” บุ๊คสูดอากาศอันเย็นสบายเข้าไปลึกสุดปอดและผ่อนคลายออกมา

แล้วสักพักพัฟก็เริ่มรู้สึกหมดแรงลงจนเดินต่อไม่ไหว จนล้มคุกเข่าลงกับพื้น
“พัฟ เธอเป็นอะไรมั้ย” ธิดาภาเดินย้อนกลับมาถาม และพวกเพื่อนๆคนอนื่ก็หยุดเดินและหันกลับมามอง
“พลังวิญญาณหนูใกล้จะหมดลงแล้วละ หนูต้องการลูกแก้ววิญญาณ ไม่งั้นร่างกายของหนูจะสลายไปในไม่ช้า” พัฟบอก พวกพงวิชตกใจทันที
“แล้วลูกแก้วที่ว่าจะหาจากที่ไหนกัน” พงวิชถาม
“พวกเธอคงไม่มีหรอก แต่ถ้าพวกเธอยอมพลังวิญญาณบางส่วนมาให้หนู หนูอาจจะพอมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก แม้มันจะไม่มากนัก แต่มันก็อาจจะให้หนูรอดไปถึงเมืองใกล้ๆได้” พัฟบอก
“พลังวิญญาณคืออะไร” พงวิชยังงงและสงสัย
“พลังวิญญาณคือ พลังของวิญญาณในร่างกาย หากร่างกายบาดเจ็บเมื่อไหร่ เราจะสูญเสียพลังวิญญาณเหล่านั้นไป หากพลังวิญญาณหมดลง ร่างกายก็จะตายทันที จำที่เจ้าเด็กนั่นควักลูกแก้วออกมาได้มั้ย นั่นคือลูกแก้ววิญญาณ มันใช้ทดแทนพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกายของมัน เพราะพลังของอีฟริตนั้นร้ายแรงจนทำให้เจ้าเด็กนั่นตายได้ แต่มันรู้ว่าต้องตายเลยใช้ลูกแก้วนั้นทดแทนพลังวิญญาณที่เสียไป” แบมบูอธิบายให้ฟัง แล้วก็เริ่มมีพลังบางอย่างค่อยๆลอยออกมาจากร่างของพัฟ
“หนูเริ่มจะไม่ไหวแล้ว” พัฟบอก
“จะเอาไงดีวะเนี่ย” พงวิชเริ่มลน
“ต้องแบ่งพลังวิญญาณของพวกเราให้ละ คนอย่างพวกเราแค่ได้พักพลังวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นเอง” แบมบูบอก
“งั้นใครจะแบ่งให้ละ” ตั้มถาม
“ฉันเอง” พงวิชบอกแล้วก็เดินตรงไปที่พัฟ
“แต่ว่า มันทำยังไงละ ไอ้วิธีแบ่งพลังวิญญาณเนี่ย” พงวิชงงขึ้นจนไม่รู้จะทำอะไร
“จูบ” พัฟเริ่มพูดเสียงที่แพร่วเบาลงเรื่อยๆ เพราะแรงของเธอที่ค่อยๆหมดลง แม้แต่ตาของเธอยังลืมตาไม่ขึ้น ร่างกายของเธอนั้นขยับไม่ได้ แต่คำพูดของเธอนั้น ทำให้พวกพงวิชนั้นตกใจกับคำพูด
“เฮ้ย ฉันทำเอง” บุ๊คพยายามจะเข้ามาแย่ง แต่พวกตั้มช่วยกันห้ามไว้ พงวิชจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ (โอกาสมาถึงแล้ว เย้า เย้า) พงวิฃนึกไปในใจ พวกเพื่อนๆต่างหันหลังไม่กล้ามอง แล้วเขาก็บรรจงจูบริมฝีปากของพัฟ แล้วเธอก็เริ่มดูดพลังวิญญาณของพงวิชเข้าไป แล้วพงวิชก็เริ่มได้ใจวางร่างของพัฟนอนราบไปกับพื้นและตนขึ้นค่อมร่างของเธอ ไม่นานนักร่างกายของพัฟก็เริ่มกลับมาแข็งแรงปกติ เธอจึงค่อยๆดันพงวิชออก
“ขอบคุณนะคะ ที่มอบพลังวิญญาณให้เยอะขนาดนี้” พัฟกล่าวคำขอบคุณ พวกเพื่อนจึงหันกลับมามอง
“เฮ้ย ถ้าให้หมดแกก็ตายเองนะ” แบมบูรีบหันมาบอกทันที
“ไม่รู้ซิ มันเริ่มง่วงๆไม่มีแรงแล้วอ่ะ” พงวิชบอกแล้วก็หลับลงทับบนร่างของพัฟ
“สงสัยจะให้ซะเกือบหมดเลย” ตั้มบอก
“อิจฉา ว้อย” บุ๊คบ่นแล้วก็เดินต่อไปทันที
“เฮ้ย แล้วใครจะแบกพงวิชไปวะเนี่ย” ปอนตะโกนเรียกบุ๊ค แล้วปอนกับแพ๊คก็ต้องมาหิ้วปีกพงวิชไป

 เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเขตภูเขาไฟ ลำธารน้ำเต็มไปด้วยลาวาร้อน
“อีกฟากของภูเขาไฟลูกใหญ่โน้นไง คือเมืองไดนาส” แบมบูชี้ให้ดู
“งั้นก็ออกเดินทางต่อเถอะ ขนาดมีหมอกเย็น ยังเริ่มร็สึกอุ่นๆร้อนๆเลย” ตั้มบอกแล้วพวกเขาก็เดินทางตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเห็นเหล่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในสภาพร้อนขนาดนี้ได้ บางตัวถึงกับสามารถลงไปว่ายเล่นในลาวาได้
“อีกนานมั้ยกว่าพงวิชจะฟื้น” ธิดาภาถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง ถ้าให้พอประมาณคงไม่เป็นแบบนี้หรอก แต่เจ้านี่มันให้ซะจนมันเกือบจะตายซะเองเนี่ย แค่วันสองวันเดี๋ยวก็ฟื้น” แบมบูตอบ
“ธิดาภา คิดยังไงกับเจ้าลิงน้อยในตอนนี้” อรนิชาถาม
“ก็คงจะนึกเสียใจที่ทิ้งเขามาจนเขาต้องตามหาเธอจนไปตายซะแบบนั้นละซิ” มาย่าพูดขึ้น
“อย่าพูดแบบนั้นซิ” อรนิชาตะหวาดใส่
“ใช่อย่างที่มาย่าบอกละ ฉันผิดเองที่ทิ้งเขามา ไม่งั้นพวกเราและเขาก็คงจะได้รอดมาคุยด้วยกันอยู่ในวันนี้” ธิดาภาพูดขึ้นทำให้เธอเริ่มเศร้าใจและรู้สึกผิด
“อย่าเศร้าไปซิ คนตายไปแล้วจะทำยังไงก็คงไม่กลับมาหรอก” พิชามนญ์บอก

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงภูเขาไฟลูกใหญ่ที่แบมบูบอก เส้นทางก็ตัดขาดหายไปทันที
“แบมบูแล้วไงต่อวะ” ตั้มถาม
“ไม่รู้ดิ เค้าจำไม่ได้แล้ว ไม่ได้มานาน สงสัยต้องกลับกันเถอะ” แบมบูตอบแล้วก็หันหลังเดินกลับทันที ตั้มจึงดึงเสื้อเอาไว้
“ถ้าไม่ไปต่อ ถีบตกลาวาจริงด้วย” ตั้มบอก
“ก็ได้ เค้าจะลองหาวิธีเข้าไปดู แต่ที่แน่ๆ เมืองไดนาสอยู่อีกฟากของภูเขาไฟนี้แน่นอน” แบมบูบอกแล้วก็มองดูไปรอบๆ
“แล้วทำไมไม่เดินอ้อมภูเขาไฟไปละ” บุ๊คถาม
“จะเอามั้ย” แบมบูตอบ แล้วเพื่อนๆก็พยักหน้า
“แต่ทางมันลำบากนะ หากเดินพลาดตกลาวาตายแน่นอน” แบมบูบอก
“สักทีเหอะ รีบหาทางเข้าไปในเมืองให้ได้ดิ” แพ๊คเริ่มบ่นออกมา
“อ๊ะนี่ไง มันมีสัญลักษณ์อะไรไม่รู้บอกอยู่ด้วย” แบมบูเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์บนพื้นภูเขาไฟลูกนี้
“ที่นี่พวกท่านไม่สามารถเข้าไปได้ ถ้าร่างกายพวกท่านนั้นมีอุณหภูมิไม่ถึง 40 องศา” อีฟริตปรากฏร่างออกมาตรงหน้าพวกเขาและบอก
“งั้นก็พอเดี๋ยวหมอกนี่หายไปก็คงเข้าไปได้เอง” บุ๊คบอกแล้วก็นั่งรอบนพื้นทันที
“ให้ข้าช่วยพวกท่านมั้ย” อีฟริตถาม
“เอาเล๊ย” แบมบูตอบ แล้วอีฟริตก็ลอยวนไปรอบๆกลุ่มของพวกเขาจนเร็วขึ้นเรื่อยๆและเกิดเป็นวงแหวนไฟ สลายหมอกเย็นไป พวกเขาเริ่มร้อนระอุขึ้นมาทันที
“พวกท่านรีบเข้าไปเถอะ ก่อนที่พวกท่านจะทนความร้อนไม่ได้ ทางข้างหน้าเป็นแค่ภาพลวงตา แต่ท่านจะผ่านไปได้ก็ต่อเมื่อมีอุณหภูมิ 40 องศาขึ้น” อีฟริตพูดเสร็จบุ๊ครีบลุกวิ่งผ่านเข้าไปคนแรกทันที แล้วคนอื่นๆก็รีบวิ่งตามเข้าไป

เมื่อพวกเขาเข้ามาด้านในก็เห็นด้านในของภูเขาไฟที่โล่งและกว้างมากๆ ด้านล่างของสะพานนี้เป็นแม๊กม่าที่ร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกคนก็แปลกใจมากที่ว่า ในนี้ควรจะร้อนมากๆ แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกร้อนอะไร แต่กลับเริ่มรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาแทน
“นั่นไง ประตูเมือง” แบมบูชี้ให้ดู แล้วพวกเดินก็เดินข้ามสะพานนี้ไปอย่างช้าๆไม่รีบร้อนอะไร
แต่เมื่อพวกเขาเดินไปได้ถึงกลางทางก็มีสิ่งบางอย่างพุ่งขึ้นมาจากแม๊กม่ามาตกลงบนสะพาน ปรากฎเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเปลือยทั้งร่างมีเพียงเปลวเพลิงที่รุกไหม้ปกคลุมส่วนสำคัญของเธอ ผมของเธอที่ยาวเป็นสีแดงส้มพริ้วไปมาราวกับเพลิงที่รุกไหม้อยู่ตลอดเวลา
“พวกท่านคงจะมาชมการประกวดหรืออาจจะมาประกวดละซิ” หญิงสาวคนนั้นถาม
“ใช่ พวกเราแค่มาดู” แบมบูตอบ
“งั้นโปรดเตรียมตัวรับ เปลวเพลิงอันเร้าร้อนก่อนชมการประกวดแล้วกัน” หญิงสาวผู้นั้นพูดเสร็จเธอก็พุ่งเป็นเปลวไฟผ่านพวกแบมบูและสลายไป
“นั่นใครกัน” บุ๊คถาม
“ไม่รู้ แต่ยังไงก็ไปกันเถอะ รีบไปหาจองที่พักในโรงแรมก็แล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวเต็ม ต้องไปนอนตามวิหารอีก” แบมบูตอบ แล้วพวกเขาก็เดินทางตรงเข้าเมืองไดนาส ผ่านประตูเมืองภูเขาไฟนี้ไป

-------------------------------------------------------จบตอนที่ 43------------------------------------------------
« Last Edit: October 23, 2005, 07:54:09 AM by Code Name ADA » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #41 on: October 29, 2005, 02:46:40 AM »

ไม่อยากให้มันเกิน 2 อาทิตย์เดี๋ยวขุดทีจะโดนว่าเอา
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน เต้นระบำไฟอันเร่าร้อน

หลังจากที่พวกพงวิชได้เดินผ่านประตูภูเขาไฟยักษ์เข้ามา พวกเขาก็เห็นบ้านเมืองและทิวทัศน์ในหุบเขาไฟอันนี้ที่สวยงามมาก เปลวเพลิงอันร้อนแรงแต่กลับไม่ทำให้ตัวของพวกเขานั้นรู้สึกร้อนใดๆ
“เอาไงต่อ แบมบู” ตั้มถาม แบมบูจึงหยุดและหันกลับมา
“เอาเป็นว่า เดินเล่นกันไปก่อนแล้วกัน เค้าจะไปจัดการเรื่องที่พักให้ เพราะงานประกวดนี่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ โอเค ไปเถอะ” แบมบูพูดเสร็จ พวกเพื่อนๆต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงพงวิชที่ยังหลับไม่ตื่น โดยเพื่อนๆลืมเขาไว้ที่จุดนั้น

เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาเขาก็พบว่าของเขานั้นกำลังยืนอยู่เหนือลาวาข้างล่างลึกลงไปไม่กี่เมตร ตัวของเขาเหมือนกับว่าลอยได้ เขาก็สนุกและตื่นเต้นกับการที่เขาลอยตัวได้ แต่สักพักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า
“ไงสุดหล่อ” หญิงสาวคนนั้นทักขึ้น ทันทีที่พงวิชเห็น เขาก็ตะลึงกับความงามของหญิงสาวผู้นั้น จนเขาพูดอะไรไม่ออก
“อยากไปเดินเล่นด้วยกันมั้ย” หญิงสาวผู้นั้นถามต่อ พงวิชก็พยักหน้าตอบทันที เธอจึงค่อยๆเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ

“พ..พง..ง..วิ..วิช” แม่ชีเกลวารีนพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันแพร่วเบา ซึ่งมีเพียงบุ๊คที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุดได้ยิน บุ๊คจึงหยุดเดิน
“มีอะไรเหรอบุ๊ค” ตั้มหันมาถาม
“แม่ชีคนนี้พูดถึง พงวิช” บุ๊คตอบ
“เออ ใช่ ลืมพงวิชไปเลย” แพ๊คพูดขึ้นและรีบวิ่งกลับไปหาพงวิชทันที

“Sonic Flame” หญิงสาวร่างไฟคนหนึ่งบินพุ่งเข้ามาขวางไว้และคลื่นไฟจำนวนมากโจมตีใส่ หญิงสาวที่เดินเข้ามาหาพงวิช จนเธอต้องถอยหลบออกไป
“นี่เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวร่างงดงามผู้นั้นถาม
“ห้ามแตะต้องชายผู้นี้เป็นอันขา” หญิงร่างไฟพูดด้วยเสียงอันแข็งแกร่งและทรงพลังจนหญิงสาวร่างงามนั้นหนักใจทันที สักพักหญิงสาวผู้นั้นก็ค่อยๆปล่อยรอยยิ้มออกมา
“โอ้ ใช่ซิ นึกได้ละว่านี่คือใคร ผู้ที่จะเข้ามาอำนาจของข้าได้นั้น ข้อแรกต้องไม่ใช่คนธรรมดา ข้อสองต้องมีพลังธาตุแรงกล้าบวกกับสถานที่นั้น เจ้าก็คือ เจ้าหญิงอันเร่าร้อนชานย่า ซินะ” หญิงสาวผู้นั้นบอกแล้วก็เดินวนไปรอบๆอย่างช้าๆ
“จงกลับไปซะ ไม่งั้นข้าจะเผาเจ้าให้ไหม้ด้วยไฟ 10,000 องศา” ชานย่าบอกแล้วเธอก็ปลดปล่อยพลังไฟบางส่วนออกมาจากร่าง
“งั้นเราไม่เริ่มเต้นกันเลยดีกว่า” หญิงสาวผู้นั้นพูดเสร็จร่างของเธอจากสตรีผู้งดงามเริ่มปรากฏร่างปีศาจที่แท้จริงของเธอออกมา พงวิชที่ยังตกอยู่ในมนต์สะกดของเธอนั้น ไร้ซึ่งความรู้สึกและเสียงใดๆ เขายืนอยู่นิ่งอยู่ตรงนั้น ชานย่าจึงร่ายคาถาบางอย่างเรียกลาวาจากข้างล่างพุ่งขึ้นมาล้อมร่างของพงวิชไว้
“เริ่มเลยซิ เจ้าหญิง” ปีศาจสาวตนนั้นท้า

