Summoner Master Forum
November 28, 2024, 02:32:42 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: Summoner Fiction : The Prophesy of The War (Chapter 12: แมลงปีศาจ)  (Read 10434 times)
0 Members and 3 Guests are viewing this topic.
[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« on: September 04, 2005, 07:38:14 AM »

Notice
   นิยายเรื่องนี้ เป็นเหตุการณ์ที่แต่งขึ้นโดยอิงจากตัวละคร  ในการ์ดเกม SMN และเค้าโครงประวัติศาสตร์ของ SMN แต่ตัวละครบางส่วนก็ได้สร้างขึ้นเอง ทั้งนี้มิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักของนิยาย SMN อย่างใดทั้งสิ้น

Opening Chapter
   
        “เมื่ออนาคตของมนุษย์เป็นสีดำ ความตายจะคืบคลานเข้ามาทุกทิศทาง มนุษย์จะลุกขึ้นฆ่าฟันกันเอง โลหิตจะไหลชะโลมแผ่นดินจนแดงฉาน ธนู ดาบ หรือแม้แต่โล่ห์แห่งความดี ก็มิอาจป้องกันได้ จะไม่มีผู้ใดเหลือรอด…”
   
        ดินแดนแห่ง Terra สถานที่ที่เป็นทวีปมารดรของทุกสรรพสิ่ง ดินแดนที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ภายใต้การสรรค์สร้างของพระผู้เป็นเจ้า แต่ทว่า… แม้พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดสร้างมนุษย์ออกมาตามแบบพระฉายของพระองค์ แต่มารร้ายก็จ้องจะทำลายมนุษย์ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส ราคะ และ ตัณหา เมื่อนั้น ก็เป็นการเปิดช่องว่างให้เหล่ามารร้ายเข้าแทรกแซงจิตใจที่แสนจะเปลาะบาง และใช้เป็นเครื่องมือสำหรับทำลายมนุษย์ด้วยกัน
   
        สงครามจึงบังเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งด้วยความไม่รู้จักพอของมนุษย์ ก็ได้ทำให้เกิดความสูญเสียเป็นอันมาก ประวัติศาสตร์ของ Terra จึงจารึกไปด้วยเลือดและรอยน้ำตา ของผู้กล้า และสิ่งสุดท้ายของสงครามที่เหลือทิ้งไว้ก็คือ บทเรียนอันเจ็บปวด และความทรงจำอันยากที่จะลบเลือนได้…

        แม้กระนั้นก็ตาม ผู้คนบางกลุ่มที่เหลือรอดจากสงคราม และรู้ซึ้งถึงพิษภัยของมัน ก็ยังไม่วายที่จะเข้าห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิง ดังนั้น หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ได้เปรียบ จะแย่งชิงจากผู้เสียเปรียบ และผู้แข็งแรง รุกรานผู้ที่อ่อนแอ เป็นวัฏจักรหมุนวนไปไม่มีจบสิ้น ซึ่งกลไกตัวนี้ บางครั้ง แม้แต่เหล่าเทพ ยังเมินหน้าหนีด้วยความชัง ทำให้เหล่ามารยิ้มเยาะอย่างมีชัย ที่พวกมันสามารถล่อลวงมนุษย์ได้
   
                     และนี่ คือเรื่องราวที่เราเล่าสืบต่อกันมา ความน่ากลัวและโหดร้ายของสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ระหว่างมนุษย์ กับมนุษย์ และมนุษย์ กับความชั่วร้ายในจิตใจ และสิ่งสุดท้ายที่บรรดามนุษย์จะแสวงหา คืออิสรภาพ ที่แลกมาด้วยเลือดและหยาดน้ำตาที่ไหลย้อมแผ่นดิน Terra นี้…
« Last Edit: May 19, 2009, 12:11:02 PM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #1 on: September 05, 2005, 07:48:12 PM »

อารัมภบทได้น่าสนใจไม่เลวครับ จะรออ่านต่อครับ
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #2 on: September 09, 2005, 11:05:34 PM »

Chapter I: ราตรีละเลงเลือด

    ณ บริเวณทะเลทรายฟาคารับ ดินแดนแห้งแล้งทางตอนเหนือสุดของทวีปเมอริเซีย ชายคนหนึ่งภายใต้ผ้าคลุม ควบม้าผ่านเข้าสู่เขตของภูเขาไฟของซาโลม เมื่อเข้าใกล้เขตของถ้ำภูเขาไฟ สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าของเขา คือกระโจมพักพลของทัพซาโลมขนาดย่อม ชายผู้นั้นกระชากม้าให้หยุด เมื่อลูกธนูดอกหนึ่งถูกยิงมาปักตรงหน้าเขา

    “หยุดก่อนคนจร! ทางข้างหน้าเจ้าคือเขตหวงห้าม องค์กษัตริย์รับสั่งห้ามผู้ใดล่วงล้ำสู่เขตภูเขาไฟเฮริดันเป็นอันขาด” เสียงของนายทหารคนหนึ่งในชุดเกราะเหล็กสีแดงดังขึ้น

    “หึหึหึ เจ้าว่าอย่างงั้นรึ ถ้างั้นข้าคงต้องออกแรงหน่อยละ” ชายผู้นั้นพูดออกมาพร้อมเหยียดริมฝีปาก กลายเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มเยาะ

    “บังอาจ มือเพชรฆาตแห่งซาโลม สังหารชายผู้นั้นซะ!”  นายทหารนายนั้นตะโกนสั่งการ ไม่นานกองทัพมือเพชรฆาตแห่งซาโลมประมาณ หนึ่งกองในชุกเกราะเต็มยศสีแดงเพลิง ก็ตรงเข้าล้อมชายลึกลับผู้นั้นไว้

    “ในเมื่อเจ้าไม่ฟัง ก็จงตายซะ!” ขาดคำ มือเพชรฆาตซาโลมก็กระโจนเข้าหาชายผู้นั้นด้วยความเร็วสูงกรงเล็บเหล็กของมือเพชรฆาตซาโลมมุ่งหวังตัดคอของเขา แต่ชายลึกลับก็สามารถหลบหลีกการโจมตีได้ทุกครั้ง มือเพชรฆาตซาโลมทั้งหมู่ ต่างหาจังหวะโจมตี แต่ทว่าชายผู้นั้นก็สามารถปัดป้อง และหลบหลีกการโจมตีได้ทุกครั้ง กองมือเพชรฆาตแห่งซาโลมและบุรุษลึกลับผลัดกันรุกรับกันไปมาไม่นาน บุรุษลึกลับก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง

    “หึหึหึ พวกเจ้าทำได้ดี แต่ว่าข้าเบื่อที่จะเล่นด้วยแล้วสิ” พูดจบชายลึกลับก็เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว เขาชักกริชออกมาจากใต้ผ้าคลุม ด้ามของกริชทำจากกระดูกของมนุษย์ แกะสลักเป็นรูปหัวกะโหลก และเบ้าตาที่ฝังด้วยทับทิมสีแดงดุจเลือด ใบกริชสีดำเป็นมันสะท้อนแสงจันทร์ยามราตรี เขากรีดที่ข้อมือของเขาช้าๆ เลือดสดๆสีแดงฉานไหลออกมาเป็นทางยาวท่ามกลางความแปลกใจของกองมือเพชรฆาตแห่งซาโลมทั้งสิบเอ็ดคน

    “จงดูไว้ซะให้เต็มตา นี่แหละความสามารถของข้า ที่พวกเจ้ามิอาจต้านทานได้… หอกโลหิต บลัดดี้ สเปียร์!” ขาดคำ เลือดของชายผู้นั้นก็จับตัวกันหุ้มแขนของเขาไว้ บริเวณปลายสุดมีลักษณะคล้ายหอกสีแดงฉาน เขาโจนลงจากหลังม้าพุ่งหอกเข้าหามือเพชรฆาตแห่งซาโลมที่อยู่ใกล้ที่สุด

    ซวบ! กลุ่มของเลือดที่จับเป็นก้อนแข็ง พุ่งเจาะชุดเกราะแทงทะลุคอของนายทหารเคราะห์ร้ายนั้น เลือดไหลนองออกมา นายทหารนั้นสิ้นใจตายทันที เขากระโจนเข้าหามือเพชรฆาตแห่งซาโลมทีละคนด้วยความไวที่จับตามองไม่ทัน ทุกครั้งที่เขาพุ่งเข้าหาเป้าหมายจะต้องมีนายทหารล้มตายลง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ พื้นทรายโดยรอบกลายเป็นสีแดงฉานด้วยเลือดของเหล่าทหารของซาโลมที่ล้มตาย ไม่นานกองมือเพชรฆาตแห่งซาโลมจำนวนสิบเอ็ดนายก็สิ้นใจตาย

    “หึหึหึ เจ้าพวกโง่ พวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจถึงของที่ซุกซ่อนภายใต้ภูเขาไปเด็ดขาด” กล่าวจบเลือดที่จับตัวเป็นวัตถุแข็งที่ปลายมือ ก็คืนสภาพเป็นของเหลวไหลลงพื้นส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้บริเวณนั้นนองไปด้วยเลือดสดที่ไหลนองไปทั่ว
    ชายผู้นั้นดึงผ้าคุลมออกเผยให้เห็นถึงเกราะที่ทำจากกระดูกมนุษย์ที่บัดนี้เป็นสีเหลืองเก่าคร่ำคร่า ผมขาวยาวพลิ้วไปกับสายลมยามราตรีริมฝีปากสีดำเหยียดเป็นเส้นตรง มีรอยยิ้มเย้ยหยัน เบ้าตาลึกกลวงสร้างความน่าสะพรึงกับผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก

    “หึหึหึ พวกเจ้ามีฝีมือดี จงมาเป็นลูกน้องของข้าซะเถอะ” กล่าวจบเขาก็หยิบขวดขนาดเล็กที่บรรจุของเหลวสีดำไว้เต็มออกมา ทันทีที่เขาเปิดขวดออก กลิ่นคาวเลือดรุนแรงก็คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ชายผู้นั้นพรมของเหลวในขวดนั้นลงไปที่ศพของนายทหารเหล่านั้นจนครบทุกศพ

    “โลหิตปีศาจจะชุบชีวิตพวกเจ้าอีกครั้ง พวกเจ้าจงลุกขึ้นมา ทหารหาญของข้า สำแดงศักดาเดชของเจ้าให้ทุกคนประจักษ์” ขาดคำของเขา ก็บังเกิดเสียงหวีดร้องครวญครางดังออกมา ไม่นานซากศพเหล่านั้นก็ยันกายลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ซากศพของมือเพชรฆาตซาโลมทั้งสิบเอ็ดนายลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆตัวเขา

    บุรุษลึกลับพร้อมทั้งทหารผีดิบเคลื่อนที่เขามาได้ระยะหนึ่งก็พบกับแสงไฟและเสียงพูดคุยจากกระโจมของทหารปรากฎอยู่เบื้องหน้าของเขา ลูกธนูจำนวนมากพุ่งออกมาราวกับห่าฝน บุรุษลึกลับสามารถปัดป้องลูกธนูเหล่านั้นไว้ได้ แต่ว่า ลูกธนูอีกหลายร้อยลูกที่พุ่งออกมาได้เสียบเข้าที่ม้าของเขา มันส่งเสียงร้องยาวอีกครั้งและล้มลงสิ้นใจทันที ทันทีที่มันล้มลง ร่างของมันก็กลายเป็นซากศพ โลหิตสีดำส่งกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ไม่นานกองทหารร่วมสามสิบนายในชุดเกราะสีแดงเพลิงก็เข้าร้อมตัวเขาและทหารผีดิบเอาไว้

    “เจ้า คนแปลกหน้า ผู้ทำการสังหารคนของเรา โทษครั้งนี้ถึงตาย เจ้าจงยอมคุกเข่าลงให้เราตัดหัวซะโดยดี” เสียงของนายทหารผู้หนึ่งดังขึ้น

    “หึหึหึ ข้าจะฆ่า เฉพาะผู้ที่ขวางทางและขัดขวางข้า พวกเจ้าก็เห็น เพื่อนของเจ้ายังไม่ตาย” เมื่อบุรุษลึกลับพูดจบ ผีดิบมือเพชรฆาตแห่งซาโลมทั้งสิบเอ็ดต่างตนก็กระโจนเข้าหานายทหารที่ใกล้ที่สุด พวกมันใช้กรงเล็บขนาดใหญ่ตัดหัวของนายทหารที่อยู่ใกล้ที่สุด หัวของนายทหารเหล่านั้นถูกกรงเล็บเหล็กที่แข็งแรงราวกับคีมกระชาก เสียงกล้ามเนื้อถูกฉีกขาดดังชัดเจน ก่อนที่กองทหารร่วมสามสิบนายจะทันรู้ตัว กองทัพผีดิบก็สังหารทหารไปร่วมยี่สิบนายแล้ว ทหารเกือบสิบนายที่เหลือ เมื่อตั้งสติได้ก็เข้าต่อสู้กับทหารผีดิบย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ทว่า แม้จะสู้รบไปนานเท่าใด เรี่ยวแรงของพวกผีดิบก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดซักที ในขณะที่กองทหารเหล่านั้นเริ่มที่จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนในที่สุดกองทหารนั้นทั้งกองก็ถูกทหารผีดิบทำลายจนหมด ทันที่นายทหารคนสุดท้ายล้มลง ทหารผีดิบก็กัดกินศพของนายทหารทุกคนที่ตนสังหารได้อย่างตะกละตะกลาม เศษเนื้อ และเศษเครื่องในกระจายไปทั่ว และกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งดูเป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก ทันทีที่เหล่าทหารผีดิบเสร็จกิจของมัน เขาก็ออกคำสั่งขึ้น

    “จงฟังบัญชาข้า ในถ้ำนั้นมีคัมภีร์โบราณอยู่ในส่วนลึกที่สุด คัมภีร์โบราณที่จะทำให้ข้ามีชัย จงนำมันมาให้ข้า” กล่าวจบเขาชี้นิ้วที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเข้าไปในถ้ำที่มืดมิดของภูเขาไฟซากร่างที่ไร้วิญญาณของมือเพชรฆาตแห่งซาโลมเดินตรงเข้าไปในถ้ำนั้นทันที

    ขณะที่ชายผู้นั้นกำลังจะเดินเข้าไปในถ้ำเป็นคนสุดท้าย เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาหาเขา ทำให้เขาหยุดชะงัก กองกำลังกองหนึ่งอันประกอบไปด้วยกองกำลังนกโมฮา ร่วมยี่สิบนายผ่านมายังพื้นที่นี้ และเห็นกองเลือดเป็นหย่อมๆท่ามกลางพื้นทรายราวกับใครเอาเยลลี่ข้นๆไปเทไว้

    “เจ้า ทำอะไรกับกองทหารแห่งซาโลมเหล่านี้” นายทหารบนหลังนกโมฮานายหนึ่งกล่าว พร้อมกับชี้หอกที่ชายผู้นั้นอย่างไม่เกรงกลัว

    “เจ้า คนแปลกหน้า ผู้ทำการสังหารคนของเรา การกระทำของเจ้าครั้งนี้หมายถึงการชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้า” นายทหารคนนั้นกล่าวพร้อมทั้งให้สัญญาณแปรขบวน กองกำลังนกโมฮาทั้งยี่สิบนาย ตีวงโอบล้อมเข้ามาล้อมชายผู้นั้นไว้  นายทหารคนหนึ่งบังคับนกของตนเอาหอกด้ามยาวในมือพุ่งเข้าแทงชายลึกลับอย่างรวดเร็ว ชายลึกลับไม่หลบแต่เหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัย

    “เจ้าเข้ามาให้ข้าฆ่าเองนะ” กล่าวจบเขาก็กรีดเลือดตัวเองหยดลงพื้นอีกครั้ง กลิ่งคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เขาสาดเลือดสดสีแดงฉานใส่เหล่ากองกำลังนกโมฮา ทำให้นายทหารคนนั้นกระชากนกให้หยุดด้วยความตกตะลึง นายทหารหลายคนก็โดนเลือดของผู้นี้จนขนนกและเกราะของพวกเขากลายเป็นสีแดงฉานของเลือดสดๆ

    “ฮะ นี่เจ้าเล่นอะไรนี่?” นายทหารคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความตระหนกตกใจ

    “เดี๋ยวก็รู้ หึหึหึ”  ไม่นานชายลึกลับก็เริ่มสวดคาถาโบราณที่กลุ่มทหารของซาโลมฟังไม่ออก  หลังจากที่ชายลึกลับสวดคาถาเป็นภาษาโบราณจบลง ร่างกายของกองกำลังนกโมฮาและตัวนกเองก็บังเกิดแผลพุพองขึ้นตามตัว แผลนั้นแตกเป็นหนองลุกลามไปทั่วทั้งตัวนายทหารเหล่านั้นพวกเขาร้องครวญครางออกมาออกมาด้วยความเจ็บปวด

    “หึหึหึ เลือดของข้ามิได้มีแค่พิษเท่านั้น หากแต่มันยังเป็นคำสาปร้ายแรงเมื่อใช้ร่วมกับคาถาที่ถูกบทอีกด้วย… จงตายซะเถอะ” เสียงสวดคาถาดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เมื่อเสียงร่ายคาถาจบลง ร่างกายของหน่วยลาดตระเวนนกโมฮาที่โดนเลือดเกิดรอยไหม้รุนแรง เหมือนโดนกรดกัดกร่อน สร้างความปวดแสบปวดร้อนไปทั่ว นายทหารเคราะห์ร้ายเหล่านั้นร้องครวญครางอยู่นานในที่สุดก็สิ้นใจ…
« Last Edit: September 16, 2005, 11:35:27 PM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


Sun Ce
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1887


« Reply #3 on: September 09, 2005, 11:14:56 PM »

ต่อๆๆๆ กำลังหนุก ;D
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #4 on: September 10, 2005, 12:05:57 AM »

Chapter 2: พันธมิตร

   ไกลออกไปทางทิศใต้สู่ที่ตั้งของอาณาจักรฟูดินัน ณ หมู่บ้านในป่าทึบของชาวเผ่าป่าทมิฬ ร่างๆหนึ่งยืนเด่นอยู่บนโขดหิน ตัดกับพระจันทร์เสี้ยวดูน่ายำเกรงยิ่งนัก ดวงตาคู่เล็กเป็นสีแดงสะท้องแสงจันทร์ ดวงตาสีแดงสะท้อนกับแสงจันทร์ดูน่าสะพรึงดุจพยัคฆ์ร้ายกำลังจ้องมองเหยื่อ  หูหลุบลู่ลงราวกับตั้งใจฟังอะไรสักอย่าง เขาคือทากะ จอมโจรเผ่าสมิงแห่งป่าทมิฬ ฝีมือความว่องไวของเขาจัดอยู่ระดับแนวหน้าเคียงคู่กับฟูมิน หัวหน้ากองโจร ขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น เสียงฝีเท้าและร่างๆหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ เขารีบกระโดดถอยตัวหลบทันที

   “ประสาทยังฉับไวเหมือนเดิมนะ สหาย” ร่างๆนั้นส่งเสียงทักขึ้น ทันทีที่ร่างนั้นก้าวออกมาพ้นจากเงาของต้นไม้ผ้าคลุมสีน้ำตาลก็พลิ้วสะบัด ไปตามแรงลมอ่อนๆ หน้ากากสีขาวสะท้อนกับแสงจันทร์เผยให้เห็นดวงตาที่แข็งกร้าว

   “ฟูมิน ท่านนั่นเอง” ทากะกล่าวขึ้น

   “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่รึ สหายข้า” ฟูมินถามขึ้น

   “ข้าได้กลิ่นเลือดลอยมากับสายลมจากทางเหนือ…  ข้าเกรงว่า มหาสงครามครั้งใหญ่จะบังเกิดขึ้น… ข้าขอตัวก่อนล่ะ” ทากะกล่าวตอบพร้อมกับเดินหายเข้าไปในเงาไม้ทิ้งให้ฟูมินอยู่ตามลำพัง…

   “มหาสงครามงั้นรึ?…  สหาย ข้ารู้จักเจ้ามานาน เจ้ามักจะประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง ข้าเกรงว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น…” ฟูมินยืนคิดอยู่ตามลำพังภายใต้เงาไม้


--------------------------------------------------------------------------------


   ไกลออกไปทางทิศตะวันตก ณ ฟีเลเซีย นครแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ขณะที่หลายชีวิตกำลังหลับไหล ภายในวิหารทองแห่งทูตสวรรค์ฟรานเซสก้าอันสง่างาม บิชอปเกรเกอรี่กำลังสวดภาวนาประจำวันตามปรกติ  ทว่าขณะที่บิชอปกำลังสวดภาวนาอยู่นั้นก็ได้บังเกิดนิมิตเป็นลางประหลาดเกิดขึ้นท่ามกลางวิหารทองแห่งฟรานเซสก้าอันเกรียงไกร

   แสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับการปรากฏตัวของ ทูตสวรรค์วิคตอเรีย หนึ่งในห้าเทวดาอารักขาของเกรเกอรี่ ผู้มีน่าที่อารักขาปัญญา และเป็นผู้นำสารและปัญญาจากพระเป็นเจ้า ทูตสวรรค์กล่าวขึ้นด้วยสุรเสียงดังกังวาล

   “เกรเกอรี่เอ๋ย เราขอให้ท่านจงเตรียมตัวรับศึกหนักไว้ บัดนี้พลังแห่งความชั่วร้ายคุกรุ่นอยู่ทางทิศเหนือแล้ว เราไม่สามารถบอกอะไรท่านมากกว่านี้ได้ เพราะนอกเหนือจากนี้เป็นชะตาลิขิตที่ต้องให้มันเป็นไปตามครรลองของมัน” พูดได้ดังนี้ เทวทูตวิคตอเรียก็จากไป

   “ตามปรกติแล้ว ทูตสวรรค์จะไม่ยุ่งกับเรื่องของมนุษย์… แต่ครั้งนี้ท่านมาสำแดงนิมิตให้เราเห็น… นิมิตครั้งนี้คืออะไรกันนะ…” บิชอปคิดในใจ


