Summoner Master Forum
November 27, 2024, 11:48:32 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1] 2  All
  Print  
Author Topic: FANTASY WORLD V  (Read 16924 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« on: August 19, 2005, 01:58:14 AM »

ความเดิมตอนที่ผ่านๆมาถึง 10 ตอนนั้นสามารถดูได้จาก

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=7;action=display;threadid=13548

---------------------------------------------------------------------

ตอน จันทราในราตรี

         ทุกสิ่งในค่ำคืนที่เงียบสงัด ผู้คนนอนหลับสนิท พวกเขาไม่ระวังตัวอะไรกันเลย และรอบข้างตัวของพวกเขานั้น กำลังอยู่ในอันตราย สัตว์อสูรตัวหนึ่งบินวนอยู่รอบเรือเหาะเพื่อสังเกตุดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยอย่างที่มันวางแผนคิดเอาไว้

         แต่ดูเหมือนว่าเจ้าอสูรตัวนี้ยังคงรอคอยบางอย่าง แล้วแสงจันทร์ที่สว่างจ้านั้นก็สาดส่องมาบนดาดฟ้าเรือเหาะ ผู้คนต่างหลับใหล เรือเหาะก็แล่นไปอัตโนมัติ แล้วก็มีเงาหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นี้ ทำให้อสูรตัวนั้นบินพุ่งเข้ามาโจมตีด้วยกงเล็บอันเลียวแหลม แต่เกิดแสงสะท้อนสว่างจ้าสาดส่องใส่อสูรตัวนั้นจนอสูรตัวนั้นบินหนีไปโดยทิ้งเพียงหญิงสาวผู้นั้น

         ต่อมาเธอก็คุกเข่าลงท่องคาถาบางอย่าง จนเบื้องหน้าของเธอปรากฏเป็นลูกแก้วใสๆลูกหนึ่งสว่างจ้าออกมา แต่ก็มีปลดไกปืนดังขึ้น
“ไม่ต้องหันมามอง” นพใช้ปืนจ่อที่ศีรษะของเธอ
“ท่านยิงฉันไม่ลงหรอก” หญิงสาวคนนั้นบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ลูกแก้วใสลอยได้ นพก็รู้ตัวเองว่ายิงสาวคนนั้นไม่ลงจึงเก็บปืน
“เจ้าเป็นใครกัน ทำไมตอนขึ้นเรือเหาะข้าไม่เห็นเจ้า” นพถาม หญิงสาวจึงหันมาอย่างช้าๆ เมื่อนพเห็นถึงกับตะลึงในความงดงามของเธอจนอ้าปากค้าง
“ฉันเป็นใคร เธอต้องค้นหาเอาเอง แต่ฉันมาดีแน่นอน และมีบางอย่างอาจจะให้ช่วยสักหน่อย” สาวคนนั้นบอก นพจึงกลืนนำลายไปอึกหนึ่ง
“เรื่องอะไรที่จะให้ช่วย แต่ก่อนอื่นขอทราบเจ้าก่อนจะได้มั้ย” นพถาม
“ฉันชื่อ ลูน่า เรื่องที่อยากจะให้ช่วยคือ ช่วยนำลูกแก้วนี้ไปให้กับเด็กหญิงตัวน้อยๆที่ชื่อ คูห์ ให้ที” ลูน่าตอบและยื่นลูกแก้วให้นพด้วยมือทั้ง 2 ข้างประคองแต่มือนั้นไม่ได้สัมผัสลูกแก้วเลย
“โอเค ข้าจะทำสักครั้ง แต่บอกไว้อย่างว่าต้องมีค่าแลกเปลี่ยน ข้าไม่ทำอะไรฟรีๆแน่นอน” นพบอก ลูน่าจึงหัวเราะเล็กๆ
“มนุษย์หนอ สงสัยฉันจะเลือกคนผิด แต่ไม่เป็นไร ท่านจะได้เศษผงจันทรา และจงจำไว้ว่าลูกแก้วนี้ห้ามถูกแสงใดๆ นอกจากแสงจันทร์” ลูน่าบอกข้อตกลงเรียบร้อย นพก็เดินเข้ามาคว้าลูกแก้วและเศษผงจันทรา
“ต้องการอะไรอีกมั้ย” นพถาม
“ไม่ต้องอะไรแล้วละ ฉันขอลา” ลูน่าพูดจบก็มีแสงสว่างจ้าไปทั่วจนนพต้องเอาแขนมาบังตา เมื่อแสงนั้นดับลง นพก็เห็นภาพเลือนรางที่เห็นลูน่านั่งบนดวงจันทร์เสี้ยวและสลายหายไป แล้วนพก็เดินกลับเข้าไปในห้องของตนแล้วขึ้นเตียงหลับทันที
“ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอนะ” ลูน่าคอยเฝ้าดูภารกิจที่ฝากฝังให้กับนพจากที่ใดสักแห่ง

         ที่อเบสต้า แม้จะดึกดื่นแค่ไหน แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มคนที่ทำงานในยามราตรี พวกนักฆ่าต่างๆ วิ่งไปตามหลังคาบ้านไปมา แต่ที่หน้าประตูเมืองนั้นมีชายคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซด์มาถึง และมาหยุดปะหน้ากับกลุ่มนักฆ่าเหล่านั้น
“นักฆ่ากลุ่มไซด์ร๊อคเหรอ ดับสิ้นคืนนี้แน่” ชายคนนั้นบิดเสียงเครื่องขู่
“ที่จะดับเป็นแกต่างหาก เจ้ากระสุนโลกันต์” หัวหน้ากลุ่มนักฆ่าไซด์ร๊อคสั่งลูกน้องกว่า 10 ชีวิตลุยเข้าสู้ ฟามจึงบิดมอเตอร์ไซด์เข้าปะทะพร้อมชักปืนคู่ใจออกมาสู้ และในคืนนั้นก็เกิดการต่อสู้ที่เกิดเสียงดังขึ้นจนมีทหารนั้นรีบมุ่งหน้ามา

         แต่เมื่อทหารมาถึงก็พบเพียงร่างที่สะบัดสบอนของพวกไซด์ร๊อคที่ทางการต้องการตัวอยู่จึงถือโอกาสจับตัวทันที แล้วได้ส่งข่าวไปยังศูนย์ใหญ่ที่มหานครเวลเรี่ยนว่าได้จับกลุ่มไซด์ร๊อคได้ ทำให้ตัดชื่อเหล่านักฆ่าที่ถูกตั้งหมายจับออกไปได้อีก นอริสหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการที่ศูนย์ใหญ่นั้น เห็นเช่นนี้ก็ดีใจ จึงเดินลงไปยังคุกใต้ดินที่ลึกและหนาที่สุด

         เมื่อลงมาถึงก็สั่งให้ยามเปิดประตูห้องขังนั้นออก แล้วเขาก็เดินเข้าไป
“ไง อยากเห็นแสงจันทร์บ้างมั้ย ถ้าพวกไซด์ร๊อคที่ถูกจับส่งตัวมาถึงเมื่อไหร่ แกจะได้ถูกประหารไปพร้อมๆกับมันแน่” นอริสพูดให้นักโทษคนหนึ่งฟัง แต่ดูเหมือนว่านักโทษคนนั้นจะนิ่งเงียบเหมือนไร้วิญญาณ แล้วนอริสก็เดินออกจากห้องไปพร้อมให้ปิดห้องขัง

-------------------------จบตอนที่ 11--------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #1 on: August 28, 2005, 04:52:47 AM »

ตอน ชายที่มากไปด้วยปริศนา

“ข้าชื่อ วิน เป็นนักโทษที่มีค่าหัวมากที่สุด ณ เวลานี้ ชีวิตอันแสนจะสั้นของข้ากำลังจะใกล้เข้ามา ทางเดียวที่ข้าจะหลุดพ้นจากความตาย ต้องทำตัวเหมือนดั่งฉายาและความน่ากลัว เงามืดเพชฌฆาต” วินนักโทษสำคัญที่สุดที่นอริสจับตัวมาได้โดยการที่วินนั้นยอมเสียสละตนช่วยน้องสาวให้หนีพ้นจากการบุกจับของเหล่าทหาร
“อาหารเช้ามาแล้ว กินซะ อีกไม่กี่อาทิตย์แกก็เตรียมไปนอนในหลุมแทนนอนในห้องนี้ได้แล้ว” ยามเฝ้าประตูเปิดช่องเล็กๆสอดถาดอาหารเข้ามาให้แล้วก็ปิดลงทันที

         บนเรือเหาะอันหรรษาที่พวกพงวิชนั้นอยู่ พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ กินข้าว ชมวิวทิวทัศน์ บ้างก็หาจีบสาว บ้างก็อ่านหนังสือเรียนรู้เวทย์มนต์ต่างๆ บ้างก็ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ แต่แล้วพงวิชก็เหลือบไปเห็นนพทำทีท่ามีพิรุต จึงเดินตามไป
“ข้ารับสัมผัสถึงพลังของด้านมืดอันแรงกล้ากำลังมาทางนี้” อีฟริตสื่อสารผ่านจิตให้พงวิชได้รับรู้ พงวิชจึงเลิกติดตามนพและกลับขึ้นไปยังบนดาดฟ้า

         เมื่อเขาขึ้นมาถึงก็มองไปรอบๆก็เห็นเพียงแต่เพื่อนๆของเขา
“มันมาถึงแล้ว” อีฟริตบอกแล้วเงาของอีฟริตก็เปร่งประกายร่างออกมาใช้หมัดไฟอันทรงพลังระเบิดพลังออกมา ทำให้เกิดแรงปะทะพลังขนาดใหญ่ ซึ่งฝั่งตรงข้ามกับพลังของอีฟริตนั้นปรากฏร่างของชายชุดดำขี่มังกรดำขนาดใหญ่พร้อมกับใช้ทวนขนาดใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งด้านมืดปะทะพลังเพลิงแห่งอีฟริต

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เมโรดีนตกใจพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปแอบสุ่มดูเหตุการณ์อยู่ที่ห้องคนขับ
“ทุกคนหลบเข้าไปข้างล่าง” พงวิชไล่ผู้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องลงไปหลบอยู่ยังข้างล่าง แล้วพวกเขาและเพื่อนต่างก็มาเตรียมสู้อาวุธพร้อมมือ
“มันอีกแล้วเหรอ” บุ๊คเห็นหน้าชายชุดดำแล้วหมดใจ
“อย่ากลัวมัน ลุยเลย” พงวิชจับดาบอีฟริตไว้แน่นในกำมือพร้อมกับวิ่งเข้าฟาดฟันอย่างไม่กลัวเกรง
“เศษผงจันทราในราตรี สิ่งกำเนิดแห่งชีวิต การกำเนิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง จัดการมันเลย อสูก้า” นพใช้เศษผงจันทราส่วนหนึ่งที่ได้มาอัดใส่เป็นกระสุนแทนดินดำแล้วยิงออกมา ทันทีลั่นไกปืนก็มีกลุ่มควันพุ่งนำออกมาพร้อมกับแสงสีขาวพุ่งตรงเข้าใส่มังกรดำ แล้วก็เกิดการระเบิดแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งๆที่ยังกลางวัน

         ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของนกสีรุ้งบินวนไปทั่วท้องฟ้า มังกรดำก็ยิงลำแสงสีดำใส่อสูก้าทันที เมื่อลำแสงนั้นกระทบร่างของอสูก้า ร่างของอสูก้าก็แตกสลายเป็นเศษผุยผงลอยไปทั่วท้องฟ้าและกลับมารวมใหม่ยังหน้าของมังกรดำและใช้ปีกขนาดใหญ่โอบล้อมมังกรดำไว้แล้วเปร่งแสงระเบิดตัวเองและมังกรดำไปพร้อมๆกัน จนมังกรดำนั้นหมดสภาพล่วงตกลงไปยังพื้น ชายชุดดำที่ขี่บนหลังก็กระโดดขึ้นมาบนเรือเหาะแทน แล้วอสูก้าก็รวมร่างอีกครั้งแล้วบินสลายหายไปบนท้องฟ้า

“อย่า งง จัดการมันซิวะ” อรุณบอกแล้วก็วิ่งเข้าใส่ชายชุดดำด้วยความบ้าคลั่งอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ชายชุดดำกลับสลายตัวเป็นควันลอยจางหายไป

“หนีไปซะได้” อรุณเตะควันเหล่านั้นด้วยความเซง ที่ช่วงเวลาสนุกของตนจบลงอย่างว่องไว
“ชายชุดดำ ถึงจะไม่เห็นความน่ากลัวอยากคำล่ำลือ แต่เพียงแค่สบตาก็บอกถึงพลังแล้ว สมชื่อจริงๆ” นพบอก ทำให้พงวิชเอะใจจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“รู้จักชายคนนั้นด้วยเหรอ” พงวิชถามด้วยความสงสัยและกะวลกะวายใจ
“ไม่รู้จักหรอก น้อยคนนักที่จะรู้กับชายชุดดำ แต่ส่วนมากจะรู้จักเขาเพียงแค่ชื่อชายชุดดำ ทุกคนเชื่อกันว่าเขาไม่ใช่คน เขาอาจจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีอีกพวกที่เชื่อตามหลักศาสนาว่าเขาเป็น... เป็น ... เป็นอะไรหว่า ลืมแล้วอ่ะ โทษด้วยที่จำไม่ได้” นพบอกแล้วก็เดินไปหาอรุณ

แต่พงวิชเองก็ยังสงสัยอยู่ดี จึงเดินย้อนกลับมาหาพวกเพื่อนๆ
“จะเอาไงดีละ เหมือนเจ้านั่นมันจะตามล่าพวกเราอย่างไรกะนั้นเลย” แพ๊คบอก
“ต้องอยู่ที่ๆมีคนเยอะๆ อย่างน้อยก็มีเพื่อนตาย” ปอนแนะความคิดมาจึงโดนตั้มทุบใส่
“จะบ้าเหรอ” ตั้มบอกแล้วก็วิ่งไล่ทุบ
“แต่ชายชุดดำนั่นมันต้องมีปริศนาอะไรบางอย่างแน่” พงวิชยืนเก๊กหล่อเกินหน้าเกินตาแพ๊ค
“เมื่อกี๊ไปถามคนขับเรือเหาะมา เขาบอกว่าเย็นนี้ก็จะถึงอเบสต้าแล้ว” อิศรานึกได้จึงบอกให้ทุกคนได้รับรู้ แต่ทุกคนก็ยังไม่แสดงอาการดีใจอะไรออกมา

“นี่ พวกเธอไม่แปลกใจอะไรบ้างเลยเหรอว่า ทำไมทุกครั้งที่เจอชายชุดดำ เขาต้องมีสัตว์ขี่มาด้วย ต้องใส่แว่นเลเซอร์ดำปิดตาอย่างมิดชิด ไม่พูดไม่จา มันน่าสงสัยออก” เมโรดีนบอก พวกพงวิชก็กลับมานึกและคิดไตร่ตรองดูอีกครั้ง
“ฉันจะตอบให้ ข้อแรก ชายชุดดำนั้นจะเรียกสัตว์ของเขาออกมาตามสถานการณ์อย่างตอนนี้เราอยู่บนเรือเหาะ เขาคงจะขี่อะไรมาไม่ได้นอกจากมังกรที่มีขนาดตัวใหญ่พอให้เขาขี่ได้ ข้อสองคนส่วนใหญ่จะลือเรื่องดวงตาของชายชุดดำว่าเป็นตาแห่งพญามาร ใครที่ได้สบตาตรงๆจะตายได้ในทันที แต่หากเขาโดนแสงอาทิตย์ส่องเพียงเล็กน้อย เลือดเขาก็จะไหลออกมา เขาจึงใส่แว่นปิดมิดชิดตลอดเวลาเพื่อตัวเขาเอง และข้อสามเขาจะไม่พูดกับใครนอกจากบุคคลเหล่านี้ หนึ่งเหล่าเทพ เทวดา สองพวกที่เขาโกรธแค้นมากๆ สามญาติหรือเพื่อน สี่ตัวเขาเอง ถ้าสงสัยอะไรอีกก็หาคำตอบเอาเอง” นพบอกแล้วก็เดินลงไปยังในเรือกับอรุณ

“หายสงสัยแล้วก็ไปหาไรกินกัน” บุ๊คบอก
“หาเรื่องแต่จะกินอย่างเดียวเลย เออ งั้นพวกเราไปหาไรกินกันก่อนเถอะ พอท้องอิ่มสมองเดี๋ยวก็แล่น” ปอนบอก แล้วทุกคนก็ตกลงเดินเข้าไปในเรือเหาะเพื่อรับประทานอาหาร แต่พงวิชเองก็ยังไม่เลิกคิดสงสัยในเรื่องชายชุดดำ จนใกล้เย็น

         พวกพงวิชก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือเหาะชมแสงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า ท่ามกลางบรรยายกาศที่สวยงามจนพวกเขาลืมนึกถึงเรื่องกังวลไปเลย และพวกเขายังเห็นเมืองอเบสต้าที่รออยู่ข้างหน้าเพียงอีกไม่ไกลนัก
“ความกล้าหาญนั้นสำคัญยิ่ง แต่ศัตรูนั้นช่างเก่งกาจเกินยิ่งกว่า เจ้าต้องระวังตัว” อีฟริตเตือนสติให้พงวิชเริ่มรู้จักระวังตัวจากอันตรายรอบข้าง แต่พงงวิชเองก็ยังมีความคิดที่มุ่งมั่นเชื่อในฝีมือตนเองว่าไม่เกรงกลัวศัตรูหน้าไหนทั้งนั้น...

-------------------จบตอนที่ 12--------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #2 on: September 02, 2005, 12:10:22 AM »

ตอน อเบสต้า กับศัตรูตัวใหม่แข็งอย่างหิน

         เมื่อเรือเหาะแล่นมาลงจอดที่ท่าอากาศยานในเมืองอเบสต้า พงวิชก็ย่างก้าวออกมาเหยียบพื้นเป็นคนแรกด้วยอาการตื่นเต้นที่ได้มาในเมืองใหญ่ๆอย่างนี้ ส่วนนพและอรุณต่างก็เดินจากหายไปทันทีโดยไม่ล่ำลา
“เอาไงต่อ” บุ๊คสะกิดหลังพงวิช
“เดินเล่นก่อน แล้วค่อยเดินหาฟาม” พงวิชบอกแล้วก็ออกวิ่งนำหน้าไปทันที
“อะไรเนี่ย” ตั้มบ่นพรึมพรำแต่ก็เดินตามพงวิชไป

         บนภูเขาสูงไม่ใกล้ไม่ไกลที่ตั้งติดกับเมืองอเบสต้า นันได้มองดูพวกพงวิชที่ลงจากเรือเหาะและเดินเที่ยวเล่นในเมืองอย่างมีความสุข ด้วยความแค้นของตนจึงร่ายเวทย์มนต์ขึ้น
“ปีศาจแห่งหินผา เจ้าแห่งการแช่แข็ง รูปปั้นแห่งมาร ออกมาเลย !!! เคาท์ !!! ” นันเรียกลูกน้องของตนออกมาปรากฏตรงหน้า
“ไปจัดการมันเลย แล้วชิงเอาอัญมณีแห่งจันทรามาให้ข้า” นันสั่งเสร็จ เคาท์กึ่งคนกึ่งปีศาจ รับคำสั่งแล้วก็มุ่งหน้าไปที่เมืองอเบสต้าทันที
“คราวนี้แหละพวกแก” นันยืนหัวเราะด้วยความซะใจ พร้อมดูความสำเร็จของลูกน้อง

         เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก พวกพงวิชก็เดินทางมาถึงอีกฝั่งของเมืองซึ่งเป็นทางออกอีกฝั่ง ซึ่งที่นั่นมีร้านเบียร์ร้านหนึ่ง พวกพงวิชจึงเดินเข้าไปพักที่นั่นกันก่อน แต่พบว่าข้างในนี้พวกเขาได้พบกับฟามที่นั่งดื่มเบียร์อยู่ พงวิชจึงยิ้มออกมาและวิ่งเข้าไปหา
“ฟามอยู่นี่เอง มาถึงก่อนก็ไม่บอก” พงวิชบอก แต่ฟามก็นั่งนิ่งพร้อมกับกระดกเบียร์ต่อ
“อย่าเพิ่งสนใจเลย หาอะไรกินก่อนดีกว่า” บุ๊คบอกแล้วก็เดินไปสั่งเอาเป๊ปซี่คนละขวดมาให้เพื่อนๆ
“พวกเจ้านำ หายนะมาสู่คนในเมืองนี้รู้ตัวมั้ย” ฟามถาม
“ไม่รู้ ไม่สน เรามาปกติ” ตั้มตอบ
“งั้นเราไปกันต่อเหอะ” ปอนบอก
“ไอ้เอ๋อ อย่า Error ให้มาก เดินมาเหนื่อยๆยังจะเดินต่ออีกเหรอ” แพ๊คตบหัวเข้าที

         แล้วก็มีชายสูงร่างใหญ่ใส่หมวกทรงสูงชุกดำ หนวดยาว เดินเข้ามาในร้าน ฟามเห็นจึงเอามือข้างหนึ่งจับที่ปืนเต็มชักออกมาทันที
“มันมาละ” ฟามบอก พวกตั้มจึงมองไปที่ชายคนนั้น
“นั่นหนะเหรอ แก่อย่างกับรุ่นคุณตา จะมีแรงอะไรมาสู้” พงวิชชี้บอก แล้วชายคนนั้นก็เดินไปที่เคาท์เตอร์
“เคยเห็นชาย 2 คนที่คนหนึ่งมีมือเป็นปืนกระบอกใหญ่ๆมั้ย” เคาท์ถาม เจ้าของร้านก็ส่ายหน้าปฎิเสธ
“อ๋อ ถ้า 2 คนนั้นฉันรู้จักเลย” พงวิชลุกขึ้นเดินเข้ามายืนประชันอก ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันด้วยสายตา
“เจ้าหนู ถ้าไม่อยากเจ็บก็กลับไปนั่งกินเป๊ปซี่ซะ” เคาท์บอก
“แล้วถ้าไม่ จะเกิดอะไรขึ้นละ” พงวิชพูดด้วยความมั่นใจ แต่ทางเดียวกันกับพวกตั้มกลับนั่งเหงื่อตกและรีบดื่มเป๊ปซี่ให้หมด
“ก็ได้ งั้นเตรียมรับให้ดี” เคาท์บอกเสร็จก็หมุนตัวถีบด้วยความเร็วที่ทุกคนยังทึ่ง ใส่พงวิชจนพงวิชะลอยกระแทกติดฝาผนัง
“หมัดสลายพลัง” เคาท์ใช้หมัดของตนออกหมัดเป็นแรงลมพุ่งโจมตีใส่พงวิช อิศราเห็นเช่นนี้จึงรีบลุกมาขว้างพร้อมร่ายเวทย์
“Wall Magic Slot” อิศราสร้างกำแพงเวทย์มนต์แต่พลังนั้นทำให้ทั้งอิศราและพงวิชกระเด็นทะลุออกจากฝาผนังร้านออกไปข้างนอก
“เตือนแล้วไม่เชื่อ” เคาท์บอกแล้วก็เดินออกจากร้านไป เมโรดีนจึงรีบวิ่งออกไปดูอาการของพงวิชและอิศรา
“มันเตะหนักจังวะ อะ... แอ๊ก..” เมโรดีนพยุงพงวิชขึ้นมาด้วยอาการจุกท้อง
“อิศรา เจ็บมั้ย” ตั้มวิ่งมาดูอาการ
“เจ้านั่นมันไม่ใช่คน อย่าสู้กับมันเลย” ฟามบอก

         ส่วนทางด้านอรุณและนพก็ออกเดินทางไปตามที่นพเล่าเหตุการณ์ให้อรุณฟัง แต่พวกเขาทั้ง 2 ยังไม่รู้ว่ากำลังมีอันตรายเข้ามาใกล้ตัว

         และเวลาผ่านไปสักพักหลังจากที่พวกพงวิชหายจุกจากการโจมตีของเคาท์ พวกเขาก็มาปรึกษากัน
“จะทำยังไงดีกับเจ้าบ้านั่น” พงวิชถาม
“รีบไปจากที่นี่กันดีกว่ามั้ย” แพ๊คตอบ ตั้มจึงตบหัวทันทียังไม่ทันขาดคำ
“ไอ้นี่คิดแต่เรื่องหนี” ตั้มชี้หน้าบ่น
“ถึงพวกเราจะรุมมันก็ใช่ว่าจะสู้ง่ายเสมอไปนะ ดูจากรูปร่างแล้ว” อิศราบอก ในขณะที่ทุกคนกำลังปรึกษากัน ฟามกับนั่งหลับอยู่นอกวง
“ฉันว่า ฉันอาจจะช่วยพวกเธอได้บ้างนะ ถ้าให้ฉันช่วย” เมโรดีนเสนอความคิดขึ้น ทุกคนจึงหันไปมอง
“มีของดีอะไรเหรอหนูน้อย” พงวิชถาม เมโรดีนจึงทำหน้าไม่พอใจกับคำที่พงวิชเรียกจึงหยิบเก้าอี้ฟาดใส่หัวพงวิชจนอนาถ
“คือฉันมีสร้อยคอประจำตระกูลของฉัน ซึ่งท่านพ่อเล่ามาว่า หากพบปัญหาหรือศัตรูที่ร้ายกาจเกินจะเอาตัวรอด ให้นึกถึงสิ่งที่คิดว่าจะชนะมันได้ แล้วสร้อยเส้นนี้จะช่วยได้ทันที” เมโรดีนบอก ทุกคนก็เงียบไปสักพัก
“อิศราเข้าใจปะ” ปอนถาม
“ไม่เข้าใจ” อิศราตอบ เมโรดีนจึงโมโหแล้วยกโต๊ะขนาดใหญ่เหวี่ยงฟาดใส่พวกอิศราจนอนาถตามพงวิชเหลือเพียงฟามที่นั่งหลับอยู่ลำพัง

         สักพักฟามก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอ่ะ
“คิดออกแล้ว” ฟามบอก
“คิดอะไร” พงวิชคลานออกมาจากซากเก้าอี้ถาม
“คิดว่าที่จริงในเมื่อมันไม่ตามมาจัดการพวกเราแล้ว เราก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ไปตามทางของพวกนายต่อไปเถอะ” ฟามบอก

         สักพักทุกคนก็เริ่มคิดเป็นความเห็นเดียวกันที่จะออกเดินทางต่อ พวกพงวิชจึงเดินตามฟามออกจากร้านมาเมื่อฟามมาหยุด พวกพงวิชตามก็ตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
“นี่รถ Mitsubishi GTO 3000 ของใหม่เพิ่งซื้อมา ขึ้นมาเร็ว รถมันแรง” ฟามอกแล้วก็ขึ้นรถทันที

         เมื่อทุกคนขึ้นรถกันหมดฟามก็สตาร์ทเครื่องขับออกไปทันทีด้วยความเร็วสูง ซึ่งระหว่างทางนั้นมีทหารตรวจตราอยู่ ซึ่งฟามนั้นก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ทางการทหารต้องการจับ ฟามจึงเลี้ยวกลับไปอีกทาง จนมาถึงทางตรงฟามจึงบิดเครื่องด้วยความเร็วสูงสุด แต่แล้วจู่ๆเคาท์ก็เดินออกมาขวางทางพร้อมกับยิงพลังหินพสุธาโจมตีใส่ พวกงพงวิชเห็นจึงรีบกระโดดออกจากรถ เหลือเพียงฟามที่ยังขับและชักปืนออกมาทั้ง 2 ข้างเมื่อรถแล่นมาจนชนกับพลังหินพสุธา ฟามก็กระโดดออกจากรถพร้อมยิงปืนใส่เคาท์ เมื่อทุกคนลุกขึ้นตั้งหลักได้จึงวิ่งมาหาฟาม
“ขอโทษด้วย ทางนี้เป็นทางตัน” เคาท์บอก
“สงสัยจะหนียากซะแล้ว” พงวิชชักดาบอีฟริตออกมา และคนอื่นก็เช่นกันตั้งท่าเตรียมสู้เต็มที่
“อยากให้การต่อสู้นี้จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่แกตายไปซะ” ฟามบอก
“งั้นเข้ามาได้เลย” เคาท์ตั้งท่าเตรียมสู้

------------------------------จบตอนที่ 13-----------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #3 on: September 05, 2005, 12:21:27 AM »

ตอน สายลมที่พัดผ่าน

         เมื่อกลุ่มควันจากแรงระเบิดของรถคันใหม่ของฟามจางหายไป การต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้น
“Holy Guard” อิศราร่ายเวทย์มนต์สร้างเกราะให้พงวิชและบุ๊ค
“Ice Lance” ตั้มร่ายเวทย์มนต์สร้างน้ำแข็งขนาดใหญ่ยาวเป็นทวนหลายแท่งโจมตีใส่
“Thunder Bird” แพ๊คสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นรอบๆตัวปรากฏเป็นนกที่ร่างเป็นไฟฟ้า
“ลุยมันเลย” แพ๊คสั่งให้นกไฟฟ้าพุ่งออกไปโจมตี

         เมื่อพลังตั้มและแพ๊คโจมตีออกไปพร้อมกันเคาท์ก็โต้ตอบทันทีด้วยการชาร์ตพลังแล้วปล่อยโจมตีเป็นคลื่นปะทะกัน ทำให้พลังของตั้มและแพ๊คนั้นแข็งเป็นหิน และสเก็ตพลังยังทำให้เกราะเวทย์มนต์ที่อิศราเสริมให้พงวิชและบุ๊คแตกสลายด้วย
“จะจัดการมันยังไงดี” พงวิชวิ่งหาที่หลับและตั้งสติ
“หนีโล้ด” ปอนบอก

         ในขณะที่คนอื่นๆมาหลบอยู่ที่ซอกตึก พงวิชก็เหลือบไปเห็นเมโรดีนที่ยังยืนปะกับเคาท์อย่างตัวต่อตัวอยู่
“ด้วยสายลมที่ยังคงพัดผ่านไม่สิ้นสุด ผู้พิทักษ์ที่ผ่านไป จงกลับมาอยู่ยังเบื้องหน้าของข้าเถอะ ซิลด์” เมโรดีนท่องคาถาบางอย่างแล้วสร้อยคอของเธอก็เปร่งแสงออกมา
“Stone Curse” เคาท์ยิงพลังแช่แข็งใส่เมโรดีนทันที ทำให้เธอนั้นแข็งเป็นหินทันทีก่อนที่จะเรียกมนต์อสูรสำเร็จ พงวิชเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งออกไปช่วยแต่สายเกินไปที่จะหยุดยั้ง บุ๊คและคนอื่นๆจึงรีบดึงพงวิชกลับมา เมื่อเคาท์เห็นพงวิชจึงยิงพลังแช่แข็งใส่ แต่พงวิชก็หลบได้ทัน พงวิชแทบจะร้องไห้ออกมาแต่ก็กั้นใจไว้ได้
“หนีก่อนเหอะ” ปอนบอก พงวิชก็หันมาพยักหน้า
“ถ้าจะหนีทางนี้เร็ว” ชายคนหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งของซอกตึกกวักมือเรียกแล้วพวกพงวิชก็วิ่งตามไปทันที โดยทิ้งเพียงร่างของเมโรดีนที่ถูกแช่แข็งเป็นหิน
“ขอโทษด้วยคุณหนู” เคาท์เดินมาที่ร่างของเมโรดีนและกล่าวคำขอโทษก่อนที่จะเดินจากไป

         เมื่อพวกพงวิชทั้งหมดตามชายคนนั้นมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งที่นี่คืออู่ซ่อม
“นายเป็นใครกัน” ฟามถาม
“ฉัน มิ้ง นี่คือร้านของฉันเสี่ยมิ้งการช่าง” มิ้งตอบแล้วเดินเข้าไปในร้าน
“พงวิชอย่าร้อง” แพ๊คปลอบ แต่พงวิชก็ทำหน้านิ่งที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

         เมื่อเขาเดินเข้าไปในร้านก็ดูเหมือนจะไม่มีใครอื่นเลยนอกจากมิ้งภายในร้าน ปอนจึงเดินดูทั่วร้านเผื่อจะเจอบางอย่างที่ตนเอาไปประดิษฐ์ได้ แล้วมิ้งก็เดินมานั่งที่เก้าอี้
“เห้ย นั่งก่อน อุตส่าพาหนีมานะเนี่ย” มิ้งบอก
“ฉันจะฆ่ามัน” พงวิชพูดด้วยน้ำเสียงอันโกรธออกมา
“เออ เก่ง เก่งจริงๆ” มิ้งปรบมือให้
“นายช่วยพวกเราทำไม” ฟามถาม
“เอาเป็นว่าฉันช่วยพวกนายได้เยอะแล้วกัน ดูจากคู่ต่อสู้แล้ว” มิ้งยิ้มเหมือนมีความคิดบางอย่างอยู่
“เจ้านั่น ฉันจะฆ่ามันเอง อิศราช่วยหาวิธีรักษาให้เมโรดีนที ลาก่อนทุกคน หาก 6 โมงเย็นที่ทางออกไม่เจอฉัน ก็คิดซะว่าฉันตายไปแล้ว” พงวิชบอกแล้วก็เดินออกไปทันที แม้เพื่อนๆจะเตือนหรือห้ามไว้ เขาก็ยังคงมุ่งมั่นเดินต่อไป
“งั้น ฉันจะไปช่วยมันเอง ส่วนวิธีรักษา พวกนายคงต้องขึ้นเขาไปเก็บเห็ดเข็มพิเทอมั่ม แล้วก็นำเห็ดนั่นหั่นเป็นเข็มแล้วนำไปปักลงที่คนที่จะรักษา” มิ้งบอกแล้วก็ขึ้นมอเตอร์ไซด์คันเก่าๆคันหนึ่งบิดออกไปพร้อมกับพกประไจขนาดใหญ่ติดตัวไปด้วย
“สรุปเจ้าหมอนั่นมันช่างซ่อมหรืออะไรกันวะ” ปอนสงสัย

         ฟามจึงนำทางพวกตั้มขึ้นไปยังภูเขาใกล้ๆ เพื่อไปหาเห็ดเข็มมารักษาเมโรดีน ส่วนพงวิชเองก็ยังคงออกเดินตามหาเคาท์เพื่อแก้แค้น มิ้งเองก็ยังตามไปเพื่อช่วยพงวิชอีกแรง

         แต่ทางด้านเคาท์ เขาออกตามหาอัญมณีแห่งจันทราที่อยู่กับนพ และในที่สุดเขาก็ไปนพกับอรุณ ซึ่งอรุณกับนพก็ยืนรออยู่
“ว่าแล้วไง ต้องมีคนมาตาม” อรุณบอก
“เห้ย อรุณ สนุกๆหน่อย เสร็จงานนี้จะได้ไปกินข้าวแล้วออกเดินทางต่อ” นพบอกแล้วก็ชักปืนออกมา
“กระผมต้องการแค่สิ่งที่ท่านมีอยู่ ถ้าหากไม่ให้ก็คงต้องใช้กำลังเพื่อแย่งมา และก็คงขอโทษในสิ่งที่จะทำลงไปด้วย” เคาท์บอก

         เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายกล่าวคำขู่เตรียมพร้อมกันเสร็จ นพก็เปิดฉากโดยใช้ปืนใหญ่ของเขาตั้งขึ้นพร้อมชาร์ตกระสุน ส่วนอรุณก็วิ่งบู๊เข้าทันทีโดยบุกแบบไม่ให้เคาท์ตั้งตัว แต่เคาท์ก็หลบได้บ้าง แต่ก็ยังมีบางจุดที่โดนอรุณอัดใส่เต็มๆ จนเคาท์ต้องใช้พลังแช่แข็งโจมตีใส่อรุณ นพจึงตะโกนบอกให้อรุณหลบไป แล้วตนก็ยิงปืนใหญ่วายุโจมตีสวนกลับมาปะทะกับพลังแห่งดิน ด้วยแรงกระทบกันของสองพลัง พลังของเคาท์กลับเป็นฝ่ายที่แตกสลาย เคาท์เห็นจึงกระโดดหลบปืนใหญ่วายุทันที

“ถ้าคิดจะสู้ยากแล้ว ว๊าย ขำ ดินมาสู้กับลม ตายห่าแน่” นพหัวเราะอย่างสะใจ
“จบไปเสียที จัดการเลยนพ เดี๋ยวเตรียมให้” อรุณบอกแล้วพุ่งเข้าไปหาเคาท์ด้วยความเร็วจนถึงกับขนาดเคาท์สวนกลับด้วยหมัดอรุณยังหลบอ้อมไปเข้าด้านหลังแล้วก็ล๊อคตัวเคาท์ไว้
“ยิงเลย” อรุณตะโกนบอก เคาท์ก็พยายามดิ้มแต่ก็ไม่หลุด
“สายลมดั่งพายุคลั่งกับเศษดินที่หาญกล้า กลับไปเป็นเศษเถ้าธุลีซะ Air Cannon” นพปรับระบบปืนใหญ่ในรูปแบบพิเศษแล้วก็ยิงใส่เคาท์ เมื่อกระสุนลั่นออกจากปากกระบอกแรงลมมหาศาลก็พัดไปทั่วเมืองและพงวิชกับมิ้งก็สัมผัสได้ถึงต้นลมที่มาจากนพได้จึงรีบไปที่นั่นทันที

         อรุณจึงใช้เคล็ดวิชาดัดจุดตามตัวเคาท์ ทำให้เคาท์ขยับไปไหนไม่ได้
“บ๊าย บาย” อรุณบอกแล้วก็เดินออกห่างจากเคาท์

         เมื่อพลังแห่งสายลมที่นพยิงออกมาใส่เคาท์นั้น ทำให้ร่างของเคาท์แตกสลายเป็นผุยผงปลิวไปไกล แล้วสักพักพงวิชและมิ้งก็มาถึง
“ไง พงวิช” อรุณเดินเข้ามาทัก
“เห็นชายแก่ๆมั้ย” พงวิชถาม
“อ๋อ ปลิวไปโน้นแล้ว” นพชี้
“มิ้งช่วยที พาฉันไปที่นั่น” พงวิชบอก มิ้งก็พยักหน้าแล้วพงวิชก็ขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของมิ้งแล้วทั้งคู่ก็บิดออกไปยังภูเขาใกล้ๆ
“อรุณ ไปต่อเหอะ” นพบอกแล้วก็เดินทางต่อไป

         ในทางเดียวกันพวกฟามก็กลับลงมาจากภูเขาพอดี พร้อมกับเห็ดเข็ม ฟามจึงนำมารักษาคำสาปแช่แข็งให้เมโรดีนจนเธอหายดี แล้วพงวิชก็มาถึงพอดี
“ไปจัดการมันพร้อมๆกันเถอะ อัดก้นมันให้เละไปเลย” พงวิชจุดประกายไฟแห่งความสามัคคีของพร้องเพื่อน แล้วทุกคนก็มมุ่งหน้าไปยังภูเขา

         ที่ภูเขา เคาท์เดินขึ้นมาด้วยสภาพที่บาดเจ็บ
“ไม่ได้เรื่องลูกน้องแต่ละคน” นันมองดูสภาพของเคาท์
“ยากเกินกว่าข้าจะสู้ได้ ขอโอกาสข้าอีกสักครั้ง” เคาท์บอก นันจึงยืนดูสักพัก
“ได้ คราวนี้เจ้าจะมีพลังแกร่งขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ข้าจะให้เจ้าไปจัดการกับพวกเด็กแสบพวกนั้น เจ้า 2 ตัวนั่นข้ามีของขวัญจะให้มันหลายอย่าง” นันบอกแล้วก็เพิ่มพลังให้เคาท์ แล้วก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังโขดหิน เคาท์เห็นชายคนนั้นจึงอึ้ง
“2 แสบนั่นข้าให้เจ้านี่ไปจัดการจะดีซะกว่า” นันบอกแล้วก็ยืนหัวเราะ

-----------------------------จบตอนที่ 14------------------------------------
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #4 on: September 05, 2005, 07:50:29 PM »

ยาวเฟื้อย มาอ่านตอนนี้เลยไม่เข้าใจเท่าไหร่ ขอเวลาไล่อ่านก่อนแล้วกัน แล้วอาจมาติชมทีหลัง
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #5 on: September 07, 2005, 01:19:50 AM »

ตอน สายลมแห่งชีวิตกำเนิดใหม่

         ทันทีที่พวกพงวิชมาถึงเชิงเขา ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ขึ้นเป็นระยะ
“ไหวปล่าว” แพ๊คถามเมื่อแรงสั่นสะเทือนนั้นหายไป
“ไม่ไหววะกลับกันเถอะ” ปอนบอก แล้วตั้มก็ตบหัวทีแล้วลากขึ้นเขาตามพงวิชไปเรื่อยๆ

         เมื่อพงวิชที่วิ่งนำหน้าคนอื่นมาจนถึงล่องหุบเขา ก็พบเคาท์ที่กำลังนั่งหันหลังให้ แล้วเคาท์ก็หัวเราะขึ้นมา พงวิชจึงชักดาบออกมาตั้งท่าเตรียมสู้ทันที
“เจ้าเด็กน้อย เจ้ามีความแกร่งเกินที่เจ้าเห็น ถึงแม้วันนี้ข้าจะตายเอา อย่างน้อยข้าก็อยากจะเห็นพลังของเจ้า จงแสดงให้ข้าดูซะ” เคาท์บอกแล้วก็ลุกขึ้นยืน
“ฉันมาเพื่อล้างแค้นที่แกทำกับพวกเรา เท่านั้น พลังอื่นใดข้าไม่สนใจหรอก” พงวิชบอกแล้ววิญญาณของอีฟริตก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพงวิช
“ข้าจะสู้กับเจ้าเอง” อีฟริตบอกแล้วก็เดินออกมาจากร่างของพงวิช
“เพื่ออะไร” พงวิชถาม แล้วอีฟริตก็หยุดนิ่งสักพัก
“เพื่อส่งให้เขาได้ไปสู่สุขติ หากเขายังอยู่แบบนี้ ข้ารู้ถึงความเจ็บปวดอันแสนทรมานในใจของเขาได้ ฉันจะปลดปล่อยให้เขาเป็นสุข โปรดรักษาดาบนั้นด้วย” อีฟริตบอกแล้วก็เดินต่อไปพร้อมเปวเพลิงที่รุกโชดห่อล้อมร่าง
“แม้ตาย ก็ขอตายหลังจากที่ข้าได้สิ่งที่สมใจ” เคาท์ก็หันมา เมื่อพงวิชเห็นก็ตกใจ
“ข้ามีพลังมากขึ้น ถึงแม้ร่างกายจะปรากฏร่างกึ่งปีศาจก็ตาม ข้าไม่มีทางเลือกแล้ว” เคาท์กำหมัดไว้แน่น พงวิชที่มองดูอีฟริตเดินเข้าไปหาเคาท์ด้วยความแน่วแน่อย่างไม่หวั่นเกรงแม้ศัตรูจะเป็นอะไรก็ตาม ทำให้พงวิชเรียนรู้ถึงบางอย่างจากอีฟริตได้เพิ่มอีกข้อหนึ่ง