“Dancing Flame” ชานย่าเริ่มหมุนตัวและปลายผมของเธอที่เป็นไฟนั้นสะบัดหมุนวนรอบตัวเธอ แล้วเธอก็บินพุ่งตรงเข้ามาและสะบัดเปลวผมอันยาวโจมตีใส่ แต่ปีศาจสาวนั้นชูแขนป้องกันขึ้นและเส้นผมอันดำนั้นพุ่งเข้ามาสานเป็นโล่ป้องกันไว้
“Hair Cage” ปีศาจสาวสร้างเส้นผมจำนวนมากพุ่งประสานล้อมร่างของชานย่าไว้ เส้นผมที่ดำบวกกับเสียงหัวเราะของปีศาจสาว ทำให้ชานย่านั้นสับสนว่า ตัวตนของปีศาจที่อยู่ข้างนอกกรงขังเส้นผมนี้อยู่ด้านไหน
“Fire Strike” ชานย่ายิงพลังไฟโจมตีใส่เส้นผมเหล่านั้นจนเส้นผมนั้นขาดสลายไป เธอจึงดีใจขึ้นมาเล็กๆ แต่แล้วเส้นผมเหล่านั้นก็ประสานรวมกันอีกจนไร้ช่อง
“ไงละ เจ้าหญิง จุดจบของเธอนั้น ข้ามีให้เลือกอยู่นะ ระหว่างยอมเป็นทาสของข้า หรือไม่ ก็ถูกเส้นผมของฉันนั้น รัดจนเจ้าหญิงตาย จะเอายังไง มีเวลาให้เลือกนะ” ปีศาจสาวตนนั้นบอก แล้วเส้นผมสีดำก็ค่อยๆหดลงบีบรัดเข้ามาเรื่อยๆจนกรงขังเส้นผมนี้เล็งลงเรื่อยๆ ชานย่าเริ่มหนักใจกับสภาพในตอนนี้ เธอเริ่มตั้งสติแล้วก็หลับตาลง จนสักพักชานย่าก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม จนปีศาจสาวนั้นยังงงและไม่เข้าใจว่า ทั้งๆที่ใกล้จะถึงจุดจบของตนแต่ยังยิ้มได้
“เธอนี่ชั่งไม่รู้อะไรเลย คิดเหรอเส้นผมเหล่านั้นจะฆ่าฉันได้ เสียใจด้วยนะ” ชานย่าบอก
“พูดอะไรของเธอ” ปีศาจสาวถาม
“ไฟอันเร่าร้อน เผาผลาญทุกอย่างจนหมดสิ้นด้วยไฟ 10,000 ฟาเรนไฮต์ Flare Spread” ชานย่าก้มตัวลงและก็ปลดปล่อยพลังไฟจำนวนมากเปร่งกระจายออกมาจนเผาไหม้เส้นผมทั้งหมดภายในครั้งเดียว ไฟอันร้อนระอุที่เผาไหม้เส้นผมจนกรงขังนั้นกลายเป็นกรงไฟไปหมด เสียงร้องอันเจ็บปวดของปีศาจสาวที่ดังขึ้นจนมันทนไม่ไหว และร่างของมันกระเด็นออกมาจากเปลวเพลิงมหาศาลนั้น ร่างกายนั้นมีรอยไหม้เต็มไปหมด และชานย่าก็ค่อยๆเดินออกมาผ่านเปลวเพลิงของเธอนั้น
“จบเสียที” ชานย่าบอกแล้วก็ยกมือขึ้นสร้างลูกพลังไฟขึ้นเหนือหัว
“ยังหรอก เจ้าหญิง มันยังไม่จบแค่นี้ เรายังคงต้องเจอกันอีก” ปีศาจตนนั้นพูดเสร็จร่างของมันก็สลายหายไป แล้วพงวิชก็ถูกคลายจากมนต์สะกดของปีศาจ เขามองไปรอบๆแล้วก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น
“พงวิช” เสียงที่เรียกชื่อเขานั้นดังขึ้นอยู่ในหูทุกขณะ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจอะไรนัก เขามองไปเห็นหญิงสาวที่มีเปลวเพลิงรุกขึ้นบนร่างของเธอ เขาพยายามจะเดินเข้าไปหาแต่เขาก็เห็นหมัดอันหนึ่งพุ่งเข้าใส่หน้าของเขา
 
“ตื่นซะทีซิวะ” บุ๊คตะโกนใส่ แล้วพงวิชก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
“ใครต่อยวะ” พงวิชถามแล้วก็เอามือข้างหนึ่งลูบไปบนใบหน้า
“เราเองแล้วจะทำไม” บุ๊คตอบ
“พงวิช ไมนอนไม่ตื่นเลยวะ” ตั้มถาม
“ไม่รู้ดิ สงสัยเมื่อกี๊จะฝันไป” พงวิชตอบ
“เอาเหอะ จะฝันห่าอะไรก็เชิญ ทำซะเป็นห่วงหมด เร็วลุก” บุ๊คบอกแล้วพวกเพื่อนก็เดินจากไป พงวิชจึงลุกขึ้นและวิ่งตามไปทันที

“นั่นไง แบมบู” ตั้มชี้แล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปหา
“ไงแบมบู เป็นไงเรื่องที่พัก” ตั้มถาม
“ไม่หวังวะ เขาบอกว่า เต็มตั้งแต่เมื่อวาน เค้าเลยออกมาตามหาพวกนายนี่ไง” แบมบูตอบ
“แล้วจะทำยังไงดีละหว่า” บุ๊คถาม
“ไม่รู้เว้ย ไปนอนตามวิหารก็แล้วกัน” แบมบูบ่นขึ้น
“ราชินีเสด็จ” เสียงทหารผู้หนึ่งประกาศดังไปทั่ว ชาวบ้านต่างรีบออกมาหน้าบ้านกันและตั้งแถวรับเสด็จ พวกพงวิชที่ยังยืนงงอยู่นั้นก็ไม่รู้ว่าพวกชาวบ้านกำลังทำอะไรกัน

แล้วก็มีทหารจำนวนมากเดินนำหน้ามา
“พวกเจ้ากล้าดียังไงมาขวางทางเสด็จขององค์ราชินี” ทหารนายหนึ่งเอาหอกชี้หน้าพวกพงวิช
“พวกเราไม่รู้จริงๆครับ โปรดยกโทษให้ด้วย” แบมบูรีบตอบทันที
“ทำไมต้องหลบ” พงวิชพูดขึ้น ทำให้แบมบูและเพื่อนๆตกใจทันทีที่ได้ยินพงวิชพูดแบบนั้น
“กล้ามากนะ งั้นจับมันไปตัดหัว” ทหารนายนั้นสั่งแล้วก็มีพวกทหารวิ่งมาล้อมพวกพงวิชไว้
“ช้าก่อน” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกพงวิช แล้วพวกทหารก็หลีกทางให้ พวกพงวิชจึงหันกลับไปดู เห็นสาวคนหนึ่งยืนอยู่
“ท่านจะนำพวกเขาเหล่านี้ไปลงโทษไม่ได้” หญิงสาวคนนั้นบอก
“ทำไมละ องค์หญิง” ทหารนายนั้นถาม
“นี่น่ะเหรอ องค์หญิง” พงวิชกระซิบเบาๆ เพราะการแต่งกายและท่าทางของเธอนั้นดูไม่เหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์เลย
“พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน ท่านจะนำไปลงโทษไม่ได้เด็ดขาด” เจ้าหญิงชานย่าตอบ พงวิชจึงได้ใจเลยหันกลับไปหาทหารนายนั้น
“เป็นไงละ อยากตายรึไง ถึงมาสั่งแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ” พงวิชเยาะเย้ยใส่
“พวกท่านโปรดหลีกทางให้กับขบวนเสด็จของท่านแม่ด้วย ไม่งั้นหากเป็นคำสั่งของท่าแม่แล้ว ฉันเองก็ช่วยท่านไม่ได้” เจ้าหญิงชานย่าบอก แล้วพวกตั้มรีบลากพงวิชหลีกทางให้กับขบวนเสด็จทันที

เมื่อขบวนเสด็จนั้นผ่านไป ชาวบ้านต่างก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ
“ทำไมถึงช่วยพวกเราละ เจ้าหญิงชานย่า” แบมบูถาม
“ไม่รู้ซิ ฉันเองก็ไม่อยากเห็นใครมาตายในเมืองของฉันละมั้ง” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“เอ... คุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” พงวิชบอกแล้วพยายามมองหน้าของเจ้าหญิงชานย่าอย่างชัดๆ แต่เจ้าหญิงชานย่าก็พยายามหลีกหน้าหนี
“พงวิช ทำไรวะ” ตั้มถาม
“ไม่ใช่ จริงด้วย” พงวิชตอบ
“ฉันไม่เคยเจอพวกท่านมาก่อน เพราะฉะนั้นเราคงไม่รู้จักกันมาก่อนหรอก” เจ้าหญิงชานย่าบอก
“นั่นไง พวกสาวๆมากันละ” บุ๊คบอก แล้วพัฟกับโลโล่ก็วิ่งเข้ามาหา
“อ้าว แล้วคนอื่นละ” พงวิชถาม
“ขอโทษนะคะ คือพวกเธอบอกว่าจะขอเดินทางต่อ” โลโล่ตอบ
“ส่วนเราสองคนก็คิดว่าจะไปกับพวกเธอด้วย แต่เพียงแค่มาบอกลาเท่านั้น” พัฟบอก
“เดี๋ยวซิ แล้วใครจะท่องคาถาโบราณช่วยแม่ชีคนนี้ละ” แบมบูถาม
“หนูคิดไว้แล้วว่า พวกคุณต้องพูดแบบนี้ ก็เลยเขียนคาถาไว้ให้ ลองฝึกดูนะคะ เดี๋ยวก็จะท่องคาถาได้เอง” โลโล่ตอบ
“ไม่เป็นไร ฉันพอรู้จักคนคนหนึ่ง พูดภาษาโบราณเป็น” เจ้าหญิงชานย่าบอก
“งั้นดีเลย เอาเถอะ เธอ 2 คนไปเถอะ เราไม่จับตัวไว้แล้วละ” ตั้มบอก พวกเธอจึงวิ่งจากไปทันที
“แล้วเอาไงต่อละ ที่พักก็หาไม่ได้” บุ๊คถาม
“ไม่เป็นไร พวกนายเป็นเพื่อนฉันแล้วนี่ เข้าไปพักในพระราชวังก็ได้ ตามมาเลย” เจ้าหญิงชานย่าบอกแล้วก็เดินตรงไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลออกไป พวกพงวิชก็เดินตามไปทันที

“เอาล่ะ คืนนี้พวกนายนอนทีนี้แล้วกันนะ” เจ้าหญิงชานย่าเปิดประตูของพักของพวกพงวิชภายในคฤหาสน์ของเธอ
“โอ้โห มันจะใหญ่อะไรขนาดนี้” พงวิชตะลึงกับความยิ่งใหญ่
“ขอถามนิดนะเจ้าหญิง ทำไมเจ้าหญิงถึงแต่งตัวแบบนั้นละ” แบมบูถาม
“ฉันชอบออกไปเที่ยวเล่นเสมอ ไม่ชอบอยู่แต่ภายใน ก็เลยแต่งตัวแบบสบายๆ” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“แล้วที่เขาลือกันว่า ในงานประกวดพรุ่งนี้ เจ้าหญิงจะลงประกวดด้วยจริงหรือ” แบมบูถามต่อ
“นั่นมันก็จริงอยู่ แต่ฉันก็บอกท่านแม่แล้วว่า อย่าตัดสินแบบเข้าข้าง ให้การประกวดครั้งนั้น ผู้ชมเป็นคนตัดสิน” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“ขอแทรก ในคฤหาสน์กว้างขนาดนี้ อยู่คนเดียวเหรอ” พงวิชพูดแทรกขึ้น
“ไม่หรอก ก็จะมีพ่อบ้านและแม่บ้าน มาทำความสะอาดอยู่เกือบตลอดเวลา และมีทหารยามเฝ้าอยู่รอบๆ แล้วก็เหล่าอัศวินที่ทำหน้าที่คุ้มครองท่านแม่โดยตรงอีก 2 คน ซึ่ง 2 คนนั้นพวกนายอย่าไปยุ่งอะไรกับพวกเธอมากนักนะ พวกเธอไม่ชอบคนแปลกน่านัก สุดท้าย เย็นนี้จะไปร่วมทานอาหารกับฉันมั้ย แล้วจะไปทานอาหารข้างนอกหรือในพระราชวังหลวงของท่านแม่” เจ้าหญิงชานย่าถาม
“โย้ว โย้ว อาหาร กินที่ไหนก็ได้” บุ๊คตอบ เจ้าหญิงชานย่าก็หัวเราะทันทีที่เห็นท่าทางของบุ๊คเวลาที่ดีใจ
“ข้างนอกแล้วกัน พวกเราคนธรรมดาไม่กล้าไปใกล้ชิดสนิทกับองค์ราชินีหรอก” ตั้มตอบ
“งั้นตกลงตามนี้นะ เย็นนี้เจอกันที่ ร้านราดหน้าพี่หมูสูตรเด็ด แล้วกัน ฉันไปละ ถ้ามีอะไรก็ถามพ่อบ้านโพทัสได้ คนที่แก่ๆหน่ะ มีอยู่คนเดียวในคฤหาสน์นี้” เจ้าหญิงชานย่าพูดเสร็จก็เดินกลับออกไปจากคฤหาสน์ของตน

-----------------------------------------------------จบตอนที่ 44---------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #42 on: October 29, 2005, 10:58:08 PM »

เนื่องจากตอนนี้มันมีตัวละครในเนื้อเรื่อง Summoner หลักมาเกี่ยวกับ อยากจะถามว่า จะเอามาดัดแปลงแต่งใส่เนื้อเรื่องนี้ดีมั้ย ถ้าไม่จะได้ไม่หามาใส่อีก จะได้แต่งขึ้นเอง ไม่ต้องมีดึงตัวละครจากเนื้อเรื่องหลักมาเกี่ยวข้อง (ช่วยตอบหน่อยเหอะ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน สายฟ้า ปะทะ แสงไฟ

หลังจากที่ผ่านพ้นหุบเขาไฟมาได้ พวกสาวๆต่างก็เริ่มมีสีหน้าที่ไม่ดีกันเท่าไรนัก ทุกคนต่างเงียบไม่พูดจาอะไรกันเลย
“นี่ ธิดาภา ทำไมพวกเราถึงต้องรีบออกเดินทางกันต่อละ ทำไมไม่รอไปพร้อมๆกับพวกกลุ่มนั้น” มาย่าถาม
“ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงหรือเป็นภาระให้กับพวกเขาหรอก ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่พวกเธอก็ตาม ฉันอยากจะไปคนเดียวด้วยซ้ำไป” ธิดาภาตอบพร้อมกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก
“ถ้าเธออยากจะไปก็เชิญไปเลย ในเมื่อเธอคิดแบบนั้น” มาย่าพูดอย่างเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นใส่ ทำให้ธิดาภาตกใจกับคำพูดนั้นและหยุดหันหลังกลับมา
“มาย่า” เธอมองดูสีหน้าของมาย่าที่โกรธกับความคิดของเธอ
“เธออยากจะไปก็เชิญไปเลย และโปรดจำไว้ด้วยว่า ความตายเท่านั้นที่จะพากความเป็นเพื่อนของเราได้ ฉันไม่ได้โกรธเธอ แต่ฉันอยากให้เธอทำตามใจที่เธอคิดซะบ้าง ในเมื่อเธอต้องการไปคนเดียวก็เชิญเลย” มาย่าบอก
“มาย่า มันจะรุนแรงไปรึเปล่า” อรนิชาถาม
“ไม่หรอก ระยะมันตัดขาดความเป็นเพื่อนของพวกเราไม่ได้ แต่การที่พวกเราอยู่ร่วมกันแบบนี้ ฉันเองรู้ดีว่า พวกเราทุกคนก็อยากอยู่ในแบบที่พวกเราคิดไว้ แม้แต่ตัวฉัน หรือพวกเธอ มีสิ่งที่ฝันที่อยากจะทำ แต่พวกเรายอมทำเพื่อเพื่อน ถ้าหากพวกเรายังคงอยู่แบบนี้ต่อไป มันก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก” มาย่าบอก

