Summoner Master Forum
November 27, 2024, 10:24:14 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: ---<<<เรื่องย่อ Episode 11 The Saint>>>---  (Read 13354 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« on: August 14, 2005, 11:12:35 PM »

 หลังการเดินทางอันยาวนาน อิสฮานและพลพรรคผู้ติดตามก็ได้รับชัยชนะเหนือบลาสเซจ และสามารถนำความสงบสุขกลับมาสู่ซาโลมและละแวกแคว้นใกล้เคียงได้สำเร็จ ในที่สุด  หลังศึกครั้งนี้ผู้ติดตามอิสฮานแต่ละคนก็ได้แยกย้ายกันกลับไปยังถิ่นฐานของแต่ละคน เว้นแต่ฟาริด วานาอัน และ ซาลิม่า หรือเจ้าหญิงซูไลก้า ที่ยังอยู่คียงข้างอิสฮานในซาโลม


เรื่องสงครามครั้งใหญ่นี้เป็นที่ขับขานเล่าต่อกันไปอีกหลายรุ่นต่อหลายรุ่น โดยได้มีผู้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ด้วยกันถึง 3 คน คือ โจฮัน ผู้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในรูปแบบบทเพลงสำหรับขับร้อง  เกรเกอรี่ ผู้บันทึกเรื่องทั้งหมดไว้ในสมุดบันทึกประจำตัวของตน และเวเรี่ยน เวสเล่ย์ ผู้บันทึกเป็นพงศาวดารทางประวัติศาสตร์  ผู้บันทึกทั้ง 3 ท่าน ได้บันทึกถ่ายทอดเหตุการณ์สงครามในครั้งนี้แตกต่างกันออกไปตามสำนวน โวหาร รูปแบบการเล่าเรื่องและมุมมองของแต่ละคน  ซึ่งถึงแม้จะแตกต่างกันไปเล็กน้อย แต่เนื้อหาหลักก็ยังคงอยู่อย่างครบถ้วน จากการศึกษาเหตุการณ์เดียวกันผ่านบันทึกของทั้ง 3 ท่านนี้ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของสงครามครั้งนี้ได้อย่างเด่นชัดยิ่งขึ้น

   แม้สงครามดูเหมือนจะจบลงแล้วแต่ปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดก็หาจบลงไปด้วยไม่  อิสฮานที่ได้นำความสงบสุขกลับมาสู่ซาโลมแล้วกลับต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องความรักสามเส้าของตัวเขาเอง  ในส่วนตัวเขานั้นมีความรักและความผูกพันต่อวานาอันมาอย่างช้านานแล้ว แต่ความรักของเขานั้นกลับไม่อาจตอบสนองได้ ด้วยว่าหากเขาจะสมรส ผู้ที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ ก็คือซูไลก้า เจ้าหญิงของแคว้นลาซาลเท่านั้นอันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะผสานปัญหาและสร้างความมั่นคงทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ ส่วนวานาอัน ผู้เป็นคนต่างชาติต่างเผ่า อันหากต้องการได้นางมาครองคู่ก็ต้องรับเข้ามาในภายหลังในฐานะนางสนมในฮาเรมเช่นเดียวกับที่ซาดีนบิดาของตนเคยทำมา  ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่อิสฮานต้องการเป็นแน่ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและหน้าที่ของกษัตริย์ผู้ปกครอง  อิสฮานเมื่อตกอยู่ภาวะกดดันอย่างแสนสาหัส เพราะการตัดสินใจของเขาจะเป็นการชี้ชะตาของจักรวรรดิ์ซาโลม และแคว้นลาซาล ตลอดจนอนาคตของประชาชนทั้งหมดที่ได้ทุ่มเทความหวังในตัวของเขา  เขาจึงชลอการเข้ารับตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ์ของซาโลมและสงวนท่าทีของตนเอาไว้ก่อน ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทหารซาโลมบางส่วนที่ยังไม่แน่ใจกับบบาทของทางซาโลม ยังคงทำการรบต่อ ในขณะที่บางส่วนก็ทิ้งกองทัพกลับบ้าน สิ่งนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความระส่ำระสายอย่างมากในกองทัพ และในสนามรบ ภาวะการณ์ต่างๆเหล่านี้ยิ่งบีบคั้นอิสฮานให้ตัดสินใจอะไรลงไปให้เด็ดขาด
« Last Edit: August 21, 2005, 02:34:20 AM by Little Angel » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #1 on: August 14, 2005, 11:14:17 PM »

