Summoner Master Forum
November 27, 2024, 05:27:55 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายChapter 32 อัศวินสวรรค์ @@  (Read 9931 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: June 20, 2005, 04:47:29 AM »

Chapter 32 อัศวินสวรรค์
[/size]


                             ใกล้รุ่งสางแล้วในขณะที่วิหารแห่งฟรานเชสก้าถูกรายล้อมไปด้วยทหารผีนรกครึ่งแสนและเหล่าทหารเรือนแสนของซาโลมจนบริเวณโดยรอบแน่นขนัดไปหมด   เนื่องจากเพราะวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทำให้บรรดาผีร้ายแทบจะมอดไหม้ด้วยพลังแห่งสวรรค์   จึงถึงคราวที่ทัพมนุษย์ของซาโลมทำหน้าที่กวาดล้างต่อ   ทั่วลานหน้าวิหารจึงดาษดื่นไปด้วยศพของบรรดานักบวช ผู้ปกป้องวิหารและอัศวิน   เลือดของบรรดาผู้กล้าและผู้ศักดิ์สิทธิ์ไหลอาบชโลมไปทั่วลาน   ขณะนี้ในวิหารฟรานเชสก้าแทบไม่เหลือทหารหรือแม้แต่บรรดานักบวชที่จะปกป้องวิหารอีกแล้ว
                             ภายในวิหารฟรานเชสก้าแสงสว่างจากเปลวเพลิงภายนอกสาดส่องผ่านกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้าและมนุษย์   แสงหลากสีทอประกายสะท้อนเครื่องใช้ทองคำนานาชนิดจนเกิดกระกายแวววาวไปทั้งวิหาร   โทนสีน้ำตาลทองที่ใช้ตกแต่งภายในวิหารช่วยให้ผู้ที่เข้ามาในวิหารแห่งนี้รู้สึกจิตใจสงบเยือกเย็นขึ้นอย่างประหลาด   ความใหญ่โตและแน่นหนาของกำแพงวิหารช่วยสกัดกั้นเสียงรบราฆ่าฟันภายนอกจนเหมือนเสียงดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ  
                             บริเวณโดยรอบพระแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์เด็ก ๆ กว่าร้อยชีวิตกำลังอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวนและหวาดกลัวเพราะเพิ่งประสบชะตากรรมที่น่าสยดสยอง   ต่างร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทา  บางคนมีผ้าพันแผลตามร่างกายที่ขาบ้าง แขนบ้าง ศีรษะบ้างเพราะบาดเจ็บจากการถูกโจมตี   บ้างก็สวดภาวนาด้วยน้ำตานองหน้า  บ้างก็เกาะกอดมารดาร้องไห้อย่างน่าเวทนายิ่ง   พ่อแม่ของเด็ก ๆ ส่วนมากถูกสังหารในระหว่างสู้รบกับกองทัพปีศาจไปจนหมดสิ้น  เด็ก ๆ หลายคนรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิดด้วยความช่วยเหลือจากอัศวินหรือนักบวช   แล้วจึงถูกพามารวมกันไว้ที่วิหารแห่งนี้เพื่อรอคอยความช่วยเหลือของกองทัพใหญ่จากเมืองเอรีม   แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าพวกเขารอดตายมาเพื่อพบกับความสยดสยองยิ่งกว่า   ความหวาดกลัวจนแทบเสียสติกำลังบีบคั้นหัวใจดวงน้อย ๆ เหล่านี้  บิชอปเกรเกอรี่เองก็คุกเข่าอยู่หน้าพระแท่นศักดิ์สิทธิ์และยังคงสวดภาวนาด้วยใจร้อนรนอย่างไม่ย่อท้อ
                             “ท่านบิชอป” หัวหน้าผู้ปกป้องวิหารเดินเข้ามากระซิบเรียกเสียงเบา “ผู้ปกป้องวิหารและนักบวชที่เราจะส่งออกไปชุดนี้เป็นแปดสิบคนสุดท้ายแล้ว   พวกเราจะพยายามต้านไว้ให้นานที่สุด   เผื่อว่าทัพหลวงจะมาทันการณ์”
                             เกรเกอรี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง   บิชอปหนุ่มลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยเสียงมาดมั่น “ถ้าเช่นนั้น   เราก็จะออกไปกับพวกท่านด้วย”
                             “ไม่ได้นะท่านบิชอป   หากท่านออกไปใครจะปกป้องวิหารอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนี้เล่า   แล้วยังเด็ก ๆ เหล่านี้อีก   หากท่านไม่อยู่ที่นี่พวกเขาคงไม่รอดแน่”
                             ในกลุ่มนั้นมีมารดาที่ยังมีลูกเล็ก ๆ อยู่เกือบสิบคน   เมื่อพวกนางได้ยินดังนั้นก็ส่งลูกให้เด็กที่โตกว่าอุ้มไว้แม้เด็กน้อยหลายคนจะร้องไห้จ้าเพราะรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัยที่กำลังถาโถมเข้ามา   พวกนางก้าวออกมาสมทบกับหัวหน้าผู้ปกป้องวิหาร   หญิงแต่ละคนมีดาบติดตัวมาด้วย   นางหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้น แม้ดวงตาจะยังคงชื้นหมาดด้วยน้ำตา
                             “พวกเราจะร่วมรบกับพวกท่านด้วย”
                             “พวกเจ้า...”
