Summoner Master Forum
November 28, 2024, 08:51:45 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter15 กรีฑาทัพ @@  (Read 8557 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 03:31:54 AM »

Chapter15  กรีฑาทัพ


                        เมื่อพิธีบวงสรวงจบลง และบรรดาผู้คนต่างพากันพักผ่อนในที่พักของตนจนหมดแล้ว   ที่กระท่อมหลังใหญ่ใจกลางเผ่าฟูดินันอันเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวบันดารา   ซึ่งบัดนี้ดูแน่นขนัดด้วยบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่และผู้นำจากเผ่าต่างๆที่มาร่วมงานบวงสรวง   ทุกคนนั่งล้อมกันเป็นวงใหญ่   ต่างก็พากันสงสัยที่วูจินเรียกพวกตนมาประชุมอย่างกะทันหันในยามวิกาลเช่นนี้    วูจินกระซิบเสียงเบากับฮารีซันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆตน
                        “วานาอันล่ะ?”
                        “หลับแล้วครับท่านปู่”  
                        วูจินยิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้   เมื่อผู้เฒ่าคนสุดท้ายเดินเข้ามานั่งร่วมวง วูจินจึงเริ่มกล่าวขึ้น“สหายและพี่น้องทั้งหลาย   ข้าต้องขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกท่าน   แต่ทั้งนี้ก็เพราะข้ามีข่าวสำคัญจะต้องแจ้งให้พวกท่านทราบโดยเร็วที่สุด”
                        “เรื่องอะไรรึ ท่านวูจิน”  ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งอ่อนเยาว์กว่าวูจินเล็กน้อยพูดขึ้น
                        “เมื่อเช้านี้มีผู้พบเทพแองโกริออน”  ทันใดก็มีเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ดังกระจายไปทั่วบริเวณห้องนั้น
                        “ท่านร้องหรือคำราม”  หัวหน้าเซนทอร์ดูเหมือนจะตั้งสติได้ก่อน  เอ่ยถาม
                        “ท่านนิ่งเงียบและเดินจากไป”  วูจินตอบสีหน้าเรียบเฉย   ในขณะที่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ต่างมีสีหน้าตกใจ   บางคนก็ขมวดคิ้วสงสัย  ต่างถกเถียงวิเคราะห์สถานการณ์กันไปต่างๆนานา  
                        “มันหมายความว่าอย่างไรครับท่านปู่” ฮารีซัน ถามอย่างสงสัยใคร่รู้
                        “นั่นสิท่านผู้เฒ่า   หากแองโกริออนร้องหรือคำราม   ข้ารู้ว่าหมายถึงอะไร   แต่การนิ่งเงียบแบบนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”  ดามิกากล่าวเสริมขึ้น
                        “เหตุการณ์นี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น   เมื่อสมัยพวกเจ้ายังเด็กก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเหมือนกัน   ครั้งนั้นหลังจากเทพแองโกริออนปรากฎตัวและหายไปอย่างเงียบเชียบ   เพียงไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้นก็เกิดสงครามระหว่างเผ่าขึ้น   ฟูดินันตกเป็นเป้าหมายสำคัญเพราะความที่เป็นเผ่าใหญ่ที่สุด   เราถูกโจมตีอย่างหนักจนในที่สุดชาวบ้านถูกเข่นฆ่าล้มตายมากมาย  แม้แต่ปู่ก็ต้องเสียลูกชายที่รัก...พ่อของเจ้าไปก่อนที่น้องของเจ้าจะได้ลืมตาออกมาดูโลกเสียอีก” วูจินพูดด้วยสีหน้าสลดลง “และนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เราเป็นพันธมิตรกับเผ่าเซนทอร์อย่างไรล่ะ”
                        “หมายความว่าจะเกิดสงครามระหว่างเผ่าอีกหรือ” หัวหน้าเซนทอร์ถามเสียงเครียด
                        “ไม่น่าจะเป็นไปได้   สิบกว่าปีมานี้เผ่าต่างๆเริ่มรู้จักและเป็นมิตรต่อกันมากกว่าแต่ก่อนมากนัก” ผู้เฒ่าต่างเผ่าคนหนึ่งพูดขึ้น
                        “แต่ท่านอย่าลืมนะว่ายังมีอีกหลายเผ่าในป่าลึกที่ยังไม่ถูกค้นพบและเป็นที่รู้จัก”  ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามวูจินท้วงขึ้น
                        “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องทำสงครามกับเรานี่”  ผู้เฒ่าผู้นั่งใกล้ฮารีซันกล่าวท้วง
                        “ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร  ท่านฮารีซัน” ผู้นำต่างเผ่าคนหนึ่งถามขึ้นเหมือนจะลองหยั่งเชิงหัวหน้าเผ่ารุ่นเยาว์   ฮารีซัน แม้จะยังประหม่ากับตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งได้รับ   แต่ด้วยศักดิ์ศรีของตำแหน่งหัวหน้าเผ่า   หัวหน้าเผ่าหนุ่มจึงนั่งตัวตรงตริตรองครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