   ทางด้านแอนดิซอง ได้มีพิธีอภิเษกสมรสระหว่าง วิโอเรีย กับ อองเดร ขึ้น  ซึ่งถ้าท้าวความไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ก็เป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากยิ่งของอองเดร  อองเดรในตอนนั้นได้คิดคำนึงถึงเจ้าหญิงอลาน่าที่ได้เสด็จออกจากวังไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงครามในค่ายกลางทะเลทรายจนเขาไม่เป็นอันกินอันนอน  ทำให้นี่เป็นช่องว่างให้วีโอเรียหาทางเข้าแทรกได้ วิโอเรียอาศัยที่ตนมีหน้าตาคล้ายกับอลาน่าอยู่แล้ว แต่งตัวปลอมมาเป็นอลาน่าเข้าใกล้ชิดอองเดร พร้อมทั้งร่ายมนต์สะกดใจของเขา จนเมื่ออองเดรได้เข้าใจผิดว่าตนเป็นอลาน่า และได้หลอกล่ออองเดรที่ขาดสติทั้งจากความตรอมใจและเวทย์มนต์จนเขาได้ตกในหลุมพรางของเธอ เมื่อมีข่าวลือที่โจษจันทั่วประเทศว่าอองเดรและวิโอเรียได้อยู่ร่วมห้องกัน ในคืนวันหนึ่ง ซึ่งหลังจากอองเดรได้สติกลับคืนมา ก็ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น และข่าวลือที่ได้แพร่สะพัดไปได้ วีโอเรียก็ได้ดำเนินแผนการต่อไป คือให้เจ้าหญิงวิโอล่ามารดาของตนดำเนินเรื่องไปยังพระราชาและพระราชินีแห่งแอนดิซองเพื่อประกาศบังคับให้ตนอภิเษกสมรสกับอองเดร โดยอาศัยซึ่งความร่วมมือจากรูฟัสและสภาพ่อค้าผลักดันเรื่องนี้ยกเรื่องเหตุผลต่าง ๆ ทางการเมืองสนับสนุน โดยประเด็นหนึ่งที่ได้หยิบยกขึ้นมา คือ “ไม่สมควรปล่อยบัลลังก์ให้ว่างเปล่า ไร้ซึ่งราชวงศ์ปกครองแบบนี้” และ “เพื่อรักษาเกียรติของวิโอเรีย” ซึ่งเป็นถึงเชื้อพระวงค์ลำดับถัดมาจากอลาน่า  ในที่สุดอองเดรต้องยอมอภิเษกสมรสกับวิโอเรีย โดยที่ในใจลึก ๆ ของเขายังจงรักภักดีต่ออลาน่าเจ้านายเพียงคนเดียวของเขาอยู่ อย่างมิเสื่อมคลาย  วิโอเรียหลังได้เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งแอนดิซองเมืองท่า แทนอลาน่าแล้ว เธอก็ได้ใช้เส้นสายนำเครือญาติพี่น้องและคนที่สนับสนุนเธอทั้งหมดเข้ามารับตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมืองทีละคน ๆ จนในที่สุดอำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดก็ตกอยุ่ในมือของเธอ  วิโอเรียและสภาพ่อค้านั้นต้องการให้สงครามดำเนินต่อไป เพราะผลประโยชน์ในการค้าอาวุธและสินค้าของเหล่าพ่อค้าหน้าเลือด และเพื่ออาศัยการได้เปรียบในขณะที่ซาโลมกำลังระส่ำระสายและไม่มีความแน่นนอนทางการเมือง  ให้ได้เปรียบในการรบ แอนดิซองได้ประชุมสภา3ฝ่ายคือ ฝ่ายพ่อค้า ฝ่ายราชวงค์ และฝ่ายศาสนา เห็นพ้องประกาศเป็นราชโองการไม่ถอยทัพกลับจนกว่าซาโลมจะชดใช้ค่าปฏิกรณ์สงครามทั้งหมดที่แอนดิซองต้องเสียไปในการทำสงครามนี้ โดยยกเหตุผลว่าสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นจากฝ่ายซาโลมเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและกำลังไพร่พลของประเทศต่างๆไปมาก หากฝ่ายซาโลมจะถอนตัวออกจากสงคราม ฝ่ายซาโลมก็ต้องยอมรับว่าตนเป็นผู้แพ้และจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้กับทางแอนดิซองด้วย ซึ่งแน่นอนว่าซาโลมที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูประเทศย่อมไม่มีทางหาเงินจำนวนมากมาจ่ายให้ได้  หนำซ้ำทหารที่ห่างไกลออกไปบริเวณชายแดนของสนามรบบางส่วนที่ยังไม่รู้ข่าวการพ่ายแพ้ของบลาสเซจ  และบางส่วนที่ยัง ไม่แน่ใจในบทบาทของอิสฮานที่ไม่ยอมขึ้นครองราชย์เสียที ก็ทำให้สงครามยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย


อังเดรเป็นผู้หนึ่งที่อยากให้สงครามครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุด เมื่อมีราชโองการเช่นนี้ และเขาไม่สามารถขัดได้ ด้วยความหวังว่าหากสงครามครั้งนี้จบลง เจ้าหญิงอลาน่าก็น่าจะเสด็จกลับมา  เขาจึงตัดสินใจว่าต้องถล่มซาโลมให้ราบคาบอย่างรวดเร็วที่สุด และคิดว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาหวัง และแล้วการรุกโจมตีอย่างดุเดือดและโหดเหี้ยมของแอนดิซองก็เริ่มขึ้น
« Last Edit: August 21, 2005, 02:34:42 AM by Little Angel » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #2 on: August 14, 2005, 11:20:47 PM »