                             “หากพวกเราสามารถถ่วงเวลาได้แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีพวกเราก็จะทำ   ขอแค่มีโอกาสเพียงน้อยนิดเพื่อให้พวกเขาอยู่รอด   พวกเราก็เต็มใจสละชีวิตคะ” นางปรายตามองลูกน้อยและเด็ก ๆ นับร้อยที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
                             หัวหน้าผู้ปกป้องวิหารเม้มปากแน่น  พูดอะไรไม่ออก   เขาพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ   แล้วจึงหันไปหาบิชอปเกรเกอรี่ “ท่านบิชอป   ระบบกลไกการเปิดปิดประตูของวิหารแห่งนี้ถูกออกแบบมาอย่างดี   เมื่อพวกเราออกไปและผลักบานประตูปิดสนิทแล้ว   ไม้คานจะหล่นลงมาสับขวางบานประตูพอดี   ประตูวิหารของเราแข็งแกร่งมากคงจะพอต้านพวกมันไว้ได้นานทีเดียว   แต่เพื่อความไม่ประมาทข้าเห็นว่าท่านควรจะเคลื่อนย้ายเด็ก ๆ ขึ้นไปบนห้องลับใต้ยอดโดมของวิหาร   ทางขึ้นอาจจะลึกลับซับซ้อนอยู่บ้างแต่ก็เป็นที่หลบซ่อนตัวได้อย่างดีทีเดียว   เผื่อว่าหากพวกซาโลมสามารถบุกเข้ามาได้   พวกมันก็ยังต้องเสียเวลาอีกไม่ใช่น้อยในการตามหาพวกท่าน”
                             หัวหน้าผู้ปกป้องวิหารกล่าวเสียงเครียด  สีหน้าอิดโรยเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการปกป้องวิหารและรู้ดีว่าในครั้งนี้เขาและคนอื่น ๆ จะไม่ได้กลับมาอีก   เขากวาดตามองวิหารที่เขากำลังจะใช้ชีวิตปกป้องอย่างภาคภูมิใจ
                             “ท่านบิชอปวันนี้พวกเราได้ปกป้องวิหาร ท่าน และเด็ก ๆ เหล่านี้ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง   วันนี้เองเราจะได้มองและสวดภาวนาช่วยเหลือพวกท่านในสวรรค์” เขาสูดหายใจลึก กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “นี่ก็ได้เวลาแล้วท่านบิชอปโปรดอวยพรให้พวกเราด้วย”
« Last Edit: June 22, 2005, 06:13:13 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: June 20, 2005, 04:48:40 AM »

                            ทันทีที่พูดจบกองทัพย่อยชุดสุดท้ายก็เดินมาสมทบด้วยจนครบทุกคนพอดี   เกรเกอรี่มองใบหน้าของทุกคนราวกับจะพยายามจดจำใบหน้าของเหล่าวีรบุรุษวีรสตรีเหล่านี้ไว้ในใจตลอดไป  ดวงตาของเขาปวดร้าวจนแสบร้อน   การกล่าวอวยพรให้กับผู้ที่จะออกไปสละชีวิตเพื่อตนเองนั้นช่างเจ็บปวดทรมาน   หัวใจรวดร้าวอย่างที่สุดที่ต้องส่งพวกเขาออกไปเพื่อไปตายอย่างทรมานข้างนอกนั่น   ทุกข์ระทมที่ไม่สามารถร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนพี่น้องได้   ทั้งเวทนาสงสารเด็ก ๆ ที่ต้องพลัดพรากและกำพร้า   หัวใจของเขาหนักอึ้ง  ความรู้สึกต่าง ๆ ประดังเข้าจู่โจมเขาจนแทบจะล้มทั้งยืน   แต่เขาต้องเข้มแข็งและยืนหยัดเพื่อผู้ที่ยังเหลืออยู่   เกรเกอรี่กล่าวอย่างยากลำบาก
                            “พี่น้องทั้งหลาย   เราไม่อาจบรรยายความทุกข์โศกเสียใจที่ไม่สามารถร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกท่าน   ไม่สามารถบรรยายความซาบซึ้งใจและสำนึกในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพวกท่านให้ออกมาเป็นคำพูดได้   แต่เรารู้ว่าการกระทำของพวกท่านในวันนี้จะไม่สูญเปล่า  ความกล้าหาญและเสียสละของพวกท่านจะตราตรึงอยู่ในจิตใจของประชาชนชาวฟีเลเซียตลอดไป  เราสัญญาว่าจะปกป้องวิหาร และเด็ก ๆ จนสุดความสามารถแม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก” คำพูดของบิชอปทำให้เหล่าบรรดาผู้กล้าต้องหลั่งน้ำตา   รอยยิ้มแห่งความเชื่อมั่นฉาบอยู่บนใบหน้าของเขาทุกคน
                            “ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดพิทักษ์ดูแลพวกท่าน  เสริมกำลังกายกำลังใจให้เข็มแข็ง  ขอพระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์มาปกป้องคุ้มครองจิตวิญญาณของพวกท่านมิให้มารร้ายมาแย่งชิงไป   และเมื่อท่านจากร่างกายที่เน่าเปื่อยได้นี้ไปก็ขอพระองค์ทรงรับดวงวิญญาณของพวกท่านให้ได้รับการพักผ่อนตลอดนิรันดรในสวรรค์กับพระองค์”  
                            เมื่อสิ้นคำบิชอปแห่งฟีเลเซียทุกคนก็อยู่ในอาการนิ่งสงบ   ไม่มีคำพูดใด ๆ ต่อกันอีกแล้ว   มีเพียงสายตาที่มุ่งมั่นและจิตใจแน่วแน่ที่จะต่อสู้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย   กองทัพทำความเคารพต่อหน้าพระแท่นศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะตบเท้ามุ่งหน้าเดินไปยังประตูใหญ่ของวิหารโดยมีสายตาที่เจ็บปวดของเกรเกอรี่มองส่งพวกเขา   มือของเกรเกอรี่กำรอบไม้เท้าประจำตำแหน่งแน่นจนสั่นเกร็ง   กรามขบแน่นเต็มไปด้วยความทุกข์   ได้แต่ยืนนิ่งมองดูแผ่นหลังของพวกเขาจนลับสายตาไปแล้วจึงหันกลับมามองเด็ก ๆ   สายตาของเด็ก ๆ ที่มองตอบกลับมานั้นเต็มไปด้วยความสับสน หวาดกลัว และไม่มั่นคง   บิชอปหนุ่มจึงผายมือออกพยายามยิ้มให้เด็ก ๆ   ซึ่งก็ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกมีความหวังขึ้นมาแม้เพียงน้อยนิด
                            “มาเด็ก ๆ   เราจะขึ้นไปชั้นบนกันนะ   เด็กคนไหนที่โตแล้วช่วยจูงน้องที่เล็กกว่าด้วย   มา...เดินมาทางนี้” เกรเกอรี่ออกเดินนำและช่วยจูงเด็ก ๆ มุ่งหน้าไปยังทางขึ้นวิหาร   ซึ่งบรรดาเด็ก ๆ ก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง   เด็กหญิงอายุประมาณเก้าปีวิ่งตามเกาะชายเสื้อของเกรเกอรี่โดยที่อีกมือจูงน้องชายวัยหกปีมาด้วย  พลางเอ่ยถามอย่างร้อนรน
                            “พวกปีศาจน่ากลัวนั่นจะเข้ามาได้ไหมคะ?   แล้วพ่อแม่ของพวกหนูจะตามหาพวกหนูพบไหมคะ?”