                        “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย   ข้าไม่เห็นถึงเหตุจูงใจที่จะก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างเผ่าขึ้น   บัดนี้เผ่าต่างๆล้วนอยู่กันอย่างสงบสุขไม่ใช่หรือครับ   ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์   อาณาเขตก็ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนไม่มีการล่วงล้ำอาณาเขตซึ่งกันและกัน”
                        “แล้วท่านจะอธิบายเหตุการณ์นี้อย่างไรเล่า” หัวหน้าเผ่าคนเดิมยังคงตั้งคำถามต่อ
                        “จำเป็นด้วยหรือครับว่าการที่เทพราชสีห์นิ่งเงียบจะต้องหมายถึงสงครามระหว่างเผ่า” ฮารีซันตอบเหมือนเป็นเชิงถามในที   ทุกคนต่างนิ่งเงียบมองหน้ากันไปมาราวกับว่าจะค้นหาคำตอบจากใบหน้าของกันและกัน   ในที่สุดทุกคนก็ดูเหมือนจะมุ่งไปหาท่านผู้เฒ่าแห่งฟูดินันเพื่อให้ไขความกระจ่างนี้   วูจินครุ่นคิดอยู่นาน  สีหน้ายังคงฉายแวววิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด  
                        “ข้าขอบอกตามตรงว่าข้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น  เพราะตลอดชีวิตของข้า นี่เพิ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่เทพราชสีห์นิ่งเงียบเช่นนี้   แต่ข้าสังหรณ์ใจว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น  เหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งใดๆ” วูจินกล่าวเสียงเครียด
                        “ท่านแน่ใจรึ   มันอาจจะไม่รุนแรงถึงขนาดนั้นก็ได้   ท่านกล่าวเองว่านี่เพิ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น” หัวหน้าเผ่าอีกคนกล่าวขึ้น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 03:33:45 AM »

                      “ลางสังหรณ์ของท่านผู้เฒ่าไม่เคยผิดพลาดนะ” ดามิกากล่าวโต้เสียงดัง
                      “ข...ขะ...ข้าก็มิได้มีเจตนาจะดูถูกท่านหรือว่าร้ายท่านผู้เฒ่า   ข้าเพียงแต่คิดว่าเรายังไม่น่าจะปักใจที่จะคิดไปในเรื่องร้ายแรง”หัวหน้าเผ่าคนเดิมกล่าวอย่างเกรงๆสาวจากป่าทมิฬ
                      “เอาเถอะๆ” วูจินโบกมือเป็นเชิงปราม “ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น   หวังว่าลางสังหรณ์ครั้งนี้จะผิดพลาด”
                      คำพูดของวูจินทำให้บังเกิดความเงียบที่น่าอึดอัดไปทั่วห้อง
                      “เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรล่ะ  ฮารีซัน” วูจินเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
                      “ท่านปู่   เพื่อความไม่ประมาท   ข้าเห็นว่าทางที่ดีเราควรเตรียมความพร้อมในทุกๆด้านไว้ก่อนจะดีกว่า   เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที” ฮารีซันตอบเสียงหนักแน่น
                      วูจินยิ้มน้อยๆอย่างพอใจ  ในขณะที่คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วย  
                      “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน   และดูเหมือนทุกท่านก็คงเห็นด้วยกับความคิดนี้   ถ้าเช่นนั้นทุกท่านก็คงจะรู้แล้วว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรกันบ้าง   เอาล่ะนี่ก็ดึกมากเหลือเกินแล้ว   ข้าคงไม่รั้งตัวทุกๆท่านไว้นานกว่านี้   สำหรับคืนที่แสนยาวนานนี้ขอเชิญทุกท่านไปพักผ่อนให้สบายเถิด” วูจินกล่าวขึ้นก่อนที่ทุกๆคนจะลุกขึ้นแยกย้ายกันไปพักผ่อนในที่พักของตนอย่างเงียบๆ



                      ภายในท้องพระโรงแห่งอาณาจักรซาโลม    กำลังมีการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนเคลื่อนพล   บรรดาเสนาอำมาตย์ และแม่ทัพนายกองทุกฝ่ายต่างอยู่กันพร้อมหน้า  
                      “ทูลฝ่าบาท   กระหม่อมมีเรื่องน่ายินดีสองเรื่องที่จะกราบทูลพระองค์ในวันนี้” บลาส เซจ กล่าวขึ้นทันทีเมื่อซาดินและเนอริมอร์ขึ้นสู่ที่ประทับเรียบร้อยแล้ว
                      “เรื่องน่ายินดีอะไรที่ทำให้เจ้าต้องรีบร้อนบอกข้าถึงขนาดนี้” ซาดินกล่าวอย่างใคร่รู้