--------------------------------------------------------------------------------

    ไกลออกไปทางทิศใต้ สู่ดินแดนแอนดิซอง สถานที่ทางตอนใต้สุด ของทวีปเมอรีเซีย ดินแดนที่ความขาวโพลนของหิมะผสมผสานกันได้อย่าลงตัวกับสีเขียวของพืชพันธุ์ ณ มหาสมุทรที่ซึ่ง ณ เวลานี้ กำลังปั่นป่วนไปด้วยคลื่นลมและพายุที่พัดโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เรือวานิชและเรือประมงหลายลำถูกคลื่นซัดกระแทกโขดหินแตกยับไม่มีชิ้นดี ที่ท่าเรือหลักของเมืองท่าแอนดิซอง สตรีนางหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ปลายสุดของท่าเรือ ผมสีม่วงเป็นประกายตัดกับละอองน้ำ ริมฝีปากอวบอิ่ม นางอยู่ในชุดรัดรูปสีน้ำสดตัดกับผิวกายสีน้ำผึ้งของนาง คฑาในมือส่องประกายเหนือความมืด นางกล่าวคาถาโบราณออกมาบทหนึ่ง ไม่นานพายุที่โหมกระหน่ำมานานก็สงบลง

    “ทำไมจอร์มุนกานด์ ถึงคลั่งอย่างนี้นะ?” นางคิดในใจ ทันทีที่พายุและคลื่นลมสงบลง ก็มีร่างของพญามังกรขนาดใญ่ปรากฎอยู่ในทะเล มันชูคอขึ้นหันมาจองตากับนางผู้นั้น ทันทีที่นางร่าบทสวดจบลง พญามังกรนั้นก็ว่ายกลับไปในทะเล และหายตัวไป

    “อา… จอร์มุนกานด์สัมผัสถึงพลังบางอย่างที่น่ากลัวมากๆ พลังที่ทำให้ทั้งเมอริเซียสั่นคลอน”นางกล่าวออกมาท่ามกลางความมืดมิด

--------------------------------------------------------------------------------

   ณ ดินแดนแห่งทะเลทรายของอาณาจักซาโลม ทางตอนเหนือสุดของทวีปเมอริเซีย  กลางโถงท้องพระโรงในยามเช้า ซาดินเรียกประชุมบรรดาเสนาอำมาตย์เป็นการด่วน เนื่องจากสิ่งที่เหล่ากองลาดตระเวนหน่วยหนึ่งกลับมารายงานในยามเช้า ถึงศพของกองกำลังโมฮาที่เขาไปพบ

   “พวกท่านคิดยังไง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน โดยเฉพาะสิ่งที่สายของเราพบมา” ซาดิน ในชุดเต็มยศสีแดงขลิบทองเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางท้องพระโรงที่นั่งกันอยู่พร้อมหน้า ทั้งนาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์เอกผู้สูงวัย และบลาซ เซจ มหาอุปราชเฒ่าผู้ทรงปัญญา

   “กระหม่อมคิด… จากเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว คาดว่าศัตรูคราวนี้มีเพียงคนเดียว พะย่ะค่ะ” เสนาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ท่ามกลางที่ประชุมเงียบไปชั่วขณะ

   “เป็นไปไม่ได้นาท่าน ที่ศัตรูคนเดียวจะเอาชนะคนของเราที่ฝีมือดีได้ถึงสองกอง” เสนาบดีอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

   “เป็นไปได้นาท่านเสนาบดี… ทูลฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าจากลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้งนี้แล้ว กระหม่อมคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของนักเวทย์สายเนโครแมนเชอร์พะย่ะค่ะ” นาริส สุไลมานเอ่ยขึ้น

   “มีเหตุผลดีท่านนาริส อะไรทำให้ท่านคิดแบบนั้น”ซาดินถามขึ้น

   “ทูลฝ่าบาท กองทหารทั้งหมดตายโดยไม่มีรอยแผลจากอาวุธ สภาพศพมีรอยไหม้เกรียม แต่สถานที่โดยรอบไม่มีร่องรอยของการใช้เวทย์มนตร์สายอัคคี และศพส่วนอื่นก็ไม่ได้ไหม้ราวกับโดนคำสาป และกองเลือดทีมากจนผิดสังเกตพะยะค่ะ”อำมาตย์เอกแห่งซาโลมตอบ

        “จริงด้วยพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…”อุปราชเฒ่าเอ่ยขึ้นบ้าง

        “สหายของกระหม่อมเคยเล่าให้ฟังว่า เวทย์มนตร์ดำสายต้องห้ามแขนงหนึ่ง เป็นวิชาอันตราย เพราะต้องใช้เลือดของผู้ร่ายเวทย์ เป็นส่วนหนึ่งของคำสาป” อุปราชเฒ่าเอ่ย ทั้งที่ประชุมวุ่นวายไปด้วยเสียงซุบซิบ วิพากวิจารณ์

        “เอาละๆ เราขอบใจพวกท่านมาก เดี๋ยวเราจะลองเรียกนาซาอีมาถามอีกที” พูดจบซาดินก็ส่งสัญญาณเรียกนาซาอีเข้ามา ทันทีที่นาซาอีเดินเข้ามาในท้องพระโรง ซาดินก็สั่งให้นางทำนายถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

   “เอาละนาซาอี เจ้าลองทำนายเหตุการณ์มาสิ” นาซาอีรับคำจากนั้นก็หยิบเอาสำรับไพ่ทาโร่ต์ออกมา จากนั้นนางก็เริ่มสับไพ่และแบ่งเป็นกองๆด้วยความชำนาญ ไพ่ทั้งสำหรับถูกนางแบ่งออกเป็นกองย่อยๆสามกอง ก่อนที่นางจะจับไพ่มารวมกันอีกครั้งพร้อมกับเรียงใหม่เป็นรูปวงกลม โดยเหลือไพ่ใบสุท้ายไว้ตรงกลาง ทว่า ไพ่ใบสุดท้ายที่นางหยิบออกมาทำให้สีหน้านางถึงกับซีดเผือด หน้าไพ่ขึ้นรูปของโครงกระดูกที่ถือเคียวขนาดใหญ่ไว้ในมือ นางอ่านคำทำนายออกมา

   “เดอะ เดธ ไพ่มรณะ ชะตาของอาณาจักรอยู่ในเงื้อมมือมัจจุราช…” นาซาอีตอบเสียงแผ่วเบา ทั้วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

   “มีอะไรอีกมั๊ย…” ซาดินถามออกมาทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก

   “คำทำนายมีเพียงเท่านี้เพคะ กระหม่อมทูลลา” กล่าวจบนางก็เก็บสำรับแล้วเดินออกไป…
   

--------------------------------------------------------------------------------


   ทั่วทั้งที่ประชุมเต็มไปด้วยความเงียบสงัดอีกครั้ง สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดไปด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น ซาดินหันไปปรึกษากับเนอร์ริมอร์บางอย่าง เนอร์ริมอร์ก็เดินออกจากท้องพระโรงไป จากนั้นซาดินก็หันมาออกคำสั่งต่อที่ประชุม

   “นาริส ข้าขอให้ท่านและบลาสเซจไประดมพลของอาณาจักรเราให้พร้อม เกณฑ์ไพร่พลมาให้มากที่สุด และส่งสารไปยังดินแดนพันธมิตรของเรา เตือนภัยพวกเขาถึงภัยร้ายแรงที่จะบังเกิดขึ้น ข้าคิดว่า สงครามกำลังจะเกิดแน่… ส่วนพวกท่านทั้งหลาย ข้าขอให้พวกท่านตรวจเช็คกำลังพลของอาณาจักรเราให้พร้อม และจัดเวรยามให้ดีที่สุด”

   “รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ” ทั้งหมดรับคำพร้อมกันพร้อมกับเดินออกมาจากที่ประชุม

   “ท่าคิดว่าศัตรูครั้งนี้จะร้ายกาจหรือไม่ ท่านอุปราช” นาริสถามบลาส เซจขณะเดินออกมาที่ด้านนอกท้องพระโรง

   “ข้าแน่ใจว่าต้องเป็นศัตรูที่มีฝีมือร้ายกาจแน่… งานนี้ข้าคิดว่าอาวุธคงไม่สามารถต่อกรด้วยได้ หากแต่ต้องใช้เวทย์มนตร์ในการต่อกรด้วย” บลาซ เซจพูดพร้อมกับนัยน์ตาเหม่อลอยออกไปสู่ทะเลทรายฟาคารับอันเวิ้งว้างทางทิศใต้ หลังจากปล่อยเหยี่ยวสื่อสารออกไปฝูงหนึ่ง…




  ปล : มีความเห็นยังไงก็โพสท์มาได้นะครับ
« Last Edit: September 16, 2005, 11:37:49 PM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


NJ_kung
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 402


« Reply #5 on: September 10, 2005, 01:33:40 AM »

หุๆหนุกดีถ้าอ่านเเล้วเห็นภาพเเบบเจ๊...ก็ให้คะเเนนเยาะเลยละอันนี้ยังไม่ค่อยชัดละเเต่เเต่งไปเดียวก็เก่งเเบบเค้าเอง
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #6 on: September 10, 2005, 04:04:52 AM »

Chapter 3:  ภายในถ้ำภูเขาไฟ

    บริเวณภูเขาไฟเฮริดัน ชายลึกลับกำลังเดินลึกเข้าไปในถ้ำภูเขาไฟ สภาพอากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นกำมะถันระคนเสียงเดือดประทุของลาวาโชยมาเป็นระยะ…  โฮก เสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่คำรามออกมาจากหนทางเบื้องหน้า ตามมาด้วยเสียงการต่อสู้ เสียงของโลหะกระทบเนื้อดังชัดเจน บุรุษลึกลับรีบวิ่งมายังแหล่งกำเนิดของเสียงนั้น

���ภาพเบื้องหน้าคือกองมือเพชรฆาตซาโลมที่ไร้วิญญาณที่ล่วงหน้าเข้ามาก่อนกำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่สูงเกือบสองเมตร ลำตัวสีแดงฉาน มันคือตัวมิโนทอร์ภูเขาไฟ แม้ว่าตัวมิโนทอร์จะฉีกร่างของทหารจนขาดเป็นสองท่อน แต่ร่างกายท่อนบนก็ยังคลานเข้าต่อสู้กับตัวมิโนทอร์อย่างไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ตรงกันข้ามมิโนทอร์กลับเป็นฝ่ายที่โดนกรงเล็บเหล็กมหึมาของนักรบที่ไร้วิญญาณ ทำร้ายจนเลือดไหลโซมกาย ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้น ตัวมิโนทอร์เริ่มอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด

���ชายลึกลับที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดชักกริชออกมา เขาบรรจงกรีดแขนตัวเองอีกครั้ง ครั้งนี้เลือดสีดำส่งกลิ่นคาวจัดหยดกระทบพื้นหิน จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายคาถาโบราณบทหนึ่งออกมา

���“ในนามของข้า มอร์นาร์ส เจ้าจงคืนชีพขึ้นมา ทหารปีศาจแห่งข้า…” ขาดคำก็บังเกิดอาณาเขตเวทย์มนตร์ดาวหกแฉกขนาดเล็กเรืองแสงอยู่เหนือบริเวณพื้นหิน อาณาเขตเวทย์มนตร์นั้นกระจายตัวออกเป็นสิบเอ็ดเขตและลอยไปห้อมล้อมซากของทหารที่ไร้วิญญาณนั้นไว้

���ซากของทหารผีดิบหมดแรงทันทีและร่วงลงมากองกับพื้นราวกับตุ๊กตาที่หมดลาน มิโนทอร์ภูเขาไฟ ตั้งหลักได้และมันกระโจนหาตัวผู้ที่อยู่ใกล้มันที่สุด… มอร์นาร์ส

���มอร์นาร์สร่ายคาถาบทสุดท้าย ซากศพทั้งหมดก็เคลื่อนที่มารวมกัน ณ บริเวณที่เลือดของเขาหยดลงกองกับพื้นหิน ทันทีที่ซากศพได้สัมผัสกับเลือดของเขากลิ่นเนื้อเน่าผสมกับกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายไปทั่ว ตามมาด้วยเขตอาคมดาวหกแฉกที่ล้อมรอบซากผีดิบเอาไว้ ไม่นานซากทั้งสิบเอ็ดของเพชรฆาตแห่งซาโลมก็หายไป กลับกลายเป็นทหารปีศาจสามตน แต่ละตนมีสามหัว ร่างกายที่กำยำ และมือที่เป็นเดือยแหลม ทันทีที่พวกมันเห็นตัวมิโนทอร์ พวกมันก็กระโจนเข้าใส่อย่างคลุ้มคลั่ง แขนของทหารปิศาจที่เป็นเดือยแหลมแทงทะลุเข้าไปในตัวของมิโนทอร์และกระชากออกมาอย่างรุนแรง เนื้อฉีกตามออกมาเป็นก้อนๆ เลือดไหลสาดไปทั่วบริเวณ

���ทหารปีศาจทั้งสามตนต่างกระโจนเข้าตะลุมบอนกับมิโนทอร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้ว่าตัวมิโนทอร์จะใช้เขาขวิดหรือเหวี่ยงกระเด็นไปกระแทกกับหิน พวกมันก็สามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้ทุกครั้ง ไม่นานมิโนทอร์ภูเขาไฟก็พลาดท่าถูกแทงที่ขาเสียหลักล้มลงทันที

���ทหารปีศาจเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า ต่างกระโจนเข้ารุมกัดกินตัวมิโนทอร์อย่างตะกละตะกราม เสียงเขี้ยวฉีกเนื้อกระทบกระดูกช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก ไม่นานตัวมิโนทอร์เคราะห์ร้ายนั้นก็เหลือเพียงกองกระดูก มอร์นาร์สเฝ้ามองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน เสมือนเป็นเพียงเกมกีฬาเท่านั้น ทันทีที่เห็นว่าทหารปีศาจกินเสร็จเรียบร้อยเขาก็ให้สัญญาณออกเดินทางต่อ



        มอร์นาร์สและทหารปีศาจได้เดินต่อมาเรื่อยๆจนถึงห้องโถงใหญ่ใจกลางปล่องภูเขาไฟ กลิ่นกำมะถันรุนแรงจนแสบจมูก ระคนไปกับเสียงของเหลวเดือดพล่าน ในคูหาของถ้ำนั้นสว่างจ้าด้วยแสงของหินละลายภูเขาไฟ ตรงกลางของแอ่งลาวา เป็นเกาะขนาดใหญ่ ตรงกลางเกาะนั้นมีแท่งหินที่มีคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งวางตั้งอยู่บนนั้น

���“อา…  มันอยู่นั่น คัมภีร์มรณะของชนเผ่าโบราณ…” ทันทีที่มอร์นาร์สและทหารปีศาจทั้งสามตนเดินเข้ามาในคูหานั้น ก้อนหินขนาดใหญ่ก็กลิ้งลงมาปิดทางเข้าไว้ราวกับจะกักขังไว้มิให้หนีไปไหนได้ และในธารลาวาก็เกิดระลอกคลื่นสั่นไหว ฝูงงูจำนวนมากพากันเลื้อยขึ้นมาจากบ่อลาวา มันมีลำตัวที่ลุกไหม้ไปด้วยลาวา ฝูงลาวาไวเปอร์นับร้อยส่งเสียงขู่ก่อนพุ่งเข้าโจมตีทหารปีศาจทันที

���การต่อสู้ระหว่างทหารปีศาจและฝูงไวเปอร์ดำเนินไปอย่างดุเดือด ในขณะที่ไม่มีไวเปอร์ตัวไหนสามารถเข้าถึงตัวมอร์นาร์สได้ เนื่องจากกำแพงมนตร์ที่เขาร่ายเอาไว้เพื่อป้องกันตัว ฝูงไวเปอร์มีจำนวนลดน้อยลงไปกว่าครึ่งจากตอนแรก ถึงกระนั้น ทหารปีศาจทั้งสามตนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่มีไวเปอร์ถูกสังหาร มันก็จะจับกินอย่างหิวกระหาย ไม่นานฝูงไวเปอร์ก็ถูกทำลายจนหมด เหลือไว้เพียงกองกระดูกสีแดงสด กลิ่นกำมะถันและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั้งทั้งคูหา

���มอร์นาร์สคลายวงล้อมของกำแพงเวทย์มนตร์ที่ป้องกันตัวเขาไว้ เขาเริ่มร่ายเวทย์มนตร์โบราณอีกหนึ่งบท ครั้งนี้เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือน ไม่นานกองกระดูกของซากไวเปอร์และซากคนตายทั้งหลายในคูหานั้น ก็รวมตัวกันกลายเป็นสะพานกระดูกสีขาวโพลนทอดยาวไปยังเกาะกลางบ่อลาวา

���“พวกเจ้า…  ตามมา…”  เขาสั่งทหารปีศาจและเดินข้ามสะพานที่สร้างด้วยกระดูกมาจนถึงเกาะที่อยู่ใจกลางกลางบ่อลาวา

���“อา…  มันอยู่ที่นั่น คัมภีร์มรณะ ขอเพียงมีคัมภีร์เล่มนี้ ทุกคนก็ต้องสยบให้กับข้า” แต่ก่อนที่มอร์นาร์สจะก้าวเข้าไปถึงคัมภีร์ ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น พื้นหินแตกร้าว ควันไฟสีขาวพวยพุ่งออกมาจากรอยแตกของหิน ทันทีที่ควันจางลงร่างของนักรบในเกราะสีแดงขลิบทอง ในมือถือเคียวขนาดใหญ่ที่ลุกเป็นไฟโชติช่วงก็ปรากฏขึ้น ดวงตาแดงกล่ำภายใต้หมวกเกราะสีแดงเพลิงจ้องมายังมอร์นาร์สและกลุ่มทหาปีศาจ นักรบตนนั้นพูดออกมาด้วยเสียงแหบต่ำที่ดังก้องไปทั่วทั้งคูหานั้น

���“ข้าคืออินเฟอร์โน ผู้ปกป้องคัมภีร์มรณะ พวกเจ้าต้องตาย” พูดจบอินเฟอร์โนก็พุ่งเข้าหามอร์นาร์สด้วยความรวดเร็วเคียวในมือพุ่งลงมาหวังปลิดชีพ หากแต่มีทหารปีศาจตนหนึ่งเข้าประทะป้องกันการโจมตีไว้ได้ แขนที่เป็นเดือยใหญ่อีกข้างพุ่งเข้าหวังเสียบที่ช่องอก แต่อินเฟอร์โนก็สามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้ ทหารปีศาจที่เหลือก็ตรงเข้าจู่โจมอินเฟอร์โนทันที

���อินเฟอร์โนตอนนี้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจากถูกรุมจากทหารปีศาจถึงสามตน ทำให้กำลังของตนเริ่มตก ในขณะที่กำลังของทหารปีศาจไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย และในที่สุด อินเฟอร์โนก็พลาดท่า เดือยแหลมของทหารปีศาจตนหนึ่งเสียบเข้าที่ช่องว่างของเกราะทางด้านใต้คอ มันกระชากทีเดียวคอก็ขาดหลุดออกจากร่าง เลือดสีดำไหลพุ่งราวกับสายน้ำก่อนที่ร่างจะสลายเป็นควันไป มอร์นาร์สรีบวิ่งเข้าไปหยิบคัมภีร์ทันที

���ทันทีที่คัมภีร์ถูกยกออกจากแท่นหิน กระเดื่องกลไกลับที่ซ่อนเอาไว้ก็เริ่มทำงาน เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และเกาะกลางลาวาแห่งนั้นก็เริ่มที่จะจมลงไปในธารลาวา หินหนืดกำลังหลอมละลายอย่างช้าๆ ระดับของหินหลอมเหลวเริ่มสูงขึ้น มอร์นาร์สและทหารปีศาจรีบข้ามสะพานกลับมายังทางเข้าที่ถูกปิดตายอย่างรวดเร็ว…

        “หึหึหึ ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็ได้มันมาครอบครอง ต่อไปนี้ทุกชีวิตในเมอริเซียจะต้องสยบแทบเท้าของข้า” มอร์นาร์สหัวเราะออกมาอย่างมีชัย เขากรีดที่ข้อมือตัวเองอีกครั้ง และใช้เลือดวาดสัญลักษณ์ของดาวหกแฉกเพนตาแกรมลงบนพื้น เขาหยิบขวดเล็กๆที่ภายในมีของเหลวสีดำบรรจุอยู่ค่อนขวดออกมา

        “เลือดแห่งมารจะเป็นตัวเปิดประตูสู่ขุมนรกให้กับข้า” กล่าวจบเขาก็เปิดฝาขวดออก พรมของเหลวลงไปยังใจกลางรูปเพนตาแกรม กลิ่นเนื้อเน่าฟุ้งกระจายไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังออกมาจากรูปเพนตาแกรมนั้น จากนั้นไม่นาน ปีศาจตนหนึ่งที่มีสีแดงสดไปทั้งตัวก็ก้าวออกมาจากเขตเวทย์มนตร์ มันมีสีแดงดุจเลือด ใบหน้าโหดร้ายแสยะยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในมือถือเคียวอันใหญ่ที่เป็นสีแดงดุจสีกายของมัน

        “ท่านเรียกข้ามาด้วยจุดประสงค์อันใด?” มันถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

        “พาข้าออกไปจากที่นี่ สการ์เร็ต รีเปอร์” มอร์นาร์สสั่ง

        “คำสั่งของท่าน… คืองานของข้า…” พูดจบอสูรร้ายตนนั้นก็ตรงไปที่ผนังจากนั้นก็ใช้เคียวในมือ สับจนหินขนาดใหญ่หลุดออกมาทั้งกระบิ  ไม่นานทางเข้าที่เคยมีก้อนหินใหญ่ปิด ก็กลายเป็นทางโล่งอีกครั้ง