                            “ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะหนูน้อย   ฉันจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำร้ายทุก ๆ คนเด็ดขาด   แต่สำหรับพ่อแม่ของหนู...” เกรเกอรี่เงียบไปชั่วอึดใจไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดีว่าภายนอกวิหารแทบจะไม่มีใครรอดชีวิตแล้ว เขามองเด็กน้อยยกมือลูบศีรษะเบา ๆ “เรามาช่วยกันสวดให้พวกท่านปลอดภัยกันเถอะ”
                            “พวกเราจะตายไหมครับ?”  เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีคนหนึ่งถามขึ้น  ใบหน้าดูมอมแมมที่สองแก้มยังคงมีรอยคราบน้ำตาปรากฏอยู่   เสื้อของเขามีรอยเลือดกระเซ็นเป็นทาง   คงจะเป็นคราบเลือดของพ่อและแม่ที่พยายามปกป้องเขานั่นเอง   คำถามของเขาพาลทำให้เด็กคนอื่น ๆ ใจเสีย   ทุกคนมองบิชอปอย่างคาดหวัง   เกรเกอรี่จึงโอบไหล่เด็กชายเขย่าเบา ๆ
                            “ไม่หรอก   พวกเราจะต้องปลอดภัย   พระเจ้าจะทรงคุ้มครองพวกเรา”
                            เสียงเฮโลและเสียงศัตราวุธกระทบกันดังแววมาจากที่ไกล ๆ ก่อนที่เสียงบานประตูกระแทกปิดจนดังสะท้อนก้องไปทั้งวิหาร   ทำเอาเด็ก ๆ สะดุ้งกันสุดตัวและเหลียวหลังหันกลับไปมองยังทิศทางที่ตั้งของประตูใหญ่   แม้จะมองไม่เห็นที่มาของเสียงแต่ก็ทำให้เด็ก ๆ ห่อไหล่จนตัวลีบรีบก้าวเดินกันเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ    ถึงจะเหนื่อยหอบและเหงื่อไหลจนเสื้อผ้าชื้นแฉะไปทั้งตัวแต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่นหรือชะลอฝีเท้าลงเลย   เกรเกอรี่เดินนำเด็ก ๆ เลี้ยวลดไปตามบันไดเวียนที่ซับซ้อนจนกระทั่งขึ้นมาถึงห้องชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องที่อยู่ใต้โดมของวิหาร   ห้องลับนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ลี้ภัยชั่วคราวของบุคคลสำคัญต่าง ๆ เพราะดูภายนอกจะมองเห็นเป็นเพียงแค่โดมที่สวยงามธรรมดา ๆ ไม่ต่างจากโดมอื่น ๆ ของวิหารแห่งนี้   ห้องนี้โออ่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นอย่างครบครัน   แต่ก็ไม่ถึงกับฟุ่มเฟือย   ที่มุมห้องด้านหนึ่งมีพระแท่นเล็ก ๆ ไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย   ผนังห้องทุกด้านตั้งแต่พื้นจรดเพดานถูกวาดเป็นลวดลายที่เกี่ยวกับศาสนาอย่างสวยงาม   ความสูงของห้องลับนี้ทำให้เสียงการสู้รบอย่างดุเดือดดังขึ้นไปไม่ถึง   บรรดาเด็ก ๆ จึงค่อยสงบใจลงได้   บางคนเริ่มมองสำรวจรูปภาพและเครื่องใช้ในห้อง   เกรเกอรี่นำเด็ก ๆ สวดอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าโดยมอบหมายให้เด็กที่โตที่สุดในกลุ่มดูแลเด็ก ๆ และนำสวดแทนเขา   จากนั้นจึงออกเดินลัดเลาะทางแคบ ๆ ที่นำไปสู่ระเบียงเล็ก ๆ ของโดมหนึ่งบนยอดวิหาร
« Last Edit: June 20, 2005, 04:50:27 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: June 20, 2005, 04:49:58 AM »

                           ทันทีที่มาถึงระเบียงนั้นและมองเห็นสภาพเบื้องล่างบริเวณลานหน้าวิหาร   เกรเกอรี่ก็แทบล้มทั้งยืนเมื่อเห็นทั่วทั้งลานอาบชโลมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน   ร่างแหลกเหลวแทบไม่เหลือชิ้นดีของบรรดาอัศวิน นักบวชและผู้ปกป้องวิหารนอนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น   กลิ่นคาวเลือดโชยพัดขึ้นมาราวกับจะร้องหาความเมตตาจากสวรรค์   กองทัพที่ออกไปเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งและกำลังจะไม่เหลือแม้สักคน   เกรเกอรี่คุกเข่าลงและเริ่มสวดภาวนาต่อพระเจ้าอย่างร้อนรน   แม้เขาจะไม่สามารถร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกคนได้   แต่เขายังสามารถสวดภาวนาวิงวอนพระเจ้าเพื่อพวกเขา   บิชอปหนุ่มสวดภาวนาอย่างร้อนรนมากยิ่งขึ้นเมื่อสายตาของเขามองเห็นนักบวชสององค์ต้องหันหลังชนกันสู้เพราะถูกล้อมด้วยทหารนับร้อยของซาโลม   ไม่ไกลนักผู้ปกป้องวิหารคนหนึ่งกำลังถูกอาวุธนานาชนิดประเคนใส่อย่างเหี้ยมโหด   