                      “เพราะข้าพระองค์แน่ใจว่าข่าวนี้จะทำให้เมอริเซียตกเป็นของพระองค์เร็วขึ้นอย่างไรล่ะ” บลาส เซจกล่าวพลางแสยะยิ้มกว้าง
                      “ถ้าเช่นนั้นก็จงรีบว่ามาสิ”  เนอริมอร์เร่งด้วยความรำคาญ
                      “พ่ะย่ะค่ะ” บลาส เซจโค้งตัวเป็นเชิงขอขมา  ทว่าใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าสลดแม้สักนิด  “เรื่องแรกนั้นก็คือ  บัดนี้กษัตริย์ซิกมันต์ที่2แห่งอาณาจักรฟีเลเซียสวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
                      ทันใดเสียงฮือฮาก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งท้องพระโรง   ซาดินโน้มตัวมาข้างหน้า   รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากหากแต่ยังคงสงวนท่าทีไว้
                      “เจ้าแน่ใจรึ?” ซาดินถามด้วยน้ำเสียงแคลงใจ
                      “ยิ่งกว่าแน่พ่ะย่ะค่ะ   สายของกระหม่อมรายงานว่า ซิกมันต์ที่2นำทัพออกไปปราบมังกรไฮดร้าแห่งวาล๊อค(Hydra of warok) และถูกพิษของมัน ทั้งๆที่หากเขารีบกลับมารักษาตัวที่อาณาจักรก็อาจจะพอรักษาชีวิตไว้ได้...แต่เขากลับยังต่อสู้จนตายทั้งสองฝ่าย ” บลาส เซจกล่าวพลางแสยะยิ้มกว้าง
                      “ทำไมช่างโง่งมเช่นนี้” ซาดินเปรยขึ้น
                      “เพราะความหยิ่งทะนงและศักดิ์ศรีโง่ๆของพวกฟีเลเซียพ่ะย่ะค่ะ   และตอนนี้ผู้ที่สืบราชบัลลังก์ต่อก็คือ ซิกมันต์ที่3 ที่อายุเพิ่งจะ16ปีเท่านั้น  ทั้งยังอ่อนด้อยประสบการณ์และบ้าศักดิ์ศรีโง่ๆไม่ต่างจากพระบิดา   บัดนี้ฟีเลเซียเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือ  จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด   กระหม่อมเห็นว่าหากจะโจมตีฟีเลเซียตอนนี้ก็ง่ายเสียยิ่งกว่าการยิงนกในอากาศเสียอีก ”  
                      “คงไม่ใช่จะคิดการณ์อะไรง่ายดายปานนั้นกระมัง ท่านบลาส เซจ” เสียงอันสุขุมของนาริสดังขึ้น
                       “ฟีเลเซียขึ้นชื่อว่าเป็นชาตินักรบที่แม้แต่ผู้หญิงก็ยังจับดาบ   ลำพังเรื่องสวรรคตคงไม่ใช่เหตุผลที่มากพอที่จะสรุปเอาได้ว่าสมควรโจมตีฟีเลเซีย  และ ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแผนการรบในเวลากระชั้นชิดหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีใครเขาทำกัน   ตอนนี้ข้าเองชักสงสัยหากไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก   ท่านคงไม่เสนอให้โจมตีฟีเลเซียเร็วนัก”
                      จอมเวทย์เฒ่าหรี่ตาลง  ก่อนจะกล่าวขึ้น“ท่านนี่ช่างรู้ไปเสียทุกเรื่องท่านนาริส   อีกเหตุผลหนึ่งนั้นก็เป็นเพราะ ข้ามีขุมข้อมูลที่ทำให้ข้ารู้จักฟีเลเซียมากพอจะวางแผนยกทัพเอาชัยเหนือฟีเลเซียได้”
                      “ท่านส่งคนไปสืบมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซาดินยิ้ม จ้องเขม็งไปยังบลาส เซจ
                      “มิได้พ่ะย่ะค่ะ บังเอิญข้าได้สหายผู้ซึ่งราวกับฟ้าประทานมา เพื่อการศึกกับฟีเลเซียโดยแท้”
                      “เป็นใครกัน”กษัตริย์หนุ่มนั่งหลังตรงขึ้นถามแทรก
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 03:35:25 AM »

                     “คนๆนี้ เป็นบุตรแห่งตระกูลขุนนางใหญ่ในฟีเลเซีย   ดังนั้นฟีเลเซียคือบ้านเก่าที่เขารู้ทุกซอกทุกมุม”
                     “ไหนเจ้าว่าพวกฟีเลเซียถือศักดิ์ศรีนัก   แล้วเจ้าคนนี้จะมายอมขายชาติขายศักดิ์ศรีเพื่อเพื่อนอย่างเจ้างั้นเหรอ   งานนี้เจ้านั่นมันโง่โดนเจ้าหลอก หรือเจ้าเองที่โง่โดนมันหลอกกันแน่” เสียงแหลมเข้มจากมหารานี ผู้ที่ใครๆก็รู้ดีว่าเกลียดชังบลาส เซจนัก
                     บลาส เซจ หลบสายตาที่เหยียดหยามชิงชังของพระนาง กัดฟันข่มความโกรธ ก่อนจะแสร้งยิ้มและกล่าวว่า“เพื่อนข้าคนนี้มีเหตุผลที่ทำให้เขาต้องการเห็นฟีเลเซียย่อยยับ และที่สำคัญ   หากเขาคิดหักหลังหรือหลอกลวงซาโลม เขาคงยินดีปล่อยให้กษัตริย์แห่งซาโลม ตกอยู่ในวงล้อมของฝูงหนูไฟแห่งถ้ำมหาสมบัติโดยไม่ปล่อยให้รอดออกมาคิดโจมตีฟีเลเซียภายหลังเช่นนี้แน่”
ซาดินลุกขึ้นทันที เรื่องราวในถ้ำนั้นผุดขึ้นมาในสมอง  ร้องสั่งเสียงดัง  