        “ข้าเปิดทางให้ท่านได้แล้ว ข้าขอตัว…” สการ์เร็ต รีเปอร์กล่าว พร้อมกับหายเข้าไปในเพนตาแกรมตามเดิม

        “เอาละ สมุนของข้าได้เวลาสำแดงเดชแล้ว…” มอร์นาร์สกล่าวพร้อมกับส่งสัญญาณให้กองทหารปีศาจเดินตามออกมาจากถ้ำ มอร์นาร์สและกองทหารปีศาจออกมาจากคูหานั้นได้ทันก่อนที่หินที่เพดานจะถล่มลงมา

        เส้นทางในยามออกมาไม่มีอุปสรรคอันตรายจากสัตว์ร้ายเท่ากับตอนที่เข้าไปข้างใน มีเพียงกับดักกลไกที่ชนเผ่าโบราณสร้างเอาไว้เท่านั้น ชั่วระยะเวลาไม่นานแสงสว่างก็ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา กระแสลมทะเลทรายอ่อนๆยามเย็นพัดโชยออกมา ไม่นาน เขาก็ออกมาอยู่ที่หน้าปากถ้ำอีกครั้ง

       “เอาละ…  ประการแรก ต้องเร่งสร้างกองทัพที่คู่ควรขึ้นมาก่อน หึหึหึ” มอร์นาร์สกล่าวออกมาด้วยเสียงแหบต่ำ และเริ่มวาดอาณาเขตเวทย์มนตร์ขนาดใหญ่บนพื้นทรายด้วยเลือดของปีศาจอีกครั้ง



���เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและราตรีเริ่มคืบคลานเข้ามา ลานพิธีก็พร้อมที่จะทำพิธีกรรมอันชั่วช้า อาณาเขตเวทย์มนตร์ขนาดใหญ่ถูกเขียนขึ้นจากเลือดปีศาจ กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นของเนื้อเน่ากระจายไปทั่วบริเวณลานทำพิธี

���“คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดของวันโซลุม ซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นวันน็อกซ์ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่ความมืดถือกำเนิดขึ้นมาในโลก… อีกไม่กี่ชั่วโมง กองกำลังที่เกรียงไกรก็จะถือกำเนิดขึ้น กองทัพมารแห่งข้า หึหึหึ…” มอร์นาร์สกล่าวออกมาอย่างผู้มีชัย



  ปล. ได้มีการแก้เนื้อเรื่องใหม่ให้อ่านเข้าใจง่ายแล้ว ขอความคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อใช้ปรับปรุงตอนต่อๆไปด้วยครับ  ;D
« Last Edit: September 14, 2005, 11:02:00 PM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #7 on: September 12, 2005, 08:24:03 AM »

นำเสนอ ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจมากครับ ที่ผมชอบคือข้อมูลอ้างอิงประกอบในเรื่องที่แสดงว่าติดตามศึกษาเรื่อง smn มาดีเลย  ;D เลยได้อรรถรสและดูน่าเชื่อถือขึ้นเยอะเลย
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #8 on: September 16, 2005, 08:23:02 AM »

Chapter 4: ทะเลทรายและสายลม

   ท่ามกลางสายลมทะเลทรายอันร้อนระอุ ทั่วทั้งอาณาจักรซาโลมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เวรยามหน้าประตูต่างตรวจตรากันอย่างเข้มแข็ง มาตรว่าแม้แมลงสักตัวก็ไม่สามารถผ่านเข้าประตูเมืองได้ โดยปราศจากการรู้เห็นของกองกำลังรักษาเมืองเหล่านี้

   “ดูนั่น!” นายทหารนายหนึ่งที่ประจำการอยู่บนเชิงเทินชี้ให้ดูร่างๆหนึ่งที่กำลังเดินไกล้กำแพงเมืองเข้ามา ร่างๆหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมกำลังฝ่ากระแสลมแรงของทะเลทรายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ตามด้วยเสียงร้องอันแสบแก้วหูของนกปีศาจสีเขียวสดที่มีปีกเป็นพังผืดดุจค้างคาว ดวงตาสี่ดวงที่แดงกล่ำคล้ายสีเลือดที่บินวนอยู่รอบตัวของเขา

   “เจ้า… ไปบอกบลาซ เซจว่า สหายเก่ามาหา…” ชายผู้นั้นพูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า เมื่อมองขึ้นมาเห็นนายทหารบนเชิงเทิน นายทหารนั้นยังลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นกปีศาจที่มากับชายผู้นั้นแผดเสียงร้องกึกก้อง ทำให้นายทหารผู้นั้นรีบลนลานกลับไปรายงานอุปราชเฒ่าตามที่ได้ยินมาทันที

   ในท้องพระโรง นายทหารวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานมหาอุปราชเฒ่า ซึ่งเวลานี้กำลังประชุมร่วมกับซาดิน และบรรดาเสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่อยู่

   “ท่านบลาซ เซจ ท่านบลาซ เซจ…  เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” นายทหารคนนั้นรายงาน

   “อะไรกัน เจ้านี่ช่างไม่รู้กาลเทศะเอาซะเลย” บลาซ เซจหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ

   “ท่านบลาซ เซจ ข้ามีเรื่องสำคัญมารายงานท่าน” นายทหารคนนั้นรายงานต่อ

   “มีอะไรก็ว่ามาสิ แต่ถ้ามันไม่สำคัญจริงๆละก็ เจ้าถูกขังลืมแน่” บลาซ เซจกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “ขณะที่ข้าเข้าเวรยามอยู่ มีชายคนหนึ่งเดินทางมา เขาบอกว่าต้องการขอพบท่าน”

   “อะไรนะ? ให้เขาเข้ามาเดี๋ยวนี้ เร็วๆด้วย” ทันทีที่บลาซ เซจ ได้ยินคำรายงานของทหาร ก็ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี ทันทีที่นายทหารคนนั้นออกไปแล้ว มหาอุปราชเฒ่าก็หันมากล่าวกับซาดิน ที่ขณะนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น

   “ทูลฝ่าบาท เวลานี้ สหายของกระหม่อม ที่กระหม่อมเคยทูลว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาไสยดำ ได้มารอพบกระหม่อมอยู่ที่ประตูเมืองแล้วพะย่ะค่ะ… กระหม่อมคิดว่า หากได้เขามาร่วมกองทัพของเราเวลานี้ อาจจะช่วยเสริมจุดบอดของทัพซาโลมเราได้พะยะค่ะ…” บลาซ เซจ อธิบายความคิดของตนให้ซาดิน และบรรดาเสนาในที่ประชุมทั้งหลายให้รับรู้

   “ฮะฮะ งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ท่านบลาซ เซจ รีบให้สหายท่านมาพบเราสิ” ซาดินกล่าวอย่างยินดี

   “ณ เวลานี้… กระหม่อม…  อยู่ตรงนี้แล้วฝ่าบาท…” เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตูท้องพระโรง ร่างสูงเพรียวของพ่อมดเดินคนหนึ่งก้าวเข้ามา เขามีใบหน้าคมเรียว นัยน์ตาที่ดุกร้าว จนทำให้ผู้ที่สบตารู้สึกเย็นยะเยือก แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งท้องพระโรงเงียบกริบคือนกปีศาจที่เกาะบนไหล่เขา มันแผดเสียงร้องแสบแก้วหูลั่นจนเขาต้องเอื้อมมือไปลูบหัวมันเพื่อให้มันคลายจากตระหนก

   “ฝ่าบาท สหายของกระหม่อม แบล็ค ไวเซอร์” บลาซ เซจ กล่าวพร้อมกับผายมือชี้ไปยังพ่อมดหนุ่มผู้ที่เดินเข้ามาหยุดนิ่งต่อหน้าซาดิน

   “แบล็ค ไวเซอร์คารวะฝ่าบาท” กล่าวจบเขาก็ก้มตัวลงเล็กน้อย นกปีศาจที่เกาะไหล่ เขาก็ส่งเสียงร้องยาวหนึ่งครั้ง สร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งท้องพระโรง ไม่เว้นแม้แต่ตัวซาดินเองก็ตาม

   “เอาละ ท่านพอจะบอกเราได้หรือไม่ว่าเจ้านกนั่นคือตัวอะไร และมันกำลังทำอะไร” ซาดินถามด้วยความอยากรู้

   “ทูลฝ่าบาท ที่ฝ่าบาทเห็นนี้คือวิหคโลกันตร์ สหายของกระหม่อม และที่มันส่งเสียงร้องนั้นคือการถวายพระพรฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”  แบล็ค ไวเซอร์กล่าวตอบด้วยเสียงแหบแห้ง

   “บลาซ เซจเล่าให้เราฟังว่า ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาไสยดำรึ?”  ซาดินเอ่ยถามอย่างเป็นงานเป็นการ

   “ที่ฝ่าบาทตรัสมานั้นถูกแล้ว สหายของข้าพระองค์ส่งข่าวไปยังข้าพระองค์ เพื่อให้มาช่วยกองทัพของพระองค์ในสงครามที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ ข้าพระองค์จึงรีบมาทันที” แบล็ค ไวเซอร์กล่าวตอบ

   “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอทดสอบฝีมือของจอมเวทย์ผู้นี้” เสียงหนึ่งดังมาจากแม่ทัพร่างใหญ่ในชุดเกราะสีดำที่ทำจากกระดูกมังกร เคียวขนาดใหญ่วางพาดไว้บนตัก

   “ฮะฮะฮะ เอางั้นรึราโชยู ท่านยอมรับคำท้าหรือไม่ แบล็ค ไวเซอร์” ซาดินหัวเราะก่อนหันไปถามแบล็ค ไวเซอร์

   “กระหม่อมคิดว่าพอรับมือได้พะย่ะค่ะ” ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบอีกครั้ง เนื่องจากรู้ดีว่าราโชยูซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของซาโลมนั้นมีฝีมือและพละกำลังมหาศาลยิ่งนัก เคียวขนาดใหญ่ดื่มเลือดของทหารศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วนจนจนแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ได้รับฉายาว่า “จอมสับกระหายเลือด” บัดนี้ราโชยูยกเคียวกระชับกับมือพุ่งเข้าหาแบล็คไวเซอร์ทันที

   แบล็คไวเซอร์หาได้หวาดกลัวแม่ทัพร่างใหญ่ไม่ เขาวาดคฑาช้าเป็นวงกลม หมอกสีดำเกิดขึ้นตามจังหวะการวาดคฑาของเขาจากนั้นก็เริ่มร่ายคาถา หมอกนั้นจับตัวล้อมรอบราโชยูไว้ ราโชยูรู้สึกว่าเรี่ยวแรงมหาศาลของตัวเองเหือดแห้งไปจนหมด มือที่ถือด้ามเคียวเริ่มสั่นคลอน จากนั้นไม่นาน เคียวในมือของแม่ทัพแห่งซาโลมก็หลุดร่วงลงกับพื้น

   “นี่เจ้า…  ทำอะไรข้า” ราโชยูกล่าวด้วยความโกรธแค้น

   “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพผู้นี้ต้องการทดสอบกระหม่อม หากสู้ด้วยกันตัวต่อตัวต้องมีใครตายไปข้างหนึ่ง กระหม่อมจึงลดพลังของเขาลงเก้าในสิบส่วน ฝ่าบาทมิต้องทรงเป็นกังวล ประมาณสามวัน เรี่ยวแรงของแม่ทัพผู้นี้ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” แบล็คไวเซอร์กล่าวขึ้น

   “ฮะฮะฮะ ดีๆ วิชาของท่านน่าสนใจมาก เอาละ บลาซเซจ ท่านพาสหายท่านไปพักก่อน แล้วพรุ่งนี้เราจะได้มีเวลาคุยกันสำหรับแผนการณ์สำหรับรับมือเหตุการณ์ในอนาคต” ซาดินกล่าว…


   
   ไกลออกไปในทะเลทราย ในเขตรกร้างของภูเขาไฟเฮริดัน มอร์นาร์ส กำลังทำพิธีสร้างกองทัพปีศาจขึ้น ซากศพของชนเผ่าโบราณเป็นอันมากในเขภูเขาไฟถูกปลุกขึ้นมาจากความตาย และถูกทำพิธีสังเวยให้กลายเป็นกองทัพปีศาจ ทันทีที่หลุมศพหลุมสุดท้ายถูกขุดขึ้นมา มอร์นาร์สก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจที่แฝงไว้ในน้ำเสียง

   “หึหึหึ อีกไม่นาน ดินแดนทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของข้า เหอะเหอะเหอะ รออีกไม่นานกองทัพของข้าก็จะพร้อมสำหรับการก่อมหาสงครามซึ่งทั้งเมอริเซียจะต้องตะลึง”



   ณ อาณาจักรฟีเลเซีย กองทหารจำนวนมากถูกฝึกฝนขึ้นมาเพื่อเตรียมรับมือกับมหาสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น ตามคำบอกเล่าเรื่องราวนิมิตของบิชอปเกรเกอรี่ในวันนั้น กษัตริย์ซิกมันด์ที่สองก็ได้มีคำสั่งให้แม่ทัพชาร์ล คาแรนซ์ แม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซีย ฝึกฝนกองทหารใหม่และเรียกบรรดาพลทหารเข้าประจำการเพื่อเตรียมรับมือทันที กองทหารอันเกรียงไกรถูกฝึกฝนขึ้นเป็นจำนวนมาก

   ขณะที่ชาร์ลในชุดเกราะสีเงินเต็มยศกำลังดูการฝึกซ้อมของบรรดาทหารใหม่เหล่านั้น ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่ง

   “ท่านแม่ทัพ ดูนี่…” ชายคนนั้นยื่นจดหมายให้แม่ทัพ

   “มันคืออะไร ฟอล์คเนอร์” ชาร์ลกล่าว พร้อมรับจดหมายไปจากผู้ชายคนนั้น

   “นกซอร์วิงส์ของกองทัพเรา พบเหยี่ยวสื่อวารตัวหนึ่งของซาโลมนอนเจ็บอยู่ ข้านำเหยี่ยวตัวนั้นไปรักษาพยาบาลแล้ว ที่ขาของมันมีจดหมายฉบับนี้ผูกติดมาด้วย เชื่อว่าทางซาโลมคงจะต้องการความช่วยเหลือ” ฟอร์คเนอร์ ผู้ฝึกนกแห่งฟีเลเซียกล่าว

   “เอาละ ดีมากฟอร์คเนอร์ เราขอบใจเจ้ามาก เดี๋ยวเจ้าไปนำเหยี่ยวสื่อสารตัวนั้นมา และรอเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์กับข้า” ชาร์ลกล่าว

   “ครับท่านแม่ทัพ” ฟอร์คเนอร์รับคำและรีบไปทันที



  ปล. ถามอะไรหน่อยสิ มีหลายคนบอกนิยายเรื่องนี้ใช้เลือดเปลือง จริงหรือเปล่าอ่า   ;D
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #9 on: September 16, 2005, 11:31:29 PM »

Chapter 5: สายลมแห่งศักดิ์ศรี

   ณ ท้องพระโรงหินอ่อนขนาดใหญ่ที่สร้างอย่างวิจิตรบรรจง ใจกลางท้องพระโรงนั้นเป็นที่ตั้งของบัลลังก์หินอ่อนขนาดใหญ่ ต่ำลงมาคือทางเดินปูด้วยพรมกำมะหยี่สีเลือดหมู ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นอยู่ในชุดเกราะสีเขียวขลิบทอง นัยน์ตาสีน้ำตาลแฝงไว้ด้วยแววกล้าหาญและหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี รอบข้างคือที่นั่งของขุนนางและบรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย สตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ทางขวาของชายผู้นั้น ผมยาวสีทองของนางเป็นประกายสะท้อนกับแสงแดดที่ส่องเข้ามาในท้องพระโรงดูงดงามยิ่งนัก นางมีโครงหน้าคล้ายกับบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาเป็นประกายสีฟ้าอ่อนทำให้นางแลดูอ่อนโยน เบื้องซ้ายคือบิชอปเกรเกอรี่ อัครสงฆ์ชั้งสูงของเมืองฟีเลเซียในชุดสีขาวของบิชอปแลดูสง่างาม ทันทีที่แม่ทัพชาร์ลและฟอร์คเนอร์เดินเข้ามาในท้องพระโรง ทั่วทั้งที่ประชุมก็เงียบลงทันที

   “เสด็จพี่บอกว่า ท่านและฟอร์คเนอร์พบจดหมายจากซาโลมรึ?” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กล่าวถามขึ้น

   “ถูกต้องแล้วพะยะค่ะ ฝ่าบาท ฟอร์คเนอร์เป็นคนพบและนำมาให้กระหม่อมรับทราบ ใจความของจดหมายนั้นคือเตือนภัยให้อาณาจักรทั้งหลายในเมอริเซียนี้ระวังภัยร้ายจากจอมเวทย์ลึกลับคนหนึ่งพะย่ะค่ะ” ชาร์ลตอบ

   “ซิกมันด์จ๊ะ พี่ว่าเวลานี้น้องต้องวางแผนให้รอบคอบแล้วล่ะ เพราะคำรายงานของท่านแม่ทัพ ค่อนข้างที่จะสอดคล้องกับนิมิตที่ท่านบิชอปเห็นเมื่อหลายวันก่อนทีเดียว” สตรีที่นั่งอยู่ทางขวาของบัลลังก์หินอ่อนพูดขึ้น

   “ถูกของพระพี่นางพะย่ะค่ะ นิมิตในครั้งนั้นที่กระหม่อมเห็นและตีความได้คือภัยจากพลังชั่วร้ายที่บัดนี้กำลังแผ่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด กระหม่อมเชื่อว่านิมิตคราวนั้นคงเป็นการเตือนภัย” บิชอปเกรเกอรี่กล่าวขึ้นบ้าง

   “เอาละๆ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน… ท่านแม่ทัพตอนนี้กองทัพของเรามีกำลังพลเป็นจำนวนเท่าไรแล้ว” ซิกมันด์ถามชาร์ลถึงกำลังพลของกองทัพ

   “ทูลฝ่าบาท เวลานี้กองทัพของเราประกอบด้วย นกร็อคแดงสองพันตัว นกซอร์วิงส์ห้าพันตัว มังกรลมดิมมินูเลี่ยนและพลรบอีกสองพัน ทัพเปกาซัสและยูนิคอร์นอย่างละประมาณห้าพัน พลธนูสองพันนาย นักดาบแห่งฟีเลเซียสองพันนาย และพลทหารร่วมหมื่นนายพะย่ะค่ะ” ชาร์ลแจ้งจำนวนยอดต่อซิกมันด์ ซึ่งในขณะนี้มีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

   “ท่านคิดว่าในตอนนี้ หากมีศึกบุกประชิดตัวนคร เราจะสามารถตั้งรับได้หรือไม่ ท่านแม่ทัพ” สตรีที่นั่งอยู่ข้างซิกมันด์ถามขึ้นบ้าง

   “ทูลพระพี่นางเรจิน่า และองค์ราชา ในเวลานี้หากมีศึกขึ้นมาจริงๆ ถ้ากองทัพนั้นเป็นกองทัพของมนุษย์กองทัพของเราก็พอจะต้านมันได้พะย่ะค่ะ” ชาร์ลกล่าวตอบตามความรู้สึกของตน

   “นี่ท่านหมายความว่าอาจมีกองทัพที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างั้นหรือ” ซิกมันด์ถามขึ้นบ้าง

   “กระหม่อมทูลตามความรู้สึกของตัวกระหม่อมเอง บางทีอาจเป็นความกังวลประกอบกับคำบอกเล่าจากท่านบิอป ทำให้กระหม่อมคิดมากพะย่ะค่ะ” ชาร์ลตอบ

   “เอาละ ท่านแม่ทัพข้าไม่ว่าอะไรท่านหรอก ข้าแค่อยากรู้ความคิดของท่านว่ารู้สึกอย่างไรแค่นั้นแหละ เราขอให้ท่านทำกาเตรียมพลทหารให้พร้อมรับมือสงคราม และเผื่อมีกรณีที่พันธมิตรเราต้องการความช่วยเหลือในเรื่องของกำลังเสริม ขอให้ท่านและฟอร์คเนอร์จงเตรียมตัวให้พร้อมเถิด” เรจิน่ากล่าวกับชาร์ล และฟอร์คเนอร์

   “ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมทูลลา” ชาร์ลและฟอร์คเนอร์พูดจบก็เดินออกไป

   “ขอพระเป็นเจ้าทรงอวยพรและคุ้มครองท่าน” บิชอปเกรเกอรี่อวยพรเป็นการส่งท้าย


[/b]

   ณ ลานกว้างอันเป็นบริเวณสำหรับฝึกซ้อมฝีมือของเหล่าทหารแห่งฟีเลเซีย แม่ทัพหนุ่มยืนดูการฝึกซ้อมของพลทหารอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่  ขณะที่ในใจก็นึกคิดลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว โดยที่หาได้ใส่ใจกับเสียงฝีเท้าที่เคลื่อนใกล้เข้าหาตัวเขา

   “มิทราบว่าท่านแม่ทัพแห่งฟีเลเซียอันองอาจเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลาแบบนี้หรือไม่” เสียงของอันไพเราะสตรีนางหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเขา เสียงนั้นทำให้แม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียสะดุ้งตื่นจากภวังค์หันไปมองยังที่มาของเสียง เจ้าของเสียงเป็นสตรีรูปงามในชุดเกราะรัดรูปสีน้ำเงินดูองอาจ ผมสีน้ำตาลสยายยาวประบ่า ใบหน้ากลมรีเป็นรูปไข่ ดวงตาสีน้ำตาลดูอ่อนหวานแต่เด็ดเดี่ยว ดาบสีเงินเล่มใหญ่คาดไว้ที่เอวดูเป็นที่น่าเกรงขามยิ่งนัก

   “เวโรนิก้า!” ชาร์ลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนยินดี

   “วันนี้ก็ล่วงเข้าวันที่สี่แล้วนับจากที่ท่านเร่งฝึกฝนกองทัพ ชาร์ล ท่านพอจะบอกแก่ข้าได้หรือไม่ว่ามันเกิดอาเภทอะไรขึ้นในดินแดนเรา ท่านถึงต้องระดมฝึกฝนพลทหารอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้” สตรีที่ถูกเรียกว่าเวโรนิก้าถาม