นักรบหญิงคนหนึ่งซึ่งเกรเกอรี่จำได้ว่าเป็นแม่ของเด็กทารกคนหนึ่งที่อาสาออกไปร่วมรบด้วยเมื่อสักครู่ก็กำลังถูกไล่ต้อนไปทางทหารปีศาจที่กำลังหิวโซ   บริเวณหน้าประตูวิหารกองทัพซาโลมหลายร้อยคนรายล้อมชายคนหนึ่งก่อนที่บิชอปจะเห็นถนัดตาว่าคือหัวหน้าผู้ปกป้องวิหารนั่นเอง   เลือดของเขานั้นไหลโทรมกาย   ทั่วทั้งตัวมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง   แต่เขาก็ยังสู้อย่างไม่คิดชีวิตและไม่ยอมให้ทหารซาโลมแม้สักคนเดียวเข้าใกล้ประตูวิหาร   หลาย ๆ คนที่ยังเหลืออยู่แม้จะเก่งกาจและสู้อย่างไม่เสียดายชีวิตซึ่งก็สามารถปลิดชีพทหารซาโลมไปได้ไม่น้อย   ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานกับกองกำลังที่มากมายเรือนแสนของทัพซาโลมได้เลย
                            เมื่อเสียงศัตราวุธค่อย ๆ เบาลงจนกลายเป็นเงียบสนิท   เกรเกอรี่รับรู้ได้ทันทีว่าบรรดาผู้กล้าทั้งหลายล้วนพลีชีพของตนจนไม่มีใครเหลืออีกแล้ว   บิชอปหนุ่มเข่าอ่อนทรุดฮวบลงนั่งกับพื้น   ท่ามกลางเสียงโห่ร้องในชัยชนะของทหารซาโลมที่ดังกระฮึ่มเหมือนจะเขย่าทั้งวิหารให้พังทลาย   น้ำตาแห่งความขมขื่นของเกรเกอรี่ไหลร่วงลงสู่พื้น   บิชอปร้องตะโกนขึ้นอย่างปวดร้าว      
                            “ข้าแต่พระเจ้า   เหตุใดพระองค์จึงทรงทอดทิ้งลูก ๆ ของพระองค์เล่า?” เกรเกอรี่ซบหน้าลงกับพื้นร้องหาพระเมตตาจากพระเจ้าอย่างขมขื่น  
                            เสียงโห่ร้องอย่างยินดีของทหารซาโลมยังคงดังสนั่นก้องราวกับจะเย้ยหยามความเชื่อมั่นของเกรเกอรี่   ทุกข์ใจแสนสาหัสเกินกว่าที่จิตใจจะรับได้   บิชอปหนุ่มสะอื้นไห้อย่างขมขื่น   ภาพการตายของเหล่านักบวช ผู้ปกป้องวิหาร และบรรดาอัศวินผู้กล้าทั้งหลายยังคงแจ่มชัดอยู่ในมโนจิต   จนเมื่อเกรเกอรี่รู้สึกว่าเสียงไชโยโห่ร้องเบื้องล่างเงียบหายไป   ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นไห้ของตนที่ยังคงดังอยู่จึงได้ลืมตาขึ้น   แล้วเขาก็ได้พบว่ามีแสงสว่างเจิดจ้าลอดผ่านหมวกทรงสูงและช่องแขนของเขาเข้ามา   เกรเกอรี่รู้สึกตัวและเงยหน้าขึ้นมองเพื่อพบกับแสงที่สว่างเจิดจ้าจนดวงตาของเขาพร่าเลือนไปในทันที   เกรเกอรี่รีบยกมือขึ้นป้องบังสายตาด้วยความตื่นตระหนกระคนประหลาดใจ      
                            ทันใดนั้นท้องฟ้าเหนือวิหารแหวกออกพร้อมกับลำแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วเมืองวอลเนียแข่งกับแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์ที่ส่องประกายสีเงินยวงจับอยู่ที่ขอบฟ้า   เมื่อมองลงไปยังทัพซาโลมเบื้องล่างก็เห็นทั้งทหารปีศาจและทหารมนุษย์ถูกย้อมด้วยแสงเจิดจ้านั้นจนทั้งกองทัพแทบจะกลายเป็นสีขาว   ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยดวงตาเบิกโพลงที่ตื่นตระหนกและหวาดหวั่น   กองทัพเพลิงได้แต่ยืนนิ่งตะลึงจ้องมองดวงไฟเจิดจรัสนั้น   บิชอปหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือวิหารฟรานเชสก้าและเห็นว่าจุดกำเนิดของลำแสงเจิดจ้านั้นค่อย ๆ เคลื่อนต่ำลงมาเรื่อย ๆ   จนเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสงจ้านั้นเขาก็ต้องตกตะลึงอย่างที่สุด   แขนทั้งสองยกชูขึ้น   โดยไม่รู้ตัวริมฝีปากของเขาก็ขยับพูดเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ
« Last Edit: June 20, 2005, 04:50:52 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: June 20, 2005, 04:53:04 AM »

                            “อัศวินสวรรค์(Heaven Knight)”
                            สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือวิหารใจกลางแห่งลำแสงนั้น   ปรากฏร่างของอัศวินสวรรค์องค์หนึ่งในชุดเกราะสีทองขลิบเงินเปล่งประกายเจิดจ้าไม่ต่างกับแสงแห่งดวงอาทิตย์   ปีกสีขาวบริสุทธิ์อันใหญ่โตทั้งสี่กางแผ่ทอแสงสีเงินพราวระยิบระยับปกคลุมตัววิหารแห่งฟรานเชสก้าจนหมด   ในมือขวาถือหอกปลายแหลมขนาดใหญ่สีทองอร่าม   ดวงตาของอัศวินสวรรค์นั่นปิดสนิทอย่างผู้มีจิตสงบนิ่ง   สรรพสิ่งต่าง ๆ ดูจะนิ่งสงบลงทันทีเมื่ออัศวินแห่งสวรรค์ปรากฏกายขึ้น   ก้อนเมฆบนท้องฟ้าหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว   แม้แต่สายลมที่เคยพัดวูบไหวผ่านเมืองวอลเนียเป็นประจำก็ยังเงียบหายไป   เหมือนกาลเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ
                            ราชินีเนริมอร์ บลาส เซจและแบล็ค ไวเซอร์ต่างตกตะลึงและประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ดวงเล็กที่สว่างสุกใสอีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือเมืองวอลเนีย
                            “นั่นมันอะไรกัน?   เมืองนี้มีดวงอาทิตย์ประหลาดขึ้นด้วยอย่างนั้นรึ?” ราชินีเนริมอร์ตรัสดวงเนตรยังคงจับจ้องดวงไฟกลมโตสว่างจ้านั้นด้วยความฉงน   ในขณะที่บลาส เซจเองก็มองดวงไฟนั่นด้วยความงงงวยเพราะไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต
                            “มีทางเดียวที่เราจะรู้ได้” แบล็ค ไวเซอร์พูดออกมาในที่สุดหลังจากนิ่งอึ้งไปนานเช่นกัน   จอมเวทย์ดำพูดด้วยเสียงแหบต่ำสั่งเจ้านกปีศาจให้บินไปสังเกตการทันทีโดยที่สายตาของเขายังคงจับจ้องดวงไฟประหลาดไม่วางตา   แต่เจ้านกปีศาจกลับหรี่ตาจ้องมองรี ๆ รอ ๆ อย่างไม่วางใจจนทำให้แบล็ค ไวเซอร์ต้องออกคำสั่งอีกครั้งด้วยเสียงดุเจ้านกปีศาจจึงยอมบินไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก   ทว่ามันบินยังไม่ทันถึงไหนก็รีบบินกลับมาพร้อมกับตีปีกร้องเสียงโหนหวนอย่างหวาดกลัว   ในขณะที่แบล็ค ไวเซอร์เองก็กลับซวนเซจนต้องก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อทรงตัว   ซึ่งทำให้ทั้งราชินีเนริมอร์และบลาส เซจยิ่งงงงวยและประหลาดใจขึ้นเป็นทวีคูณ
                            “แม้พระเจ้าก็ยังเข้าข้างมันรึนี่” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างยากลำบาก  

                            อัศวินสวรรค์ยังคงลอยอยู่เหนือวิหารอย่างสงบนิ่งท่ามกลางสายตานับแสนคู่ที่จับจ้องด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง   แต่เพียงแค่อัศวินแห่งสวรรค์ขยับปลายปีกเบา ๆ ก็ทำให้เหล่าทหารปีศาจสะดุ้งโหยง   ครั้นแล้วดวงตาที่ปิดสนิทก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นดวงตาสีทองประกายคมกล้าที่แทบจะหยุดลมหายใจของเหล่าปีศาจร้ายด้วยเพียงแค่การจ้องมองเท่านั้น   บรรดากองทัพปีศาจเริ่มตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวแต่ก็มิได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหนเหมือนหนึ่งว่าขาทุกคู่ถูกตรึงยึดไว้กับพื้นดิน   ส่วนทหารมนุษย์ของซาโลมเล่า   บางคนที่ยังพอมีสติก็เริ่มวิ่งออกจากบริเวณลานหน้าวิหารกันจ้าละหวั่นเมื่อเห็นอัศวินสวรรค์เงื้อแขนข้างที่ถือหอกขึ้น   ฉับพลันนั้นอัศวินสวรรค์ก็ตวัดหอกใส่กองทัพเพลิงเบื้องล่าง   เกิดลำแสงเจิดจ้าสีทองเป็นวงโค้งเสี้ยวพระจันทร์ตัดผ่านลำแสงสีเงินยวงฟาดกระแทกลงไปยังบริเวณหน้าวิหารจนพื้นสะเทือน   แล้วจึงแตกตัวแผ่กระจายออกเป็นวงกว้างสีทองอย่างรวดเร็วโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ลานหน้าวิหาร   วงแหวนแสงสีทองที่เหมือนกับลำแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องผ่านไปถูกทหารคนใดร่างของทหารคนนั้นก็แตกสลายมลายไปราวกับถูกลำแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย  
                            ทันทีที่แสงสีทองนั้นกลืนร่างทหารปีศาจแถวหน้าไปพร้อม ๆ กับเสียงหวีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมานของทหารปีศาจที่บาดแหลมลึกเข้าไปถึงในโสตประสาท   เพียงเท่านั้นเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุดขีดของเหล่าทหารปีศาจตัวอื่น ๆ ก็แผดดังสลับกับเสียงร้องของทหารมนุษย์จนสนั่นลั่นเมือง   ในขณะที่ทัพซาโลมทั้งทหารผีนรกและทัพมนุษย์ต่างก็วิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่สนใจว่าใครจะหกล้มหรือว่าตนได้เหยียบย่ำร่างของเพื่อนร่วมทัพคนใดไปบ้าง