                     “จงนำคนผู้นั้นมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
                     “ตามท่านบัญชาเลยฝ่าบาท”
                     บลาส เซจ แสยะยิ้มผายมือไปที่โถงประตูทางเข้า   ที่นั่นเองมีร่างดำมืดแอบอยู่ที่ภายใต้เงามืดของซุ้มผ้าม่าน  มีเพียงประกายจากลูกแก้วบนไม้เท้าเท่านั้นที่สะท้อนกับแสงเทียนภายในห้อง   ซาดินหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในถ้ำใต้ภูเขาไฟทันที   ร่างนั้นค่อยๆก้าวออกมาจากเงามืดเผยให้เห็นร่างกายที่สูงเพรียวของพ่อมดหนุ่มผู้มีใบหน้าคมเรียว นัยน์ตาดุกร้าว จนรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อสบตา แต่สิ่งที่น่าขยะแขยงยิ่งกว่าคือนกปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวที่เกาะอยู่ที่ไหล่ขวา  ทันทีที่ตัวของมันโผล่พ้นจากเงามืดก็ส่งเสียงร้องโหยหวนดังก้อง   เสียงของมันเย็นยะเยือกบาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาท   พาลทำให้ทุกคนในห้องรู้สึกเย็นสันหลังวาบ    พ่อมดยกมือขึ้นลูบเป็นเชิงปลอบให้มันสงบลง  การก้าวเดินที่แช่มช้า ราวกับมีเงามืดล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา  บลาส เซจ แสยะยิ้มอีกครั้งพลางกล่าวว่า
                     “กระหม่อมขอแนะนำสหายรักของกระหม่อม  แบล็ค ไวเซอร์(Black Wiser) พ่อมดสายดำผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าที่สุดในยุคนี้ก็ว่าได้”
                     “ถวายบังคมฝ่าบาท”  แบล็ค ไวเซอร์โค้งตัวลงเล็กน้อย
                     “เป็นเจ้าเอง...น่ายินดีนักที่ได้พบเจ้าในวันนี้  หากไม่เพราะการช่วยเหลือของเจ้าในวันนั้น...” ซาดินกล่าวอย่างยินดี
                     “หามิได้ฝ่าบาท   การดำรงพระชนม์ของท่านคือความปรารถนาของข้าพระองค์   และรวมไปถึงการช่วยเหลือท่านยึดเมอริเซียนี่ด้วย”เสียงอันแหบต่ำ ลอดริมฝีปากที่ล้อมด้วยหนวดเคราดำ
                     “บลาส เซจว่าเจ้าอยากจะเห็นฟีเลเซียย่อยยับ   เจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงกับฟีเลเซียอย่างนั้นรึ” ซาดินเอ่ยถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี
                     “ความแค้นของข้าพระองค์มันสุ่มอกเหมือนไฟนรกที่ไม่รู้ดับ   มันเป็นความแค้นส่วนตัวที่ข้าพระองค์ขอประทานอนุญาตที่จะไม่กล่าวถึง”
กษัตริย์หนุ่มนิ่งชั่วครู่  “แล้วแต่เจ้าเถิด   เจ้าช่วยเหลือข้าก็ถือว่ามีความดีความชอบแล้ว  เมื่อไม่อยากพูดข้าก็ไม่อยากฟัง”
                     “ขอบพระทัยฝ่าบาท” พ่อมดดำโค้งเล็กน้อย เสียงแหบต่ำตอบช้าๆ  ก็พอดีกับที่นกปีศาจกระพือปีกและร้องขึ้นอีกครั้ง  พ่อมดดำยกมือเป็นเชิงปลอบ
                     “เจ้านั่นน่ะ  มันคือตัวอะไรกัน....” ซาดินถามด้วยสีหน้าขยะแขยง
                     “เพื่อนคู่ชีวิตกระหม่อม.......นกจากขุมนรกอันลึกล้ำดำมืด  วิหคโลกันต์(Hellish Bird) เมื่อครู่มันร้องถวายพระพรฝ่าบาท”
ซาดินขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง   ในขณะที่เนอริมอร์เบ้ปากใต้ผ้าคลุม บ่นลอดไรฟัน “ตัวทุเรศ!!......”
                     “สรุปว่าท่านบลาส เซจ  อยากจะตีฟีเลเซียตามความต้องการของเพื่อนรักของท่านสินะ”นาริส สุไลมาน ซึ่งยังคงความสุขุมไว้ กล่าวเข้าเรื่อง   บลาส เซจชักสีหน้าเมื่อโดนแหนบแนมอย่างไม่คาดคิด  เนอริมอร์กล่าวเสริมทันที
                     “ยังไงข้าก็ไม่ไว้ใจ จะให้ร่วมรบกับพวกพิลึก........”พระนางจ้องหน้าจอมเวทย์ดำด้วยแววตาถตัวเองทึง   แบล็ค ไวเซอร์ ก็มองกลับด้วยสายตาที่ปราศจากความเกรงกลัว  พระนางจึงเกิดโทสะขึ้น
                     “เจ้านี่! อวดดีนัก   นึกว่าเจ้าอยู่ต่อหน้าใครกัน”
                     “นรกข้าก็เห็นมาแล้ว   ไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องกลัว..........”
                     ทันใด   นกปีศาจก็แผดเสียงร้องอันน่าเกลียดดังขึ้นหลายครั้งราวกับหัวเราะเยาะเย้ยนาง  ดั่งน้ำมันที่สาดใส่ไฟ ราชินีแห่งซาโลมยืนขึ้นตวาดลั่น
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 03:36:55 AM »

                     “งั้นเจ้าก็กลับไปอยู่ในนรก กับนกอุบาทว์นั่นซะ!!!”