         เคาท์เปิดฉากโดยการใช้หมัดของตนต่อยลงที่พื้นเกิดเป็นแท่งหินแหลมพุ่งขึ้นจากพื้นโจมตีใส่อีฟริต แต่อีฟริตก็ยังเดินต่อไปแม้ว่าพลังนั้นจะปักเข้าตามแข้งขา ซึ่งพงวิชเห็นแล้วยังตกใจและพยายามจะเอ่ยปากห้าม แต่เมื่อนึกถึงความตั้งใจของอีฟริตแล้ว เขาจึงหยุดยืนดูอย่าห่างๆ
“Earth Lance” เคาท์ชูมือขึ้นเหนือหัวแล้วเศษดินผุยผงจำนวนมากก้มารวมเป็นแท่งหินแหลมขนาดใหญ่ แล้วก็ใช้แท่งหินแหลมโจมตีใส่อีฟริตเข้าไปที่ขาขวา และอีฟริตก็หลบแต่อย่างใด ทำให้เขาทรุดลงทันที
“ทำไมกัน ทำไม ทำไม” พงวิชยืนกัดฟันกำหมัดแน่นเมื่อเห็นอีฟริตโดนทำร้ายโดยไม่โต้ตอบแต่อย่างใด และยิ่งหนำซ้ำตัวเองยังไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้อีก
“อย่าร้องไห้นะเจ้าหนู การที่เราจะชนะอุปสรรคได้ต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย หากเจ้าจะคิดยอมแพ้ เจ้าไม่สามารถที่จะชนะสิ่งใดได้หรอก” อีฟริตสื่อจิตเข้าหาแม้ตนเองจะบาดเจ็บเพียงใด พงวิชที่ได้ยินแล้วจึงเงยหน้ามองดูอีฟริตที่เดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น
“อึดนักนะ ดูซิจะทนได้มั้ย Quakion Strike” เคาท์สร้างพลังแล้วก็เล็งโจมตีใส่อีฟริตแล้วก็มีหินจำนวนมากมายพุ่งเข้าโหมโจมตีใส่

         เมื่อกลุ่มควันนั้นจางหายไป พงวิชก็เห็นเพียงร่างของอีฟริตที่ทรุดลงไปกองกับพื้น
“เจ้าหนู ข้าต้องการเห็นพลังของเจ้า พลังอันมหาศาลที่ข้าอยากจะเห็น ใช้มันเพื่อฆ่าข้าซะ” เคาท์บอก
“แต่ยังก่อน” อีฟริตพูดขึ้นแล้วก็ค่อยขยับร่างลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ทำไมไม่โต้ตอบละ อีฟริต” พงวิชถาม
“ถ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่ขัดศรัทธา การที่ข้าปล่อยให้เจ้าโจมตีเพื่อรวบรวมพลังของเจ้า ตอนนี้ละ ข้าจะขอสู้กับเจ้าอย่างแท้จริง” อีฟริตที่ยืนหยัดขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง พงวิชก็ยิ้มออกมาทันทีด้วยความปลื้มปิติ

“ได้งั้นก็ตายทั้งคู่ซะ Earth Quake” เคาท์ใช้หมัดของตนต่อยลงที่พื้นเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่จนพวกตั้มที่อยู่ข้างนอกนั้นยังสัมผัสได้
“ถล่มมันให้จมดินไปเลย” เคาท์เรียกกำแพงดินขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสูงเหนือล่องหุบเขาแล้วก็ถล่มเป็นคลื่นโจมตีใส่พงวิชและอีฟริต
“Fire Wall” อีฟริตเรียกกำแพงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากพื้นปะทะกับพลังของเคาท์ แล้วตนก็กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า
“Meteor Fire” อีฟริตเรียกหินขนาดใหญ่ลอยขึ้นมาจำนวนมากด้วยพลังที่ได้รับมาจากเคาท์ แล้วหินเหล่านั้นก็มีเปวเพลิงห่อหุ้มจนเป็นลูกอุกกาบาต แล้วอีฟริตก็อัดใส่ลูกบอลเพลิงเหล่านั้นโจมตีใส่เคาท์ดั่งอุกกาบาตถล่ม เคาท์เห้นเช่นนั้นจึงรีบสร้างกำแพงดินมาป้องกันทันที อีฟริตจึงโจมตีต่อเนื่องทันที
“Hell Fire” อีฟริตคำรามดังลั่นไปทั่วหุบเขาแล้วก็เกิดเป็นนรกไฟขนาดใหญ่เขาล้อมตัวเคาท์และอีฟริตไว้
“ที่นี่ไม่มีดินให้เจ้าป้องกันอีกแล้ว” อีฟริตบอกแล้วก็ใช้หมัดเพลิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งไฟจำนวนมหาศาลพร้อมดวงวิญญาณอีกนับหมื่นๆแสนๆที่พร้อมใจส่งพลังให้อิฟริต นั้นอัดใส่เคาท์อย่างเต็มจนเกิดแรงระเบิดกระจายไปทั่วท้องฟ้าเหนือภูเขานี้

         เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างจบลงร่างของอีฟริตที่สลายหายไปเพราะใช้พลังงานไปมากจนตัวเองนั้นต้องพักฟื้นอยู่ในดาบของพงวิช ทำให้ดาบนี้ไร้ซึ่งพลังแห่งอีฟริตแล้ว จากนั้นพวกเพื่อนๆก็ตามมาถึงพอดี ซึ่งทุกคนก็เห็นเพียงร่างของเคาท์ที่ยังมีไอความร้อนระเหยออกมาจากตัวและร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเคาท์
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ พงวิช” เมโรดีนถาม
“มาไม่ทันงานเลิกจนได้” บุ๊คบอก
“เออเว้ย กลับกัน” มิ้งบอก
“ไม่หรอก มันยังไม่จบ” ฟามบอกแล้วทุกคนก็นิ่งกันสักพักและจ้องมองไปที่ร่างของเคาท์

         อยู่สักพัก ร่างของเคาท์ก็ลอยขึ้นมา ทุกคนจึงอึ้งทันที ทุกคนจึงตั้งท่าระวังตัว แล้วร่างของเคาท์ก็มีแสงเปร่งประกาย เมื่อแสงนั้นดับลงทุกคนก็เห็นแมงป่องขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนหัวของมันคือเคาท์
“เอาไงดี” ตั้มถาม แล้วทุกคนก็มองหน้ากัน แล้วก็พยักหน้า
“ความกลัวทำให้พวกเราแพ้ เพราะฉะนั้นหากเราคิดว่าชนะได้ เราก็จงทำมันอย่างตั้งใจ จัดการมันเลย” พงวิชพูดปลุกใจเพื่อนแล้วพงวิช บุ๊ค ฟามและมิ้ง ต่างก็วิ่งเข้าสู้ทันที

“Perfect Shied” อิศราร่ายเวทย์สร้างเกราะให้กับเพื่อนๆทุกคนรวมทั้งตัวเอง
“Thunder Shock”  แพ๊คร่ายเวทย์มนต์สายฟ้าโจมตีใส่เคาท์
“เอา บอมเบย่า ไปกิน” ปอนเขว้งระเบิดใยแมงมุมที่เหนียวจนทำให้การเคลื่อนไหวของเคาท์นั้นช้าลง

         พงวิชและมิ้งต่างวิ่งไต่ตามขาขนาดใหญ่ของเคาท์ขึ้นไปจนถึงส่วนหลัง แต่ก็ถูกหางขนาดใหญ่ฟาดใส่จนกระเด็นตกลงมา บุ๊คจึงวิ่งขึ้นมาแทน
“บุ๊ค เอาโล่ทำมุมเฉียงไปที่รูของหางมัน” ฟามบอก บุ๊คจึงกระโดดพร้อมเอาโล่ทำเอียงมุมเฉียง ฟามที่แม่นปืนอย่างมากจึงยิงกระสุนเพียงนัดเดียวสะท้อนกับโล่ของบุ๊คเข้าที่รูหางของเคาท์เข้าไป
“กระสุนพิษ มันจะทำลายระบบของส่วนนั้นทั้งหมด ตอนนี้หางมันใช้งานไม่ได้แล้ว” ฟามบอกแต่ตัวเองก็ถูกก้ามแขนขนาดใหญ่ฟาดใส่และบุ๊คก็โดนจับเหวี่ยงไปกระแทกกับผนัง เมโรดีนที่ยืนมองดูคนอื่นสู้อย่างจริงจัง แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็รู้สึกเหมือนไร้ประโยชน์ต่อพวกเพื่อนๆ เธอเองจึงพยายามนึกหาทางจะช่วยบางอย่างจนเธอนึกได้ถึงสร้อยคอของเธอ เธอจึงหยิบสร้อยออกมากำไว้

“ด้วยสายลมที่ยังคงพัดผ่านไม่สิ้นสุด ผู้พิทักษ์ที่ผ่านไป จงกลับมาอยู่ยังเบื้องหน้าของข้าเถอะ ซิลด์” เมโรดีนเรียกมนต์อสูรออกมา ซึ่งต้องใช้เวลาในการร่ายที่ไม่นานนัก เมื่อเคาท์เห็นจึงเล็งมาที่เมโรดีน
“บุ๊ค แม้ตายก็ยอมถวาย ป้องกันเธอไว้ด้วย” พงวิชบอกแล้วตนก็วิ่งเข้าฟันที่ขาของเคาท์ทำให้ทรุดลงแต่เคาท์ก็ยังลุกขึ้นมุ่งหน้ามา บุ๊คจึงเข้ามาขวาง แต่ก็ถูกก้ามขนาดใหญ่ฟาดจนกระเด็นไป

         และแล้วก็ไม่มีสิ่งไหนกั้นขวางทางของเคาท์ได้ จนมันมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของเมโรดีนที่กำลังยืนร่ายมนต์อสูร แล้วมันก็ชูก้ามทั้ง 2 ขึ้นและฟาดลงใส่ที่ตัวเธอ อิศรายังไม่สามารถร่ายเวทย์ป้องกันไว้ได้ทันที แต่ในเวลานั้นเองก่อนที่ก้ามใหญ่ยักษ์ที่กำลังจะปลิดชีพของเธอนั้น เธอเองได้ร่ายมนต์อสูรสำเร็จก่อนเพียงเวลา 3 วินาทีซึ่งเป็นระยะที่ก้ามห่างจากตัวเองเพียง 5 ฟุต แล้วเวลาทุกอย่างก็ช้าลงทันที เธอจึงเรียกมนต์อสูรออกมา

“อัศวินแห่งสายลม นักรบที่พัดมาพร้อมกับความยุติธรรม ออกมาเลย เซฟิ” เมโรดีนเรียกมนุษย์วิหคปักษาเด็กชายน้อยที่ถือดาบขนาดใหญ่มากซึ่งมีสัญลักษณ์แห่งสายลมสลักลงที่ดาบ
“กำแพงแห่งสายลมที่เพียบพร้อมไปด้วยความสงบ จงออกมา เฟียเรียส” เมโรดีนเรียกมนุษย์วิหคปักษาสาวน้อยที่ออกมาพร้อมโล่ขนาดใหญ่
“สายลมที่พุ่งเร็วเหนือสิ่งอื่นใด ความแม่นยำและคมแห่งสายลม จงออกมา อูติก” เมโรดีนเรียกมนุษย์วิหคปักษาเด็กชายน้อยที่ถือธนู

         แล้วเซฟิใช้ดาบของตนฟันต้านก้ามข้างหนึ่งและเฟียเรียสก็ใช้โล่ขนาดใหญ่ป้องกันให้กับเมโรดีน และสุดท้ายอูติก
“Million Arrow” ลูกดอกที่สร้างขึ้นมาจากสายลมนับล้านดอกถูกยิงใส่หัวใจของเคาท์
“Wind Cross” เซฟิหมุนตัวด้วยดาบขนาดใหญ่แล้วพุ่งฟันใส่ร่างของเคาท์และเกิดแรงลมมหาศาลพัดผ่าน
“Spearo Gust” เฟียเรียสตั้งโล่ของตนกับพื้นแล้วก็มีลมจำนวนมากมาห่อหุ้มและยิงพลังเป็นสายลมโจมตีใส่

         ทุกคนอึ้งกับสิ่งที่พวกเขาเห็น พวกเขาแทบจะไม่เชื่อว่าสาวน้อยอย่างเมโรดีนจะมีพลังที่สามารถเรียกมนต์อสูรออกมาได้
“and Last…” สามพี่น้องวิหคน้อยพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

         วิหคน้อยทั้ง 3 บินสูงขึ้นไปเหนือเมฆ และเกิดแรงลมหมุนเบาๆรอบๆตัวเคาท์ที่บาดเจ็บจากการถูกโจมตีอย่ารวดเร็วและต่อเนื่องของวิหคน้อยทั้ง 3
“Air Force Tornado” เสียงของ 3 พี่น้องดังไปทั่วฟ้าแล้วท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว และเกิดทอร์นาโดขนาดใหญ่ขึ้นที่ตัวเคาท์ พวกพงวิชต่างหาที่ยึดจับไว้ มีเพียงเมโรดีนที่ยืนหยัดมองดูความสำเร็จและความน่าทึ่งที่ตนเองสามารถทำได้ถึงขนาดนี้
“Geaser Earth” เคาท์ใช้พลังสุดท้ายของตนเงยหน้าขึ้นและยิงลำแสงแห่งดินขนาดใหญ่สวนทางทอร์นาโดขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เที่ยวบินสุดท้ายแห่งชีวิต”  3 วิหคน้อยพูดพร้อมกัน แล้วก็มีพลังขนาดมหาศาลถล่มยิงลำแสงขนาดมหึมมาโจมตีใส่กลางมอร์นาโด แล้วแรงลมขนาดมหึมมาก็พัดไปทั่วเมืองอเบสต้าไกลไปจนนักบุญออแกนยังสัมผัสได้และยืนมองจากยอดเขา

         เมื่อแรงลมทุกอย่างพัดผ่านสลายไป พวกพงวิชก็ออกมาจากที่หลบภัยและเห็นร่างของ 3 พี่น้องวิหคที่บินอยู่ตรงหน้าทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงสีขาวปนเขียว และวิญญาณของเคาท์ที่สลายลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
“พวกเรา 3 พี่น้องต้องขอขอบคุณพี่สาวด้วยที่ปลดปล่อยพวกเราจากสร้อยคอเส้นนั้น แต่เรา 3 พี่น้องก็จะขออยู่เคียงกับพวกท่านตลอดไป” เซฟิซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดกล่าวคำขอบคุณเมโรดีน และเธอก็ยิ้มตอบรับ
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ฉันเพียงต้องการที่จะช่วยเพื่อนๆ ฉันไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงเพื่อนๆก็เท่านั้นเอง” เมโรดีนบอกแล้ว 3 วิหคน้อยก็ยิ้มอย่างดีใจ
“นี่สิ่งที่จะแทนตัวพวกเรา เราจะขอตามพวกท่านไป ขอเพียงท่านรักษาพวกเราไว้ให้ดี” เฟียเรียสบอกแล้วก็มอบโล่ให้กับบุ๊ค บุ๊คจึงรับไว้และยังมึนงงนิดๆ
“ท่านเป็นคนแรกที่ได้ถือดาบเล่มนี้ ขอให้ท่านคิดซะว่ามันคือ 1 ชีวิต” เซฟิมอบดาบแห่งสายลมให้กับพงวิช พงวิชก็รับด้วยความดีใจ
“และคันธนูนี้ฉันก็ขอมอบให้ท่าน” อูติกมอบคันธนูของตนให้ แต่พวกพงวิชก็ไม่มีคนใดรับไว้เลย เพราะทุกคนใช้ธนูไม่เป็นกัน
“ไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่ว่าพวกเราไม่มีใครใช้ธนูเป็นเลยสักคน” พงวิชบอก
“งั้นฉันรับไว้เอง ฉันจะพยายามหัดใช้ธนูให้เป็น ฉันจะได้มีประโยชน์ต่อทุกคนด้วย” เมโรดีนรับคันธนูนี้ไว้และบอกให้ทุกคนรับรู้ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มที่เห็นเมโรดีนคิดได้เช่นนี้
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วละ ต่อไปจะเอาไงต่อละ” ตั้มถาม
“งั้นไปเมืองแรฟอสซิ ที่นั่นเป็นเมืองการค้า เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่มากๆ และฉันมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย” เมโรดีนตอบ
“จะได้ไปเล่นน้ำแล้ว” เฟียเรียสดีใจที่ได้ยินเมโรดีนพูดแบบนั้น
“อ้าวเฮ้ย จะไปทั้งที เราช่วยเอง เสี่ยมิ้งการช่างซะอย่าง ไปเร็วมีมอเตอร์ไซด์หลายคัน บิดไปพร้อมๆกันเลย” มิ้งบอกแล้วทุกคนก็เดินลงเขา พวกพงวิชต่างก็มองดู 3 วิหคน้อยเล่นกันตลอดทางเหมือนเด็กน้อยธรรมดาที่มีปีกติดอยู่เท่านั้น

--------------------------------จบตอนที่ 15-------------------------------------------
« Last Edit: September 07, 2005, 01:21:03 AM by RPG_Master » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #6 on: September 10, 2005, 11:52:03 AM »

ตอน การหลบหนีและการตามล่า

         ที่มหานครเวลเรี่ยนยามราตรี ผู้คนต่างหลับกันอย่างสุขสบาย แต่เหล่าทหารต่างก็ต้องเฝ้าคุมนักโทษกันอย่างเข้ม แม้แต่ผู้การนอริสเองก็ยังคงคอยสั่งการต่างๆ
“อีกไม่นานแล้วละ เจ้าวินนั่นมันต้องหาทางหนีออกมาแน่ เพราะหากรุ่งขึ้นมันยังอยู่ นั่นคือจุดจบชีวิตของมัน เพราะฉะนั้นต้องเข้มงวดไว้ อย่าให้มันหนีออกมาได้” ผู้การนอริสสั่งการเสร็จ ก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
“ผู้การครับ ท่านนายพลเชิญให้ไปพบครับ” นอริสจึงเดินออกจากห้องมุ่งหน้าตรงไปที่ห้องของนายพลทันที

         แต่ในเวลาเดียวกันนั้นการทำตัวเหมือนหลับใหลอยู่ในคุกมานาน เขาก็ตื่นขึ้นมา และไม่มีสิ่งไหนที่เขาจะเกรงกลัว
“ชีวิตนี้แม้ตายก็ขอออกจากที่นี่ก่อนเว้ย” วินถีบประตูเหล็กหนาขนาดใหญ่พัง สัญญาณเตือนจึงดังขึ้นทันที
“จับมัน” ทหารนายหนึ่งเห็นจึงตะโกนเรียกคนอื่น แต่เมื่อสิ้นเสียงทหารนายนี้ก็ถูกวินหักคอทิ้ง
“ไว้เจอกันในนรกแล้วกัน” วินวิ่งหนีออกไปตามทาง

“มีนักโทษหากคุก” นอริสได้ยินสัญญาณจึงนึกขึ้นได้ถึงวิน บุคคลที่ตนเองคิดไว้ตามแผน จึงรีบวิ่งกลับไปที่หอบัญชาการเพื่อปฏิบัติหน้าที่

“ถ้าไม่อยากตาย หลบไปซะ นี่คือคำขาด” วินวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าทหารกลุ่มหนึ่งที่มาขวาง
“20 ต่อ 1 จับมันเว้ย” นายกองสั่งแล้วทหารต่างก็ระดมยิงปืนใส่
“ต้องให้ออกแรงอีกแล้ว Magnum Step” วินพุ่งฝ่ากระสุนปืนโดยใช้หมัดของตนหมุนแรงลมเป็นโล่ป้องกันเข้าไปยังกลุ่มทหารแล้วก็ระเบิดลมที่หมุนอยู่รอบแขน ทำให้ทหารเหล่านั้นโดนแรงลมพัดกระเด็นกระจาย แล้วเขาก็วิ่งต่อไป

“ผู้การครับ เราจะจับมันยังไงดีครับ ขนาดตอนจับครั้งแรกมาได้ ท่านเองก็ยังเอาตัวแทบไม่รอดเลยนะครับ” ทหารนายหนึ่งถาม
“แน่นอนว่า เจ้าวิน มันจะต้องหนีไปทางดาดฟ้าเพื่อใช้ยานเหาะขับหนีออกไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นไปดักมันที่นั่น และเปิดแสงที่นั่นให้สว่าง เพราะเจ้านั่นมันกลัวแสงมากถึงขนาดหากโดนแสงกระทบตา เลือดมันจะไหนออกจากตาทันที แล้วเราก็จัดการมันง่ายๆ” นอริสสั่งแล้วก็เดินตามทหารขึ้นไปยังดาดฟ้าทันที

“ดักรอรึ เจ้าพวกโง่” วินถีบประตูดาดฟ้า เมื่อเขาโผล่ออกมาก็พบทหารจำนวนมาก
“หนีไม่พ้นหรอก วิน” นอริสยืนหัวเราะแล้วเหล่าทหารก็วิ่งเข้าไปล้อม
“ประมาณพลังข้าต่ำไปรึปล่าว” วินบอกแล้วก็ยืนนิ่ง ทหารพวกนั้นต่างก็กลัวๆไม่กล้าวิ่งเข้าไปจับ
“ไหนๆพรุ่งนี้มันก็จะตายแล้ว ยิงมันเลย” นอริสสั่ง ทหารนับ 100 จึงระดมยิงใส่วิน แต่หารู้ไม่ว่า ตัวตนตรงนั้นเป็นเพียงเงา ซึ่งตัวจริงของวินนั้น
“ลาก่อน ไว้เจอกันใหม่ตอนไล่จับฉันแล้วกัน ฮ่าๆๆๆ” วินโบกมือลานอริสจากเครื่องบินขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงสุดของที่นี่ แล้วเขาก็ขับหนีออกไป
“มันหนีไปจนได้” นอริสเครียดทันทีแล้วก็เดินกลับไปยังห้องนายพล

         เมื่อนอริสเดินเปิดประตูห้องนายพลเข้ามา
“อย่าไปใส่ใจกับความผิดพลาดครั้งนี้เลย ผู้การ” นายพลบอก นอริสจึงทำความเคารพและถามขึ้น
“เรียกมาพบเพื่ออะไรเหรอท่านนายพล”
“ตอนแรกเราก็กะว่าจะให้เจ้านั้นไปจับนักฆ่าอื่นๆที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ตอนนี้ดูแล้วเราเห็นว่าจะให้เจ้าออกตามจับ นักโทษที่หนีไปแทน ส่วนนักฆ่าคนอื่นๆ เราจะให้ผู้การนิมเบิลจัดการเอง” นายพลบอก เมื่อนอริสได้ยินจึงแย้งขึ้น
“ไม่ได้นะ ท่านนายพล หากให้ผู้การนิมเบิลปฏิบัติหน้าที่ เมืองเราอาจจะถูกโจมตีได้โดยง่ายจากเมืองอื่น” นอริสบอก
“อันนี้ข้ารู้ ผู้การนอริสท่านหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ ท่านมีหน้าที่คอยจับกุมบุคคลอันตราย และผู้การนิมเบิลเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาการเมืองต่างๆ หากไร้ซึ่งเขาไปแล้ว เราเองก็อยากจะออกกำลังบ้าง ท่านจึงอย่าได้วิตกเลย” นายพลบอก
“ครับ ท่าน” นอริสทำความเคารพแล้วก็เดินออกจากห้องไป

         เมื่อนอริสออกจากห้องมาภาพหลอนที่ติดตาเขาตลอดเวลาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เขาเห็นชายชุดดำยืนมองมาที่เขา ความกลัวของเขาเพิ่มขึ้นทันทีที่เห็น เมื่อเขาตั้สติได้สักพักเขาก็ชักปืนยิงใส่ชายชุดดำทันที แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่กลับทำให้ชายชุดดำเดินเข้ามาใกล้ขึ้น แล้วชายชุดดำก็ถอดแว่นสบสายตาจ้องมองตากับนอริส นอริสเห็นดวงตาสีขาวที่ข้างในเต็มไปด้วยความว่างปล่าว แล้วเขาก็มองลึกลงไปข้างใน เขาเห็นภาพในอดีตที่ฝั่งในจิตใจของเขามานานเกี่ยวกับชายชุดดำที่ได้ถล่มเมืองที่เขาเคยประจำการอย่างย่อยยับไม่เหลือซาก แล้วเขาก็เห็นชายชุดดำกำลังชักดาบออกมาฟันใส่เขา จนเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วเขาก็พบว่าตัวเขานั้นนอนอยู่ที่หน้าห้องของนายพล
“ฝันไปหรือนี่” นอริสเอามือกุมขมับเล็กน้อยและลุกขึ้นมา เมื่อเขาลุกขึ้นมาก็เห้นชายชุดดำยืนอยู่ข้างหน้า
“ฉันจะจับแกให้ได้” นอริสตะโกนใส่แล้วชายชุดดำก็กลายเป็นควันสลายหายไป

         วันรุ่งขึ้น นอริสตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัวเพื่อออกตามล่าวิน เขาเตรียมกำลังพลทหารอยู่ 300 นาย ซึ่งมากกว่าตอนที่จับวินครั้งแรกอยู่ 50 คน พร้อมยานขับเคลื่อนขนาดใหญ่ แล้วตัวเขาเองก็นำดาบของพ่อและปืนของพี่ชายที่เสียชีวิตลงไปในคืนที่ชายชุดดำถล่มเมือง ติดตัวไปด้วย เมื่อนอริสเดินขึ้นเครื่องมาก็เห็นเหล่าทหารทำงานกันอย่างเข้มแข็ง ทำให้ใจของเขาเองก็รู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา
“ไม่ว่ายังไง วันนี้หรือวันหน้า หากพวกเราจะตาย ใครจะตายเคียงข้างฉันบ้าง” นอริสถาม
“พวกเราครับท่าน” ทหารเหล่านั้นตอบ
“ดีงั้นออกเดินทาง ที่แรกมุ่งหน้าไปที่เมืองแรฟอส” นอริสสั่ง แล้วการเดินทางของเหล่าทหารก็เริ่มขึ้น

         ที่เมืองแรฟอส เมืองแห่งตลาดการค้า เหล่าพ่อค้าจำนวนมากต่างมารวมกันแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆกันที่นี่ แต่แล้วก็มีสิ่งบางอย่างที่จะนำความวิบัดมาสู่เมืองนี้ นั่นคือ........

-----------------------------จบตอนที่ 16-----------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #7 on: September 10, 2005, 10:23:38 PM »

ตอน สาวน้อยนักสู้

“!!! อรุณ !!! เร็วๆหน่อย เนี่ยถึงแล้วจะได้ไปหาที่พักแล้วกินข้าว” นพบอก
“เรื่องกินไม่ต้องบอก ยังไงเรื่องกินมาก่อนอยู่แล้ว” อรุณพูดเสร็จก็วิ่งเข้าไปในเมืองทันที
ทั้งคู่ต่างก็เข้าไปในเมืองเพื่อเดินเที่ยวเล่นใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยของทั้งคู่

ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในเมือง และเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะ
“เอาสูตรเด็ดประจำร้านมาเลย 2 ที่” อรุณสั่ง แล้วเจ้าของร้านก็จัดทำให้ ในระหว่างที่รอโต๊ะข้างๆก็คุยกัน และนพก็สนใจที่จะฟัง

“เฮ้ย วันนี้ขึ้นเขามั้ย” ชายคนที่ 1 บอก
“เออ ไปดิ ขึ้นไปหา 2 พี่น้องนั่น แถมความลือนี้ไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือปล่าว ที่เขาบอกว่า หากใครเห็นเรือนร่างของน้องสาวก็จะได้แต่งงานด้วย ส่วนพี่สาวหากใครสู้ชนะก็จะได้แต่งงาน สงสัยวันนี้พวกเราเหมา 2 เลยปล่าว” ชายอีกคนพูด นพจึงสนใจอย่างมากจึงกระซิบบอกอรุณ
“กินเสร็จรีบขึ้นเขากัน”
“เออ กินให้อิ่มก่อนจะไปไหนก็ไป” อรุณบอก
แล้วก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน แล้วเดินไปหาสาวน้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่ค่อนข้างไกลจากโต๊ะอรุณ ทหารนายหนึ่งพูดคุยอะไรบางอย่างกับเธอ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเธอจะพูดอะไรแต่ เมื่อทหารนายนั้นเอารูปให้ดู เธอก็หันมามองที่นพและอรุณ ทำให้อรุณและนพตกใจกับแววตาที่ดุดันยิ่งกว่าเพชฌฆาต แต่แล้วสาวน้อยคนนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ทหารกลุ่มนั้นจึงเดินออกไป ทำให้อรุณและนพโล่งอก แต่ก่อนที่ทหารจะออกไปมีทหารนายหนึ่งสังเกตเห็นอรุณ

“เฮ้ย มันอยู่นั่น” ทหารนายนั้นตะโกนบอก แล้วสาวน้อยคนนั้นก็หยิบค้อนขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาทุบใส่ทหารกลุ่มนั้นด้วยความเร็วที่นพและอรุณที่เป็นนักฆ่ายังต้องตะลึงกับความเร็วเกินตัวของเธอ
“เสร็จแล้วจ้า กินกันซะ เรื่องพวกนี้อย่าไปสนใจเลย” เจ้าของร้านนำอาหารมาเสิร์ฟ
“ลุงรู้จักสาวน้อยคนนั้นมั้ย” นพถาม
“ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่หรอก แต่เคยถามชื่อ เธอบอกว่าชื่อ นาโอะ” เจ้าของร้านบอก
“เออ กินก่อนนพ จะได้ไปต่อ”  อรุณบอกแล้วก็รับประทานอาหารทันที
“ไม่น่าเชื่อว่า จริงๆ พอฉันเห็นเธอ 2 คน ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกเปลี่ยนความคิดที่ว่า นักฆ่า ทุกคนนั้นโหดเหี้ยม แต่เธอ 2 คน นพปืนใหญ่วายุ กับ หมาบ้าอรุณ ถึงจะเป็นนักฆ่าแต่นิสัยของพวกเธอดียิ่งกว่าคนปกติหลายๆคนซะอีก” เจ้าของร้านบอก
สักพักเมื่ออรุณและนพกินอิ่ม ทั้งคู่ก็ลุกเดินออกไปจากร้านทันทีโดยไม่จ่ายเงิน
“สงสัยต้องเชื่อความคิดเดิมซะแล้ว นักฆ่า ทุกคนเป็นคนเลว” เจ้าของร้านเซงแล้วก็เดินเก็บจานเข้าไปหลังร้าน

เมื่อออกมาจากร้านได้ นพรีบดึงอรุณวิ่งขึ้นภูเขาข้างๆเมืองทันที
“เฮ้ย จะรีบไปตายที่ไหนวะ” อรุณถาม แล้วทั้งคู่ก็หยุดพักเหนื่อย
“แล้วไมอ่ะ ชีวิตใคร หรือจะรอข้างล่างให้พวกทหารมาจับละ” นพตอบ
สักพักก็มีชาย 2 คนที่อยู่ในร้านเดินขึ้นมา
“พวกแก 2 คนหนะถ้าจะนอนไปนอนที่อื่นไป” ชายคนหนึ่งบอก นพจึงมองด้วยสายตาอาฆาตแล้วเล็งปากกระบอกปืนใหญ่ไปที่ชาย 2 คนนั้น
“ไม่รู้ฉันหรือรู้จักน้อยไปซะแล้วมั้ง แก 2 คนเนี่ย อย่างมากก็แขน ขาหัก” นพยิงปืนใหญ่ด้วยแรงดันลมสูงใส่ชายทั้ง 2 จนกระเด็นภูเขาที่สูงลงไปข้างล่าง
“ไป อรุณ ไปต่อ เร็ว” นพบอกแล้วก็วิ่งขึ้นไปโดยไม่รออรุณ

         เมื่อนพวิ่งขึ้นมาถึงก็เห็นบ้านไม้แบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งรอบๆเป็นลานกว้างและป่า นพจึงเดินเข้าไปข้างในก็เห็นนาโอะนั่งอยู่กลางห้องกับสาวคนหนึ่งที่ใส่ชุดกิโมโนอย่างเรียบร้อย
“นั่งก่อนค่ะ” สาวชุดกิโมโนบอก นพเดินมานั่งและนึกในใจ
“นี่นะเหรอ 2 พี่น้องที่เขาบอกกัน” และนาโอะก็เพ่งมองมาที่นพ จนนพหวาดระแวง
“ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเหรอคะ” สาวชุดกิโมโนถาม
“อ๋อ คือ เมื่อเช้า นาโอะ เขาช่วยผมกับเพื่อนอีกคนไว้จากทหารก็เลยอยากจะมีขอบคุณ คุณชั่งมีน้องสาวที่น่ารักดีจัง” นพบอก
“น้องสาว ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คงจะเข้าใจอะไรผิด นาโอะเป็นเพียงศิษย์ของท่านพี่ และขอโทษที่เสียมารยาทไม่ได้แนะนำตัว ฉันชื่อ อายะ” อายะบอก นพจึงหัวเราะออกมาแล้วอรุณมาถึงจึงฟุบนอนทันทีด้วยความเหนื่อย
“ใครมาเหรออายะ” มีเด็กสาวน้อยตัวเล็กราวกับเด็กอายุ 9 ขวบเดินเข้ามาจากห้องข้างๆและถาม
“คือ 2 คนนี้จะมาขอบคุณนาโอะที่ช่วยพวกเขาไว้เมื่อเช้าค่ะ ท่านพี่” อายะบอก นพจึงมองไปที่เด็กสาวคนนั้นและนึกในใจ
“นั่นหนะเหรอ พี่สาว วันนี้หัวจะแตกตาย ทำไมเมืองนี้มาถึงก็เจออะไรแปลกๆเลย”
“นี่ พวกนายหนะ คงไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องอื่นอีกนะ” เด็กสาวคนนั้นถาม
“ไม่มีอะไรมาก คือ พวกเราเป็นนักเดินทาง ไปมาไม่มีที่เป็นหลักแหล่ง และมาถึงเมืองนี้ แล้วได้ยินข่าวลือที่ว่า 2 พี่น้องที่นี่...” นพพูดยังไม่ทันขาดคำ
“ข่าวลือนั่นถูกต้อง แต่ก็คงยากที่จะหาใครสักคนที่เหมาะสม เอาล่ะ พวกนายกลับไปกันได้แล้ว จริงซิเป็นนักเดินทางนี่ รีบๆไปจากเมืองนี้ซะเถอะ” เด็กสาวคนนั้นบอกแล้วก็เดินออกจากห้องไป
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่ท่านพี่ไล่พวกคุณ คือท่านพี่มักจะไม่ค่อยถูกกับคนแปลกหน้านัก ส่วนชื่อ ท่านพี่ชื่อ มายะ แต่ฉันจะไปส่งพวกคุณก็แล้วกันนะคะ” อายะบอกแล้วเธอก็เดินออกมาส่งนพที่หน้าบ้าน

“ขอบคุณครับที่มาส่ง แต่มีหนึ่งอยากจะถามเกี่ยวกับนาโอะนะครับ” นพถาม ส่วนอรุณก็ไปนั่งพัก
“ถามมาได้เลยคะ” อายะบอก
“คือ อยากจะทราบประวัติของเธอ และอยากจะรู้ว่า ทำไมเธอถึงไม่ค่อยพูดเลย และยังมีวิชาการต่อสู้ที่เกินเด็กในวัยนั้น” นพถาม
“นาโอะ มีพ่อเป็นหัวกลุ่มโจรสลัด แต่ตัวเธอนั้นต่อต้านพวกกลุ่มโจรหรือต่างๆ เธอจึงขอมาอยู่กับพวกเราและขอให้ท่านพี่ฝึกฝนวิชาต่างๆให้ แต่เธอชอบช่วยเหลือคนอื่นที่เธอคิดว่าคนนั้นคือคนดี และเธอชอบของแปลกๆด้วย ส่วนที่เธอไม่ค่อยพูดนั้น เธอฝึกสมาธิของเธอให้แน่วแน่ไม่ขวักไขว่กับสิ่งต่างๆ ส่วนเรื่องการต่อสู้นั้น เธอฝึกมาจากท่านพี่” อายะเล่าให้ฟัง ทำให้นพสงสัยขึ้นมาอีก
“แล้วพี่สาวของเธอทำไมถึงตัวเล็กยิ่งกว่านาโอะซะอีก” นพถาม
“คือท่านพี่ฝึกฝนไปในตัว ซึ่งหากจะอธิบายก็คงจะไม่เข้าใจหรอกค่ะ งั้นฉันจะแสดงให้ดู” อายะบอกแล้วก็ย่อส่วนตัวเองให้เล็กเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆเหมือนพี่สาวเธอ นพเห็นตกใจทันที
“ถ้าไม่สงสัยอะไรแล้ว งั้นฉันกลับเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ” เสียงน้อยๆของอายะตอนเด็ก นพและอรุณจึงเดินลงกลับไปยังเมืองแรฟอสพร้อมทั้งยังงงและยังไม่เชื่อกับสายตา

--------------------------จบตอนที่ 17--------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #8 on: September 11, 2005, 12:43:47 AM »

วันนี้ผมฟิตจัดแต่งได้ 3 ตอนติด เพราะได้กำลังใจจากผู้ที่เข้ามาอ่าน (หากสนุกก็บอกกันได้นะครับ หรือว่าเราคิดไปเอง  :( )
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน ความน่ากลัวของหมาบ้า

“เฮ้ย ครบ 1 เดือนแล้ว ไปเก็บค่าที่ซะ” หัวหน้ามาเฟียสั่ง
“ครับลูกพี่”

ที่ท่าเรือเมืองแรฟอส แหล่งการค้าที่ผู้คนชุกชุม เหล่าพ่อค้าต่างนำสินค้าและข่าวต่างๆจากเมืองตนมาเผยแพร่และแลกเปลี่ยนกัน แต่เมืองการค้าอย่างนี้แน่นอนต้องมีพวกมาเฟียอยู่เบื้องหลัง อรุณและนพที่เพิ่งลงมาจากบ้านของ 2 พี่น้องตระกูลนัสซึเมะ อรุณเกิดนึกอยากจะไปเดินเล่นแถวตลาด ทั้งคู่จึงเดินเข้าไปแถวท่าเรือ

เมื่ออรุณและนพเดินเที่ยวดูสินค้าไปสักพักก็มีชายสูทดำกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา พ่อค้าต่างก็หวาดกลัวและจ่ายเงินค่าที่ให้ และชายกลุ่มนั้นเดินมาเจออรุณและนพยืนขวางทางอยู่และไม่ยอมหลีกทางให้
“สงสัยอยากตายเว้ยเฮ้ย จัดการมัน” ชายกลุ่มนั้นชักปืนออกมายิงทันที นพจึงใช้ปืนใหญ่แปลงชิ้นส่วนมีสภาพเหมือนจานดาวเทียมกลมและมีปืนอยู่ตรงกลาง
“หนีเว้ย เฮ้ย ของมันใหญ่กว่า” ชายกลุ่มนั้นรีบหนีทันที อรุณจึงยืนหัวเราะ แล้วสักพักก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากกำลังเดินเข้ามาใกล้ นพและอรุณจึงหันหลังไปมอง

“นพปืนใหญ่วายุ หมาบ้าอรุณ นักฆ่าที่ทางการต้องการตัว จับมัน” ผู้กองมอแกนสั่ง แต่อรุณนั้นยังตะลึงกับร่างกายที่ใหญ่ราวกับยักษ์ของผู้กอง
“อย่าหมายจับพวกเรา มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก” นพบอกแล้วก็เล็งปืนใหญ่มาที่พวกทหารเรือ ทำให้ทหารเหล่านั้นหวาดกลัวจนไม่กล้าวิ่งเข้ามาใกล้อีก
“อรุณเคลียร์ทางดิ” นพบอก
“ได้” อรุณก็ใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างทุบลงที่พื้นเกิดเป็นกำแพงดินพุ่งขึ้นจากพื้น
“Air Burst” นพอัดแรงดันลมสูงใส่ไปที่กำแพงดิน ทำให้กำแพงนั้นเคลื่อนพุ่งเข้าใส่พวกทหารเรือ เหล่าทหารต่างวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย แต่ผู้กองมอแกนกลับยืนเฉย และเมื่อกำแพงพุ่งเข้ามาใกล้เขาใช้หมัดขนาดใหญ่อัดใส่กำแพงจนพังทลายลง
“นพ วิ่ง” อรุณรีบกลับหลังหันวิ่งหนีทันที
“จับมัน” ผู้กองมอแกนสั่งแล้วทหารเรือและตนต่างก็วิ่งตามนพและอรุณไปทันที

         นพและอรุณรีบวิ่งหนีหน้าตั้งแม้จะชนกับเหล่าหาบเร่ของพ่อค้าจนพัง พวกเขาก็ยังวิ่งต่อไปจนมาถึงทางแยก ทั้งคู่ไม่หยุดรอคิดอะไร แต่กลับวิ่งแยกไปคนละทางทันที
“ชีวิตอันสนุกจะจบลงวันนี้เหรอวะเนี่ย” นพวิ่งไปสลับกับหันมามองหลังไป จนพวกทหารเรือนั้นตามมาไม่ทัน แต่เมื่อเขาหายเหนื่อยและเงยหน้าขึ้นมา
“ไง จ๊ะ สุดหล่อ” สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าทัก
“เธอเป็นใคร” นพเดินมานั่งพิงกับกำแพง
“เอาเป็นว่า ฉันมีข่าวดีและข่าวร้ายจะมาบอกก็แล้วกัน” สาวคนนั้นบอกและยื่นแก้วน้ำให้
“เอาข่าวร้ายก่อนดีกว่า ค่อยข่าวดีทีเดียวให้วันนี้มันได้ดีสักที” นพบอกพร้อมกับรับน้ำมาดื่มแก้เหนื่อย
“ข่าวร้ายคือ ฉันมาที่นี่เพื่อเล่นอะไรสนุกๆกับเธอและเพื่อนของเธอ ส่วนข่าวดีเธอจะได้ไม่ต้องหนีทหารอีกเพราะว่า ฉันจะฆ่าแกตรงนี้แหละ” เมื่อสิ้นเสียงสาวคนนั้น เธอก็ชักดาบฟันใส่นพด้วยความเร็วสูง แต่นพก็รีบลุกหลบออกมา แต่ก็ได้แผลที่แขนข้างซ้าย

“ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่มีอคติที่จะสู้กับสาวเซ๊กซี่อย่างเธอหรอก ไปซะ” นพบอกและหันหลังให้
“หยามข้ามากไปแล้วนะ” สาวคนนั้นพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วจนนพสัมผัสถึงแรงลมที่พัดผ่านได้พร้อมกับเธอใช้ดาบนั้นฟันเข้าที่ข้างลำตัวนพ แต่ทันใดนั้นสิ่งที่นพไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ก็เกิดขึ้น นาโอะพุ่งเข้ามาขวางด้วยความเร็วแม้แต่สาวคนนั้นยังตะลึงและโดนเธอใช้ค้อนขนาดใหญ่ฟาดใส่จนกระเด็นออกไป
“ฝากไว้ก่อนแล้วกัน” สาวคนนั้นรีบลุกขึ้นและหนีไปทันที
“ขอบคุณนะที่ช่วยไว้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว” นพบอกแต่นาโอะก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินจากไป นพเองจึงเดินต่อไปแม้ตัวเองจะบาดเจ็บ