   ทางฝ่ายฟีเลเซียนั้น คาร์ดินัล มาซิลิโอ้ ได้ติดต่อยื่นสมณฎีกาศาสนจักรสูงสุด มายังเกรเกอรี่ (ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอาร์คบิชอปแล้ว) ออกคำสั่งให้เขานำนักบวช และทหารศาสนจักรของฟีเลเซียเข้าร่วมกับฝ่ายแอนดิซองต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เกรเกอรี่ลำบากใจอย่างมาก  เขาคิดว่าสงครามนั้นน่าจะจบลงได้แล้ว การหลั่งเลือด และความสูญเสียนั้นมีมากมายเกินพอแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะเข้าร่วมและจุดชนวนไฟสงครามขึ้นมาใหม่  แต่เขาก็ไม่อาจขัดสมณฎีกาศาสนจักรของพระชั้นผู้ใหญ่เยี่ยงมาซิลิโอ  ในท่ามกลางความสับสนที่มิอาจหาคำตอบได้นี้ เกรเกอรี่อุทิศเวลาของเขาในการรำพึงภาวนาต่อสวรรค์ดั่งที่เขาทำอยู่เป็นประจำ โดยในครั้งนี้นั้น เขาได้อธิษฐานถามอารักขเทวดาทั้ง 5 ของเขาโดยบอกเจตจำนงไปว่า ตนนั้นไม่อยากนำศาสนจักรฟีเลเซียเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้เลย  ซึ่งเขาก็ได้รับคำตอบจากอารักขเทวดาทั้ง 5 ว่า พวกเธอก็มีความคิดของตัวเองเหมือนกัน แต่พวกเธอจะไม่ขอออกความเห็นอะไร หากเกรเกอรี่เห็นเช่นนั้นว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่สมควร ก็ขอให้เขาทำไปตามนั้นเถิด  เกรเกอรี่เมื่อได้รับคำตอบมาเช่นนั้นก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะยืนยันในความคิดของตน เขาจึงได้ตอบปฏิเสธไปยังทางคาร์ดินัล มาซิลิโอ้  สิ่งนี้ทำให้ระเบียบแห่งการลงโทษผู้ละเมิดสมณฎีกาถูกนำมาใช้ทันที อาร์คบิชอป เกรกอรี่ ต้องรับการลงโทษปลดออกจากตำแหน่งที่วิหาร ฟรานเชสก้า


เกรเกอรี่ถูกคุมตัวมารับการลงโทษที่วิหารฟรานเชสก้า  ณ ที่นั่น  ตรา ดีทีโอเลจิส ที่ประทับอยู่บนสมณฎีกาศาสนจักรได้ลุกโชนเป็นไฟสีขาวขึ้นมา ตราประทับนี้เป็นตราศักดิ์สิทธิ์ เมื่อประทับลงบนสมณฎีกาใดๆ สมณฎีกานั้นจะกลายเป็นกฏอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรที่มิอาจล่วงละเมิดได้ และเมื่อใดก็ตามที่มีการล่วงละเมิดกฎเกิดขึ้น ตรานั้นจะลุกเป็นไฟเพื่ออัญเชิญทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์กฎอันศักดิ์สิทธิ์มาลงทัณฑ์ผู้ล่วงละเมิด  โดยการปลดสมณศักดิ์ทั้งหมด และริบความศักดิ์สิทธิ์ พระพรจากสวรรค์ และอำนาจต่างๆคืนกลับสู่สวรรค์