ทั้งทหารผีนรกและทหารมนุษย์ต่างวิ่งสุดชีวิตเพื่อหนีวงแสงสีทองที่แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็วแต่แค่เพียงพริบตาเดียวก็ถูกแสงสีทองนั้นกลืนหายไปจนหมดสิ้น    วงแหวนสีทองขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วแสงและแผ่ขยายเข้าใกล้กับบริเวณเชิงผาที่มั่นของซาโลมเข้ามาเรื่อย ๆ    ผู้ทรงอำนาจทั้งสามต่างเบิกตาโพลงยืนตะลึงงันจับจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกจนแทบจะลืมหายใจ   สมองสั่งการให้รีบหนีออกจากบริเวณเชิงผาเพื่อเอาชีวิตรอดแต่ร่างกายกลับแข็งทื่อจนขยับตัวไม่ได้      จนเมื่ออีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าแสงทองจะแผ่กระจายมาถึงบริเวณเชิงผา   แสงสีทองนั้นก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ  และเมื่อลำแสงแผ่มาถึงบริเวณเชิงผาแสงสีทองก็จางหายไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงสายลมแรงที่พัดกรรโชกใส่ร่างบุคคลทั้งสามจนล้มหงายลงไปนอนนิ่งกับพื้น   ทั้งสามเนื้อตัวเย็นยะเยือกราวกับถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง   หัวใจแกว่งกระตุกจนเหมือนกับจะหยุดเต้นเสียให้ได้   กว่าทั้งสามจะได้สติพอจะมีกำลังลุกขึ้นก็ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่   เมื่อลุกขึ้นได้ภาพเบื้องหน้าก็ทำให้ทั้งสามต้องเข่าอ่อนยวบลงอีกครั้ง   ดวงไฟเจิดจ้าเหนือวิหารหายไปแล้ว   แสงทองของดวงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วเมืองวอลเนียเพื่อให้บุคคลทั้งสามเห็นได้ถนัดตาว่ากองทัพเรือนแสนอันเกรียงไกรแห่งซาโลมได้อันตรธานไปพร้อมกับแสงทองของดวงอาทิตย์    
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: June 20, 2005, 04:54:39 AM »

                           “นี่มันเรื่องงี่เง่าบ้าบออะไรกัน!!” กษัตริย์ซาดิน คำรามเสียงกร้าวใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด   พระองค์แทบจะคลั่งอาละวาดอยู่บนบัลลังก์   แก้วเหล้าถูกเขวี่ยงออกไปยังบุคคลทั้งสี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ถูกแม่ทัพร่างยักษ์จนเหล้าสีอำพันสาดกระจายไปทั่ว   “ข้าส่งพวกปัญญาอ่อนไปนำทัพรึไง?”
                            กษัตริย์ซาดินทรงไล่สายตามองหน้าบุคคลทั้งสี่ตั้งแต่องค์ราชินีเนริมอร์ อุปราชบลาส เซจ จอมเวทย์ดำ แบล็ค ไวเซอร์ จนถึงจอมทัพทมิฬราโชยูด้วยอารมณ์เดือดดาลอย่างที่สุด   อุณหภูมิภายในห้องร้อนระอุจนแทบจะลุกเป็นไฟ  
                            “พวกเจ้าคุมทัพกันประสาอะไร? ถึงทำให้ข้าเสียไพร่พลไปเป็นแสน   พวกเจ้าคิดว่าข้าเสียเวลาฝึกพวกมันมาเป็นปี ๆ เพื่อให้พวกมันมาตายในวันเดียวรึ?” กษัตริย์ซาดินตวาดใส่ราชินีเนริมอร์  บลาส เซจและแบล็ค ไวเซอร์   ก่อนจะกระแทกเสียงใส่ราโชยูพร้อมกับใช้พระหัตถ์ปัดโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ จนคว่ำกระจาย “แล้วเจ้า...เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่กลับพ่ายแพ้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นอย่างน่าอับอายขายหน้าที่สุด”
                            ราโชยูก้มหน้านิ่งไม่กล้ากล่าวคำใด ๆ   รู้สึกอัปยศอดสูใจยิ่งนัก   ร่างกายบอบช้ำเพราะตกจากที่สูงแต่จิตใจกลับเจ็บแค้นยิ่งกว่า   หากไม่ได้ร่างของมังกรดำช่วยรับแรงกระแทกไว้เขาก็คงจะตายไปแล้ว   ทว่าแรงกระแทกนั้นก็ทำให้เขาหมดสติลงทันทีเช่นกัน   หากเหล่ารองแม่ทัพผู้ภักดีไม่ตามหาเขาจนพบแล้วรีบพาหลบหนีออกจากสนามรบ   เขาก็คงไม่มีโอกาสมายืนอยู่ตรงนี้อีกแน่
                            ทั้งสี่ต่างมองหน้ากันพยายามคิดหาวิธีหยุดความเกรี้ยวกราดของกษัตริย์ซาดินให้ได้ก่อนจะลุกลามจนห้ามไม่อยู่   เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงเงียบอยู่   บลาส เซจ จึงตัดสินใจเป็นผู้เจรจาในที่สุด
                            “ฝ่าบาท...”