   ขณะที่ชาร์ลลังเลที่จะตอบคำถามของเธอนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำของแตรเขาสัตว์ดังขึ้นจากกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ ชาร์ลส่งสัญญาณให้กองทหารทั้งหมดรวมพลและเคลื่อนไปยังประตูเมืองด้านทิศเหนือทันทีทันที กองทัพของฟีเลเซียจำนวนมากเคลื่อนพลออกจากประตูเมืองออกมาตั้งรออยู่ ณ ทุ่งหญ้าโล่งๆบริเวณชานเมือง

   “ฟอร์คเนอร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ชาร์ลตะโกนถามฟอร์คเนอร์

   “คนของเรารายงานมาว่าขณะนี้พบกองทัพจำนวนหนึ่ง ยกมาจากทางเหนือ จึงส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือ” ฟอร์คเนอร์ตะโกนตอบชาร์ล แข่งกับเสียงตบเท้ากรีฑาทัพของบรรดาทหารที่กระหึ่มไปทั่วท้องทุ่งแห่งนี้ เสียงแตรทองเหลืองและเสียงกลองบรรเลงเป็นจังหวะปลุกใจบรรดาทหารให้ฮึกเหิม

   “เคลื่อนพล!” ชาร์ลซึ่งขณะนี้ยืนอยู่บนรถม้าศึกได้สั่งเคลื่อนทัพทันที กองทัพนับหมื่นของฟีเลเซียเคลื่อนตัวไปยังรวดเร็วมุ่งหน้าสู่เขตแดนที่ได้ยินมาว่าพบกองทัพของศัตรู

   ทางเขตแดนทิศเหนือ อันเป็นอาณาเขตที่ติดกับทะเลทราย กองทัพผีดิบจำนวนร่วมห้าร้อยตนต่างเคลื่อนทัพเข้ามาช้าๆ ภายใต้การนำของมอร์นาร์สบนหลังม้าสีดำสนิท เขาให้สัญญาณหยุดกองทัพทันทีที่ได้ยินเสียงแตรของกองทัพฟีเลเซียดังขึ้น

   “เตรียมตัวให้พร้อม เหยื่อของพวกเจ้ากำลังจะมา” มอร์นาร์สตะโกนบอกกองทัพผีดิบ และทันทีที่ริ้วธงของฟีเลเซียปรากฎแก่สายตาของเขา มอร์นาร์สก็ออกคำสั่งทันที

   “เตรียมตัว” สิ้นเสียงของมอร์นาร์ส กองทัพผีดิบก็แปรขบวนเป็นกองหน้ากระดานเตรียมรับมือกับกองทัพแห่งฟีเลเซีย

   ทันทีที่พ้นเนินเขากระแสลมพัดโชยเอากลิ่นเน่าเหม็นมาจากทางเหนือ ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้าเหล่าทหารแห่งฟีเลเซียทำให้พวกเขาต้องผงะ กองทัพที่ปรากฏตรงหน้าเขาหาใช่กองทัพของเหล่ามนุษย์ธรรมดาไม่ หากแต่เป็นกองทัพของซากศพร่วมห้าร้อยตนซึ่งแต่ละตนก็มีใบหน้าที่บิดเบี้ยว บางตนลูกตาทะลักออกมานอกเบ้า บางตนเป็นแผลที่ช่องท้องไส้ไหลออกมาห้อยรุ่งริ่ง บางตนเป็นซากแห้งกรังของนักรบโบราณ ส่วนม้าของมอร์นาร์ส แม้จะเป็นม้าดำสนิท แต่มันก็เป็นม้าปีศาจที่สร้างขึ้นมาจากซากศพของม้า ขนที่เป็นสีดำสนิทแต่บางส่วนก็หลุดร่วงไปเป็นกระจุกเผยให้เห็นเนื้อที่เน่าเฟะมีหนอนชอนไชยั๊วเยี๊ย เลือดสีดำคล้ำไหลโซมไปทั่วร่างส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่ว เบ้าตาที่ลึกกลวงจ้องมายังกองทหารฟีเลเซียแลดูน่าอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก

   “แปลขบวน!” ชาร์ลสั่งแปรขบวนเมื่อตั้งสติได้ กองทัพของฟีเลเซียแปรขบวนเป็นแถวหน้ากระดานโดยมีพลหอกอยู่แนวหน้าตามด้วยพลธนูเพื่อเตรียมรับมือทันที

   “ยิงได้!” สิ้นเสียงสังของชาร์ลเสียงสายเอ็นดีดอากาศดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณท้องทุ่งแห่งนั้น ลูกธนูหลายพันลูกลอยไปปักเข้าที่ร่างของกองทัพผีดิบ แต่ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ แม้ว่าพวกมันจะล้มลงไปแค่ไหน พวกมันก็ยังสามารถลุกขึ้นมาอีกได้ราวกับไม่รู้จักคำว่าเจ็บปวด
มอร์นาร์สยิ้มเยาะก่อนที่จะออกคำสั่งไปยังเหล่ากองทัพผีดิบ

   “บุก!” สิ้นเสียงคำสั่งกองทัพผีดิบของมอร์นาร์สทั้งห้าร้อยตนก็วิ่งกรูเข้าหากองทัพของฟีเลเซียทันที การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดทั้งกองทัพมนุษย์และผีดิบ เสียงโลหะแหวกผ่านเนื้อและเสียงร้องของนายทหารดังชัดเจน กลิ่นเน่าเหม็นของซากศพและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว หากนายทหารคนไหนพลาดท่า จะถูกทหารผีดิบกัดกินทันที เศษเนื้อและเครื่องในกระจัดกระจายไปทั่ว ชาร์ลคะเนสภาพการรบด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจควบม้าลงสู่สนามรบเบื้องล่าง

   ทันทีที่ชาร์ลควบม้าลงสู่สนามรบเสียงโห่ร้องของทหารก็ดังขึ้น ดาบในมือของแม่ทัพใหญ่แห่งฟีเลเซียฟันฟาดราวจักรผัน ว่องไวและรวดเร็ว ดาบคุนิกุนเด้ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ทำให้เมื่อพวกผีดิบที่ถูกฟันล้มลงตายอีกเป็นรอบที่สอง โลหิตสีดำไหลนองส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่ว นักรบผีดิบเริ่มร่อยหลอลงเหลือไม่ถึงร้อยตนในทันที ในขณะที่มอร์นาร์สยังคงแสยะยิ้มดูอย่างนิ่งเฉย ใบหน้าแฝงแววยินดีอย่างผู้ชนะแม้ว่ากองทัพของตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ก็ตาม

   สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าชายผู้หนึ่งติดตามดูการต่อสู้อยู่บนหลังมังกรน้ำแข็งสายพันธุ์บารานริธอยู่ห่างๆชายผู้ที่มีดวงตาแข็งกร้าวและเย็นชา

   “เจ้าจะทำอย่างไรล่ะมอร์นาร์ส ในเมื่อผีดิบของเจ้ากำลังจะถูกทำลาย” เขากล่าวออกมาและเฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับตรงข้ามกับการคาดการณ์ของเขาโดยสิ้นเชิงเมื่อมอร์นาร์สกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบกระด้างแต่แฝงแววแห่งชัยชนะเอาไว้

   “อย่าคิดว่าสงครามครั้งนี้พวกเจ้าจะมีชัยไป ทัพชุดนี้ของข้าแค่ถ่วงเวลาพวกเจ้าเอาไว้เท่านั้น บัดนี้ทัพใหญ่ของข้าพร้อมที่จะบุกขยี้ดินแดนแห่งทะเลทรายแล้ว หึหึหึ” กล่าวจบเขาก็ร่ายคาถาออกมาบทหนึ่ง รัศมีสีดำแผ่ออกมารอบตัวของมอร์นาร์ส ปกคลุมหนักราวกับม่านหมอก ทันทีที่หมอกควันสีดำสนิทจางลงกองทัพผีดิบก็ล้มลงและร่างของมอร์นาร์สก็อันตรธานหายไปพร้อมๆกับความมืดมิดของรัติกาลที่โรยตัวปกคลุมอย่างช้าๆ เหลือไว้แต่เสียงหัวเราะอย่างชั่วช้าดังก้องไปทั่วท้องทุ่งที่ชโลมไปด้วยเลือด เศษเนื้อ และซากศพของผู้ตาย


[/b]
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #10 on: September 29, 2005, 01:41:05 AM »

Chapter 6: ทะเลเพลิง
    ณ ดินแดนแห่งทะเลทรายที่อุณหภูมิร้อนจัดในเวลากลางวัน แต่หนาวจัดในเวลากลางคืน ถึงแม้ว่าหลายๆชีวิตจะหลับไปแล้ว แต่ทว่าแสงไฟจากท้องพระโรงยังคงส่องไสวอยู่ เสียงพูดคุยหารือของบรรดาเสนาอำมาตย์ดังลอดออกมาเป็นระยะๆ จากในท้องพระโรง แม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำแล้ว แต่ซาดินและบรรดาข้าราชบริพารน้อยใหญ่ยังคงหารือกันอยู่  ทันใดนั้นเอง วิหคโลกันตร์ก็แผดเสียงร้องลั่นอย่างน่ากลัว จนกระทั่งแบล็คไวเซอร์ต้องลูบหัวมันเบาๆเพื่อให้มันสงบลง

    “สัตว์เลี้ยงของท่านเป็นอะไรรึ?” ซาดินถามขึ้นเมื่อเห็นวิหคโลกันตร์มีอาการผิดปกติ

    “ทูลฝ่าบาท ที่วิหคโลกันตร์เป็นเช่นนี้ เพราะมันสัมผัสได้ถึงพลังมืดที่แข็งแกร่งพะย่ะค่ะ” แบล็คไวเซอร์ตอบ

    “หมายความว่ายังไงรึ? ทัพของศัตรูรึไง?” ซาดินถามต่อด้วยความอยากรู้

    “ทูลฝ่าบาท เวลานี้ทัพของศัตรูมีจำนวนหลักหมื่น กำลังเตรียมพร้อมที่จะบุกอาณาจักรของพระองค์แล้วหลังจากถ่วงเวลาให้ชาวฟีเลเซียไม่สามารถยกมาได้สำเร็จ ไม่เกินวันโซลุมที่จะถึงนี้ เราโดนศึกหนักแน่พะย่ะค่ะ” แบล็คไวเซอร์ตอบ ซึ่งทำให้ทั้งที่ประชุมเต็มไปด้วยความเงียบ

    “แบล็คไวเซอร์ หากเป็นอย่างที่ท่านพูดมานี่หมายความว่าเรามีเวลาเตรียมการณ์เพียงแค่พรุ่งนี้อีกหนึ่งวันเองนะ” นาริส สุไลมานถามขึ้นทำลายความเงียบในที่ประชุม

    “ความจริงข้าว่าหนึ่งวันยังเร็วเกินไปสำหรับกองทัพกระหายเลือดพวกนั้น มอร์นาร์สค้นพบความลับบางอย่างภายใต้ภูเขาไฟเฮริดัน ตอนนี้มันคงจะมุ่งหน้าเพื่อทำลายและยึดครองอย่างเดียวเท่านั้น” แบล็คไวเซอร์กล่าวตอบมหาอำมาตย์ด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ

    “พรุ่งนี้จะเป็นวันเวนตุสแล้ว ข้าเกรงว่า หลายอย่างอาจสายเกินไปในการตระเตรียมการณ์” นาริสกล่าว ทั้งที่ประชุมเริ่มเกิดเสียงวิพากวิจารณ์อีกครั้ง

    “แล้วตอนนี้ทางกองทัพเราเหลือกำลังพลอยู่เท่าใด ท่านนาริส” ซาดินถามถึงกำลังพลของกองทัพซาโลมที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดทำให้ที่ประชุมทั้งหมดเงียบลงทันที มหาอำมาตย์เฒ่าแห่งซาโลมครุ่นคิดเล็กน้อยพร้อมกับตอบมาว่า

    “ทูลฝ่าบาท ขณะนี้กำลังพลของอาณาจักรเราประกอบด้วยมังกรซาลามันเดอร่าห้าร้อยตัว มังกรนิลทินโคเลี่ยนพร้อมพลรบห้าร้อย กองกำลังนกโมฮาสี่พันนาย สุนัขเขาดาบสองพันตัว กริฟฟินราตรีมืดหนึ่งพันตัว คนฝึกสัตว์แห่งซาโลมหนึ่งพันนาย มือเพชรฆาตรซาโลมหนึ่งพันห้าร้อยนาย และพลทหารอีกประมาณเจ็ดพันนาย พะย่ะค่ะ” อำมาตย์เฒ่าตอบ

    ขณะที่ทุกคนในท้องพระโรงกำลังใช้ความคิดกันอยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำของแตรเขาสัตว์ก็ดังกังวาลขึ้นจากประตูเมือง ทันทีที่เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้น วิหคโลกันตร์ก็บินไปรอบๆท้องพระโรงอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว แบล็คไวเซอร์รู้ได้ในทันทีว่าวาระแห่งสงครามมาถึงแล้ว

    “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า เวลานี้ทัพศัตรูได้บุกมาประชิดพระนครแล้วพะย่ะค่ะ” แบล็คไวเซอร์กล่าวกับซาดินและเนอร์ริมอร์

    “ราโชยู เจ้าจงจัดเตรียมกองทัพไว้ให้พร้อม เราจะออกไปยลโฉมทัพของศัตรูกัน” ทุกคนในที่ประชุมรับคำและรีบออกมาเตรียมการรบทันที

    นอกประตูเมือง กองทัพของปีศาจและผีดิบจำนวนมากเรียงรายล้อมอยู่รอบด้าน พวกมันล้วนถูกสร้างขึ้นจากซากศพและคาถาอาคม กลิ่นซากศพเน่าเหม็นกระจายไปทั่ว สร้างความตื่นตกใจให้กับบรรดาทหารบนกำแพงเมืองยิ่งนัก ไม่นานทัพมังกรของซาโลมก็บินว่อนเต็มท้องฟ้า นำทัพโดยซาดิน อิบริดในชุดเกราะสีแดงเพลิงขลิบทองบนหลังซาลามันเดอร่าคู่ใจ ซาดินใช้กระบองในมือกระทุ้งที่ท้องของซาลามันเดอร่าเบาๆเจ้ามังกรก็พ่นเปลวไฟร้อนฉ่าออกมาเผาทัพผีดิบและทหารปีศาจข้างล่างล้มตายไปมากมาย ทัพปีศาจเห็นดังนั้นจึงบุกดาหน้าเข้ากำแพงเมืองทันที แม้ว่าห่าธนูจะยิงมาสกัดให้มันล้มลงได้ แต่มันก็สามารถลุกมาได้อีกครั้ง

    ทหารซาโลมพยายามรักษากำแพงเมืองอย่างสุดความสามารถ ปีศาจหรือซากศพตนใดที่พยายามจะปีนกำแพงขึ้นมาจะถูกน้ำมันร้อนๆเทราดล่วงลงไปทุกครั้ง แต่พวกมันก็รวมพลังปีนกลับขึ้นมาใหม่ เนอร์ริมอร์เห็นว่าหากชักช้าจะไม่ได้การจึงโบกคฑาสีแดงในมือของนางพร้อมกับร่ายคาถาแห่งเปลวเพลิงออกมา ทันทีที่นางร่ายคาถาจบ หัวคฑาในมือนางก็เปล่งประกายแสงสีแดงแสบตา ทันใดนั้นลูกไฟจำนวนมากพลุ่งจากคฑาในมือของนางพุ่งเข้าใส่ทหารผีดิบล้มตายไปเป็นจำนวนนับร้อย กลิ่นเหม็นของเนื้อไหม้ไฟคละคลุ้งผสมไปกับกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเนื้อเน่า

    ซาดินที่อยู่บนหลังของซาลามันเดอร่าเห็นกองทัพผีดิบลดจำนวนลงไปมากก็ส่งสัญญาณกับทหารบนกำแพงเมือง ทันใดนั้นประตูเมืองก็เปิดออก ราโชยูคุมทหารจำนวนมากเข้าต่อสู้กับทหารผีดิบ โดยมีทัพมังกรคอยช่วยเหลือการโจมตี เคียวขนาดใหญ่ในมือของแม่ทัพราโชยูบั่นหัวของทหารปีศาจล้มลงไปหลายตัว ทัพปีศาจล้มลงเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เหล่าเพชรฆาตรแห่งซาโลมก็ใช้กรงเล็บขนาดใหญ่เด็ดหัวศัตรูหลุดออกมาราวกับเด็ดผลไม้ออกจากขั้ว

    ขณะที่ฝ่ายกองทัพทะเลทรายกำลังจะได้ชัยนั้นก็บังเกิดหมอกสีดำปกคลุมไปทั่วท้องทะเลทรายยามราตรีพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ก้องกังวาลไปทั่ว พวกทหารผีดิบล้มตายค่อยๆลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซากของมันเคลื่อนที่มารวมกันเป็นกลุ่มก้อน ไม่นานเสียงหัวเราะก็เงียบหายไป ทันทีที่หมอกจางลงร่างของมอร์นาร์สก็ปรากฎขึ้น เขาถือขวดที่บรรจุด้วยของเหลวสีดำที่บัดนี้ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งออกมา

    “ฮะ… นั่น เลือดปีศาจ” แบล็คไวเซอร์ตะโกนออกมา วิหคโลกันตร์แผดเสียงร้องมากขึ้นกว่าเดิม

    มอร์นาร์สสาดเลือดปีศาจไปยังกลุ่มของซากศพที่กองระเกะระกะ ซากศพเริ่มแปรสภาพเป็นเมือกเหนียวๆไหลมารวมกัน เสียงของเหลวข้นเดือดและเสียงกระดูกลั่นแตกดังชัดเจน กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นเน่าเหม็นกระจายไปทั่วทำให้ทัพซาโลมถึงกับผงะ ทันทีที่เสียงของเหลวข้นเดือดเงียบลง กองซากศพเหล่านั้นก็จับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ทหารปีศาจประมาณสี่ถึงห้าตนลุกออกมาจากกองของเหลวนั้นกระโจนเข้าใส่ทหารที่ใกล้ที่สุดทันที

    “ไม่ว่าผีดิบของข้าจะตายไปเท่าไร มันก็จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่แข็งแกร่งกว่าเก่า” มอร์นาร์สตะโกนออกมา

    “ราโชยู เจ้ารีบคุมทหารถอยกลับไป” ซาดินตะโกนสั่งพร้อมกับให้สัญญาณถอยทัพ ราโชยูคุมกำลังทหารถอยกลับเข้าไปด้วยความยากลำบาก

    “เนอร์ริมอร์ วิชาเพลิงของเจ้า” ซาดินตะโกนบอกภรรยาตนซึ่งขณะนี้กำลังใช้เวทมนตร์เผาทหารปีศาจที่พยายายามจะปีนกำแพง

    “เปล่าประโยชน์หรอกน่า กองทัพข้าสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้” มอร์นาร์สตะโกนออกมา

    “เจ้าคิดอย่านั้นรึ? เพลิงกาฬของข้าจะเผาผลาญทุกสิ่ง ‘เพลิงแห่งหายนะ!’ ” เนอร์ริมอร์ร่ายคาถาออกมา ยอดทับทิมที่หัวคฑาในมือนางเปล่งประกายแสงสีแดงสดดุจดวงตะวันตัดกับความมืดในยามราตรีขณะนี้ ซาดินส่งสัญญาณให้ทัพมังกรถอยกลับเข้ากำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว

    ทันทีที่เนอร์ริมอร์ร่ายคาถาจบลง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากคฑา อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นทุกขณะ เนอร์ริมอร์กวาดคฑาไปยังข้างหน้านางเป็นวงกว้าง

    “จงถูกเผาเป็นเถ้าถ่านซะ ‘เพลิงแห่งพิโรธ’ ” ขาดคำ คฑาในมือนางก็บังเกิดแสงสีแดงปกคลุมไปทั่ว ลูกไฟมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากคฑาในมือนาง ทะเลทรายฟาคารับบัดนี้แปรสภาพกลายเป็นทะเลเพลิง เผาผลาญกองทัพผีดิบและปีศาจให้กลายเป็นจุลมหาจุลไปในพริบตา

    มอร์นาร์สยืนแสยะยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านท่ามกลางเปลวเพลิงที่ร้อนระอุ

    “หึหึหึ ขอชมเชยที่ทำลายกองทัพของข้าได้ แต่ไฟแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ” เขากล่าวออกมาก่อนจะหายตัวไปกับกลุ่มหมอกควัน เหลือไว้แต่เพียงเสียงหัวเราะเยาะที่ชั่วร้าย…

    ปล. ตอนแรกกะใช้ชื่อตอนว่าทะเลทรายสีเลือด...  ไปๆมาๆมันไม่มีเลือดเลยเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงแทน...
« Last Edit: October 12, 2005, 07:04:18 AM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #11 on: October 01, 2005, 03:23:43 AM »

 Chapter 7: อสูรแห่งผืนทราย

    ไกลออกไปในทะเลทราย มอร์นาร์สและกลุ่มของทหารปีศาจที่เหลือประมาณสองร้อยตนกำลังรอคอยเวลาที่จะยกทัพไปบุกโจมตีอาณาจักรต่างๆอีกครั้ง มอร์นาร์สกำลังเร่งสร้างกองทัพขึ้นใหม่ จากศพทหารที่ตนได้มาขณะที่ทำสงคราม กองทัพทหารปีศาจถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ละตัวมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

    สวบ ๆ ๆ เสียงของสิ่งมีชีวิตบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผืนทราย ก่อนที่มอร์นาร์สจะทันรู้ตัว เงาของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งก็คาบทหารปีศาจตนหนึ่งหายลงไปใต้พื้นทราย เสียงคมเขี้ยวฉีกเนื้อดังสนั่นอยู่ใต้ผืนทราย