 ดังนั้นเมื่อมีนักบวชปฏิเสธสมณฎีกาที่ประทับตรานี้ ตราดีทีโอเลจิสจึงเผาตัวเองเพื่ออัญเชิญ “ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์” ลงมาจากสวรรค์ ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ปรากฏกายขึ้นพร้อมร่างที่ใหญ่โตสูงจรดเพดานของวิหาร ปีกของท่านสยายออกกว้าง ดวงตาถูกปิด เพื่อจะไม่เกิดความรู้สึกเมตตาในผู้ที่จะถูกลงทัณฑ์ ในมือถือดาบอันใหญ่ และตราชั่งขนาดยักษ์ พร้อมที่จะลงทัณฑ์ผู้ล่วงละเมิดกฎอันศักดิ์สิทธิ์  เป็นเวลานั้นเองที่อารักขเทวดาทั้ง 5 ของเกรเกอรี่ปรากฏขึ้นและเข้าปกป้องเกรเกอรี่จากการลงทัณฑ์ในครั้งนั้น แต่อารักขเทวดาทั้ง 5 ไม่สามารถที่จะต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยว่าทูตสวรรค์องค์นั้นเป็นเทวดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือกว่าพวกตนมากนัก  ในเสี้ยววินาทีที่เกรเกอรี่จะถูกลงทัณฑ์นั้นเอง เขาได้ภาวนาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ภาวนาถามพระเจ้าว่าสิ่งที่ตนคิด สิ่งที่ตนเชื่อ และหวังนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และขอให้สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามพระประสงค์พระองค์   ทันใดนั้นเองเกิดแสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับการปรากฏของ “ทูตสวรรค์แห่งพระเมตตาของพระเจ้า” ทูตสวรรค์องค์นี้ปรากฏกายขึ้นพร้อมร่างกายที่ใหญ่โตไม่แพ้ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์เลย ท่านได้ปรากฎขึ้นด้านหลังของเกรกอรี่ และค่อย ๆ สยายปีกทั้ง 6 ออกอย่างช้า ๆ เปล่งรัศมีแสงสว่างกระจายออกมาจากร่างกายของท่าน จากนั้นทูตสวรรค์องค์นี้จึงค่อย ๆ ใช้ปีกขนาดใหญ่ทั้ง 6 โอบ เกรเกอรี่ และ อารักขเทวดาทั้ง 5 ของเขาไว้ ในการปกป้อง มือทั้งสองข้างของท่านประสานพนมมือ ขณะที่ใบหน้าเงยขึ้นสู่สวรรค์เบื้องบนวอนขอพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า  ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ได้ใช้ดาบฟาดฟันลงมาใส่เกรเกอรี่ แต่ปีกของทูตสวรรค์แห่งพระเมตตาของพระเจ้าก็ป้องกันไว้ได้หมดราวกับดาบนั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านเข้ามาเท่านั้น  ทูตสวรรค์แห่งพระเมตตาของพระเจ้านั้นเป็นทูตสวรรค์ที่พำนักในสวรรค์ชั้นสูงสุดซึ่งมียศและความศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ขึ้นไปอีก ทำให้ทูตสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์มิอาจทำอันตรายอะไรเกรเกอรี่ได้เลยแม้แต่น้อย  เมื่อเห็นเช่นนั้น ท่านจึงค่อย ๆ  ลดตาชั่งและดาบลง และกลับคืนสู่สวรรค์ไป  มาซิลิโอ้เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วก็ได้แต่ตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก เช่นเดียวกับบรรดานักบวชและทุก ๆ คนในวิหารที่ได้เป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้  เมื่อได้รู้แล้วว่าสวรรค์มีประสงค์เช่นไร มาซิลิโอ้จึงตระหนักว่าความคิดของตนนั้นผิด จึงได้เดินทางกลับโดยไม่ได้เอาความเกรเกอรี่หรือบังคับเขาต่อแต่อย่างใด และศาสนจักรทั้งของฟีเลเซีย และแอนดิซอง ก็ไม่เข้าร่วมในสงครามนี้อีกต่อไป  


ต่อมาเหตุการณ์นี้ได้เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า “พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระยุติธรรมของพระองค์”[/size]
« Last Edit: August 21, 2005, 02:35:17 AM by Little Angel » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #3 on: August 14, 2005, 11:26:11 PM »

แต่สำหรับทางฟีเลเซียแล้ว นี่เป็นคนละเรื่องกัน  ด้วยเหตุผลทางการเมืองราชสำนักของแอนดิซอง ส่งทูตอัญเชิญพระราชสาสน์ขอความช่วยเหลือในการรบมาที่ฟีเลเซีย ฟีเลเซียจึงมิอาจนิ่งเฉยต่อสงครามในครั้งนี้ได้ เพราะเมื่อคราทัพซาโลมบุกมายังฟีเลเซีย แอนดิซองก็ได้ให้ความช่วยเหลือยกทัพมาช่วยฟีเลเซียด้วย ดังนั้นในครั้งนี้ทางฟีเลเซียจึงจำเป็นต้องส่งทหารไปร่วมรบเข้ากับทางแอนดิซองเป็นการตอบแทนเช่นกันในฐานะพันธมิตร  กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 ที่อยู่ในสภาพกลัดกลุ้มพระทัยได้ปรึกษากับเรจิน่าพี่สาวของตนจนได้ให้ข้อสรุปกับทางแอนดิซองว่า จะส่งกองทหารม้าบิน เพกาซัส  ไปเข้าร่วมรบด้วย โดยตนนั้นจะนำทัพด้วยตนเอง  ซึ่งการที่ซิกมันด์ทำเช่นนี้นั้นก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องดึงทหารฟีเลเซียทั้งหมดเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย โดยเสียสละเพียงแค่ทัพเพกาซัสของตนเพียงทัพเดียว โดยยกเหตุผลว่าทัพเพกาซัสที่ตนยกทัพไปนั้น เป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุด และการที่กษัตริย์อย่างซิกมันด์ถึงกับเป็นผู้นำทัพไปเองนั้น ทำให้ทางแอนดิซองยอมรับในทัพที่เข้าร่วมของฟีเลเซีย  โดยฟีเลเซียก็สูญเสียน้อยที่สุดเช่นกัน