และในขณะที่พวกสาวๆกำลังเศร้าใจกับเรื่องที่พวกเธอพูดกัน ก็มีกงเล็บพิฆาตพุ่งหมายฆ่าชีวิตของพวกเธอ
“ระวัง” พัฟที่รู้สึกถึงการโจมตีนั้นพูดเตือนขึ้นและชี้ทางโจมตีนั้น ทำให้พวกเธอหลบการโจมตีนั้นได้ทัน พวกสาวจึงชักอาวุธออกมาตั้งท่าสู้เตรียมพร้อมไว้
“แกเป็นใคร” มาย่าถาม แล้วชายที่มีแขนข้างซ้ายทั้งแขนเป็นสนับกงเล็บขนาดใหญ่ก็ค่อยๆลุกขึ้นและหันมา
“จะรู้ไปทำไม ในเมื่อรู้ไป ที่สุดพวกเธอก็ต้องตายอยู่ดี ให้รู้แค่ว่า ฉันเป็นนักฆ่า ก็พอ” ชายคนนั้นบอกแล้วก็มองดูเรียวแขนเหล็กของเขา
“แล้วถ้าพวกเราอยากจะรู้ก่อนที่แกจะตายแทนละ” พัฟถาม
“งั้นก็ได้ ข้าชื่อ ฟาริด กงเล็บอเวจี ถ้าเทียบในบรรดาเหล่านักฆ่าแล้ว ถ้าไม่นับพวกนักฆ่าชั้นยอดที่หายสาบสูญและที่ถูกจับ ข้านี่แหละคือนักฆ่าอันดับหนึ่ง” ฟาริดตอบเสร็จก็พุ่งเข้าโจมตีใส่อย่างรวดเร็ว พิชามนญืที่ไม่ทันระวังตัวนั้นถูกโจมตีจนเธอนั้นเสียหลัก แต่เธอรีบกลับมาตั้งรับได้อย่างปกติ จนฟาริดนั้นถีบเธอจนล้มลงไปและชูแขนซ้ายขึ้นจะสังหารพิชามนญ์ในทันที

“Black Thunder” มาย่าร่ายเวทย์สายฟ้าดำฟาดใส่ฟาริดจนกระเด็นออกไป
“ขอบใจนะมาย่า” พิชามนญ์บอกแล้วก็ลุกขึ้น
“Hero Wall” ธิดาภาร่ายเวทย์มนต์สร้างบาเรียให้กับพวกเธอทั้งกลุ่มเพื่อป้องกันทำให้อาวุธที่จะโจมตีพวกเธอนั้นต้องออกแรงเป็น 2 เท่าเพื่อผ่านบาเรียเข้ามา แล้วฟาริดก็ค่อยลุกขึ้นมา พอเขาตั้งหลักได้ก็มองมาที่พวกเธอด้วยสายตาดั่งเพชฌฆาตอันน่ากลัว แล้วฟ้าก็ผ่าดังลั่นไปทั่วก่อนที่ฝนจะค่อยๆตกลงมา
“บาเรียพวกนั้นช่วยอะไรไม่ได้หรอก” ฟาริดบอกแล้วเขาก็ชูแขนซ้ายขึ้นแล้วก็ต่อยลงใส่พื้น สักพักก็มีแท่งดินแหลมจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้นโจมตีใส่พวกเธอ
“Ice Land” พัฟร่ายเวทย์มนต์สร้างลานน้ำแข็งเคลือบพื้นดินป้องกันพลังของฟาริดไว้
“ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส” โลโล่เรียกไวท์ไทเกอร์ออกมา แล้วมันก็พุ่งเข้าโจมตีใส่ฟาริดทันทีที่ออกมา
“ไปตายซะให้แมวบ้า” ฟาริดใช้หมัดเหล็กของเขาอัดใส่เจ้าแมวน้อยจนกระเด็นออกไป (เชื่อมั่นในตัวของมัน) เสียงของมาร์คัสดังขึ้นมาในจิตใจของเธอ แล้วไวท์ไทเกอร์ก็ลอยนิ่งค้างไว้อยู่ตรงนั้น
“ทีนี้ตาพวกเธอเตรียมตัวตายกันได้เลย” ฟาริดชี้หน้าใส่ แล้วเจ้าแมวน้อยก็ก้มหัวมุดตัวขดเข้าหากันจนกลม แต่ฟาริดนั้นไม่สนใจเขาวิ่งตรงเข้าโจมตี ทันใดนั้นก็สีแสงสว่างเปร่งออกมาจากเจ้าแมวน้อยมากจนทุกคนในบริเวณนั้นยังต้องเอามือและแขนบังแสงนั้นไว้

หลังจากที่แสงนั้นดับลงฟาริดก็ลดแขนของเขาลง เขาแทบตะลึงเบื้องหน้าของเขาเป็นสิงโตขนาดใหญ่มีปีกนกสีขาวปลายขนสีรุ้ง ขนคอที่พองเป็นสีรุ้ง มันยืน 2 ขาคำรามดังลั่นไปทั่วบวกกับเอามือทั้งสองข้างของมันตบไปมาบนหน้าอกแสดงความน่ากลัวออกมาให้ฟาริดเห็น จนฟาริดนั้นตกใจกลัวและเสียขวัญจนต้องถอยออกห่าง
“เจ้าแมวน้อย สู้ๆ” มาย่าพูดขึ้นอย่างดีใจ
“เราต้องไม่กลัวมัน สัตว์ประหลาดแบบนี้เราก็เคยชนะมาอยู่มากมายหลายหลากแล้วนี่ ทำไมเราต้องกลัวมันด้วย” ฟาริดพูดขึ้นเตือนใจตนเอง แล้วสักพักเขาก็ตัดความกลัวทิ้งออกไป เขาพุ่งกระโจนเข้าโจมตีใส่
“คิดผิดแล้วเจ้ามนุษย์” เสียงของสิงโตตัวนั้นพูดออกมาทำให้ทุกคนยังตกตะลึงว่าสิงโตตัวนั้นสามารถพูดได้ แต่ฟาริดไม่สนใจเขาใช้กงเล็บโจมตี
“Beo Light” สิงโตตัวนั้นใช้หมัดซ้ายง้างขึ้นฟ้าแล้วต่อยลงใส่ฟาริด เกิดพลังระเบิดแสงสีรุ้งพุ่งขึ้นจากฟื้นเป็นวงกว้างขนาดใหญ่ แล้วร่างของฟาริดก็กระเด็นออกไปอย่างหมดสภาพ
“ไม่น่าเชื่อว่า เจ้าแมวน้อยจะพัฒนาร่างได้ด้วย” โลโล่ดีใจกับผลงานที่เธอทำขึ้น
“ฉันจะคุ้มครองพวกเธอเอง” สิงโตตัวนั้นหันหน้ามาบอก คำพูดของสิงโตนั้นสะเทือนเข้าลึกลงไปในจิตใจของธิดาภา แล้วฟาริดก็ลุกขึ้นพร้อมกับหัวเราะเหมือนเขานั้นได้บ้าไปแล้ว
“งั้นมาทำเรื่องให้มันจบเลยดีกว่า” ฟาริดบอก สิงโตตัวนั้นจึงบินพุ่งเข้ามาใช้มือกำร่างของฟาริดไว้แล้วก็เหวี่ยงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“Rainbow Burst” สิงโตตัวนั้นใช้มือทั้งสองข้างชาร์ตพลังจนเกิดแสงสีรุ้งค่อยๆสว่างขึ้นในมือทั้งสองข้างแล้วก็ประสานมือทั้งสองข้างยิงพลังเข้าโจมตีใส่ฟาริด

“Crisis Claw” ฟาริดพุ่งลงมาจากฟากฟ้าด้วยความเร็วเหนือแสงปรากฏเห็นเงาลางๆสีแดงของเขาที่พุ่งลงมา เขาง้างแขนซ้ายเตรียมสังหารธิดาภา
“ธิดาภา” มาย่าเอาตัวของเธอวิ่งเข้ามารับการโจมตีของฟาริดแทน กงเล็บเหล็กอันแหลมคมของฟาริดนั้นแทงทะลุของมาย่า
“มาย่า” ธิดาภารีบประคองร่างของมาย่าทันที ส่วนฟาริดนั้นง้างกงเล็บขึ้นกะสังหารพวกเธอไปทั้งคู่ ไวท์ไทเกอร์ร่างพัฒนารีบบินพุ่งมาที่ฟาริดแต่ระยะทางนั้นมันชั่งห่างไกลอยู่ ซึ่งมันคงจะไม่ทันแน่ พวกเพื่อนๆเธอของเธอต่างก็รีบวิ่งเข้าขัดขวางไว้ แต่แล้วฟาริดก็สับกงเล็บลงใส่
“สายฟ้าแห่งการทำลายร้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด Thor Hammer” สายฟ้าที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วนั้นอัดใส่ฟาริดอย่างแรงจนกระเด็นออกไป แล้วเสียงที่พวกเธอได้ยินนั้นรู้ทันว่านั่นคือ
“มาร์คัส” ธิดาภาเงยหน้าขึ้นมองดู แต่เธอกลับต้องผิดหวังในเมื่อชายที่อยู่ตรงหน้าที่มาช่วยเธอนั้น ไม่ชายที่เธอนึกไว้
“ฉันบอกว่า ไม่รู้จักคนที่ชื่อ มาร์คัส และฉันก็ไม่ใช่เขาคนนั้นเด็ดขาด แต่จากที่เธอคิดไว้แบบนี้ ฉันพอจะรู้ว่า เขาคนนั้นคงจะเป็นฝาแฝดกับฉันซินะ” อสุเระพูดเสร็จฟ้าก็ผ่าลงมา ฝนก็เริ่มกระหน่ำตกลงมาแรงขึ้น
“ส่วนเจ้าคนนั้นฉันจะแก้แค้นให้พวกเธอเอง ส่วนเรื่องชายที่เธอพูดถึง ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะบอก แต่ไว้หลังเสร็จจากงานนี้ก่อน ไวท์ไทเกอร์ คุ้มครองพวกเธอด้วย ฉันจะตัดสินกับมันเอง” อสุเระพูดเสร็จก็ชักดาบทั้ง 3 เล่มที่อยู่ข้างขวาของเขาออกมาจับเป็นกงเล็บในมือข้างซ้าย
“แกเป็นใครไม่สน แต่ขอโทษเถอะ ฉันมันไม่ใช่นักฆ่ากระจอกๆหรอกรู้ไว้ซะ” ฟาริดลุกขึ้นมาแล้วก็ปลดปล่อยพลังไฟออกมาที่ปลายกงเล็บของเขา

“ตัดสินครั้งเดียวไปเลย อย่าหมายให้ฉันหรือแกนั้นรอดจากการโจมตีครั้งนี้” อสุเระบอก
“แกเตรียมตัวนอนได้เลย” ฟาริดพูดเสร็จแววตาของเขาก็เปร่งประกายไฟออกมาให้เห็น อสุเระจึงใช้มือขวาเปิดตาข้างขวาของเขาที่ปิดไว้ออก แต่พวกสาวๆนั้นไม่สามารถเห็นดวงตาที่แท้จริงของชายคนนั้นได้ แล้วดาบทั้ง 3 เล่มของเขาก็ค่อยเปร่งแสงสีฟ้าออกมาและค่อยๆมีประกายไฟฟ้าปรากฏขึ้นบนดาบของเขา
“หมัดเหล็กมหาเพลิง พญามารแห่งไฟ Deimos Hand” ฟาริดปลดปล่อยไฟออกมาจนร่างกายของเขามีแต่เปลวไฟ
“กงเล็บเปลวฟ้าเพลิงพสุธา Blue Blaze” อสุเระวิ่งกางกงเล็บเป็นใบพัดและหมุนควงเข้าไป และฟาริดต่างวิ่งเข้าปะทะกัน เมื่อทั้งคู่เข้าปะทะกัน อสุเระก็ใช้มือซ้ายบีบดาบทั้ง 3 เล่มกลับเข้ามาเป็นกงเล็บดังเดิมแล้วมีพลังบางอย่างถูกยิงจากมือของเขาไปสู่ปลายกงเล็บ หลังจากที่ทั้งคู่ได้วิ่งผ่านไปแล้วนั้น พลังของทั้งสองก็สลายไป

ฟาริดก็หัวเราะขึ้นทันทีเขามองดูกงเล็บเหล็กของเขาที่มีเลือดเปื้อนอยู่เต็ม ทำให้พวกสาวๆที่ยืนดูอยู่นั้นตกใจทันที แล้วอสุเระก็ล้มคุกเข่าลง
“ลาก่อน” อสุเระก็เก็บทั้ง 3 เขาใส่ปอก แล้วฟาริดที่หัวเราะนั้นก็มีเลือดพุ่งออกมาจากตามร่างมากมายแล้วฟาริดก็ตายลงในทันที แล้วอสุเระก็ลุกขึ้นพร้อมกับดึงผ้ามาปิดตาข้างขวาก่อนที่จะหันหลังกลับมา

“มาย่า ฟื้นซิ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ” ธิดาภาพยายามจะเรียกมาย่าให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
“ธิดาภา ฉันจะต้องอยู่เป็นเพื่อนกับเธอต่อไปให้ได้” มาย่าบอก
“รีบพาไปยังหมู่บ้านอินเดท ตามหาชายที่ชื่อ วิรัส เขาสามารถช่วยคนที่ตายเมื่อเกิน 7 วันนั้นกลับมามีชีวิตได้” อสุเระบอก
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยไว้ แต่พวกเราไม่รู้ว่าหมู่บ้านนั้นอยู่ที่ไหน ช่วยนำทางไปได้มั้ยคะ” อรนิชาถาม
“ไปตามทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 4-5 กิโลเมตรก็จะเจอ ฉันคงไปกับพวกเธอไม่ได้ แต่ฉันมีบางอย่างอยากจะให้เธอคนนี้ไปกับฉันด้วย” อสุเระตอบและก็เดินจากไป
“ฉันน่ะเหรอ” ธิดาภาถาม
“ไปเถอะ ธิดาภา ไปตามหาเจ้าลิงน้อยของเธอเถอะ ส่วนมาย่าพวกเราจะดูแลให้เอง” อรนิชาบอกแล้วไวท์ไทเกอร์ร่างพัฒนาก็ช้อนร่างของมาย่ามาอยู่ในอุ้งมือ แล้วพวกสาวๆที่เหลือก็ขึ้นหลังของมัน ธิดาภาที่ยังกังวลเป็นห่วงเพื่อน แต่ในเมื่อเพื่อนๆนั้นยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเธอนั้นได้ไปตามทางของเธอ เธอเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธความหวังดีจากเพื่อนได้ แล้วเธอก็วิ่งตามอสุเระไป

--------------------------------------------------------จบตอนที่ 45--------------------------------------------------
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #43 on: October 31, 2005, 12:21:41 AM »

45 ตอนแล้วรึ เร็วมาก
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #44 on: November 06, 2005, 12:54:12 AM »

ตอน โลกที่ 4

“นี่ แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน ฉันใช้จิตสื่อถึงคนอื่นไม่ได้เลย” มาร์คัสถาม
“ที่นี่คือโลกที่ท่านพ่อสร้างไว้ให้เราสองคนไงพี่ชาย อยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กจำไม่ได้หรือ” แอริสตอบแล้วก็ยกถาดคุ๊กกี้มาวางที่โต๊ะ
“ท่านพ่อเหรอ ท่านพ่อเป็นใครกัน แล้วพี่จะไปจากที่นี่ได้อย่างไร โลกทั้งใบมีเพียงเราสองคนเองเหรอ” มาร์คัสถาม แล้วแอริสก็หยิบคุกกี้ขึ้นมากินพร้อมกับนมร้อนๆ จากนั้นเธอก็ยื่นคุกกี้ให้พี่ชายของเธอได้ลองชิม มาร์คัสก็รับคุกกี้นั้นมาชิม
“หนูทำเองกับมือเลยนะคะ” แอริสบอกแล้วก็ยื่นนมร้อนๆให้
“หนูเองก็ไม่ได้เจอท่านพ่อมานานแสนนานแล้วละ ส่วนเหตุผลที่ท่านพ่อสร้างโลกนี้ขึ้นมา ก็คงจะเป็นเหตุผลที่หนูเองนั้นสามารถมองเห็นอนาคตของคนคนนั้นได้เพียงแค่สัมผัส ความสามารถของหนูนี้ท่านพ่อคงคิดว่าหากไปอยู่ในมือของใครสักคน มันอาจจะทำให้เกิดเหตุเลวร้ายได้ ส่วนโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงเราสองคนหรอกนะ ยังมีเหล่าเทพบางองค์อยู่ที่นี่ รวมทั้งโลกนี้เป็นสถานพักผ่อนของเทพด้วย ทั้งสวนดอกไม้แพนโดร่า สระน้ำโพไซดอน และอื่นๆ” แอริสเล่าให้ฟัง แล้วสักพักเธอก็ตกใจเมื่อเห็นคุกกี้ในถาดนั้นหมดเกลี้ยงทันที
“พี่กินหมดเลยเหรอ” แอริสถาม
“ก็มันอร่อยดี ไม่ยักรู้ว่าเธอทำขนมได้อร่อยขนาดนี้” มาร์คัสตอบ
“พี่อ่ะ แย่งหนูกินหมดเลย” แอริสน้ำตาคลอทันที มาร์คัสเห็นแล้วก็ตกใจทันที
“อ่ะขอโทษเดี๋ยวจะไปทำให้ใหม่” มาร์คัสบอกแล้วก็รีบถือถาดคุกกี้วิ่งเข้าไปในครัว