                     ทั่วทั้งห้องร้อนขึ้นฉับพลัน นัยน์ตาพระนางแดงก่ำ พลังเวทย์เริ่มพลุ่งพล่าน ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างตื่นตระหนก    คฑาสีแดงเริ่มส่องประกายกล้า
นกนรกกางปีกออกปกป้องเจ้านายของมัน   จอมเวทย์ดำเริ่มท่องเวทย์ภาษาประหลาดและกวาดคฑาเป็นวง   เกิดเงาดำลอยออกมาตามทิศทางที่คฑาเคลื่อนไป   จนรวมกันอยู่หน้าจอมเวทย์ดำและเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เนอริมอร์    เพียงชั่วขณะเดียวแสงสีแดงจ้าจากคฑาของเนอริมอร์ก็ค่อยหรี่ลง   นางซวนเซเล็กน้อย
                     “นี่เจ้า...” เนอริมอร์กล่าวอย่างเดือดดาล
                     “วิชาอะไรของเจ้า   ประหลาดดีแท้” ซาดินกล่าวอย่างชื่นชม
                     “ทูลตามตรงฝ่าบาท   พลังเพลิงFurious Flame ของพระนางนั้นเป็นที่รู้กันว่ายากนักจะหาผู้ใดมาต่อกรด้วย  แม้แต่ข้าพระองค์เองก็มิอาจประฝีมือด้วยตรงๆ   ข้าพระองค์จึงใช้วิธีทอนพลังเวทย์พระนางชั่วคราว”
                     “ถ้าท่านให้เจ้าคนสามหาวนี่ร่วมกองทัพ   ข้าจะไม่ไปออกรบกับท่าน”เนอริมอร์แทบจะคุมอารมณ์โกรธของนางไม่อยู่
                     “ไม่ได้   กำลังของเจ้าจะช่วยข้าได้มากในการรบครั้งนี้” ซาดินกล่าวเสียงแข็ง
                     “ข้าไม่มีวันร่วมรบกับเจ้าคนสามหาวนี่   มันกล้าดีอย่างไรมาล่วงเกินข้าเช่นนี้” เนอริมอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
                     “ในยามนี้การมีกำลังที่เก่งกาจมาเสริมนั้นสำคัญมาก    หากเจ้ายังติดใจเรื่องเมื่อสักครู่   ถ้าเช่นนั้นข้าให้เขาขอขมาเจ้าก็แล้วกัน   แบล็ค ไวเซอร์เจ้าก็ขอขมานางซะ” ซาดินพยายามพูดอย่างข่มอารมณ์
                     “พ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาท” พ่อมดดำเอ่ยเสียงแหบพร่า   สายตาเย้ยยันฉายอยู่ในแววตาของเขา  
                     “ข...”ไม่ทันที่แบล็ค ไวเซอร์จะเอ่ยคำใดๆออกมา   เนอริมอร์ก็ชิงพูดดักเสียก่อน
                     “เก็บคำพูดของเจ้าไว้พูดกับเจ้านกอุบาทว์ในนรกเถอะ”
                     “เนอริมอร์!!..” ซาดินปรามเสียงดัง
                     นาริส ซึ่งนิ่งเงียบดูเหตุการณ์อยู่นาน   ก็สบช่องเอ่ยแทรกขึ้น“ขออภัยฝ่าบาท   กระหม่อมขอเสนอความคิดสักหน่อย”
                     “ว่ามา”  ซาดินหันมากล่าว  คิ้วขมวดเล็กน้อย
                     “ในเมื่อพระนางไม่พอพระทัยที่จะร่วมรบด้วยเช่นนี้   แต่ในขณะเดียวกันพระนางเองก็จำเป็นอย่างยิ่งต่อกองทัพของเรา   หม่อมฉันเสนอว่าพระองค์น่าจะประทานอะไรบางอย่างให้แก่พระนางเป็นการแลกเปลี่ยน”
กล่าวพลางหันไปยิ้มเป็นนัยๆให้เนอริมอร์   เนอริมอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยพยายามตีความนัยที่อำมาตย์ชี้ช่องให้ตน   เพียงไม่กี่อึดใจนางก็เข้าใจได้ในทันที
                     “ได้ข้าจะให้”  ซาดินรีบกล่าวขึ้นโดยเร็ว
                     “ท่านจะให้ข้าแน่นะ    ท่านลั่นวาจาแล้วห้ามคืนคำ” เนอริมอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบานขึ้นทันที   ซาดินเริ่มอึดอัด และนึกเสียใจกับความปากไวของตน  
                     “ได้   เจ้าจะขออะไร” ซาดินกล่าวไม่เต็มเสียงนัก   ในใจนั้นก็หวั่นเกรงคำขอของภรรยา
                     “การสงครามในครั้งนี้มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าไหร่   ดังนั้นหากครบกำหนด6เดือนแล้วข้าจะขอกลับมาที่นี่”
                     “ไม่ได้....หากการสงครามยังไม่เสร็จสิ้นเจ้าจะทิ้งสมรภูมิไปได้อย่างไร”
                     “ถ้าเช่นนั้น   ทุกๆ6เดือนของการรบ   ข้าจะขอกลับมาอยู่ที่ซาโลมเป็นเวลา3เดือน   หลังจาก3เดือนผ่านไปแล้วข้าก็จะกลับไปช่วยท่านรบอีก6เดือน   เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”
                     “เป็นไปไม่ได้   แค่การเดินทางไปกลับก็กินเวลาเกือบ6เดือนแล้ว   เจ้าจะใช้เวลาเดินทางไปกลับแค่3เดือนได้อย่างไร”