  ขณะที่สงครามที่ชายแดนกำลังดำเนินไป  ทัพแอนดิซองที่นำโดยอองเดรก็กำลังรุดหน้าเข้ามาทางเขตซาโลมเรื่อย ๆ เมื่อปราศจากกองทัพภูติผีของซาโลม และปราศจากการเข้าร่วมของฝ่ายศาสนา กองทัพของมนุษย์กับมนุษย์จึงได้เข้าห้ำหั่นกันอย่างป่าเถื่อน และโหดเหี้ยม โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฝ่ายซาโลมที่ระส่ำระสายและอ่อนแอได้เพลี่ยงพล้ำและเสียเปรียบได้พ่ายแพ้ และถอยหนีอย่างไม่เป็นท่า แม้สิ่งนี้จะสร้างความทุกข์และเสียใจให้อิสฮานอย่างมาก แต่อิสฮานกลับยังคงลังเลใจในเรื่องนี้อยู่ ตัวเขาไม่อยากสานสงครามครั้งนี้ต่อแล้ว เพราะสงครามนั้นนำมาซึ่งความเศร้า การสูญเสียและการพลัดพราก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการจากไปของมารดาอันเป็นที่รักของเขาซึ่งก็มีต้นเหตุมาจากสงครามนั่นเอง  แต่การจะปล่อยวางเฉยแบบนี้ก็ไม่ใช่การกระทำอันควรของผู้ปกครองซาโลม รัชทายาทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว และเขาก็ไม่สามารถทนแรงกดดันจากคนรอบข้าง ประชาชน และความตายของทหารซาโลมจำนวนมาก



ในห้วงแห่งความสับสนและลังเลใจนี่เองเป็นการเปิดช่องว่างให้มารร้าย SIN บาปที่ร้ายกาจที่สุด (Pecca Ignorantia) ได้เข้าแทรก     เพคคา อิคนอแรนเธีย  ได้ปรากฏขึ้นในสิริโฉมอันงดงามสว่างไสวราวทูตสวรรค์ ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอิสฮาน ล่อลวงให้อิสฮานเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย โดยมันได้ยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ขึ้นมา เช่น การกระทำนี้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ต้องปกป้องอาณาจักรเอาไว้  อาณาจักรที่แม่ได้ฝากฝังเอาไว้มิควรปล่อยให้ล่มสลายถูกอริศัตรูยึดเอาไปได้  และประชาชนมากมายก็ยังฝากความหวังไว้กับเขาด้วย  อิสฮานที่เริ่มจะคล้อยตามคำล่อลวงที่เต็มไปด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ ก็ได้รับการเตือนสติจากอารักขเทวดาของเขา อารักขเทวดาได้เตือนอิสฮานว่า เขาไม่สมควรจะไปรบ เพราะทุกอย่างจะคลี่คลายของมันเองเมื่อเวลามาถึง    แต่ SIN แห่งการละเลยก็ไม่ยอมแพ้ ได้ยกเหตุผลขึ้นมาอ้างต่อ โดยเหตุผลที่ทำให้อิสฮานสะดุดใจมากคือเรื่องของ พระมารดาของเขา (เนอริมอร์) ที่ตอนนี้ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ หากแต่ตกอยู่ในนรกของ SIN บาปโกรธา (Pecca Ira) ตามนิสัยของนางที่มักโกรธอยู่บ่อย ๆ    SIN ในคราบทูตสวรรค์ได้หลอกอิสฮานว่าหากเขาต้องการช่วยเหลือวิญญาณแม่ของเขา เขาต้องยอมเสียสละตัวเองไถ่บาปแทนแม่ ด้วยการช่วยเหลือผู้คนในซาโลม ยอมรับตำแหน่งจักรพรรดิ์ตามความหวังของแม่ และเข้าร่วมสงครามซะ  แล้วครองราชย์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แล้ววิญญาณแม่ของเขาจะหมดห่วงและไปสู่สุขติ เมื่อรวมเหตุผลนี้เข้ากับเหตุผลอื่น ๆ ที่ดูมีน้ำหนักและเป็นรูปธรรมที่ SIN ได้ยกขึ้นมาล่อลวงแล้ว อิสฮานจึงตัดสินใจเชื่อ  และประกาศเข้าร่วมสงครามในที่สุด โดยเขาได้นำทัพซาโลมออกรบ โดยมี วานาอัน ซูไลก้า และ ฟาริด ที่ติดตามเขาไปด้วย
« Last Edit: August 21, 2005, 02:35:40 AM by Little Angel » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #4 on: August 14, 2005, 11:27:56 PM »