ไม่นานนักมาร์คัสก็รีบวิ่งออกมาพร้อมกับถาดคุกกี้
“เชิญรับประทานให้อร่อยเลยนะ” มาร์คัสวางถาดคุ๊กกี้
“ไม่เอาพี่ต้องกินก่อน หนูไม่ไว้ใจในฝีมือของท่านพี่” แอริสพูดเสร็จมาร์คัสก็สะดุ้งตกใจและเหงื่อแตกทันที
“ถ้าพี่ไม่กิน หนูจะไม่บอกวิธีออกไปจากโลกนี้แน่นอน” แอริสบอก
“ได้ ได้” มาร์คัสปาดเหงื่อแล้วก็หยิบคุกกี้ขึ้นมา 1 ชิ้น เขาจดจ้องมองดูคุกกี้ที่เขาทำอย่างน่ากลัว (อาหารเราก็ไม่เคยทำ สัดส่วนเราก็ไม่รู้ ยิ่งกว่ายาพิษอีก ถ้ากินถึงตายแน่) มาร์คัสพูดกับตัวเองไปในใจ แล้วเขาก็หลับตาอ้าปาก
“งั้นหนูกินเอง” แอริสรีบคว้าคุกกี้ในมือของมาร์คัสมากินทันที มาร์คัสตกใจจนหน้าซีด แล้วสักพักแอริสก็เริ่มมีอาการเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นภายใน
“เกิดอะไรขึ้น” มาร์คัสรีบเข้ามาพยุงไว้
“พี่ใส่ซอสพิษขวดสีเขียวที่ตั้งไว้ในลังไม้หรือเปล่า” แอริสถาม
“พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้ว่ามันคือขวดอะไร ทำใจเอาไว้ดีๆนะ” มาร์คัสบอก
“ยาพิษนั้นรักษาไม่ได้ ลาก่อน พี่ชาย...” เมื่อสิ้นเสียงของแอริสแล้ว เธอก็หมดลมไปทันที
“ไม่ ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ซิ ได้โปรดอย่าทิ้งพี่ไป แอริสสสสสสสสส” มาร์คัสตะโกนออกมาอย่างคร่ำครวญ
“ท่านพี่เรียกชื่อหนูเหรอ ท่านพี่จำชื่อของหนูได้แล้วจริงๆด้วย” จู่ๆแอริสก็ฟื้นขึ้นมา
“นี่เธอไม่ได้ตายหรอกเหรอ” มาร์คัสตั้งสติได้ก็ถามทันที แอริสก็หัวเราะเล็กๆ
“หนูรู้ว่าพี่น่ะห่วยแตกมากในเรื่องทำอาหาร หนูก็เลยแกล้งทำเป็นว่ากินยาพิษเข้าไป ที่จริงหนูไม่มีหรอกยาพิษแบบนั้น หนูแค่อยากจะให้พี่นั้นเรียกชื่อของหนูเพื่อแสดงว่าพี่ยังคงจำชื่อของหนูได้ก็เท่านั้นเอง” แอริสพูดเสร็จมาร์คัสก็ทิ้งร่างของเธอลงกระแทกกับพื้นทันที
“ทำให้เป็นห่วง ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้อีกละ พี่ไม่ใช่ห่วงว่าเธอจะตาย แต่ถ้าเธอตายไปฉันจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรต่างหาก” มาร์คัสบอก
“พี่ใจร้าย หนูไม่บอกทางออกจากที่นี่หรอก” แอริสเชิดหน้าหนีทันที
“จริงซิ ถึงแม้ฉันจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ฉันก็คงต้องปักหลักสร้างครอบครัวในนี้ซะเลย พร้อมแล้วรึยังแม่สาวน้อย” มาร์คัสทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ ทำให้แอริสตกใจกลัวทันที
“อย่านะ อย่าทำหนูนะ หนูยอมแล้ว หนูจะพาพี่ออกไปจากโลกนี้” แอริสยอมทันที
“ดีงั้นไปกันเลย” มาร์คัสบอก
“ไม่เอา หนูยังไม่ได้กินอะไรเลย เพราะพี่แย่งหนูกิน เพราะฉะนั้น หนูจะไม่ไปไหนจนกว่าหนูจะอิ่มซะก่อน” แอริสพูดเสร็จก็เดินเข้าไปในครัวทันที
“ไม่รู้ว่ามีน้องสาวแบบนี้ได้ยังไง ไม่น่าจะมาเป็นน้องสาวเราเลย ทำตัวแบบนี้ถ้าไม่ใช่น้องเสร็จไปแล้ว” มาร์คัสบ่นพึมพำแล้วก็เดินออกไปที่ระเบียง

ในครัว
“พี่นี่จริงๆเลย ทำไมต้องมีพี่แบบนี้ด้วย อยากมีพี่ชายที่แสนดีกว่านี้ ไม่ใช่พี่เจ้าเล่ห์แบบนี้ซะหน่อย” แอริสยืนบ่นพึมพำแล้วสักพักก็มีกลิ่นไหม้
“ว๊าย ลืมไปเลยว่าอบคุกกี้อยู่” แอริสรีบเปิดฝาเตาอบออกมาแล้วดึงถาดคุกกี้ออกมา
“ยังดีนะที่ไม่ไหม้” แอริสเป่าควันออกที่ลอยออกมาจากคุกกี้
“ทีนี้ก็เหลืออะไรอีกนะ อือใส่ถุงก็แล้วกัน นมสักขวดไว้เผื่อหิวกลางทาง ทีนี้ก็เรียบร้อย” เมื่อแอริสจัดเตรียมของเสร็จเธอก็ถือเสบียงพวกนั้นเดินออกมาหาพี่ชายของเธอ
“ทำไมนานนักฮะ” มาร์คัสถาม
“แต่หนูก็มาแล้วนี่ไง ไปเถอะ ทางออกจากที่นี่ต้องไปที่พีโนเมส ประตูแห่งโลกทั้ง 9” แอริสตอบแล้วก็วิ่งนำออกไปทันที มาร์คัสก็เดินตามน้องสาวไป

แล้วสองพี่น้องคู่นี้ก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นราชวังขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้มากมายเต็มไปหมด
“ที่นี่น่ะแหละ” มาร์คัสถาม
“เปล่าค่ะ ที่นี่คือ สวนดอกไม้แพนโดร่า พี่ชายคงจำได้นะคะ” แอริสตอบแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน
“แพนโดร่าเหรอ” มาร์คัสยังคงสงสัยแต่เขาก็เดินตามน้องสาวเข้าไป
พอเข้ามาทางเดินโถงกว้างขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้รายล้อมเต็มไปหมดไม่ว่าจะเพดานหรือเสา แอริสหยุดพักยืนชมดอกไม้ริมทาง ส่วนมาร์คัสนั้นยังคงเดินต่อไปข้างใน
“นานมาแล้ว มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเดินก้าวเข้ามาในสวนดอกไม้นี้ ชายผู้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และเป็นเกียรติอีกครั้งที่ชายผู้นั้นได้กลับมาที่นี่ มาร์คัส” เสียงสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากเสาใกล้ๆพร้อมดอกไม้ดอกหนึ่ง แล้วเธอก็ให้ดอกไม้นั้น
“เธอเป็นใครกัน” มาร์คัสถาม
“ฉัน แพนโดร่า สาวงามแห่งดอกไม้ โปรดรับดอกกุหลาบดอกนี้เถอะ” แพนโดร่าแนะนำตัวเองแล้วมาร์คัสก็รับดอกกุหลาบนั้นมา
“ผู้ที่เฝ้ากล่องแห่งความชั่วงั้นเหรอ” มาร์คัสถาม แต่แพนโดร่าก็หัวเราะนิดๆ
“เรียกซะยืดยาวเลยนะ เรียกว่าหีบเพลงจะไพเราะกว่า แต่อย่าไปสนใจมันเลย ท่านกลับมาเยือนที่นี่เป็นครั้งที่สอง แปลว่าท่านต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน” แพนโดร่าถาม
“ใช่คือฉันต้องการจะไปจากโลกนี้ แต่เอ๊ะ ทำไมเธอถึงยอมพูดคุยสนิทสนมกับฉันละ ทั้งๆที่สวรรค์นั้นมีกฎว่าห้ามเกี่ยวข้องกับฉันนี่” มาร์คัสถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วละ แต่นี่ไม่ใช่สวรรค์ ไม่ว่าเทพ มนุษย์ หรือหมู่มารก็สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ จงวางใจไว้เถอะ” แพนโดร่าตอบ
“ไงพี่สาว” แอริสเข้ามาทักทายแพนโดร่าทันที
“อ้าว มานี่ด้วยเหรอ แอริส” แพนโดร่าเห็นก็ดีใจขึ้นเล็กๆ
“นี่พี่ชายของหนูรู้จักกันรึยัง” แอริสถาม
“จ้า ฉันเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้วละ” แพนโดร่าตอบ
“ขอโทษด้วยนะคะที่มาเยี่ยมเพียงแปปเดียว คือพี่ชาย อยากจะไปจากโลกนี้กลับไปยังเดิม” แอริสบอกแล้วก็เดินไปตามทางเดินต่อ มาร์คัสเองก็เดินตามไปทันที
“เดี๋ยว ดอกไม้ดอกนั้น ท่านโปรดจำไว้ว่า หากวันใดท่านนึกถึงฉัน ท่นโปรดเรียกชื่อฉันต่อหน้าดอกไม้นั้นได้เลย แล้วฉันจะไปหาท่านภายในทันที แต่ถ้าวันใดที่ท่านเห็นดอกไม้นั้นเหี่ยวเฉาหรือเน่าตาย ฉันอยากขอให้ท่านรู้ไว้ว่า ฉันได้สิ้นใจแล้ว และท่านโปรดดูแลหีบเพลงใบนี้แทนฉันด้วย” แพนโดร่ากล่าวเสร็จก็ยื่นหีบเพลงอันหรูหราลายสวยงามใบหนึ่งส่งให้ มาร์คัสเองก็รับอย่างเต็มใจแล้วก็วิ่งออกไปพร้อมโบกมือลา
“หวังว่าท่านคงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ” แพนโดร่านึกไปในใจแล้วเธอก็เดินกลับเข้าไปในวังดอกไม้ของเธอ

“พี่ชายรู้จักพี่สาวคนนั้นด้วยเหรอ” แอริสถาม
“ไม่รู้ซิ เหมือนว่าจะจำไม่ได้แล้วละ แต่เธอจำพี่ได้ ก็คิดว่าเมื่อก่อนเราคงเคยรู้จักกันมาก่อน” มาร์คัสตอบแล้วก็เอาดอกกุหลาบนั้นขึ้นมาดู
“ว้าว ดอกกุหลาบดอกนี้แปลกดีจัง มีหลากสีหมุนเวียนสลับอยู่ภายในดอกเลย” แอริสตะลึงกับความงามของดอกกุหลาบนั้น
“เอาล่ะ คราวนี้อีกไกลมั้ยกว่าจะถึงประตูโลกที่เธอบอก” มาร์คัสถาม
“ก็ดูไม่ไกลหรอกนะ แต่ว่า พี่อ่ะฝีมือยังมีอยู่หรือเปล่า เพราะคนที่จะผ่านประตูไปได้นั้นต้องชนะเทพพิทักษ์ประตูแห่งโลกซะก่อน ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมให้ผ่านไปง่ายๆแน่นอน” แอริสตอบ
“ไม่รู้ซิ นับตั้งแต่หนีมาได้ พลังแห่งธาตุทั้งหมดก็ถูกสลายไปหมด เหลือเพียงพลังเล็กน้อยบางส่วน” มาร์คัสบอกแล้วก็หยุดเดิน
“พี่ชายยังคงจำ พี่ชายอีกคนได้มั้ย ฝาแฝดกับพี่ไง” แอริสถาม
“ไม่ ฉันจำอะไรไม่ได้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยซิ” มาร์คัสตอบ
“พี่ชายคนนั้นเขาคือก็พี่ เขากับพี่คือคนเดียวกัน และตอนนี้เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าหนูเนี่ยแหละ” คำพูดของแอริสทำให้มาร์คัสนั้นงง
“เธอพูดอะไรของเธอ ช่วยอธิบายให้เข้าใจกว่านี้หน่อยซิ” มาร์คัสถามต่อ
“เขาคือด้านมืดของพี่ หากพี่นั้นโกรธขึ้นเมื่อไหร่ เท่ากับพี่จะปลดปล่อยเขาออกมา ซึ่งแน่นอนว่าหนูไม่อยากจะเจอกับเขาอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนของพี่แล้ว หนูก็คงไม่ได้อยู่จนวันนี้ การที่พี่จะรวบรวมพลังกลัลบมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง หากี่ควบคุมตัวพี่เองและจิตใจไม่ได้ เขาคงจะฆ่าพี่ได้ทันทีแล้วฆ่าทุกคนตามมา เพราะฉะนั้นพี่สัญญาได้มั้ยว่า หากพี่เริ่มควบคุมตัวเองและจิตใจไม่ได้ พี่จงปิดชีพตนก่อนที่เขาจะออกมา ถ้าไม่สัญญาหนูไม่พาพี่ออกไปแน่นอน” แอริสอธิบายให้ฟัง มาร์คัสจึงนิ่งไปสักพักแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ได้ซิ พี่สัญญา เพราะสิ่งที่เธอพูดนั้นคงจะเป็นความจริงซินะ เธอมองเห็นอนาคตของตัวพี่ได้ หากพี่ปลดปล่อยเขาออกมา เธอคงเห็นอนาคตหลังจากนั้นแล้วซินะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น พี่สัญญาเลยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาได้ออกมา และสัญญาว่าจะคุ้มครองน้องสาวของพี่คนนี้ไปตลอด” มาร์คัสพูดเสร็จทั้งคู่ก็ยิ้มออกมา
“อย่างงี้ซิถึงจะสมกับเป็นพี่ชายของหนู ไปเถอะ เราไปต่อกันเลย” แล้วสองพี่น้องก็ออกเดินทางกันต่อไป

------------------------------------------------------จบตอนที่ 46-------------------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #45 on: November 06, 2005, 06:44:26 PM »

ตอน เทพแห่งการลงทัณฑ์

เมื่อสองพี่น้องได้มาถึงดินแดนที่เรียกว่าพีโนเมส ประตูแห่งโลกทั้ง 9
“เอาล่ะ นี่ไง เรามาถึงแล้ว” แอริสชี้ไปยังลานกว้างที่สลักวงเวทย์โบราณขนาดใหญ่
“นั่นน่ะเหรอ” มาร์คัสค่อยๆเดินไปยังลานนั้น
“เดี๋ยวซิ รอหนูด้วย” แอริสวิ่งตามไปทันที
“จะตามมาทำไม เธอทำหน้าที่มาส่งฉัน ก็เสร็จสิ้นแล้วนี่ กลับไปเถอะ” มาร์คัสหันมาบอก
“ไม่ หนูจะไปกับพี่ พี่สัญญาว่าจะคุ้มครองหนูไม่ใช่เหรอ แค่ไม่กี่นาทีก็จะทิ้งไปซะแล้ว พี่นี่เจ้าเล่ห์จริงๆ” แอริสพูดอย่างไม่พอใจ
“ก็ได้ จะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน แต่เธอต้องทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยละ” มาร์คัสบอก แล้วแอริสก็พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้
“เอาละ งั้นบอกมาซิ ว่าจะทำยังไงต่อ” มาร์คัสถามขึ้นทันที
“เอ่อ..... ไม่รู้ซิ ถ้าประตูพีโนเมสเปิด วงเวทย์นี้ก็น่าจะมีพลังปรากฏขึ้นมานะ” แอริสวิ่งดูวงเวทย์ไปรอบๆ

“ขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถให้ท่านผ่านประตูนี้ไปได้” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ดูแกร่งกล้า
“โอ ใครละนี่” แอริสหันไปมองและถามขึ้น
“ข้าคือ ผู้เฝ้าประตูแห่งโลกทั้ง 4 ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือประตูพีโนเมส” หญิงสาวผู้นั้นตอบ
“เจ้าชื่ออะไร เงยหน้าให้ข้าเห็นชัดๆได้มั้ย” มาร์คัสถาม แต่หญิงสาวผู้นั้นก็หัวเราะเล็กๆ
“ข้าชื่อ รามิเอล ผู้ควบคุมกฎแห่งสวรรค์ ผู้ที่ตัดสินชะตาเทพทั้งปวง ข้าคือ เทพแห่งการลงทัณฑ์ ไง มาร์คัส” หญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าขึ้นพร้อมสยายปีกทั้ง 4 คู่ใหญ่ออก แสดงความยิ่งใหญ่ให้เห็น
“รามิเอล” มาร์คัสตกใจเมื่อเจอเธออีกครั้ง
“ข้ามาเพื่อจับท่านกลับไปขังที่นรกน้ำแข็งเนฟเฮม โลกที่ 9 เป็นโลกที่ประตูเนฟเฮมจะเปิดทุกๆ 1,000 ปี” รามิเอลบอก มาร์คัสก็หัวเราะเล็กๆ
“แอริส หลบไปข้างหลัง” มาร์คัสบอกแล้วก็ปลดปล่อยพลังให้ไหลมาที่มือทั้งสองข้างของเขา
“ถ้าขังจนแก่ตายก่อนได้กลับมา จับตายฉันซะจะดีกว่านะ” มาร์คัสบอกแล้วก็ประสานมือทั้งสองข้างจนพลังสายฟ้านั้นมาไหลรวมกันเป็นจุดเดียว
“จับตายก็ง่ายดี ฆ่าให้มันจบๆเรื่องไป” รามิเอลก้มตัวลงกลางปีกออก

“Laser Wing” รามิเอลยิงลำแสงขนนกจากปลายปีกทั้ง 4 โจมตีใส่มาร์คัสจำนวนมาก
“สายฟ้าแห่งการทำลายร้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” มาร์คัสพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วและหลบหลีกลำแสงเหล่านั้นจนเข้าประชิด เขาออกหมัดสายฟ้าฟาดโจมตีใส่รามิเอล แต่รามิเอลกลับใช้มือของเธอรับหมัดของมาร์คัสได้
“พลังหดถอยไปเยอะเลยนะ” รามิเอลยิ้มเล็กๆแล้วก็บิดมือเบาๆ ทำให้ร่างของมาร์คัสกระเด็นออกไป แต่เขาก็พลิกตัวตั้งหลักได้
“มันจบแล้วละ มาร์คัส” รามิเอลพูดเสร็จก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวและมีแสงสว่างเปร่งออกมา เมื่อแสงนั้นดับลงก็ปรากฏดาบเล่มหนึ่งในมือของเธอ
“มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” มาร์คัสยืนขึ้นและชาร์ตพลัง
“คำพิพากศักดิ์สิทธิ์ Holy Judgment” รามิเอลบินพุ่งตรงเข้าไปพร้อมร่างเงาของเหล่าเทพสวรรค์ต่างๆที่บินพุ่งเข้าโจมตี แล้วเธอก็ฟันดาบเล่มนั้นลงแต่ทันทีที่ฟันร่างของมาร์คัสก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“หมัดตัดเปลวฟ้าผ่า Thunder Shock” ทันใดนั้นก็มีวงเวทย์ที่เขียนสลักด้วยสายฟ้าขนาดใหญ่อยู่ที่พื้น แล้วมาร์คัสก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้าหมัดของเขามีพลังสายฟ้าเต็มเปี่ยม สายฟ้าที่ผ่าลงตามหมัดของเขานั้นพุ่งลงมาเร็วยิ่งกว่าฟ้าผ่า สายฟ้าจำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาในวงเวทย์แล้วหมัดของเขาก็ตัดผ่าสายฟ้าเหล่านั้น

เมื่อสายฟ้าทั้งหมดสลายหายไป ร่างของรามิเอลก็ค่อยๆทรุดตัวลงทันทีเธอใช้ดาบค้ำยันเอาไว้ แต่มาร์คัสนั้นปรากฎรอยดาบฟันลงยาวจากไหล่ซ้ายไปยังชายเอวขวา แล้วเขาก็ล้มลงไป แอริสจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“พี่คะ พี่เป็นอะไรมากมั้ย” แอริสถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ พี่ยังพอไหว” มาร์คัสลุกขึ้นยืนแต่ด้วยความบาดแผลนั้นทำให้เขายืนไม่อยู่แล้วล้มลงไป สักพักรามิเอลก็ลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้ามาหา แอริสจึงรีบวิ่งเข้ามาขวาง
“ได้โปรดเถอะ อย่าฆ่าพี่หนูเลย” แอริสพยายามกล่าวคำขอร้องอ้อนวอน
“เขาเป็นนักโทษที่อันตราย หากเขารอดไป ในอนาคตอาจจะเป็นอันตรายยิ่งกว่านี้” รามิเอลบอกแล้วก็ง้างดาบขึ้นฟ้า
“ถ้าอย่างงั้นก็ข้ามศพหนูไปก่อนแล้วกัน” แอริสบอกด้วยความมุ่งมั่นเพื่อปกป้องพี่ชาย
“แอริส” มาร์คัสเห็นน้องสาวตนยอมทำเพื่อเขา
“งั้นขอโทษด้วยนะ ที่ต้องทำเช่นนี้” ทันทีที่รามิเอลชักดาบฟันลงก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้น

“Black Hawk Fallen” เหยี่ยวไฟสีดำขนาดใหญ่บินพุ่งชนรามิเอลจนกระเด็นออกไป
“เหยี่ยวดำนี่มัน” รามิเอลตั้งหลักได้ก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
“ใช่ ข้าเอง หนึ่งเดียวที่แม้แต่เทพหรือจ้าวนรกยังเกรงกลัว” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาอยู่รอบๆ แล้วก็มีหมอกลงหนามากปกคลุมไปรอบๆบริเวณ
“ออกมาซิ ถ้าเก่ง แล้วจะหลบซ่อนในหมอกไปทำไม” รามิเอลตั้งท่าเตรียมรับมือ
“ไปซะ ข้าไม่ต้องการฆ่าเจ้าในวันนี้” เสียงของเขานั้นยังดังไปรอบๆ
“พี่ค่ะ พี่จะรอดมั้ย” แอริสน้ำตาคลอขึ้นเมื่อมองดูร่างของพี่ชาย มาร์คัสก็เริ่มหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ แค่นี้พี่ไม่ถึงตายหรอก” มาร์คัสบอกแล้วหีบเพลงแพนโดร่าก็หล่นออกมา
“ปรากฏตัวให้ข้าเห็นชัดๆซิ” รามิเอลถาม แต่กลับมีเพียงเสียงหัวเราะราวกับเยาะเย้ยของชายคนนั้นดังอยู่ตลอดเวลา
“แอริส เปิดหีบเพลงนั่น” มาร์คัสบอก
“ไม่ หนูจะไม่ยอมให้พี่ปลดปล่อยด้านมืดออกมาหรอก” แอริสบอก
“เจ้าจงเลือกว่าอยากให้พี่นั้นอยู่หรือตาย” เมื่อสิ้นเสียงของมาร์คัสเขาก็หมดแรงลงไปทันที แอริสไม่มีทางเลือกเธอจึงหยิบหีบเพลงแพนโดร่ามาวางในอกของพี่ชาย แล้วเธอก็เปิดหีบเพลงนั่น

ความชั่วช้าเลวทรามของเหล่ามนุษย์ที่ตายจากไปและได้เป็นเทพสวรรค์ บาปทั้งปวงที่ถูกสกัดมาเก็บไว้ในหีบเพลงนี้ ถูกส่งมาเป็นพลังด้านมืดให้กับมาร์คัส ร่างของค่อยๆลอยขึ้น เสียงเพลงบรรเลงบทเพลงแห่งพลังที่ดังขึ้น จนรามิเอลนั้นหันมามองทางต้นเสียง
“เป็นไปได้ไง พลังนั่นควรปลิดชีพไม่ใช่ฟื้นคืน ไม่มีทางซะหรอก” รามิเอลบินพุ่งตรงเข้าไปพร้อมชูดาบขึ้น แอริสจึงรีบลุกเข้ามาขวาง แล้วเธอก็รู้สึกว่ามีมือคนแตะที่ไหล่ของเธอและดึงเธอถอยออกไป
“หมัดสลายวิญญาณ Broken Soul” ชายชุดดำปรากฏขึ้นตรงหน้ารามิเอลและใช้หมัดขวาอัดใส่เธอจนกระเด็นออกไป เมื่อเธอตั้งหลักเธอก็กระอักเลือดออกมาทันที
“ฟื้นขึ้นมาเลยมาร์คัส ฟื้นขึ้นมา ข้ารอเจ้าอยู่” ร่างของมาร์คัสก็ค่อยๆยืนขึ้นมา ร่างของเขาเต็มไปด้วยพลังความมืดห่อล้อมเอาไว้

ในขณะนั้นเอง รามิเอลก็เปิดประตูพีโนเมสและหนีหายเข้าไป
“เจ้ายังตายไม่ได้ จำไว้ด้วยมาร์คัส ไม่ว่าเจ้าจะมีพลังมากแค่ไหนก็ตาม ข้าจะต้องสู้ตัดสินกับเจ้าให้มันรู้ไป” ชายชุดดำพูดเสร็จมาร์คัสก็ลืมตาขึ้น เขาพุ่งเข้าอัดใส่ชายชุดดำ แต่ชายชุดดำรับหมัดของมาร์คัสได้
“พลังของเจ้ายังไม่เต็มที่ รอไว้วันหลังเราจะได้สู้กันอีก” ร่างของชายชุดดำก็ค่อยๆมีเปลวไฟสีดำรุกโชยขึ้น
“อยากรู้จังในตอนนี้เจ้ายังต้านพลังของข้าได้มั้ย” ชายชุดดำออกแรงต้านหมัดของมาร์คัส พลังอันมหาศาลของเขาทำให้ร่างของมาร์คัสกระเด็นไปกระแทกขอบประตูพีโนเมส
“เธอใช่มั้ย น้องสาวของมาร์คัส รีบถือหีบเพลงนั้นไปวางตรงหน้าของเจ้าหมอนั่น แล้วก็หมุนไขลานข้างๆหีบ พลังทั้งหมดจะถูกดูดกลับเข้าไปในหีบ ส่วนในตอนนี้ร่างของเจ้าหมอนั่นพลังของหีบฟื้นฟูจนหายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งหีบแล้ว และบอกมันด้วยว่า เพื่อนจากนรกมาเยี่ยม” ชายชุดดำพูดเสร็จก็เดินไปขี่ม้าและขวบเข้าไปในประตูพีโนเมส

แอริสจึงรีบวิ่งไปหยิบหีบและวิ่งไปวางแล้วหมุนลานขึ้น จากนั้นหีบเพลงก็ถูกเปิดออกและมีเสียงเพลงดังขึ้น แต่ทันใดนั้นเองมาร์คัสก็ลุกขึ้นมา
“พี่ค่ะ...” แอริสตกใจอยู่เล็กๆกับแววตาของพี่ชายที่จ้องมองมาที่เธอ แล้วมาร์คัสก็ใช้มือทั้งสองข้างบีบคอน้องสาวตน
“พี่ฟื้นสักทีซิ” แอริสพยายามพูดเพื่อเรียกสติของพี่ชายคนเดิมกลับมา แต่เขากลับออกแรงมากขึ้น แต่สักพักกลุ่มพลังความมืดที่ห่อล้อมร่างของมาร์คัสไว้ก็ค่อยๆถูกดูดลงเก็บเข้าไปในหีบแพนโดร่า แล้วมาร์คัสก็ได้สติกลับมาอีกแต่เขาแทบช๊อคเมื่อเขาเห็นมือทั้งสองข้างนั้นบีบคอน้องสาวจนเธอหมดลมแน่นิ่ง
“แอริส แอริส” มาร์คัสร่างคลายมือออกและเข้าไปประคองร่างของน้องสาวไว้
“ฟื้นซิฟื้น พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ขอโทษ” มาร์คัสโศกเศร้าเสียใจมากที่ต้องสูญเสียน้องสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ
“เธออยากออกไปดูโลกกว้างไม่ใช่เหรอ จะมาจบอยู่เพียงเท่านี้ไม่ได้ พี่จะพาเธอออกไปดูโลกกว้างเอง” เขาปาดน้ำตาแล้วก็อุ้มร่างของน้องสาวเดินผ่านประตูพีโนเมสออกไป

----------------------------------------------------------ตอนที่ 47------------------------------------------------------------
« Last Edit: November 06, 2005, 06:45:16 PM by !!! Unknow !!! » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #46 on: November 19, 2005, 06:40:48 PM »

หายไปนานเลย เหอๆ ขี้เกียจแต่งเหมือนกันช่วงนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน แสงเทียนในความมืด

ที่ร้านพี่หมูราดหน้า
“สรุปพวกนายกำลัง จะหาทางช่วยแม่ชีคนนี้ โดยการนำเลือดจากชายคนนั้นมาเป็นส่วนผสม” เจ้าหญิงชานย่าถาม แล้วพวกพงวิชต่างก็พยักหน้า
“ต่อให้ฉันช่วย แค่เลือดหยดเดียวก็แทบจะแลกมาด้วยชีวิตเลยนะนั่น” เจ้าหญิงชานย่าบอก
“พี่หมูเอาอีก 7 ชาม” บุ๊คตะโกนสั่ง แล้วพี่หมูก็ทำราดหน้าเพิ่ม
“อีก 5 วันถ้ายังไม่ได้ แม่ชีผู้นี้ก็คงถึงคราว...” แบมบูมองดูร่างของแม่ชีเกลวารีนที่หลับอยู่
“ต่อให้ยกทัพแห่งอาเบรอนมาช่วย ก็ไม่มีทางชนะได้หรอกเจ้าหนู” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพวกเขา พวกพงวิชจึงหันไปมองที่ต้นเสียงเป็นชายวัยกลางคนที่ดูเซอๆใส่หมวกโจรสลัด
“นายเป็นใครล่ะ เฮ๊ย” บุ๊คถาม
“ฉันมันก็แค่นักเดินทางอิสระ มาที่นี่ก็เพราะอยากจะมาดูการประกวดของสาวงามต่างหาก” ชายคนนั้นตอบแล้วก็เดินวนไปหาเจ้าหญิงชานย่า
“หน้าอย่างนี้มาดูแน่เหรอ” เจ้าหญิงชานย่าถาม ชายคนนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ก็ใช่น่ะซิ เจ้าหญิง” ชายคนนั้นตอบแล้วเขาก็หันหลังกลับ
“เอาล่ะพวกนายคงสงสัยกัน งั้นฉันขอแนะนำตัว ฉัน แจ๊ค ฉันไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อพวกนาย แต่พวกนายต้องรู้จักจำชื่อของฉันเอาไว้จนตาย” แจ๊คบอก แต่เขากลับเห็นพวกพงวิชกำลังก้มหน้าก้มตากินราดหน้ากันอย่างเอร็ดอร่อย
“เมื่อกี๊พูดอะไรนะ พูดใหม่ซิ ลืมฟัง” พงวิชถาม ทำให้แจ๊คฉุนขึ้นทันที

“กัปตันแจ๊ค เขาชื่อแจ๊ค ชายสติเฟื่อง บ้าๆบอๆ ไร้ที่ไป เร่ร่อนหาขโมยเล็กเลี้ยงชีพไปเรื่อย” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“ใช่ฉันคือ กัปตันแจ๊ค แต่นั่นมันเป็นแค่อดีต ตอนนี้แนคือ แจ๊คผู้ยิ่งใหญ่” แจ๊คบอก
“แล้วรู้จักชายชุดดำได้อย่างไร” พงวิชถาม
“ฉันเคยสู้กับมัน” แจ๊คตอบ
“แล้วรอดมาเนี่ยนะ” ปอนถาม
“ใช่เขารอดมา แต่ลูกน้องเกือบ 100 ชีวิต ตายเรียบ” เจ้าหญิงชานย่าตอบขึ้นแทน ทำให้แจ๊คหงุดหงิดขึ้น
“เออใช่ ลูกน้องข้าตายหมด พวกนั้นยอมอุทิศชีวิตเพื่อข้าอยู่แล้ว แต่มีใครอย่างฉันบ้างมั้ยที่จะรอดมาเล่าให้ฟังได้เนี่ย” แจ๊คบอก
“พวกเราไง เคยเจอ 2 ครั้ง รอดมาทั้ง 2 ครั้ง” พงวิชบอก แจ๊คก็อึ้งทันที
“ใช่ พวกเขารอดมาได้ กัปตันแจ๊คผู้ยิ่งใหญ่และสุดยอดในเรื่องโกหก ยังตะลึงกับเด็ก 6 คน” เจ้าหญิงชานย่าบอก ทำให้แจ๊คบึ้งหน้าทันทีแล้วเขาก็เดินเข้ามาหาเจ้าหญิงชานย่าอย่างฉุนเชียว
“จำไว้เลยเจ้าหญิง” แจ๊คพูดเสร็จก็เดินออกไปจากร้านทันที
“เจ้าบ้าสติเฟื่อง” ปอนบ่นพึมพำแล้วก็กินราดหน้าต่อ