    “หึๆๆ เจ้าสินะ สิ่งมีชีวิตที่เป็นตำนานเล่าขานของนักเดินทางที่เดินทางผ่านฟาคารับ อสูรแห่งผืนทรายที่คอยกัดกินคนเดินทางสัญจร” มอร์นาร์สกล่าวออกมา

    “หึๆๆ เจ้ารู้จักข้าด้วยงั้นรึ เนโครแมนเชอร์น้อย ถ้างั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่าข้าคือใคร” เสียงแหบแห้งดังมาจากใต้พื้นทราย

    “ข้ารู้จักเจ้าดี… ตลอดพันกว่าปีที่ผ่านมา เจ้าซุ่มซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนทราย สูบเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่เดินทางไปมาเป็นอาหาร แต่วันนี้เจ้าถึงคราวพินาศแล้ว” มอร์นาร์สกล่าวสวนมาด้วยน้ำเสียงแหบห้าว  ขาดคำเขาก็ส่งสัญญาณให้ทหารปีศาจกลุ่มหนึ่ง ทหารปีศาจประมาณห้าตนกระโดทิ่มแขนทั้งสองข้างที่เป็นเดือยแหลมลงไปใต้พื้นทราย เสียงของสิ่งมีชีวิตนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

    ซวบ ทหารปีศาจตนหนึ่งถูกดูดลงไปใต้ทราย เสียงเขี้ยวฉีกเนื้อดังมาจากใต้ทรายอีกครั้ง ไม่นานซากครึ่งท่อนของทหารปีศาจก็ถูกโยนออกมาจากใต้ทราย มอร์นาร์สตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่จะส่งสัญญาณให้เหล่าทหารปีศาจกระจายเป็นวงถอยห่างออกมา

    มอร์นาร์สกรีดเลือดของตัวเองด้วยกริชสั้นประจำกายของเขา เลือดสดๆหยดลงสู่พื้นดินจากนั้นเขาก็ร่ายคาถาออกมาพร้อมกับสาดเลือดลงไปยังพื้นทรายเบื้องหน้าเขา

    พรวด ซากของทหารปีศาจอีกครึ่งถูกโยนออกมา เลือดที่มอร์นาร์สสาดไปจึงโดนเข้ากับซากของทหารปีศาจพร้อมๆกับคาถาคำสุดท้ายที่จบลงพอดี ซากของทหารปีศาจนั้นเกิดรอยแผลไหม้เกรียมราวกับถูกไฟไหม้ในทันทีที่กระทบเข้ากับเลือดของมอร์นาร์ส

    “หึหึหึ คิดจะใช้คำสาปของเจ้ากับข้างั้นรึ…  ลองดูพลังของข้าบ้าง” เสียงนั้นดังขึ้น แล้วก็เงียบลงกลายเป็นเสียงเคลื่อนที่ใต้พื้นทรายอีกครั้ง ทหารปีศาจที่อยู่ใกล้มอร์นาร์สมากที่สุดถูกดึงลงไปใต้พื้นทราย เสียงคมเขี้ยวกระทบเนื้อดังชัดเจน ตามมาด้วยเสียงสูดซดอย่างกระหายดังมาจากใต้พื้นทราย

    “หึหึหึ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใคร แต่ของพวกนี้ทำให้ข้าชักสนุกแล้วสิ” เสียงแหบห้าวดังมาจากใต้พื้นทรายอีกครั้ง มอร์นาร์สให้สัญญาณกับกองทหารปีศาจทันที กองทหารปีศาจส่วนหนึ่งกระโดดเข้าแทงลงไปใต้พื้นทรายทันที ในขณะที่ทหารปีศาจอีกกลุ่มหนึ่งคอยคุ้มกันมอร์นาร์สไว้ในวงล้อม

    “หึหึหึ เจ้าคิดว่าจะปลอดภัยรึ จอมเวทย์น้อย อย่าลืมว่าเจ้าและทหารของเจ้าไม่สามารถจับการเคลื่อนที่ของข้าในขณะนี้ได้” ทันทีที่เสียงนั้นเงียบลง ทหารปีศาจอีกตนก็ถูกดึงลงไปใต้ผืนทรายอีกครั้ง มอร์นาร์สกำลังใช้ความคิดวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ในขณะนี้

    “มันอยู่ใต้ทราย เลือดของเราทำอะไรมันไม่ได้” เสียงการเคลื่อนไหวใต้พื้นทรายดังขึ้นอีกครั้ง มันพุ่งเข้ามาที่มอร์นาร์สอย่างรวดเร็ว ทหารผีดิบตนหนึ่งกระโดดเข้ามาป้องกันมอร์นาร์สไว้ ทำให้ตัวมันถูกดึงลงไปใต้ทราย

    พรวด! ซากของทหารปีศาจที่เหลือแค่ครึ่งท่อนถูกโยนกลับขึ้นมา เลือดถูกสูบจนเหือดแห้ง เสียงการเคลื่อนที่ใต้ผืนทรายว่องไวมากขึ้นกว่าเดิม มอร์นาร์สส่งสัญญาณบางอย่างให้กับทหารปีศาจ กลุ่มของทหารปีศาจจำนวนหนึ่งพุ่งเอาแขนของตนแทงลงลงไปใต้ทรายทันที ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยความเงียบ เสียงของการเคลื่อนที่ใต้พื้นทรายเงียบหายไป มอร์นาร์สเริ่มร่ายคาถาโบราณพร้อมกับกรีดข้อมือของตัวเองอีกครั้ง

    “ครั้งนี้เจ้าไม่รอดแน่” มอร์นาร์สพูดออกมาพร้อมกับสาดเลือดสดที่ไหลออกมาไปยังพื้นทราย ทันทีที่เลือดของเขากระทบพื้นทราย ก็เกิดเป็นไอพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเสียงแผดร้องคำรามอย่างเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มันเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง ทหารปีศาจประมาณห้าตนถูกดูดลงไปใต้ทรายในชั่วพริบตา

    “เจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดแล้วสินะ ที่ทำแบบนี้” เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นดังมาจากใต้พื้นทราย

    “อย่างน้อยเจ้าก็โดนเลือดของข้าไปแล้วละน่า เอซาไลซ์”  มอร์นาร์สกล่าวออกมาพร้อมกับเริ่มร่ายคำสาปอีกครั้ง

    “เลือดของข้า จงแข็งตัว พันธนาการศัตรูของข้าไว้ ณ บัดนี้!” ทันทีที่คำสาปสุดท้ายจบลง เลือดของมอร์นาร์สที่ซึมลงไปใต้ทรายก็เริ่มจับตัวเป็นก้อนแข็ง ไอสีขาวพวยพุ่งออกมาจากพื้นทรายโดยรอบปกคลุมไปทั่วบริเวณ  กลิ่น    คาวเลือดสดปกคลุมไปทั่วท้องทะเลทราย

    “กรอด… แก… ของแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอกน่า…” เสียงคำรามออกมาอย่างโกรธแค้นยังคงดังก้องอยู่ใต้พื้นทราย ตามด้วยเสียงของสิ่งมีชีวิตที่พยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการ

    “เอซาไลซ์เอ๋ย… เรี่ยวแรงของแกตอนนี้ไม่สามารถทำลายเครื่องพันธนาการที่สร้างจากเลือดของข้าได้หรอก เผยโฉมหน้าของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้” ขาดคำของมอร์นาร์ส แสงสีดำพุ่งจากมือของเขาแทงลงไปใต้พื้นทรายทันที เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมา พร้อมกับการดิ้นรนของสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นทราย สิ่งมีชีวิตนั้นดิ้นรนหาทางเป็นอิสระที่ถูกพลังเวทย์มนตร์ดึงขึ้นมา แรงดิ้นรนของมันทำให้ทรายบริเวณนั้นฟุ้งกระจายไปทั่ว

    ทันทีที่ฝุ่นทรายจางลง ร่างของมังกรขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของมอร์นาร์สและทหารปีศาจที่ยังเหลืออยู่ ร่างของมังกรตัวนั้นเป็นสีเหลืองซีดเหมือนเม็ดทราย หัวสองหัวที่มีดวงตาอันพยาบาทจ้องมาที่มอร์นาร์ส เลือดของมอร์นาร์สไหลท่วมตัวของมันและจับตัวเป็นก้องแข็งพันธนาการมันไว้

    “แก… ทำได้แสบมาก…” เจ้ามังกรกล่าวออกมาอย่างอาฆาตทันทีที่เห็นมอร์นาร์ส

    “เอซาไลซ์เอ๋ย…  อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะลืมความบาดหมางกับข้าแล้ว และกลายมาเป็นทาสที่ซื่อสัตย์กับข้า…” พูดจบมอร์นาร์สก็หยิบเอาขวดแก้วเล็กๆที่ภายในบรรจุไปด้วยโลหิตแห่งมารสีดำสนิท ทันทีที่เปิดขวดออก กลิ่นรุนแรงของคาวเลือดก็กระจายคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

    “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะใช้วิธีนั้นกับข้า… เจ้าคิดรึว่าข้าจะยอมเชื่อฟังเจ้า…” มังกรร้ายพูดออกมาด้วยเสียงแหบห้าว

    “เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่า ทหารปีศาจที่เจ้าสูบโลหิตไปหลายตนนั้น แท้จริงมันถูกสร้างมาจากอะไร…  หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้โลหิตมารที่เจ้าได้รับไป คงจะเริ่มออกฤทธิ์แล้วสินะ แล้วยังมีพิษจากเลือดของข้าอีก ” มอร์นาร์สพูดสวนเจ้ามังกรทะเลทรายออกมา

    ไม่นานหลังจากที่มอร์นาร์สพูดจบ ร่างกายของเอซาไลซ์ก็เริ่มมีผื่นแดงเกิดขึ้น ผื่นแดงนั้นเริ่มแตกตัวเป็นแผลพุพองสร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับเจ้ามังกรเป็นยิ่งนัก มอร์นาร์สเริ่มต้นร่ายคาถาอีกครั้ง แผลบนตัวของเอซาไลซ์ก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว มังกรแห่งทะเลทรายร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด

    “เจ้าคิดว่าเจ้าจะยอมเป็นทาสรับใช้ข้ารึยัง?” มอร์นาร์สถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

    “ขะ… ข้ายอม…” เอซาไลซ์กล่าวออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง น้ำเสียงปราศจากการดินรนแม้แต่น้อย เนื่องจากมันไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลได้

    “เจ้าว่ายังไงนะ…  ข้าได้ยินไม่ถนัด” มอร์นาร์สแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของเจ้ามังกร พร้อมกับยังร่ายคำสาปต่อไป

    เจ้ามังกรคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด เนื่องจากคำสาปบทที่มอร์นาร์สกำลังร่ายอยู่นั้น ได้ทำให้แผลพุพองบนตัวของมันเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนราวกับโดนกรดเผาไหม้ เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาตามรอยแผลนั้นส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว

    “ว่ายังไงล่ะ…  ขอถามครั้งสุดท้าย จะยอมร่วมมือกับข้า หรือว่าอยากตายอย่างทรมาน?” มอร์นาร์สถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง

    “ข้า… ยะ… ยอมเป็นพวกของท่าน…” มังกรเอซาไลซ์กล่าวออกมาอย่างยากลำบาก

    “ก็แค่นั้น จากนี้ไป หากเจ้าทรยศ โทษของเจ้าคือตายสถานเดียว” มอร์นาร์สพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้าย เขาสาดเลือดแห่งมารไปที่ตัวของเอซาไลซ์พร้อมกับท่องคาถาบางบท เกิดแสงสีดำประหลาดพร้อมกับกลิ่นซากเนื้อเน่าคละคลุ้ง บาดแผลที่ตัวเอซาไลซ์และคราบเลือดของมอร์นาร์สหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “และขั้นตอนสุดท้าย…” มอร์นาร์สพูดพร้อมกับกรอกเลือดแห่งมารที่ยังเหลืออยู่ลงไปในปากของเอซาไลซ์ทั้งสองหัว พร้อมกับบังคับให้มันกลืนลงไป

    “ในที่สุด ปีศาจร้ายแห่งตำนานก็สวามิภักดิ์กับข้า หึหึหึ” มอร์นาร์สกล่าวออกมาพร้อมกับแสงของตะวันที่ลับขอบฟ้า เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะที่ชั่วร้าย ดังสะท้อนไปมาในทะเลทราย…

    ปล. สะกดชื่อมังกรถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ รบกวนผู้รู้เข้ามาบอกด้วยครับ
    ได้ตำนานมาจากเคาน์เตอร์การ์ดของที่ร้านน่ะ มังกรอสูรที่จับสิ่งมีชีวิตในทะเลทรายกินเป็นอาหาร...
« Last Edit: October 12, 2005, 07:11:37 AM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #12 on: October 02, 2005, 09:27:08 PM »

ไม่ลงในนี้ละ ขี้เกียจลิงคืไปอ่านที่บอร์ดอื่น
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #13 on: October 16, 2005, 09:26:44 PM »

  Chapter 8: กองเรือปีศาจ

���เสียงฝีเท้าเดินก้องไปทั่วในทางเดินแคบๆ ที่มีแสงสลัวจากแสงไฟของคบเพลิงที่ติดผนังทั้งสองด้าน คนๆหนึ่งกำลังรีบเดินด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่าง คนๆนั้นเดินเข้าไปจนสุดทางซึ่งเป็นกำแพงกั้นอยู่ เงาของคนๆหนึ่งขยับคบไฟ ทันทีที่คบไฟถูกขยับกลไกลับก็ทำงาน ผนังถูกยกขึ้นเผยให้เห็นทางลงไปใต้ดิน ร่างๆนั้นเดินลงไปอย่างช้าๆ พร้อมๆกับกลไกที่คืนตัวทำให้ผนังห้องเลื่อนลงมาเหมือนเดิม

���ทางเดินเก่าแก่แคบๆก่อด้วยศิลาทอดยาวไปจนสุดทาง ภายในเป็นห้องโถงกว้างขนาดใหญ่ ที่มีแสงสลัวจากคบไฟติดผนังส่องอยู่เพียงประปรายเท่านั้น ร่างใต้ผ้าคลุมเดินเข้าไปคุกเข่าตรงกลางห้อง

���“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาเป็นอย่างไรบ้าง? ข่าวลือจากทะเลทราย… เรื่องราวของจอมเวทย์ลึกลับที่อาจหาญก่อสงครามกับซาโลม เจ้ารู้อะไรมาจงรายงานข้าให้ละเอียด”  เสียงของชายผู้หนึ่งดังออกมาจากมุมมืดของห้อง เสียงนั้นดังกังวาลไปทั่วทั้งห้อง

���“นายท่านโปรดอย่ากังวล ข่าวคราวที่สายข่าวของเรารายงานมา ได้ยินมาว่าตอนนี้ ซาโลมกำลังรับศึกหนัก จอมเวทย์ลึกลับในข่าวลือเป็นผู้ควบคุมกองทัพปีศาจเข้าต่อสู้กับซาโลม นายท่าน…  ข้าเกรงว่าซาโลมอาจไม่สามารถต้านได้นาน หากเราไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยขอรับ นายท่าน…”

���เสียงของร่างใต้ผ้าคลุมรายงานออกมา  เปลวไฟในกระถางทองเหลืองใหญ่กลางห้องลุกพรึบขึ้น แสงจากเปลวไฟเผยให้เห็นถึงตรารูปหมาป่าขนาดใหญ่ที่สลักจากหินอ่อนที่ติดอยู่ตรงกลางผนังห้อง ชายคนหนึ่งท่าทางองอาจนั่งอยู่ชิดผนัง ซ่อนใบหน้าของเขาภายใต้เงามืด

���“ดีมาก… ตอนนี้คนของเราที่กระจายไปทั่วทะเลทรายมีจำนวนเท่าไร?” เสียงชายคนเดิมถามมาอีกครั้ง

���“เรียนนายท่าน…  ขณะนี้ นักฆ่าของเราที่แฝงตัวอยู่ตามที่ต่างๆหากตบเท้าพร้อมๆกัน ก็สามารถทำให้เม็ดทรายในทะเลทรายฟาคารับฟุ้งกระจายไปทั่วได้ขอรับ”

���“หึหึหึ เอาละ เจ้าออกไปก่อน… ตอนนี้ข้าต้องการใช้ความคิดเล็กน้อย…”

���“ขอรับ…” ชายผู้นั้นรับคำพร้อมกับเดินไป

���“หึหึหึ  เจ้าคิดว่ายังไง… สงครามครั้งนี้เราจะเข้าร่วมด้วยดีหรือไม่…” ชายคนเดิมหันไปถามยังอีกด้านหนึ่งของผนังห้องที่ว่างเปล่า

���“หึหึหึ…  ท่าบาลาส  ตอนนี้นักฆ่าของเรากระจายไปทั่วทะเลทรายแห่งนี้ แต่ทว่า…  หากท่านให้สัญญาณ พวกมันทุกคนก็จะมารวมตัวกัน ข้าคิดว่า… หากเราไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ สรรพสิ่งในทวีปเมอริเซียอาจถึงกาลพินาศลงก็เป็นได้…” เสียงของชายคนหนึ่งดังออกมาจากอีกด้านของผนัง



���สามอาทิตย์ผ่านไปหลังจากการบุกโจมตีซาโลมอย่างอาจหาญของมอร์นาร์ส ข่าวคราวแพร่สะพรัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว อาณาจักรต่างๆ ต่างก็เร่งเตรียมการรับมือกับจอมเวทย์ผู้นี้ เพราะต่างก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เมื่อไรที่อาณาจักรของตนจะถูกโจมตี กองลาดตระเวนผลัดเวรยามกันอย่างเข้มแข็ง เสียงย่ำเท้าลาดตระเวนดังกระหึ่ม ทางด้านของซาโลมก็มีการว่าจ้างทหารรับจ้างเผ่ามอร์มาเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมรับมือกับการบุกระลอกสอง ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้



���ไกลออกไปทางใต้ สู่ดินแดนน้ำแข็งที่หนาวเย็นของแอนดิซอง ภายในที่ประชุมที่ตกแต่งอย่างงดงาม พื้นหินอ่อนขาวปูด้วยพรมกำมะหยี่สีแดงสด ณ ที่ประชุมสภาของแอนดิซอง เวลานี้เต็มไปด้วยหัวหน้าสภาต่างๆ และที่ปรึกษาสภา แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ผู้ที่นั่งอยู่ทางด้านหัวโต๊ะประกอบไปด้วยบุคคลสามคน

���“เอาละ ทุกท่าน ที่ข้าเปิดประชุมในวันนี้ เนื่องมาจากข่าวเรื่องสงครามทางตอนเหนือของอาณาจักรเรา ข้าคิดว่า เราสามารถฉกฉวยโอกาสนี้ ทำกำไรได้อย่างมากมาย” ผู้พูดคือหนึ่งในผู้ที่นั่งหัวโต๊ะ ชายร่างอ้วนในชุดกำมะหยี่สีน้ำเงินสด ประดับประดาด้วยอัญมณีหลากสี ราวกับเป็นตู้โชว์อัญมณีเคลื่อนที่

���“หึหึหึ ท่านรูฟัส สมแล้วที่ท่านเป็นประธานสภาพ่อค้าของอาณาจักรเรา ท่านคงคิดวางแผนที่จะทำกำไรจากจากการค้าอาวุธสงครามและยาสมุนไพรแล้วละสิ”  ผู้พูดคือชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้างรูฟัส ชายในชุดขาวของนักบวช แววตาแฝงแววแห่งศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น

���“เอ… ท่ามาร์สิลิโอ้ ท่านขัดคอข้าแบบนี้แปลว่าท่านก็มีแผนของท่านละสิ” รูฟัสเถียงสวนออกมาอย่างเผ็ดร้อน

���“พ่อได้ยินมาว่า ศัตรูใช้กองทัพมารในการต่อสู้ครั้งนี้ พ่อไม่ยอมให้อำนาจของปีศาจมาแปดเปื้อนทวีปเมอริเซีย และคนของพ่อโดยเด็ดขาด” ผู้ที่ถูกเรียกว่ามาร์สิลิโอ้พูดขึ้น

���“เอาละๆ พวกท่านทั้งสองเลิกเถียงกันเสียที เราไม่มีเวลาสำหรับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ที่ข้าเรียกพวกท่านประชุมในวันนี้ก็เพราะข้าได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง”  เสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ ดังมาจากผู้ชายในชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มขลิบทองซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากากเหล็กสีน้ำเงิน ที่นั่งเก้าอี้ประธานในที่ประชุม

���“ดูท่าจะเป็นจดหมายเตือนจากทางแคว้นซาโลมอีกกระมังท่างอองเดร ข่าวว่าหลายอาทิตย์ก่อน อาณาจักรซาโลมถูกกองทัพปีศาจบุกเข้าโจมตี” รูฟัสพูดขึ้น

���“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านรูฟัส มันไม่ใช่จดหมายจากซาโลม จริงอยู่ที่ว่ามันเป็นจดหมายเตือน แต่ว่ามันไม่ได้มีตราประทับของซาโลม ฟีเลเซียกับฟูดินันก็ไม่ใช่ แต่เป็นการลงชื่ออย่างหวัดๆ… ข้าคิดว่าบางทีภัยอาจมาถึงแล้วก็ได้…”

���ทันทีที่อองเดรพูดจบลง ประตูห้องประชุมก็เปิดขึ้น นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานด้วยท่าทีตื่นตระหนก

���“ท่านครับ...  กองกำลังสอดแนมทางน้ำของเรารายงานว่าพบกองเรือลึกลับจำนวนมาก ยกทัพมาทางทิศตะวันตก ตอนนี้ทัพเงือกของเรากำลังตามประกบดูเชิงอยู่ครับ” ทั่วทั้งที่ประชุมเต็มไปด้วยความตระหนกด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจากคำรายงานของทหารคนหนึ่ง