 ทัพซาโลมของอิสฮาน และทัพแอนดิซองของอองเดร ได้เคลื่อนพลมาปะทะกันจนถึงสมรภูมิรบ เขตภูเขาหินทะเลทรายรกร้างในเขตทะเลทรายของซาโลม การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น  ซึ่งในครั้งนี้เป็นการประหัตถ์ประหารกันระหว่างมนุษย์และทหารล้วน ๆ โดยแท้ เพราะในครั้งนี้ไม่มีภูติผีปีศาจจากทางซาโลม เทวดาของทางฟีเลเซีย หรือแม้แต่อัศวินศาสนจักร ทัพนักบวชอื่นใด เข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามแล้ว  การรบในครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด และรุนแรงมากกว่าในทุก ๆ ครั้ง จากพื้นที่ที่เปิดโล่ง ชัยภูมิที่ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางป้องกันใด ๆ  ทำให้ทหารทั้งหมดต่อสู้นองเลือดกันอย่างตรง ๆ    ท่ามกลางไฟสงคราม เลือด และการฟาดฟันกันกลางทะเลทรายนั้น ค่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยของเจ้าหญิงอลาน่าและคณะซิสเตอร์ก็อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นด้วย  จำนวนผู้ประสบภัยและได้รับบาดเจ็บจากสงครามได้เพิ่มมากขึ้นจนอลาน่าแทบจะรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อยล้า กลัดกลุ้มกับสงครามที่ไม่ยอมจบลงเสียที และรู้สึกเวทนาสงสารผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องมาพัวพันกับการเข่นฆ่ากันเองของมนุษย์ด้วยกัน  ท่ามกลางห้วงแห่งความทุกข์ระทมของเธอนั้นเอง  เธอเริ่มเข้าใจความหมายของนิมิตที่เธอเคยได้รับในครั้งอดีต นิมิตจาก “ทูตสวรรค์แห่งถ้วย” (Angel of Cup)  


   ในครั้งอดีตตอนที่อลาน่าได้บวชเป็นซิสเตอร์ใหม่ ๆ นั้น เธอได้พบกับเด็กชายตัวเล็กๆที่ช่วยในพิธีมิสซา(พิธีกรรมทางศาสนา)คนหนึ่งชื่อ โฮลี่ เด็กคนนี้ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกเบื้องหน้ากระจกสีรูปเทวดาที่มีแสงส่องผ่านมาด้านหลัง จนทำให้เขาดูงดงามและสว่างไสวราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยที่มีปีกจริง ๆ และในระหว่างที่เธอบวชเป็นซิสเตอร์  โฮลี่ ก็คอยคุยและให้กำลังใจเธอด้วยดีเสมอมา แต่ที่แปลกคือเด็กคนนี้ปรากฏตัวอยู่เสมอ แม้แต่ในพิธีมิสซาที่มีเด็กช่วยมิสซาครบ 4 คนแล้ว โฮลี่ก็ยังอยู่ด้วย เป็นเด็กช่วยมิสซาคนที่ 5 ที่ไม่มีใครสังเกตหรือตะขิดตะขวงใจเลย  ในครั้งที่อลาน่าอาสาช่วยผู้ประสบภัยสงคราม ที่ค่ายนี้ โฮลี่ ก็ได้ติดตามเธอมาด้วย และคอยช่วยเหลือเธอด้วยดีมาโดยตลอด


จนกระทั่งคืนหนึ่งเวลาตี 3 ในที่พักของเธอในค่ายผู้ประสบภัย โฮลี่ได้มาปลุกเธอ และบอกว่า “มีใครบางคนต้องการพบซิสเตอร์ครับ” เขาพาอลาน่าไปที่กระโจมส่วนกลางที่ทำขึ้นชั่วคราวสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในค่ายผู้ประสบภัย เมื่ออลาน่าไปถึงที่นั่น เธอจึงสวดภาวนา เพื่อรอ “ใคร” ที่จะมาพบเธอ ทันใดนั้น ก็ปรากฏเกิดภาพนิมิตเป็นทูตสวรรค์แห่งถ้วยปรากฏกายขึ้นต่อหน้าอลาน่า ท่านกางปีกออกอย่างช้า ๆ ขณะที่มือข้างหนึ่งถือถ้วยเงิน และอีกข้างถือถ้วยทอง ท่านค่อย ๆ ปล่อยมือทั้ง 2 ข้างอย่างช้า ๆ แต่ถ้วยก็ยังคงลอยอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งท่านเอามือมาประทับที่หน้าอก ถ้วยเงิน และถ้วยทองก็จึงเอียงเข้าหากัน มีน้ำไหลออกมาจากถ้วยเงิน และโลหิต ไหลออกมาจากถ้วยทอง   ในตอนแรกนั้นอลาน่าเข้าใจว่าถ้วยแทนถึงผู้ที่จะมาช่วยทำให้สงครามจบลง และเมื่อเธอพบอิสฮานครั้งแรกตั้งแต่สมัยที่เขาเป้นเด็กหนุ่มติดตามมากับฮารีซัน เธอก็รู้ว่าถ้วยเงินแทนสื่อถึงอิสฮานผู้ต้องเสียสละน้ำตา และความทุกข์หลายครั้งในชีวิต เพื่อนำสันติสุขให้ผู้คน  แต่มาถึงตอนนี้เธอเข้าใจความหมายของนิมิตนั้นแล้วว่าถ้วยสีทองคือใคร และเลือดหมายถึงการเสียสละชีวิตของผู้เป็นถ้วยสีทองนั้นนั่นเอง