“เป็นยังไงบ้างละ กัปตันแจ๊ค” ทันทีที่แจ๊คเดินออกมาจากร้านเขาก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งพูดขึ้น เขาจึงเดินต่อไปโดยไม่สนใจ จนสักพักเสียงของหญิงผู้นั้นก็ดังขึ้นอีก
“คงจะหงุดหงิดละซิ” แล้วแจ๊คก็หยุดเดินและหันหลังกลับมา
“นี่ใครๆก็รู้ฉันไม่เคยจะเครียดหรือหงุดหงิดใดๆ แต่ขอเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว” แจ็คพูดเสร็จเขาก็หันกลับและเดินไปต่อ
“ฉันข้อเสนอเล็กๆน้อยๆมาให้” คำพูดของหญิงคนนั้นทำให้แจ๊คหยุดเดิน
“ข้อเสนออะไร” แจ็คถาม
“ฆ่าเจ้าหญิงชานย่าซะ” หญิงคนนั้นตอบ
“เท่าไหร่” แจ็คถามต่อ
“เต็มอัตรา 1 แสนโกล บวกโบนัสถ้าเสร็จภายในคืนนี้อีก 5 หมื่นโกล” หญิงผู้นั้นตอบ
“งั้นขอลา ฉันไม่ใช่พวกนักฆ่า ฉันเป็นกัปตัน ไม่ใช่พวกบ้าฆ่าคน ไปหาจ้างเอาแล้วกัน” แจ๊คพูดเสร็จเขาก็เดินต่อไป
“เชิญเลย ถ้าอยากจะจมปักอยู่แบบนี้” หญิงคนนั้นบอก
“แบบนี้ แบบไหน แล้วทำไมต้องมายุ่งเรื่องของฉันด้วย อย่ามาทำให้ฉันโกรธ ไม่งั้นฉันไม่ไว้เธอแน่ ยิววา” แจ๊คก็เดินไปต่อ
“กัปตันแจ๊คผู้ยิ่งใหญ่ กลับต้องมาเดินดินลำพังอย่างเห็นแก่ตัว ทุเรศที่สุด” ยิววาบอกแล้วเธอก็หัวเราะขึ้น ทำให้แจ๊คกำหมัดแน่น แล้วเขาก็เดินไปต่อโดยไม่สนใจคำพูดใดๆที่ยิววาพูดออกมา

“เจ้าหญิงชานย่า ทำไมเธอถึงนึกลงประกวดครั้งนี้ละ” พงวิชถาม
“ไม่หรอก ท่านแม่เป็นคนสั่งให้ฉันต้องลงประกวดเอง แต่ใจจริงแล้วฉันไม่อยากลงประกวดเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าจะขอถอนตัวในวันพรุ่งนี้” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“แล้วรู้จักชายคนนั้นได้อย่างไรกัน” พงวิชถามต่อ
“นานมาแล้ว เขานั้นเป็นกัปตันโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่และเก่งกาจที่สุดในโลก ลูกเรือของเขาเพียงลำเดียว เอาชนะเหล่ากองทัพโจรได้นัพร้อยได้ แต่เขากลับไม่สามารถชนะคนเพียงคนเดียวได้ เธอก็คงจะรู้นะ” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“แล้วที่มันบ๊องๆ ติงต๊องละ เพราะอะไร” บุ๊ควางชามราดหน้าที่กินเสร็จลงและถามขึ้นทันที
“เขาบอกว่าเขารอดจากการสู้กับชายชุดดำมาได้ โดยที่เขาฟันคอชายชุดดำจนขาด แต่เขาได้แผลบนหัวกระเทือนเข้าสมองของเขา แต่เพราะสมองของเขาไม่ดีมั้ง เลยกุเรื่องไปทั่ว” เจ้าหญิงชานย่าตอบแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินค่าราดหน้า
“แต่ดูไปเหมือนมันไม่ได้บ้านะเว้ย เหมือนบางทีมันจงใจจะทำหรือพูดออกมาแล้วทำเป็นแกล้งบ้าไปเอง” บุ๊คบอก
“อย่าไปสนใจมันเลย” พงวิชพูดเสร็จก็กินราดหน้าที่เหลืออยู่ในชาม

เมื่อพวกเขากินอาหารกันจนอิ่มเต็มที่ พวกเขาก็นั่งพักอยู่ในร้านไปสักพัก
“พี่หมู เปิดกิจกาทั่วโลกนี่ กำไรได้ดีมั้ย” ตั้มถาม
“กำไรได้มากกว่าทุนเป็นหลายเท่าเลย” พี่หมูตอบ แล้วก็เก็บกวาดจัดระเบียบภายในร้านเพื่อปิดร้าน
“เจ้าหญิงชานย่า ปกติท่านทรงใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดเลยเหรอ ไม่เคยที่จะมีช่วงไหนทำตัวสมกับสตรีผู้สูงศักดิ์บ้างเลยรึ” แบมบูถาม
“ก็มีบ้างนะ แต่ส่วนใหญ่แล้วฉันชอบใช้ชีวิตแบบนี้มากกว่า เมื่อก่อนก็ทำตัวสมกับเป็นเจ้าหญิง แต่เมื่อโตขึ้น ฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป จะกลับไปเป็นเจ้าหญิงแสนสุภาพก็คงจะยากอยู่ละ” เจ้าหญิงชานย่าตอบ แล้วบุ๊คก็หาวขึ้น
“หนังท้องตึงหนังตาหย่อนไปหาที่นอนกันเหอะ ง่วงแล้ว” บุ๊คบอกแล้วก็เดินออกไปจากร้าน และเพื่อนๆต่างก็เดินตามออกมา
“พงวิช พวกเธอไปนอนกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะตามไป ฉันต้องไปธุระสักครู่” เจ้าหญิงชานย่าบอกเสร็จก็เดินแยกไปอีกทาง ทันทีที่เธอเดินหายไปในอีกทาง พงวิชก็นึกขึ้นได้ที่จะถามเจ้าหญิง แต่เมื่อเขาวิ่งตามไปก็ไม่เห็นเจ้าหญิงชานย่าแล้ว

“แจ๊ค เขาไปไหนของเขาเนี่ย” เจ้าหญิงชานย่าเดินหาไปตามทางเดินในเมือง จนออกมานอกเมือง แต่ตัวเธอนั้นก็ไม่ได้ระวังภัยใดๆที่ใกล้เข้ามาหาเธอ
“ทาร่อน คนนี้ใช่มั้ยเจ้าหญิงชานย่า” ฮอนเน็ทถามพร้อมกับขึ้นสายธนูวิญญาณเล็งไม่ขาดสายตา
“ใช่แล้วละ ฆ่าได้มันก็จบเรื่อง เราได้ลูกแก้วไฟ งานของพวกเราก็เสร็จ” ทาร่อนตอบ
“เล็งตรงไหนดีนะ” ฮอนเน็ทยิ้มขึ้นทันที
“อย่ามัวแต่ชักช้า” ทาร่อนบ่นแล้วเขาก็กระโดดลงไปจากโขดหิน

แล้วก็มีผีเสื้อสีแดงเข้มตัวเล็กๆตัวหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าเจ้าหญิงชานย่า เธอค่อยๆเดินเข้าไปหาผีเสื้อตัวนั้น แล้วเธอก็จับความรู้สึกว่าตนนั้นกำลังมีอันตราย เธอจึงกระโดดหลบไปข้างๆหลบลูกศรวิญญาณได้ทัน แต่แล้วทาร่อนก็พุ่งเข้ามาอย่างเร็วอัดใส่ท้องของเธอจนจุกและล้มลงไป
“งานง่ายแค่นี้ทำไมต้องให้พวกเรา 2 คนมาทำด้วยวะเนี่ย” ทาร่อนยืนบ่นแล้วก็พยุงร่างของเจ้าหญิงชานย่าที่สลบขึ้นและเข้าล๊อคจากด้านหลังไว้
“ยิงเลย” ทาร่อนบอกแล้วฮอนเน็ทก็ยกคันธนูขึ้นเล็ง แล้วฮอนเน็ทก็ยิงลูกศรวิญญาณออกไป ทันใดนั้น

ผีเสื้อสีแดงตัวนั้นก็บินเข้ามารับลูกศรวิญญาณแทนเจ้าหญิงชานย่า
“ผีเสื้อตัวน้อยแสนห่วงใย บัดนี้เจ้าเป็นอิสระได้พบกับสุขที่แท้จริง” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทาร่อน เขาจึงกงเล็บข้างหนึ่งปาดคอเจ้าหญิงชานย่า แล้วก็โยนร่างของเจ้าหญิงทิ้งไปและหันกลับมาหาชายที่อยู่ด้านหลัง
“ความตายเป็นเพียงการเริ่มต้น ดั่งผีเสื้อตัวนั้น ก็ไม่แตกต่างอะไรกับเจ้าหญิงผู้นี้” ชายคนนี้พูดขึ้น
“แกเป็นใครกัน” ทาร่อนยืนมองดูชายใส่ผ้าคลุมถือตะเกียงอยู่ข้างหนึ่ง
“ท่านจงโปรดหลีกทางและกลับไปเถอะ ข้ามาเพื่อช่วยปลดปล่อยความทุกข์ของเหล่าผู้คนและดวงวิญญาณ ฉันจะช่วยคนที่ยังไม่ถึงคราวตายเท่านั้น นั่นก็คือเจ้าหญิง” ชายคนนี้บอก
“Black Spin” ทาร่อนเขว้งกงจักรที่มีเปลวไฟสีดำใส่ ชายคนนั้นเพียงแค่ปล่อยมือจากตะเกียงและกางแขนสยายออก ทาร่อนและฮอนเน็ทตกใจทันทีที่เห็นตะเกียงนั้นลอยได้โดยไม่ต้องจับ แล้วก็มีผีเสื้อสีแดงจำนวนมากมหาศาลบินออกมาผ้าคลุมของชายคนนั้น มารวมตัวเป็นเกราะป้องกัน
“ผีเสื้อเหล่านี้คือดวงวิญญาณที่ใกล้จะได้รับการปลดปล่อยเพื่อไปสู่สุขติจากพระเจ้า ไม่มีใครที่จะสามารถทำลายเกราะแห่งดวงวิญญาณนับล้านที่รวมพลังกันได้หรอก พวกท่านจงกลับไปเสียเถอะ” ชายคนนั้นบอก

แล้วผีเสื้อแดงเหล่านั้นก็รวมตัวกันอีกครั้งก่อนที่พวกมันจะบินกระจายออก ปรากฎร่างอัศวินชุดเกราะสีแดงขนาดใหญ่พร้อมดาบที่ปักอยู่ตรงหน้า
“คิมสัน เจ้าจงขับไล่ปีศาจ 2 ตนนั้นที” ชายคนนั้นสั่ง แล้วแผ่นดินก็เริ่มสะเทือนชุดเกราะสีแดงนั้นเริ่มเปร่งประกายไฟออกมาล้อมชุดเกราะไว้ทั้งตัว
“วิชาเงามายาแยกร่าง” ทาร่อนเรียกเงามายาของตนออกมาอีก 2 ร่าง
“Soul Break Burst” ฮอนเน็ทยิงกระสุนพลังวิญญาณขนาดใหญ่โจมตีใส่ แต่คิมสันนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย แล้วมันก็ใช้มือทั้งสองข้างจับดาบขนาดใหญ่ตรงหน้าและชูขึ้นเหนือหัว แล้วธารลาวาที่ไหลอยู่ใกล้ๆก็มีลูกแม๊กม่าพุ่งขึ้นมาจากลาวาจำนวนมากโจมตีใส่ทาร่อนและฮอนเน็ท ในขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังหลบลูกไฟเหล่านั้น ดาบของคิมสันก็มีลำแสงสีแดงฉานพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ดาบทั้งเล่มปรากฏอักษรประหลาดและเต็มไปด้วยผีเสื้อสีแดงที่มีปีกเปร่งประกายเป็นเปลวเพลิงจำนวนมากมายมหาศาล
“Rising Butterfly” คิมสันก็ใช้ดาบเล่มนั้นสับลง ทาร่อนจึงรีบดึงฮอนเน็ทมาและใช้วิชาสลายตัวหนีไป

เมื่อทุกอย่างจบลง คิมสันก็เอาดาบปักลงและยืนหยัดอย่างสงบ ผีเสื้อแดงจำนวนมากต่างก็พากันบินเข้ามาล้อมร่างของคิมสันไว้ แล้วสักพักพวกมันก็บินกระจายกันออกร่างของคิมสันก็สลายหายไปแล้ว จากนั้นผีเสื้อจำนวนมากมายมหาศาลต่างก็กลับมาเข้ามาในผ้าคลุมของชายถือตะเกียง เขาเดินถือตะเกียงตรงมาที่ร่างของเจ้าหญิงชานย่าที่ไร้ซึ่งวิญญาณ
“เจ้าหญิงผู้น่าสงสาร ท่านยังไม่ถึงคราวตาย คราวตายของท่านนั้นยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่มันก็คงจะอีกไม่นาน ท่านจะตายด้วยฝีมือของชายอันเป็นที่รักและตายในอ้อมแขนของเขา” ชายคนนั้นนั่งคุกเข่าลงยกร่างของเจ้าหญิงขึ้นมาพิงบนเข่า
แล้วเขาก็ยกตะเกียงสูงขึ้นเหนือหัว แล้วผีเสื้อแดงตัวหนึ่งก็บินออกมาจากผ้าคลุม มันบินผ่านเปลวไฟในตะเกียงจนร่างของมันนั้นเต็มไปด้วยไฟ
“ข้าจะมอบชีวิตอันสั้นนี้แก่ท่าน เจ้าหญิง” แล้วผีเสื้อตัวนั้นก็บินเข้ามาเกาะที่บริเวณแผลที่ลำคอ แล้วร่างของผีเสื้อตัวนั้นก็ค่อยๆรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของเจ้าหญิงจนร่างกายของมันนั้นหายไป บาดแผลของเจ้าหญิงชานย่านั้นก็หายตามไปด้วย ชายคนนั้นยิ้มอย่างพอใจ แล้วเขาก็วางร่างของเจ้าหญิงลง ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินจากไป

-----------------------------------------------------------จบตอนที่ 48--------------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #47 on: November 21, 2005, 10:51:14 PM »

ตอน แผนสังหาร

ณ วันต่อมา ที่พระราชวัง

“อะไรนะ เมื่อคืน ทหารหลวงที่เฝ้าประตูเมืองโดนสังหารหมด” นาตาลีตกใจกับรายงานของทหาร
“ครับ หลังจากที่เปลี่ยนยามเฝ้าเวร เพียง 5 นาที พอกลับไปก็เห็นทหารของเราตายเรียบแล้วครับ” ทหารนายนั้นบอก
“วันนี้ คงมีเหตุร้ายเกิดขึ้นแน่ รีบไปบอกเหล่าทหารทั้งหมดให้ระวังมากขึ้น มีนักฆ่าฝีมือดีหลุดเข้ามาในเมือง” นาตาลีสั่งให้ทหารรีบไปประกาศ ทันทีที่ทหารนายนั้นวิ่งออกไป ก็มีทหารอีกนายวิ่งเข้ามารายงาน
“เลดี้นาตาลี เมื่อเช้า ที่นอกเขตเมืองพบเจ้าหญิงชานย่าสลบอยู่ครับ ตอนนี้ได้นำกลับมารักษาตัวในพระราชวังแล้วครับ” ทหารนายนั้นบอก นาตาลีตกใจทันที
“งั้นเจ้ากลับไปทำงานต่อเถอะ ฉันจะไปเฝ้าพระองค์เอง” นาตาลีบอกแล้วก็รีบวิ่งตรงไปที่ห้องของเจ้าหญิงชานย่า