         ทางด้านอรุณ
“จะตามมาไมวะ” อรุณวิ่งหนีอย่างสุดกำลังจนมาถึงทางตัน จึงหันกลับตั้งหลัก
“รู้งี้วิ่งไปทางนพดีกว่าเว้ย” อรุณบ่นพรึมพรำ
“ปิดฉาก หมาบ้าอรุณ ก็มาจนมุมอย่างหมานี่เอง” ผู้กองมอแกนหัวเราะอย่างสะใจ
“โมโหแล้วเว้ย” อรุณวิ่งเข้าประจัญทันที เหล่าทหารเรือก็ระดมยิงปืนใส่แต่ไม่โดนสักนัด
“หมัดอสูร 9 มังกรน้ำ” หมัดของอรุณมีพลังน้ำไหลเวียนและเมื่ออรุณออกหมัดน้ำที่ไหลเวียนนั้นปรากฏเป็นมังกรน้ำ 9 ตัวพุ่งไหลผ่านพัดพาเหล่าทหารเรือไปตามกระแสน้ำ เหลือเพียงผู้กองมอแกนที่ยืนต้านทานแรงน้ำนั้นได้
“มาเลยไอ้หมาบ้า” ผู้กองมอแกนตั้งท่าเตรียมสู้ และเมื่ออรุณเงยหน้าขึ้นมาแววตาดั่งหมาบ้าที่กำลังคลั่งก็ปรากฏ
“เจ้านี่มันปล่อยพลังจากภายในร่างกายออกมาถึง 60% หากเราต้านพลังมันได้ ยังไงเราก็ชนะ” มอแกนนึกในใจแต่พอตั้งสติกลับมาก็ไม่เห็นอรุณแล้ว

“อยู่นี่เว้ย” มอแกนหันไปทางขวาตามเสียงก็ถูกอรุณต่อยเสยคางกระเด็นไปชนกำแพง
“เร็วมาก” มอแกนลุกขึ้นได้จึงตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่จับทิศทางการเคลื่อนที่ของอรุณ จนจับจุดได้จึงใช้กำปั้นขนาดใหญ่อัดใส่ แต่อรุณก็ใช้หมัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังต้าน จนเกิดแรงพลังหมุนเวียนรอบตัวทั้งคู่และพื้นและกำแพงบริเวณต่างทนแรงพลังไม่ได้จนเกิดรอยแยกและพัง ทั้งคู่ต้านพลังอยู่นานจนพลังของอรุณเริ่มลดลง
“เสร็จละ” มอแกนออกดันงัดอรุณลอยไปติดกำแพงอีกฝั่ง

เมื่อกลุ่มควันจางหาย มอแกนก็เห็นอรุณที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับอะไร
“จับได้ 1 เหลืออีก 1” มอแกนขยับแขนบิดกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลายเล็กน้อย แล้วก็เดินตรงมาที่ร่างของอรุณ และดึงคออรุณขึ้นมา
“หมาบ้าอรุณ มีดีแค่นี้เอง กระจอกสิ้นดี” มอแกนหัวเราะ แล้วตนเองก็รู้สึกถึงกล้ามที่คอของอรุณขยับ จึงมองดูอรุณ

ทันใดนั้นดวงตาสีแดงก็เปิดขึ้น มอแกนตกใจทันทีแล้วอรุณก็อัดใส่มอแกนจนกระเด็นไปติดกำแพงแล้วพุ่งเข้าไปอัดใส่รัวจนไม่มีจังหวะให้มอแกนได้ตั้งหลักหรือป้องกัน

ไม่นานนักบริเวณก็เต็มไปด้วยเลือดที่หลั่งนองจากผู้กองมอแกนที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือด อรุณก็กลับคืนตั้งสติได้ก็เดินจากไปทันที
“เจ้า 2 คนนั้นฝีมือร้ายกาจใช่ย่อย หากปล่อยให้เป็นนักฆ่าแบบนี้ คงจะหาคนหยุดยั้งได้ยากและอาจจะมีคนตายมากขึ้น” มายะที่ยืนอยู่บนขอบตึกมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด
“งั้นเราจะทำยังไงดีคะ ท่านพี่” อายะถาม
“เราต้องทำให้เจ้า 2 คนนั้นไม่ตกไปอยู่ในกำมือของพวกคนชั่ว ไปกันเถอะอายะ” มายะบอกแล้วก็กระโดดไปตามดาดฟ้าตึก

----------------------------------จบตอนที่ 18----------------------------------------
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #9 on: September 12, 2005, 09:03:56 AM »

อ่านได้เรื่อย ๆ ลื่นดีแฮะ ท่าทางจะชอบแต่ง fic. มากนะครับ  ;D
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #10 on: September 12, 2005, 09:57:15 PM »

ตอน ผู้มาเยือน

“เจ้า 2 ตัวนั่นมันจะน่ากลัวอะไรเช่นนี้ และเจ้า ข้าไม่ต้องการเห็นความผิดพลาดเหมือนอย่างเจ้านั่นอีก” นันสั่ง แล้วลูกสมุนตนที่ 2 ก็หายตัวไปทันที

“เจอเมืองแล้ว เราต้องทิ้งยานแล้วหนีไปทางอื่นแทน” วินขับยานเร็วสูงมาห่างจากชายฝั่งเมืองแรฟอส 5 กิโลเมตร แต่แล้วก็เหมือนมีบางอย่างฟาดใส่ยานอย่างแรงจนยานเกิดการสะเทือน วินจึงปลดเข็มขัดและลุกขึ้นวิ่งขึ้นไปดูบนดาดฟ้า เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบชายคนหนึ่งยืนอยู่
“แกเป็นใครวะ” วินถาม
“แกนั่นแหละ ถ้าไม่อยากตายรีบกลับเข้าไปซะ” ชายคนนั้นตอบ วินจึงมองดูดีๆ จนไปสังเกตุเห็นสัญลักษณ์ที่หัวไหล่
“สัญลักษณ์นั้น ลูกน้องไอ้นัน” วินนึกในใจแล้วก็มองดูรอบๆตัวเองจนไปเจอท่อนเหล็กอันหนึ่ง
“ออกไปจากยานฉันเดี๋ยวนี้” วินบอก
“ไม่ !!!!!!!!!!” ชายคนนั้นพูดเสร็จวินก็วิ่งเข้าไปใช้ท่อนเหล็กฟาดใส่ทันที แต่ชายคนนั้นก็ปัดได้หมดโดยไม่แสดงอาการบาดเจ็บใดๆ แล้วชายคนนั้นก็เดินตรงมาที่วิน ทั้งคู่ต่อสู้กันบนดาดฟ้าของยานขับเคลื่อนเร็วสูงที่ไม่มีใครบังคับ

“Water Ball” ชายคนนั้นร่ายเวทย์ลูกบอลน้ำโจมตีใส่วิน วินจึงพุ่งสวนทางลูกบอลน้ำนั้น
“Soul Break” หมัดที่มีควันหุ้มแขนของวินอัดใส่ชายคนนั้นจนกระเด็นออกไป แต่ก็ตั้งหลักได้
“เจ้าโดนสลายพลังไปหลายส่วน พลังเจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก” วินบอก
“ข้า กีทานัส ผืนน้ำคือชีวิตข้า เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ถ้าจะฆ่าก็ต้องทำให้น้ำหายไปจากโลกทั้งหมดซะ” กีทานัสยืนหัวเราะอยู่
“สงสัยเราทำได้เพียงไล่ให้มันไปจากที่นี่” วินยืนนึกสักพักแล้วยานก็กระทบกระแทกกับผิวน้ำ จนทั้งคู่เสียหลัก วินที่ยืนอยู่ใกล้ประตูจึงจับขอบประตูเอาไว้ กีทานัสสร้างแท่งน้ำแหลมปักที่ยานและจับเอาไว้ แล้วการสะเทือนในยานก็ทำให้คันโยกบังคับยานนั้นเปลี่ยนไป ยานลำนี้เริ่มบินสูงขึ้นสู่ท่องฟ้า
“ได้การละ บนฟ้าไม่มีน้ำ มันทำอะไรได้ไม่มากนักหรอก รวมทั้งโดนเราสลายพลังวิญญาณด้วย” วินยิ้มทันที พอยานเริ่มนิ่งทั้งคู่ก็หันกลับมาต่อสู้กันต่อ

         กีทานัสใช้หอกน้ำฟาดฟันใส่วิน วินเองก็ใช้ท่อนเหล็กในมือตนป้องกันและหาจังหวะสวนกลับ จนได้สักพักยานเริ่มบินสูงเกินเหนือระดับเมฆ
“หากปล่อยแบบนี้เราตายแน่” วินยืนตั้งหลักแล้วก็พุ่งใช้ท่อนเหล็กฟาดใส่กีทานัสจนเกบิเอรัสกระเด็นหลุดจากยานไปได้
“จบเสียที ยุ่งยากฉิบ” วินยืนมองดูสักพักแล้วก็ค่อยเดินกลับเข้าไปในยานอย่างระมัดระวังด้วยแรงกดดันของลมที่สูงมากในอากาศและความเร็วของยานแบบนี้ แต่จู่ๆก็มีมังกรดำตัวหนึ่งพุ่งชนใส่ยานลำนี้ แรงกระแทกทำให้วินนั้นลอยออกจากยานแต่เขาก็คว้าสายไฟด้านข้างของยานไว้ได้ แล้วมังกรดำตัวนั้นก็บินมาเทียบด้านหน้ายาน และอ้าปากกว้างมีควันสีดำลอยอยู่รอบๆปาก วินเห็นจึงรีบปล่อยมือจากสายไฟทันที แล้วมังกรดำตัวนั้นก็ยิงพลังใส่ยานจนยานระเบิด

วินนั้นตกลงมาจากยานด้วยความเร็วสูงมาก แต่เขาก็พยายามตั้งสติและมองดูด้านล่าง
“เราอยู่เหนือเมืองนี่ หากตกกระแทกพื้นเราตายแน่ แต่หากตกลงน้ำก็อาจจะสาหัสหรือตายอยู่ดี คิดซิคิด นักฆ่าอันดับหนึ่งจะมาตายง่ายๆแบบนี้ไม่ได้” วินมองดูรอบๆตัวว่าเตรียมของอะไรมาบ้าง แต่ก็หมดหนทางช่วย

จู่ๆ บนยอดเขาที่มีบ้านของ 2 พี่น้องตระกูลนัสซึเมะ นั้นมีแสงสีขาวสว่างจ้า ปรากฏเป็นนกสีขาวขนาดใหญ่สยายปีกทั้ง 4 ออกและบินมารองรับตัววินเอาไว้ ส่วนยานนั้นตกลงไปยังหลังคาบ้านของหัวหน้ามาเฟีย

“ห่า เฮ้ย มันตกมาจากไหนวะ บ้านพังหมด แค่หลังคาเป็นล้านนะเนี่ย” Mr.อาร์ทยืนดูสภาพบ้านของตนที่ถูกยานขับเคลื่อนของทหารตกใส่
“ลูกพี่ครับ ผมได้ภาพถ่ายจากดาวเทียมของเราว่า คนที่อยู่ในยานเป็นใครตอนยานนี้กำลังพุ่งมา โปรดให้ผมคนนี้เป็นคนไปจัดการมันเถอะครับ” ชายคนหนึ่งบอก
“ไม่ต้อง บอกมาว่ามันเป็นใคร หรือพาข้าไป ข้าจะเก็บมันเอง บังอาจมาทำหลังคาบ้านข้าพัง ต้องชดใช้” อาร์ทกำหมัดด้วยความโมโห

         เมื่อวินฟื้นขึ้นมาได้ก็เห็นนาโอะนั่งเฝ้ามองอยู่ข้างหน้า
“เจ้าเป็นใคร แล้วนกสีขาวนั่นหายไปไหนแล้วละ” วินถาม แต่นาโอะก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่ส่ายหน้าเล็กน้อย
“ข้าต้องหนีไปจากที่นี่ และข้าขอเตือนเจ้าว่า หากเจอชายที่มีผ้าพันคอสีฟ้า เจ้าอย่าไปยุ่งกับมัน” วินบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินดูพื้นที่รอบๆ นาโอะก็มองดูวินเดินไปเดินมา สักพักเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงจากยอดเขา
“เดี๋ยว เจ้าจะไปไหน บอกได้มั้ยว่ามีทางไหนที่จะออกจากเมืองนี้โดยไม่ถูกทหารจับได้” วินถาม แต่นาโอะก็ยังเดินต่อ วินจึงวิ่งตามไป จนมาถึงหน้าบ้านของ 2 พี่น้องนัสซึเมะ นาโอะก็ชี้ไปที่ทางเดินลงภูเขาไปยังเมืองและให้รูปอรุณและนพ
“นี่มันรูปเจ้า 2 คนนั้นนี่ แปลว่าพวกนั้นมันอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ได้มีเพื่อนในวงการ หลายหัวดีกว่าหัวดีเว้ย เจอทหารยังพอช่วยกันสู้ได้” วินยืนพูดอยู่คนเดียว และพอเขาเงยหน้ามาก็ไม่เห็นนาโอะแล้ว เขาจึงเดินลงภูเขาไป

         ในเวลาเดียวกันอีก 8 ชีวิตก็มุ่งหน้ามาใกล้ถึงเมืองนี้
“ขอดูฝีมือหน่อยนะ” ปอนบอกแล้วก็บิดมอเตอร์ไซด์เต็มอัตราเร็วสูง พงวิชและบุ๊คต่างก็ไม่ยอมจึงบิดเร่งเครื่องตามไปทันที
“ถนนเส้นนี้ช่วยก่อนถึงเมืองจะมีทางขาดยาว 50 เมตร ถ้าไม่แรงพอก็เตรียมใจตายซะ” ฟามบอก
แล้วจู่ๆในระหว่างที่ทั้ง 3 แสบแข่งกันอยู่นั้น มิ้งที่ขี่มอเตอร์ไซด์คันโปรดก็งัดสูตรเด็ดของเครื่องยนต์ออกมาใช้เร่งเครื่องแซงไป ฟามเองก็อัดเทอร์โบมอเตอร์ไซด์ของตนเร่งเครื่องตามมิ้งไปทันที
“ขี้โกงหว่ะ” พงวิชและเพื่อนๆต่างเร่งเครื่องตามทันทีเพื่อไม่ให้เสียหน้า

จนมิ้งและฟามมาถึงทางขาดที่เป็นเหวลึกมองไม่เห็นก้นเหว ซึ่งตอนนี้เป็นทางเหินสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ไขควงมรณะ” มิ้งบิดเครื่องเหินลอยขึ้นมาก็ล่วงหยิบไขควงออกมาถือข้างละ 4 ด้าม ฟามเองก็ชักปืนคู่ออกมา
“มาแข่งความแม่นกันดีกว่า” ฟามบอกแล้วก็มีมอนสเตอร์ขนาดมหึมาที่มีหัวเป็นงูหลายหัวพุ่งขึ้นมาจากก้นเหว มิ้งก็ปาไขควงมรณะโจมตีใส่ ฟามเองก็ใช้ปืนคู่ยิงอัดใส่งูยักษ์เหล่านั้น
“ข้างหน้าเล่นกันมันเลย พวกเราแสดงฝีมือ” บุ๊คบอกแล้วก็หยิบโล่ของเฟียเรียสออกมาถือข้างหนึ่ง
“ได้เลย” พงวิชชักดาบของเซฟิออกมาควงเก๊กเท่
“ทำเท่ อิศราไม่ต้องไปสนหรอก พวกเราเอาพอรอดพอ แถมเรามีคนซ้อนท้ายด้วยไม่กล้าเล่นอะไรพิเลน” ตั้มบอก

เมื่อพงวิชและบุ๊คขึ้นทางสูงเหินขึ้นมาก็มีงูยักษ์จำนวนมากพุ่งเข้าโจมตี
“Wind Cross” พงวิชใช้ดาบของเซฟิฟันเป็นคลื่นดาบตัดหัวงูยักษ์ขาดสะพั่ง
“Spearo Gust” บุ๊คใช้โล่ของเฟียเรียสเล็งใส่งูยักษ์ที่พุ่งเข้ามาแล้วก็มีกระแสลมขนาดใหญ่พุ่งออกจากโล่กดดันงูเหล่านั้นจนปลิว แล้วเมื่อถึงชุดของพวกตั้มและแพ๊ค
“Raining Arrow” เมโรดีนเงยหน้าขึ้นและเล็งธนูขึ้นฟ้า แล้วก็มีศรลมจำนวนมากขึ้นสู่ฟ้าตกลงมาเป็นดั่งฝนโจมตีใส่มอนเตอร์ตัวนั้นจนมันกลับลงไปยังก้นเหว

ทุกคนต่างสนุกและดีใจที่ผ่านมาได้
“เมืองอยู่ข้างหน้าแล้ว พวกเราเตรียมตัวไปสนุกกันต่อ” พงวิชชูดาบชี้ไปข้างหน้า

--------------------------จบตอนที่ 19----------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #11 on: September 13, 2005, 02:00:38 AM »

ตอน ค่ำคืนของเพชฌฆาต

         เมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้า เทพธิดาแห่งจันทราก็เจิดจรัส เมืองท่าแรฟอสก็เต็มไปด้วยแสงจากหลอดไฟตามหน้าร้านและในร้านอาหาร ผับ โรงแรม และสถานที่ต่างๆ รวมทั้งแสงส่องนำทางเรือจากประภาคาร วินที่แอบหลับอยู่บนต้นไม้แถวเชิงภูเขาใกล้ๆเมืองนั้นก็ตื่นขึ้นมา เขาจึงกระโดดลงจากต้นไม้ และเดินลงมายังตัวเมือง

“เฮ้ย ไปหาอะไรกินกัน” บุ๊คบอก
“เรื่องกินมาก่อนตลอดเลยเหรอไงวะ” ปอนบ่น
“เอาเถอะ ถึงยังไงก็ต้องหาอะไรลองท้อง กินวันนี้ อิ่มไปด้วยในวันหน้า” ฟามบอก
“เฮอะ เก่งจริงๆ” มิ้งปรบมือให้ แล้วบุ๊คก็เดินไปหาร้านอาหารทันที ทุกคนต่างก็เดินตามไป

         เมื่อบุ๊คเจอร้านอาหารก็รีบวิ่งไปทันที พงวิชก็วิ่งตามไป แต่พงวิชรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงเหลือบมองไปทางขวาเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ซอกตึกในเงามืด แล้ววินก็หายเข้าไปในเงา พงวิชจึงหยุด
“มีอะไรเหรอ พงวิช” เมโรดีนถาม
“ไม่มีแรงเดินอ่ะดิ หิวก็บอก” แพ๊คตอบแล้วตั้มก็ตบหัวแพ๊ค
“อย่าไปยุ่งกับชายคนนั้น เขาอันตรายกว่าใครเกือบทุกคนในวงการนักฆ่า” ฟามบอกแล้วก็เดินต่อโดยไม่หยุด
“ไปเถอะ พงวิช” ตั้มบอก พงวิชก็เดินต่อไปแต่ยังคงสงสัยเกี่ยวกับชายคนนั้น

         เมื่อบุ๊คเปิดประตูร้านอาหารเข้ามาก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กผมสีขาวม่วงยาวเลยขานั่งอยู่คนเดียวในร้าน
“นี่ก็เพิ่งมืดนี่หว่า ทำไมมีลูกค้าแค่คนเดียว” บุ๊คสงสัย
“ร้านพี่หมู อิ่ม อร่อย ชื่อร้านสุดยอดมาก คิดได้ไง” มิ้งอ่านชื่อร้านในช่วงที่เดินเข้ามา
“พี่หมู อยู่มั้ยเนี่ย ลูกค้ารอเนี่ย” บุ๊คเดินชะโงกหัวที่เคาท์เตอร์มองหาพนักงาน
“พวกเธอรู้จักชาย 2 คนนี้มั้ย” เด็กหญิงคนนั้นชูรูปให้ดู ทุกคนจึงเดินมาดู
“ชัว ใช่เลย อ้วนๆอย่างนี้ อรุณ ส่วนไอ้ผอมนี่นพ ชัว ทำไมพวกเราจะไม่รู้จัก มันอยู่วงการเดียวกับข้า” ฟามบอก
“งั้นตามไปที่บ้านฉันที ตอนนี้หากดึกกว่านี้ในเมืองนี้จะอันตรายมาก” มายะบอกแล้วก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่พงวิช
“นี่ฉันขอขึ้นไหล่คงไม่บ่นอะไรนะ ที่นี่เดินไปตามทางที่ฉันบอกที” มายะบอก
“อย่างน้อยคืนนี้ก็มีของกินมีที่หลับนอน” มิ้งบอก
“พงวิช ยิ้ม อย่างน้อยก็ยังมีสาวน้อยมานั่งบนไหล่” ตั้มแซว พงวิชจึงรีบเดินออกจากร้านพี่หมูไปทันที

“ที่นี่ไม่ใช่มีนักฆ่าคนอื่นเพียง 2 คน แต่มีถึง 3 คน ต้องยึดกฎแห่งวงการนักฆ่าไว้” วินท่องนึกในใจแล้วก็มีรถมาเฟีย 5 คันขับมาล้อมไว้ แล้วมาเฟียทั้งหมดก็ลงจากรถ
“นั่นไงลูกพี่ มันเป็นคนขับยานนั่น” ชายคนหนึ่งบอก
“รู้มั้ยหลังคาบ้านข้าเท่าไหร่” อาร์ทถาม
“รู้เพียงแต่ว่า ค่ำคืนนี้ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก ต่อให้พวกแกมาเป็นร้อยๆคนก็ตาม” วินบอกแล้วก็ยืนกอดอก
“เก็บมัน” อาร์ทสั่งแล้วชายสูทดำต่างก็ชักปืนออกมาระดมยิงใส่วิน

         เสียงปืนที่ดังลั่นทำให้มายะหันไปมองต้นเสียงปืน
“พวกที่ใช้ปืนไม่ทหารกับมาเฟีย คืนนี้ไม่รอดแน่” ฟามบอก
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเสียงปืน แต่ฉันสนใจที่ว่า แถวนั้นมีลูกศิษย์ฉันอยู่” มายะบอก
“ไปต่อเถอะ” พงวิชบอกแล้วก็เดินต่อ มายะจึงใช้ดาบเคนโด้ฟาดใส่หัวพงวิช
“หยุดนะ พวกนายไปรอบ้านฉัน เดินตรงทางนี้และขึ้นภูเขาไป น้องสาวฉันจะรออยู่” มายะบอกแล้วกระโดดลงจากไหล่ของพงวิชและวิ่งไปยังบริเวณที่มีการต่อสู้กัน พงวิชเลยจะวิ่งตามไปแต่ฟามดึงแขนเอาไว้ พงวิชจึงหันมามอง ฟามจึงส่ายหน้า แล้วพงวิชก็ดูมายะวิ่งไป จากนั้นตนก็เดินขึ้นภูเขาไป

         1 นาทีต่อมา เมื่อมายะมาถึงก็เห็นเพียงร่างของชายสูทดำพวกมาเฟียจำนวนมากนอนล้มเจ็บสาหัส เมื่อเธอเดินไปเรื่อยก็เห็นวินยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและมองมาทางเธอ แล้วนาโอะก็เดินออกมาหามายะ
“เธอไม่เป็นไรนะ” มายะถาม นาโอะก็ยังมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักแต่ก็พยักหน้าเล็กๆ
“ไงจ๊ะสาวๆ” เสียงของวินดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเธอที่ใกล้มาก เมื่อทั้งคู่หันไปก็เห็นกีทานัส มันใช้มือทั้ง 2 ข้างบีบคอนาโอะและมายะและยกพวกเธอจนตัวลอยขึ้นจากพื้น
“ตั้งตัวไม่ทันเลยแบบนี้ จะกลับสู่ร่างเดิมก็ไม่ได้” มายะและนาโอะพยายามดิ้นให้หลุด แต่กลับสูญปล่าว กลับทำให้กีทานัสออกแรงบีบคอพวกเธอทั้ง 2 มากขึ้น จนพวกเธอเริ่มหมดแรงที่จะดิ้นให้หลุดแล้ว
“ตอบแทนคุณที่ช่วยฉันไว้เมื่อเย็น” วินพูดขึ้นซึ่งตัวเขานั้นอยู่จ่อตรงหน้าของกีทานัส
“Broken Shadow” วินอัดหมัดใส่ท้องกีทานัสอย่างแรงจนตัวมันกระเด็นไถกับพื้นเป็นทางยาวไปไกล และมีเงาควันสีดำลอยฟุ้งอยู่รอบๆตัววิน

         สักพักอรุณกับนพก็วิ่งมาดูเหตุการณ์เช่นกันแต่เมื่อมาถึงก็เห็นวินและสาวๆทั้ง 2
“โว้ว เฮ้ย อรุณ ตบหน้าทีดิ ฝันไปแน่เลย มาเจอโล้นซ่าที่นี่” นพหัวเราะดีใจที่ได้เจอวิน แต่อรุณก็ซัดหมัดขเที่หน้านพจึงปลิว
“อยากได้ก็จัดให้” อรุณบอก นพจึงลุกขึ้นโดยเอามือกุมกามเอาไว้
“เออ เราผิดเอง ไม่น่าบอกอะไรให้เจ็บตัวเลย” นพบอกแล้วก็วิ่งเข้ามาหาวิน
“แก 2 คนอยู่รอดโดยไม่โดนจับได้ถือว่าดีแล้วละ” วินบอก
“แต่นายซิ คิดไงแหกคุกหนีมาเนี่ย” นพถาม
“ไม่แหกก็โดนประหารตายดิ” วินตอบแล้ว กีทานัสก็ลุกขึ้นยืน วินจึงหันไปมอง
“นั่นใครวะ ตอนกลางคืนยังกล้าสู้กับวิน เจ๋งมากเลย” นพหัวเราะใหญ่
“นี่ ถือว่าข้าตอบแทนที่ช่วยไว้เมื่อเย็นแล้วนะ ทีนี้จะไปไหนก็ไปได้แล้ว ให้ไอ้ 2 ตัวนั้นไปส่งก็แล้วกัน” วินหันมาบอกแล้วมายะกับนาโอะก็ขึ้นหลังอรุณ
“ไปส่งบ้านแล้วกัน” นพบอกแล้วก็วิ่งนำอรุณไปทันที
“ทีนี้มาวัดหน่อยซิว่า จะอึดอยู่ได้นานแค่ไหน” วินหันมามองดูกีทานัสที่ยืนโซซัดโซเซ

“ลูกพี่ไม่เป็นไรใช่มั้ย” ชายสูทดำถาม
“เออ มันเป็นใครวะ 10 วิ ฆ่าคนของข้าไปเป็น 10 , 20 คน” อาร์ทตอบ
“ไม่เกิน 2 วันได้ข้อมูลแน่ลูกพี่” ชายสูทดำบอก แล้วจู่ๆรถก็ขับไปชนต้นไม้
“ขับภาษาห่าอะไรวะ” อาร์ทตะหวาดใส่
“ขอโทษครับลูกพี่ ผมถูกมันเล่นงานจนแขน ขาหักอย่างละข้าง ขับรถไม่สะดวก” คนขับรถตอบ และเอามือหนึ่งบีบบาดแผลไว้ แต่เลือดก็ยังพุ่งกระฉูดกระจายเปื้อนเบาะหน้าและกระจกรถ
“โฮย เซง” อาร์ทไม่พอใจและมองมาที่ชายสูทดำที่นั่งข้างๆ
“แล้วไอ้ที่ไม่บาดเจ็บไม่ไปขับวะ นั่งนทำอะไร” อาร์ทตะหวาด
“ผมขับรถไม่เป็น” ชายสูทดำตอบ
แล้วมาเฟียกลุ่มนี้ก็ถกเถียงตะหวาดกัน อยู่ในรถที่ชนกับต้นไม้อย่างยับ จนพวกเขาตัดสินใจได้ให้ชายสูทดำ 4 คน มาแบกหามอาร์ทกลับไปยังศูนย์ลับของพวกมาเฟีย

“คืนนี้ ลงไปฆ่าคนในเมืองอย่าให้เหลือ แล้วจับตัวสาวน้อยที่มีดวงตาสีแดงมาให้ข้า”

-----------------------------------จบตอนที่ 20----------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #12 on: September 14, 2005, 11:49:46 PM »

ตอน ศึก 3 เส้า โจรสลัด ทหารเรือ และมาเฟีย

         ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนใหญ่ดังลั่นขึ้นจากนานครั้งจนเสียงปืนใหญ่ดังรัวขึ้นเรื่อย ลูกระเบิดพุ่งมาตกยังบ้านหลังใกล้ๆกับวิน เศษไม้กระเด็นใส่ตัวเขา เมื่อเขาหลบได้พ้นจนคาดสายตาจากกีทานัส เมื่อมองกลับมาก็ไม่เห็นซะแล้ว
“มันหนีไปจนได้” วินเจ็บใจแล้วก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็มีเสียงกรีดร้องของชาวเมืองวิ่งหนีเอาตัวรอดออกจากบ้าน บางคนจับอาวุธเตรียมสู้กับพวกโจรสลัด วินจึงมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ เหล่าทหารเรือต่างก็เตรียมประจำการรบทันที

ที่ฐานลับใต้ดินของแก๊งพยัคทมิฬของมาเฟียอาร์ท
“เอาไงลูกพี่” ชายสูทดำถาม
“ค่ำคืนนี้พวกทหารเรือจะต้องโดนพวกเราถล่มให้ย่อยยับ เราต้องครองเมืองนี้ให้ได้ เปิดศึกไปเลย ถ้าคืนนี้ไม่สำเร็จก็ไม่รู้จะอีกนานแค่ไหนที่พวกเราจะได้ขึ้นไปเชิดหน้าชูตาอยู่ข้างบนได้ จัดการมัน” อาร์ทสั่งแล้วเหล่าบรรดาลูกน้องทั้งหลายต่างขนเสบียงอาวุธต่างๆและขึ้นไปยังเมือง

ส่วนบ้านของตระกูลนัสซึเมะ อรุณและนพวิ่งขึ้นมาถึง ก็เห็นพวกพงวิชและอายะกำลังยืนดูฝูงกองเรือโจรสลัดจำนวนมากแล่นเข้ามาและยิงต่อสู้กับพวกทหารเรือ
“สัญลักษณ์ของโจรสลัดนั่น” มายะเห็นก็ชะงักใจทันทีจึงหันกลับไปหานาโอะ แต่นาโอะนั้นรีบวิ่งลงจากภูเขาไปทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ท่านพี่” อายะเดินเข้ามาถาม
“โจรสลัดกลุ่มนั้นหัวหน้ามันก็คือพ่อของนาโอะ ต้องหยุดเธอไว้ ไม่งั้นอาจจะเกิดการต่สอู้ของพ่อลูกคู่นี้ได้” มายะบอก พงวิชจึงเดินเข้ามาหา
“ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้และพวกเรากำลังต้องการหาอะไรสนุกๆทำ พวกเราจะอาสาทำงานนี้ให้เอง” พงวิชบอก
“เออ เก่งจริง โจรสลัดมาเยอะแยะจะไปให้มันฆ่าตายรึไง” มิ้งถาม
“ชีวิตใคร” ฟามบอกแล้วก็กระโดดลงจากหน้าผาไปด้วยความเร็ว
“เอาล่ะรู้เรื่องแล้ว ไปกันเหอะ” บุ๊คบอกแล้วก็ดึงแขนเพื่อนๆวิ่งลงภูเขาไป เหลือเพียงเมโรดีนกับ 2 พี่น้องนัสซึเมะ
“ฝากด้วยนะ” มายะบอก
“ท่านพี่คะ คือฉันสงสัยในตัวของนาโอะมานานแล้วค่ะว่า ท่านพี่รู้ประวัติของเธอมากกว่านี้แต่ไม่บอกฉันเลย ท่านพี่ปิดบังอะไรไว้เหรอคะ” อายะถาม
“ตอนนี้คงยังบอกไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่า เราตอนยุติเรื่องต่างๆในคืนนี้ไม่ให้เกิดการสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้” มายะบอกแล้วก็ร่ายเวทย์มนต์เรียกดาบคู่ใจออกมาและคืนร่างสู่ร่างสาวนักสู้อย่างปกติและกระโดดใต่ตามหน้าผาลงไป อายะจึงมองดูพี่สาวตนมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ แต่เมื่อตนได้ยินเสียงม้าร้องดังขึ้น เธอและเมโรดีนก็หันไปตามเสียงซึ่งบนยอดภูเขานั้น เป็นเงาของชายร่างใหญ่ขี่ม้าอยู่

“อีฟริต ออกมาช่วยเราเถอะ” พงวิชสื่อจิตในใจ
“ในเมื่อเจ้าต้องการข้าก็จะช่วย แต่ทุกครั้งที่ข้าใช้พลังในการออกมาช่วยเจ้า เจ้าจะสูญเสียพลังไปค่อนข้างมาก อาจเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเองได้” อีฟริตตอบกลับแล้วดาบแห่งอีฟริตก็เปร่งแสงขึ้นโดยลำแสงนั้นพุ่งตรงขึ้นไปเหนือเมืองและปรากฏเป็นอีฟริตเจ้าแห่งอสูรกายไฟนรกร้องคำรามจนทำให้เหล่าทหารเรือ มาเฟียและโจรสลัดเสียขวัญไปบ้าง แล้วอีฟริตก็พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

และในเวลาต่อมาจิตวิญญาณของ 3 พี่น้องซิลด์ก็ปรากฏเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้ามารวมกันเป็นจุดเดียวปรากฏเป็นปักษาน้อยทั้ง 3
“เมื่อไหร่จะได้เล่นน้ำหน้อ” เฟียเรียสเศร้าที่ตนอดเล่นน้ำตามใจคิด
“ไปกันเถอะ” เซฟิบอกแล้วปักษาน้อยทั้ง 3 ก็บินมุ่งหน้าตามพวกพงวิชไป

ที่ท่าเรือไม่นานนักเรือของกองโจรสลัดก็เข้าเทียบกับเรือของทหารเรือ พวกโจรสลัดทอดบันไดพาดและวิ่งข้ามต่อสู้กับเหล่าทหารเรือ และมีทหารเรือนายหนึ่งโดนโจรสลัดยิงอัดใส่ที่หัวไหล่จนกระเด็นพัดตกน้ำ วินจึงยื่นแขนไปจับเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะ” วินถาม ทหารเรือนายนั้นรู้ว่านี่คือนักโทษที่แหกคุกมา แต่ในช่วงเวลานี้เขาจะมัวมาคิดจับกุมก็เสียปล่าว เขาจึงยิ้มให้แล้ววินก็ดึงทหารเรือนายนั้นขึ้นมา
“เดี๋ยวจัดการให้” วินบอกแล้วก็วิ่งขึ้นเรือไปสู้กับเหล่าโจรสลัด

         ไม่นานนักกองเรือของโจรสลัดก็เทียบท่า เหล่าโจรสลัดจำนวนมากต่างบุกเข้าเมืองต่อสู้กับเหล่าทหารเรือ จนในขณะนั้นแทบทุกพื้นที่ภายในเมืองเต็มที่ไปด้วยการต่อสู้ของเหล่าทหารเรือ โจรสลัด และพวกแก๊งมาเฟีย ชาวเมืองต่างอพยพจากในตัวเมืองหนีกระจัดกระจาย บ้างก็หนีไปอยู่ในฐานทัพของทหารเรือ บ้างก็หนีขึ้นภูเขาไปให้ไกลจากเมือง บ้างก็อยู่ต่อสู้กับโจรสลัด

         ที่บนยอดภูเขา ชายร่างใหญ่ที่ขี่ม้าอยู่นั่นก็ยังคงอยู่แบบนั้นไม่ขยับอะไรมีเพียงเสียงม้าร้องเป็นระยะให้อายะและเมโรดีนหวาดกลัว
“ชายคนนั้นเป็นใครกัน” อายะยังคงกลัวๆกล้าๆแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะขยับเท้าไปไหน
“ถ้าฉันคิดไม่ผิด นั่นคืออันตรายถึงตายได้ต่อพวกเรา” เมโรดีนมองดูชายร่างใหญ่คนนั้นอย่างจดจ่อเพื่อให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องบดบังให้เห็นเพียงเงาของชายคนนั้น

         เหล่าแก๊งมาเฟียขับรถติดอาวุธออกมาซึ่งนำหน้าโดยอาร์ท จนกองขบวนรถไปหยุดอยู่ทางกว้าง
“เฮ้ย มันมาแล้วเว้ย ยิงมัน” อาร์ทสั่ง แล้วชายสูทดำก็กระโดดลงจากรถมากระหน่ำยิงใส่เหล่าโจรสลัดที่ผ่านมาแถวนั้นจนล้มตายหมดสิ้น แล้วสักพักก็มีทหารเรือกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านมา พวกมาเฟียต่างก็ระดมยิงใส่ ทหารเรือพวกนั้นจึงหาที่หลบและยิงโต้กลับ จนพวกพงวิชวิ่งผ่านมาที่นั้น

“เสียงปืน หลบไปหลังตึกก่อน” ฟามบอกให้คนอื่นหยุด แต่ตนเองนั้นกลับวิ่งออกไป แล้วฟามก็กระโดดม้วนตัวยิงใส่พวกมาเฟียไป 1 ชุดจนตนนั้นหลบไปยังตึกอีกฝั่งได้
“แค่วิ่งก็รอดแล้ว ต้องมีกระโดด เก่งจริง” มิ้งบ่น แล้วก็มีทหารเรือนายหนึ่งลุกขึ้นวิ่งไปยังจุดที่ฟามอยู่ แต่ทหารเรือนายนั้นก็ถูกยิงตายกลางทาง แล้วฟามก็ยิ้มให้
“เอาล่ะ พวกคุณเตรียมมุ่งไปยังท่าเรือเลย เดี๋ยวพวกผมจะสกัดไว้ให้” พงวิชบอกกับทหารเรือกลุ่มนั้น แล้วบุ๊คก็ถือโล่ของเฟียเรียสออกไป แต่ทันใดนั้นเฟียเรียสก็พุ่งเข้ามากระฉากโล่ของเธอออกจากแขนของบุ๊ค
“เฮ้ย ยิงมัน” อาร์ทสั่ง บุ๊ครีบวิ่งกลับไปยังหลังตึกทันที ส่วนเฟียเรียสก็บินหลบกระสุนไปมาอย่างสนุกสนาน
“เด็กบ้า เกือบทำให้ตายซะแล้ว” บุ๊คแทบใจหาย แล้ว 3 พี่น้องซิลด์ก็ปรากฎตัวออกมายังกลางถนนพร้อมกับอาวุธของพวกเขาที่ขอคืนจากพวกพงวิชเพื่อใช้ในการต่อสู้
“ไปเถอะ พวกเราจัดการทางนี้ให้” เซฟิบอก แล้วพวกทหารเรือและพวกพงวิชก็วิ่งมุ่งหน้าไปต่อยังท่าเรือ
“เด็กประหลาด ฆ่าอย่าให้เหลือซาก” อาร์ทสั่ง ลูกน้องทั้งหมดจึงระดมยิงใส่ จนเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แล้ว 3 วิหคน้อยก็บินผ่านกลุ่มฝุ่นควันนั้นออกมาโจมตีใส่พวกมาเฟียอย่างรวดเร็ว จนอาร์ทต้องสั่งถอยกำลังหนีทันที

“ไม่ทันแน่ ฉันต้องเธอให้ได้” มายะรีบวิ่งไปยังท่าเรือโดยเร็วที่สุดและจัดการเหล่าโจรสลัดที่ขวางทางจนสิ้น

----------------------------จบตอนที่ 21-----------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #13 on: September 26, 2005, 02:26:41 AM »

ขอโทษด้วยที่ห่างหายไปหลายอาทิตย์เพราะติดสอบ ทีนี้ก็คงจะมีต่ออีกหลายตอนจะพยายามหาเวลามาแต่ง เพราะช่วงนี้ก็มีเล่นเมกส์อื่นบ้างจนไม่ค่อยมีเวลามาแต่ง

ส่วน ตัวละครบางตัวที่ชื่อ ญี่ปุ่น หากใครเป็นคอการ์ตูนจริงอาจจะรู้ว่าเป็นใครบ้าง แต่บางคนที่ไม่รู้ก็บอกได้แค่ มายะ ให้ดูรูปแทนตัวเรานะกับรูปด้านล่างนั่นคือตอนเด็กกับตอนโต
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน มัจจุราชม้าดำ


         แล้วเรือของหหัวหน้ากองโจรสลัดก็บุกเข้าประชิด โจรสลัดต่างบุกกระหน่ำโจมตีใส่เมืองแรฟอสอย่างโหดเหี้ยม ชาวเมืองที่หนีไม่ทันต่างถูกฆ่าตาย แม้แต่เหล่าทหารเรือก็ยังมิอาจต้านทานได้ไหวนัก แล้วหัวหน้ากองโจรสลัดก็เดินปรากฏกายออกมายืนอยู่บนเรือดูผลงานของบรรดาลูกน้องตน แต่สายตานั้นเหลือบไปเห็นสาวน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นที่ไร้สาเหตุใดๆ
“จะเอายังไงดีลูกพี่” เนฟิสโจรสลัดตำแหน่งหัวหน้าควบคุมโจรสลัดต่างๆภายใต้คำสั่งของดาฟหัวหน้ากองโจรสลัด
“คิดว่าคนเป็นพ่อจะทำยังไงละ ก็คิดต่อเอาเอง เออ... ใช่ซิ แกมันยังไม่เคยมีลูกด้วยซ้ำ ไม่น่าตอบเลย” ดาฟตอบ

แล้วบรรดาโจรสลัดบริเวณนั้นต่างก็วิ่งเข้าโจมตีใส่นาโอะ แต่แล้วก็มีคลื่นแสงสีแดงจ้าพุ่งกระจายรอบๆตัวเธอจนโจรสลัดพวกนั้นตายหมด เธอเองจึงเดินมุ่งหน้ามายังเรือโจรสลัด ทุกย่างก้าวของเธอทำให้โจรสลัดต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้และวิ่งหนีหายไปหมด
“ไม่น่าเชื่อลูกพ่อจะเติบโตได้ขนาดนี้” ดาฟบอก แต่เธอก็ดูเหมือนจะไม่ฟังอันใด เธอกลับกำหมัดแน่นขึ้น แล้วมายะก็วิ่งมาถึงจึงกระโดดเข้ามาขวางหน้าไว้
“หยุดเถอะ ฉันเองไม่อยากให้เจ้าต้องสูญเสียพ่อเจ้าเหมือนอย่างแม่ของเจ้า” มายะบอก แต่นาโอะก็ไม่สนใจ เธอกลับใช้ค้อนอาวุธคู่ใจของเธอชูขึ้นเหนือหัวจะทุบใส่มายะ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ขอโทษด้วย” มายะชักดาบประจำตระกูลออกมา
“เพลงดาบพระจันทร์เสี้ยว” เธอฟันใส่ด้ามค้อนจนขาด แต่เธอก็ต้องถูกคลื่นพลังสีแดงปริศนาที่เปร่งออกมาจากร่างของนาโอะโจมตีใส่
“มาเลยลูกพ่อ วันนี้พ่อเห็นความสำเร็จที่พ่อปลูกฝังได้ขนาดนี้ พ่อจะตายก็ไม่เสียใจ” ดาฟทิ้งดาบและยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน

         ทันทีที่นาโอะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อของเธอนั้น ท้องฟ้าก็มืดครึม ฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก ดาฟก็เพ่งมองดูลูกสาวตนอย่างไม่ละสายตาแม้ว่าเรือที่ตนอยู่นั้นจะถูกคลื่นโหมใส่ลูกแล้วลูกเล่า แต่แล้วทุกครั้งที่ฟ้าผ่าแสงสว่างจากสายฟ้าสว่างไปทั่ว และดาฟก็เห็นเงาของยมทูตตนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังลูกสาวตน จึงทำให้ใจของเขาสั่นคลอเพราะรู้ว่าต้องเกิดเหตุร้ายกับเธอเป็นแน่แท้

“ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” นพนึกถึงภาพหลังทุกครั้งที่เจอกับนาโอะและตอนที่เธอช่วยเขาไว้
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและขอโทษด้วยสำหรับสิ่งที่จะทำ” นพหยิบลูกแก้วแห่งจันทราอออกมา เพราะกระสุนอื่นของเขาได้หมดไป เหลือเพียงชิ้นนี้อันสุดท้ายเขาบรรจุใส่ปืนของเขา
“ลาก่อน” นพหลับตาลงจนน้ำตาไหลปนกับน้ำฝนที่เปื้อนไปทั่วใบหน้า แล้วเขาก็ลั่นไกปืนยิงออกมา ลูกแก้วนั้นพุ่งตรงเข้ากลางหลังของนาโอะทะลุเข้าหัวใจของเธอ ดาฟเห็นจึงตกใจที่ลูกสาวตนโดนทำร้าย ตนจึงรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างของลูกสาวตน

“เสียใจเป็นกับเขาด้วยหรือ” กีทานัสปรากฎตัวบนยอดเสากระโดงเรือ
“ทำไมกัน แทนที่คนที่ต้องตายควรเป็นพ่อ ทำไม ลูกต้องไม่ตาย” ดาฟจับแก้มน้อยๆของลูกสาวตนและนึกถึงความหลังในสมัยก่อนที่ทั้ง 2 เคยอยู่เล่นกันอย่างมีความสุขแบบพ่อลูก
“นี่พวกแกทำอะไรไป” มายะหันขึ้นไปมองนพและอรุณ
“ปลดปล่อยเธอไง ฉันทำภารกิจของฉันเสร็จแล้ว ที่นี้เธอจัดการต่อเอาเอง” นพลืมตาขึ้นมาและเอาแขนปาดเช็ดหน้าและยิ้มให้ แต่มายะเองก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่นพทำและพูดออกมา แล้วกีทานัสก็กระโดดลงมาจากเรือ

“วันนี้แหละจะเป็นวันตายของพวกเจ้าทั้งหมด ตราบใดที่ยังมีน้ำอยู่ ข้าก็เท่ากับเป็นพระเจ้าไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก” กีทานัสชูมือทั้ง 2 ข้างขึ้นฟ้าและดูดพลังจากน้ำมารวมที่ตัวของมัน แล้วก็มีชายคนหนึ่งลอยขึ้นมาจากเงาของกีทานัส
“งั้นเหรอ ถ้ามีน้ำแกเป็นพระเจ้า งั้นขอลองดูฝีมือหน่อย ในความมืดข้าก็คือพระเจ้าเช่นกัน” วินกระซิบจากด้านหลัง กีทานัสจึงใช้พลังน้ำหันหลังไปโจมตี แต่ก็ไม่พบวินแล้ว เหลือเพียงเสียงหัวเราะของวินดังขึ้นอยู่รอบๆตัวของมัน

         แล้วพวกพงวิชก็มาถึงกีรีบวิ่งเข้าไปหามายะ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” พงวิชถาม
“เรื่องมันจบลงแล้ว ที่เหลือเรื่องของคนอื่นอย่าไปยุ่งเลย” นพบอกแล้วก็หันหน้าหนีเพราะใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของลูกผู้ชาย
“มากันพร้อมหน้าก็ตายกันทั้งหมดเลย” กีทานัสสร้างน้ำให้เป็นหอกขนาดใหญ่ 9 อัน ลอยวนอยู่รอบๆตัวเขา

ที่หน้าบ้านตระกูลนัสซึเมะ ฝนที่ตกหนัก อายะจึงชวนเมโรดีนเข้าไปหลบฝนอยู่ในบ้าน แต่พอทั้งสองหันไปอายะก็เหลือบขึ้นไปมองยังชายชุดดำ แล้วเธอเองก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นชายชุดดำมองมายังเธอ แล้วม้าของชายชุดดำก็ร้องขึ้นแล้วก็กระโดดลงมายังหน้าพวกเธอ
“หลบอยู่หลังฉันไว้ ฉันจะปกป้องเธอเอง” อายะชักดาบออกมาตั้งท่าสู้ ชายชุดดำก็จ้องมองดูพวกเธอและจับจิตได้ว่าพวกเธอนั้นกำลังหวาดกลัวมาก แววตาลึกลับที่ซ้อนอยู่ใต้แว่นเลเซอร์หนาของเขา ถึงแม้จะยากต่อใครที่จะเห็น แต่ก็ยังทำให้ใครต่อใครหวาดกลัวเพียงแค่เขาจ้องมอง
“หลบไป” ชายชุดดำพูดช้าๆชัดๆ ทำให้พวกเธอประหลาดใจ แต่พวกเธอก็หลีกทางให้แต่ก็ยังระวังตัวไว้ แล้วชายชุดดำก็ขวบม้าดำตัวใหญ่กระโดดเหินจากหน้าผาลงไป

“Holy Wall” อิศราสร้างเกราะขนาดใหญ่ล้อมรอบพวกเขาไว้ เว้นเพียงแต่วินที่ยืนอยู่ไกลจากวงเวทย์เกิน
“ตายซะเถอะหอกแห่งข้า ทำลายศัตรู Deathly Water Spear” กีทานัสยิงหอกพลังน้ำทั้ง 9 โจมตีใส่วิน แล้วมายะก็ได้ยินเสียงบางอย่างจึงเกิดรู้สึกหวั่นๆ
“เกือกม้า” มายะบอก
“อะไรนะ” พงวิชไม่ค่อยได้ยินที่มายะพูดเพราะเสียงฝนที่กระหน่ำตกลงมาจนกลบเสียงอื่นไปเกือบหมด

“อดสนุกเลยวันนี้ ดันมีคนมาแย่งซะงั้น” วินพูดเสร็จตัวเขาก็ค่อยๆจมลงไปในเงาของเขาเอง แล้วชายชุดดำที่ขวบม้ามาด้วยความเร็วเหนือเสียง ทวนดำมรณะของเขาแทงจะทะลุร่างของกีทานัส
“ความเร็วขนาดนี้ ไม่จริง” กีทานัสตะลึงกับความเร็วของชายชุดดำแล้วร่างของเขาและพลังน้ำรวมทั้งฝนค่อยๆสลายหายไป ท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่างเต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์

สักพักร่างของนาโอะก็ค่อยๆเปร่งแสงขึ้น แล้วก้มีแสงจันทร์สาดส่องมายังร่างของเธอ
“ขอบคุณมากนะ” เสียงของลูน่าดังขึ้นมาในหูของนพ เขาจึงหันไปดูร่างของนาโอะที่มีแสงสว่างจ้าจนทุกคนยังทึ่งรวมทั้งตัวดาฟที่ค่อยปล่อยมือออกจากร่างของลูกสาวและลุกขึ้นถอยออกห่างอย่างช้าๆ ชายชุดดำจึงกระโดดลงจากหลังม้ายืนมองดูสิ่งบางอย่างทะลุแสงสว่างจ้านี้เข้าไป

         เมื่อแสงเริ่มสว่างหรี่ลงเรื่อยๆจนทุกคนพอมองเห็นร่างสาวคนหนึ่งปรากฏออกมาแทนนาโอะ สาวคนนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“นาโอะ” ดาฟยืนองดูหญิงสาวที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ลูกสาวตนอีกแล้ว
“ได้โปรด มอบเด็กสาวคนนี้แก่ข้า” ชายชุดดำเดินเข้ามาหาดาฟ เขาเองจึงนึกถึงความหลังถึงตอนที่ตนเคยบอกกับลูกสาวว่า “ถึงแม้พ่อจะจากเจ้าไปไกลสักแค่ไหน สักวันพ่อจะกลับมาหาเจ้า จงดูแลตัวเองดีๆละ” “ท่านพ่อ” นาโอะในตอนเด็กวิ่งเข้ามากอดดาฟ แล้วเขาก็ตัดใจได้
“ข้าจะตอบแทนท่านด้วยสิ่งนี้” ชายชุดดำบอกแล้วก็อุ้มร่างของสาวคนนั้น มายะเองจึงคิดที่จะขัดขวางแต่ฟามก็ยื่นแขนไปห้ามไว้
“ไม่มีประโยชน์หรอก” ฟามบอกแล้วชายชุดดำก็เดินมาที่ม้าของเขาอย่างช้าๆ ดาฟเองแทบใจสลายที่ต้องสูญเสียลูกสาวไป เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำ เมื่อแสงนั้นดับลง ชายชุดดำและสาวคนนั้นก็หายไป แล้วท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแสงตะวันเริ่มสาดส่อง แสงจันทร์เริ่มเลือนหาย ดาฟเองก็ปาดน้ำตาออกและลุกขึ้น

“พ่อจะไม่มีวันจากเจ้าไป พ่อจะตามเจ้าไป” ดาฟชักดาบออกมาง้างขึ้นจะแทงตัวเอง แต่แล้วก็มีเสียงแห่งปฏิหารที่ดังขึ้นมาพร้อมกับความหวังและความประหลาดใจแก่พวกเขา
“ท่านพ่อ”
“นาโอะ” ดาฟทิ้งดาบลงทันทีที่เห็นลูกสาวตนยืนอยู่ที่หัวเรือ แล้วเธอก็วิ่งเข้ามากอดผู้เป็นพ่ออีกครั้ง
“ในที่สุดท่านพ่อก็กลับมา” นาโอะกอดดาฟแน่นขึ้น ดาฟเองก็หลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติที่ได้พบลูกสาวอีกครั้ง
“พ่อจะไม่จากลูกไปอีกแล้ว” ดาฟบอก

“จริงของนพ มันไม่ใช่เรื่องของพวกเรา งั้นก็กลับกันเถอะ” พงวิชบอก แล้วทุกคนก็เดินกลับไปยังบ้านตระกูลนัสซึเมะ มายะที่เดินลั้งท้ายก็หันไปมองดูนาโอะครั้งสุดท้าย แล้วเธอก็ส่งยิ้มครังสุดท้ายให้กับนาโอะก่อนที่หนักลับวิ่งตามพวกพงวิชไป แล้ว 2 พ่อลูกก็ออกเรือไปด้วยกัน 2 คนโดยไม่มีจุดหมายปลายทางขอเพียงแค่ทั้งคู่ได้อยู่กันจนวันตายก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดในชีวิต

-----------------------------จบตอนที่ 22-----------------------------------
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #14 on: September 26, 2005, 08:19:33 PM »

ชอบที่ตั้งชื่อท่าจัง  ::)
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #15 on: September 26, 2005, 10:03:52 PM »

แต่งสด 1 ชั่วโมงเสร็จพร้อมอ่านทันใจ  ;D
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน สิ่งมีชีวิตจากสวรรค์

         ดินแดนอันไกลที่ห่างจากความวุ่นวาย ดินแดนที่ไม่เคยมีสงครามหรือเหตุร้ายใดๆ เนื่องจากในโบราณที่ตั้งเมืองนี้เคยเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่าเทพ เทวดาทั้งหลาย ที่นั่นมีเมืองแห่งศาสนจักร เมืองที่มีโบสถ์ วิหาร มากมาย ผู้คนในเมืองต่างอยู่เย็นเป็นสุข เหล่านักบุญต่างแสวงบุญกันที่นี่เป็นจำนวนมาก เมืองนี้ยังเป็นที่เก็บสะสมรวบรวมข้อมูลต่างๆในโลกนี้มารวมไว้ที่นี่ ทั้งบุคคลสำคัญ สถานที่ต่างๆ เมืองนี้จึงเป็นอีกที่หนึ่งที่ดั่งโลกขนาดเล็ก เมืองนี้คือ มหานครเบรุส ตั้งอยู่ในทุ่งกว้างมาร์ส มีเทือกเขาไทคอป ล้อมรอบเป็นครึ่งวงกลม

         ที่ยอดเขาคอสมาดาจาต้า มีนักเดินทางสาวๆกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านยอดเขานี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังมหานครเบรุส และเย็นวันนั้นพวกเธอตั้งแคมป์พักผ่อนกัน
“พรุ่งนี้ก็คงจะถึงแล้วละนะ” ธิดาภาบอก
“งั้นก็รีบๆนอนแล้วพรุ่งนี้จะได้รีบไปกันเถอะ” มาย่าบอกแล้วพวกเธอก็นอนหลับพักผ่อนกันในแคมป์

         แต่กลางดึกของค่ำคืนนั้นเอง มีแสงสว่างจ้าพุ่งลงมาจากฟากฟ้าสู่ยอดเขาคอสมาดาจาต้า ซึ่งบนยอดเขาสุดนั้นมีวิหารเก่าโบราณที่พังไปแล้ว ธิดาภาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอจึงรีบเดินออกมาจากแคมป์ยืนมองดูแสงนั้น ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินขึ้นภูเขาไปยังวิหารนั้น เมื่อเธอใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ลำแสงนั้นก็ค่อยๆแพร่วเบาลงเรื่อยๆ  

         เมื่อเธอย่างท้าวก้าวเข้าสู่วิหารโบราณนี้ ลำแสงจากฟากฟ้าก็ดับวูบหายไปทันที เหลือเพียงแสงจากคริสตอลขนาดใหญ่ที่อยู่วิหาร ซึ่งคริสตอลนี้แตกกระจายจนมีเศษกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว เธอจึงเดินมาแอบมองคริสตอลนั่นจากหลังเสาต้นหนึ่ง เธอมองเห็นอะไรบางอย่างในคริสตอลนั้นแต่ไม่ชัด ในใจเธอคิดที่จะเข้าไปดูด้วยความสงสัยกับการเฝ้าดูมันอยู่ตรงนั้นด้วยความกลัว มันคงไม่เป็นอย่างที่คิดนะ ? ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่าความกลัวของเธอจึงทำให้เธอนั้นออกมาจากหลังเสาและเดินเข้าไปใกล้ๆ

         แล้วเธอก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุราวๆ 15 ปี ในร่างเปลือยที่มีขนหนาปกปิดบริเวณเอวลงไปยันเข่า และมีผมสีน้ำตาลแกมดำที่ยาวยันสะโพก ที่หน้าอกมีรอยสักโบราณที่เธอมองดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร เด็กชายคนนั้นนอนสั่นด้วยความหนาวเหน็บ เธอจึงถอดผ้าคลุมห่มร่างเด็กชายคนนั้นไว้ เธอมองดูเด็กชายคนนั้นอย่างเอ็นดู และเธอยื่นมือไปแตะเพื่อจะปลุก

         แต่ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมาและผลักเธอกระเด็นไปติดกับเสาแล้วเขาก็หลบไปหลังเสาต้นหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ทำไรเธอหรอก” ธิดาภาลุกขึ้นช้าๆ
“ที่นี่ ที่ไหน ?” ชายคนนั้นถามและมองซ้ายมองขวาอย่างเร็วด้วยความระแวง
“ที่นี่คือวิหารโบราณบนยอดเขาคอสมาดาจาต้า ส่วนฉันชื่อ ธิดาภา แล้วเธอละ เราเป็นเพื่อนกันได้นะ ออกมาเถอะ” ธิดาภาพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานของเธอจนทำให้ชายคนนั้นเริ่มค่อยๆรู้สึกว่า ตัวเธอนั้นไม่มีอันตรายต่อเขา แล้วเขาจึงออกมาจากหลังเสา
“ข้าเป็นใคร ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง” ชายคนนั้นยังสับสนกับตัวเองเหมือนกับว่าเขาสูญเสียความทรงจำไป
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ตอนนี้เธอหิวหรือเปล่า ที่แคมป์ฉันมีอาหารอยู่จะไปด้วยกันมั้ยละ” ธิดาภาพูดออกมาพร้อมกับบรอยยิ้มที่ทำให้ชายคนนั้นถึงหลงใหลในความน่ารักของเธอ
“ไม่ ข้าไม่...” ชายคนัน้นพยายามจะปฏิเสธแต่แล้วก็มีเสียงท้องร้องของเขาดังขึ้นจนได้ยินชัดเจน ธิดาภาจึงหัวเราะออกมาเล็กๆ
“ไม่ต้องฝืนหรอก หาปล่อยให้หิวแบบนี้ เธอจะไม่มีแรงเอานะ” ธิดาภาบอก
“เดี๋ยวก่อน” ชายคนนั้นพูดทำให้ทั้งคู่หยุดนิ่ง แล้วก็มีปีศาจตนหนึ่งตกลงใส่หลังคาวิหารจนถล่มลงมาจนเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ชายคนนั้นจึงอุ้มธิดาภาและหนีออกมาจากวิหารที่กำลังถล่ม

         เมื่อเขาทั้ง 2 ออกมาชายคนนั้นก้วางร่างของธิดาภาลงแล้วหันไปมองที่วิหารเห็นมังกรตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากกลุ่มควัน ชายคนนั้นจึงเดินมาขวางข้างหน้าเธอไว้
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะคุ้มครองเธอเอาไว้เอง” ชายคนนั้นแสดงท่าทางออกเหมือนกับว่าตัวเขานั้นไม่ใช่เด็ก ธิดาภาเห้นเช่นนั้นก็จับคฑาไว้แน่นช่วยเสริมกำลังให้อยู่ด้านหลัง
“Shield Protect” เธอสร้างเกราะป้องกันการโจมตีให้เขาทั้ง 2 ไว้
“ไม่จำเป็นหรอก ขอเพียงเธอถอยไว้ห่างๆก็เป็นพอ” ชายคนนั้นยิ้มออกมาเหมือนกับว่าเขาเห็นการต่อสู้เป็นเรื่องสนุก มังกรตัวนั้นจึงคำรามออกมาจนเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำให้ธิดาภาเสียหลัก แต่เธอกลับเห็นเด็กชายคนนั้นยืนนิ่งเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วมังกรตัวนั้นก็อ้าปากพุ่งเข้ามากัดเขา

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” เด็กชายคนนั้นตะโกนสุดเสียงอย่างเข้มแข็งแล้วใช้มือขวากำที่ข้อมือซ้ายแล้วอัดลงใส่พื้นแล้วก็มีไฟฟ้าปรากฏขึ้นรอบๆตัวเขาและหมัดของเขาก็ห่อล้อมไปด้วยพลังสายฟ้าที่สว่างจ้า แล้วเขาก็พุ่งเข้าหามังกรตัวนั้นด้วยความเร็วและใช้หมัดซ้ายอัดใส่ที่ใต้คางของมังกรนั้นและมีสายฟ้าฟาดทะลุจากหมัดของเขาทะลุออกหลังคอและมีสายฟ้าอีกมากฟาดใส่ที่บริเวณซ้ำๆอยู่หลายครั้งและเริ่มถี่ขึ้นจนบริเวณนั้นเต็มไปด้วยแสงที่เกิดจากสายฟ้าฟาด

         เมื่อทุกอย่างจบลงเด็กชายคนนั้นก็เดินโซซัดโซเซกลับมาหาธิดาภา เมื่อเธอเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวในตัวของเด็กชายคนนี้ขึ้นมา แล้วชายคนนี้ก็หมดแรงล้มลงไปตรงหน้าเธอ เธอจึงรีบตัดอารมย์กลัวในหัวของเธอออกรีบหันมาประคองร่างของเด็กชายคนนี้ไว้
“สงสัยจะหมดแรงเลยซิ เด็กคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ฉันจะปิดความลับของเธอเอาไว้ให้เอง” ธิดาภามองดูชายคนนี้ที่หลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมตักของเธอ แล้วสักพักพวกพิชามนญ์ก็วิ่งขึ้นมาเพราะแผ่นดินไหว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” มาย่าถามแล้วเธอก็ตกใจที่หันไปเจอมังกรตัวนั้นที่ตายอย่างอนาถ
“แล้วนี่ใครกันละ” พิชามนญ์ถาม
“เด็กหน่า ไปเจอเขาในวิหารโบราณ ตอนนี้ก็คิดว่าจะพาเขาไปที่เมืองเบรุสก่อนค่อยคิดต่อไปอีกที” ธิดาภาตอบพร้อมกับเอามือลูบศีรษะของเด็กชายคนนี้เบาๆ
“มังกรตัวใหญ่และทรงพลังขนาดนี้ เธอฆ่ามันได้อย่างไรกัน” อรนิชาถาม
“ปล่าว พอดีเมื่อกี้นี้มีชายคนหนึ่งเขามาช่วยเอาไว้แล้วก็จากไปแล้ว” ธิดาภาพูดออกมาอย่างรีบร้อน  
“ปิดบังอะไรไว้รึปล่าว” มาย่าถาม
“ปล่าว ไม่มีปิดบังอะไรหรอก” ธิดาภารีบปฏิเสธทันที
“ฉันเชื่อเธอก็ได้ เพราะว่าเธอไม่เคยโกหกหรือปิดบังใครอยู่แล้ว ส่วนเจ้าเด็กนี่ จะเหมือนลิงก็ไม่ใช่ จะเหมือนเสือก็ไม่เชิง มีขนเยอะจริง ผมก็ย๊าวยาว” มาย่าเดินเข้ามาดูเด็กชายคนนี้ใกล้ๆ
“แล้วรู้มั้ยว่าเด็กคนนี้ชื่ออะไร” อรนิชาถาม
“ไม่รู้หรอก เหมือนว่าเขาสูญเสียความทรงจำ ถามอะไรเกี่ยวกับตัวเขาก็เหมือนว่าเขาจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ธิดาภาตอบ
“งั้นกลับไปที่แคมป์กันก่อนเถอะ พักผ่อนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้เดินทางเอาเด็กนี่ไปรักษาตัวที่เมือง” พิชามนญ์บอกแล้วก็แบกเด็กชายคนนี้ขึ้นหลังแล้วพวกเธอก็เดินลงจากยอดเขากลับไปที่แคมป์
“ฉันต้องหาความลับของเธอให้ได้ ทั้งที่มา ประวัติ รวมทั้งรอยสักที่หน้าอกของเธอด้วย” ธิดาภาเดินเหม่อลอยนึกถึงภาพตอนที่เด็กชายคนนี้ออกมาขวางและบอกว่าจะคุ้มครองเธอไว้

         เมื่อพวกเธอลงไปจากยอดเขาแล้วก็มีฝูงหมาป่ากลุ่มหนึ่งโผล่มากัดกินเนื้อมังกรที่ตายเป็นอาหาร พวกมันทั้งเห่าหอนในยามราตรีจนเสียงของพวกมันน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดในค่ำคืนนั้น และหัวหน้าฝูงของมันกระโดดมาบนโขดหินจ้องมองดูพวกเธอจากที่สูงด้วยสายตาอาฆาต

         ที่แคมป์พวกเธอต่างหลับนอนกันสนิทโดยธิดาภาเอาเด็กชายคนนั้นมานอนไว้เคียงข้าง ทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนว่าเด็กชายคนนี้เป็นน้องชายของเธอ ตัวที่สั่นเทาของเด็กชายคนนี้ที่เหน็บหนาวแม้จะห่มผ้าแล้วก็ยังไม่หายหนาว เธอจึงร่ายเวทย์มนต์สร้างไออุ่นออกมาจากตัวเธอและกอดเด็กชายคนนั้นไว้เพื่อให้ไออุ่นแก่เขา และเธอก็หลับลงอย่างสบายใจ

-----------------------------------------จบจอนที่ 23--------------------------------------------
« Last Edit: October 14, 2005, 01:29:14 AM by RPG_Master » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #16 on: September 27, 2005, 06:18:46 AM »

ด้วยความมุ่งมั่นถึงจะดึกดื่นแค่ไหน จะง่วงสักเท่าไหร่ เพื่องานอันเป็นที่รักก็จะแต่งมันต่อไป (แต่งตั้งแต่ตี 1 ยันตี 2 อย่างน้อยก็ยังมีคนอื่น คุ้มค่ากับเวลาที่ลงทุน [คนที่อ่านคนแรกเราเองแหละแต่งไปอ่านไป])
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน วิหารเทพที่ถูกลงโทษ

         เมื่อตะวันเริ่มทอแสง การเริ่มต้นของชีวิตใหม่กับวันใหม่ก็เริ่มขึ้น กลุ่มนักเดินสาวน้อยทั้ง 4 และอีก 1 หนุ่มน้อยก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่มหานครเบรุส แต่เมื่อภาพแรกที่พวกเธอออกมาจากเต้นท์นั้น คือไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่หมอกหนาทึบ พอเห็นเพียงยอดเขาสูงเหนือหมอกและแสงตะวันที่สาดส่องนำทางเข้ามาถึง
“จะเอายังไงต่อดีละ พวกเราจะไปทางไหนกัน” อรนิชาถาม
“ตามแผนที่ เมืองต้องอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากตรงนี้ ถ้าเราใช้พระอาทิตย์เป็นเครื่องนำทางก็คงไปถึงได้” พิชามนญ์หยิบเข็มทิศออกมาดู แล้วเด็กน้อยคนนั้นก็เดินออกมาจากเต้นท์ พวกเธอเห็นขนและเส้นผมบนตัวของเด็กชายคนนั้นที่เปลี่ยนเป็นสีขาวนวลกลมกลืนไปกับหมอก
“ไปย้อมสีตั้งแต่เมื่อไหร่” มาย่าถาม
“ไม่รู้ซิ ข้ารู้สึกปวดหัวนิดๆ” เด็กชายคนนั้นเอามือกุมหัวและเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่ต้องพึ่งเข็มทิศหรือสิ่งต่างๆช่วยเขากลับสามารถเดินไปได้ถูกทาง แล้วพวกเธอก็เดินตามไปทันทีในระยะประชิดเพื่อไม่ให้หลงทางกันในหมอก

“เธอพอจะนึกอะไรออกบ้างรึยัง หรือนึกชื่อตัวเองออกหรือเปล่า” ธิดาภาเดินเข้ามาใกล้ๆและถามเบาๆ
“ไม่ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ข้ายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าข้าหลับจากที่ไหน รู้เพียงตื่นมาก็เห็นเธอและข้าก็อยู่ที่นั่นได้ไง” ชายคนนั้นตอบ
“งั้นฉันตั้งชื่อให้นะ เธอมีความเป็นสุภาพบุรุษดี สมกับเป็นชาติชายชาตรี ชื่อเธอจะตั้งให้ยังไงดีนะ ขอคิดสักแปป” ธิดาภาเดินนึกไปเรื่อยๆ
“เอาชื่อเท่ๆเลยแล้วกัน ชื่อ มาร์คัส เป็นไง เธอพอรับได้มั้ย ชื่อเทพสวรรค์องค์หนึ่งเชียวนะ ชื่อนี้อาจจะทำให้ใครๆต่างเกรงกลัวก็เป็นได้” ธิดาภาบอก
“มาร์คัสเหรอ” ชายคนนั้นหยุดยืนนิ่งจนมาย่าที่เดินไม่ระวังนั้นเดินมาชนเข้า
“หยุดทำไม” มาย่าถาม
“มาร์คัส ชื่อนี้... ข้าเป็นใครกันแน่” ชายคนนั้นเริ่มปวดหัวมากจนดิ้นทุรนทุรายไปมา ธิดาภาเลยจะเข้ามาห้ามไว้เพื่อให้สงบสติอารมณ์ แต่เมื่อเธอแตะสัมผัสตัวเด็กชายคนนี้ ก้มีภาพบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองของเธอ เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน ทุกอย่างรอบๆตัวเธอล้วนแต่ว่างเปล่า แล้วก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาซึ่งที่หน้าอกของเขามีรอยสักเหมือนกับเด็กชายคนนี้ “ได้โปรด”  ชายคนนั้นยื่นมือที่จะมาจับเธอ แล้วเธอก็สะดุ้งออกมาจากภาพนั้น
”เกิดอะไรขึ้นเหรอ เธอเห็นอะไร” อรนิชารีบเข้ามาถาม
“ไม่หรอก” ธิดาภาพยายามทำตัวให้เป็นปกติและส่งยิ้มให้ว่าเธอนั้นไม่ได้เป็นอะไร
“เอาเป็นว่าฉันตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่า มาร์คัส แล้วกันนะ ทุกคนจำเอาไว้ด้วย” ธิดาภาบอก
“ชื่อจะไม่หรูไปหน่อยรึ” มาย่าถาม
“เอาเถอะ เป็นว่าเราไปกันต่อให้ถึงเมืองกันก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่นต่อ” ธิดาภาบอกแล้วก็วิ่งเข้ามาดูอาการของชายคนนั้น พอเขาเริ่มหายปวดหัวแล้ว เขาก็เดินต่อไปพร้อมกับท่าทางเหมือนเจ็บปวดบริเวณรอยสักต้องเอามือทั้ง 2 ข้างกุมหน้าอกเอาไว้

         พวกเข้าเดินทางกันจนเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษๆ มาร์คัสก็หยุดนิ่งทันที
“มีอะไรเหรอ” ธิดาภาถาม
“พอข้าให้สัญญาณ พวกเธอจงรีบวิ่งสุดชีวิตอย่ามองกลับหลังมา ไม่ต้องห่วงข้า ตามที่ฉันสัญญาโดยที่เธอไม่รู้ ฉันจะคุ้มครองพวกเธอเอาไว้เอง เพราะตอนนี้มีพวกหมาป่าที่จ้องจะทำร้ายพวกเธออยู่ เหนือหอมของสาวพหรมจรรย์อย่างพวกเธอมันถือว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดของพวกมัน มันยังไม่รู้ว่าพวกเธออยู่ไหน มันจะไม่ใช้สายตามองพวกเธอมันจะใช้หูฟังเสียงฝีเท้าของพวกเธอแทน เพราะฉะนั้นหากฉันบอกว่าวิ่งก็ต้องวิ่งให้เร็วที่สุด ฉันจะคุ้มกันหลังไว้ให้” มาร์คัสพูดอย่างแพร่วเบา

ทุกคนในที่นั้นต่างหยุดนิ่งและเงียบที่สุด ทุกคนเริ่มหนาวเหน็บขึ้นมาจากหมอกเหล่านี้จนพวกเธอหายใจออกมาเป็นไอ พวกเธอเริ่มจะทนกับสภาพอากาศอันหนาวแบบนี้ไม่ไหวมากนัก แต่พวกเธอก็ยังทน จนสักพักก็เริ่มมีเสียงฝีเท้าของพวกหมาป่าดังขึ้นเป็นฝูงใหญ่ มาร์คัสจึงก้มหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้วก็เขว้งไปสุดแรงออกไปห่างจากพวกเขา เมื่อก้อนหินนั้นตกกระทบพื้นจนเกิดเสียง พวกหมาป่าฝูงนั้นจึงรีบวิ่งไปที่นั่นทันที
“วิ่ง !!!” มาร์คัสบอก แล้วพวกเธอก็รีบวิ่งไปทันทีตามที่เขาบอก ส่วนตัวเขานั้นกลับยืนอยู่นิ่งไม่ขยับไปไหน ด้วยความเป็นห่วงของธิดาภา เธอหันไปมองดูเขา และเธอก็รอยยิ้มของชายคนนั้นเป็นครั้งที่สอง จากความคิดที่คิดเสมอว่าเด็กคนนี้เปรียบเสมือนเป็นน้องชายกลับกลายเป็นชายที่คอยคุ้มครองปกป้องเธอ รอยยิ้มนี้แสดงถึงความมั่นใจของเขามาก ธิดาภาที่เชื่อใจในตัวชายคนนี้ เธอจึงทำตามที่เขาบอกและวิ่งจากไปพร้อมกับเพื่อนๆ
“ไหนลองมาสนุกกันหน่อยซิ ไอ้พวกหมาหมู่” มาร์คัสหันหลังกลับไปก็เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าฝูงหนึ่งที่แยกเขี้ยวขู่

“เราจะทิ้งเจ้าหนูนั่นไว้คนเดียวจริงๆเหรอ” มาย่าถาม
“ฉันเชื่อว่าเขาต้องรอดและเอาชนะพวกหมาป่านั่นได้แน่” ธิดาภาตอบ
“แต่ถึงยังไงเจ้าเด็กนั่นก็คือเด็กอยู่ดี อากาศที่หนาวขนาดนี้ แถมเขาก็คงจะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน ร่างกายของเขาจะทนไม่ไหวเอานะ” พิชามนญ์พูดด้วยความเป็นห่วง แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเกือกม้าเดินอย่างช้า เธอจึงมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงพร้อมกับวิ่งไปเรื่อยๆ เสียงเกือกม้าที่ค่อยแพร่วเบาลงทำให้เธอยังมองหาต้นเสียงได้ยากรวมทั้งหมอกที่หนามากจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น

ไม่นานนักพวกเธอก็วิ่งมาจนถึงบริเวณที่หมอกเริ่มเบาบางลง พวกเธอเห็นชาวเมืองกลุ่มหนึ่งที่ผ่านมาบริเวณ พวกเธอจึงรีบวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือและเล่าเรื่องต่างๆ จนชาวเมืองกลุ่มนั้นรีบวิ่งย้อนกลับเข้าไปช่วยเด็กน้อยที่อยู่ในดงหมาป่า

“แสงไฟแห่งตะวัน เกราะแห่งอพอลโล่ Armor Sun” มาร์คัสท่องคาถาบางอย่างจนเกิดดวงอาทิตย์เล็กๆเหนือหัวเขาขึ้นไปประมาณ 3 เมตร และเปร่งแสงไฟสีแดงห่อล้อมตัวเขาไว้เป็นวงกลม
“ถึงแม้เราต้องเสียพลังจากการให้คาถานี้คงอยู่ หากปล่อยแบบนี้เราก็อาจจะหมดพลังแน่ ร่างกายเราตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกจะไม่ไหวแล้ว ถึงแม้จะมีความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์แล้วก็ตาม แต่ร่างกายเหมือนกับว่าจะขยับตัวไม่ได้ดั่งใจ เราคงต้องรอจนกว่าคาถานี้จะหมดลง” มาร์คัสหลับตาลงช้าๆ ฝูงหมาป่าต่างวิ่งกระโจนเข้าโจมตีใส่แต่เมื่อพวกมันถูกกำแพงแสงอาทิตย์แล้ว พวกมันก็กระเด็นไปทันที

แล้วเสียงเกือกม้าก็ดังขึ้น เหมือนว่ามีคนขี่ม้ามาบริเวณนั้น มาร์คัสพยายามจะลืมตาขึ้นมองดูต้นเสียงของเกือกม้านั้น แต่ด้วยความหนาวเหน็บและเรี่ยวแรงเริ่มอ่อนล้า เขาลืมตาขึ้นมาได้นิดๆเห็นภาพลางๆเป็นชายร่างใหญ่ขี่ม้าดำตัวใหญ่ตรงมาที่เขา แล้วมาร์คัสก็หมดแรงล้มลง ตาทั้ง 2 ข้างที่ลืมไม่ค่อยจะขึ้นของเขานั้นเริ่มค่อยหรี่ลงเรื่อยๆ เขาได้ยินเพียงเสียงม้าร้อง เสียงของมีคมเสียดสีกับเนื้อหนัง เสียงคร่ำครวญของหมาป่า และเสียงฝีเท้าจำนวนมากของฝูงหมาป่าที่จากไป เขาผงกหัวขึ้นมาก็เห็นศพหมาป่านอนตายเกลื่อน แล้วเขาก็คิดว่ามันจบเสียที แล้วเขาก็เห็นชายร่างใหญ่คนนั้นก้มมองจ้องหน้าเขา นั่นคือภาพสุดท้ายก่อนที่มาร์คัสจะหมดแรงสลบไป

         เมื่อพวกกลุ่มชาวเมืองมาถึง พวกธิดาภาก็เห็นเงาลางๆของชายร่างใหญ่ขี่ม้าดำจากไปทิ้งท้ายเพียงเสียงเกือกม้า ธิดาภาจึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของมาร์คัส เธอจับชีพจรของเขาจึงรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จึงรีบบอกให้ชาวบ้านช่วยพาเขาไปที่เมืองโดยเร็วเพื่อรักษาและพักฟื้น

         และแล้วตะวันก็ทอแสงขึ้นสู่เหนือหัวเป็นเวลาเที่ยง พวกเขาทั้งหมดก็มาถึงมหานครเบรุส ชาวบ้านรีบแบกร่างของมาร์คัสเข้าไปรักษาในวิหาร ให้หลวงพ่อจาค็อบรักษา

ผ่านไป 10 นาที หลวงพ่อก็เดินออกมาจากห้อง
“เขาเป้นยังไงบ้างคะ หลวงพ่อ” ธิดาภารีบเข้ามาถาม
“ก็สบายดี แค่สลบไปเพราะหมดแรงหรือใช้แรงเยอะไปก็เป็นได้ แต่พ่อสงสัยบางอย่างเหมือนกันก็เลยอยากจะขอคุยกบัหนูเป็นการส่วนตัวจะได้หรือเปล่า” หลวงพ่อจาค็อบตอบและถามกลับ
“ได้ซิคะ” ธิดาภาตอบ แล้วเธอก็เดินตามหลวงพ่อเข้าไปด้านในของวิหารนี้

“ที่นี่มีวิหารมากมายของเหล่าเทพสวรรค์ในหลายองค์ แต่ในตำนานเทพในหนังสือมีบอกไว้เกี่ยวกับรอยสักบนหน้าอกของหนุ่มน้อยคนนั้น” หลวงพ่อเดินไปและเล่าไป
“แล้วยังไงต่อคะ หนูเองยังไม่เข้าใจเลย” ธิดาภาบอก หลวงพ่อก็หัวเราะเล็กๆ
“ฟังพ่อพูดให้จบก่อนซิ ตามตำนานในหนังสือเล่าไว้ว่า นานมาแล้วในเหล่าบรรดาเทพสวรรค์ทั้งหลายจะมีเทพเพียงตนเดียวที่เป็นเสมือนหัตถ์ซ้ายของพระเจ้า และเทพธิดาอีกตนที่เป็นเสมือนหัตถ์ขวาของพระเจ้า ทั้งสองจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป และทั้งคู่ก็รักกัน แต่เกิดมีเทพสวรรค์องค์หนึ่งนึกหลงรักในตัวเทพธิดาตนนั้น จึงทำให้หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้าโกรธเลยสังหารเทพสวรรค์ตนนั้นอย่างเย็นชา เขาและเธอจึงถูกจับแยกกันโดยเขาถูกกักขังเป็นเวลานาน ส่วนเธอนั้นถูกส่งให้มาอยู่บนโลกมนุษย์เพื่อทำหน้าที่แทนพระเจ้าในบางเรื่องบนโลกมนุษย์” หลวงพ่อเล่าไปเรื่อยๆ
“แล้วมันเกี่ยวยังไงกับรอยสักคะ” ธิดาภาถาม
“ก็นี่ไงกำลังจะบอกเลย หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้านั้นมีรอยสักกลางหน้าอกเหมือนกับเด็กหนุ่มนั่น เหมือนในรูปวิหารนี้ไง” หลวงพ่อมาหยุดอยู่ที่ภาพผนังที่มีรูปหัตถ์ซ้ายของพระเจ้าซึ่งมีรอยสักเหมือนกัน เมื่อธิดาภาเห็นจึงตกใจทันทีเพราะชายคนภาพที่เธอเห็นตอนสัมผัสเด็กชายคนนั้นเหมือนกับหัตถ์ซ้ายของพระเจ้า
“ตกใจอะไรขึ้นมาเหรอ” หลวงพ่อถาม
“เปล่าค่ะ แค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตื่นเต้นตกใจเป็นปกติ” ธิดาภารีบหาข้ออ้างปฏิเสธ
“วิหารนี้ถูกปิดมาหลายปีแล้วละ ด้วยชื่อเสียงของเทพสวรรค์องค์นี้ทำให้ไม่มีใครศรัทธา แต่หลวงพ่อก็เชื่อมั่นในตัวของเทพองค์นี้ นามของเขาถูกสาปไว้จากเทพอารักขาของพระเจ้าทั้ง 5 ว่าหากใครที่เอ่ยนามของหัตถ์ซ้ายของพระเจ้าแล้วผู้นั้นจะมีชะตากรรมที่แสนโหดร้ายจากการลงโทษของเทพอารักขาทั้ง 5 วิหารนี้ก็เลยมีชื่อเรียกว่า  วิหารเทพที่ถูกลงโทษ ” หลวงพ่อเล่าให้ฟังจนสักพักหลวงพ่อก็หยุดพูดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้ธิดาภาตื่นจากอาการเหม่อของเธอที่ครุ่นคิดแต่เรื่องของเด็กคนนั้นกับภาพชายที่เห็น
“ในวิหารนี้มีห้องมากมาย จะพักในวิหารนี้กี่วันก็ได้ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ” หลวงพ่อพูดเสร็จ ธิดาภาก็ขอตัวเดินกลับไปที่ห้องพักของเด็กหนุ่มคนั้น

เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นรอยสักที่หน้าอกของหนุ่มน้อยนั้นเข้มขึ้นและขยายลามไปจากบริเวณอกนั้นขยายไปยังบริเวณไหล่ หน้าท้อง และต้นคอ ทำให้เธอตกใจมาก เธอจึงคิดที่จะไปรีบหลวงพ่อมาดูอาการแต่แล้วก็มีมือยื่นมาดึงลั้งเธอเอาไว้ เมื่อเธอหันมาก็เห็นชายในภาพอีกครั้งและเขาก็พูดประโยคเดิม “ได้โปรดอย่า...” แล้วธิดาภาก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน ในเมื่อเธอคิดไว้แล้วว่ามันคือความฝันนั่นเอง เธอจึงพยายามลืมเรื่องนี้ทั้งหมดและนอนหลับต่อในวิหารของชายที่มาเข้าฝันเธอแทบทุกคืน

----------------------------------------จบตอนที่ 24----------------------------------------------------
Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #17 on: October 02, 2005, 09:38:22 PM »

เมื่อไหร่จะมาแต่งต่อครับ
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #18 on: October 02, 2005, 10:16:02 PM »

ขอโทษด้วยนะครับที่ให้รอ เพราะเรามัวแต่ไปคิดเรื่องไร้สาระอื่นจนลืมสิ่งนี้ แต่ตอนนี้ในเมื่อมีคนต้องการ แน่นอนเลยว่า เราจะตั้งแต่แต่งมาให้อ่านในต่อๆไป
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 ตอน การเดินทางใต้ทะเล

         เช้าอันสดใสหลายวันหลังจากเหตุการณ์ที่เหล่ากองทัพโจรสลัดบุกเข้าตีเมือง พงวิชตื่นขึ้นมารับแสงแดดยามเช้า เขาเดินมาเปิดบานเลื่อนออกมาจากบ้านตระกูลนัสซึเมะ เขาเดินไปชมวิวบนเนินสูง เขาไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนและเขาไม่เคยเห็นทิวทัศน์จากที่สูงขนาดนี้ เขามองเห็นทั่วเมืองและแสงแดดที่กระทบกับผืนน้ำในท้องทะเล