มีปรัชญทางเทวศาสตร์ของฟีเลเซียว่าไว้ว่า
“มนุษย์คือดาบในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า อันมีหน้าที่ปราบสิ่งชั่วร้ายผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม”

ตามแนวคิดชาตินักรบของฟีเลเซีย ขณะเดียวกันก็มีปรัชญาทางเทวศาสตร์ของแอนดิซองว่า
“มนุษย์เป็นดังถ้วยที่รองรับพระพรจากพระเจ้าเพื่อแจกจ่ายต่อให้ผู้อื่น ภาชนะแตกต่างกันไปตามแต่ละคนเพื่อที่จะรับพระพรที่ต่างกันออกไป  และขนาดของภาชนะจะแตกต่างออกไปตามคุณงามความดีของผู้นั้น”  
« Last Edit: August 21, 2005, 02:36:05 AM by Little Angel » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #5 on: August 14, 2005, 11:30:27 PM »

  การต่อสู้ในสมรภูมิรบดำเนินไปอย่างดุเดือด ศพแล้วศพเล่าตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนทัพหลักของอิสฮานเคลื่อนพลมาเผชิญหน้ากับทัพหลักของอองเดร เป็นตอนนั้นเองที่อลาน่าเดินออกมาจากค่ายและเดินเข้าไปกลางสมรภูมิรบในทันที ทหารแอนดิซองเมื่อเห็นเจ้าหญิงของตนก็รีบจะเข้าไปอารักขา ด้วยกลัวว่าเจ้าหญิงจะเป็นอันตรายจากการมุ่งร้ายของพวกซาโลม แต่พวกซาโลมก็หาทำอันตรายอะไรเธอไม่ เพราะทหารซาโลมจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากค่ายของเธอเช่นเดียวกัน และความเมตตาปราณีของเธอที่ไม่เคยแบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา ร่ำลือและได้รับการยกย่องจากทหารทุกคนในสมรภูมิรบ ทำให้ไม่มีใครเลยซะคนที่จะเข้าไปทำภัยอันตรายใด ๆ กับเธอ  ทั้งหมดได้แต่ยืนมองเธอค่อย ๆ เดินไปอย่างช้า ๆ กลางสมรภูมิรบราวกับตกในภวังค์

อลาน่าเดินขึ้นไปบนยอดชะโงกหินเตี้ยๆที่อยู่ตรงกลางสนามรบ ปักคทาของเธอลงบนกลางยอดนั้น พร้อมเริ่มสวดภาวนาขอพระเจ้าให้ตนได้ทำหน้าที่ถ้วยรองพระพรของพระเจ้า  ขอเสียสละตนเพื่อพิสูจน์ความรักยิ่งใหญ่ที่มนุษย์จะมีต่อเพื่อนมนุษย์

  ทันใดนั้นเองฟ้าสวรรค์เปิดออก ราวกับตอบรับคำภาวนาของเธอ แสงสว่างมหาศาลพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ฉายส่องลงมากลางสมรภูมิรบ แสงสว่างทั้งหมดพุ่งมายังสู่ซิสเตอร์อาลาน่าที่คุกเข้าเงยหน้าภาวนา จนดูราวกับเธอเรืองแสง  และแสงนั้นก็พุ่งอออกมาจากร่างของอลาน่าทุกทิศทุกทาง จนทำให้พื้นที่นั้นสว่างไสวราวกับเป็นกลางวันทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นมาก ตอนนั้นเองทุกคนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นมหาศาลที่แผ่ซ่านออกมาจากแสงนั้น บาดแผล ร่องรอยการต่อสู้ ตลอดจนอาการบาดเจ็บของแต่ละคนหายไปเป็นปลิดทิ้ง  แม้แต่ศพของคนที่ได้เสียชีวิตไปแล้วก็ได้กลับได้รับชีวิตลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างน่าอัศจรยย์  เวลานั้นทุกคนหยุดนิ่งหมด ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ไม่เพียงแสงนั้นจะมีผลต่อร่างกายภายนอก แต่ราวกับส่องทะลุเข้าไปในจิตใจ  เหล่านักรบที่เมื่อสักครู่มีแต่ความคิดที่จะฆ่าและทำลาย กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในจิตใจ  เริ่มคิดคำนึงถึงคนอันเป็นที่รักของตน คิดถึงบ้าน คิดถึงสิ่งดีงามทั้งหลายในชีวิต จนไม่มีความรู้สึกที่จะทำสงครามสู้รบอีกต่อไป  