                     “ข้าทำได้”  เนอริมอร์กล่าวเสียงหนักแน่น “ก็ผ้าคลุมขนนกนั่นอย่างไรเล่า   ผ้าคลุมนั่นมีพลังพิเศษสามารถเคลื่อนย้ายคน1คนไปที่ใดก็ได้   เพียงแต่ต้องใช้เวลาท่องคาถาเพื่อปลุกเสกมันเป็นเวลา3เดือนเท่านั้น”
                     “ผ้าคลุมนั่น...” ซาดินหันหน้าไปมองอำมาตย์เฒ่าด้วยสายตาตำหนิและเคืองโกรธ   ด้านนาริสก็ได้แต่ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากษัตริย์หนุ่ม   ซาดินสูดหายใจลึกก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
                     “เอาเถอะ   เมื่อข้าบอกว่าจะให้ก็ให้   ข้าอนุญาตเจ้า”  ซาดินกล่าวพลางหันหน้ามาหาแบล็ค ไวเซอร์  ในขณะที่เนอริมอร์นั้นในใจมีแต่ความลิงโลด   อารมณ์เคืองแค้นเมื่อสักครู่พลันมลายไปสิ้น   สีหน้าของนางเบิกบานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  
                     “การรับเจ้าเข้ากองทัพทำให้ข้าต้องเสียกำลังจากมหารานีไปถึงคราวละ3เดือน   หวังว่าเจ้าจะทำงานให้ข้าได้คุ้มค่า”
                     “พระองค์ทรงวางพระทัยได้    ข้าพระองค์จะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวัง   และเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของข้าพระองค์” พ่อมดดำโค้งเป็นเชิงขออนุญาตน้อยๆ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: December 19, 2004, 03:38:05 AM »

                    “ข้าพระองค์ขอศพทหารสัก 3 ศพจะได้ไหมฝ่าบาท”
                    “ฮา ฮา  เอาอีกแล้วรึ   ครั้งนี้พวกเจ้าจะเล่นอะไรกับศพอีกล่ะ”  ซาดินหัวเราะชอบใจ
                    “ทูลฝ่าบาท   สหายของกระหม่อมผู้นี้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเวทย์ไสยดำมากที่สุด  ซึ่งแม้แต่กระหม่อมเองก็ยังไม่อาจเทียบ   วิชาปลุกซากศพที่กระหม่อมเคยแสดงให้พระองค์ดูเมื่อครั้งก่อนก็ได้สหายผู้นี้แหละสอนให้”  บลาส เซจกล่าวเสริมขึ้น
                    เมื่อทหารนำศพมาวางกองไว้เบื้องหน้าแบล็ค ไวเซอร์     ทุกๆคนในห้องต่างก็พากันทำหน้าสะอิดสะเอียนกับภาพที่เห็นและกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงที่ออกมาจากซากเหล่านั้น   พ่อมดดำมีสีหน้าเรียบเฉยสูดหายใจเข้าเต็มปอดราวกับสูดกลิ่นอายที่คุ้นเคย   แม้แต่เจ้านกปีศาจก็ยังตีปีกด้วยความยินดี  พาลทำให้เนอริมอร์รู้สึกขยะแขยงยิ่งขึ้น
                    “ข้าพระองค์ขอเสนอทหารผีนรก(Necrotrooper)จากห้วงอเวจีแด่ฝ่าบาท”  
                    พ่อมดดำเอ่ยขึ้น   พลางประกบมือเข้าหากันและเริ่มต้นท่องคาถาเรียกอสูร   เพียงอึดใจเดียวที่กลางพื้นห้องก็เกิดเป็นช่องโหว่สีดำเล็กๆขึ้นและเริ่มขยายตัวออกเรื่อยจนกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่พอประมาณ    ทันใดนั้นก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังลั่นออกมาจากช่องสีดำนั้น    ทุกคนต่างต้องรีบอุดหู กันเป็นการใหญ่   แทบจะทันทีก็มีอะไรบางอย่างพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากช่องว่างนั้น   มันเหยียดปีกทั้งสองข้างจนสุดและกรีดร้องไปทางเหล่าเสนาอำมาตย์ที่อยู่ทางปีกขวาของท้องพระโรง   ทุกคนต่างตกใจทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้    วิหคโลกันต์แผดเสียงร้องขึ้นครั้งหนึ่ง    มันหันมาตามเสียงนั้นแล้วกระโจนมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าแบล็ค ไวเซอร์
                    “ขออภัยฝ่าบาทและทุกๆท่านที่ทำให้ตกใจ   นี่คือปีศาจสกรีค(Screak)ที่ข้าพระองค์เรียกออกมาเพื่อจะขอโลหิตปีศาจ(Demon’s Blood)จากมัน”
                    พ่อมดดำหันไปหาสกรีค และเริ่มพูดภาษาปีศาจกับมัน   สกรีคหันหน้าไปมองกองซากศพและใช้กงเล็บของมันกรีดที่อกเบาๆเกิดแผลเป็นทางยาวแต่ไม่ลึกนัก   แทบจะทันทีกลิ่นคาวเลือดก็กระจายคละคลุ้งอย่างรุนแรงไปทั่วทั้งห้อง   เลือดสีดำสนิทก็ไหลออกมาตามรอยแผลนั้น   มันใช้มือรองเลือดจนได้เต็มอุ้งมือแล้วสาดเลือดไปที่ศพเหล่านั้น   หยดเลือดสีดำก็กระจายตัวซึมเข้าไปในเนื้อศพทันที    สกรีคส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นอีกครั้งก่อนจะกระโดดลงไปในช่องดำหายไป   แล้วช่องดำนั้นก็ค่อยๆปิดจนสนิทเหมือนเดิม