         ไม่นานนักพอเขาเริ่มได้ยินจากเพื่อนๆในบ้านตระกูลนัสซึเมะเริ่มทยอยตื่นขึ้นมา เขาก็เดินกลับลงไปจากเนินสูงบนยอดเขา
“แล้วจะไปไหนกันต่อดีละ” ตั้มถาม แล้วพงวิชก็เปิดบาบนเลื่อนเดินเข้ามา
“พวกแกจะไปไหนก็ไปเหอะ เราจะกลับไปดูแลอู่ต่อ มีสาขาทั่วโลก เสี่ยมิ้งการช่าง ซะอย่าง” มิ้งบอกเสร็จก็ลุกขึ้นแบกของเดินออกไปจากบ้านทันที
“ตอนมาก็ง๊ายง่าย ตอนจากไปก็เร๊วเร็ว” บุ๊คมองดูมิ้งเดินออกไป
“เอาเป็นว่าไปบ้านข้าก่อนก็ได้ รับส่งฟรี แล้วพอถึงตอนนั้นข้ามีแผนที่โลกขนาดใหญ่ พวกเจ้าดูได้เลยว่าจะไปที่ไหน” ฟามบอก
“นักฆ่าต่ำต้อยอย่างแกเนี่ยนะ” แพ๊คหัวเราะใส่
“เออเร็วเหอะ จะไปไหนก็ไปอย่างที่มิ้งมันบอกแหละ ไปบ้านเจ้านี่ก่อนก็ได้” ปอนบ่น
“ท่านพงวิชคะ ดิฉันขอคุยเป็นการส่วนตัวจะได้มั้ยคะ” อายะเปิดบานเลื่อนเข้ามาถาม
“ได้ซิ ต้องการอยู่แล้ว” พงวิชตอบแล้วรีบลุกวิ่งตามไปทันทีและหันมาทำหน้าตาล้อให้เพื่อนๆ

เมื่อพงวิชเดินตามอายะจนมาหยุดอยู่ที่ห้องฝึกซ้อมที่เป็นลานกว้างในบ้าน แล้วเธอก็นั่งอย่างสำรวมในชุดกีโมโน
“คือว่า...” อายะเริ่มหน้าแดงออกมาเล็กๆ
“ผมจะฟังอย่างตั้งใจ” พงวิชก็นั่งลงจ้องมองดูเธออย่างไม่กระพริบตาเลย
“คือว่า ในสมัยโบราณตระกูลเราจะมอบดาบของตนเองที่ใช้ในการฝึกฝนอย่างหนักแน่น จนได้เจอคนที่คิดว่าตนเองนั้น... นั้น...” อายะพูดแบบสั่นๆคลอ พงวิชก็หัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยท่าทางที่เหมือนกับจะดีใจ แล้วอายะก็ลุกขึ้นชักดาบออกมาปลายดาบนั้นจ่ออยู่ที่หน้าผากของพงวิช เขาจึงตกใจกลัวทันที
“ได้โปรดรับดาบของฉันเล่มนี้ไว้ด้วยนะคะ” อายะบอก พงวิชจึงถอนใจอย่างแรงแล้วก็ลุกขึ้น
“ครับ” พงวิชก็รับดาบจากมือเธอ ขณะที่เธอส่งดาบให้ มือทั้งสองของเขาและเธอต้องกัน ทำให้อายะหน้าแดงกล่ำมากขึ้น แล้วเธอก็รีบหันหลังเดินออกไปจากห้อง

เมื่อเธอเดินออกมาก็ปิดบานเลื่อนและยืนพิงผนัง
“ทำไมต้องให้ดาบเล่มนั้นด้วย ชายคนนั้นมีอะไรดีสำหรับเธอเหรอ” มายะถาม
“ไม่รู้ซิคะ คงอาจจะเป็นชะตาลิขิตให้หนูมาพบกับเขาและต้องมอบดาบเล่มนั้นกับเขาเพื่อสื่อจิตใจเหมือนว่าหนูได้อยู่ข้างกายเขาตลอดก็ถูกนะ พี่เองก็เคยให้ดาบของพี่กับชายคนหนึ่งเลยนี่ จนตัวเองต้องมาใช้ดาบประจำตระกูล” อายะยิ้มให้แล้วก็วิ่งจากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีความสุขสำหรับเธอ แต่มายะเองเมื่อได้ยินอายะพูดถึงตอนที่เธอเคยมอบดาบให้กับชายอันเป็นที่รัก เธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอยู่เล็กๆ
“น้องตัวแสบนี่ พี่บอกแล้วไงเรื่องนี้อย่าพูดถึงอีก” มายะรีบวิ่งตามอายะไป ทั้งเล่นวิ่งเล่นกันเหมือนกับเด็กๆ

         แล้วทั้งหมดก็มารับประทานอาหารด้วยกัน บุ๊คก็จ้องกินอย่างเต็มที่ อายะเองก็ยังคงมีอาการเขินอายเมื่ออยู่ใกล้กับพงวิช เมื่อทุกคนอิ่มจากอาหารเช้าแล้ว พวกเขาก็เดินออกมาหน้าบ้าน โดยมี 2 พี่น้องนัสซึเมะมาส่ง
“พวกเราคงต้องขอบคุณพวกเธอมากที่ให้พวกเราได้พักผ่อนที่นี่” ตั้มกล่าวคำขอบคุณ
“คือฉันจะขออยู่ที่นี่ไปสักพัก ส่วนคันธนูนี้ พวกเธอเก็บไว้เถอะ 3 พี่น้องวิหคน้อยหากขาดตนใดตนหนึ่งพวกเขาก็คงจะเศร้าและเหงา” เมโรดีนบอก
“ได้เลย” พงวิชรับคันธนูด้วยความยินดี และให้อิศราเก็บคันธนูเอาไว้ในกระเป๋า
“ถ้าโชคดีเราอาจจะได้เจอกันนะคะ” อายะยิ้มให้และโบกมือลา พวกพงวิชก็เดินลงจากภูเขาไป

กลุ่มแสบทั้งหมดเมื่อเดินลงจากภูเขามาได้ก็พูดคุยกันระหว่างทาง
“ฟามขอสักทีเหอะ บ้านแกอยู่ไหนแล้วจะไปยังไง” แพ๊คตบฟามเล่น
“ไปทางที่พวกแกทั้งหลายจะตะลึง ยังแค้นไม่หายที่มีรถคันใหม่แล้วดันโดนทำลายซะง่ายๆ ได้ใช้ไม่ถึง 10 นาที” ฟามบ่นพึมพำไปมา แล้วเขาก็เดินนำพวกพงวิชไปที่ประภาคารเก่าห่างออกไปจากตัวเมืองไม่มากนัก

“พาพวกเรามาที่นี่ทำไมเนี่ย เหนื่อยนะเนี่ยแดดร้อนก็ร้อน” ตั้มบ่นแล้วก็ปาดเหงื่อ
“เดี๋ยวได้เย็นสบายแน่นอน” ฟามบอกแล้วก็เดินเข้าไปในประภาคาร
“มันจะพาพวกเราไปไหนวะ” ปอนสงสัย แล้วพงวิชก็เดินตามเข้าไป
“เดี๋ยว !!!” เฟียเรียสพูดเตือนบุ๊คผ่านจิตของตนกับโล่ของเธอที่บุ๊คถืออยู่ แต่บุ๊คก็ไม่ฟังคำเตือนของเธอและเดินตามเข้าไป

         เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาก็เห็นสภาพประภาคารเก่าๆที่ผุพังในบางส่วน ทุกคนก็ยังคงเดินตามฟามเข้าไปยังชั้นใต้ดินของประภาคาร เมื่อเปิดประตูชั้นใต้ดินออกมาพวกเขาก็เห็น...
“เรือดำน้ำ” ปอนตะโกนด้วยความดีใจที่ได้เห็นเพราะตัวเขาชื่นชอบในพวกเทคโนโลยี
“จะนั่งเจ้านี่ไปเนี่ยนะ” พงวิชถาม
“ใช่ถูกแล้ว เชื่อเพลิงเต็มถัง ไปได้ถึงบ้านข้าแน่นอน” ฟามตอบแล้วเขาก็เดินเข้าไปในเรือดำน้ำตรวจเช็คทุกอย่างภายในเครื่อง สักพักเขาก็สตาร์ทเครื่อง
“ทุกอย่างโอเค เร็วขึ้นมา” ฟามตะโกนเรียกทุกคน พงวิชเลยเดินเข้ามาหาฟามใกล้ๆ
“เครื่องพร้อมแล้วจะไปยังไง ข้างหน้ามันทางตันไม่เห็นรึไง” พงวิชตะโกนกอกใส่หูฟามและชี้ให้ดู แล้วพวกพงวิชก็เดินกลับขึ้นไปข้างบนโดยทิ้งฟามไว้ข้างล่างคนเดียว
“เซงกับพวกปัญญาอ่อนจริง” บุ๊คบอก แล้วพวกเขาก็เดินขึ้นมายังชั้นบนสุดของประภาคารยืนชมวิวจากระเบียง
“แล้วจะยังไงต่อ ถึงยังไงทางไปหมู่บ้านของอิศราก็ต้องข้ามทะเลนี้ไปอยู่ดี” ตั้มถาม
“ไม่รู้ซิ ถึงยังไงก็ต้องไปละ” พงวิชก้มมองลงไปยังหน้าผาข้างล่างมองดูคลื่นน้ำที่ซัดใส่หน้าผา เขาเพ่งมองดูอยู่ชั่วขณะและตกใจทันทีเพราะข้างล่างนั้นมีเงาของสิ่งมีชีวิตอยู่

ในขณะเดียวกันนั้นฟามก็ออกมาจากเรือดำน้ำ
“มันจะตันยังไงวะ ปีก่อนก็เคยขับเอาเข้ามาเก็บนี่” ฟามชักปืนออกมายิงใส่หินอยู่ขวางทางอยู่ข้างหน้า แล้วทันทีที่กระสุนเจาะเข้าไป ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น หินที่ขวางทางก็ขยับออก ฟามจึงดีใจจึงกลับขึ้นไปข้างบน

แต่ทางด้านบนพวกพงวิชเองตกใจทันทีเมื่อหินที่ขวางทางนั้นคือลำตัวของมังกรน้ำที่หลับอยู่แล้วมังกรน้ำตัวนี้ก็พุ่งขึ้นจากใต้ผิวน้ำขึ้นมา ซึ่งมันมีทั้งหมด 9 หัว และหัวทั้ง 9 ของมันชูขึ้นมาสูงในระดับเดียวกับชั้นบนสุดของประภาคารทำให้พวกมันเห็นว่ามีพวกพงวิชอยู่ มันนึกว่าพวกเขาเป็นคนทำ หัวทั้ง 9 ของมันจึงคำรามใส่ แรงดันเสียงจากปากทั้ง 9 ทำให้กระจกภายในทั้งหมดแตกและไม้ต่างหลุดออกจากกันในบางส่วน
“จะเอายังไงดี” พงวิชถาม
“หนีก่อนซิ โว๊ย” บุ๊คบอกแล้วพวกเขาต่างก็รีบวิ่งลงไปทันที แต่พอลงมาถึงประตู หัวหนึ่งของมังกรน้ำก็พุ่งกระแทกอิฐเข้ามาขวางประตูไว้ พวกเขาเลยต้องวิ่งกลับขึ้นไปข้างบน

“เฮ้ย เร็ว เรือจะออกแล้ว” ฟามวิ่งขึ้นมาบอกแต่เขาต้องตะลึงเมื่อเห็นมังกรน้ำ 9 หัว เขาจึงรีบวิ่งกลับลงไปทันที
“ในเมื่อมันอยากจะสู้ก็จัดการมันเลย” พงวิชชักดาบอีฟริตออกมาตั้งไว้ที่หน้าอกและรวบรวมสมาธิ แล้วเปลวเพลิงก็ลุกโชดออกมาจากดาบ
“จะบ้าเหรอ ไฟจะไปสู้กับน้ำ” ตั้มตะโกนบอก
“ไม่ลองก็ไม่รู้ซิ” พงวิชใช้ดาบฟันเข้าที่ลำคอของมังกรน้ำหัวหนึ่งจนขาดสะพรั่ง
“นี่ไง มันใช้ได้” พงวิชยิ้มออก พวกเพื่อนเห็นเขาสู้อยู่คนเดียว พงกเขาก็เลยเข้าร่วมสู้กันเคียงบ่าเคียงไหล่
“Thunder Bolt” ตั้มและแพ๊คร่วมกันร่ายเวทย์มนต์สายฟ้าโจมตีใส่ แต่แล้วก็มีหัวหนึ่งของมันฟาดใส่ประภาคารจนประภาคารถล่มลงสู่ทะเล ทำให้พวกพงวิชนั้นกระเด็นตกทะเลไปด้วย

แล้วฟามก็ขับเรือดำน้ำออกจากใต้ดินออกสู่ทะเลและขึ้นมาบนผิวน้ำและเปิดฝา
“เร็ว รีบขึ้น” ฟามชักปืนคู่ใจทั้ง 2 กระบอกยิงสกัดมังกรน้ำไว้แล้วให้พวกพงวิชรีบว่ายน้ำมาขึ้นเรือ
“เอาล่ะ คราวนี้จะโชว์อดีตนักซิ่งให้ดู” ฟามรีบกลับเข้าไปในเรือและขับเรือดำน้ำไปด้วยความเร็วสูง แต่มังกรน้ำก็ไม่ลดละ มันพ่นลำแสงแช่แข็งโจมตีใส่ ลำแสงนั้นไล่ตามเรือดำน้ำของฟามที่ยังอยู่บนผิวน้ำไปอย่างประชั้นชิด ทางน้ำแข็งที่ทอดยาวตามลำแสงนี้ทำให้สัตว์น้ำและสัตว์ประหลาดหลายชนิดที่ลำแสงนี้ผ่านต่างแข็งเป็นน้ำแข็งทันที

แล้วทันใดนั้นเองข้างหน้าของพวกเขาที่ห่างออกไปไม่ไกลนักเรดาร์บนเรือดำน้ำของฟามจับได้ถึงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มากพุ่งตรงมาทางเขา ฟามจึงเปิดกล้องใต้น้ำดูเห็นเป็นปลาวาฬขนาดใหญ่มากๆ อิศราจึงรีบเปิดตำราดูข้อมูล
“มันคือ โอโรเกีย ปลาวาฬยักษ์ลำตัวยาวกว่า 1 กิโลเมตร มีปากขนาดใหญ่ที่กว้าง 350 เมตร ที่สามารถกินเกาะเล็กๆหรือเรือสำเภาได้ 50 ลำเพียงแค่มันอ้าปาก” อิศราอธิบายให้ฟัง ทุกคนต่างก็อึ้งทันที
“งั้นก็มาเล่นอะไรสนุกๆหน่อยซิ” ฟามหมุนหัวเรือกะทันหันและรีบขับเรือมุ่งหน้ากลับไปยังมังกรน้ำ มังกรน้ำจึงยิงลำแสงแช่แข็งทั้ง 8 โจมตีใส่ ฟามก็ขับเรือซิกแซกหลบลำแสงไปเรื่อยๆ ผืนท้องทะเลในตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
“ฟามแกจะพาพวกเราไปตายรึไง” บุ๊คพูดด้วยอารมฉุนเฉียวกับการตัดสินใจของฟามซึ่งมีชีวิตของพวกเขาในเรือเป็นเดิมพัน
“ไม่ตายหรอก” ฟามบอกแล้วเรือดำน้ำที่วิ่งบนลานน้ำแข็งก็เหินขึ้นไปตรงคลื่นทะเลที่สูงจนเป็นเนินให้เหิน

แต่แล้วมังกรน้ำก็ยิงลำแสงแช่แข็งไปโดนใบพัดเรือ จนด้านหลังของเรือดำน้ำนี้จับไปด้วยน้ำแข็ง
“ตายละหวาทีนี้” ฟามบอกและพยายามสตาร์ทเครื่องให้ใบพัดนั้นหมุน
“ไม่………….” พงวิชตะโกนกรีดร้องด้วยความกลัว แล้วเรือดำน้ำที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ทิ้งดิ่งลงสู่ลานน้ำแข็งด้วยความสูง 2 กิโลเมตรและลงมาด้วยความเร็วสูง และทุกคนในเรือก็เห็นเงาลางๆของโอโรเกียที่กำลังว่ายเข้าหาชายฝั่ง
“สวดมนย์กันได้เลย” ฟามบอกและทุกคนก็เริ่มกรีดเสียงร้องออกมาด้วยความที่กลัวความสูงที่พุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง มังกรน้ำตัวนั้นยังคงยิงลำแสงแช่แข็งใส่เรือดำน้ำซึ่งคราวนี้มันทำสำเร็จเรือดำน้ำของฟามห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็งหนา แต่ยังพอมีกระจกมองเห็นภาพข้างหน้า เมื่อเรือดำน้ำตกลงมาอยู่ในระยะ 500 เมตรก่อนโหมงลานน้ำแข็งนั้น โอโรเกียก็พุ่งทะลุขึ้นจากลานน้ำแข็งอ้าปากพุ่งขึ้นสู่ฝั่งซึ่งมีมังกรน้ำอยู่ ทำให้มันตกใจและยิงลำแสงแช่แข็งใส่โอโรเกียแต่ไร้ผล แล้วเรือดำน้ำก็ทิ้งดิ่งลงสู่ทะเลตรงรอยแตกของน้ำแข็งที่โอโรเกียพุ่งขึ้นมา ส่วนโอโรเกียนั้นก็กินเอามังกรน้ำทั้งตัวเข้าไปในท้องและทิ้งตัวลงสู่ท้องทะเลแล้วมันก็ว่ายจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงเรือดำน้ำของฟามที่จมอยู่ก้นทะเลที่มีน้ำแข็งค่อยๆละลาย

“สนุกเป็นบ้าเลย” ฟามตะโกนด้วยความดีใจ และทุกคนต่างก็ตะลึงแต่ก็ดีใจที่เอาชีวิตรอดมาได้
“แล้วทีนี้เอาไงต่อ” พงวิชถาม ทุกคนที่กำลังดีใจต่างหยุดนิ่ง
“เอ่อ... เอาเป็นว่าให้น้ำแข็งมันละลายหมดก่อนแล้วค่อยไปกันต่อแล้วกัน” ฟามตอบ
“งั้นจะมัวรออะไร มาดีใจกันดีกว่า” บุ๊คบอก แล้วทุกคนก็สนุกคึกคื้นตื่นเต้นกันอยู่ก้นท้องทะเล

-----------------------------------------จบตอนที่ 25--------------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #19 on: October 03, 2005, 07:43:49 AM »

พอดีช่วงนี้มักอยู่ดึกแอบดู DL ตอนพ่อนอน กว่าจะดูเสร็จก็ล่อไปเกือบเช้าเลยไม่ค่อยมีเวลาแต่ง แต่อย่าใส่ใจ ยังไงเราทุ่มเทอยู่แล้วตราบเท่าที่ยังมีคนสนใจและอ่านมัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน รอยสักโบราณ

“ได้โปรดอย่าทิ้งข้า...” ชายที่มีรอยสักโบราณกล่าวต่อหน้าธิดาภาในความฝันจนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป
“ฉันฝันอีกแล้ว ทำไมทุกคืนฉันฝันถึงแต่เรื่องนี้มา 3 คืนแล้ว ทำไมกัน” เธอกุมขมับด้วยอาการที่ปวดศีรษะ เมื่อเธอเริ่มรู้สึกหายปวดแล้ว เธอก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างรับแดดแรกยามเช้าจากอพอลโล่ กลิ่นไอยามเช้าที่ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที แล้วเธอก็เดินไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะไปดูอาการและเช็ดตัวให้หนุ่มน้อยที่ยังสลบไปไม่ตื่นขึ้นมา

เมื่อเธอทำธุระเสร็จทุกอย่าง เธอก็มุ่งหน้าตรงไปที่ห้องของหนุ่มน้อยคนนั้น ก่อนที่เธอจะเข้าไป เธอก็สูดลมหายใจลึกๆและคลายออกมา แล้วเธอก็เปิดประตูเข้าไป เธอก็ตกใจทันทีจนทำขันน้ำและผ้าในมือตก ภาพข้างหน้าเธอเห็นเป็นเทวดากลุ่มหนึ่งและยมทูตอีกกลุ่มหนึ่งยืนล้อมร่างหนุ่มน้อยคนนั้นไว้ ด้วยเสียงของขันน้ำที่ตกหล่ม เทวดาและยมทูตเหล่าจึงหันมาจ้องมองที่เธอเป็นสายตาเดียวกันก่อนที่จะสลายหายไป แล้วสักพักหลวงพ่อจาค็อบก็รีบวิ่งมาเพราะได้ยินเสียงขันน้ำตก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หลวงพ่อถาม
“ปล่าวค่ะ หนูแค่ทำขันน้ำหล่น” เธอรีบปฏิเสธออกไป
“ถ้ามีอะไรก็บอกพ่อมาอย่าปิดบัง” หลวงพ่อบอกแล้วก็เดินออกไปจากห้อง
“พวกนั้นมาทำไมกัน” เธอนึกแปลกใจ แต่เมื่อเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว เธอก็เดินเข้ามานั่งข้างๆร่างของหนุ่มน้อยและใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ แต่เมื่อเธอกำลังจะเช็ดบริเวณรอยสักนั้น หนุ่มน้อยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาและจับแขนของธิดาภาไว้

“ได้โปร..ด...อย่าทิ้ง...ข้า...” ด้วยความตกใจเธอรีบหลีกตัวออกมาห่าง ซึ่งแววตาของหนุ่มน้อยคนนั้นเป็นสีเดียวทั้งหมด หนุ่มน้อยคนนั้นหันมามองที่เธอ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แล้วแววตานั้นก็หายไปกลับกลายเป็นแววตาใสๆของเด็กหนุ่มธรรมดา
“นี่ เธอ ไปนั่งหกอะไรอยู่ตรงมุมนั้นหนะ” มาร์คัสถาม ในเมื่อรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้กลับมาเป็นอย่างเดิม เธอก็โล่งอกและถอนใจอย่างแรงและลุกขึ้นมา
“แค่ตกใจ ตอนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา พอดีฉันกำลังจะเช็ดตัวให้เธออยู่” ธิดาภาตอบ
“ไม่ต้องทำให้ฉันขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ใช่พวกผู้ดี อีกอย่างฉันอาบน้ำเองได้ หรือว่าเธอจะอาบน้ำด้วย” มาร์คัสบอก ธิดาภาจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“งั้นไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ไปคนเดียวเหงาไม่มีเพื่อนคุยด้วย” มาร์คัสบอกแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากเตียงและบิดขี้เกียจสะบัดขนไปมาแล้วจึงเดินออกไปจากห้องทางหน้าต่าง
“เดี๋ยวซิ นั่นไม่ใช่ประตูนะ นั่นมันหน้าต่าง” ธิดาภารีบพยายามจะวิ่งไปเตือน แต่หนุ่มน้อยคนนั้นก็กระโดดไปเกาะต้นไม้และไต่ลงมา ท่าทางของหนุ่มน้อยที่เหมือนลิงน้อยนี้ทำให้เธอหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรของเธอเร็วหากชักช้าฉันจะจับเธอโยนลงไปอาบน้ำด้วยกันซะเลยนี่” มาร์คัสตะโกนบอกและไม่พอใจที่เธอหัวเราะใส่ที่ว่าเขาเหมือนลิง
“ค่า ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แล้วละค่ะ” เธอส่งยิ้มหวานๆให้ก่อนที่จะรีบวิ่งออกมาจากโบถส์ ด้วยรอยยิ้มนั้น เมื่อเธอออกมาก็เห็นมาร์คัสยืนอึ้งนิ่งมองค้างไปที่หน้าต่าง
“นี่ หลับในหรืออย่างไร เร็วอุตส่ามาเป็นเพื่อนแล้วนะ” เธอพูดใกล้ๆหูของหนุ่มน้อยจนเขาได้สติกลับมา แล้วเขาก็เดินเล่นไปในเมือง

         ระหว่างทางนั้นเขาและเธอต่างเดินดูชีวิตของชาวเมืองในเมืองนี้ ผู้คนต่างใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ชาวบ้านบางคนก็ไปตามโบสถ์ต่างๆเพื่อไปพักทำจิตใจให้สงบอยู่กับเทพ เทวดาที่ผู้คนเหล่านั้นนับถือกันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จนเจ้าลิงน้อยจอมตัวนี้เดินมาถึงวิหารฟอนติน่า
“เอาล่ะ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้สัก 10 นาที” มาร์คัสบอกแล้วธิดาภาก็เดินไปนั่งรอที่ม้านั่งใกล้ๆกับลานน้ำพุขนาดใหญ่ซึ่งตรงกลางมีเทวรูปฟอนติน่าและรูปปั้นเหล่าเทพอารักขาของฟอนติน่าทั้ง 4 ยืนล้อมเทวรูปไว้ ตูม

เสียงเหมือนมีบางอย่างตกลงไปในน้ำ ชาวเมืองแถวนั้นจึงตกใจแล้วก็มีพวกทหารที่เฝ้าในวิหารวิ่งออกมาดูกันเห็นเจ้าลิงน้อยว่ายน้ำเล่นอยู่ในน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของเทพฟอนติน่า ทำให้อัศวินผู้เฝ้าวิหารนี้โกรธ
“เจ้าบังอาจมากที่กล้าลงไปว่ายเล่นในน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เจ้ารู้มั้ย ว่าเจ้าทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการดูหมิ่นเทพฟอนติน่าขนาดไหน” อัศวินผู้นั้นพูดด้วยอารมฉุนเฉียวมาก แต่เจ้าลิงน้อยมาร์คัสก็ยังว่ายเล่นอย่างสบาย เมื่อธิดาภาเริ่มเห็นชาวบ้านไปมุงดูกันที่น้ำพุ เธอจึงลุกเดินไปดูเหตุการณ์ และในเมื่อเห็นมาร์คัสว่ายน้ำเล่นในน้ำพุ เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปลากมาร์คัสขึ้นมาจากน้ำพุนั้น
“นี่เจ้าบ้านี่มากับเธอเหรอ” อัศวินผู้นั้นถาม
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ คือเขายังเด็กและซน อาจจะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ยกโทษให้เขาด้วยนะคะ” ธิดาภาคุกเข่าขอร้อง
“ทำไมต้องขอโทษมันด้วย เทพฟอนติน่าเหรอ อือ... เอ่อ... เหมือนกับว่าข้าจะจำชื่อนี้ได้” มาร์คัสยืนครุ่นคิดอยู่
“เทพฟอนติน่า คือเทพแห่งอารักขาของสวรรค์” อัศวินผู้นั้นบอก
“เออใช่ จำได้แล้วฟอนติน่า ข้าเคยเห็นเธออาบน้ำในอยู่สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ของป๋าโพไซดอน แถมหุ่นดีซะด้วย แต่จำไม่ได้ว่าสระน้ำนั้นมันอยู่ที่ไหน” มาร์คัสบอกทำให้อัศวินผู้นั้นโกรธยิ่งขึ้น
“เจ้าจะบังอาจดูหมิ่นเทพฟอนติน่ามากเกินไปจนข้าจะยกโทษให้แล้ว” อัศวินผู้นั้นจึงชักดาบออกมาแล้ววิ่งเข้ามาฟัน แต่มาร์คัสหวั่นตัวทันและถอยหลบปลายดาบเพียง 1 นิ้ว
“หมัดลิงน้อย เจี๊ยกๆๆๆๆๆๆ” มาร์คัสใช้หมัดพลังลิงน้อยอัดใส่ที่ท้องของอัศวินรัว 100 หมัดจนกระเด็นออกไป เมื่ออัศวินผู้นั้นตั้งหลักได้ เสื้อเกราะของเขาก็เกิดรอยร้าวเป็นจำนวนมากจนเห็นได้ชัด
“เจ้าลิงบ้า ฉันจะฆ่าแก” อัศวินผู้นั้นไม่ลดละความพยายาม
“หยุดก่อน” เสียงชายคนหนึ่งห้ามไว้ อัศวินผู้นั้นจึงหยุดทันที
“ป๊อบ ท่านอย่าวู้วามซิ นี่เมืองแห่งความสงบสุข จะมาสู้กันทำไม” เสียงนั้นมาจากชายที่ยืนอยู่หน้าประตูวิหารฟอนติน่า แล้วเขาก็เดินลงมา
“เราต้องขอโทษด้วยที่อัศวินของเราผู้เฝ้าวิหารผู้นี้ ทำการไม่สมควรลงไป” ชายคนนั้นกล่าวคำขอโทษ
“ไม่เป็นค่ะที่จริงควรเป็นดิฉันมากกว่านะคะที่ต้องขอโทษที่เด็กคนนี้ที่มากับดิฉันลงไปเล่นในน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นี้” ธิดาภาบอก
“ถ้าไม่รังเกียจเข้ามาด้านในวิหารก่อนก็ได้นะครับ อ๊อพูดมาตั้งนานเรานี่เสียมารยาทจริง ผมชื่อจีเนียส เป็นบาทหลวงประจำวิหารนี้ และผมมีงานอดิเรกที่สนใจเกี่ยวกับตำนานโบราณด้วย” จีเนียสบอกแล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปในวิหารส่วนชาวบ้านต่างก็แยกย้ายกันไปตามปกติ เหลือเพียงป๊อปที่มองดูมาร์คัสด้วยสายตาไม่พอจแล้วเดินจากไป มาร์คัสเองก็สะบัดน้ำจนขนพองไปทั่วแล้ววิ่งตามธิดาภาและจีเนียสเข้าไปในวิหารฟอนติน่า

“ในวิหารฟอนติน่านี้ เราจะเก็บเรื่องราวของท่านไว้ และรูปปั้น ภาพผนังต่างๆ รวมทั้งมีโบถส์อยู่ด้านในสุดเพื่อให้ชาวบ้านที่นับถือได้มาศัการะบูชากัน ผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวในอดีตอะไรมากนัก แต่เมื่อผมได้ยินเด็กหนุ่มคนนั้นพูดถึงว่าเห็นเทพฟอนติน่าในสระน้ำของโพไซดอน ซึ่งในตำนานนั้นสระน้ำนั้นเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงในตำนานและเป็นที่เทพฟอนติน่าใช้ชำระร่างกาย ผมสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนั้นทำไมถึงรู้ได้ขนาดนั้น และผมคิดว่าเขาต้องรู้อะไรมากกว่านี้ด้วย” จีเนียสบอก
“ก็เลยจะถามมาร์คัสใช่มั้ยคะ” ธิดาภาถาม
“ครับแน่นอน” จีเนียสตอบ
“แต่มันก็มีเรื่องที่ขัดๆคือ มาร์คัสเขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างซนและไม่ยอมใคร ถ้าคุณเขาอาจจะไม่ตอบหรือบอกอะไรเนี่ย” ธิดาภาบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะลองหาวิธีดู แต่ว่าเด็กหนุ่มนั้นที่หน้าอก ผมพอจะรู้เรื่องถึงรอยสักนั้น” จีเนียสบอก
“จริงเหรอคะ งั้นช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย” ธิดาภาถาม
“ครับ คือเดิมที่รอยสักนั้นในตำนานในอดีตนั้น มันไม่ใช่รอยสักอะไรมากมายหรอกครับ แต่มันเป็นภาษาโบราณที่สักไว้บนร่าง ซึ่งถ้าผมได้อ่านภาษาโบราณบนตัวของเด็กหนุ่มนั้นชัดๆผมอาจจะแปลออกว่ามันหมายถึงอะไร อีกอย่างคนที่จะรู้จักภาษาโบราณเหล่านี้ได้ ในปัจจุบันหาแทบจะไม่มี ผมเองก็ยังสงสัยอีกว่าใครกันที่เป็นคนสักรอยสักนั้นให้เด็กหนุ่มนั่น เพราะในตำนานสมัยก่อนนั้นภาษาโบราณนี้ใช้เฉพาะบนสวรรค์เท่านั้นที่ใช้กันในการทำพิธีต่างๆ” จีเนียสเล่าให้ฟังแล้วมาร์คัสวิ่งตามเข้ามาถึงพอดี แล้วเจ้าลิงน้อยก็พลั้งมือไปโดนแจกันเก่าตกแตก

“โทษที” มาร์คัสบอก แต่ก็ทำให้ธิดาภาไม่พอใจกับการกระทำของเขา
“ไม่เป็นไรครับ เทพฟอนติน่า ท่านไม่ใช่เทพที่โกรธอะไรง่ายๆด้วยเหตุที่ไม่สมควรหรอก” จีเนียสบอก
“ใช่ฟอนติน่าไม่ใช่คนโกรธง่าย ขนาดเมื่อก่อนฉันเคยจับก้นของเธอ เธอยังไม่โกรธเลย” มาร์คัสพูดทำจีเนียสตะลึง
“เหมือนในตำนานไม่มีผิด” จีเนียสพูด
“ตำนานเหรอ” ธิดาภาถามด้วยความสงสัย
“ตามตำนานของเทพฟอนติน่า ท่านเคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถูกเทพสวรรค์ที่มีบรรดาศักดิ์สูงมากจนเหล่าเทพอื่นหลายองค์ต่างเกรงกลัว  และเทพองค์เคยจับก้นเทพฟอนติน่า จนทำให้เทพฟอนติน่านั้นเขินอายที่แทนที่จะโกรธ นับแต่นั้นมาทำให้เทพฟอนติน่าเริ่มมีความอ่อนโยนขึ้นจนเทพฟอนติน่านนั้นเป็นคนที่ไร้ซึ่งความโกรธแค้นใคร เด็กหนุ่มนั้นรู้ได้อย่างไรกัน ขนาดเราว่าเรื่องที่เกี่ยวกับเทพฟอนติน่า เรารู้ดีไปหมดทุกอย่างจนในรัศมี 10 ไมล์จากเมืองนี้ไปไม่มีใครรู้ดีเท่าแล้ว” จีเนียสบอก
“ในนี้ก็กว้างใหญ่ดีนะ” มาร์คัสมองดูไปรอบๆ แล้วจีเนียสก็หันมาสนใจกับรอยสักที่หน้าอกของมาร์คัสแทน เขาขัยบแว่นและเพ่งมองดูอย่างใจจดใจจ่อจนเหงื่อของเขาแตกท่วม
“ทำไมภาษาโบราณนี้ทำไมเราแปลไม่ออก” จีเนียสตะโกนลั่น
“อ๋อ รอยสักนี่เหรอ มันเขียนไว้ว่า เยติการัส ทอซูส เอริตาคัส ที่แปลว่า บทลงโทษอันเป็นนิรันดร์” เมื่อมาร์คัสพูดเสร็จ จีเนียสก็อึ้งทึ่งตะลึงทันทีกับความแปลกกับเกินเด็กน้อยเป็นอย่างมาก แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถแปลภาษาโบราณมันออกได้
“เจ้าหนูนี่เป็นใครกัน ทำไมถึงรู้ได้ขนาดนี้ ภาษาโบราณที่ไม่มีมีการสอนใดๆ นอกจากศึกษาจากหนังสือโบราณที่ต้องแกะออกมาทีละตัว” จีเนียสเริ่มหวาดกลัว
“นี่ธิดาภา ข้าเป็นใครกันเหรอ จริงซิเธอชอบเรียกฉันว่า มาร์คัส นี่” มาร์คัสบอก ทำให้จีเนียสอึ้งหนักกว่าเก่าเพราะชื่อนี้เป็นชื่อของเทพเจ้าองค์หนึ่งบนสวรรค์
“อยากตกใจไปนะคะ พอดีเด็กคนนี้เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้ หนูก็เลยตั้งชื่อให้เขาไปแบบนั้น” ธิดาภาบอก
“พระเจ้าช่วย” จีเนียสตะลึงค้าง แล้วธิดาภาก็รีบดึงมาร์คัสหนีออกจากวิหารนั่นกลับไปยังโบสถ์

“กลับมากันแล้วเหรอ” หลวงพ่อจาค๊อบทัก
“ค่ะ” ธิดาภาบอก
“หนีไปจู๋จี๋ที่ไหนกันมาจ๊ะ” มาย่าถาม
“ปล่าวซะหน่อยนะ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น” ธิดาภาหนักใจกับการที่ถูกเพื่อนๆแซว
“เอาเถอะ อย่ายึดติดกับคำพูดเหล่านี้ซิ เธอก็รู้ว่าถ้าไม่จริงกับเธอแล้ว เธอจะร้อนตัวไปทำไม” อรนิชาบอก แล้วธิดาภาก็เริ่มสงบสติลง แล้วเธอก็ไม่เห็นมาร์คัส แต่เห็นลางๆว่าเขาเดินไปยังห้องใหญ่ที่เป็นลานบูชาสัการะเทพที่ถูกลงโทษ
“เดี๋ยวซิ มาร์คัส เธอจะไปซนที่ไหนอีก เดี๋ยวข้าวของก็แตกพังหมด” เธอเดินตามไปจนเมื่อเธอผ่านเขาประตูมาอารมย์ที่ร่าเริงสดใจของเธอเปลี่ยนอารมย์ที่เริ่มหวาดกลัวเมื่อเห็นชายในฝันอยู่ที่กลางห้องและมองมาที่เธอ
“ได้โปรดอย่าทิ้งข้า...” ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันในกลางดึก เหงื่อที่เปียกท่วมบนร่างเธอนั้น เธอจึงลุกขึ้นเดินออกไปล้างหน้า
“มันเป็นแค่ความฝัน แต่ทำไมมันช่างเหมือนความจริงขนาดนี้ แล้วทำไมทุกครั้งที่เจอเขา ทำไมเราถึงได้มีความรู้สึกกลัวขนาดนี้” เมื่อเธอล้างหน้าเช็ดเหงื่อออกเสร็จ เธอก็กลับไปนอนพักผ่อนต่อบนเตียงอันนุ่มที่แสนจะอบอุ่นเหมือนมีใครจัดเตรียมไว้ให้สำหรับเธอ

-----------------------------------------จบตอนที่ 26--------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #20 on: October 04, 2005, 05:36:24 AM »

ทำไมเหมือนไม่ค่อยมีใครออกความคิดเห็นหรือโพสบ้างเลย อยากให้มีคนสนใจแบบเรื่อง Summoner ที่พี่จิงแต่งบ้างจัง (ถ้าเป็นแบบนี้นานๆไม่ไหวนา งอนจริงด้วย  ???)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน ค่ำคืนอันเหน็บหนาว

ในบ่ายวันนั้นธิดาภากับเพื่อนๆช่วยกันเก็บกวาดบริเวณรอบโบสถ์เพื่อเป็นการตอบแทนที่หลวงพ่อจาค๊อบให้ใช้สถานที่นี้พักผ่อน จนใกล้ค่ำพวกเธอก็ทำเสร็จพอดี หลวงพ่อจาค๊อบก็เลยขอบใจและชวนมารับประทานอาหารด้วยกัน

“วันนี้เหนื่อยจังเล๊ย” มาย่าเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทันที
“เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว อ่ะซุบร้อนๆ” ธิดาภายกถ้วยซุบมาเซิร์ฟให้ทีละคน
“แปลกจัง ทำไมวันนี้มันหนาวผิดปกติ” อรนิชาพูดขึ้นทำให้ทุกคนก็สงสัยเช่นกัน
“เป็นปกติของที่นี่แหละ แต่การที่มันจะหนาวได้ขนาดนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีภัยที่ใกล้จะมาถึงเมือง และคืนนี้หลวงพ่อต้องไปที่ลานพิธีนะ อาจจะกลับดึก” หลวงพ่อจาค๊อบบอก
“ไปทำไมเหรอหลวงพ่อ” อรนิชาถาม
“เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ เหล่านักบุญที่มีจิตแรงกล้าอย่างหลวงพ่อและคนอื่นต่างจะไปรวบรวมสื่อจิตส่งไปเตือนบอกถึงเทพ เทวดาบนสวรรค์ให้มาปกป้องคุ้มครองเมืองนี้ไว้” หลวงพ่อบอก
“แล้วเจ้าลิงนั่นละ” พิชามนญ์ถาม
“อย่าเรียกว่าลิงซิ” ธิดาภาไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ง่วง ทำไมวันนี้มันง่วงอย่างนี้ แล้วนี่มีไรกินบ้างเนี่ย” มาณืคัสเดินบิดขี้เกียจเข้ามาในห้อง
“ไปแอบหลับที่ไหนมาละ เจ้ากล๊วก” มาย่าถาม
“นั่นมันเรื่องของฉัน” มาร์คัสขึ้นเสียงขู่ใส่ แต่มาย่าก็ไร้อาการที่จะเกรงกลัว
“เหรอ งั้นก็ได้” มาย่าบอก ทำให้มาร์คัสสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่กลัวเขาเหมือนที่ธิดาภากลัวเขา
“นี่เจ้าหนู คืนนี้หลวงพ่อกลับดึกนะ นอนคนเดียวก็แล้วกัน” หลวงพ่อจาค๊อบรีบกินจนเสร็จและเดินเข้ามาลูบหัวมาร์คัสเบาๆ
“หลวงพ่อจะไปไหน” มาร์คัสถามด้วยเสียงอ่อนๆ
“หลวงพ่อจะไป...” หลวงพ่อยังพูดไม่ทันเสร็จมาร์คัสยื่นมือมาปิดปากหลวงพ่อไว้
“ไม่ต้อง หลวงพ่อจะไปไหน หนูขอไปด้วย” มาร์คัสทำตาใสแป๋วบ๋องแบ๊วใส่และแสดงอาการออดอ้อน
“ทำอ้อนเป็นลูกลิงเลยนะเจ้านี่ ดูซิ” มาย่าบอก แล้วมาร์คัสก็กอดขาหลวงพ่อไว้แน่น
“ก็ได้ งั้นเราไปด้วยกันแต่อย่าซนละ” หลวงพ่อบอกเสร็จก็เดินออกไป
“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อ ในโบสถ์นี้ก็ผุพัง มันคงไม่ช่วยให้ความอบอุ่นหรือคลายหนาวได้เลย” พิชามนญ์บอก
“พวกเรามานอนด้วยกันก็ได้แล้วเอาผ้าห่มมาสุมๆให้ดุหนาๆ นอนด้วยกันมันคงจะอบอุ่นขึ้นเยอะ” ธิดาภาบอก
“ก็ได้งั้นคืนนี้นอนที่ห้องเธอแล้วกัน ฉันเห็นว่าเตียงห้องเธอใหญ่ดี” อรนิชาบอกแล้วพวกเธอก็นั่งกินน้ำซุบร้อนๆคลายหนาวไปพลางๆ

ที่นอกเมืองห่างออกไปราวๆ 10 กิโลเมตร มีฝูงหมาป่าจำนวนมากหอนโหยหวนไปทั่วและภายใต้หิมะที่ตกหนักนั้นมีฟินรอส สัตว์อสูรเจ้าแห่งหมาป่าทั้งปวง หมาป่าน้ำแข็งยักษ์ตัวนี้ค่อยเดิมที่ละย่างก้าวตรงมาเรื่อยโดยมีบริวาณจำนวนมากวิ่งอยู่รอบๆและใต้ท้องของมัน