เมื่อมาถึงประตูหน้าห้องก็พบนินายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
“นินา เจ้าหญิงอยู่ในห้องใช่มั้ย” นาตาลีถาม
“ใช่แล้วละ แต่ตอนนี้ องค์ราชินีได้ทรงโปรดที่จะอยู่ลำพังกับองค์หญิง” นินาตอบ นาตาลีก็ถ่อนหายใจแล้วก็เดินวนอยู่หน้าประตู แล้วสักพักพวกพงวิชก็เดินผ่านไปที่นั่น นาตาลีจึงรีบเดินเข้าไปหา
“เมื่อคืนองค์หญิงไปกับพวกเจ้า จงบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” นาตาลีพูดด้วยน้ำเสียงแรงรุนกระแทกกระทั้น
“อ้าวเห้ย เกิดอะไรขึ้นเหรอ” บุ๊คตกใจกับน้ำเสียงของนาตาลี
“ก็ตอนนี้องค์หญิงบาดเจ็บต้องพักอยู่ในห้อง บอกความจริงมา ไม่งั้น ข้าจะสั่งให้ทหารจับพวกเจ้าไปตัดหัว” นาตาลีบอก
“เห้ย โหดไปรึเปล่า เมื่อคืนเจ้าหญิงก็แค่พาพวกเราไปกินอาหารที่ร้านพี่หมู แล้วพวกเราก็เจอกับชายที่ชื่อ แจ๊ค เขาทำตัวเหมือนรู้จักกับเจ้าหญิง แล้วพอออกจากร้าน เจ้าหญิงก็ขอแยกตัวไปทำธุระ นอกจากนี้พวกเราไม่รู้เรื่องอีกแล้ว” แบมบูอธิบายให้เข้าใจ แต่สีหน้าของนาตาลีก็ยังเคร่งเครียดอยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้าจะลองเชื่อพวกเจ้าดู เห็นว่าเป็นเพื่อนขององค์หญิงหรอกไม่งั้น ข้าไม่ไว้แน่” นาตาลีบอกแล้วก็เดินกลับไปที่หน้าประตูห้องของเจ้าหญิงชานย่า แล้วพวกพงวิชก็เดินออกไปจากพระราชวัง ไปยังย่านชานเมือง

“แม่สาวนั่นโหดเป็นบ้าเลยจริงๆ” บุ๊คบอก
“แต่เราว่าน่ารักดีออก นิสัยยังไงไม่สน แบบนั้นอ่ะตรงสเป๊กเราเลย สวย น่ารัก ใจกล้า” พงวิชยังคงเดินเพ้อเหม่อไปเรื่อย แต่พวกเพื่อนๆที่ได้ยินต่างตกใจกับอารมณ์ของพงวิช แต่พวกเขากลับตกใจยิ่งกว่าเมื่อ...
“ฝ่ามือเมฆาล่องลอย” อรุณวิ่งเข้ามาอัดฝ่ามือโจมตีใส่พงวิช พวกเพื่อนๆต่างหลบทัน ทำให้พงวิชนั้นโดนคนเดียวไปเต็มๆ จนลอยกระเด็นไปไกล พงวิชนิ่งคาที่
“เห้ย ทำอะไรของแกวะ” บุ๊คเดินเข้ามาหาอรุณ
“จะต่อยปะละ” อรุณมองหน้า สีหน้าของอรุณทำให้บุ๊คขำกลิ้งทันที
“นั่นน่ะการทักทายของอรุณ ถ้าหลบได้แปลว่าไม่ใช่เพื่อน ถ้าไม่ยอมหลบแปลว่าเป็นเพื่อนอรุณ” นพบอก
“แล้วคิดยังไงถึงมาที่นี่” ตั้มถาม
“มีคนจ้างมาฆ่าพวกแกวะ” อรุณตอบ ทำให้พวกพงวิชตกใจค้างอยู่ชั่วขณะ
“ล้อเล่น” อรุณบอก พวกพงวิชจึงถอนหายใจ
“นึกว่าจะมาฆ่าจริงๆ” ตั้มบอกแล้วก็เดินเข้าไปสะกิดพงวิช
“แต่พวกเรามีคนจ้างมาฆ่าผู้นำระดับประเทศ ถ้าสำเร็จเราจะได้ค่าจ้าง 1 แสนโกล มัดจำไว้แล้ว 1 หมื่นโกล ส่วนพวกนายนั้นเหรอ ยังจำไอ้เด็กนั่นได้มั้ยละ ฉันเห็นมันมาที่นี่ พวกแกเตรียมตัวรับมือให้ดีละ ข้าไม่ช่วยอีกแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่องาน ไปละ” นพบอกแล้วก็เดินจากไปพร้อมอรุณ
“แล้วพงวิชละจะทำไง” ตั้มตะโกนถาม
“อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อ ปล่อยไว้สักครึ่งวันเดี๋ยวก็หาย” นพตะโกนตอบ

ที่หน้าห้องของเจ้าหญิงชานย่า องค์ราชินีเมื่อเสด็จออกมาก็ทรงเสด็จไปยังลานประกวดของงานในทันที แล้วนินาก็ตามไปอารักษ์ขาองค์ราชินี เมื่อองค์ราชินีเสด็จออกจากพระราชวังไป นาตาลีก็รีบกลับเข้าไปที่ห้องของเจ้าหญิงชานย่า
“เจ้าหญิง พระองค์ทรงสบายดีมั้ยเพค่ะ” นาตาลีแสดงความเคารพและถามขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก เมื่อคืนแค่มีชาย 2 คนเข้ามาทำร้าย แต่พอตื่นมาก็ไม่เห็นอะไรแล้ว” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“ชาย 2 คนนั้นมันรูปร่างเป็นอย่างไร หม่อมฉันจะรีบนำตัวมาลงโทษในทันที
“คนนึงเป็นเด็กถือคันธนูประหลาดๆ มัดผมจุกหน้า อีกคนผมสีแดงตั้ง มีปลอกแขนเหล็กและปลายนิ้วแหลม” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“องค์หญิงทรงวางใจได้ ไม่ช้านี้ ชาย 2 คนนั้นหม่อมฉันจะจับตัวมาลงโทษ” นาตาลีพูดเสร็จก็เดินออกไปจากห้องทันที

ที่ลานประกวด ณ ไดนาส สเตเดี้ยม ซึ่งใช้ปากปล่องภูเขาไฟยักษ์นั้นเป็นลานแสดง ผู้คนมากมายต่างเข้าไปรอชมกันอย่างล้นหลาย
“และนี่ก็ใกล้เวลาที่จะเริ่มการแข่งขันแล้ว ในอีกไม่ช้า องค์ราชินีมิเอล่า ก็จะเสด็จมาถึงเพื่อเปิดพิธี และบุคคลคนสำคัญอีกท่านก็คือ เจ้าชายซาร์คารอสแห่งอาณาจักรเมเทลิโอส ได้เสด็จมาเยี่ยมชมการแข่งขันในวันนี้ด้วย” โฆษกประกาศรายงานผ่านไมค์ดังไปทั่ว เหนือปากปล่องภูเขาไฟยักษ์นั้นมีแต่เรือเหาะจำนวนมาก ลอยวน และเต็มไปด้วยเสียงผู้คนจำนวนมาก และบนเรือเหาะลำหนึ่ง
“พงวิช หายจุกยัง” อิศราถาม
“ค่อยยังชั่วแล้วละ” พงวิชตอบ
“ทำไมคนแน่นจังวะ” บุ๊คบ่น
“นี่ลุง จะมาดูจะเอาตะเกียงมาถือทำไมเนี่ย มันร้อน” ปอนหันไปบ่นใส่ชายใส่ผ้าคลุมถือตะเกียง
“ขอประทานโทษคุณชายด้วยที่ทำให้ร้อน แต่ข้าเองนั้นก็มิอาจดับไฟในตะเกียงนี้ได้ ข้าจะย้ายไปยืนที่อื่นก็แล้วกัน” ชายคนนั้นตอบแล้วก็เดินหายไปในฝูงชน
“ขอทางหน่อยนะครับ ช่วยหลีกทางหน่อย” เสียงเด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นและเดินแทรกเข้ามา ทันทีที่เด็กชายคนนั้นโผล่พ้นมายังระเบียงนอกสุดได้
“พี่ชายครับ เห็นแฟนผมมั้ยครับ” เด็กชายคนนั้นถาม บุ๊คหันไปมองก็สะดุ้งตกใจทันที
“อ้าว ไอ้เด็กเวรนี่หว่า” บุ๊คตะโกนบอก พวกเพื่อนๆจึงหันมาดู
“แฟนแกเสร็จเป็นของข้าแล้วเว้ย” พงวิชบอก แล้วฮอนเน็ทก็ยื่นจมูกเข้ามาดมที่พงวิช อยู่สักพักแล้วเขาก็ตกใจทันที
“ไม่จริงนะ พัฟไม่ใช่คนแบบนั้น แกบังคับเธอใช่มั้ย” ฮอนเน็ทยกคันธนูขึ้นมาเล็งจ่อหน้าพงวิช
“ฮอนเน็ท เรามาทำงาน ไม่ใช่มานอกเรื่อง” ทาร่อนห้อยหัวจากเพดานลงมาบอก แล้วฮอนเน็ทก็กัดฟันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังคาเรือเหาะ

“และในบัดดนี้ องค์ราชินีได้เสด็จมาถึงแล้ว” โฆษกประกาศและวงดนตรีก็บรรเลงเพลงต้อนรับขึ้นทันที แล้วขบวนเรือเหาะหลวงแห่งไดนาสก็ลอยขึ้นมาจนเหนือภูเขาไฟยักษ์ แล้วองค์ราชินีและเจ้าชายซาร์คารอสก็แสดงความเคารพให้แก่กันและกัน
“ทีนี้เรามาเริ่มการแข่งขันประกวดเต้นระบำอันเร่าร้อนได้เลย” โฆษกประกาศ แล้วก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นไปทั่ว เหล่านักเต้นต่างก็ออกโชว์ลีลาการเต้นอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน และก็มีเสียงเฮ และปรบมือจากผู้ชมขึ้นเป็นระยะๆ
“นักเต้นเบอร์ 12 ลีลาเหลือร้ายจริงๆ ต่อไปนักเต้นเบอร์ 13 เธอชื่อ ยิววา ไม่ทราบแหล่งที่มาของเธอ เชิญชมการระบำของเธอได้” เมื่อโฆษกพูดเสร็จภูเขาไฟก็ปะทุขึ้นแล้วก็ดับลงปรากฏร่างของยิววายืนอยู่บนลานภูเขาไฟที่ข้างล่างนั้นเต็มไปด้วยลาวา

“ทาร่อน แม่นั่นออกมาแล้ว ยิงเลยใช่ปะ” ฮอนเน็ทถาม
“เล็งอย่าให้รอด นัดเดียวจอดเลย” ทาร่อนตอบ
“อรุณเร็วหน่อยดิวะ อ้วนแล้วอย่าชักช้า” เสียงของนพดังขึ้น ฮอนเน็ทและทาร่อนจึงหันไปมอง พออรุณกับนพปีนขึ้นมาบนหลังคาเรือเหาะได้ พวกเขาก็หันมาจ้องหน้ากันอยู่สักพัก
“แกนี่เอง” ทาร่อนชี้หน้า
“จะต่อยปะละ” อรุณบอก
“เฮ๊ย อรุณ นี่ๆๆ พวกแกอ่ะ ถูกสั่งให้มาฆ่าใคร พวกเราก็ถูกจ้างมาฆ่าคน จะไม่ฆ่าใครนอกงาน เอาเป็นว่า งานใครก็งานมัน อย่ามายุ่งเกี่ยว” นพบอก
“ในเมื่อพวกเราก็ทำงานที่เดียวกัน จะมาร่วมมือกันเลยมั้ยละ” ฮอนเน็ทถาม
“พวกเราเก็บเจ้าชายสุดหื่นนั่น แล้วแกละ” นพถาม
“ฉันก็มาฆ่าราชินีและชิงเอาลูกแก้วไฟไป” ฮอนเน็ทตอบ
“เออๆ งั้นมาร่วมมือกัน พักเรื่องเป็นศัตรูกันก่อน” นพตอบแล้วก็ปรับกระบอกปืนใหญ่แปลสภาพเป็นปืนไรเฟิลติดลำกล้องพิเศษขนาดใหญ่ที่มีกลไกซับซ้อน แล้วเขาก็มานอนราบกับพื้นตั้งปืนเล็งไปยังพระที่นั่งบนเรือเหาะส่วนตัวของเจ้าชายซาร์คารอส
“มาดูกันว่าฝีมือใครจะแม่นกว่ากัน” ฮอนเน็ทบอกแล้วก็นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งและยกคันธนูขึ้นเล็งไปยังพระที่นั่งของราชินีมิเอล่า
“รอจังหวะภูเขาไฟปะทุตอนจบอีกครั้ง” อรุณและทาร่อนพูดพร้อมกันแล้วทั้งคู่ก็หันมามองหน้า
“ลูกดอกนรกนี้ใครโดนตายสถานเดียว แม้แต่เทพ เทวดาก็ไม่รอดหรอก” ฮอนเน็ทชาร์ตพลังค้างเอาไว้

เมื่อเพลงจบยิววาจบท่าการสแดงด้วยภูเขาไฟปะทุพุ่งสูงขึ้น
“ยิง” ทาร่อนและอรุณพูดพร้อมกัน
นพยิงกระสุนสังหารจากอีกฟากของเรือเหาะเมเทลิโอส ฮอนเน็ทเองก็ยิงลูกดอกมรณะออก กระสุนของทั้งสองผ่านทะลุลาวาร้อนทะลุออกอีกฟาก ทันทีที่กระสุนนั้นทะลุออกมา นินาก็เห็นลูกศรที่พุ่งมาด้วยความเร็วจึงเอาตัวพุ่งเข้ามารับลูดอกมรณะนั้นแทนองค์ราชินี ส่วนเจ้าชายซาร์คารอสนั้นโดนกระสุนไรเฟิลยิงทะลุเข้าหัวใจ จากเสียงเฮของผู้คน เปลี่ยนกลายเป็นเสียงหวีดร้องขึ้น และแตกตื่นไปทั่ว
“หนีเว้ย” นพบอกแล้วก็รีบลุกขึ้นทันที
แล้วยิววาก็ปล่อยผมของเธอนั้นพุ่งเข้าโจมตีใส่เรือเหาะทั้งหมด จนเรือเหาะบางลำนั้นตกลงสู่พื้นข้างล่าง

แล้วจู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องของมังกรตัวหนึ่ง เสียงมันชั่งน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร เสียงของมันทำให้ผู้คนนั้นเงียบและหยุดลงทันที แม้แต่ทาร่อนเองก็ยังหนาวสันหลังทันที
“เสียง...น..น...นั่นมัน...” ทาร่อนพูดด้วยความกลัว แล้วเขาก็ตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
“ฮอนเน็ทรีบหนีไป” ทาร่อนบอกแล้วก็โยนฮอนเน็ทลงไปข้างล่าง
แล้วท้องฟ้าเหนือบริเวณนั้นก็มืดครึ้มลง แต่มีแสงสว่างนั้นสาดส่องทะลุผ่านกลุ่มเมฆส่องลงมาที่เรือเหาะขององค์ราชินี

“เกิอะไรขึ้นวะ” บุ๊คและพวกพงวิชต่างงงและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็กวาดสายตามองไปทั่วด้วยความลน แต่เห็นเพียงชายถือตะเกียงยืนนิ่งในขณะที่ผู้คนอื่นต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดกัน
แล้วก็มีดวงอาทิตย์ขนาดเล็กลอยลงมาจากฟากฟ้าเหนือเรือเหาะขององค์ราชินี ดวงอาทิตย์นั้นสาดแสงส่องสว่างไปทั่ว
“นั่นมัน” พงวิชตะลึงค้าง
“เทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์ อพอลโล่” ชายถือตะเกียงบอก

-------------------------------------------------------จบตอนที่ 49-------------------------------------------------------
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #48 on: November 26, 2005, 07:17:41 AM »

แต่งได้ดีครับ น่าติดตามและนำเสนอได้ดีครับ แต่อยากให้ระวังคำเชื่อมเนื้อหานิด อย่างคำว่า "แล้ว" ที่ปรากฏบางจุดมากเกินไปแล้วทำให้อารมณ์สะดุดเล็กน้อยได้ครับ  :D
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #49 on: November 26, 2005, 01:35:31 PM »