แต่อีกสิ่งหนึ่งที่วานาอันที่อยู่ข้างอิสฮานในสนามรบสัมผัสได้คือ “ชีวิต” ของอลาน่าที่เอ่อล้นออกมาและกำลังแตกสลายลง

  “ถ้วยใบนี้รองรับพระพรจากพระองค์จนล้นเปี่ยมแล้ว” อลาน่ากล่าวออกมากับร่างของเธอที่สลายหายไปเหลือเพียงวิญญาณไปแล้วเพราะร่างกายของเธอได้รับพระพรอันมหาศาลจากสวรรค์ มากเกินกว่าภาชนะจะรับได้  เหมือนน้ำทั้งมหาสมุทรอัดลงในภาชนะเล็กๆก่อนภาชนะนั้นจะแตกและระเบิดพลังมหาศาลจนน้ำจากมหาสมุทรนั้นกระจายไปทั้งแผ่นดิน

อิสฮาน รีบรุดไปยังจุดที่อลาน่าอยู่ในทันที  อองเดร เมื่อทราบว่าเจ้าหญิงเดินเข้ามาในสนามรบก็รีบเข้ามาถวายอารักขาเช่นกัน แต่ทั้งหมดก็ไม่ทันได้มาถึงเธอ จนทุกอย่างได้เกิดขึ้นและสำเร็จลง  อองเดรนั้นเมื่อมาถึง เห็นเพียงวิญญาณเลือนรางที่อลาน่าคงไว้เพื่อร่ำลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ก็จิตใจแตกสลายล้มลงกับพื้น ตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายปลิดชีวิตตนทิ้งเสีย เพราะคิดว่าตนเป็นต้นเหตุของศึกในครั้งนี้ทำให้อลาน่าต้องตาย  แต่อลาน่ากลับห้ามเขาไว้และบอกว่าหากอองเดรรักและภักดีต่อตน ก็ให้อองเดรตอบแทนด้วยการทำตามหน้าที่ กลับไปดูแลประเทศแอนดิซองอย่างดี ขอให้ทำในสิ่งที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าหญิงของเขานั้นปรารถนาสิ่งใดเสมอมา  โดยที่ตนจะรอดูเขาอยู่บนสวรรค์เสมอ  ส่วนอิสฮาน อลาน่าบอกให้เขายุติสงครามลงเสีย และให้อิสฮานเชื่อเสียงลึก ๆ ในจิตใจของตนเอง  ส่วนคนอื่น ๆ นั้นอลาน่าก็บอกให้เลิกทำสงครามเข่นฆ่ากันได้แล้ว เพราะตนจะไม่อยู่ด้วยแล้ว ไม่สามารถช่วยรักษาทุกคนแบบครั้งนี้ได้อีกต่อไปแล้ว  อลาน่าฝากฝังทุกอย่างจนเสร็จแล้ววิญญาณของเธอก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมกับบรรดาเทวดาจากสวรรค์ที่พากันมาต้อนรับนำเธอเข้าสู่สวรรค์ ในบรรดาเทวดาองค์น้อยเหล่านั้นมี โฮลี่ เด็กช่วยมิสซาคนนั้นอยู่ด้วย แท้จริงแล้ว โฮลี่ เป็นอารักขเทวดาของเธอนั่นเอง เขาได้ปลอมตัวมาเป็นมนุษย์มาคอยให้ความช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด และบัดนี้เขามานำเธอขึ้นสู่สวรรค์ ตอบแทนความพากเพียรคุณงามความดีทั้งหมดที่เธอได้ทำมาบนโลกนี้


ทุกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็หมดความต้องการในสงครามและปรารถนาเพียงสันติสุข และ ทหารทั้งสองฝ่ายก็ละทิ้งสมรภูมินั้น เหลือเพียงอิสฮานที่ยังมองท้องฟ้า และอองเดรที่ร่ำไห้อย่างขมขื่น


ในที่สุดสงคราม 4 อาณาจักรอันยาวนานก็ได้ยุติลงจริง ๆ เสียที ผ่านการเสียสละชีวิตของอลาน่าที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนักบุญ (saint) ในเวลาอันสั้น  คทาที่เธอปักลงบนยอดหินนั้น ภายหลังก็ได้มีน้ำไหลออกมาจนเปลี่ยนทะเลทรายที่รกร้างแห่งนี้กลายเป็นโอเอซิส “ซานตาน่า” ในเวลาต่อมา ทัพของแต่ละอาณาจักรก็ได้ยกทัพกลับไปพร้อม ๆ กับสงครามที่ได้ปิดฉากลง
เรื่องทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะจบลงด้วยดีแล้ว แต่กลับมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่จบลงเสียทีเดียว นั่นคือเรื่องความรักระหว่างอิสฮาน กับ วานาอัน ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะลงเอยเช่นไรกันแน่…….[/size]
« Last Edit: August 21, 2005, 02:36:40 AM by Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.084 seconds with 20 queries.