 เมื่อหลวงพ่อและมาร์คัสมาถึงลานพิธีกรรม เหล่านักบุญจำนวนมากรวมไปทั้งบาทหลวงจีเนียสก็มาร่วมด้วย
“ในสภาวะเช่นนี้ หากเราจะเรียกทั้งหมดที่มีจากวิหารทั้งหมดในเมืองก็คงจะไม่ได้ เราจำเป็นต้องมาปรึกษาโดยด่วนที่จะเรียกเทพเพียงองค์เดียวมาปกป้องเมืองเราไว้จากความชั่วร้ายของด้านมืด” หัวหน้าคณะนักบวชกล่าวที่หน้ากองไฟ
“เทพเยเลสเป็นไง ท่านเป็นเทพที่เรื่องลือในด้านการปกป้องรักษา” บาทหลวงที่ประจำวิหารเยเลสเสนอ
“แต่ว่า หากเรามัวแต่ป้องกันไว้ ไม่นานนักเทพเยเลสก็คงต้องสูญสลายด้านพลังจนต้องกลับสวรรค์ก็เป็นได้” หัวหน้าคณะนักบวชบอก แล้วเหล่านักบวชก็ปรึกษาหาลืมกันเบาๆ
“ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาแล้ว และตอนนี้เราคงต้องให้ท่าน หลวงพ่อจาค๊อบเสนอเถอะ เพราะท่านเป็นผู้ที่อาวุโสสุด” หัวหน้าคณะนักบวชถาม
“เอ่อ... คือ...” หลวงพ่อจาค๊อบก็อ้ำอึ่ง
“ข้านี่ไง จะปกป้องพวกเข้าไว้เอง” มาร์คัสกล่าวแทรกเข้ามา
“นี่อย่าพูดอะไรผิดแปลกออกไปซิ เจ้ายังเด็กมันจะยิ่งทำให้เสียสมาธิและเวลาเปล่า” หลวงพ่อจาค๊อบตะหวาดเบาๆ
“ก็ได้ แต่ถ้าท่านต้องการเทพที่จะช่วยท่านได้ ข้าก็ขอออกความคิดเห็นสักนิดแล้วกัน ข้าอยากให้หลวงพ่อช่วยเรียกอลิเซียที่เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของเทพเจ้าโอดิน หรือเรียกเธอง่ายๆว่า วอลคิลี่” มาร์คัสกระซิบบอก หลวงพ่อที่ในสมองคิดอะไรไม่ออกก็เลยจับเอาคำพูดของลิงน้อยนี้เสนอทันที
“งั้นหลวงพ่อเสนอให้อัญเชิญเทพอลิเซีย” เมื่อหลวงพ่อพูดออกไปทุกคนก็หยุดทุกสิ้นเสียง
“แต่หลวงพ่อ ในเมืองเราก็ไม่มีวิหารของเทพอลิเซีย พวกเราเองก็ไม่สามารถรู้ถึงคาถาที่ใช้สื่อจิตเรียกได้” จีเนียสบอก
“ไม่เป็นไร ฉันจะนำบทเอง พวกเจ้าแค่ตั้งจิตและสวดตามให้ทันแล้วกัน” มาร์คัสยืนยิ้มเล็กๆ
“อ๊ะ เจ้าหนูนั่น” จีเนียสตกใจทันทีที่เห็นมาร์คัส แล้วมาร์คัสก็เดินมาที่หน้ากองไฟ
“ความหวังอยู่ที่เธอนะ เจ้าหนู” หัวหน้านักบวชบอก

แล้วมาร์คัสก็กระโดดขึ้นไปยืนบนแท่นพิธีกรรม
“วิธีที่จะเรียกเธอได้นั้น มันไม่จำเป็นต้องใช้บทสวดแต่ขอให้พวกท่านทำตามที่ข้าบอก เพราะว่าอลิเซียที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงผู้พิทักษ์ของเทพเจ้าโอดินเท่านั้นไม่ใช่เทพอยู่บนสรวงสวรรค์ ซึ่งเธอนั้นอยู่ในมิติที่ 3 ซึ่งก็เหมือนกับว่าเป้นคนธรรมดาแค่ได้รับพรวิเศษจากเทพเจ้าโอดินให้พวกเธอนั้นได้มีครึ่งหนึ่งเป็นเสมือนเทพ ข้าจะนำบทเรียกเธอแล้วกัน” มาร์คัสกล่าวบอกทำให้เหล่าบรรดานักบวชก็ยังงงอยู่เล็กๆ
“ขั้นแรกพวกท่านจงตั้งจิตสมาธิให้แน่วแน่จนเกิดพลัง ขั้นที่สองจงเปลี่ยนพลังนั้นให้กลายเป็นจิตที่จะใช้สื่อ ขั้นที่สามตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้วเนี่ย” มาร์คัสถาม
“เจ้าหนูนี่มีเล่นมุข ตอนนี้ก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้วทำไมเหรอ” จีเนียสบอก
“อ่ะได้จังหวะ แต่อาจจะหนักใจสำหรับพวกท่าน ในตอนนี้เป็นเวลาที่เหล่าบรรดาเทพธิดา สาวงามบนสวรรค์ทั้งหลายกำลังเล่นน้ำอยู่ในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ป๋าโพไซดอนประทานให้ รวมทั้งอลิเซียด้วย สิ่งที่ข้าจะบอกก็คืออยากจะให้พวกท่านใช้จิตนั้นส่งมาที่ข้าเพื่อให้ข้าได้ไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าทำไม่ได้ เมืองของพวกเจ้าก็จะสลาย” มาร์คัสบอกทำให้เหล่าบรรดานักบวชตกใจกันรวมทั้งหลวงพ่อด้วย
“เจ้าหนู พวกเราเป็นนักบุญจะมามัวคิดถึงเรื่องหญิงได้ไง” นักบุญคนหนึ่งถาม
“งั้นก็ตามใจ ข้าก็อยากจะช่วยแต่ช่วยไม่ได้” เมื่อเขาพูดเสร็จก็ยืนหลับตานิ่งจนเกิดมีแสงพลังจิตที่เปร่งออกมาได้เร็วมากจนเหล่านักบุญยังต้องตกใจ เพราะการที่จะรวบรวมสมาธิจนเกิดพลังจิตได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 นาที
“จะเอายังไงหลวงพ่อ” หัวหน้านักบวชถาม
“ก็คงต้องทำตามละ เพื่อเมืองและวิหารของเทพทั้งหลายอยู่ที่คู่บ้านคู่เมือง” หลวงพ่อจาค๊อบบอกแล้วก็เริ่มทำตามวิธีที่มาร์คัสบอก

เมื่อเหล่านักบุญทำตามจนเกิดพลังจิตเปร่งออกมาได้ก็มีอยู่หลายคนที่ทำหน้าบึ้งกับภาพที่ตนเห็นด้วยความกลัวบาป บางคนก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นจึงหลุดจากจิตออกมา แต่มาร์คัสนั้นกลับยืนนิ่งยิ้มระรื่น ทั้งที่ๆตัวเขานั้นยืนอยู่บนแท่นพิธีกรรมที่สูงขึ้นไปและมีหิมะตกค่อนข้างหนัก รวมทั้งเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอันใดนอกจากขนที่หนาของเขาปกคลุมเพียงแค่เอวลงมาถึงขาและผมที่ยาวเท่านั้น

ที่สระน้ำโพไซดอน จิตของมาร์คัสนั้นแรงกล้าจนเหมือนว่าเขาได้อยู่ที่นั่นเขาสามารถเคลื่อนไปไหนมาไหนได้ และก็มีนักบุญคนอื่นส่งจิตเข้ามาได้ แต่พวกเขาก็รีบเดินออกห่างไปจากสระน้ำนั่น หลวงพ่อจาค๊อบที่สร้างจิตของตนได้ก็ส่ายตามองหามาร์คัสทันที แต่ก็ไม่พบเขาแล้ว ที่สระน้ำโพไซดอนในตอนนี้มีเพียงเหล่าวอลคีลี่ผู้พิทักษ์เทพเจ้าโอดินต่างมาลงเล่นน้ำกันสนุกสนาน มาร์คัสที่ยืนอยู่ไกลออกไปจากสระน้ำนั้น สื่อจิตเข้ามายังอลิเซีย
“ข้ารู้ว่าท่านรู้ว่าข้าเป็นใคร ได้โปรดข้าอยู่หลังแท่นหินนี่” มาร์คัสสื่อจิต อลิเซียที่กำลังเล่นน้ำกับเพื่อนๆนั้นขึ้นมาจากสระน้ำและเดินตรงมาที่แท่นหินที่ได้ยินเสียงของมาร์คัส
“ท่านเองก็ช่วยตนเองได้นี่ ทำไมต้องขอความช่วยเหลือจากข้า ถึงข้าจะเป็นเพื่อนของท่านก็เถอะ แต่ถ้าช่วยท่านแล้ว ข้าจะโดนบทลงโทษอย่างท่านก็เป็นได้” อลิเซียบอก
“ในตอนนี้ข้าเองถูกสะกดพลังเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถใช้พลังเหล่านั้นได้ แม้แต่ตอนนี้ข้าเองยังไม่อยากให้เจ้าเห็นข้าเลยด้วยซ้ำ” มาร์คัสบอก แล้วอลิเซียก็ยังไม่เชื่อกับคำพูดนั้นจึงเดินเข้ามายังอีกฝั่งของแท่นหิน เธอเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่มีขนปกคลุมราวกับลิง
“นั่นคือท่านเหรอ” อลิเซียถาม แล้วมาร์คัสก็เลือดกำเดาไหล อลิเซียเห็นก็เลยตกใจและลืมตัวไปว่าตนเองนั้นยังไม่ได้ห่มผ้าคลุมกายใดๆ เธอจึงรีบกลับไปอีกฟากของแท่นหิน
“เชื่อข้ารึยัง” มาร์คัสถาม
“ข้าจะยอมช่วยท่าน แต่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของท่าน ข้าเห็นแล้วว่าตอนนี้ที่เมืองที่ร่างของท่านอยู่นั้นกำลังจะถูกฟินรอสโจมตี แต่ที่เมืองนั้นเทพฟอนติน่าก็ปกป้องคุ้มครองได้มิใช่หรือ” อลิเซียถาม
“ใช่แล้ว แต่ข้าเองไม่สามารถสื่อจิตถึงนางได้ฟ” มาร์คัสบอกแล้วจิตของเหล่านักบุญที่ส่งให้เขานั้นเริ่มดับลง ร่างกายของเขาเริ่มสลายหายไปทีละนิด

แล้วร่างของมาร์คัสก็ล้มตกลงมาจากแท่นพิธีกรรม หลวงพ่อจาค๊อบจึงรีบวิ่งเข้าไปรับร่างไว้ก่อนจะกระแทกกับพื้น แต่ไม่ทันการ ระยะของหลวงพ่อนั้นกับร่างของมาร์คัสไกลเกินและร่างกายที่เป็นตามกาลเวลา แต่แล้วก็มีแสงสว่างจ้าเปร่งออกมาปรากฏเป็นสาวผมแดงในชุดนักรบที่บนหมวกมีปีกเทพอัญเป็นสัญลักษณ์ของวอลคิลี่ อลิเซียรับร่างของมาร์คัสไว้ในสภาพที่ให้เขานั้นนอนศบตักของเธอ นักบุญเหล่านั้นแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง แล้วพวกเขาก็ทำการเคารพด้วยการก้มหัว
“ข้าจะทำเพื่อท่าน” เสียงอันแว่วหวานดั่งนกร้องเพลงนั้นทำให้หิมะที่ตกหนักกลับหยุดนิ่งเหมือนภาพที่อย่างหยุดเคลื่อนไหว เพียงเสียงของเธอก็ทำให้สภาวะทุกอย่างหยุดทันทีมีเพียงแต่เธอและเหล่านักบุญในบริเวณลานพิธีกรรมที่เคลื่อนไหวได้
“เจ้าเด็กนั่น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เราต้องหาความจริงให้ได้” จีเนียสนึกในใจ แล้วอลิเซียก็วางศีรษะของมาร์คัสลงกับพื้นเบาๆแล้วเธอก็ลุกขึ้นชักดาบ(Holy Sword)ออกมา เธอค่อยๆก้าวเดินออกไปจากลานพิธีกรรมเรื่อยๆมุ่งหน้าตรงไปยังหน้าเมือง

แล้วทันใดนั้นเหล่าหมาป่าก็บุกมาถึง ฟินรอสตั้งท่ากลางขาออกชูหางขึ้นฟ้า แล้วยิงลำแสงแช่แข็งใส่เมืองผ่านหิมะจำนวนมากที่หยุดนิ่ง อลิเซียใช้ดาบของเธอต้านพลังลำแสงแช่แข็งนี้ไว้ จนเธอปัดลำแสงนี้ไปทางภูเขาได้ แล้วเธอจึงร่ายเวทย์เรียกคันธนูสีขาวออกมาและมีศรที่สร้างมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ 3 ดอกยิงออกไปพร้อมๆกัน ฟินรอสจึงคำรามดังลั่น เมื่อศรทั้ง 3 ดอกโจมตีเข้าฟินรอสแล้วทำให้เกิดแรงระเบิดแสงสีขาวขนาดใหญ่ เมื่อแสงนั้นดับลงพวกมหาป่าลูกสมุนของฟินรอสต่างแข็งเป็นหินหมดเหลือเพียงมันตัวเดียว มันจึงวิ่งเข้ามาทันทีจนเข้าใกล้มันก็กระโจนขึ้นฟ้า อลิเซียก็ตั้งท่ากระโดดพุ่งขึ้นเล็งฟันที่ท้องของฟินรอส แต่แล้วชายชุดดำที่ปรากฎออกมาอย่างไร้ร่องลอยจากฟากฟ้าเขาใช้ดาบฟันคอของฟินรอสจนขาดและหวังสังหารอลิเซียไปในเวลาเดียวกัน แต่เธอก็หลบคมดาบได้แต่ดาบอันลึกลับของชายชุดดำนี้ทำให้ขาทั้ง 2 ข้างของเธอเลือดไหลออกมา แม้จะหลบได้แล้วก็ตาม เมื่อทั้งคู่ลงสู่พื้นได้อลิเซียก็เสียหลักล้มลงที่ไม่มีแรงขาที่จะลุกขึ้นยืนได้ ชายชุดดำเดินตรงมาที่เธอ เธอจึงใช้ดาบฟันป้องกันตัวแต่ชายชุดดำก็ปัดดาบของเธอออกไปจนดาบนั้นกระเด็นไปไกลห่าง ชายชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี้มองดูเธออย่างเวทนา เธอเองก็รู้ถึงความเป็นมาของชายชุดดำ เธอจึงหลับตาลง
“ลาก่อน มาร์คัส” ชายชุดดำยกดาบขนาดใหญ่ของเขาขึ้นฟ้าและปักลงมาที่ร่างของอลิเซียเลือดของเธอที่สาดกระเด็นไปทั่วบริเวณทำให้พื้นบริเวณนั้นเป็นสีเลือดไปหมด แต่เธอก็ยังไม่ขาดใจตาย ชายชุดดำจึงดึงดาบออกจากนั้นเขาก็ฟันที่คอเธอจนขาด แล้วเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่.........” มาร์คัสตะโกนลั่นไปทั่วจนตัวเขาตกลงมาจากต้นไม้
“ความฝันรึเนี่ย ไม่น่านอนกลางวันเลยเรา ทำไมชายชุดดำคนนั้นเป็นใคร เราทำไมเราถึงรู้จักกับอลิเซียได้ เราเป็นใครกันเนี่ย” มาร์คัสปวดหัวมากแล้วรอยสักของเขาก็เข้มขึ้นและแผ่กระจายไปมากขึ้น แล้วธิดาภาที่กวาดบริเวณนั้นก็ผ่านไปเห็นเธอจึงหลบมาแอบที่ข้างกำแพงดูอาการของมาร์คัสอยู่ห่างๆ
“ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้...” เสียงของชายที่เธอฝันถึงนั้นดังอยู่ข้างๆหูเหมือนว่าชายคนนั้นอยู่ข้างหลัง เมื่อเธอหันไปก็เห็นชายคนนั้นยืนอยู่ในใกล้มาก จนทำให้เธอหวาดกลัวอย่างมากตั้งแต่ได้ยินเสียง เธอจะกรีดร้องออกมา จนเธอตื่นจากความฝันแล้วพวกเพื่อนๆของเธอจึงรีบวิ่งมาดู

“ธิดาภาเธอเป็นอะไรมั้ย เห็นร้องเมื่อกี้นี้” พิชามนญ์ถาม
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะแค่ฝันไป” ธิดาภาตอบ
“อ่ะ ที่แท้ก็มาแอบอยู่นี่เอง บอกแล้วว่าอย่าอ่านตำราจนดึก แล้วก็มาง่วงหลับเอาตอนกลางวันเนี่ย” มาย่าบอก แล้วพวกเธอก็กลับไปช่วยกันเก็บกวาดลานโบสถ์ แต่ในใจของธิดาภานั้นยังคงแฝงถึงความฝันที่เธอเห็นทุกครั้งที่เธอหลับตาลง แล้วในวันนั้นทั้งวันอากาศก็แจ่มใจ ลมสงบ ไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้นกับเมืองนี้

------------------------------------------จบตอนที่ 27-----------------------------------------------
Logged


Moonshiny Doll
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 2179


« Reply #21 on: October 05, 2005, 12:26:41 AM »

แต่งต่อเหอะนะหนุกดี :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'(
« Last Edit: October 05, 2005, 12:34:02 AM by Amankris Rider » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #22 on: October 06, 2005, 11:08:17 PM »

ตอน ชายแห่งการทำลายล้าง

“เอาล่ะ ตอนนี้น้ำแข็งก็ละลายไปจนหมดแล้ว เราไปต่อกันเถอะ” ฟามบอกแล้วเขาก็กลับมานั่งที่คนขับและขับเรือดำน้ำออกไปทันที
“เรือเฮงซวยนี่ มันจะทนได้สักเท่าไหร่กัน” บุ๊คถาม
“ทนทานจนกว่า แกจะตายก็ได้มั้งบุ๊ค” ปอนตอบแล้วก็หัวเราะชอบใจ แล้วทั้งคู่ก็ถกเถียงออกแรงกันใช้กำลังกัน ส่วนอิศราและตั้มก็มานั่งอ่านหนังสือตำราเวทย์มนต์เพื่อศึกษาใช้เวทย์มนต์ต่างๆให้ได้คล่องเพราะว่าในตอนนี้อิศรายังคงต้องเปิดตำราท่องคาถาบางคาถาอยู่ แต่แพ๊คนั้นนั่งหลับแทน ส่วนพงวิชนั้นก็มานั่งข้างๆที่นั่งคนขับ
“ฟาม ทำไมฟามถึงคิดที่มาเป็นนักฆ่า” พงวิชถาม
“ประการแรกเกลียดขี้หน้าพวกทหาร ประการที่สองทำไปเพื่อให้ตัวเราเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นมีชื่อเสียง ประการสุดท้ายเพื่อเดินทางท่องเที่ยวหาเพื่อนไปทั่ว” ฟามตอบแล้วก็ปรับการขับเคลื่อนเป็นการขับแบบอัตโนมัต
“ทำไมถึงอยากรู้เรื่องเรานัก” ฟามถาม
“ปล่าวไม่มีอะไร แค่อยากรู้” พงวิชบอกแล้วก็ปรับเบาะให้เอนนอนได้แล้วเขาก็อนนพักผ่อน ฟามเห็นแล้วก็ทำบ้างแล้วก็พักผ่อนในเรือดำน้ำกัน

จากใต้ท้องมหาสมุทธอันกว้างขวาง เหินขึ้นมาสู่แผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ เรือเหาะรบของผู้การนอริสก็ผ่านพ้นจากแผ่นดินเข้าสู่มหาสมุทธออรอนแห่งนี้
“ผู้การครับอีก 2,185 กิโลเมตรถึงเมืองแรฟอสครับท่าน” ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงาน นอริสก็พยักหน้าอย่างเข้มขึมแล้วทหารนายนั้นก็แสดงความเคารพแล้วเดินออกจากห้อง
“ไม่ว่าจะสุดขอบฟ้าข้าก็จะตามล่าจับแกมาให้ได้” นอริสยืนมองดูท้องฟ้าผ่านหน้าต่างจากห้องทำงานของเขาออกไป

แล้วทันใดนั้นเรือเหาะรบนี้ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนจากนั้นก็เกิดสัญญาณเตือนภัยขึ้นทันที ผู้การนอริสจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปยังห้องบัญชาการ
“เกิดอะไรขึ้นรายงานมาซิ” ผู้การนอริสถาม
“ท่านครับ เราพบสิ่งบางอย่างที่ห่างออกไปทางซ้ายของเรือเราประมาณ 1 กิโลเมตรแล้วมันก็ยิงลูกไฟโจมตีใส่เรือเหาะเราครับท่าน หากปล่อยไว้แบบนี้ เกราะบาเรียที่คุ้มกันเรือเหาะเราจะแตกแล้วเรือเราอาจจะพังได้ครับท่าน” ทหารนายหนึ่งรายงานทันที
“งั้นเตรียมปืนใหญ่ทางกาบซ้ายเรือทั้งหมดเตรียมยิงสวนทันที” นอริสสั่งแล้วก็มีทหารนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานอย่างเร่งด่วนและแสดงอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ท...ท..ท่านครับ นั่น” ทหารนายนั้นชี้ไปทางลานดาดฟ้ากว้างหน้าเรือ เมื่อนอริสมองไปเขาก็ยังตกใจทันที แล้วเขาก็ตั้งสติได้และเปลี่ยนความกลัวทั้งหมดเป็นความกล้า เขาชักปืนออกมาแล้วก็เดินออกไปลานกว้างพร้อมกับเหล่าทหารจำนวนหนึ่ง
“วันนี้ข้าจะจับเจ้า” นอริสยกปืนขึ้นเล็งและเหนี่ยวไกทันที สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นสิ่งที่เขากลัวที่สุดนั่นคือ ชายชุดดำ กระสุนที่นอริสและเหล่าทหารยิงออกไปนั้น ชายชุดดำใช้ดาบขนาดใหญ่ของเขาเหวี่ยงสบัดไปมาปัดกระสุนได้หมด
“จับเป็นไม่ได้ก็ฆ่ามันเลย” นอริสสั่งแล้วพวกทหารที่ถือดาบก็วิ่งเข้าจู่โจมทันที ชายชุดดำบิดข้อมือเล็กๆแล้วก็ตะหวัดดาบเพียงครั้งเดียวก็เกิดคลื่นดาบโจมตีใส่พวกทหารถือดาบตายจนหมดสิ้น นอริสจึงรู้สึกโกรธยิ่งขึ้นแต่เขาก็รู้มาเสมอตลอดเวลาว่าเขาไม่มีทางที่จะสู้กับชายชุดดำได้ แล้วมังกรของชายชุดดำก็พุ่งมาจากกาบซ้ายเรือด้วยความเร็วและยิงลูกไฟใส่ถล่มเรือเหาะแต่บาเรียนั้นยังคงคุ้มกันได้ แล้วทหารต่างก็เริ่มหวาดกลัวกัน แล้วชายชุดดำก็ก้าวเท้ามาย่างช้าๆ และทุกย่างก้าวของเขาพวกทหารต่างก็ถอยตามด้วยความกลัว แม้แต่นอริสเองก็ยังถอยหนี
“พวกเราอย่าถอย จงสู้ต่อไป ตามข้ามา” นอริสเรียกขวัญและกำลังใจให้กับพวกทหารที่กำลงหวาดกลัวอยู่นั้นกลับคืนมา สีหน้าของพวกเขาเริ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง นอริสเองก็เดินหน้านำกองทหารของเขาพร้อมกับชักดาบออกมา แต่ทหารก็ยังกลัวๆกล้าๆ แต่เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำเดินไปอย่างกล้าหาญแล้วพวกเขาก็ต้องตัดความกลัวออกและเอาความกล้าหาญแสดงออกมา พวกเขาชักดาบและเดินตามนอริสไปเผชิญหน้ากับชายชุดดำ

เมื่อนอริสเดินมาใกล้ชายชุดดำ ใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทั้งๆที่เขากลัวและรู้การทำเช่นนี้ตัวเองอาจจะตายได้ แล้วเขาและชายชุดดำก็หยุดเดิน ซึ่งระยะห่างของเขาทั้งสอง ห่างกันเพียง 6 ฟุต ซึ่งเป็นระยะที่ดาบของชายชุดดำโจมตีนอริสตายได้ในทันที
“วันนี้ข้าไม่ต้องการสูญเสียลูกน้องอีก ถ้าอยากจะจบเรื่อง ก็เชิญเข้ามาเลย” นอริสบอกแล้วก็ตั้งท่าสู้ ชายชุดดำได้ยินและมองดูนอริสแล้วเขาก็ยิ้มออกมาเล็กๆ แล้วเขาก็เปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นเสียงหัวเราะเหมือนกับว่าเขานั้นขำกับสิ่งที่นอริสทำ
“ขำ อะไรนักหนาวะ” นอริสโมโห แล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทุกอย่างของชายชุดดำก็หยุดลงแต่เขาใช้หมัดซ้ายอัดใส่นอริสด้วยความเร็วที่นอริสจะขยับดาบยังไม่ทัน จนเขากระเด็นทะลุห้องบัญชาการไปชนกับตู้ภายในห้อง
“ผู้การเป็นไรปล่าว” เสียงของเหล่าทหารพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงและวิ่งเข้ามาดู ส่วนทหารที่อยู่ข้างนอกนั้นก็ยังคงจ้องมองอยู่กับชายชุดดำด้วยความระแวงจากภาพที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่ก่อน

เมื่อนอริสลุกขึ้นยืนมาได้ด้วยสภาพที่สะบัดสะบอน พวกทหารที่อยู่ข้างนอกต่างก็วิ่งเข้าลุมโจมตีชายชุดดำทันที ชายชุดดำจึงวิ่งเข้าประจัญบานกัน ด้วยความเร็วดาบและความสามารถอันลือชื่อและความน่าสะพรึงกลัวของเขา จัดการกับทหารของนอริสตายไปกันหมดอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น

จากเหนือแผ่นฟ้ากลับลงสู่ใต้ท้องทะเล เรือดำน้ำของฟามก็ใกล้เข้าสู่จุดที่เรือเหาะของนอริสลอยลำอยู่
“ฟาม ในเรดาร์นี่มันบอกอะไร” พงวิชถามด้วยความสงสัยและเอานิ้วจิ้มเล่น
“ก็บอกว่าในรัศมี 10 กิโลเมตรรอบเรือดำน้ำนี้มีสิ่งอะไรเคลื่อนไหวบ้าง อย่างตอนนี้ข้างหน้าคงมีเรือเหาะลอยอยู่เหนือหัวพวกเรา ไกลออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร” ฟามอธิบายให้ฟัง
“แล้วทำไม ไม่ขึ้นไปสูดอากาศหายใจข้างบนบ้างละ” พงวิชถามต่อ
“เออ ใช่ ลืมดูไปเลย ตายละหวาอากาศในเรือเหลือแค่ 10 % ต้องขึ้นด่วนแล้ว” ฟามตกใจทันทีที่ตนนั้นลืมดูเครื่องวัดออกซิเจนบนเรือดำน้ำที่กำลังหมด เขาจึงรีบขับเรือดำน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ

เมื่อเรือดำน้ำนี้ขึ้นใกล้สู่ผิวน้ำ เรือดำน้ำของฟามเกิดขัดข้องขึ้น ภายในเรือเริ่มสะเทือนเป็นระยะๆ และมีเสียงเหมือนน๊อตบางตัวในเรือดำน้ำหลุดจากข้อ
“เฮ้ยๆๆๆ จะรอดเปล่าวะ” บุ๊คระแวงกับเสียงน๊อตนี้มาก
“ไม่รอดหรอก แต่ถามก่อนเลยอยากจมน้ำตายหรือโดนแรงน้ำฉีดร่างระเบิดตาย” ฟามถามแล้วก็เร่งเครื่องเร็วขึ้น แล้วเครื่องทั้งระบบของเรือดำน้ำก็ลวนจนแปรปวนทันที ฟามเริ่มรู้สึกว่าเขานั้นไม่สามารถบังคับเรือดำน้ำได้แล้ว เขาจึงลุกจากเก้าอี้คนขับ พวกพงวิชสะดุ้งตกใจทันที
“เฮ้ย ลุกทำไม ขับดิวะ เดี๋ยวก็ตายยกลำหรอก” บุ๊คตะครอกใส่ แล้วฟามก็เดินมานั่งกอดท่อเหล็กหนึ่งไว้แน่น
“เราบังคับเครื่องไม่ได้แล้ว มันไปเอง ที่เหลือรอความตาย” ฟามบอก พวกพงวิชก็ตกใจอย่างหนักแล้วกระวนกวายอยู่กันไม่เป็นสุข รีบทำโน้นทำนี่ อย่างวุ่นวายไปหมด

เมื่อเรือดำน้ำนี้พุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ เรือดำน้ำนี้ก็เหินลอยขึ้นฟ้าทันที แล้วระบบก็เปลี่ยนเรือดำน้ำนี้เป็นเครื่องบินเล็กอัตโนมัตบินพุ่งตรงไปยังเรือเหาะของนอริส แต่แล้วก็เป้นเป้าสายตาของมังกรดำของชายชุดดำ มันกลับตัวและบินสวนตรงมายังเครื่องบินของฟาม
“ตายกลางอากาศ เจริญเล๊ย” บุ๊คบอกแล้วมักงรดำก็ยิงลูกไฟโจมตีใส่ ฟามจึงรีบเปิดประตูและกระโดดออกไปทันทีแม้ว่าความสูงในตอนนี้จะเกิน 500 เมตรแล้วก็ตาม พวกพงวิชยังคงตะลึงกับการที่ฟามกระโดดไปโดยไม่คิดอะไร เมื่อพวกเขาเห็นว่าลูกไฟนั้นกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง พวกเขาก็ตัดสินใจกระโดดตามลงไป

ทันทีที่อิศรากำลังกระโดด พงวิชที่ยังคงคาอยู่ในเครื่องบินนั้นที่ยังไม่ได้ออกมา นั่นก็คือสิ่งเลวร้ายสำหรับเขาเมื่อลูกไฟนั้นโจมตีใส่เครื่องบินจนระเบิดก่อนที่พงวิชจะได้กระโดดตามออกมา พวกเพื่อนจึงหันมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นเศษซากของเครื่องกระจุยกระจายแล้วจู่ๆ เสียงโฮ่ร้องของพงวิชก็ดังนำมาก่อนตัว แล้วก็ปรากฎเซฟิดึงคอเสื้อพงวิชหนีออกมาได้ทัน
“ขอบใจมากนะ เจ้าเด็กน้อย” พงวิชขอบใจ
“งั้นปล่อยละ หนัก” เซฟิพูดเสร็จก็ปล่อยมือจากเสื้อพงวิชทันที พงวิชรีบพยายามจะคว้าจับเซฟิไว้แต่ก็ไม่ทันแล้ว

มังกรดำจึงบินตรงมายังกลุ่มพวกพงวิชที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้านี้ ฟามชักปืนคู่ออกมายิงใส่มังกรดำอย่างตั้งใจ แต่สายตาที่เขาจ้องมองดูอยู่นั้นเหมือนกับว่ามันจ้องอาฆาตในตัวเขามาก
“ออกห่างจากตัวข้าไว้” ฟามตะโกนบอกแล้วก็ผลักบุ๊ค ปอน ให้ออกห่างไป แล้วเขาก็เปลี่ยนแม๊กกระสุนปืน
“เอาล่ะนะเข้ามาเลย” ฟามเล็งปืนทั้งสองกระบอกไปที่หัวของมังกรดำ
เมื่อมังกรดำพุ่งเข้าใส่ฟาม เขาก็ใช้เท้าถีบหน้าผากของมันถอยออกมาพร้อมกับยิงโจมตีใส่มันใส่ระยะใกล้ๆเล็งเข้าไปที่ลูกตาของมัน มันก็พยายามจะกัดฟามให้ได้ แต่ฟามก็ถีบดันตัวออกห่างได้พร้อมกับโจมตีสวนกลับ ไม่นานนักมันก็พุ่งตรงใส่ฟามอย่างเร็วจนฟามถีบตัวออกไม่ทันแล้วร่างของมังกรดำก็ระเบิดขึ้นเป็นกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่กลบร่างของมันและฟามไว้ พวกพงวิชที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจและเป็นห่วงฟาม แต่พอกลุ่มควันนั้นสลายไปพวกเขาก็ไม่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างจากการระเบิดของมังกรดำนั้น
“ฟาม ขอบใจนะ” พงวิชพูดออกมาด้วยความตื้นตันใจ แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ตกลงสู่ท้องทะเลกระแทกกับผิวน้ำอย่างแรงจนพวกเขาต่างสลบไป

“ตายซะเถอะ” นอริสรีบฉวยโอกาสนี้วิ่งไปด้วยแรงที่มีอยู่ใช้ดาบฟันชายชุดดำ
“ผู้การ” เหล่าทหารพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
แล้วชายชุดดำก็ปักดาบลงและเอามือข้างหนึ่งปัดดาบของนอริสกระเด็นไปปักที่หัวเรือ แล้วชายชุดดำก็ใช้มือซ้ายจับที่ข้อมือขวาและใช้มือขวาอัดใส่ลงที่พื้นเกิดสายฟ้าขึ้นจากหมัดขวาของเขา เหล่าทหารที่เห็นพยายามจะวิ่งเข้าไปช่วยนอริสที่กำลังเสียหลัก

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” ชายชุดดำใช้หมัดขวาของเขาจับกำที่คอของนอริสและยกขึ้นด้วยมือเดียว เมื่อทหารพวกนั้นเห็นจึงรีบชักดาบวิ่งเข้ามาโจมตีสกัดชายชุดดำไว้ แต่ก็ถูกสะเก็ดไฟฟ้าโจมตีกระเด็นออกมา แล้วท้องฟ้าเหนือเรือเหาะลำนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างมืดครึ้มไปหมด มีสายฟ้าผ่าไปมา อย่างหนักน่วง นอริสมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นว่าเหนือหัวของเขาขึ้นไปเห็นเมฆหมุนวนเหมือนว่าเขานั้นอยู่ตรงใจกลางพายุ แล้วทันใดนั้นสายฟ้ามหาศาลต่างผ่าลงมาที่ตัวของเขาอย่างแรง ชายชุดดำมองดูนอริสที่โดนสายฟ้าผ่าใส่จำนวนมากโดยที่ตัวของชายชุดดำนั้นกลับไม่บาดเจ็บอะไรเลย เหล่าทหารที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาพร้อมกับนอริสต่างเศร้าเสียใจและไม่ยอมถอนใจยังคงจะวิ่งเข้าไปช่วยให้ได้ แล้วก็มีสายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงกลางเรือเหาะจนเรือนั้นแตกออกเป็น 2 ฝั่ง เมื่อสายฟ้าที่ผ่าลงที่นอริสดับลงร่างของเขาก็ไหม้เกียม ชายชุดดำก็โยนเขาทิ้งทันทีและยืนหัวเราะอย่างซะใจในอารมณ์ของเขาแล้วร่างของเขาก็กลายเป็นควันสลายหายไปพร้อมกับเมฆที่มืดครึ่มนั้นก็กลับเป็นท้องฟ้าที่แจ่มใสดั่งเดิม แต่เรือเหาะนี้ก็ทิ้งดิ่งลงสู่ท้องทะเล เหล่าทหารต่างวิ่งเข้ามากอดล้อมร่างของนอริสเอาไว้กันแน่น
“ผู้การ” ทหารบางคนต่างร้องไห้เสียใจอย่างมาก แม้เรือนี้จะจมลงสู่ก้นทะเล พวกเขาก็ขอยอมจมลงไปพร้อมกับผู้การของเขาที่พวกเขาภัคดีมาเสมอ

----------------------------------------------จบตอนที่ 28--------------------------------------------------
« Last Edit: October 14, 2005, 07:25:58 AM by RPG_Master » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #23 on: October 07, 2005, 01:26:13 AM »

ตอน ชายผู้ที่จากไปและหวนกลับมา

ในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำใส่มหานครเบรุส สัตว์ประหลาดจำนวนต่างไหลหลากเข้าทำร้ายชาวเมืองโดยที่พวกเขานั้นไม่ได้ระมัดระวังตัว
“ธิดาภาเธออยู่ไหนหนะ” มาร์คัสพยายามมองหาเธอท่ามกลางฝูงคนที่โกลาหน
“มาร์คัส ช่วยฉันด้วย” เสียงของธิดาภาที่ดังมาจากหอคอยสูง เขาจึงมองขึ้นไปก็เห็นเธออยู่บนยอดหอคอยกำลังรอเขาอยู่ และใต้หอคอยนั้นมีปีศาจจำนวนมากทั้งเข้าไปด้านในของหอคอยและทั้งไต่หอคอยด้านนอกขึ้นไป มาร์คัสเองรีบวิ่งไปทันทีด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเกิดอันตราย เขาฟันฝ่าปีศาจต่างๆนาๆเพื่อขึ้นไปช่วยเธอ แต่เมื่อเขาขึ้นมายันยอดหอคอย

“มา..มาร์.. มาร์คัส” เขาเห็นชายชุดดำใช้ดาบแทงหลังของเธอทะลุร่างต่อหน้ามาร์คัสทันทีที่เขาขึ้นมาถึง แล้วชายชุดดำก็ยืนมองดูมาร์คัสด้วยสายตาอันเปล่าเปี่ยวเหมือนไร้อารมณ์แล้วเขาก็โยนร่างของเธอลงจากหอคอย มาร์คัสรีบวิ่งกระโดดตามลงไปทันที เขากอดเธอไว้แน่น
“มาร์คัส” เธอมองดูหน้าของชายคนนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหลับตาลง มาร์คัสจึงกอดเธอไว้แน่นยิ่งขึ้น
“ไม่นะ อย่าจากฉันไป ไม่.......” มาร์คัสอุ้มร่างของเธอกระโดดมาอีกหอคอยหนึ่ง แล้วเขาก็วางร่างของเธอลงก่อนที่จะร้องไห้ควญครางอันแสนเจ็บปวดด้วยหัวใจที่แตกสลาย

“ไม่.........” มาร์คัสตะโกนเสียงดังจนหลวงพ่อจาค๊อบสะกิด
“นี่เจ้าลิงน้อย แกฝันร้ายบ่อยจัง รีบหุบปากแล้วก็นอนซะ ก่อนที่ฉันจะทิ้งบทหลวงพ่อมาเป็นเจ้านรกซะเลย” หลวงพ่อจาค๊อบบอกแล้วก็นอนต่อ มาร์คัสที่ตื่นจากความฝันเขาก็ยังงงและตะลึงกับภาพที่เห็น เขาดึงทั้งสองข้างออกมาจากผ้าห่มก็เห็นว่ามือทั้งสองข้างเปื้อนเลือด เขาจึงรีบลุกวิ่งออกจากห้องไปยังห้องนอนของธิดาภา เมื่อเข้าไปก็เห็นเธอนอนหลับสนิท เขาจึงโล่งอก แล้วเขาก็เดินเล่นในโบสถ์แห่งนี้

“ผนังเหล่านี้ลงอักขระแต่อักษรโบราณทั้งนั้นเลยเหรอ ประวัติของชายที่ถูกลงโทษ” มาร์คัสเดินดูภาพตามผนังทั้งหมดในโบสถ์ขนาดใหญ่แห่งนี้
“ชายผู้นี้ถูกลงโทษมาเป็นเวลานาน แต่ด้วยความสามารถปรีชาของชายผู้นี้เขาสามารถหนีหลุดจากห้วงมิติเวลามา แต่ด้วยพลังของชายผู้นี้ที่ถูกสลายและสะกดพลังไว้ ทำให้เขาถูกจับอีกและถูกลงโทษให้มาเกิดบนโลก พลังของเขาทั้ง 6 ถูกกระจายไปทั่วทุกสารทิศพร้อมทั้งเทพพิทักษ์ทั้ง 6 ของเขาต่างไปเฝ้าและคุ้มครองพลังเหล่านั้น หากวันใดที่เขาสามารถรวบรวมพลังทั้งหมดกลับมาได้ วันนั้นจะมีเพียงสิ่งเดียวที่จะหยุดความปรารถนาของชายผู้นี้ได้คือ หัตถ์ขวาแห่งเจ้านรก ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของชายผู้นี้เอง” มาร์คัสเดินอ่านไปเรื่อยจนเขาไปสะดุดและเคืองใจกับคำว่า
“เพื่อน เพื่อนเหรอ” มาร์คัสหยุดนิ่งยืนนึกสักพักแล้วเขาก็เงยหน้าอ่านต่อ
“นามของชายผู้นี้ถูกปิดต้องด้วยคำสาป หากผู้ใดที่เอ่ยขานนามของชายผู้นี้ ผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป ทำให้ชายผู้นี้ไม่สามารถรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อีกนับตั้งแต่ได้รับบทลงโทษอันเป็นนิรันดร์นี้” เมื่อมาร์คัสอ่านเสร็จผนังต่อไปคือภาพของชายต้องห้ามที่เขาอ่านอยู่มีรอยสักเหมือนกับรอยสักที่หน้าอกของเขา เขายื่นมือขนของเขาไปลูบจับรอยสักบนผนังนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านเขามาในสมองของเขา ด้วยความตกใจเขารีบชักมือกลับมาทันที พอตั้งสติได้เขาก็ยื่นมือไปแตะรอยสักนั้นอีกรอบ แล้วความทรงจำมากมายก็ไหลผ่านเข้ามาในสมองของเขาทั้งหมด แล้วรูปในผนังนั้นก็มีแสงเปร่งจ้ามาห่อหุ้มล้อมร่างของเขาไว้

“ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้อย่าง...” ชายในฝันของธิดาภาบอกกับเธอซ้ำๆเหมือนทุกคืน แต่เธอเริ่มรู้สึกเหมือนว่าความกลัวทั้งหมดของเธอเริ่มหายไป ภาพชายที่เขาเห็นเริ่มเลือนรางสลับกับภาพของมาร์คัส
“มาร์คัส นั่นเธอใช่มั้ย” เธอออกก้าวท้าวเดินเข้าไปหาแต่เธอก็รู้สึกเหมือนว่ายิ่งวิ่งมาร์คัสยิ่งออกห่างไปเรื่อยๆ ด้วยความเหนื่อยล้าเธอจึงทรุดลงพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาเพียง 1 หยด
“อย่าร้องไห้ซิ ฉันยังอยู่กับเธอมาตลอดเลยนะ” มาร์คัสยื่นมือมา เธอจึงเงยหน้าขึ้นและปาดน้ำตาออกก่อนที่จะจับมือของมาร์คัส แล้วเธอก็ตื่นขึ้นมาแต่เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน เธอไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใดแล้ว แล้วเธอก็นึกถึงมาร์คัสขึ้นได้เธอจึงรีบลุกจากเตียง แล้วม่านก็สะบัดไปมาเพราะลมผ่าน แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้สายแล้ว

เธอลุกไปหาหลวงพ่อจาค๊อบที่หน้ารูปปั้นชายในฝันที่กลางโบสถ์
“หลวงพ่อเห็นมาร์คัสมั้ยคะ” ธิดาภาถามอย่างกะวลกะวายใจ
“ไม่หรอก ตื่นมาก็ไม่เจอเขาแล้ว เขาคงจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกละมั้ง” หลวงพ่อจาค๊อบบอกแล้วก็หันมาหลังจากที่สักการะรูปปั้นเสร็จ แต่หลวงพ่อก็ทำหน้าแปลกๆทันที ธิดาภาจึงสงสัยแล้วเธอก็มองดูตัวเธอก็เห็นว่าเธอนั้นยังใส่ชุดนอนอยู่ เธอจึงรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนองของเธอและเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ใส่ชุดนอนวิ่งรอบโบสถ์แบบนี้ มันต้องมีอะไรแปลกแน่เลยเพื่อนคนนี้” มาย่าถาม
“ปล่าวนะ แค่ไปถามหลวงพ่อว่าเห็นมาร์คัสมั้ย” ธิดาภาตอบแล้วก็เปลี่ยนชุดทันที
“ปกติ เธอก็ไม่ใช่คนที่เหม่อลอยเท่าไหร่นี่ แถมก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ลืมตัวซะขนาดนี้ ต้องมีอะไรมาทำให้เธอเปลี่ยนไปแน่ๆ” พิชามนญ์บอก แล้วธิดาภาก็วิ่งออกจากห้องไปทันทีที่ใส่ชุดเสร็จ