                    แบล๊ค ไวเซอร์ยื่นไม้เท้าไปข้างหน้าโดยให้ลูกแก้วอยู่เหนือซากศพเหล่านั้นและเริ่มท่องคาถา   ลูกแก้วเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้ามีควันสีเขียวลอยออกมาจากลูกแก้วนั้น   ควันสีเขียวลอยตัวเป็นวงล้อมรอบกองซากศพนั้น   ไม่กี่อึดใจต่อมาศพทั้งสามก็เริ่มกระตุกสั่นอย่างแรงและเริ่มละลายเป็นของเหลวหนืดๆ   มีเสียงหักของกระดูกดังเป็นพักๆ   บัดนี้กองซากศพได้รวมกันเป็นก้อนของเหลวหนืดๆสีเทาดำขนาดใหญ่   พ่อมดดำหยิบขวดเล็กๆออกมาจากสายคาดเอว   เปิดจุกแล้วค่อยๆหยดลงบนลูกแก้ว   ทันทีที่ของเหลวสีแดงหยดลงถูกผิวลูกแก้วก็เดือดพล่านเปลี่ยนเป็นสีเขียวเรืองแสงก่อนจะหยดลงสู่ก้อนหนืดเบื้องล่าง    เมื่อก้อนหนืดนั้นถูกหยดด้วยน้ำสีเขียวเพียงสัมผัสแรกก็เหมือนกับมีชีวิต    มันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับมีคนถูกทรมานอยู่ข้างในนั้น   มีมือบ้างใบหน้าบ้างขาบ้างแขนบ้างโผล่ยื่นออกมาจากก้อนนั้น   พ่อมดดำท่องคาถาเสียงดังขึ้นแข่งกันเสียงร้องโหยหวน   เมื่อสิ้นเสียงท่องคาถาคำสุดท้ายแบล็ค ไวเซอร์ก็ยกไม้เท้าฟาดไปเต็มแรงที่ก้อนหนืดนั้น   ก้อนหนืดนั้นก็แตกออกทันทีเผยให้เห็นร่างของผีดิบเนื้อตัวสีเขียว มันค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ   ร่างกายของมันสูงใหญ่   มีหัวสามหัว  แขนทั้งสองข้างยาวแหลม  ที่ขามีกงเล็บขนาดใหญ่และแหลมคม   ที่หลังก็มีปีกคู่ใหญ่แข็งแรง  
ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบ   ทุกๆคนต่างตกตะลึงและยังรู้สึก ขนลุกขนพองกับเหตุการณ์ตรงหน้า    พ่อมดดำยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน   นกปีศาจกระพือปีกและส่งเสียงร้องขึ้นครั้งหนึ่ง  พาลทำให้ทุกคนสะดุ้งสุดตัวคล้ายตื่นจากภวังค์   ทันใดเสียงหัวเราะดังก้องของซาดินก็ดังขึ้น  พร้อมกับเสียงหัวเราะของเหล่าเสนาอำมาตย์ที่ดังตามมา
                    “ดีมาก  ดีมาก  แม้ทหารจะตายไปสักกี่พันกี่หมื่นก็จะมีกองทัพใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเกิดขึ้นเรื่อยๆไม่รู้จบ   บัดนี้เมอริเซียเอ๋ย   จงเตรียมขนพองสยองเกล้ากับกองทัพอันเกรียงไกรและแปลกพิสดารที่สุดแห่งซาโลม ฮา ฮา ฮา” ซาดินกล่าวพลางหัวเราะชอบใจ
                    “ทีนี้พระองค์คงเห็นด้วยที่จะตีฟีเลเซียก่อนแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” บลาส เซจ กล่าวพลางหันไปแสยะยิ้มกว้างใส่นาริสอย่างผู้มีชัยชนะ   ในขณะที่แบล็ค ไวเซอร์ยืดอกขึ้นยิ้มอย่างมั่นใจในคำตอบที่จะได้รับ
                    “แล้วหากเราตีฟีเลเซียสำเร็จ.... แล้วท่านพ่อมดดำจะทำอย่างไรต่อไปรึ   จะยังช่วยฝ่าบาทรบต่อหรือไม่” คำถามของนาริสทำให้รอยยิ้มของทั้งคู่ชะงักงันลง   ซาดินหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับจะประเมินคำพูดของอำมาตย์เฒ่า   ทันใดนั้นจึงฉุกคิดได้
                    “เพื่อเป็นการยืนยันในคำมั่นของเจ้าที่ว่าจะช่วยเหลือข้าในการยึดเมอริเซีย และเพื่อพิสูจน์ฝีมือของเจ้า   เจ้าจะต้องช่วยข้าพิชิตฟูดินันเสียก่อนตามแผนเดิมที่วางไว้   แล้วจึงค่อยตีฟีเลเซีย   เจ้าขัดข้องหรือไม่?” ซาดินกล่าว
                    “ข้าพระองค์ยินดีพิสูจน์ความภักดีพ่ะย่ะค่ะ”  แบล็ค ไวเซอร์ กล่าวเสียงเรียบ  หากแต่นัยน์ตานั้นร้อนราวกับจะลุกเป็นไฟ  
                    “ดี   ถ้าเช่นนั้นแผนการทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง   ทุกคนไปพักผ่อนได้   พรุ่งนี้มีงานสำคัญรออยู่”  พูดจบซาดินก็ลุกเดินกลับเข้าไปยังเขตพระราชฐานชั้นในทันที
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: December 19, 2004, 03:39:36 AM »