                            “หุบปาก!” กษัตริย์เพลิงตวาดกลับทันทีด้วยความเดือดดาลจนทำให้ผู้พูดต้องผงะด้วยความตกใจ
                            “ซาดิน   พวกเราก็โกรธ ผิดหวังและเสียใจไม่ต่างกับท่านที่เราต้องเสียทหารไปมากมายขนาดนี้   แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันเกินกว่าที่เราจะควบคุมได้จริง ๆ ” ราชินีเนริมอร์ทรงกล่าวขึ้นด้วยนำเสียงวิงวอน
                            “เจ้ายังมีหน้ามาพูดได้อีกรึ?” ซาดินคำราม “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้าทำพลาดและครั้งนี้เจ้าพลาดอย่างร้ายแรงด้วย”
                            คราวนี้ราชินีเนริมอร์เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างเมื่อถูกจี้ด้วยความผิดพลาดครั้งเก่า   ทั้ง ๆ ที่นางก็ได้ทำการชดเชยความผิดไปแล้ว “แล้วทีท่านละ   อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าท่านเองก็มั่วแต่สนุกกับการหยอกล้อแม่ทัพสาวนั่น”
                            กษัตริย์ซาดินลุกขึ้นพรวดยืนจ้องภรรยาของตนด้วยความโกรธจัดที่ถูกจี้จุดเข้าบ้าง   เมื่อสถานการณ์เริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ   เจ้านกปีศาจก็หวีดร้องเสียงดังจนบุคคลทั้งสองต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจก่อนที่ แบล็ค ไวเซอร์จะรีบฉวยโอกาสกล่าวแทรกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ
                            “ถ้าเช่นนั้นขอฝ่าบาททรงทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองเถิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”  
                            “เจ้าพูดอะไรของเจ้า!” กษัตริย์ซาดินตวาดเสียงดังจ้องมอง แบล็ค ไวเซอร์ ด้วยสายเนตรแข็งกร้าวดุดันอยู่ครู่หนึ่ง   ก่อนที่จะทรงทบทวนคำพูดของจอมเวทย์ดำที่ผ่านสมองเข้ามา   แล้วจึงยอมอ่อนข้อลงในที่สุด
                            “จะทำอะไรก็รีบ ๆ จัดการซะ” กษัตริย์ซาดินกระชากเสียงตอบก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
                            ทุกคนแทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก   แบล็ค ไวเซอร์ รีบสั่งให้ทหารจัดเตรียมอ่างน้ำขนาดใหญ่ทันที   เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว   แบล็ค ไวเซอร์ก็จัดแจงสะกดนกปีศาจและควักเอาลูกตาข้างหนึ่งออกมา   แบล็ค ไวเซอร์นำลูกตาที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดปีศาจของมันใส่ลงไปในอ่างน้ำพร้อมกับท่องคาถาวาดมือเหนืออ่างน้ำ   เพียงครู่เดียวก็เกิดน้ำวนขยายตัวกว้างจนทั่วอ่าง   มีควันสีแดงจาง ๆ ลอยหมุนคว้างตามการวาดมือของพ่อมดดำ   เพียงชั่วครู่ก็ค่อย ๆ ปรากฏภาพเหตุการณ์ต่างขึ้นที่ใจกลางน้ำวนนั้น   โดยเริ่มตั้งแต่ภาพบุกโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพของทัพซาโลม  การจนมุมของชาวเมืองวอลเนียที่วิหารฟรานเชสก้า จนไปถึงภาพการทำลายล้างทัพซาโลมทั้งกว่าแสนนายด้วยการตวัดหอกเพียงครั้งเดียวของอัศวินสวรรค์   จนเมื่อแม้ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ จะจางหายไปจนหมดสิ้นแล้วแต่กษัตริย์ซาดินก็ยังคงเงียบอึ้งจ้องมองอ่างน้ำที่ว่างเปล่าอยู่อีกพักใหญ่ทีเดียว   กระทั่งราชินีเนริมอร์อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้เรียกสามีให้รู้สึกตัว
                            “ซาดิน” ราชินีเนริมอร์ เรียกชื่อสามีด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก
                            “นี่มันวิชาบ้าอะไรกัน?” กษัตริย์ซาดิน ทรงย้อนถามมองหน้าภรรยาด้วยสีหน้างุนงงอย่างที่สุด

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: June 20, 2005, 04:57:13 AM »

                           “ฝ่าบาท   นี่ไม่ใช่วิชาอะไรอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจ   แต่นี่คืออัศวินแห่งสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาช่วยฟีเลเซียต่างหาก   ต้องเป็นไอ้เจ้าเกรเกอรี่แน่ที่เรียกอัศวินสวรรค์ลงมาทำลายกองทัพของเรา” แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวด้วยความเคียดแค้นที่แม้แต่สวรรค์ก็ยังฟังเสียงของเกรเกอรี่
                            “เกรเกอรี่อย่างนั้นรึ?” กษัตริย์ซาดินตรัสถาม
                            “ผู้นำศาสนาของอาณาจักรนี้พ่ะย่ะค่ะ   ดำรงตำแหน่งเป็นบิชอปแห่งฟีเลเซีย” บลาส เซจไขข้อข้องใจ
                            “ทำไมนะ   ไม่ว่าจะพวกเทพเจ้าหรือแม้แต่พระเจ้าก็ยังเข้าข้างศัตรูของข้าทั้งนั้น   ทำไม...ทีซาโลมแร้นแค้นอย่างแสนสาหัสจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่กลางทะเลทรายนั่นกลับไม่มีเทพหน้าไหนหรือพระเจ้ายื่นมือออกมาช่วยสักองค์   แล้วทีพวกมันที่มีความสุขอยู่ดีกินดีจนเหลือล้นแต่ก็ยังช่วยปกป้องพวกมันอยู่ได้   พวกท่านมันลำเอียง! ไม่ยุติธรรม! ไม่ยุติธรรม!”  กษัตริย์เพลิงตะโกนจนสุดเสียงด้วยความคับแค้นและเดือดดาล