“มาร์คัส มาร์คัส เธออยู่ไหน” ธิดาภาวิ่งตะโกนร้องหา อยู่ทั่วโบสถ์ เมื่อไม่เจอเธอก็วิ่งออกมาที่หลังโบสถ์ก็เห็นอรนิชากำลังซ้อมยิงธนูอยู่
“เธอจะรีบร้อนไปไหน เดี๋ยวก็วิ่งเชี่ยวลูกดอกของฉันหรอก” อรนิชาบอก
“เธอเห็นมาร์คัสมั้ย” ธิดาภาหยุดถาม
“เห็นลางไม่รู้ว่าใช่รึเปล่า เมื่อเช้าที่ตื่นมาฝึกเห็นเหมือนว่ามีเด็กวิ่งขึ้นภูเขาไปทางโน้น ทำไมเหรอ” อรนิชาตอบ
“ขอบใจนะ” ธิดาภาพูดเสร็จก็วิ่งไปตามทางที่อรนิชาบอกทันที

เธอวิ่งตามหามาร์คัสขึ้นมาบนภูเขาที่แสนจะลำบากทั้งชันทั้งสูง เธอก็ยังคงตามหาอย่างไม่ย่อท้อ แม้เธอจะหกล้ม เธอก็ยังคงลุกขึ้นก็เดินต่อไปเพื่อตามหามาร์คัสให้เจอ หลายเวลาผ่านไปเรี่ยวแรงที่อ่อนแรงและเหนื่อยล้า เธอขึ้นมาถึงยอดเขาแต่เธอก็ไม่พบมาร์คัส เธอล้มคุกเข่าลง้มหน้าร้องไห้ที่ต้องมาจากชายคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จักแต่รู้สึกถึงความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้น เสียงสะอึดสะอื้นของเธอนั้นเหมือนใจแทบจะแตกสลายที่เธอนั้นจะไม่ได้เจอหน้าชายคนนั้นอีก
“อย่าร้องไห้ซิ ฉันยังอยู่กับเธอมาตลอดเลยนะ” เสียงของชายในฝันดังขึ้น อยู่ข้างหน้า เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆ
“ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้อย่างเดียวดาย” ชายในฝันพูดเพียงประโยคเดียวที่เธอได้ยิน
“มาร์คัส นั่นใช่เธอใช่มั้ย” ธิดาภาพูดออกมาพลางสลับกับเสียงสะอึกสะอื้นจากการร้องไห้ ชายคนนั้นเพียงแค่ยิ้มให้และพยักหน้า เท่านี้เธอก็ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปกอดทันที
“ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว อย่าทำกับฉันแบบนี้อีกนะ” ธิดาภากอดมาร์คัสไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง มาร์คัสเองก็ลูบหัวเธอเบาๆ
“ฉันจะไม่ไปไหนไหลจากเธออีก ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหนฉันจะพาเธอไปและคุ้มครองเธอให้ได้ ฉันสัญญา” มาร์คัสบอก
“จริงๆนะ”
“แน่นอน หยุดร้องไห้เถอะนะ” มาร์คัสบอกแล้วเธอก็ปล่อยจากอ้อมแขนของมาร์คัสและปาดน้ำตาออก
“หน้าตาเปอะเปื้อนมอนแมมไปหมด ดูไม่น่ารักสมกับเป็นเธอเลยนะ” มาร์คัสยิ้มให้ เธอเองก็ยิ้มออกมาเล็กๆเช่นกัน
“เธอเปลี่ยนไปจริงๆด้วยซินะ” ธิดาภาบอก
“เปลี่ยนไปเหรอ ฉันก็ยังคงเป็นฉัน ไม่มีใครจะมาเหมือนฉันอีกแล้ว” มาร์คัสบอกแล้วก็เอามือตบหัวเธอเบาะๆเบาๆ
“มาร์คัส” ธิดาภามองดูใบหน้าของมาร์คัสที่ยังคงเดิมเสมอ
“เอาเถอะน่า อย่าร้องไห้ซิ ไปกันเถอะ เรากลับกัน นับจากนี้ไปฉันกับเธอจะได้ไปยังโลกกว้างด้วยกัน” มาร์คัสบอกแล้วก็ให้เธอขี่หลังแล้วเดินลงจากภูเขา ทั้งคู่ต่างพูดคุยหยอกล้อกันเล่น

เมื่อกลับลงมายังโบสถ์ ทั้งคู่ก็เห็นพวกสาวๆทั้ง 3 ยืนรออยู่
“หายขึ้นไปไม่นานกลับมาพร้อมกับหนุ่มจากที่ไหนเนี่ย” มาย่าถามเชิงแซว มาร์คัสจึงก้มตัวลงแล้วธิดาภาก้ลงจากหลังของมาร์คัส
“ก็นี่ไง มาร์คัส” ธิดาภาตอบ พวกเธอทั้ง 3 ต่างตกใจและเข้ามาดูใกล้ๆ
“เนี่ยนะเหรอเจ้าลิงน้อย” มาย่าเดินดูรอบๆตัวมาร์คัส
“สูงขึ้นจาก 150 มาเป็นประมาณ 177 ชุดหนานุ่มสีขาวแกมฟ้า ผ้าพันคอสีดีกับเสื้อ หน้าตาหล่อขึ้น เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าใช่เจ้าลิงน้อยนั่น” พิชามนญ์ถาม ธิดาภาเองก็พยักตอบใช่
“หล่อจัง” มาย่าชื่นชอบมาร์คัสขึ้นมาทันที

พวกเขาทั้งหมดต่างก็พูดคุยทำความรู้จักสนิทสนมยิ่งขึ้น ชายผู้ที่ถูกผนึกความทรงจำ เขาสามารถแก้ไขและเรียกความทรงจำกลับคืนมาทั้งหมดได้ การเกิดใหม่ของชายผู้ถูกลงโทษพึ่งเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น พวกเขาต้องเดินทางต่อไปอีก แต่ไม่ว่ายังไงความจริงใจและความเชื่อมั่นในตัวมาร์คัสนั้น ทำให้ธิดาภาไม่กลัวสิ่งใดอีกแล้ว ขอเพียงได้ร่วมเดินทางอยู่เคียงข้างกับมาร์คัสไปตลอด

------------------------------------------จบตอนที่ 29-----------------------------------------------
« Last Edit: October 07, 2005, 01:27:56 AM by RPG_Master » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #24 on: October 08, 2005, 01:05:30 AM »

ไร้อารมย์ ไร้ความมัน ไร้ความรู้สึกใดๆ ไร้ความคิดเห็น ไร้กำลังใจ ไร้ความจริงใจ เฮ้อ เหนื่อยใจจริง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน Start with me my friends.

“ผมตายแล้วจริงเหรอเนี่ย”
“ทำไมกัน”
“พวกเราทุกคน”
“ตั้ม... อิศรา... แพ๊ค... บุ๊ค... ปอน...”
“พวกนายอยู่ไหนกัน”
เสียงของพงวิชที่ดังขึ้นในความมืดมิดที่ไม่สามารถมองอะไรเห็นได้แม้แต่ตัวเอง ซึ่งตัวเขาเองนั้นก็ก็ไม่รู้เลยว่า เขานั้นลืมตาขึ้นอยู่หรือเปล่า ท่ามกลางความมืดมิดที่เขาสับสนและวุ่นวายไม่รู้ว่า ตัวเขาเองนั้นตายไปแล้วรึยัง เขาอยู่ในนรกหรือขึ้นสวรรค์ เขาไม่สามารถรู้ได้ เขานั่งเดียวดายอยู่ในความมืดที่ไร้เพื่อนมิตรของเขา แล้วจู่ๆทันใดนั้นดาบอีฟริตก็เปร่งแสงลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้าของเขา

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าใช่ว่าจะอยู่ตัวคนเดียว ถึงแม้เจ้าจะไกลห่างจากเพื่อนมิตร แต่จิตใจของพวกเจ้ายังคงสื่อถึงกันไม่เคยขาด ความเป็นเพื่อนนั้นถึงจะตัดยังไงมันก็คงจะไม่มีทางตัดขาดได้ ไม่ว่าเจ้าจะตายจากไปไม่มีวันหวนกลับ แต่เจ้าก็ยังคงอยู่กับเพื่อนของเจ้าตลอดไป” เมื่อสิ้นเสียงของอีฟริตไปดาบไฟเล่มนั้นก็ดับมืดมิดลง
“เราต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมองั้นเหรอ เราต้องหัดใช้ชีวิตอยู่คนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่เราก็ยังคงสามารถติดต่อสื่อจิตใจกับเพื่อนๆได้” พงวิชพูดเตือนใจ แล้วก็แสงสีเขียวเปร่งประกายออกมาปรากฎเป็นดาบของเซฟิลอยอยู่ตรงหน้า

“ท่านยังคงมีเพื่อน มีพวกเรา และยังใครอีกหลายๆคนที่ท่านมีอยู่ ท่านไม่อยู่อย่างเดียวดายตัวคนเดียว ท่านเคยลองคิดบ้างมั้ยว่า ตัวท่านมีประโยชน์ต่อเพื่อนบ้างมั้ย ถึงแม้มันจะไม่มาก แต่มันก็ทำให้ท่านเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ถึงท่านจะไม่มีคุณค่าแต่ท่านก็คือเพื่อนของพวกเขานะ ท่านจงสู้ต่อไปเพื่อเพื่อนๆ เพื่อทุกคน ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวท่านเท่านั้น” เสียงเล็กๆใสๆจากปักษาน้อยที่เตือนและบอกกล่าวให้พงวิชได้รู้
“ใช่ พวกเพื่อนๆไม่ได้จากเราไปไหนเลย เรายังคงจดจำพวกเราได้ทั้งหมด ทั้งวันเวลาเก่า พวกเขายังคงอยู่กับเรา ทำไมเราถึงคิดไม่ออกเสียสักทีว่าทำไม” พงวิชเอามือกุมหัวตัวเอง แล้วก็มีแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นตรงหน้าของเขา ปรากฎเป็นเงาลางสาวงามผู้หนึ่งยื่นมือมารับ พงวิชก็เงยหน้าขึ้นแล้วก็จับมือ แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินตามสาวงามผู้นั้นเข้าไปในแสงสีขาว แล้วเขาก็เข้ามาอยู่สถานที่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่สีขาว แล้วเขาก็ค่อยๆพบว่าเขานั้นยืนอยู่ในทุ่งดอกไม้ที่กว้างไกลมองไปสุดสายตา

“ที่นี่ที่ไหนกัน” พงวิชพูดออกมาด้วยความงสงสัยแล้วก็หันมองไปรอบๆ
“ที่นี่คือทุ่งดอกไม้ ตอนนี้ฉันเองคิดว่าท่านคงยังไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากหรอก” เสียงหวานๆอันสดใสของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนหันหลังชนหลังกับเขาอยู่จนเขารู้สัมผัสได้ว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น
“เธอเป็นใครกัน” พงวิชถามหญิงสาวผู้นั้น
“ฉันชื่อ แอริส เป็นน้องสาวของมาร์คัส สักวันหนึ่งท่านอาจจะต้องได้เจอกับพี่ของฉัน” แอริสตอบ
“แล้วข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน” พงวิชถาม แอริสก็หัวเราะเล็กๆด้วยความร่าเริงของเธอ
“ลองถามตัวท่านเองซิ คำตอบทุกอย่างมันอยู่กับท่านตลอด” แอริสบอก แล้วพงวิชก็รู้สึกถึงภาพบางทุกอย่างที่เขากับพวกเพื่อนตกจากเครื่องบิน
“นี่ฉัน ต..ตายไปแล้วเหรอเนี่ย” พงวิชแทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่เขาคิด
“ถึงแม้ท่านจะยังไม่สามารถรับมันได้ แต่ฉันก็ช่วยได้แค่นี้ ไปเถอะ โปรดไปตามหาเพื่อนๆของท่านเถอะ ท่านยังไม่ตายหรอก” เมื่อสิ้นเสียงแอริส พงวิชก็หันมาหาเธอแต่ก็ไม่เห็นเธอแล้ว
“มาเร็วเถอะ ท่านพงวิช” เซฟิเรียก
“พวกเราจะเดินทางไปกับท่านทุกที่” อีฟริตบอก พงวิชจึงหันกลับมาก็เห็น 2 คนนั้นยืนรออยู่ พงวิชก็หันมาพยักหน้าแล้วก็วิ่งไปหาอีฟริตและเซฟิทันที
“จงไปให้ถึงจุดหมายเถอะ” แอริสพูดทิ้งท้ายไว้และยืนโบกมือลา ก่อนที่พงวิชและเพื่อนตัวน้อยใหญ่ของเขาอีก 2 ตนจะตามหายไปในสายหมอกในทุ่งดอกไม้
 
เมื่อเขาวิ่งผ่านหมอกในทุ่งดอกไม้มาได้ พงวิชแทบจะไม่เชื่อสายตาเขาเห็นพวกเพื่อนของเขากำลังยืนรอเขาอยู่
“นั่นไง พงวิชมาแล้ว” ตั้มบอกและด้วยความดีใจจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“จริงด้วย” บุ๊คหันมามองเมื่อเห็นพงวิชก็วิ่งตามตั้มเข้ามาหา พวกเพื่อนๆคนอื่นต่างก็วิ่งเข้ามาหากัน พงวิชเองด้วยความตื้นตันใจกลัวว่าจะไม่ได้เพื่อนของพวกเขาอีก พงวิชก็วิ่งเข้ามากอดพวกเพื่อนทันที
“พวกนายหายไปอยู่ที่ไหนกัน” พงวิชถาม
“หลังจากที่ตกเครื่องบินมา พอพวกเราตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แต่ทุกคนก็ไม่เห็นนายเลยตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา” ตั้มบอก
“ฉันเองก็เดินตามหาพวกนายเหมือนกัน แต่เมื่อเจอกันแล้วก็อย่าคิดไปเลย พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ” พงวิชบอก
“ข้างหน้าเป็นเทือกเขาเวเอล่า ถ้าข้ามเทือกเขานี้ไปได้ก็จะถึงเมืองเวเอล่า และอีกไม่นานก็จะถึงหมู่บ้านของเรา” อิศราบอก แล้วทุกคนก็หันมามองกัน ทุกคนต่างยิ้มอย่างที่คิดไว้ในใจว่าพวกเขาจะทำอะไรกันต่อ แล้วพวกเขาก็พยักหน้าก่อนที่จะร้อง เฮ้ ดังๆออกมา
“ไปกันเถอะ” พงวิชรีบวิ่งนำหน้าไปทันที

“ขอบคุณมากนะ แอริส ที่เธอช่วยให้ฉันรู้อะไรหลายๆอย่างจากตัวฉันได้เอง มันทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจที่จะยืนหยักสู้ต่อไปเพื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในตอนนี้ฉันมีเพื่อนของฉันแล้ว ฉันคงจะใช้ช่วงเวลาเท่าที่มีอยู่กับเพื่อนให้มีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอบใจเธอมากที่ให้โอกาสฉันได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในครั้งนี้” พงวิชขอบใจแอริสแม้มันจะเป็นเพียงคำพูดในใจ

พวกเขาทั้งหมดก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนอย่างสนุกสนานอย่างที่พวกเขาต้องการกัน พลังที่พวกเขารวมกันเป็นปึกแผ่นนั้นในตอนนี้ก็แทบจะไม่มีอะไรจะมาทำลายมิตรภาพความเป็นเพื่อนของพวกเขาลงได้ แม้ความตายก็ตาม พวกเขาจะยังคงสู้เคียงข้างกันเสมอ และก็ยังคงจะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆไปอีกนาน

บนยอดเขาเฟสเดอริกบนเทือกเขาเวเอล่า นันได้ขึ้นมาถึงและตรงข้างหน้าของเขาคือวิหารเทพการูด้า
“ในที่สุดข้าก็มาถึง ที่นี้แหละ” นันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างซะใจ แล้วก็สาวคนหนึ่งเดินออกมาจากวิหาร
“ขอประทานโทษด้วย ฉันไม่สามารถให้ท่านผ่านเข้าไปข้างในได้” สาวหุ่นเซ๊กซี่คนนั้นชักดาบออกมา
“คนที่ตามฉันไปที่เมืองแรฟอสก็คือเธอเองซินะ เธอทำงานให้กับใครละ หรือว่าเธอถูกจ้างให้มาฆ่าฉันงั้นเหรอ คนธรรมดาอย่างเธอจะมาฆ่าข้า มันช่างน่าขำซะเสียจริง” นันพูดเยาะเย้ย แล้วสาวคนนั้นจึงโกรธแล้ววิ่งเข้ามา แต่แล้วก็มีมังกรยักษืลงมาขวางกั้นไว้
“เล่นสนุกกับไซเคสไปก่อนแล้วกัน” นันบอก แล้วไซเคสก็ใช้อุ้มมือขนาดใหญ่ฟาดใส่ถึงเธอจะใช้ดาบรับไว้ได้แต่ด้วยแรงอันทรงพลัง ทำให้เธอนั้นกระเด็นไปชนเสาต้นหนึ่ง แล้วมันก็ใช้เท้าขนาดใหญ่เหยียบทับเธอไว้โดยให้หัวของเธอนั้นโผล่ออกมาตรงล่องระหว่างนิ้วเท้าของมัน แล้วนันก็เดินเข้ามาหา

“ไง แค่นี้ก็จบเสียแล้วหรือ แม่สาวยอดนักฆ่า” นันบอกแล้วก็หยิบผ้าชิ้นหนึ่งออกมามัดปากของเธอแล้วเขาก็จูบเธอ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินเข้าไปในวิหาร
“จับแม่สาวนั่นตึงกางเขนไว้หน้าลานวิหารนี้ล่อให้พวกการูด้าตัวไหนก็ได้ที่มันต้องการก็ให้มันมาจับเอาไป” นันบอกแล้วไซเคสก็กลับกลายร่างมาเป็นชายหนุ่มที่สง่างามใส่ชุดสีเขียวทั้งหมด แล้วเขาก็มัดแขนมัดขาเธอไว้ก่อนที่จะจับเธอไปตึงกับกางเขนหน้าวิหาร เธอพยายามจะดิ้นรนหาทางรอดแต่มันก็ไม่มีทางเสียแล้ว เสร็จไซเคสก็ตามนันเข้าไปในวิหารปล่อยทิ้งเธอไว้ข้างนอก
ทันทีที่ไซเคสเดินเข้าไปในวิหารก็มีการูด้าตัวหนึ่งบินโผล่ออกมาทันที มันจ้องมองดูเธออยู่พักหนึ่งแล้วก็กรีดเสียงร้อง แล้วไม่นานนักก็มีการูด้าอีกกลุ่มหนึ่งบินโผล่ขึ้นมา เธอรู้ตัวดีว่าต้องถูกพวกมันจับกินหรืออาจจะทำอย่างอื่น เธอก็ยิ่งดิ้นรนให้เชือกมัดนั้นหลุดออกให้ได้ แต่เมื่อยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่เธอก็เริ่มรู้สึกหมดแรงและเชือกเหมือนว่าจะหนักและมัดแน่นขึ้น การูด้าพวกนั้นก็บินลงมาที่ลานกว้างยืนล้อมกางเขนนี้ไว้ แล้วพวกมันก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ

-----------------------------------------จบตอนที่ 30-------------------------------------------------------
« Last Edit: October 08, 2005, 01:09:39 AM by RPG_Master » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #25 on: October 09, 2005, 06:22:06 AM »

เห็นใจคนอ่าน แต่คนแต่งก็เริ่มจะจนปัญญาที่จะแต่งต่อแล้วนะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน อัญเชิญเทพการูด้า

ในสถานการณ์อันเลวร้ายของสาวคนนั้น ทันใดนั้นก็มีทวนดำขนาดใหญ่พุ่งทะลุการูด้าในทางที่ทวนนั้นผ่านไปปักอยู่ที่ปลายยอดของกางเขนเหนือศีรษะของเธอเพียงนิดเดียว การูด้าพวกนั้นจึงหันไปทางที่ทวนนี้พุ่งมา แต่ก็มีไม่สิ่งใด สาวคนนั้นก็ไม่เห็นเช่นกันนอกจากมีทวนพุ่งมาจากที่ๆไกลมากจนไม่เห็นผู้ที่ใช้ทวนแท่งนี้ แล้วก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะของเธอ เธอรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในแท่นกางเขน เธอพยายามจะเงยหน้ามองขึ้นไป แสงแดดที่สาดส่องเข้ากระทบสายตาเธอ ทำให้เธอเห็นเพียงเงาดำๆของชายคนหนึ่งยืนอยู่บนปลายกางเขนยักษ์นี้ แล้วพวกการูด้าก็หันไปมองบนยอดกางเขนนั่น

“รูปปั้นเทพการูด้าอันสูงสง่า ข้าจะปลุกเจ้าจากรูปปั้นนี้เอง” นันเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นเทพการูด้าที่สูงประมาณ 2 เมตรกว่าๆ
“แต่ถ้าไม่สำเร็จ เราอาจจะถูกทำร้ายแทนได้นะครับ” ไซเคสเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ข้ายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถ้ามันไม่ยอมรับใช้ข้า มันก็ตายแน่นอน” นันยืนหัวเราะอยู่สักพัก
“แต่ข้าเองก็คิดว่า หากข้าควบคุมเทพการูด้าได้ ข้าก็จะมีกองทัพการูด้าจากทั่วโลกอยู่ใต้กำมือของข้า พอถึงเวลานั้นข้าจะควบคุมเหล่าเทพต่างๆที่ถูกสะกดแบบนี้ แล้วข้าก็จะได้ครองโลก” นันเดินเข้าไปดึงผลึกสีเขียวกลางหน้าอกของรูปปั้นเทพการูด้าแล้วเขาก็กำผลึกไว้แน่น ผลึกนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วเขาก็เอาใส่กลับไปเดิม

ทันทีที่ใส่กลับเข้าไปก็เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ นันก็เริ่มหัวเราะออกมาทันที
“ออกมาเลย เทพการูด้า เจ้านายเจ้ายืนอยู่ข้างหน้าเจ้าแล้ว” นันตะโกนบอกด้วยความดีใจ แล้ววิหารที่เก่าแก่ก็กลับกลายเป็นวิหารที่ดูใหม่ทุกอย่าง รูปปั้นเทพการูด้ากลับกลายมามีชีวิตอีกครั้ง เทพการูด้าจึงขยับตัวสักพักแล้วก็กรีดร้องคำรามไปทั่ว แล้วมันก็จ้องสายตาของมันมาที่นัน
“ข้านี่ไง เจ้านายเจ้า ข้าปลุกเจ้าขึ้นมา ก้มหัวให้ข้าซะ” นันบอก แล้วเทพการูด้าก็เปร่งแววตาอันดุดันจ้องมองมาที่นันแล้วมันก็ใช้หอกคู่กายฟาดใส่นันทันที แล้วมันก็ควักผลึกสีดำกลางหน้าอกออกแล้วก็เขวี้ยงทิ้งใส่พื้นและเหยียบซ้ำจนผลึกนั้นแตกละเอียด นันจึงรีบลุก
“ไซเคส จัดการมัน” นันสั่ง แล้วไซเคสก็ใช้มือทั้งสองข้างสร้างพลังลมยิงใส่ แต่เทพการูด้าก็ปัดทิ้งได้หมดแล้วก็ใช้หอกดันไซเคสบินออกมาเรื่อยๆจนออกมาจากวิหาร ทั้งคู่ลอยอยู่เหนือวิหาร ไซเคสก็แปลงร่างเป็นมังกรยักษ์ทันที
“เกิดอะไรขึ้น” สาวน้อยนักฆ่าพยายามจะหันไปมองแต่ตัวเองนั้นก็ไม่สามารถขยับได้ แล้วชายที่ยืนอยู่บนกางเขนก็ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เหล่าการูด้าพวกนั้นเมื่อเห็นเทพการูด้าพวกมันก็ก้มตัวลงทันทีเหมือนแสดงความเคารพ

ไซเคสใช้กงเล็บขนาดใหญ่ฟาดใส่เทพการูด้า แต่เทพการูด้าก็ใช้หอกต้านรับไว้ ด้วยขนาดของไซเคสที่ใหญ่กว่ามาก เทพการูด้าเริ่มต้านพลังไม่ไหวจึงปัดออกแล้วก็บินวนอยู่รอบๆตัวไซเคสอย่างรวดเร็วจนไซเคสมองตามไม่ทันแล้วเทพการูด้าก็ใช้หอกพุ่งแทงใส่ทันที เทพการูด้าทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ จนไซเคสเริ่มจับทางได้เขาจึงกางกงเล็บออกทั้ง 2 ข้างแล้วก็หมุนตัวเกิดพายุล้อมรอบตัวเขาไว้ เทพการูด้าที่พลั้งตัวเข้าไปในพายุถูกกงเล็บของไซเคสโจมตีอย่างหนักจนเทพการูด้ากระเด็นหลุดออกมา พอเทพการูด้าตั้งหลักได้ก็หมุนควงหอกทันทีจนเป็นรูปวงกลม ไซเคสจึงพุ่งเข้าโจมตีใส่ทันที แล้วเทพการูด้าก็พุ่งสวนมาด้วยความเร็วสูงผ่านกงเล็บของไซเคสมาถึงอกได้อย่างน่ากลัวแล้วเทพการูด้าก็ใช้หอกนี้โจมตีใส่ไซเคส พลังลมและไฟที่ได้จากการหมุนควงอย่างรวดเร็วนั้น โจมตีอัดใส่ไซเคสจนตัวเขากระเด็นตัวลุกเป็นไฟตกลงสู่เชิงเขา ด้วยความสูงราวๆ 3 กิโลเมตรเหนือน้ำทะเล แล้วเทพการูด้าก็กรีดร้องที่เป็นฝ่ายชนะ แล้วก็บินมาอยู่บนหลังคาวิหารของตน
“เหล่าพี่น้องของข้า ในวันนี้ข้าหลุดจากคำสาปแล้ว นับจากวันนี้ข้าจะสร้างอาณาจักรของข้าขึ้นมาใหม่” เมื่อสิ้นเสียงของเทพการูด้าเหล่าการูด้าบริเวณนั้นต่างก็เฮดีใจ แล้วชายที่ยืนบนกางเขนก็ดึงทวนออกแล้วก็หันหน้ามาหาเทพการูด้า ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากัน

“เจ้ามนุษย์นี่เป็นใครกัน” เทพการูด้าถาม
“นามแฝงของข้า ชายชุดดำ วันนี้ข้าจะมาดับตำนานเทพอย่างเจ้า” ชายชุดดำเอาทวนชี้หน้าเทพการูด้า ด้วยความโมโหของเทพการูด้า เขาพุ่งเข้าใช้หอกโจมตีใส่ แต่ชายชุดดำก็ใช้ทวนแทงสวนโดนปลายปีกของเทพการูด้า และเขาก็รับหอกของเทพการูด้าไว้ได้
“ฆ่ามัน” เทพการูด้าสั่งเหล่าการูด้าในบริเวณบินล้อมเข้าโจมตีใส่ชายชชุดดำ ชายชุดดำจึงร่ายมนต์เรียกดาบมรณะออกมาโจมตีใส่การูด้าพวกนั้น และป้องกันตัวเองจากการูด้าอื่นที่ฉวยโอกาส ไม่นานนักเหล่าบรรดาการูด้าเหล่านั้นก็ตายกันหมด เหลือเพียงเทพการูด้าที่บินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ตายซะเถอะ” เทพการูด้าโยนหอกขึ้นเหนือหัว แล้วปลายหอกก็เล็งตรงมาที่ชายชุดดำ
“จิตวิญญาณแห่งการูด้า พลังแค้นสังหาร Soul Spear” ทันทีที่ท่องคาถาออกมาก็มีดวงไฟวิญญาณของการูด้าลอยออกมา และมารวมกันอยู่ที่ปลายหอก แล้วเทพการูด้าก็พุ่งหอกโจมตีชายชุดดำ แต่ชายชุดดำกลับยืนกางแขนไม่ป้องกันใดๆ เมื่อหอกนั้นแทงเข้าทะลุร่างของเขาอย่างแรง เขาก็ดึงหอกนี้ออกแล้วพลังวิญญาณของการูด้าก็เหมือนถูกดูดเข้าไปในตัวของเขา
“เจ้ามันโง่จริงๆ มีเทพโง่เช่นนี้วันนี้ก็อย่าหวังมีชีวิตรอดต่อเลย” ชายชุดดำพุ่งหอกของเทพการูด้าขึ้นไป เมื่อเทพการูด้าจับหอกแล้วเขาก็ตกใจทันทีที่เห็นชายชุดดำพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ทั้งคู่ใช้อาวุธปะกัน
“เจ้ามนุษย์ เจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เจ้าเป็นใครกันแน่” เทพการูด้าสงสัย แล้วก็ผลักชายชุดดำออก แล้วเขาก็ยิ่งตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นชายชุดดำนั้นลอยอยู่บนท้องฟ้าได้

แล้วก็มีปีกมารงอกออกมาจากหลังของชายชุดดำ 8 ปีก แล้วชายชุดดำก็หัวเราะออกมาเหมือนกับว่าเขาไม่จริงใจกับการต่อสู้นี้
“หัวเราะอะไร แกมันก็แค่ไอ้ปีศาจตนหนึ่งเท่านั้น กลับหลุมไปได้แล้ว” เทพการูด้าพูดด้วยน้ำเสียงเกี๊ยวโกรธ
“ความตายหลังจากนี้ เตรียมรับไว้ดีๆ ข้าเองตายมาตั้งนานแล้ว” ชายชุดดำยืนยิ้ม แล้วเทพการูด้าก็พุ่งเข้าใช้หอกแทงใส่ตรงๆ แต่กลับตัวของเทพการูด้านั้นทะลุผ่านร่างของชายชุดำไป
“ความเร็วในระดับข้า หามีใครเท่าแล้ว แม้แต่เจ้าก็ยังหลบไม่ทัน” เทพการูด้ายิ้มและหัวเราะพลางๆ
“!!! DOOM !!!” ชายชุดดำพูดคำสั้นเพียงคำเดียว เทพการูด้าถึงกลับสะดุ้งตกใจทันที
“เจ้าไม่ได้คิดจะหลบข้าเหรอเนี่ย” เทพการูด้ามองไปรอบๆทุกอย่างก็เริ่มมืดลง มืดลง จนมืดสนิท แล้วก็มียมทูตจำนวนมากเดินเข้ามารอบทิศทางจับแขนจับขาเทพการูด้าไว้ แล้วชายชุดดำก็โผล่ออกมาตรงหน้าแล้วยกดาบขึ้น แล้วก็ฟันลงใส่เทพการูด้าจนขาดเป็น 2 ท่อน

เมื่อจบสิ้นเหตุการณ์ทั้งหมดร่างของเทพการูด้าก็ค่อยสลายหายไป ชายชุดดำก็กลับสู่ร่างเดิมและลงเดินตัดเชือกที่มัดสาวน้อยนักฆ่า
“เมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอ” สาวน้อยคนนั้นถาม แต่ชายชุดดำก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเดินหนีทันที
“เดี๋ยวซิ จะไปไหนอ่ะ ฉันไปด้วยคนจะได้มั้ย” สาวน้อยคนนั้นถาม แต่ชายชุดดำก็ยังคงเดินต่อไป เธอจึงวิ่งตามไปแต่พอมาถึงทางลงจากยอดเขานี้ เธอก็ไม่เห็นชายชุดดำแล้ว
“ไปไหนของเขา เร็วจริงๆ” สาวน้อยคนนั้นบ่นพึมพำแล้วเธอก็เดินลงจากยอดเขานี้ไปตามทางเพื่อเข้ามาเวเอล่า

-------------------------------------------------จบตอนที่ 31--------------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #26 on: October 13, 2005, 05:05:10 AM »

ตอน ปราสาทแวมไพร์

         หลังจากที่มาร์คัสออกเดินทางต่อจากมหานครเบรุสมุ่งหน้าตามหาพลังของตนที่ถูกนำไปซ่อนอีก 6 แห่ง โดยเขาเริ่มต้นจากการมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกข้ามเทือกเขาไทคอปมา
         แล้วเมื่อตกเย็นพวกเขาต่างก็พักผ่อนกันที่ถ้ำในซอกภูเขา
“คืนนี้เราพักกันที่นี่ก่อนแล้วกัน” มาร์คัสบอกแล้วก็ลุกขึ้น
“เธอจะไปไหน” ธิดาภาถาม
“ฉันจะเฝ้าอันตรายให้พวกเธอเอง นอนหลับให้สบายก็แล้วกัน” มาร์คัสหันมายิ้มให้แล้วก็เดินออกจากถ้ำไป
“เจ้าลิงน้อยนี่ ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะ” อรนิชาบอก
“เขาไม่ใช่ลิงน้อยซะหน่อยนี่” ธิดาภาบอกแล้วเธอก็หยิบหนังสือออกมาอ่าน
“จะว่าไปมีเขาอยู่ พวกเราก็อุ่นใจขึ้นนะ ไม่ต้องมาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้ากัน” พิชามนญ์บอก
“นอนเถอะ ง่วงแล้ว” มาย่าบอกแล้วก็นอนทันที

ที่ข้างนอกถ้ำ อากาศที่หนาว ลมที่พัดไปมาอยู่เรื่อยๆไม่สงบ มาร์คัสเองก็นั่งเฝ้าอยู่บนปากทางเข้าถ้ำ
“พลังของเราในตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ หากเราเจอพวกเทพสวรรค์บางองค์เราอาจจะสู้ไม่ได้ สงสัยตอนนี้เราคงต้องไปยืมมือจากเพื่อนเก่าซะหน่อย” มาร์คัสพูดๆไปพลางๆและแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูดาวที่เต็มท้องฟ้าไปหมด
“วันนี้เราก็ยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลยนี่ ต้องใช้พลังซะหน่อย เดี๋ยวเครื่องจะฝืดซะก่อน” มาร์คัสร่ายเวทย์มนต์จุดประกายไฟขึ้นมาที่ปลายนิ้วของเขา แล้วเขาก็เขียนเป็นภาษาโบราณบนอากาศ เมื่อเขียนจนจบบททั้งหมดเขาก็เปล่าไฟที่ปลายนิ้ว
“มากิส ทาริเรรัส อูทอมิน เวลดารอน อลิเซีย” เขาท่องคาถาโบราณตามที่เขียนไว้ แล้วภาษาโบราณที่เขียนไว้ก็ค่อยๆมารวมตัวกันเป็นลูกไฟเปร่งแสงสว่างขึ้นที่ตรงหน้า

“ไง อลิเซีย เธอคงจะยังจำฉันได้นะ” มาร์คัสพูดทักทาย จากคาถาที่เขาร่ายนั้นทำให้เสียงที่เขาพูดนั้นดังไปจนถึงคนที่เขาต้องการจะพูดด้วย
“เธอนั่นเอง ใช่ฉันจำเธอได้” อลิเซียบอก
“คืนนี้ท้องฟ้าสวยดีนะดาวเต็มไปหมด ไม่คิดที่จะออกมานั่งดูดาวด้วยกันหน่อยเหรอ” มาร์คัสถาม
“มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก ตัวเธอเองก็เป็นเทพต้องห้ามที่หากเทพคนใดเข้าช่วยเหลือ เทพองค์นั้นจะต้องถูกเทพสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ลงโทษด้วยเช่นกัน ฉันคงไม่อยากจะโดนแบบนั้นหรอก และอีกสักพักฉันก็คงต้องเข้าเฝ้าท่านเทพเจ้าโอดินแล้วละ” อลิเซียตอบ
“เทพแห่งการลงทัณฑ์ ทำไมมีแต่คนเกรงกลัวมันกันนัก ข้าเองมิใช่รึที่มีพลังเหนือกว่าเทพใดๆ” มาร์คัสบอก
“นั่นมันเมื่อก่อน และไม่ใช่เทพการลงทัณฑ์หรือ ที่ทำให้ท่านต้องเป็นแบบนี้” อลิเซียบอก
“ที่ข้ายอมมันเพราะข้าเห็นแก่พระเจ้า ข้าทำผิด ข้าเองยอมรับผิดต่างหาก” มาร์คัสพูดด้วยน้ำเสียงหนักที่กระทั้นกระแทก แล้วอลิเซียก็เงียบไปสักพัก
“ข้าขอโทษด้วยที่ขึ้นเสียงใส่เจ้า ตอนนี้ข้ามันก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีพลังวิเศษอะไรที่จะทำให้เทพเหล่านั้นกลับมาเกรงกลัวข้าอีกแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดน้ำเสียงที่ดูเศร้าๆ
“ท่านเองยังมีความสามารถพิเศษในตัวท่านที่ทำให้ข้านั้นยังหลงใหลในตัวท่าน ถ้าท่านใช้ความสามารถนั้นออกมาได้มันจะช่วยท่านได้มาก และตอนนี้ข้าช่วยท่านได้เพียงแค่ ให้ท่านลองไปหาเพื่อนเก่าๆของท่านที่ไม่ใช่เทพองค์ใดๆซิ พวกเขาจะไม่เดือดร้อนจากเทพลงทัณฑ์และคงจะช่วยท่านได้” อลิเซียพูดเสร็จ ดวงไฟที่อยู่ตรงหน้าของมาร์คัสก็ดับหายไปทันที
“เราผิดเอง เรามันโง่ตั้งแต่เหตุการณ์ตอนนั้นแล้ว” มาร์คัสพูดอย่างเจ็บใจตัวเองแล้วเขาก็นอนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทุกอย่างเงียบไปหมด ลมเริ่มสงบ เขารู้สึกสบายเอามากๆ เขาหลับอย่างสบายอยู่ได้สัก 10 นาทีก็มีเสียงฝีเท้าเดินย่องอย่างเบาๆ เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้นไปดูก็เห็นแวมไพร์ตัวหนึ่งบินออกจากถ้ำที่พวกสาวๆนั้นพักอยู่ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปดูทัน เมื่อเข้ามาก็ไม่พบธิดาภาแล้ว เขาจึงรีบวิ่งออกจากถ้ำตามแวมไพร์ตัวนั้นไปทันที
“ไม่น่าเผลอหลับเลย” มาร์คัสวิ่งตามไปอย่างเร็ว จนเข้ามาในป่าแห่งหนึ่ง และเขาก็วิ่งไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจเหล่าบรรดาปีศาจมากมายที่อยู่ในป่าแห่งนี้ จนเขาวิ่งโผล่พ้นออกจากป่ามาก็พบกับปราสาทขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้าของเขาและเห็นแวมไพร์ตัวนั้นบินเข้าไปในปราสาท เขาหยุดมองหาทางเข้าสักพัก แล้วเขาก็พังรั้วเข้าไปแทนด้วยความเร่งรีบ

เมื่อเข้าเปิดประตูใหญ่เข้าไปได้ ก็เห็นภายในปราสาทนั้นหรูหรามากใหม่เอี่ยมสะอาด เขาเดินตรงเข้าไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด แล้วก็มีพ่อบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาขวาง
“ไม่ทราบ ต้องการให้ช่วยอะไรมั้ยครับ” พ่อบ้านคนนั้นถาม
“มีแวมไพร์เข้ามาในปราสาท มันอยู่ที่ไหน” มาร์คัสตอบและถามกลับ
“กระผมมิทราบครับ ที่นี่อยู่สงบมาตลอด ถ้าไม่รังเกียจโปรดมาร่วมดื่มน้ำชาก่อนก็ได้นะครับ” พ่อบ้านคนนั้นตอบแล้วก็เดินตรงไปยังห้องข้างๆ
“มันอยู่ที่ไหน” มาร์คัสพูดด้วยน้ำเสียงอันโกรธแล้วหมัดทั้งสองข้างของเขาก็มีประกายสายฟ้าเปร่งออกมา พ่อบ้านคนนั้นจึงหยุด
“ปราสาทแห่งนี้ไม่ต้องความรุนแรงโปรดออกไปเถอะครับ ไม่งั้น พวกเราต้องใช้มาตรการสุดท้าย” พ่อบ้านคนนั้นบอก
“อยากตายก็เข้ามาเลยไอ้พวกผีบ้า” มาร์คัสบอกแล้วก็พุ่งเข้าใช้หมัดขวาอัดใส่พ่อบ้านจนกระเด็นไปติดผนัง แล้วภายในปราสาททั้งที่เคยดูหรูหราก็กลับกลายเป็นเพียงภาพมายาโดยที่แท้จริงแล้วปราสาทนี้ทั้งหลังนั้นผุพังและรกร้าง แล้วก็มีพวกแวมไพร์จำนวนมากโผล่ออกมาจากหน้าต่างและประตูพุ่งเข้าโจมตีใส่มาร์คัส แต่เขาก็ต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวแล้วอัดโจมตีใส่ จัดการตัวแล้วตัวเล่า ไม่นานนักแวมไพร์เหล่านั้นก็ตายจนหมดสิ้น

“เก่งมาก” พ่อบ้านคนนั้นลุกขึ้นปรบมือให้ แล้วร่างของเขาก็กลายเป็นปีศาจมีปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง กงเล็บที่แหลมคม
“พูดกันดีๆไม่ชอบก็ตายซะเถอะ” มาร์คัสบอกแล้วเขาก็ใช้มือขวาจับข้อมือซ้าย ส่งพลังจากมือขวาเข้ารวมสู่มือซ้ายทั้งหมดจนพลังนั้นมากล้นออกเป็นประกายสะเก็ดสายฟ้าฟาดไปมารอบๆตัวของเขา
“กงเล็บแห่งความตาย Death Claw” เสียงทุ้มอันแหบแห้งของแวมไพร์ตัวนั้นตะโกนออกมาพร้อมกับบินพุ่งชูกงเล็บทั้งสองข้างเตรียมฟาดใส่มาร์คัส ทันใดนั้นมาร์คัสก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาของเขาที่น่ากลัวจนแวมไพร์ตัวนั้นเห็นยังชะงักอยู่ชั่วขณะ

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” เขาพุ่งเข้าหาแวมไพร์ตัวนั้นด้วยความเร็วแล้วใช้หมัดซ้ายอัดพลังสายฟ้าฟาดใส่แวมไพร์ตัวนั้นเต็มๆ แต่เขาเองก็โดนกงเล็บของแวมไพร์นั้นเชี่ยวใส่หัวไหล่ซ้ายของเขา แวมไพร์ตัวนั้นตายสนิทร่างของมันค่อยๆสลายหายไป มาร์คัสก็แทบเซทันทีเพราะใช้แรงไปมากและเขาก็เอามือขวากุมไหล่ซ้ายไว้ เขามองดูแผลของตนที่เป็นรอยไหม้สีดำที่หัวไหล่
“อ๊ากกกกกกกกกกก” เขาควักกงเล็บของแวมไพร์ตัวนั้นที่ฝังอยู่ที่หัวไหล่ออกพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเขาก็ลุกขึ้นวิ่งต่อเข้าไปข้างใน