���“เรียกระดมทัพโดยด่วน ส่งกองเรือรบของเราออกไปยันมันไว้” อองกเดรออกคำสั่งออกไปในทันที

���ทั่วน่านน้ำของแอนดิซองในยามนี้ เต็มไปด้วยกองทัพทางน้ำอันเกรียงไกรของกองเรือรบแห่งแอนดิซอง กองทหารเงือกที่นำทัพมาโดยแม่ทัพอีริค ในชุดเกราะสีน้ำทะเล พลงูทะเลและนักรบเฟินโกเลี่ยนเป็นจำนวนมาก

���อองเดรอยู่ในชุดเกราะเต็มยศสีน้ำเงินเข้มขลิบทองยืนอยู่บนหัวเรือลำหนึ่ง ผ้าคลุมสีขาวพลิ้วไปกับลมทะเลยามเย็นดูสง่างามยิ่งนัก เขากระชับด้ามจับของดาบคู่กายที่ทำเป็นรูปถ้วยไว้แน่น ใบดาบเป็นประกายแวววับสะท้อนกับแสงแดดดูน่าเกรงขาม

���“กองเรือที่ไม่ปรากฏสัญชาติ ท่านเข้ามาในน่านน้ำของแอนดิซองด้วยเหตุผลอันใด? เรา ในนามของอองเดร ออเนเร่ แม่ทัพแห่งแอนดิซองใคร่ขอให้ท่านส่งตัวแทนมาเจรจา... มิฉะนั้น เราจะไม่ไว้หน้าท่าน” อองเดรตะโกนออกไป เสียงของเขาก้องไปมาดูมีอำนาจยิ่งนัก

���กองเรือลึกลับเงียบสงบ สภาพใบเรือของเรือบางลำเก่า ขาด และผุพังจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะแล่นได้หากปราศจากอำนาจของมารร้ายที่คอยควบคุมมันอยู่ กองเรือปีศาจนิ่งเงียบอยู่นานจนตะวันลับฟ้า หมอกลึกลับก็บังเกิดขึ้น มันแผ่กระจายปกคลุมไปทั่วน่านน้ำบริเวณนั้น ไม่นานก็มีเสียงแหบพร่าของมอร์นาร์สดังมากับสายลม

���“หึๆๆ ท่านน่ะรึ อองเดร ออเนเร่ แม่ทัพหนุ่มของดินแดนแห่งท้องทะเลที่เป็นที่กล่าวขาน กองทัพทางน้ำของท่านช่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรสมคำร่ำลือจริงๆ แต่กระนั้นก็หาสู้กองทัพปีศาจของข้าได้ไม่...  หากท่านต้องการพิสูจน์... ข้า... ในนามของมอร์นาร์ส ก็ขอท้าให้ท่านลองเอาชนะกองกำลังทางน้ำของข้าดู” สิ้นเสียงของมอร์นาร์ส หมอกก็จางลง บนเรือซึ่งทีแรกว่างเปล่าก็ปรากฏร่างของซากศพของทหารมากมายเต็มลำเรือส่งกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ซากศพตนหนึ่งของนักธนูได้ยิงลูกธนูมาปักที่เสากระโดงเรือของอองเดร

���“ยิงกระสุนน้ำแข็ง ทำลายกองเรือของมันให้ได้” อองเดรสั่งการออกไปทันที

���ตูม! สิ้นเสียงก็มีละอองไอเย็นแหวกผ่านอากาศไปพร้อมกับกระสุนปืนใหญ่ ทันทีที่กระสุนปืนใหญ่กระทบเข้ากับเรือลำหนึ่ง ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นน้ำซัดกระจายไปทั่ว บริเวณท้องเรือที่โดนกระสุนปืนใหญ่เกิดละอองน้ำแข็งจับจนแข็งตัวและแตกเป็นรอยกว้าง น้ำทะเลทะลักไหลเข้าท้องเรือ อองเดรเห็นดังนั้นก็ให้สัญญาณทัพเงือกและทัพมังกรเข้าต่อสู้ทันที

���“ย่อมได้ มอร์นาร์ส...  ถ้าเจ้าจะยกทัพเข้าสู่แอนดิซอง เจ้าต้องข้ามศพอองเดร ออเนเร่ผู้นี้ไปก่อน...” อองเดรตะโกนออกมาท่ามกลางเสียงของปืนใหญ่ที่ดังสนั่นไปทั่วท้องน้ำ...



    ปล. ตอนหน้าพบกับการบุกโจมตีแอนดิซอง กองกำลังทางน้ำอันเกรียงไกรจะรับมือกับมอร์นาร์สอย่างไร...
« Last Edit: October 16, 2005, 09:28:17 PM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #14 on: October 18, 2005, 07:13:32 PM »

เกริ่นบรรยายในที่ประชุมได้บรรยากาศของความเข้มของเนื้อเรื่องและเป็นบทโหมโรงสงครามได้แจ่มมากเลยงับ  :)
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #15 on: October 19, 2005, 07:13:16 AM »

  Chapter 9: มังกรทะเลเกรี้ยวกราด

   ท่ามกลางความมืดดำของท้องทะเลยามค่ำคืน เสียงของสงครามดังไปทั่วน่านน้ำ เสียงปืนใหญ่ของฝ่ายแอนดิซอง และเสียงสายธนูของกองทัพผีดิบดังไปทั่ว กองเรือของแอนดิซองหลายลำถูกลูกธนูไฟของผีดิบระดมยิงจนไฟลุกท่วมทั้งลำ ในขณะที่กองเรือของกองทัพผีดิบหลายลำก็ถูกกระสุนน้ำแข็งของเรือรบยิงจมไป เหล่านักรบเงือก นักรบมังกรน้ำ และนักรบงูทะเลต่างก็สู้รบกันอย่างเต็มความสามารถ เหล่าผีดิบที่ตกจากเรือจะถูกกองทัพทางน้ำเข้าโจมตีทันที และไม่นานก็จมลงสู่ก้นทะเลลึก

   กองเรือปีศาจของมอร์นาร์สถูกทำลายลงไปมากมาย ไม่นานหมอกลึกลับก็ปรากฏเหนือท้องทะเลอีกครั้งพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายของมอร์นาร์สที่ดังก้องเหนือท้องน้ำ

   “หึหึหึ ทำได้ดีนี่ อองเดร ที่สามารถเอาชนะกองเรือนี้ได้...  ข้ารู้อยู่แล้วว่าของเด็กเล่นพวกนี้ทำอะไรเจ้าไม่ได้แน่...  เอาละ...  เรามาเริ่มยกสองกันเลยดีกว่า หากกองทัพชุดนี้สามารถทำลายกองเรือของเจ้าได้ ดินแดนแถบนี้ก็ไม่มีอะไรน่าหวั่น หึหึหึ ฮ่าฮ่าฮ่า ” เสียงของมอร์นาร์สเงียบหายไปพร้อมกับหมอกที่ลงหนักขึ้น

   “บ้าจริง หมอกลงแบบนี้เราเสียเปรียบศัตรูมาก” อองเดรคิดในใจ

   “อีริค...  ตอนนี้หมอกลงจัดมาก เจ้าสั่งกองทัพเงือกของเจ้าคุ้มกันเรือรบเอาไว้”

   อองเดรตะโกนสั่งการลงไปยังอีริคฝ่า กลุ่มหมอกด้านล่าง เขาได้ยินเพียงเสียงของอีริคขานมาอยู่ไกลๆ ตูม! เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นพร้อมคลื่นน้ำขนาดใหญ่ที่ซัดไปทั่ว กองเรือหลายลำโคลงไปตามแรงซัดของคลื่นน้ำ หมอกลงจัดหนามากขึ้น... หนาจนกระทั่ง แม่ทัพหนุ่มแห่งแอนดิซองไม่สามารถมองเห็นกราบเรือของตนได้ คลื่นน้ำยังคงซัดถาโถมใส่กองเรือเข้ามาอีกเรื่อยๆ กองเรือหลายลำถูกคลื่นซัดจมลงไปยังก้นทะเล เสียร้องอย่างโกลาหลของนายทหารหลายคนระงมไปทั่วท้องทะเลที่มืดมิด นายทหารบางส่วนที่โชคดีได้รับการช่วยเหลือจากทัพเงือก งูทะเลและนักรบมังกร แต่อีกหลายคนโชคร้ายจมลงไปในท้องทะเลก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือ

   “มอร์นาร์ส ไหนล่ะกองทัพของเจ้า... คลื่นลมแค่นี้หากคิดว่าจะทำลายกองทัพอันยิ่งใหญ่ของดินแดนเราได้ เจ้าก็คิดผิดซะแล้ว...” เสียงอองเดรตะโกนออกไปท่ามกลางความมืดรอบด้าน เรือของเขาเริ่มโคลงหนักขึ้นตามจังหวะที่คลื่นขนาดใหญ่ถาโถมเข้าใส่เรือ ไม่มีเสียงตอบจากมอร์นาร์ส มีเพียงแค่เสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายสะท้อนไปมาในเงามืด

   อ๊าค!...  เสียงของนายทหารคนหนึ่งที่อยู่บนเรือลำเดียวกับอองเดรร้องขึ้นมาด้วยความตกใจที่ร่างตนเองถูกอะไรบางอย่างดึงลงจากเรือ ร่างของนายทหารเคราะห์ร้ายนั้นถูกกระชากลงไปจากเรืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่อองเดรจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นนายทหารอีกคนที่อยู่บนเรือลำเดียวกันกับเขา ก็กระชากลงไปในท้องทะเลเบื้องล่างด้วยความรวดเร็วพอๆกัน

   “อีริค เกิดอะไรขึ้นข้างล่างนั่น” อองเดรตะโกนถามแม่ทัพเงือก เนื่องจากอีริค และกองทัพเงือกคนอื่นๆอยู่ในน้ำตลอดเวลา ย่อมต้องเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในท้องทะเลได้ดีกว่าตน...

   เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากอีริค เสียงของการต่อสู้รอบข้างก็เงียบหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่เสียงของคลื่นขนาดใหญ่ที่กระทบลำเรือจนเรือโคลงเป็นระยะๆ อองเดรในตอนนี้รู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลำดับจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างมากมายภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น เขาพบว่าทางรอดของเขาแทบจะไม่มีเลย

   “องค์หญิง... ข้าคงไม่มีชีวิตรอดกลับไปคุ้มครองท่านอีกแล้ว...” ช่วงเวลาที่ท้อแท้ที่สุด อองเดรนึกถึงเจ้าหญิงอลาน่าขึ้นมา...

   “จริงสินะ...  เรายังตายไม่ได้ ตราบเท่าที่ศัตรูของอาณาจักรเรายังคงมีชีวิตอยู่” คิดดังนั้นแล้วเขาก็เริ่มคำนวณระยะทางที่เรือของเขาถูกคลื่นซัดให้ห่างออกมา ไม่นานเขาก็ออกคำสั่งไปยังทหารภายในเรือ

   “หมุนขวาเต็มกำลัง เราจะกลับเข้าสนามรบกันอีกครั้ง เพื่อแลกเลือดกับกองทัพของมอร์นาร์ส” สิ้นสุดคำสั่งของอองเดร เรือรบก็เลี้ยวขวาและแล่นไปบนผิวน้ำด้วยความรวดเร็ว ไม่นานเสียงของการต่อสู้ก็เริ่มได้ยินชัดขึ้นอีกครั้ง และคลื่นขนาดใหญ่ก็เริ่มโถมเข้าใส่ลำเรืออีกหลายระลอก

   “ท่านแม่ทัพ ๆ” เสียงของอีริคตะโกนเรียกหาเขาอยู่ ผลจากการปะทะของคลื่นยักษ์ทำให้เรือของเขาถูกซัดออกไปไกลจากสนามรบมากทีเดียว

   “ข้าอยู่นี่ อีริค ทุกคนยังปลอดภัยดี” อองเดรตะโกนตอบฝ่าลงไปยังความมืดเบื้องล่าง

   “ทันทีที่ข้ารู้ว่าเรือของท่านถูกคลื่นซัดออกไป ข้ารีบสั่งให้ลูเซียน่า นำกองทหารราบเงือกบางส่วนออกค้นหาท่านทันทีเนื่องจาก ไฮดร้าจำนวนไม่ต่ำกว่าสี่ถึงห้าตัวได้เข้าโจมตีกองทัพของเรา ตอนนี้เราสูญเสียทหารและกองเรือไปมาก ในทัศนะวิสัยเช่นนี้ ข้าเกรงว่า เราจะไม่สามารถรับมือกับศัตรูได้...”

   ตูม! เสียงน้ำแตกกระจายพร้อมคลื่นขนาดใหญ่ที่กระแทกเข้ากับตัวเรืออีกครั้ง ในความมืดสลัวของหมอกที่เกิดจากเวทย์มนต์ของมอร์นาร์ส อองเดรมองเห็นเงาลางๆของมังกรทะเลขนาดใหญ่ ที่กำลังบิดตัวไปมาอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นน้ำขนาดใหญ่มากมายเกิดขึ้นตามจังหวะการบิดตัวของมัน หัวของมันมีไม่ต่ำกว่าแปดหัว แต่ละหัวกำลังเข้าจู่โจมกับกองทหารเงือกของอีริคอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงซู่ซ่าของกรดที่กัดกร่อนโลหะดังออกมาเป็นระยะๆ จากพิษของไฮดร้าที่พ่นออกไปใส่เหล่ากองทหารของแอนดิซอง

   “เตรียมยิงกระสุนเคมี!” อองเดรตะโกนสั่งการลงไปทันที

   ตูม! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ตามมาด้วยเสียงของกรดที่กัดทะลุผิวเนื้อ กลิ่นคาวของเลือดไฮดร้าและกลิ่นของสารเคมีโชยคละคลุ้งไปทั่ว เลือดสดของมังกรร้ายย้อมทะเลบริเวณนั้นให้เป็นสีแดงเข้ม ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว เจ้ามังกรร้ายสะบัดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ไม่นานมันก็จมลงไปใต้ก้นทะเลที่มืดมิด

   “อีริค! ตอนนี้ไฮดร้าเหลืออีกกี่ตัว” อองเดรตะโกนถามอีริค พลางก็หันไปออกคำสั่งแล่นเรือเพื่อสำรวจหาไฮดร้าตัวอื่นๆในสนามรบ

   “ข้าไม่สามารถบอกได้ท่านแม่ทัพ... มันยังมีอีกเยอะมาก ข้าคิดว่าตัวจ่าฝูงที่นำฝูงไฮดร้าพวกนี้มาน่าจะเป็นไฮดร้าจากเกาะวอร็อค ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าอำนาจของศัตรูจะสามารถควบคุมทัพมังกรที่ดุร้ายอย่างนี้ได้” อีริคตะโกนตอบ

   “ก็แน่ละสิ...  ในน่านน้ำของเราไม่มีไฮดร้าเยอะขนาดนี้ พวกมันต้องมาจากเกาะวอร็อคแน่นอน...  ตอนนี้กองเรือของเราที่ยังเหลืออยู่ในสนามรบมีทั้งหมดกี่ลำ” อองเดรตะโกนถามสถานการณ์ต่อ

   “ท่านแม่ทัพ ตอนนี้กองเรือเราเหลือประมาณสิบลำเท่านั้นครับ อีกมากหายสาบสูญจากการปะทะของคลื่นยักษ์ที่ไฮดร้าเหล่านั้นสร้างขึ้นมา หลายลำได้ถูกกระแทกจมลงใต้ทะเลแล้วครับ สถานการณ์ของเราในตอนนี้ถือว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” อีริครายงานสถานการณ์การรบขณะนี้

   ตูม! ลำตัวขนาดใหญ่ฟาดลงมากลางลำเรือก่อนที่อองเดรจะตัดสินใจอะไรลงไป เรือรบแตกออกเป็นสองท่อน จมดิ่งลงไปใต้ทะเลตามแรงกดของไฮดร้านั้น อีริคเห็นดังนั้นก็ให้สัญญาณกองทหารเงือก ดำลงไปค้นหาร่างของอองเดรทันที ฝ่ายกองทัพของแอนดิซองเมื่อเห็นเรือแม่ทัพของตนแตก และร่างของแม่ทัพจมลงไปใต้ทะเลก็เริ่มเสียขวัญ

   “สู้ต่อไป ทำลายพวกมันให้ได้!” อีริคตะโกนสั่งการไปยังกองทหารราบเงือก นักรบงูทะเล และกองกำลังที่ยังเหลือ ที่กำลังสู้รบกับฝูงไฮดร้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ฝ่ายอีริคเองก็เข้าสู้กับหัวๆหนึ่งของไฮดร้าด้วยเช่นกัน มันฉกงับเขาด้วยความเร็ว แต่เขาก็สามารถหลบหลีกได้ และดำลงไปใต้ทะเล เจ้ามังกรร้ายไม่ละความพยายามตามลงไปใต้ทะเลเช่นกัน อีริคเห็นดังนั้นจึงอ้อมมาหลังเจ้ามังกรร้ายพร้อมกับใช้สามง่ามในมือแทงลงไปที่คอ

   ซวบ! เลือดสดสีแดงฉานกระจายไปทั่วผืนน้ำ เจ้ามังกรร้ายสะบัดหัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แรงเหวี่ยงของมันทำให้ตัวของแม่ทัพเงือกกระเด็นไปไกล ทันทีที่ตั้งหลักได้เขารีบตรงเข้าไปซ้ำทันที หอกสามง่ามของอีริคที่ปักอยู่บริเวณคอของเจ้าไฮดร้าถูกอีริคกดซ้ำก่อนจะกระชากออกมา ทำให้หัวของมันขาดจมลงไปใต้ผิวน้ำ เขาว่ายขึ้นมาเพื่อที่จะหาจังหวะโจมตีหัวอื่นๆของมัน โดยหาได้ระวังสิ่งที่อยู่ข้างหลังไม่...

   ฉึก! เสียงคมเขี้ยวจากหัวๆหนึ่งของไฮดร้ากัดทะลุไหล่ขวา อีริคร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หอกสามง่ามคู่กายหลุดจากมือจมหายลงไปใต้ทะเล เหล่าทัพเงือกเห็นดังนั้นก็รีบว่ายตรงเข้าช่วยเหลือแม่ทัพของตนในทันที

   “พวกเจ้าถอยไป ให้ข้าจัดการเอง” เสียงดังมาจากเงือกสาวในกองทัพ ผมของนางยาวเป็นประกายสีน้ำทะเล ดวงตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นดูน่ารักแต่แฝงความแข็งแกร่งไว้ในตัว ในมือนางถือหอกสามง่ามของอีริคกระชับไว้มั่น

   “ตายซะเถอะ เจ้ามังกรร้าย!” ขาดคำนางก็ใช้สามง่ามในมือนางสร้างน้ำวนขนาดใหญ่พุ่งเข้าสู่ลำคอของไฮดร้าที่คาบอีริคเอาไว้ แรงหมุนของกระแสน้ำอันคมกริบได้ตีคว้านลำคอของไฮดร้าตัวนั้นกระจายเป็นเศษเนื้อในชั่วพริบตา ทันทีที่หัวของมันตกถึงน้ำ เธอรีบว่ายเข้าไปช่วยเหลืออีริคทันที

   “ละ... ลูเซียน่า... ขอบใจเจ้ามาก...” อีริคพูดออกมาก่อนจะสลบไป เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลมีสีดำคล้ำส่งสัญญาณถึงความตายจากพิษอันร้ายแรง สถานการณ์ของแอนดิซองตกอยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบอย่างรุนแรง เสียงหัวเราะของมอร์นาร์สดังก้องไปทั่วผืนน้ำอีกครั้ง

   “หึหึหึ อีกไม่นาน ดินแดนทางใต้ก็จะตกเป็นของข้า ฮะฮะฮะ... จะไม่มีผู้ใดเหลือรอดเป็นอันขาด...” เสียงของมอร์นาร์สดังกังวานไปทั่วผืนน้ำ ในขณะที่เสียงต่างๆของการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป...



    อ้าว...  อองเดรจมน้ำไปซะละ อีริคก็มาบาดเจ็บซะอีก เหตุการณ์จะเป็นยังไงติดตามต่อตอนหน้านะครับ...  (ใกล้งานแข่งหใญ่ละ มะมีสมาธิแต่งเลยอ่า...)