                            “ฝ่าบาท   ข้าพระองค์มีวิธีที่จะทำให้เกรเกอรี่สิ้นฤทธิ์และไม่สามารถเรียกอัศวินสวรรค์ลงมาช่วยฟีเลเซียได้อีกต่อไป” แบล็ค ไวเซอร์ เสนอด้วยแววตามาดร้าย
                            “วิธีอะไรของเจ้า?” กษัตริย์ตรัสถามด้วยความใคร่รู้
                            “ขอเวลาข้าพระองค์ตระเตรียมการอีกสักระยะหนึ่ง   ข้าพระองค์จะจัดส่งของขวัญไปให้เพื่อนเก่าคนนี้สักหน่อย”  แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

S
[/b]

                            “ท่านบิชอปเป็นอย่างไรบ้าง?” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสถามแทบจะทันทีที่เกรเกอรี่ก้าวลงจากหลังมังกร
                            “กระหม่อมปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ   เพราะความเสียสละอย่างกล้าหาญของบรรดาอัศวิน นักบวช ผู้ปกป้องวิหาร และพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงส่งอัศวินสวรรค์มาช่วย   กระหม่อมและพวกเด็ก ๆ กว่าร้อยคนจึงรอดชีวิตมาได้” เกรเกอรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกในบุญคุณ
                            กษัตริย์ซิกมันต์ทรงมองดูทัพมังกรและทัพนกที่ค่อย ๆ ลำเลียงเด็ก ๆ มาส่ง “เหลือผู้รอดชีวิตเพียงเท่านี้เองหรือ?...” ซิกมันต์กล่าวด้วยน้ำเสียงสลดลง “ข้าน่าจะส่งกองทัพไปเร็วกว่า”
                            “อย่าทรงโทษพระองค์เองเลย   เราต่างก็รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ข่าวเมืองวอลเนียถูกโจมตีมาถึงล่าช้า...” เกรเกอรี่เงียบเสียงลงครู่หนึ่ง   ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ หวนกลับมาอีกครั้ง   หากเพียงแค่การแจ้งข่าวมาถึงเมืองเอรีมเร็วขึ้นอีกเพียงแค่วันเดียว บรรดาอัศวิน นักบวช และ ชาวเมืองวอลเนียคงมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่านี้   บิชอปเปรยขึ้นเสียงเบา “สงครามครั้งนี้เราสูญเสียมากเหลือเกิน”
                            กษัตริย์ซิกมันต์ และคนอื่น ๆ ที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าสลดลง “ข้าหวังว่าเราจะสามารถยุติสงครามครั้งนี้ได้โดยเร็ว...”ซิกมันต์พูดตอบก่อนจะตัดบท “มาเถอะ   วันนี้ท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว   ขอเชิญท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด”
                            เมื่อกล่าวจบก็ออกเดินนำเกรเกอรี่ไปยังที่พัก   ระหว่างทางที่เดินกันไปเพียงลำพังกษัตริย์แห่งสายลมก็หันไปตรัสกับบิชอปเสียงเบา
                            “ท่านบิชอป   อย่าคิดว่าข้าเสียมารยาทที่ถามคำถามไม่สมควรกับท่านในเวลาเช่นนี้เลยนะ   แต่เวลานี้ภายในกองทัพโดยเฉพาะทัพมังกรกำลังมีเสียงร่ำลือกันจนหนาหูว่าท่านอัญเชิญอัศวินสวรรค์ลงมาทำลายล้างกองทัพเรือนแสนของซาโลมจนราบเป็นหน้ากลองภายในพริบตาเดียวอย่างนั้นหรือ”
                            เกรเกอรี่มีสีหน้าตกใจ ขมวดคิ้วด้วยความฉงน “มิใช่เช่นนั้นเลยฝ่าบาท   กระหม่อมไม่ได้มีอำนาจในการอัญเชิญเทวทูตของพระเจ้าได้   หากแต่เป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ลงมาช่วยเหลือพวกเราต่างหาก   นี่พวกเขาร่ำลือกันเกินความจริงไปแล้ว   เห็นทีกระหม่อมคงต้องชี้แจ้งเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว”
                            “ช้าก่อนท่านบิชอป   ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่าข้าก็อยากจะปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดอย่างนี้ไปก่อนจะดีกว่า   อย่างน้อยข่าวลือนี้ก็สร้างขวัญและกำลังใจอย่างมากมายให้แก่กองทัพ  ตอนนี้เราเสียกำลังพลจากการสู้รบไปไม่น้อย   ยิ่งทางทุ่งราบคีรา...แม้เราจะสามารถป้องกันการโจมตีของทัพซาโลมไว้ได้   แต่ก็สูญเสียไพร่พลไปมิใช่น้อยเลย   เหมือนกับว่าพวกมันตั้งใจจะตัดกำลังกองทัพของเราให้น้อยลงเรื่อย ๆ มากกว่าที่คิดจะยึดเมืองจริง ๆ   ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง”
                            เกรเกอรี่มีสีหน้าลำบากใจอยู่มากทีเดียวเมื่อกษัตริย์แห่งสายลมขอให้ตนร่วมปกปิดความจริงที่เกิดขึ้น   แต่ทว่าเหตุผลที่พระองค์ทรงขอร้องนั้นก็ทำให้เกรเกอรี่ต้องจำยอมในที่สุด
                            “ถ้าเช่นนั้นหากถึงเวลาอันควรแล้วกระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหลายและทำให้เกิดความกระจ่างโดยเร็วที่สุดด้วย”
                            “ได้   ข้าให้สัญญา” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทรงยิ้มอย่างโล่งใจ [/size]
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: June 22, 2005, 06:15:20 AM »

มาเม้าส์กันที่นี่เลยคะ

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=13077
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.151 seconds with 21 queries.