เมื่อเขาขึ้นมาถึงชั้นบนก็พบกับประตูใหญ่บานหนึ่ง เขาเริ่มเหนื่อยและล้า เขาจึงยืนพิงผนังพักสักแปป และเขาก็ได้ยินเสียงจากภายในห้อง
“ข้าไม่ได้ดื่มเลือดสาวๆแบบนี้มานานแล้ว อ่า” เสียงของชายคนหนึ่งพูด แล้วก็มีเสียงของสาวคนหนึ่งที่พยายามจะพูดแต่เหมือนมีบางอย่างมัดปิดปากเธอไว้ มาร์คัสจึงรีบเปิดประเข้าไปทันที
“หยุดนะ ไอ้ปีศาจ” เมื่อเขาเข้ามาก็เห็นแวมไพร์ตัวหนึ่งรูปร่างสง่าราวกับเจ้าชายกำลังดูดเลือดสาวคนหนึ่ง เขาแทบจะหมดแรงเมื่อรู้ว่ามาไม่ทัน ขาของเขาเริ่มรู้สึกหมดแรงจนยืนไม่ค่อยจะอยู่
“อ้า สดชื่นดีจัง” แวมไพร์ตัวนั้นอิ่มจากการดูดเลือดจากสาวคนนั้น
“เจ้าเป็นใครกัน” แวมไพร์ตัวนั้นหันมาถาม เมื่อมาร์คัสเห็นร่างของสาวคนนั้นแล้วไม่ใช่ธิดาภา เขาก็ตะลึงอยู่ชั่วขณะ
“อ๋อ ไม่ซิ เราต้องมีมารยาทต่อแขก ข้ามีนามว่า เชส แล้วท่านละ” เชสถาม
“แกเอาเพื่อนของฉันไปไว้ที่ไหน” มาร์คัสกลับฮึกเฮิมมีแรงขึ้นมาทันทีและเขาก็ลุกขึ้นยืน
“แม่สาวน้อยคนนั้นแหละ ข้าเก็บไว้กินมื้ออื่นหน่าอย่าใส่ใจ ถ้าอยากจะเห็นหน้าเพื่อนเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้นะ” เชสเดินเข้าไปยังกลางห้องและเปิดผ้าคลุมออกมาปรากฏร่างของธิดาภาที่สลบอยู่และถูกมัดไว้บนแท่นบูชา
“ปล่อยเธอซะ ไม่งั้นแกจะเป็นแบบลูกน้องของแกที่อยู่ข้างล่าง” มาร์คัสบอกแล้วก็ปลดปล่อยพลังสายฟ้าออกมายังหมัดทั้งสองข้าง
“เหรอ งั้นเจ้าตอบก่อนซิว่าชื่ออะไรช่างเสียมารยาทซะจริง ข้าจะได้สลักชื่อบนหลุมให้เจ้าได้ถูก” เชสถาม
“ข้า มาร์คัส หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้า ผู้ที่จะกำหนดชะตาชีวิตพวกเจ้า และวันนี้ข้ากำหนดชะตาชีวิตให้เจ้าแล้ว” มาร์คัสตอบ เมื่อเชสได้ยินก็เริ่มจะลังเล แต่เมื่อเห็นแผลที่หัวไหล่ของมาร์คัส เขาก็เริ่มยิ้มออก
“งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า โจมตีคนละครั้งให้มันรู้ผลไปเลย” เชสชูมือขวาขึ้นแล้วก็มีดาบลอยลงมาจากเพดาน มาร์คัสก็เริ่มใช้มือขวากำข้อมือซ้ายไว้แน่น ก้มหน้าลงพลังสายฟ้าที่เต็มเปี่ยมล้นทะลักออกจากหมัดของเขาเป็นสายฟ้าฟาดไปมาใส่ของภายในห้อง
“ได้ เรื่องมันจะได้จบเร็วดี ข้าจะใช้พลังที่เหลืออยู่ในตอนนี้จัดการกับเจ้า” มาร์คัสเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแววตาที่ดุดัน

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัด...” มาร์คัสยังร่ายคาถาไม่ทันเสร็จ เชสก็พุ่งเข้ามาอย่างเร็วจนจับทิศไม่ได้แล้วก็ใช้ดาบนั้นแทงทะลุอกซ้ายของมาร์คัส พลังสายฟ้าทั้งหมดของมาร์คัสนั้นสลายหายไปทันที
“นี่หนะเหรอ หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้า ฮ่าๆๆๆๆๆ” เชสหัวเราะอย่างซะใจ แล้วมาร์คัสก็หัวเราะขึ้นตาม
“ที่นี้ตาข้าบ้างละนะ” เขาใช้มือซ้ายจับคอของเชสไว้ และชูแขนขวาขึ้น
“Holy” มาร์คัสหลับตาลงแล้วก็เลื่อนมือช้าๆไปทางขวา
“Blessing” เขาก็เลื่อนมือจากขวาไปทางซ้ายผ่านหน้าอันหวาดกลัวของเชสไป
“Exocimus” เขาแบมือกลางออกกดลงไปที่กลางหน้าผากของเชส
“แสงสว่างแห่งสวรรค์ พรอันศักดิ์สิทธิ์ จงกำจัดผีร้ายตรงหน้าข้าให้สิ้นชั่วกาลนิรันดร์” เมื่อสิ้นเสียงของมาร์คัสก็มีแสงสว่างจ้าขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า ร่างของเชสค่อยๆไหม้ จนในที่สุดก็สลายไป

เมื่อแสงสว่างนั้นดับลง มาร์คัสก็ล้มลงทันที แล้วธิดาภาก็สะดุ้งฟื้นขึ้นมา เธอมองไปรอบๆจนไปเห็นมาร์คัสที่นอนล้มอยู่กับพื้นเธอจึงรีบลุกวิ่งเข้าไปหาทันที
“เกิดอะไร” ธิดาภาถามแล้วก็เห็นดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุอกซ้ายของมาร์คัส
“ไม่ต้องห่วง ช่วยดึงดาบออกให้ที มันไม่ได้แทงทะลุหัวใจฉันหรอก ฉันไม่ตายหรอก” มาร์คัสบอกและยิ้มให้
“อย่ามาทำเป็นบ้าหนะ หัวใจเธออยู่ตรงนี้พอดี มันจะไม่โดนได้อย่างไร ต้องรีบพาเธอกลับเข้าเมืองก่อนแล้วละ ถ้าตรงนี้ไม่ใช่หัวใจ แล้วหัวใจเธออยู่ตรงไหนละ” ธิดาภาถามและพยายามมองหาผ้า
“ใจฉันอยู่กับเธอไง” มาร์คัสบอก
“บ้าจะตายอยู่แล้วยังจะมาทำปากแบบนี้อีก” ธิดาภาพยุงมาร์คัสขึ้น แล้วเขาก็ดึงดาบออกจากอกเองทันทีแล้วโยนทิ้ง
“พาฉันไปนั่งพักสักแปปเดี๋ยวก็หาย” มาร์คัสบอกแล้วธิดาภาก็พยุงไปที่แท่นบูชา และให้มาร์คัสพักที่นั่น
“เดี๋ยวฉันจะไปหาผ้ามาพันแผลให้เธอก่อนนะ” ธิดาภารีบวิ่งออกจากห้องไปทั่วปราสาทหาผ้าแล้วก็กลับมาพันแผลให้กับมาร์คัส

“ขอบใจนะที่ทำแผลให้ฉัน” มาร์คัสบอก
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนที่ฉันสลบไปเธอก็คงจะมาช่วยฉันจากปีศาจซินะ” ธิดาภาถาม
“ใช่ เธอรู้ได้อย่างไร” มาร์คัสตอบและถามกลับ
“ฉันฝันเห็นเธอกำลังสู้กับปีศาจอยู่” ธิดาภาบอก แล้วทั้งคู่ก็นั่งพักอยู่ในปราสาทร้างนี่จนแสงตะวันเริ่มสาดส่อง เขาทั้งสองก็กลับไปที่ถ้ำ เพื่อไม่ให้พวกเพื่อนๆเป็นห่วง

-----------------------------------------------------------จบตอนที่ 32-------------------------------------------------------------------
« Last Edit: October 14, 2005, 03:24:09 AM by RPG_Master » Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #27 on: October 13, 2005, 07:53:31 PM »

เจ้าลิงน้อย เจ้าลิงน้อย อิ ๆ ชอบคำนี้จัง
 :-*

อนึ่งทำลายล้าง น่อ ไม่ใช่ร้าง
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #28 on: October 14, 2005, 07:29:46 AM »

ขอบคุณมากครับ ที่มาแก้ไขบางจุดที่ผิดไป บางทีมันก็สะกดไม่ถูก ลืมไปบ้าง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน 6 ผู้กล้าปะทะมังกรแห่งสายลม

เมื่อทั้ง 6 แสบเดินทางมาถึงเชิงเขาเฟสเดอริก พวกเขาก็หยุดพักกันใต้ร่นเงาของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“ต้องข้ามเขาลูกนี้ไปเหรอ” บุ๊คยืนมองจากเชิงเขาขึ้นไปยันยอดเขา แล้วหันมาถาม
“ใช่ เมืองอยู่อีกฟากของเทือกเขานี้ ถ้าคิดจะเดินออกคงใช้เวลาเกือบเดือน แต่ถ้าข้ามจากตรงนี้ไปอย่างเร็วก็อาจจะ 2-3 วัน” อิศราตอบแล้วก็หยิบตำราออกมาอ่าน
“อิศรา ถามหน่อย หนังสือหนาขนาดนี้ อ่านไปกี่หน้าแล้วเนี่ย” พงวิชมองดูอิศรานั่งอ่านอย่างตั้งใจ
“อ่านไปใกล้จะจบเล่มแล้วละ อ่านมาก็คงจะ 800 กว่าหน้าอีก 200 กว่าหน้าก็จบเล่มแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่คาถายากๆจำไม่ได้สักที” อิศราตอบ พงวิชก็อึ้งทันที
“โหย เรา 100 กว่าหน้ายังไม่เคยเปิดอ่านเล๊ย” พงวิชบอก
“จะขึ้นเขาไปยังวะเนี่ย” แพ๊คนั่งบ่นพึมพำ พวกเขาต่างพักเหนื่อยกันอยู่สักพัก จนไม่นานนักพวกเขาก็ออกเดินทางมุ่งหน้าขึ้นภูเขาเฟสเดอริกเพื่อข้ามไปเมืองเวเอล่าที่อยู่อีกฟากของภูเขานี้

ตลอดเส้นทางอันแสนลำบากของพวกเขาที่ต้องฝ่าฟันไปนั้น พวกเขาต้องเจอทั้งเหล่าสัตว์ดุร้ายมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงเดินทางต่อไปโดยที่ไม่มีจุดหมายสูงสุด จนพวกเขาเดินทางมาถึงหลุมขนาดใหญ่ขวางเส้นทางของพวกเขาอยู่
“หลุมไรวะ แล้วจะข้ามไปยังไงเนี่ย” บุ๊คเดินมาถึงก่อนก็บ่นขึ้นทันที
“มีคนนอนอยู่ตรงนั้นด้วย” พงวิชชี้แล้วก็วิ่งลงไปยังกลางหลุมทันที พวกเพื่อนก็เลยเดินตามไป

พงวิชพยายามปลุกชายที่นอนอยู่กลางหลุมนี้อย่างหมดสภาพ ตามร่างมีบาดแผลอยู่
“ตายแล้ววะ อย่าไปสนใจเลย ไปต่อเหอะ” ปอนมองดูสภาพชายคนนี้แล้วก็บอก
“เดี๋ยวปั้มหัวใจให้” แพ๊คบอกแล้วก็ร่ายเวทย์สายฟ้าเบาๆกระตุ้นหัวใจของชายคนนั้น จนสักพักชายคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมา
“เป็นไง เพราะเค้าหล่อ เลยทำให้ฟื้นได้ ใครไม่หล่อทำไม่ได้หรอก” แพ๊คชมตัวเองแล้วพวกเพื่อนๆก็รุมตบหัวให้คนละที
“พวกคุณเป็นใครกัน” ชายคนนั้นถาม
“พวกเราช่วยให้คุณฟื้น แล้วนายละชื่ออะไรเหรอ” ตั้มตอบ ชายคนนั้นก็กุมขมับปวดหัวเล็กๆ แล้วตั้มก็ถาม
“ไซเคส พอดีตกจากยอดเขามาก็เลยเป็นแบบนี้” ไซเคสตอบ
“เชด ตกจากยอดเขา ไม่ตายจะเลี้ยงโตมั้ยเนี่ย” แพ๊คมองขึ้นไปบนยอดเขาแล้วก็บอก
“สูงขนาดนั้นรอดมาได้ไงวะ” ปอนสงสัย
“พวกคุณรู้จักคนที่ชื่อ พงวิช ไหม” ไซเคสถาม
“ก็เราไง พงวิช มีอะไรเหรอ” พงวิชตอบ
“งั้นผมก็คงต้องขอโทษด้วยที่เป็นคนลืมบุญคุณคน แต่ผมมีหน้าที่ถูกสั่งให้มากำจัดคนที่ชื่อพงวิชและกลุ่มคณะร่วมเดินทางของเขา” ไซเคสบอกแล้วก็ใช้เล็บอันแหลมยาวของเขาตะหวัดฟาดใส่ พวกพงวิชต่างก็รีบกระโดดดีดตัวออกห่างทันที
“ลูกน้องนันเหรอเนี่ย” พงวิชบอกแล้วก็ตั้งท่าเตรียมชักดาบออกมา ไซเคสจึงลุกขึ้นยืนแต่ก็เซไปเซมาจากการโจมตีของเทพการูด้า
“รุมมันเลย” บุ๊คบอก
“เดี๋ยว” พงวิชห้ามบุ๊คและเพื่อนๆไว้
“ทำไม” ปอนถาม
“เขาย่ำแย่ขนาดนั้น เขาต้องการจะกำจัดเราเป็นหลัก งั้นเราขอสู้กับเขาตัวต่อตัวเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ” พงวิชตอบ
“อย่าทำเท่เกินหน้าดิ หากแพ้ขึ้นมาถึงตายนะ” บุ๊คบอก
“ก็ใช่ซิ แล้วถ้าชนะขึ้นมา จะได้รู้กันไปเลยว่า คนอย่างพวกเราไม่ใช่อะไรที่จะมาจัดการกันง่ายๆ” พงวิชบอก และในเมื่อเพื่อนๆเริ่มไว้ใจ พวกเขาก็เดินออกห่าง
“เข้ามาลุยกันได้เลย” พงวิชท้าแล้วก็ชักดาบของอายะออกมา ช่วยมอบพลังให้เราด้วยนะ อายะ พงวิชนึกอธิษฐานนึกถึงอายะ

แล้วไซเคสก็วิ่งเข้ามาโจมตีใส่ พงวิชก็รับคมแหลมนั้นได้ทุกการโจมตีของไซเคส และถีบไซเคสกระเด็นออกไป ยิ่งไซเคสออกแรงโจมตีมากเท่าไหร่ การโจมตีของเขาก็เริ่มช้าลงและเบาลงจนพงวิชนั้นหลบได้อย่างสบาย และถีบไซเคสจนกระเด็นล้มลงไป พงวิชจึงเก็บดาบอายะใส่ปอก แล้วไซเคสก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแล้วก็กลางเล็บอันแหลมคมออกแล้วก็ค่อยวิ่งเข้ามาอีกครั้ง
“งั้นก็ขอให้จบไปเสียที” พงวิชเอามือจับด้ามดาบไว้แน่แต่ยังไม่ชักดาบออกมา จนเมื่อไซเคสวิ่งเข้ามาใกล้ พงวิชก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
“เพลงดาบผ่าวายุ” ร่างกายของพงวิชที่ขยับไปมาเหมือนถูกจิตวิญญาณดาบเล่มนี้สิงสถิต เขาชักดาบก้มตัวต่ำและพุ่งฟันเข้าที่ลำตัวของไซเคสอย่างรวดเร็ว ร่างของไซเคสนั้นกระเด็นปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านมาพร้อมกับคมดาบ
“โอ้แม่... เฮ้ย พงวิชไปฝึกท่าดาบพวกนี้มาจากนี้วะ” บุ๊คถาม แล้วพงวิชก็ชักดาบเก็บใส่ปอกและไม่ได้พูดอะไร เขาพูดเพียงในใจ
“ขอบใจมากนะอายะ” พงวิชสื่อจิตถึงดาบเล่มนี้   ไม่เป็นไรคะ เพื่อท่านพงวิช ฉันจะอยู่สู้เคียงข้างท่านเสมอ   เสียงอายะดังขึ้นมาในจิตใจของพงวิช แล้วพงวิชก็หันมายิ้มให้กับเพื่อน

แล้วไซเคสก็ยังคงจะหัวเราะอยู่แม้ร่างของตนนั้นจะบาดเจ็บแค่ไหน
“เพลงดาบบ้าบออะไรแค่นี้จะทำอะไรข้าได้” ร่างของไซฌคสก็ลอยขึ้นแล้วก็กลายสภาพเป็นมังกรสีเขียวขนาดใหญ่คำรามดังไปทั่ว พวกพงวิชตกใจทันทีและถอยออกห่าง แล้วทุกคนต่างก็ชักอาวุธออกมาเตรียมสู้ พงวิชก็โยนดาบเซฟิออกมา แล้วก็ปรากฏร่างของเซฟิถือดาบของตนไว้ อิศราเองก็หยิบคันธนูของอูติกออกมา และอูติกก็ปรากฏร่างออกมาพร้อมกับคันธนู และโล่ของเฟียเรียสที่บุ๊คถืออยู่นั้นก็ลอยออกมาจากบุ๊คและปรากฏร่างของเฟียเรียส 3 พี่น้องปักษาปรากฎตัวออกมา
“ให้เราสู้พร้อมกับท่านเถอะ” เซฟิบอก พงวิชก็พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ แล้วไซเคสก็กระพือปีกบินถอยออกห่างจนเกิดแรงลมและฝุ่นฟุ้งไปทั่ว
“Aero Burst” ไซเคสยิงพลังลมโจมตีใส่พวกพงวิชอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ปักษาน้อยทั้ง 3 ต่างรีบหลบได้ทัน
“Body Sheid” อิศราเปิดตำราหนังสือและยืนร่ายเวทย์มนต์สร้างบาเรียขนาดใหญ่ป้องกันพลัง
“ขอบใจนะอิศรา” พงวิชบอก
“ถ้าไม่เปิดหนังสือเราก็ร่ายไม่ได้หรอก คาถานี้ยังจำไม่ได้เลย” อิศราบอก
“ลุยโว้ย” บุ๊ควิ่งบุกเข้าทันที

ทันทีที่บุ๊ควิ่งเข้าไปไซเคสก็พุ่งเข้าโจมตีใส่ บุ๊คจึงรีบเอาโล่ของตนป้องกันแต่ตัวเองนั้นก็กระเด็นไป
“Wind Cross” เซฟิใช้ดาบฟันเป็นคลื่นลมโจมตีใส่ แต่ไซเคสก็ปัดได้แล้วใช้หมัดอันใหญ่นั้นอัดใส่เซฟิจนกระเด็น
“Cycone” เฟียเรียสยิงพลังลมโจมตีใส่แต่ถูกไซเคสตบสวนกลับจนกระเด็นไปกระแทกกับหินและเธอก็ถูกไซเคสนั้นใช้ฝ่าเท้าอันใหญ่เหยียบลงบนร่างของเธอ แต่เธอไหวตัวหยิบโล่ของเธอขึ้นมาบังไว้ ไซเคสก็เลยยกเท้าขึ้นเหยียบลงซ้ำๆ
“เอามั้งเว้ย Bloody Strike” ตั้มเปิดหนังสือตำราอย่างเร็วไปเจอหน้าไหนก็ร่ายเวทย์มนต์นั้นโจมตีใส่ไซเคสทันที เวทย์มนต์ที่ตั้มร่ายนั้น เป็นพลังสีดำเล็กและค่อยๆมีกลุ่มเลือดไหลเวียนมารวมตัวที่ลูกพลังนี้และยิงโจมตีใส่ไซเคสจนกระเด็นออกไป เฟียเรียสจึงรีบบินหนีออกมา
“พลังส่วนใหญ่ทำอะไรมันไม่ได้เลย จะเข้าสู้ตรงๆก็เสียเปรียบ” บุ๊คบอก ส่วนปอนนั้นก็ใช้ระเบิดโยนใส่ แพ๊คเองก็ร่ายเวทย์มนต์สายฟ้าเบาๆที่เขาถนัดโจมตี ถึงแม้จะทำอะไรไซเคสไม่ได้ก็ตาม

แล้วสักพักไซเคสก็ลุกขึ้น
“Million Arrow” อูติกสร้างลูกดอกลมนับล้านโจมตีอัดใส่ไซเคส แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไซเคสเลย
“Aero Burst” ไซฌคสยิงพลังลมใส่ อิศราก็รีบวิ่งเข้ามาขวางและร่ายเวทย์บาเรียป้องกันไว้
“พงวิชเห็นแผลที่ท้องของเจ้านั่นมั้ย นั่นคงเป็นแผลที่โดนพงวิชโจมตีตอนมันเป็นคน ถ้าอัดใส่อีกทีมันอาจจะตายก็ได้” ตั้มบอก
“งั้นฉันทำเอง” เซฟิรีบบินพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วสูงและใช้ดาบของตน แต่ดาบนั้นกลับไม่เข้าเนื้อของไซเคสเลย เซฟิจึงตะลึงกับสภาพร่างกายของไซเคสที่หนา แล้วก็ถูกไซเคสโจมตีใส่จนกระเด็นออกมา
“อายะ ช่วยอีกสักครั้งเถอะ ให้มันรู้ไปเลยว่าเธอนั้นก็สามารถปราบมันได้” พงวิชหลับตาลงและสื่อจิตเข้าไปในดาบเล่มนี้

แล้วไซเคสก็บินพุ่งเข้ามา
“พงวิชจัดการเลย เราจะนำล่องให้” ตั้มบอก แล้วตั้มก็เปิดตำราแบบสุ่มไปเจอเวทย์มนต์หน้าไหนก็ร่ายอันนั้นโจมตีใส่
“เพลิงสายฟ้า Magnum Bolt” ตั้มร่ายเวทย์มนต์ไฟสายฟ้าปรากฎเป็นสายฟ้าฟาดขนาดใหญ่ฟาดใส่ไซเคสและเกิดประกายเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อพงวิชตั้งสมาธิได้ก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับก้าวเท้าออกไป 2 จังหวะ
“เพลงดาบจิตสังหาร ไซโคริว” อายะที่สิงสถิตในร่างของพงวิชนั้นพุ่งเข้าฟันใส่ไซเคส 6 ครั้งอย่างรวดเร็วเพียงชั่วขณะ แล้วพงวิชก็ชักดาบเก็บ เมื่อเสียงดาบกระทอกกับปอกสนิท รอยดาบที่ฟันลงบนร่างของไซเคสก็ปรากฏขึ้นมา 6 รอย แล้วร่างของไซเคสก็ขาดเป็น 6 ส่วน
“โห ดาบนั้นมันชั่งคมจริงๆ” เซฟิตะลึงกับประสิทธิภาพของดาบของอายะ แล้วร่างของไซเคสก็ค่อยสลายหายไป พวกพงวิชต่างดีใจกันยกใหญ่

“พงวิชเก่งวะ” บุ๊คบอก
“ไม่รู้ดิ ดาบนี้มันคงดาบมากมั้ง” พงวิชบอกแล้วก็มองดูดาบเล่มนี้
“แหม ก็ดาบนี้สาวให้มาหนิ ไม่ดีได้ไง” ตั้มบอก
แล้วพวกเขาต่างก็แซวหยอกล้อกันไปตามระเบียบ ไม่นานนักพวกเขาก็ออกเดินทางไป มุ่งหน้าข้ามภูเขาลูกนี้ไป ปักษาน้อยทั้ง 3 ต่างก็ดีใจเช่นกันที่ได้เดินทางมากับพวกพงวิช และทั้ง 3 ก็บินเล่นกันบนท้องเหนือกลุ่มพงวิชขึ้นไปอย่างสนุกสนาน

----------------------------------------------------จบตอนที่ 33------------------------------------------------------------
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #29 on: October 15, 2005, 01:02:44 AM »

ตอน ชนเผ่าคาดาเรีย

มาร์คัสและกลุ่มสาวๆต่างเดินทางมุ่งหน้าไปเรื่อย จนพวกเขานั้นผ่านพ้นป่าปีศาจและปราสาทแวมไพร์ออกมาได้ พวกเขาก็มองเห็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่
“เอาละ คืนนี้พวกเราจะไปพักกันที่เมืองท่าแถวๆนั้นก็แล้วกัน” มาร์คัสหันมาบอกแล้วจู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากวิ่งมา มาร์คัสจึงหันกลับไปมองก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางเขา และมีกลุ่มพวกชายสูทดำกลุ่มหนึ่งตามเธอมาพร้อมกับในมือถืออาวุธ สาวน้อยคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาหลบหลังมาร์คัส
“ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย” สาวน้อยคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆหวาดกลัว
“ไม่ต้องห่วง พวกนั้นทำอะไรเธอไม่ได้หรอก” มาร์คัสบอก แล้วเขาก็เดินออกไปเผชิญหน้ากับชายกลุ่มนั้น

“พวกคุณวิ่งตามสาวน้อยคนนั้นมาทำไมกัน ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจได้” มาร์คัสถาม
“แกอย่ามายุ่งเรื่องของพวกเรา ถอยไปซะไม่งั้นตาย” ชายสูทดำตอบแล้วชายกลุ่มนั้นก็ยกปืนขึ้นเล็งมาที่มาร์คัส
“ถ้าไม่ชอบพูดคุยเจรจากับฉัน งั้นก็พูดกับเจ้านี่แล้วกัน   ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส ออกมาเลย เจ้าแมวน้อยของข้า ไวท์ไทเกอร์” มาร์คัสร่ายเวทย์มนต์โบราณเรียกแมวน้อยตัวสีขาวจ้าออกมา ด้วยขนาดที่เล็กเหมือนแมวทั่วไป ที่พิเศษกว่าแมวก็แค่มีผนึกสีรุ้งกลางหน้าผากของมัน พวกชายกลุ่มนั้นก็ตะลึงอยู่กับสักพัก แล้วมาร์คัสก็หันเดินกลับมาหาสาวน้อยคนนั้น

“ไม่ต้องห่วงหรอก แมวน้อยมันก็น่ารักแบบนี้แหละไปกันต่อเถอะ” มาร์คัสบอก แล้วเขาก็เดินตรงไปที่เมืองท่า แต่สาวน้อยคนนั้นก็ยังหวาดระแวงเดินเกาะเสื้อมาร์คัสไปจนไกลห่างจากพวกชายกลุ่มนั้นเธอก็ค่อยๆเริ่มดีขึ้น จนพวกมาร์คัสเดินไปไกลแสนไกลจากชายกลุ่มนั้นแล้ว ชายกลุ่มนั้นก็หายตะลึง
“มัวมองอะไร ยิงมันดิ” ชายคนนั้นบอกแล้วกลุ่มนั้นก็ระดมยิงใส่แมวน้อยตัวนี้ แมวน้อยตัวนี้ก็กระโดดหลบกระสุนได้หมด จนชายกลุ่มนั้นยิงปืนจนหมดแม๊ก ต่างก็ตะลึงกับความว่องไวของมัน แมวน้อยตัวนี้ก็มองพวกเขาด้วยสายตาบ๊องแบ๊วน่ารักน่าเอ็นดูใส่ ชายกลุ่มนั้นเมื่อเห็นแล้วก็หลงใหลในความน่ารักของมัน จนพวกเขาค่อยก้าวเข้าไปหาอยากจะลูบจับมัน จนพวกเขาเข้าล้อม แมวน้อยตัวนี้ก็ก้มหัวเก็งตัว ผลึกที่หน้าผากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวและสว่างจ้าขึ้น
“Rainbow Explode” แมวน้อยตัวนั้นปล่อยพลังระเบิดแสงสีรุ้งขนาดใหญ่ออกมา ด้วยแรงระเบิดทำให้มันนั้นกระเด็นลอยขึ้นฟ้ามาตกบนบ่าของมาร์คัส แล้วมันก็เลียหน้ามาร์คัสอย่างสัตว์เลี้ยงทั่วไป ส่วนชายกลุ่มนั้นก็อนาถทันที

“เจ้าลิงน้อย เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่พัฒนาสมองได้เร็วถึงขนาดรู้จักเลี้ยงแมวน้อยได้ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆ” มาย่ามองดูมาร์คัส
“บอกกี่รอบแล้วอย่าเรียกมาร์คัสว่าเจ้าลิงน้อย” ธิดาภาพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“แล้วเธอชื่ออะไรจ๊ะ ช่วยบอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น” อรนิชาถาม
“หนูชื่อ โลโล่ ที่หมู่บ้านหนูถูกชายพวกนั้นเข้ายึด แต่ท่านพ่อขอข้อเสนออื่นได้มั้ยที่จะให้พวกนั้นมายึกหมู่บ้าน พวกมันก็เลยบอกข้อเสนอว่า พวกมันต้องการไข่มุกทั้ง 6 สี เนื่องจากไข่มุกเหล่านี้มันมีอยู่ห่างไกลมาก พวกมันต้องการได้ของภายใน 1 อาทิตย์และจับหนูมาเป็นตัวประกัน แต่หนูหนีออกมาได้ พวกมันคงคิดที่จะไปทำลายหมู่บ้านของหนูแน่ ได้โปรดช่วยหมู่บ้านของหนูได้มั้ยคะ” โลโล่เล่าให้ฟัง
“เรื่องแค่นี้สบายน่า ไม่ต้องห่วงหรือกังวลใดๆ เพียงแค่เธอพาฉันไปที่หมู่บ้านของเธอก็บอก เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเจรจากับพวกมันให้เอง” มาร์คัสบอก แล้วแมวน้อยก็กระโดดเข้ามานอนซุกในอ้อมแขนของโลโล่
“เจ้าแมวน้อยถ้าเป็นคนคงจะหัวงูน่าดู คนเลี้ยงจะเป็นเหมือนกันมั้ยเนี่ย” มาย่ามองดูท่าทางของแมวน้อย แล้วโลโล่ก็ยิ้มดีใจ และวิ่งนำทางเข้าไปในป่าข้างๆ

“อะไรกันวะ แค่นี้ปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นมันหนีไปได้ไง” หัวหน้าชายสูทดำเวมขึ้นเสียงใส่ผ่านโทรศัพท์
“โถ่ลูกพี่ ก็เจ้าเด็กนั่นมันวิ่งเร็วยิ่งกว่าอะไร แถมเวลาจับได้มันก็ดิ้นจนจับไม่อยู่แล้วก็วิ่งหนีไปได้ตลอด” ชายสูทดำบอก
“ไปตามจับมันมาให้ได้” เวมสั่ง
“ตามจับแล้วลูกพี่ มันมีชายคนหนึ่งมาช่วยเด็กนั่นไว้ พวกเรารุมยังแพ้เลย” ชายสูทดำบอก
“งั้นพวกแกรีบจัดเตรียมอาวุธครบมือ หุ่นเหล็กเท่าที่มี รอข้าสั่งได้ งานนี้เดี๋ยวข้าเคลียกับมันเอง” เวมบอก
“ครับลูกพี่” ชายสูทดำรับคำสั่งแล้วเวมก็วางสายทันที
“มันเป็นใครวะ อย่างนี้มันต้องเจอดีกับข้า” เวมทุบโต๊ะอย่างแรงจนโต๊ะพังทันทีแล้วก็เดินออกจากห้องไป

“ใกล้ถึงยังละเนี่ย” มาย่าถาม
“ใกล้ถึงแล้วค่ะ อีกนิดเดียว” โลโล่ตอบ แล้วพวกเขาก็พ้นป่ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“ที่นี่หมู่บ้านอะไรเนี่ย” อรนิชาถาม
“ที่นี่หมู่บ้านของหนูเอง ทุกคนในหมู่บ้านคือชนเผ่าคาดาเรีย พวกเราจะมีความสามารถพิเศษตั้งแต่กำหนดในเรื่องความเร็ว มาซิ หนูจะพาไปหาท่านพ่อ” โลโล่บอกแล้วเดินตรงเข้าไปที่บ้านไม้ใหญ่หลังหนึ่ง พวกมาร์คัสก็เดินตามเข้าไปเรื่อยๆ มองดูชีวิตประจำวันของชาวเผ่าคาดาเรีย เมื่อเข้ามาในบ้านไม้ใหญ่ได้

“ท่านพ่อหนูกลับมาแล้วค่ะ” โลโล่พูดอย่างดีใจที่ได้กลับมาหมู่บ้านนี้อีกครั้ง
“โลโล่ พวกมันปล่อยลูกมาเหรอ” พ่อของโลโล่ประหลาดใจทันทีที่เห็น
”ปล่าวค่ะ หนูหนีออกมา แล้วคนกลุ่มนี้เขาช่วยหนูไว้ หนูก็เลยกลับมาที่นี่ได้” โลโล่บอก พ่อของโลโล่ก็ยิ้มทันที
“ต้องขอบคุณพวกท่านมากเลย ที่ช่วยลูกสาวของผมไว้ แล้วพวกท่านรู้จักลูกสาวผมหรือยัง เธอชื่อโลโล่ อายุ 14 ปี พอแตกเนื้อสาวก็มีหนุ่มๆมารุมจีบ ผมเองก็ไม่รู้จะคิดยังไง หนุ่มสาวก็งี้แหละ” พ่อของโลโล่กล่าวขอบคุณ
“ท่านพ่อนี่ละก็ นี่พ่อของหนูชื่อ ลาส เป็นหัวหน้าเผ่าของเรา” โลโล่แนะนำให้รู้จัก
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณลาส” ธิดาภาบอก
“ไม่ต้องเรียกขนาดนั้นก็ได้ครับ พวกเราถือว่าเป็นคนกันเอง ทีนี้ผมก็ยังเหลือเรื่องทุกข์ พวกคุณคงทราบจากลูกสาวผมแล้วนะครับ” ลาสบอก
“ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง พวกท่านอย่ากังวล” มาร์คัสบอก
“พวกท่านจะสู้กับชายพวกนั้นได้เหรอ พวกมันมีจำนวนมากเลยนะ” ลาสถาม
“เจ้าลิงน้อยคนเดียวก็เอาอยู่แล้ว” มาย่าตอบ
“บอกแล้วไงอย่าเรียกว่าเจ้าลิงน้อย” ธิดาภาขึ้นเสียงใส่
“ผมก็คงโล่งอกไปอยู่บ้าง ถ้าไม่รังเกียจคืนนี้พักที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ โลโล่ลูกช่วยจัดที่พักให้พวกเขาทีนะ” ลาสบอก
“ค่ะ งั้นเชิญตามหนูมาเลยนะคะ” โลโล่เดินนำเข้าไปในห้องข้างๆ ซึ้งเป็นทางเดินข้างนอกเป็นเหมือนสะพานไม้ยาว ด้านล่างเป็นบ่อน้ำ ทิวทัศน์ในป่านี้ทำให้พวกสาวๆรู้สึกสดชื่นขึ้นมา

เมื่อข้ามสะพานมาก็มีบ้านไม้อยู่หลัง แล้วโลโล่ก็ยืนงงกุมขมับ
“ว๊า ทำไมเป็นแบบนี้เนี่ย” โลโล่ตกใจ
“มีอะไรเหรอ” มาร์คัสถาม แล้วโลโล่ก็หันมาบอก
“คือ ลืมไปว่า บ้านไม้ที่พักนี้มันเหลือเพียงหลังเดียว เมื่อก่อนเคยจำได้ว่ามีหลายหลัง ในบ้านหลังนั้นพักได้ 4 คน พวกพี่สาวทั้ง 4 ท่านพักกันที่นั้นนะคะ” โลโล่บอก
“แล้วเจ้าลิงน้อยนี่ละ ! อ๋อ ใช่ซิ เจ้าลิงน้อยต้องห้อยโหนนอนตามต้นไม้นี่” มาย่าพูดไปหัวเราะไป
“ถ้าวันนี้ยังพูดว่าเจ้าลิงน้อยอีก ฉันจะไม่คุยด้วยอีกเลย” ธิดาภาโกรธขึ้นทันที
“พี่ชายคนนี้ ไปนอนที่ห้องของหนูก็ได้ค่ะ เตียงหนูมันใหญ่เกิน ยังมีที่เหลือพอจะให้อีกสักคนนอนด้วย” โลโล่ตอบ มาร์คัสก็ยืนนึกอยู่สักพัก
“เหอๆ งั้นพวกเราไปพักผ่อนกันเถอะ” มาย่านึกบอกอย่างขึ้นมาในหัวได้แล้วก็เดินเข้าไปในบ้านไม้
“ทางนี่ค่ะ เดี๋ยวจะพาไปที่ห้องของหนู” โลโล่บอกแล้วก็เดินต่อไป
“ธิดาภา ทำไมทำหน้าแบบนั้นละ” มาร์คัสหันมาเจอ
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่พากผู้เยาว์หรอก วางใจได้ คิดไปซะว่า ฉันกับโลโล่เป็นพี่น้องกัน จะนอนด้วยกันก็ไม่ผิดแปลกอะไร” มาร์คัสบอกแล้วก็เดินตามโลโล่ไป
”ไปเถอะธิดาภา เขาคงไม่หัวงูขนาดนั้นหรอกมั้ง แต่ไม่แน่ ขนาดสัตว์เลี้ยงยังหัวงูเลย” อรนิชาบอก แล้วพวกเธอก็เดินเข้าไปพักผ่อนในบ้านไม้

“เดินมาด้วยกันตั้งนาน หนูยังไม่รู้จักชื่อพี่ชายเลย” โลโล่ถาม
“ฉันชื่อ มาร์คัส ฉันเป็นแค่นักเดินทางทั่วไป ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง” มาร์คัสตอบ
“แต่เห็นพี่ชายร่ายเวทย์มนต์คาถาโบราณได้ด้วย พี่ชายต้องเรียนมาจากที่ไหนแน่ๆเลย หนูเองก็พอรู้จักอ่านเขียนภาษาโบราณได้บ้าง แต่ไม่คล่องเท่าพี่ชายเลย พี่ชายช่วยสอนหน่อยได้มั้ย” โลโล่บอก
“อาจจะได้นะ ถ้าเธอเป็นเด็กหัวดูเรียนรู้เร็ว จะสอนให้สักคาถา เอาไว้ป้องกันตัว” มาร์คัสบอกแล้วก็หยุดเดิน
“ขั้นแรกเริ่มจาก เธอรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณมากแค่ไหน ทุกตัวอักษรเลยรึปล่าว” มาร์คัสถาม
“รู้จักหมดเลยค่ะ แต่ถ้าร่ายคาถายังทำไม่ได้เลย” โลโล่ตอบ
“งั้นขั้นต่อมา ไม่มีอะไรมาก อยากให้เธอฝึกท่องคาถานี้มันเป็นคาถาที่ค่อนข้างง่ายแล้ว  ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส แล้วเธอก็เรียกเจ้าแมวน้อยตัวนั้นออกมา ถ้าเธอทำสำเร็จมันก็ง่ายแค่นี้แหละ ลองฝึกดูนะ” มาร์คัสบอก
“ค่ะ จะพยายาม” โลโล่สูดลมหายใจเข้าลึกตั้งสมาธิดีๆ
“ไลซาเก..อ.ริเด..ริกเทน ฟอ..น.มา..กิส โอโย้วโยว ร่ายคาถาไม่เป็นจังหวะเลย” โลโล่กุมขมับทันที มาร์คัสเองก็หัวเราะนิดๆ
“ครั้งแรกก็งี้แหละ ตื่นเต้นเกิน ลองไปฝึกดูบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเองแหละ ทีนี้ไปต่อเถอะ ฉันเองก็ไม่อยากหลงในหมู่บ้านนี้” มาร์คัสบอกแล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปพูดคุยสนิทสนมราวกับพี่น้องปกติ
 
เย็นวันนั้นธิดาภาก็เข้าไปหาลาสที่บ้านไม้หลังใหญ่และถามทางไปบ้านไม้ของโลโล่ แล้วเธอก็เดินไปตามทางที่ลาสบอก เมื่อมาถึงหน้าบ้านไฟในบ้านไม้ของโลโล่ก็มืดสนิทเหมือนกับว่าไม่มีคนอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปดูด้านใน เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
“มาร์คัส อย่าแรงนักซิ หนูเจ็บนะ”
“ไม่เจ็บหรอก ถ้าเจ็บเดี๋ยวจะแรงกว่านี้ให้ดู”
ธิดาภาเริ่มหนักใจกับคำพูดเหล่านี้ เธอจึงค่อยๆเดินเข้าไปยังห้องนอนอย่างช้าๆ
“หยุดนะ พอเถอะ หนูทนไม่ไหวแล้ว”
เมื่อธิดาภาชะโงกหัวเข้าไปดูในห้องนอนก็เห็นภาพที่เธอทนรับไม่ได้

“มาร์คัส” ธิดาภาตะคอกเสียงใส่จนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วเธอก็หายใจอย่างแรง
“ธิดาภาเร็ว ลาสบอกว่าในคนหมู่บ้านเห็นพวกชายสูทดำมุ่งหน้ามาทางนี้” พิชามนญ์ปลุก
“ขนาดในฝันยังละเมอถึงอีกนะ เร็วรีบไป” มาย่าบอก แล้วธิดาภาก็รีบเปลี่ยนชุดแล้วไปที่ลานกว้างกลางหมู่บ้าน ระหว่างทางที่ไปนั่นก็เห็นโลโล่วิ่งตามมาด้วยความเร็วมากจนแซงนำไป
“วิ่งช้าแบบนี้ ถ้าโดนปีศาจไล่ฆ่าจะตายเอานะ มาฉันช่วยเอง” มาร์คัสบอกแล้วก็แบกธิดาภาวิ่งไป

เมื่อมาถึงลานกว้างก็เห็นลาสยืนอยู่พร้อมกับชาวบ้านหมู่มาก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอท่านพ่อ” โลโล่ถาม แล้วจู่ๆก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในสภาพที่ถูกทำร้ายอย่างสาหัส
“พวกมันบุกมาแล้ว” แล้วชายคนนั้นก็ล้มลง
“มาแล้วเหรอเนี่ย” ลาสเริ่มหวั่นๆ
“ทุกคนโปรดหลบไปหลังต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ ฉันจะจัดการให้เอง” มาร์คัสบอกแล้วลาสที่เชื่อมั่นในตัวมาร์คัสก็อพยพชาวบ้านไปหลบอยู่หลังต้นไม้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเพียงมาร์คัสและสาวๆอีก 4 คนยืนเตรียมพร้อมต่อสู้
“พวกเธอด้วย” มาร์คัสบอก
“มาร์คัส เธอคนเดียวจะไหวเหรอ” ธิดาภาถาม
“ไหว เชื่อใจฉันซิ” มาร์คัสหันมายิ้มให้
“ไปเถอะ ธิดาภา เจ้าลิงน้อยจะโชว์เดี่ยว” มาย่าบอกแล้วก็พาธิดาภาไปหลบดูเหตุการณ์อยู่หลังต้นไม้ใหญ่กลางหมู่บ้าน
“ไอ้พวกนี้ มันต้องเจอฉันก่อนถึงจะสำนึกบาปได้” มาร์คัสดึงผ้าพันคอสีฟ้าขาวออกมาพันที่แขนซ้ายไว้

------------------------------------------------------จบตอนที่ 34-------------------------------------------------------------------
Logged


Pages: [1] 2  All
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.25 seconds with 20 queries.