  ปล. คอมเม้นท์มั่งก็ได้น๊า มันดูเงียบๆยังไงก็ไม่รู้...
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #16 on: October 19, 2005, 10:16:17 PM »

  Chapter 10: ผู้ช่วยเหลือ

���ท่ามกลางสถานการณ์อันสิ้นหวังของเหล่านักรบแห่งแอนดิซอง ที่สูญเสียแม่ทัพของตนไปถึงสองนาย นายหนึ่งอาการสาหัส อีกนายหนึ่งหาร่างไม่พบ ทหารหลายคนเข้าต่อสู้กับไฮดร้าอย่างบ้าดีเดือด ราวกับว่าจะยอมแลกชีวิตด้วย นายทหารหลายคนพลาดท่าถูกไฮดร้าทำร้ายจนเสียชีวิตในที่รบ อีกหลายคนจมหายลงไปในก้นทะเลอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เหล่าอัศวินเงือกจะช่วยไว้ได้ทัน ฝูงไฮดร้าของมอร์นาร์สประมาณสามถึงสี่ตัว แต่ละตัวมีหัวประมาณสิบถึงสิบห้าหัวบ้างกัด บ้างพ่นพิษ ในขณะที่ท่อนลำตัวก็บิดตัวไปมาทำให้น้ำแตกกระจายเป็นฟองคลื่นขนาดใหญ่ ซัดเอาเหล่าทหารที่อยู่รอบๆกระเด็นไป

���กองเรือของแอนดิซองในเวลานี้เหลืออยู่ไม่ถึงสิบลำที่ยังคงลอยลำอยู่ แต่ว่าก็อยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่อยู่มาก เนื่องจากน้ำได้ไหลทะลักเข้าทองเรือเป็นจำนวนมาก ทำให้นายทหารหลายนายที่ประจำการอยู่บนเรือไม่สามารถยิงปืนใหญ่ต่อต้านฝูงไฮดร้าได้ได้ พลรบงูทะเลหลายคนได้ปีนขึ้นไปบนตัวของไฮดร้าพร้อมกับใช้อาวุธประจำตัวกระหน่ำแทงอย่างบ้าคลั่ง นักรบมังกรน้ำเองก็เช่นกัน แม้ว่าไฮดร้าจะบิดตัวทำให้นักรบเหล่านี้กระเด็นตกน้ำลงไปมาก แต่ว่านักรบเหล่านี้ก็ปีนกลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยความว่องไว กองทหาราบชาวเงือกหลายคนต่างก็หาทางสังหารมังกรร้ายเหล่านี้

���ลูเซียน่าอาศัยจังหวะชุลมุนของการต่อสู่ล่อหัวของไฮดร้าประมาณสองถึงสามหัวให้หันการโจมตีมาที่เธอ ทันทีที่มันงับลงมา เธอก็ว่ายหลบอย่างเฉียดฉิวพร้อมกับใช้สามง่ามของอีริคสร้างน้ำวนอันคมกริบตัดคอของเหล่าไฮดร้ากระจุยกระจาย เศษเนื้อลอยฟ่องทั่วผืนน้ำ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนกระทั่งดวงตะวันเริ่มสาดแสงโผล่พ้นขอบฟ้า แต่ว่าหมอกอาคมที่เกิดจากเวทย์มนต์ลึกลับของมอร์นาร์สหาได้จางหายไปกับแสงแดดไม่... จนกระทั่งเสียงบทสวดภาษาโบราณดังลอยมาในอากาศ เสียงนั้นกังวานและเยือกเย็น ชอนไชเข้าไปในโสตประสาทของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ในน่านน้ำบริเวณนั้น หมอกเริ่มจางลงในทันที และทันทีที่เสียงสวดจบลง ละอองหมอกก็หายไปทำให้มองเห็นสภาพความเสียหายโดยรอบได้ชัด เศษเรือรบทั้งของมอร์นาร์สและแอนดิซอง รวมถึงซากของทหารหลายคนลอยอยู่ทั่วไป ทะเลถูกย้อมให้เป็นสีแดงด้วยเลือดของเหล่าทหารไฮดร้าและเลือดของเหล่าทหารจำนวนมากที่พลีชีพในสนามรบ

���ทันทีที่หมอกจางลงบนท้องฟ้าก็ปรากฏร่างของมังกรน้ำแข็งสายพันธุ์บารานริธตัวหนึ่งบินอยู่เหนือน่านน้ำ แต่เบื้องล่างไม่มีใครให้ความสนใจกับมันมากนักเนื่องจากทะเลแถบนี้เป็นทะเลในเขตหนาวเย็นจึงไม่น่าแปลกที่จะมีมังกรน้ำแข็งมาหากินถึงแถบนี้ มังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ค่อยบินต่ำลงมาจนถึงผิวน้ำ บริเวณที่ลูเซียน่ากำลังประคองร่างอันอ่อนล้าของอีริคอยู่ ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังมังกรนั้น ชายผู้นั้นอยู่ในชุดเกราะสีดำเข้มขลิบทอง ดวงตาแข็งกร้าวและเย็นชา ผมสีขาวถูกมัดรวบไว้กลางหลัง เขาส่งโยนห่อสิ่งของบางอย่างไปให้ลูเซียน่า

���"เอายานี่รักษาอีริคซะ สาวน้อย หากยังไม่อยากสูญเสียแม่ทัพของพวกเจ้า” ชายคนนั้นพูดออกมา ลูเซียน่ามองมาที่ห่อผ้าที่เขาโยนมาให้อย่างสงสัยก่อนจะหันไปถามชายลึกลับที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นมาในสนามรบ

���“มิทราบว่าท่านเป็นใครรึ?” นางถามอย่างไม่ไว้ใจ

���“วางใจเถอะ ลูเซียน่า ข้าคือ ชาร์ล วอน นอร์ด้า ข้าต้องขอโทษด้วยที่มาช้าไป แต่ข้าคิดว่าอองเดรคงได้รับจดหมายเตือนทันเวลา” ชายผู้นั้นกล่าวแนะนำตัว

���“อ้อ... ลืมบอกไป พิษของไฮดร้านั้นร้ายแรง ตัวยานั่นจะดูดพิษออกมาได้ หากเจ้าไม่รีบรักษาเขาในตอนนี้ คาดว่าเขาจะอยู่ได้ไม่เกินเที่ยงนี้แน่... ” นอร์ด้าบอกกับลูเซียน่า เธอรีบแก้ห่อผ้าเอาตัวยาพอกไปที่บาดแผลของอีริคทันที ทันทีที่ตัวยาสัมผัสกับปากแผลมันก็ดูดติดปากแผลแน่น

���“เจ้าพอกยานี่ทิ้งไว้สักพัก มันจะดูดพิษร้ายของไฮดร้าออกมาเอง ทันทีที่ตัวยาคลายตัวออกจากปากแผล พิษก็จะถูกดูดออกมาจนหมดเอง” นอร์ด้าหันไปบอกกับลูเซียน่าที่กำลังใจจดใจจ่อกับอาการของอีริค

���ไฮดร้าของมอร์นาร์สตอนนี้เหลือเพียงสามตัวเท่านั้น แต่ทว่าสามตัวนี้เป็นไฮดร้าที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกที่ถูกฆ่าตายไปมาก หัวของพวกมันไขว่คว้าไปมาด้วยความรวดเร็ว ทำให้กองทหารที่พยายามปีนขึ้นไปบนตัวมันไม่สามารถทำได้ นอร์ด้าหันไปบอกกับลูเซียน่าทันทีที่มองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า

���“พวกเจ้าให้กองทหารพวกนั้นถอยไปก่อน ไฮดร้าสามตัวนั้นเป็นไฮดร้าจากเกาะวอร็อค มันมีความร้ายกาจกว่าไฮดร้าทั่วไป ข้าจะเป็นคนจัดการมันเอง”

���เงือกสาวหันไปมองหน้านอร์ด้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ชายคนเดียวจะจัดการกับไฮดร้าถึงสามตัวได้อย่างไร โดยเฉพาะไฮดร้าจากวอร็อค ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดุร้ายและอันตรายมากที่สุด ความปราดเปรียวและว่องไวของมันมีมากกว่าไฮดร้าทั่วไปมากนัก พิษจากตัวมันมีฤทธิ์สามารถทำให้เป็นอัมพาตเฉียบพลันและตายได้ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แม้เธอจะรู้กิตติศัพท์ของไฮดร้าพวกนี้มาก่อน แต่เธอก็หันไปส่งสัญญาณให้กองทัพของแอนดิซองถอยออกมา

���“เอาละ ขอบใจมากสาวน้อย ตอนนี้บอกให้กองทัพของแอนดิซองคอยอยู่ห่างรัศมีการพ่นพิษของไฮดร้าพวกนั้นไว้ ข้าจะเข้าไปล่อมันเอง” เขาบอกแล้วให้สัญญาณบารานริธบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ไฮดร้าสามตัวพอเห็นมังกรของนอร์ด้ามันก็เริ่มอาละวาดอีกครั้ง หัวของมันต่างพยายามที่จะพ่นพิษใส่นอร์ด้าและมังกรของเขา แต่นอร์ด้าก็สามารถหลบได้ทุกครั้ง เขาให้สัญญาณมังกรบินขึ้นฟ้า

���“บารานเรีย...  ฟรีซ เบรธ!” เขาสั่งให้มังกรน้ำแข็งพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจของมังกรน้ำแข็งสายพันธุ์บารานริธนั้น สามารถทำปฏิกิริยากับไอน้ำในอากาศทำให้เกิดไอเย็นน้ำแข็งแช่แข็งสิ่งที่ถูกมันหายใจรดลงไปได้ และในตอนนี้ท้องทะเลโดยรอบและไฮดร้าสามตัวของมอร์นาร์สกำลังถูกแช่แข็ง ไม่นานไฮดร้าสามตัวนั้นก็กลายเป็นเพียงก้อนน้ำแข็งกลางมหาสมุทร

���“บารานเรีย เผด็จศึก!” นอร์ด้าสั่งมังกรของตน ขาดคำมังกรของเขาก็บินเข้าไปใกล้ร่างของไฮดร้าทั้งสามที่ขณะนี้กลายเป็นน้ำแข็ง นอร์ด้าหยิบเอาดาบขนาดใหญ่ออกมา ด้ามจับของดาบทำจากทองเปล่งประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สลักเป็นรูปมังกรน้ำแข็งอย่างสวยงาม บริเวณส่วนปลายของด้ามดาบฝังทับทิมสีแดงขนาดใหญ่ ใบดาบเป็นสีฟ้าอ่อนแผ่ไอเย็นออกมา ทันทีที่มังกรน้ำแข็งบินเข้าไปใกล้หัวของไฮดร้า ดาบในมือของนอร์ด้าฟันฉับลงไปที่คอของไฮดร้านั้นทันที...

���ตูม! สะเก็ดน้ำแข็งแตกกระจายพร้อมกับเศษเนื้อของไฮดร้า หัวของมันขาดกระเด็นร่วงลงสู่ท้องทะเลเบื้องล่าง ไม่นานไฮดร้าตัวหนึ่งก็แตกกระจายกลายเป็นเศษเนื้อและจมลงสู่ก้นทะเล ไฮดร้าอีกสองตัวที่เหลือก็เช่นกัน นอร์ด้าย้อนกลับมาหาลูเซียน่าทันทีที่สังหารไฮดร้าเสร็จแล้ว

���“อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” นอร์ด้าถามถึงอาการของอีริคทันทีที่การต่อสู่เสร็จสิ้นลง

���“ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่า...  ที่เรายังเป็นห่วงและหาไม่พบคือตัวท่านแม่ทัพอองเดร...  ท่านแม่ทัพโดนคลื่นซัดตกจากเรือไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่ท่านจะมา... ตอนนี้กองทหารเงือกของเรากำลังเร่งตามหาตัวท่านแม่ทัพอยู่ค่ะ...” ลูเซียน่าเล่าเรื่องราวให้นอร์ด้าฟัง

���“เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองรึ... ข้าเสียใจที่มาช้าไปหน่อย เพราะตอนแรกคิดว่ามอร์นาร์สคงเตรียมแผนการที่จะตีซาโลมอีกระลอก คิดไม่ถึงว่ามันจะใช้วิธีตลบหลังย้อนมาเล่นงานแอนดิซอง มอร์นาร์สวางขุมกำลังของมันไว้หลายจุดกระจายไปทั่วทวีปเมอริเซีย ข้าคิดว่า... อาณาจักรทั้งสี่ควรร่วมมือกัน ข้าจึงดำเนินการตามแผนของข้า ส่งจดหมายเตือนให้อาณาจักรต่างๆ และเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของมันมาโดยตลอด ข้าไม่นึกว่าเพียงแค่สามอาทิตย์ มันจะสะสมกองกำลังได้มากขนาดนี้ ข้าว่า...  แผนของมันอาจมีอะไรมากกว่านี้แอบซ่อนอยู่ก็เป็นไปได้” นอร์ด้าเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้กับลูเซียน่า

���“ท่านนอร์ด้าจะช่วยเราตามหาตัวของท่านอองเดรหรือไม่?” ลูเซียน่าถามขึ้น ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับอีริคเริ่มได้สติ

���“ละ... ลูเซียน่า... คนอื่นๆล่ะ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง... แล้วท่านแม่ทัพหาตัวพบหรือยัง” ทันทีที่รู้สึกตัว อีริคก็ยิงคำถามออกมามากมาย ลูเซียน่าเองก็รู้สึกสับสนไปหมดในตอนนี้ เธอเองมีความรู้สึกว่าร่างของแม่ทัพอองเดรคงจมอยู่ใต้ก้นทะเลลึกที่ไหนสักแห่งที่ยังหาไม่พบ

���“อีริค... ท่านบาดเจ็บไปนานมาก เราสูญเสียไพร่พลไปมากในการรบ ส่วนใหญ่เป็นกองทหารงูทะเล พลทหารประจำการบนเรือรบและพวกนักรบมังกรที่พวกเงือกให้การช่วยเหลือไม่ทัน แต่เราเป็นฝ่ายชนะ ถ้าไม่ได้ท่านผู้นี้ช่วยเอาไว้...” ลูเซียน่าพูดจบก็แนะนำให้อีริครู้จักกับนอร์ด้า พร้อมกับเล่าเรื่องราวต่างๆตอนที่เขาสลบไปให้ฟัง

���“อืม...  เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้เองรึ... ขอบคุณท่านมากนอร์ด้า หากไม่ใช่เพราะท่าน กองทัพ...  ไม่สิ อาณาจักรของเราคงถึงกาลพินาศก็เป็นได้...” อีริคพูดออกมา

���“หึหึหึ ตอนแรกข้าก็นึกสงสัยเหมือนกันว่าเวทย์มนต์ของใครกันนะที่แข็งแกร่งพอจะสลายหมอกอาคมของข้าได้...  แต่พอเห็นเจ้าแล้วข้าก็แน่ใจแล้วล่ะ ว่าเกมนี้ข้าได้พบกับคู่ต่อสู้ที่คู่ควร นอร์ด้าเอ๋ย... หึหึหึ ฮ่าฮ่าฮ่า...” เสียงแหบห้าวของมอร์นาร์สดังขึ้นในอากาศก่อนจะเงียบหายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ชั่วร้าย

���“จริงสิ... เรื่องของอองเดรน่ะ... ข้าคิดว่าพวกเจ้าไม่ต้องค้นหาเขาแล้วล่ะ...” นอร์ด้าพูดออกมา

���“ตอนนี้เขาปลอดภัยดี เพียงแต่ยังไม่ได้สติเท่านั้น พวกเจ้าจะเอาตัวเขากลับไปก่อนก็ได้ ข้าต้องสืบรู้ให้ได้ว่าเจ้ามอร์นาร์สมันวางแผนอะไรไว้ เสร็จแล้วจะตามไปที่แอนดิซองทันที” นอร์ด้าพูดจบก็ให้สัญญาณมังกรบินต่ำลง  ร่างของอองเดรนอนสลบอยู่บนหลังมังกรน้ำแข็ง สมุนไพรสีคล้ำที่พอกติดอยู่ตรงหน้าอกคลายตัวร่วงลงมา แม่ทัพหนุ่มลืมตาขึ้น สีหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเกราะฉายแววอิดโรยเล็กน้อย

���“เกิดอะไรขึ้น... แล้วข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร... อีริค กองเรือของเราล่ะ... แล้วท่านเป็นใคร...” แม่ทัพหนุ่มแห่งแอนดิซองพูดจบก็สลบไปอีกครั้ง

���“อองเดรถูกไฮดร้ากัดขณะที่ตกจากเรือ ข้าช่วยเหลือเขาไว้ได้อย่างทันท่วงที แต่เขาก็เสียเลือดมากเกินไป มีอยู่ทางเดียวคือพวกเจ้าต้องนำเขากลับเข้าเมืองโดยด่วน มิฉะนั้น...” นอร์ด้าพูดพร้อมกับอุ้มร่างของอองเดรส่งให้กับอีริค

���“ท่านนอร์ด้าจะช่วยเรารบหรือไม่” ลูเซียน่าถามขึ้นขณะที่นอร์ด้ากำลังจะบินขึ้นไปทางทิศเหนือ

���“ข้าจะพยายามช่วยเหลือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แผนการของศัตรูร้ายกาจนัก... บางทีเมอริเซียอาจจะถึงวาระแห่งมหาสงครามแล้วก็ได้... ข้าคิดว่ามอร์นาร์สคงยังไม่หยุดที่ความพ่ายแพ้สองครั้งนี้เท่านั้น...” พูดจบนอร์ด้าก็ให้สัญญาณมังกรของตนบินขึ้นไปทางเหนือทันที...



  เฮ้อ...  แอนดิซองชนะซักที นั่งลุ้นตัวโก่ง ตัวเอกเปิดตัวมาได้เฉียบมาก
   ทุบไฮดร้าไปสามตัว... มอร์นาร์สถม Shrine ไปเยอะแล้ว (รึเปล่าเนี่ย...)
 
    ปล. คิดว่ายังไงมาคุยกันน๊า...
« Last Edit: October 20, 2005, 10:36:17 PM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


Amankris,the Ultimate Evolution
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 829


Email
« Reply #17 on: October 23, 2005, 03:11:25 PM »

บรรยายบทได้ดีครับผมจะรออ่านต่อ
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #18 on: October 25, 2005, 09:44:46 PM »

Chapter 11: ลางบอกเหตุ

���ขณะเดียวกัน ณ ดินแดนฟูดินัน ดินแดนที่อยู่ในอ้อมโอบของเทือกเขาคีรีบันดา ป่าทึบที่อยู่ห่างไกลความขัดแย้งใดๆจากโลกภายนอก ขณะนี้ภายในหมู่บ้านกำลังมีเทศกาลเฉลิมฉลองประจำปี งานเทศกาลเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพแห่งผืนดิน แองโกริออนที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และในปีนี้ก็เช่นกัน ชนเผ่าน้อยใหญ่ต่างก็ส่งตัวแทนมาเข้าร่วมเทศกาลเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย

���กลางดึกคืนนั้น ขณะที่คนในเผ่าหลายๆคนสนุกสนานกับงานเทศกาลเฉลิมฉลอง วูจิน ผู้อาวุโสประจำเผ่าฟูดินันได้เชิญตัวแทนจากเผ่าทั้งหลายมาร่วมหารือกันในกระโจมพักขนาดใหญ่ ตัวกระโจมทำจากผ้าขึงกับเสาไม้อยู่กลางลานกว้างของหมู่บ้าน ภายในกระโจมมีกลิ่นควันของเครื่องหอมและกำยานลอยคละคลุ้ง ทันทีที่ตัวแทนของแต่ละเผ่ามาพร้อมกันในกระโจมแล้ว ผู้เฒ่าวูจินก็เริ่มหัวข้อการประชุมทันที

���“พวกท่านทั้งหลาย เหตุที่เราเชิญพวกท่านมาประชุมอย่างพร้อมเพรียงกันในวันนี้ เนื่องจากภัยที่ก่อตัวอยู่รอบๆตัวเรา ข้าคิดว่าพวกท่าคงจะสัมผัสมันได้จากธรรมชาติรอบๆตัวของท่าน และโดยเฉพาะเมื่อหลายวันก่อน ไพธอน... มังกรเทพที่คอยปกปักษ์รักษาภูเขาคีรีบันดาได้อาละวาดหลายครั้ง เชื่อว่าคงเป็นเพราะตระหนักได้ถึงภัยที่น่าหวาดหวั่น”  วูจินเริ่มพูดขึ้นในที่ประชุม

���“ถูกของท่านผู้เฒ่า เมื่อสองวันก่อนตอนที่ข้าออกล่าสัตว์ ข้าพบเห็นฝูงสัตว์จำนวนมากหนีเตลิดลงมาจากภูเขาคีรีบันดา ตอนแรกข้าคิดว่ามันตื่นเพราะภัยธรรมชาติ กลับมาคิดดูข้าคิดว่า...  ฝูงสัตว์เหล่านี้คงตระหนักได้ถึงภัยอันร้ายแรง ที่สั่นคลอนถึงสมดุลของธรรมชาติก็เป็นได้” ผู้ที่กล่าวขึ้น คือมนุษย์สิงโต คาร์น ตัวแทนจากเผ่าสมิงที่นั่งอยู่ในที่ประชุมด้วย

���ผู้คนในกระโจมมีสีหน้าเครียดลงทันที “บางที นี่อาจจะเป็นวาระของการพิพากษาก็เป็นได้...  ข้าคิดว่ากลียุคอาจจะบังเกิดแน่” ผู้เฒ่าวูจินกล่าวขึ้น สีหน้าเคร่งเครียดราวกับขบคิดถึงปัญหาบางอย่าง

���“ท่านผู้เฒ่า...  เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับท่านผู้เฒ่า ออกมาดูนี่เร็วครับ...” เกิดเสียงแตกตื่นดังมาจากในงาน ชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานวูจินถึงในกระโจม

���“เอาละ ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ค่อยๆจา...  มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเจ้าถึงแตกตื่นขนาดนี้” วูจินถามชายผู้นั้น

���“ข้าว่าท่านผู้เฒ่าออกไปดูด้วยตาตนเองก่อนดีกว่า” ชายคนนั้นพยายามให้วูจินออกไปนอกกระโจมให้ได้

���“เอาละ ไปก็ไป...  ข้าก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ทันทีที่วูจินออกมาพ้นกระโจม ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า สะกดสายตาของผู้เฒ่าผู้รอบรู้แห่งเผ่าฟูดินัน และผู้แทนของแต่ละเผ่าเอาไว้ให้ตะลึงไปชั่วขณะ

���ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือกลุ่มของหมอกขาวโพลนที่ลงจัดอย่างไม่สามารถเป็นไปได้ในคืนฤดูร้อน แต่สิ่งที่สะกดให้วูจินและทุกคนหยุดนิ่งคือภาพของราชสีห์ตัวขนาดมหึมา ขนของมันเป็นสีขาวปลอดยืนอยู่หน้าแท่นทำพิธีสำหรับบวงสรวงเทพแองโกริออน ราชสีห์ตัวนั้นยืนจ้องสบตากับวูจินนิ่ง ทางฝ่ายผู้เฒ่าแห่งฟูดินันก็จ้องตาตอบกลับไปเช่นกัน

���“ทะ... ท่านปู่” เสียงของชายคนหนึ่งในชุดแบบชาวเขาดังออกมาจากทางด้านหลังของวูจิน

���“เฉยไว้ฮารีซัน” วูจินหันไปบอกกับชายคนนั้น สิงโตขาวหันไปมองชายที่ถูกเรียกว่าฮารีซัน ก่อนจะกระโจนหายเข้าไปในป่า เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่สำหรับชาวฟูดินันที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ราวกับกินเวลานานสักสิบปีเลยทีเดียว ทันทีที่สิงโตตัวนั้นกระโดดหายเข้าไปในป่า ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่กลางลานก็หลุดปากออกมาอย่างแผ่วเบา...