ตอน ลาก่อน

แสงแห่งเทพอพอลโล่ส่องสว่างไปทั่ว เทพเจ้าอพอลโล่ค่อยๆสยายปีกกางออกเกิดเป็นคลื่นไฟตีแผ่กระจายออกไป ดวงอาทิตย์ที่ห่อหุ้มนั้นที่จริงแล้วก็คือปีกของอพอลโล่นั่นเอง ภายในมีชายใส่ชุดขาวเบาบางมีปีกขนาดใหญ่มากยืนหลับตานิ่ง ยิววาเห็นจึงใช้เส้นผมของเธอโจมตี แต่ทันทีโจมตีนั้น เส้นผมของเธอก็รุกเป็นไฟไหม้ขึ้น
“ยิววาหนี ที่นี่ไม่ปลอดภัย” ทาร่อนบอก แล้วเสียงของมังกรลึกลับนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทาร่อนขาชาขยับไม่ได้ เขาจึงค่อยๆหันกลับไปและออกแรงสุดท้ายยกเท้ากระโดดหลบไปข้างๆ ทำให้เขานั้นรอดจากการโจมตีของมังกรดำลึกลับตัวนั้น
“มังกรดำนั่น” พงวิชเห็นก็รู้ทันที
“แล้วมันละ” บุ๊คมองหา
ส่วนยิววาเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ไหวเธอก็วิ่งไปที่จะกระโดดลงไปจากปากปล่องภูเขาไฟ แต่ทันทีที่เธอหันหลัง เธอก็เห็นชายชุดดำยืนขว้างอยู่เบื้องหน้า
“Demon Hole” ชายชุดดำร่ายมนต์เปิดประตูปีศาจ ดูดทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นเข้าไป เทพเจ้าอพอลโล่ใช้ปีกขนาดใหญ่โอบเรือเหาะองค์ราชินีไว้ ส่วนพวกพงวิชนั้นโดนพลัดตกลงมาข้างล่างยังลานภูเขาไฟ
“ปีกเทพสวรรค์โปรดคุ้มครองลูกด้วย Angel Wing” อิศราร่ายมนต์เรียกปีกเทพออกมาโอบล้อมพวกเขาทั้ง 7 ไว้ แล้วเรือเหาะของพวกพงวิชและยิววาต่างถูกดูดหายเข้าไปในประตูปีศาจ แล้วประตูนั้นก็ปิดลง

“เยริ ฟอรีมัส เดคิซัส เยอุส ด้วยแสงมรณะแห่งบิดา...” ในทันทีที่ชายชุดดำกำลังท่องคาถาร่ายเวทย์มนต์ก็มีเสียงปืนดังขึ้น กระสุนตรงเข้าที่ท้องของชายชุดดำ
“แค้นนี้ต้องชำระ ที่เหลือจัดการเองนะ ไอ้หนู” แจ๊คเป่าควันจากปากกระบอกปืนแล้วเขาก็เดินกลับลงไปจากลานภูเขาไฟ
“ยิงเอาง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ” พงวิชยังงง พอเขาเห็นกลับไปมองที่ชายชุดดำก็เห็นร่างของชายชุดดำล้มคุกเข่าลง
“เล่นมันเลยเปล่า” ปอนหันมาถามเพื่อนๆ
“เอาทีเดียวพร้อมกันเลย เอาแบบสิ้นใจไปเลยนะ พวก” พงวิชชักดาบอีฟริตออกมา แล้วเพื่อนๆต่างก็พยักหน้าตกลงกันในความคิด
“Meteor” ตั้มร่ายเวทย์มนต์เรียกอุกกาบาตขนาดเล็กลูกหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้าโจมตีใส่ชายชุดดำ แต่ทันทีที่อุกกาบาตจะตกถึงพื้นก็มีวงเวทย์โบราณเรืองแสงขึ้นรอบๆชายชุดดำ เมื่ออุกกาบาตนั้นตกใส่ ก็มีสนามพลังพุ่งขึ้นมาป้องกัน ทำให้พวกพงวิชตกใจ
“งั้นเวทย์มนต์ ไสยศาสตร์ไม่ได้ผล เอาระเบิดไปกินไป๊” ปอนเขว้งระเบิดใส่ แต่ระเบิดนั้นกลับเด้งออกมาทันทีที่ชนกับสนามพลัง พวกพงวิชตกใจหนัก พอได้สติพวกเขาต่างก็วิ่งหนีหลบระเบิด
“บ้าแล้วโว๊ย” บุ๊ควิ่งเข้าไปพร้อมกับเอาโล่เฟียเรียสตบใส่สนามพลังนั้น แต่เขากลับกระเด็นออกมาอย่างแรง
“มาดิเรส ฟอดิส เดริ สเปว” ชายถือตะเกียงร่ายคาถาโบราณสลายสนามพลังนั้น พวกพงวิชตกใจทันทีเมื่อรู้ว่าชายถือตะเกียงพูดภาษาโบราณได้
“พงวิช จัดการมันเลยดิ” ตั้มสั่ง พงวิชก็พยักหน้าแล้วเขาก็จับดาบแน่น
“เดี๋ยวก่อน ท่านจงอย่าได้คิดที่จะจัดการชายผู้นั้นด้วยมือเปล่าเลย ชายผู้นั้นทรงพลังยิ่งเหนือกว่าสิ่งใด เราต้องรวมพลังกัน ท่านชายที่ถือดาบอีฟริตเล่มนั้น โปรดท่องคาถาตาม ข้าพเจ้าเถอะ” ชายถือตะเกียงบอก พงวิชเองก็ยังสงสัยว่าทำไมแต่เขาก็ลองทำดู ชายถือตะเกียงจึงปล่อยมือจากตะเกียงให้ลอยอยู่ในระดับหน้าและเขาก็กางแขนออก

“เยนอส” พงวิชและชายถือตะเกียงพูดพร้อมกัน ทันทีที่พงวิชพูดออกมา ต่างทำให้เพื่อนๆตกใจกันว่าทำไมถึงพูดออกมาได้
“คิสามอส” ทั้งคู่ต่างพูดกันต่อ แล้วตั้มก็เหลือบไปเห็นชายชุดดำที่ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“อีฟิรอส” ทั้งคู่หลับตาลงและท่องคาถาต่อ
“กาดิออรุส เทพพิทักษ์แห่งอพอลโล่ ถล่มชายผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าบัดเดี๋ยวนี้” พงวิชและชายถืองตะเกียงชี้ไปทางชายชุดดำ หลังจากนั้นก็มีผู้เสื้อแดงจำนวนมากพุ่งออกมาจากแขนเสื้อชายถือตะเกียงพุ่งตรงไปยังชายชุดดำ ส่วนพงวิชนั้นปรากฏชายสูสง่างามมีเปลวไฟรุกขึ้นออกมาจากตัวในบางส่วนพุ่งออกจากตัวพงวิชไปพร้อมกับถือดาบอีฟริต ผีเสื้อแดงและมนุษย์ไฟนั้นพุ่งเข้าโจมตีใส่ชายชุดดำพร้อมๆกัน ทันทีที่เข้าใกล้กลุ่มผีเสื้อแดงก็รวมตัวและปรากฏร่างคิมสันออกมา
“ดาบเพลิงสุริยัน เผามารจนมอดสิ้น Holy Sun Sword” คิมสันและอีฟริตใช้ดาบของตนฟันลงใส่ชายชุดดำพร้อมกัน จนเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกมากระจายไปทั่ว

เมื่อเปลวเพลิงนั้นดับลงและหายไป พวกพงวิชและชายถือตะเกียงต่างตะลึง ชายชุดดำใช้มือทั้งสองรับดาบของเทพพิทักษ์แห่งอพอลโล่ไว้ แต่ในมือของชายชุดดำนั้นมีเลือดไหลหยดออกมา
“Thousand Flame” อีฟริตใช้ดาบไฟแทงใส่ชายชุดดำพันครั้ง แต่ชายชุดดำก็หลบได้หมด
“Crimson Strike” คิมสันใช้ดาบเพลิงผีเสื้อแทงเข้าที่หน้าของชายชุดดำจนกระเด็นออกไป
“ชนะแน่โว๊ยวันนี้” พวกพงวิชต่างวิ่งเข้ามาดีใจกัน

แต่แล้วพวกเขากลับต้องหยุดดีใจ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของชายชุดดำดังขึ้นพร้อมกับเขาค่อยๆลุกขึ้น ใบหน้าของเขานั้นมีเลือดไหลนอง
“นานมาแล้วที่ข้าไม่เคยได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด ขอบใจพวกแกมากที่ช่วยเตือนสติให้ข้านั้นไม่ประมาท…” ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้นเงาของเขาก็มีไฟสีดำค่อยๆรุกขึ้นท่วมร่างของเขา เขาดึงแว่นเลเซอร์ออกก่อนที่ไฟดำจะท่วมร่าง ทันทีที่ไฟนั้นคอบคลุมชายชุดดำจนร่างของเขานั้นเป็นเปลวเพลิงสีดำไปแล้ว ก็มีเพียงแต่แววตาสีขาวอันน่ากลัวที่เปร่งออกมาให้เห็น
“ท่านพญามาร ด้วยคำขอจากเจ้าแห่งสุริยาแล้ว ข้าขอให้ท่านจงกลับไปเถอะ” เสียงอันหวานคมของเทพเจ้าอพอลโล่ดังขึ้นพร้อมกับสยายปีกออก
“แน่นอน แต่ข้าจะกลับหลังจากที่เจ้าต้านพลังข้าได้เท่านั้น” พญามารก้มตัวลงแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับปีกมารทั้ง 8
“ชแว็ป ท่านเทพอพอลโล่” เสียงอันแหลมดังขึ้น แล้วก็ปรากฏร่างของเทพองค์หนึ่ง
“ข้ามีนามชื่อ เยรูซา ข้านำคำบัญชาจากพระองค์เจ้ามาบอกกล่าวให้พวกท่านฟัง ในนามตัวแทนแห่งพระองค์เจ้า ข้าขอให้พญามารจงยกเลิกการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ฉะนั้นตัวข้าและผู้พิทักษ์อีก 4 องค์จะสาปแช่งท่าน” เยรูซาอ่านคำบัญชานั้นเสร็จก็สลายหายไป
“จำคำทำนายของข้าไว้ให้ดีไอ้พวกเทพทั้งหลาย หลังจากนี้ 5 ปี ข้าจะเป็นหนึ่งเดียวในโลกทั้ง 9 ที่จะไม่มีใครกล้ามาขัดข้อต่อข้า และพวกเจ้าข้าจะจับลงโทษประหารทั้งหมด ถึงแม้ใน 5 ปี ข้างหน้าข้าจะไม่ใช่หนึ่งเดียวในโลกทั้ง 9 แต่มาร์คัสพวกเจ้าไม่รอดแน่ เขาจะกลับมาแก้แค้นที่พวกแกทำกับเขาไว้” พญามารตะโกนพร้อมกับชี้ด่าขึ้นไปบนท้องฟ้าเสร็จก็สลายกลายเป็นควันจางหายไป

“มันจบแล้วละ” ชายถือตะเกียงบอกแล้วคิมสันก็สลายไปกลายเป็นผีเสื้อแดงบินกลับเข้าไปในแขนเสื้อของชายถือตะเกียง
“เออใช่ ท่านพูดภาษาโบราณได้ ท่านช่วยแม่ชีผู้นี้ที” แบมบูบอกแล้วก็อุ้มร่างของแม่ชีมา
“นั่นไงเลือดของชายชุดดำที่เปื้อนอยู่บนดาบอีฟริต มันใช้ในการรักษาได้” แบมบูชี้
“งั้นข้าจะช่วยแม่ชีผู้นี้เอง” ชายถือตะเกียงบอก แล้วเขาก็ชูตะเกียงเหนือหัวแม่ชี
“โวเรที มะลาราส รีเวิส แค” ทันทีที่ชายถือตะเกียงร่ายมนต์เสร็จน้ำของชายชุดดำก็กลับใสสะอาดเป็นน้ำบริสุทธิ์ไหลลงบนหน้าของแม่ชี สักพักแม่ชีเกลวารีนก็ฟื้นขึ้นกลับกลายเป็นปกติ

“ขอบใจมากนะ” แบมบูวิ่งเข้ามากอดชายถือตะเกียง แล้วเขาก็กลับไปพยุงร่างของแม่ชีเอาไว้
“แบมบูจะไปไหนอ่า” ตั้มถาม
“เออ เค้าก็คิดว่าจะพาแม่ชีกลับไปยังโบถส์ที่เวเอร่าก่อน พวกนายจะไปไหนละ” แบมบูหันมาตอบ
“ไปหมู่บ้านอินเดท แล้วเจอกันที่นั่นนะ” ตั้มบอกแล้วพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไป เทพเจ้าอพอลโล่ก็กระพือปีกอีกครั้งปลดปล่อยกลุ่มเมฆฟ้าอันมืดทึบให้กลับมาแจ่มใสดังเดิมและองค์ท่านก็ลอยกลับขึ้นไปยังดวงอาทิตย์

หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกันไปนั้น พวกพงวิชก็ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนอย่างมีความสุข พวกเขาออกเดินทางไปเรื่อยๆ มิตรภาพของพวกเขาสร้างพลังในการนำพาให้พวกเขาก้าวหน้าเดินต่อไป ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ก็ตาม ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ที่ไดนาส 1 อาทิตย์ พวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านอินเดท เขาได้พบกับเหล่าเพื่อนสาวที่พามาย่ามารักษา จากนั้นพวกเขาทั้ง 6 ต่างก็ตกลงที่จะหยุดการเดินทางมาพักผ่อนในหมู่บ้านเล็กอันแสนจะสงบ ชีวิตของพวกเขาสดใสเหมือนดอกไม้บานในยามเช้า แต่หลังจากที่พวกเขานั้นได้ใช้ชีวิตกันอย่างแสนสุขได้ 6 เดือน พวกเขาต่างก็มาปรึกษากันและตกลงใจกันที่จะแยกทางออกไปผจญในทางใครทางมัน โดยมีโทรศัพท์มือถือไว้คอยสื่อสารหากันในยามคิดถึง และพวกเขาก็ยังต้องการที่จะนำประสบการณ์เก่ามาใช้และศึกษาประสบการณ์ใหม่ในชีวิตข้างหน้า

แต่ในทางเดียวกัน ในโลกลึกลับที่ชายคนหนึ่งเดินไปทั่วจนไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกไม้ไปหมด เขาท้อแท้และหมดหวังกำลังใจ เขาเดินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดวันแล้ววันเล่าเป็นเวลาหลายเดือน จนเขามาเจอกับต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาทั้งท้อทั้งเหนื่อยทั้งหิวและอ่อนล้าจึงหยุดพักและวางร่างของน้องสาวผู้จากไปไม่หวนคืนลงบนตักของเขา สายลมที่พัดมาอันแพร่วเบาทำให้เขานั้นรู้สึกเย็นสบาย
“แอริส ทิวทัศน์ในตอนนี้มันสวยงามมากจริงๆ” มาร์คัสมองไปรอบๆและหยิบเศษขนมปังที่แอริสทำชิ้นเล็กๆชิ้นสุดท้ายที่เท่าหัวนิ้วก้อยขึ้นมา แต่พอเขาก้มลงมองน้องสาวตน เขาแทบกั้นน้ำตาไม่ได้จนไหลออกมาเมื่อนึกถึงความหลังอันดีและแสนสนุกที่มีต่อน้องสาว
“แอริส” เขาร้องไห้อยู่สักพัก ไม่นานักเขาก็หยุดสะอึ้งและปาดน้ำตาออก
“หลับให้สบายเถอะน้องรัก” เมื่อสิ้นเสียงของพี่ชายที่แสนดีแล้วนั้น เขาก็หลับตาลงพร้อมกับน้ำตาไหลออกมาและไม่ยอมตื่นขึ้นอีกเลย สองพี่น้องคู่นี้ได้จากลาโลกทั้ง 9 ไป อยู่กันเพียงลำพังบนโลกที่ 10 ที่มีเขาทั้งสองมีคู่เดียว

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

และแล้ว นิยายเรื่องใหญ่ของผมในภาค 5 นี้ก็สิ้นสุดและจบลงในตอนที่ 50 พอดี เนื้อเรื่องต่อจากนี้จะเป็นภาคที่ 6 ซึ่ง 2 ภาคนี้จะทำเนื้อเรื่องออกมาเชื่อมต่อกัน และในภาค 6 จะมีการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น ความล้ำสมัยในเทคโนโลยีผสมผสานไปกับเวทย์มนต์ต่างในแบบฉบับ Fantasy World

โปรดติดตามชมนิยายเรื่องต่อจากนี้ได้ในภาค 6 นะคร๊าบ


THE END
[/size]
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #50 on: November 28, 2005, 09:26:59 PM »

โอ้วจบแล้ว ยาวดีจริง ๆ ตอนจบเหมือนรวบรัดไปนิดแต่ก็ลงตัวตามแบบฉบับที่มันควรจะเป็นดีครับ  :D
Logged


Pages: 1 [2]  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.215 seconds with 21 queries.