���“ทะ...  ท่านแองโกริออน...” ทันทีที่คำๆนี้หลุดออกมา ผู้คนก็แตกตื่นชุลมุนไปทั่วลานกว้างแห่งนั้น จนวูจินต้องขึ้นไปบนเวทีเล็กๆที่จัดทำขึ้นสำหรับเป็นสถานที่ไว้ถวายสัตวบูชา พร้อมกับสั่งให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

���“ข้าเข้าใจดีว่าพวกเจ้ารู้สึกอย่างไร...  กับการปรากฏตัวของท่านเทพราชสีห์ แต่ข้าอยากจะขอให้พวกเราอยู่ในความสงบและคิดใคร่ครวญถึงการการปรากฏตัวของท่านเทพแองโกริออน” วูจินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฝูงชนเริ่มคลายจากอาการตื่นตระหนก

���“ท่านผู้เฒ่า แบบนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านเทพปรากฏกายขึ้นมาแล้วจากไป” ชายคนหนึ่งถามขึ้น ผู้คนในลานกว้างเริ่มส่งเสียงวุ่นวายกันอีกครั้ง

���“เงียบก่อน...  พี่น้องของข้าทุกคน... พวกท่านล้วนแล้วแต่รู้ดี ว่าหากเทพราชสีห์แองโกริออนร้อง นั่นหมายความว่าจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรง แต่ถ้าหากท่านคำรามออกมาแม้เพียงเบาๆ ปีนั้นหมู่บ้านเราจะเกิดแต่เรื่องดี ผลผลิตจะอุดมสมบูรณ์” วูจินพูด ทำให้คนในลานกว้างเริ่มเงียบสงบเพื่อที่จะตั้งใจฟังอีกครั้ง

���“ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่า เรื่องพวกนี้เรารู้ดี” ชายคนหนึ่งจากเผ่าป่าทมิฬตะโกนบอก

���“แต่การที่ท่านเงียบแล้วจากไปล่ะ...  พวกเราไม่เคยได้ยิน” คนอื่นๆตะโกนออกมาบ้าง ทั่วทั้งลานกว้างเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนอีกครั้ง ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นต่างมีสีหน้าตระหนกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่คนหนุ่มสาวเริ่มตั้งคำถาม... การที่เทพราชสีห์แองโกริออนไม่ได้ร้องและคำราม แต่ปรากฏกายออกมาเงียบๆและจากไปนั้น มันมีความหมายอะไรกันนะ

���“เอาละ... สำหรับคืนนี้ดึกมากแล้ว...  ข้าคิดว่าพวกเราควรแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนดีกว่า... สำหรับพวกท่าน อาคันตุกะจากแดนไกล...  ข้าได้เตรียมกระโจมเอาไว้สำหรับพวกท่าเรียบร้อยแล้ว เชิญพักผ่อนตามสบาย เพื่อที่เราจะได้มีเวลาพูดคุยเรื่องนี้กันต่อในวันพรุ่งนี้” วูจินพูดตัดบทพร้อมกับบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน...


���
���ในยามเช้าตรู่ ขณะที่ทุกชีวิตในผืนป่ากำลังหลับใหล ผู้เฒ่าวูจินตื่นมารับลมยามเช้าหน้ากระท่อม พลันก็บังเกิดเห็นสิ่งหนึ่งผิดประหลาดไปจากเดิม

���“กำลังดูอะไรอยู่รึ ท่านปู่?” ฮารีซันที่ตามออกมานอกกระท่อมถามขึ้น

���“เจ้าดูนี่สิ ฮารีซัน...  บอกข้าสิว่าเจ้าเห็นอะไร...” ชายชราพูดพร้อมกับยื่นใบไม้ใบหนึ่งส่งให้กับหลานชาย

���“ก็ใบไม่ธรรมดานี่นาท่านปู่...” ฮารีซันตอบ

���“เจ้าเห็นแค่นั้นรึ ฮารีซัน ลองดูให้ดีๆสิ” วูจินพูดกับหลานชายอีกครั้ง ฮารีซันเอานิ้วมือลูบกับใบไม้เบาๆแล้วสังเกตดูเห็นมีฝุ่นทรายละเอียดสีแดงติดนิ้วมาด้วยจึงพูดออกมาอย่างตระหนก

���“ฮะ...  ฝุ่นดินพวกนี้มัน...  ผงทรายจากทะเลทรายตอนเหนือนี่นา ท่านปู่...”

���“ถูกต้องแล้วล่ะ ฮารีซัน...  ตอนนี้ข้าคิดว่าข้าหาคำตอบเรื่องที่เทพแองโกริออนปรากฎตัวออกมาได้แล้ว...  นิทานเก่าแก่ของเผ่าเรากล่าวไว้ว่า ยามใดที่ท่านไม่ร้องหรือคำรามออกมา นั่นอาจจะหมายถึงมหาสงครามครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนก็อาจเป็นได้...” วูจินพูดออกมา

���“สงคราม?...  จะเกิดสงครามอีกได้อย่างไร ในเมื่อสงครามระหว่างเผ่าก็สิ้นสุดลงไปหลายชั่วอายุคนแล้ว” ฮารีซันถามออกมา

���“เรื่องนี้ มีแต่เวลาเท่านั้นที่จะสามารถตอบได้...  เอาละ หลายๆคนเริ่มตื่นกันแล้ว ข้าว่าเราเตรียมเริ่มประชุมกับบรรดาตัวแทนของแต่ละเผ่ากันดีกว่า” วูจินพูดพร้อมกับเดินเข้าไปในกระท่อมทิ้งให้ฮารีซันยืนอยู่นอกชานตามลำพัง

���“วาระของสงครามจะบังเกิดงั้นรึ... มันหมายความว่าอะไรกัน ทั้งยังฝุ่นทรายจากตอนเหนืออีก เรื่องพวกนี้เกินปัญญาของเราที่จะเข้าใจจริงๆ” ฮารีซันคิดในใจ

���“ท่านพี่คะ...  ท่านปู่ให้มาตามท่านพี่ไปที่กระโจมใหญ่ค่ะ ท่านปู่บอกว่าตัวแทนจากแต่ละเผ่าเตรียมตัวพร้อมแล้ว...” เสียงใสดังมาจากหญิงสาวในชุดชาวเขาสีน้ำตาลตัดกับผิวกายสีน้ำผึ้งของนาง ผมดำยาวพลิ้วไปตามสายลมยามเช้า พวงแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลใสซื่อตามแบบชาวเขาดูงดงามยิ่งนัก

���“รู้แล้ววานาอัน...  พี่จะรีบไปเดี๋ยวนี้...” ฮารีซันบอกกับน้องสาวพร้อมกับรีบไปที่กระโจมใหญ่กลางลานของหมู่บ้านทันที

���ในกระโจม ตัวแทนจากแต่ละเผ่านั่งอยู่กันพร้อมหน้า แต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียดด้วยปัญหาที่ขบคิดไม่ออกจากเหตุการณ์การปรากฏตัวของเทพแองโกริออนเมื่อคืนวันก่อน

���“เอาละ...  มาแล้วรึฮารีซัน... เจ้ารีบนั่งก่อนสิ ข้าคิดว่าตอนนี้เผ่าเราและตัวแทนจากแต่ละเผ่าคงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอีกหลายเรื่องทีเดียว” วูจินพูดพร้อมกับเรียกให้หลานชายของตนนั่งลงก่อนที่จะเริ่มการพูดคุยกันทันที...



    ตอนที่ 11 เสร็จแล้วงับ เปลี่ยนบรรยากาศจากสงครามหลบไปเป็นบรรยากาศของงานฉลองแบบชาวเขากันมั่ง เพราะตอนหน้าต้องละเลงเลือดกันแล้ว อิอิ
« Last Edit: October 25, 2005, 09:46:37 PM by [ไคบะ เซโตะ] » Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #19 on: October 28, 2005, 01:24:51 AM »

Chapter 12: แมลงปีศาจ

   บรรยากาศการประชุมภายในกระโจมใหญ่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แม้ว่าเผ่าฟูดินันและเผ่าน้อยใหญ่อื่นๆในละแวกใกล้เคียงจะยังไม่ถูกคุกคามจากมอร์นาร์สก็ตาม แต่ว่าตัวแทนของแต่ละเผ่าต่างก็มีท่าทีที่วิตกกังวลเป็นพิเศษ เพราะว่าหลายๆเผ่าเอง สามารถสัมผัสได้จากธรรมชาติรอบตัวถึงการเปลี่ยนแปลงจากสงครามได้ค่อนข้างรวดเร็วพอสมควร และทุกครั้งที่เผ่าของตนสัมผัสได้ พลังของความชั่วร้ายที่กระทบต่อสมดุลของธรรมชาติก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที...



   ไกลออกไปทางตอนเหนือ สู่สุสานโบราณในเขตฟาคารับ มอร์นาร์สได้จ้างนักรบรับจ้างเผ่ามอร์จำนวนมาก เพื่อที่จะเตรียมประกาศสงครามอีกครั้ง นักรบเผ่ามอร์จำนวนมากต่างหลั่งไหลมายังพื้นที่รกร้างกลางทะเลทราย พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับมอร์นาร์สด้วยเงื่อนใขที่ว่ามอร์นาร์สจะมอบแผ่นดินอันสมบูรณ์ที่สุดในเมอริเซียให้ เนื่องจากว่านานมาแล้ว ชนเผ่ามอร์ต้องถูกขับไล่ และกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายฟาคารับมานาน เมื่อมอร์นาร์สว่าจ้างด้วยข้อตกลงนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมรบทันที

   “นายท่าน...  ท่านวางแผนจะบุกโจมตีดินแดนในป่าเขาอย่างไรรึ?... ” เสียงแบห้าวของเอซาไลส์ถามขึ้น

   “หึหึหึ เทพเจ้าปกป้องชาวฟูดินันอยู่... ทัพมารของเราไม่มีทางฝ่าด่านของมังกรเทพที่คอยปกป้องภูเขาคีรีบันดาไปได้...  ดังนั้นตลอดเวลาหลายเดือนที่เราเริ่มรวบรวมกองทัพของชนเผ่ามอร์ ข้าก็ได้พันธุ์เจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา...” มอร์นาร์สพูดพร้อมกับแบมือให้ดู สิ่งที่อยู่ในมือของมอร์นาร์สคือแมลงตัวใหญ่ขนาดฝ่ามือ ลำตัวเป็นสีแดงสดดุจสีเลือด ปีกทั้งสองข้างเองก็มีสีสันแดงสดดุจสีเลือดเช่นเดียวกัน

   “หึหึหึ แมลงปรสิตพิษที่ข้าเพาะพันธุ์ขึ้นมาด้วยเลือดของปีศาจ ข้าจะใช้มันทำลายชาวฟูดินันซะ โดยการแพร่พิษผ่านทางแมลงพวกนี้ หึหึหึ...” มอร์นาร์สพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะด้วยความสะใจ...

   “แล้วนายท่านจะใช้วิธีใดในการส่งพวกมันจำนวนมากไปยังหมู่บ้านนั้น...” เอซาไลส์ถามออกมาด้วยความสงสัย

   “ข้ามีวิธีของข้า...” กล่าวจบมอร์นาร์สก็สาดเลือดปีศาจไปในอากาศ กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งเป็นทางลงไปทางใต้ สู่ทิศทางที่ตั้งของหมู่บ้านฟูดินัน

   “หึหึหึ กลิ่นคาวเลือดพวกนี้จะนำแมลงปรสิตไป...  เพื่อหาเลือดสดๆของสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร...” มอร์นาร์สพูดออกมาพร้อมกับปล่อยฝูงแมลงปรสิตจำนวนหนึ่งออกไปก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความชั่วร้าย...

   ฝูงปรสิตมุ่งหน้าบินลงใต้ตามกลิ่นคาวเลือด มุ่งสู่ที่ตั้งของป่าทึบท่ามกลางแนวเขาคีรีบันดาที่โอบล้อม ป่าทึบอันเป็นสถานที่ตั้งของเผ่าฟูดินัน และเผ่าอื่นๆน้อยใหญ่ ในเวลาเดียวกันกับที่การประชุมในกระโจมใหญ่กำลังจะเสร็จสิ้นลง...



   คืนงานเทศกาลเฉลิมฉลองที่จัดให้เป็นเกียรติกับเทพแองโกริออนได้ผ่านพ้นไปแล้ว  ชาวบ้านต่างออกทำงาน หาของป่าเพื่อดำรงชีพกันตามปรกติ อย่างไรก็ตาม เรื่องการปรากฏตัวของเทพแองโกริออน ก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้คนยังพูดถึงกันอยู่มาก

   ขณะที่วูจิน และบรรดาตัวแทนจากเผ่าต่างๆ พากันทยอยออกจากกระโจมใหญ่ และเตรียมตัวที่จะแยกย้ายกันกลับไปยังหมู่บ้านของตนนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...  ชายชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาหาวูจินด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่เขาพบกับวูจิน เขาก็พยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา

   “ทะ... ท่านผู้เฒ่า...” ชายคนนั้นพูดออกมาได้ไม่กี่คำก็อาเจียนเป็นเลือดสีดำคล้ำออกมากองโตแล้วก็สิ้นใจ

   “อะไรกันนี่...  หรือว่าสิ่งที่เราหวั่นเกรงกัน จะคุกคามหมู่บ้านของเราแล้ว...” วูจินพูดออกมาได้ไม่นานก็ต้องชะงักไปชั่วขณะกับเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

   ที่หน้าอกของชายที่ตายไปมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ในอกเสื้อ สร้างความแปลกใจระคนหวาดกลัวให้กับวูจินและคนที่อยู่รอบข้างยิ่งนัก แคว่ก! เสียงของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกของชายผู้นั้นฉีกขาด แมลงตัวหนึ่งบินออกมาจากซากศพของชายผู้นั้น คาร์น มนุษย์สิงโต ตัวแทนจากเผ่าสมิง ใช้มือของตนที่มีลักษณะคล้ายอุ้งเล็บตะปบแมลงตัวนั้นลงดินและขยี้ ไม่นานแมลงก็กลายเป็นเพียงกองเมือกกองใหญ่สีดำคล้ำ ส่งกิล่นคาวคละคลุ้ง

   “ฮะ...  นะ...  นี่มัน แมลงปรสิตนี่นา...” วูจินพูดออกมาอย่างตระหนก ใบหน้าผู้สูงอายุแฝงแววหวาดกลัว

   “ท่านรู้จักมันรึ ท่านปู่?...” ฮารีซันถามขึ้นด้วยความสงสัย

   “รู้สิ...  แต่ว่าถ้าไม่รู้จะดีกว่า...” วูจินตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

   “มันคือแมลงอะไรรึ ท่านปู่?...” ฮารีซันถามออกมาอีก

   “ฮารีซัน...  แมลงที่อยู่เบื้องหน้าของเจ้านี้ คือแมลงปรสิต มันจะชอนไชเข้าไปในร่างกายของเหยื่อผ่านทางช่องทางที่มันจะหาได้ จากนั้นมันก็จะดูดกินเลือดของเหยื่อ ก่อนจะวางใข่ แล้วหาทางออกมา ใข่จะฟักตัวเป็นตัวอ่อนในซากศพของเหยื่อ ก่อนจะกลายเป็นตัวเต็มวัยในไม่กี่อาทิตย์ ” ผู้เฒ่าวูจินตอบข้อสงสัยของหลานชาย

   “แต่ปู่ยังข้องใจอยู่เรื่องหนึ่ง...  ตามปรกติขนาดลำตัวที่โตเต็มที่ของแมลงพวกนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก...  แต่สำหรับตัวนี้ที่ปู่เห็น มันมีขนาดที่ใหญ่ผิดปกติ ปู่ได้แต่หวังว่าเจ้าตัวนี้จะเป็นตัวเดียวที่มีขนาดใหญ่ผิดปกตินะ... ไม่อย่างนั้น...” วูจินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ประโยคสุดท้ายเงียบหายไป ซึ่งหลายๆคนก็สามารถเข้าใจได้ดี

   “ท่านผู้เฒ่า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว...” ชายอีกคนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน คนอื่นๆอีกหลายคนวิ่งตามเข้ามาที่หน้ากระโจมด้วย

   “คือว่า...” ชายคนนั้นไม่ทันจะพูดก็มีเสียงหึ่งๆจำนวนมากดังมาจากแนวเขาทางตอนเหนือของหมู่บ้าน วูจินและคนอื่นๆมองไปตามที่มาของเสียงนั้น ปรากฏว่าเป็นเสียงกระพือปีกของฝูงแมลงปรสิตจำนวนมากที่บินข้ามแนวเทือกเขาคีรีบันดามา วูจินบอกให้ฮารีซันตะโกนบอกทุกคนที่อยู่บริเวณลานของหมู่บ้านให้หลบเข้าไปในกระท่อมของตนโดยเร็ว

   “วะ...  วานาอันล่ะ?...” ฮารีซันถามหาน้องสาวของตัวเองเมื่อตนเองและปู่เข้ามาในกระท่อมเรียบร้อยแล้ว

   “ยะ...  อย่าบอกนะว่าเธอไปที่ทะเลสาบนีรันดา...” ฮารีซันพูดออกมาดังนั้นก็เข่าอ่อน ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นห้อง วานาอันเป็นน้องสาวคนเดียวของเขา พ่อและแม่ของเขาได้ตายไปในการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์เมื่อนานมาแล้ว ทิ้งไว้ให้เขาอาศัยอยู่กับน้องสาวและปู่ของเขาเพียงสามคนเท่านั้น

   “โธ่...  น้องพี่...” ตาของฮารีซันเริ่มแดง เขามีความคิดที่จะฝ่าฝูงแมลงปรสิตออกไปช่วงเหลือน้องสาวเขา

   “ฮารีซัน...  ปู่ว่าอย่าพึ่งออกไปข้างนอกตอนนี้ดีกว่า...  ปู่เข้าใจว่าเรารู้สึกอย่างไร แต่ว่า ปู่เชื่อมั่นว่าในตัวของเด็กคนนั้นมีอำนาจพิเศษบางอย่างที่พวกเราไม่มีแฝงอยู่...” วูจินกล่าวเตือนสติหลานชายของตนเมื่อเห็นว่าฮารีซันคิดจะทำอะไรวู่วาม

   ฝูงแมลงปรสิตของมอร์นาร์สบินมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน หากมันพบเห็นสิ่งมีชีวิตมันก็จะพากันชอนไชเข้าไปในร่างกายของเหยื่อ กัดกินแล้วทะลุออกมาทันที ผืนป่าที่แต่เดิมเคยเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยเสียงกระพือปีกของแมลงมรณะ และกลิ่นคาวเลือดของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อคมเขี้ยวของมัน...

   “แล้วแบบนี้... เผ่าป่าทมิฬที่อยู่ทางตอนเหนือของเราล่ะ... ” สตรีนางหนึ่งพูดออกมา นางเป็นหนึ่งในบรรดาตัวแทนที่มาจากเผ่าป่าทมิฬ รูปร่างของนางแข็งแรงกำยำ ผมยาวดำของนางแม้จะไม่เป็นมัน แต่ก็ไม่หยาบกระด้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลแฝงแววแข็งแกร่งและดุดันตอนนี้แฝงแววกังวล และห่วงใยผู้คนในเผ่าเดียวกันกับเธอเป็นอย่างมาก

   “อย่าห่วงไปเลย ดามิก้า ข้าเชื่อว่า ฟูมินและบรรดาสหายของเขา ย่อมมีวิธีเตรียมการเอาไว้แล้ว” วูจินพูดอย่างอ่อนโยน

   “เอาละ...  ท่านผู้เฒ่า...  ข้าจะยอมเชื่อท่าน เพราะอย่างไร ข้าก็เชื่อว่า ฟูมินและกลุ่มสหายของเขา ย่อมไม่ทอดทิ้งบรรดาพี่น้องร่วมเผ่าในยามเกิดอันตรายเป็นแน่ แม้ว่าในบางที เขาจะทำตัวเป็นกองโจรปล้นชิงคนต่างเผ่าก็ตาม...” ดามิก้าพูดพร้อมกับมองดูฝูงแมลงปรสิตจำนวนมากที่พากันบินมาอย่างมืดฟ้ามัวดินผ่านทางช่องหน้าต่างของกระท่อม...



    เอาละสิ...  วานาอันจะเป็นอย่างไรนี่...  เอาใจช่วยกันด้วยนะครับ (อ้อนกันง่ายๆอย่างนี้แหละ  :))
Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #20 on: October 31, 2005, 12:30:20 AM »

Quote
“นายท่าน...  ท่านวางแผนจะบุกโจมตีดินแดนในป่าเขาอย่างไรรึ?... ” เสียงแบห้าวของเอซาไลส์ถามขึ้น

เสียงแบห้าว อุๆ


แมลงปรสิตนี่คงไม่ใช่ Death Paradise นะ เพราะมันเป็น Paradise สวรรค์ ไม่ใช่ Parasite ปรสิต
Logged


[ไคบะ เซโตะ]
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 372


« Reply #21 on: November 02, 2005, 03:55:25 AM »

Quote
“นายท่าน...  ท่านวางแผนจะบุกโจมตีดินแดนในป่าเขาอย่างไรรึ?... ” เสียงแบห้าวของเอซาไลส์ถามขึ้น

เสียงแบห้าว อุๆ


แมลงปรสิตนี่คงไม่ใช่ Death Paradise นะ เพราะมันเป็น Paradise สวรรค์ ไม่ใช่ Parasite ปรสิต
 อ้าวหรอ...  ช่างมัน เห็นในรูปเก่าๆของ SD4K ก็นึกชื่อไทยตัวนี้ออกมาทันทีเลย
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.174 seconds with 20 queries.