                     เช้าตรู่ของวันใหม่ ณ ลานกว้างหน้าพระราชวังแห่งซาโลมมหากองทัพอันเกรียงไกรแห่งอาณาจักรเพลิงกำลังแปรขบวนเพื่อจัดแต่งทัพ   เสียงย่ำเท้าของเหล่าทหารกว่าห้าแสน ทั้งคน สัตว์ สัตว์ประหลาด และผีดิบดังสนั่นไปทั่วทั้งอาณาจักรซาโลม   กลองใหญ่ขนาดมหึมาถูกตีเพื่อให้จังหวะการแปรขบวน   เมื่อทหารกองสุดท้ายเดินเข้าประจำที่ของตนเรียบร้อยแล้ว   เสียงกระหน่ำรัวจากกลองยักษ์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณแสดงความพร้อม
                     ที่กำแพงเหนือประตูปราสาท   กษัตริย์แห่งซาโลมในชุดออกศึกเต็มยศสีแดงเพลิงสะท้อนกับแสงแดดยามเช้าเป็นประกายมันวับ   ซาดินยืนอย่างองอาจมองดูมหากองทัพอันยิ่งใหญ่ของตนอย่างพึงพอใจ   เยื้องไปด้านหลังเล็กน้อยคือมหารานีแห่งซาโลมในชุดสีแดงเพลิงยืนเด่นเป็นสง่าดุจนางพญาหงส์ไฟโดยมีองค์รัชทายาทน้อยในชุดทรงกษัตริย์เต็มยศยืนอยู่ข้างกายของนาง   ถัดไปทางด้านหลังคือมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน  มหาอุปราชบลาส เซจ  แม่ทัพใหญ่ราโชยู และบรรดาขุนนาง อำมาตย์ แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่
                     “ทูลฝ่าบาท   กองทัพพร้อมเคลื่อนพลแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ราโชยูกล่าวขึ้น
                     “ดีมาก” ซาดินเอ่ยขึ้นพลางหันไปหานาริส “ข้าจะทิ้งกองกำลังบางส่วนไว้กับท่านที่นี่”  
                     นาริสโค้งคำนับเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำ   กษัตริย์หนุ่มเหลือบตาไปดูบุตรชายแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
                     “ข้าคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนาน   เรื่องทางนี้คงต้องฝากท่านดูแล....ข้าไว้ใจท่านที่สุด”
                     “พระองค์ทรงวางพระทัยได้”  อำมาตย์เฒ่ารับคำอย่างหนักแน่นซึ่งรวมถึงความนัยที่ซาดินแฝงไว้ในคำพูดด้วย
                     ซาดินพยักหน้าน้อยๆพลางหันหน้ากลับไปมองกองทัพของตนเบื้องล่าง
                     “เหล่าทหารหาญแห่งข้า   ถึงเวลาแล้วที่เราจะไปครอบครองแผ่นดินใหม่   แผ่นดินที่แสนอุดมสมบูรณ์ที่มีแต่พวกอ่อนแอไร้ค่าปกครองอย่างสุขสำราญ   ในขณะที่พวกเราผู้แข็งแกร่งกว่ากลับต้องทนอยู่อย่างแร้นแค้นในขุมนรกทะเลทรายนี้   บัดนี้พวกมันจะได้ลิ้มรสชาติของความขมขื่นนี้บ้าง    แผ่นดินอุดมสมบูรณ์นั้นต้องเป็นของพวกเรา ของลูกหลานแห่งซาโลม!!”
                     สิ้นเสียงของกษัตริย์หนุ่ม   เหล่าทหารทั้งห้าแสนต่างก็โห่ร้องตีเกราะเคาะอกขานรับคำของซาดินเสียงดังกัมปนาท   เหล่าทหารหาญแห่งซาโลมบัดนี้ล้วนมีใจฮึกเหิมอย่างยิ่ง   ซาดินยกมือขึ้นเป็นสัญญาณไปทางลานกว้าง   ซาลามันเดอร่าขนาดใหญ่กว่าปกติสองตัวก็เดินเข้ามาเทียบที่กำแพงปราสาท   บนหลังของพวกมันมีอานที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามผูกติดอยู่   ซาดินก้าวขึ้นไปยืนอยู่ระหว่างเขาแหลมที่หลังของมัน   ในขณะที่เนอริมอร์หันไปมองบุตรชายด้วยสีหน้าปวดร้าว
                     “เมื่อแม่ไม่อยู่แล้ว  เจ้าจะต้องเชื่อฟังท่านนาริสอย่างดีนะลูก   แล้วแม่จะรีบกลับมาหาเจ้าในอีก6เดือนข้างหน้า”
                     “สมเด็จแม่  สมเด็จแม่  อย่าทิ้งลูกไปเลย  สมเด็จแม่”  อิสฮานวิงวอน น้ำตาหยาดใสๆค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาคมโตเป็นสาย
                     “ลูกรัก  อย่าร้องไห้  เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาทอย่าให้ใครเห็นความอ่อนแอของเจ้า  จงเข้มแข็งและอดทนไว้” เนอริมอร์ปลอบเสียงเบา  หากแต่ตัวนางเองก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
                     “สมเด็จแม่  หากเป็นรัชทายาทแล้วพระองค์ต้องจากลูกไปแบบนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า” อิสฮานยังคงคร่ำครวญต่อไป
                     “ลูกรักอย่าร้องไห้อีกเลย    ลูกรู้ไหมว่าใจของแม่ปวดร้าวเพียงไหน” เนอริมอร์กอดบุตรชายเอาไว้แน่น
                     “เจ้าทั้งสองกำลังทำให้การเดินทัพล่าช้า   และเจ้า…” ซาดินกล่าวพลางมองหน้าลูกชายของตน “ในฐานะที่เจ้าจะเป็นกษัตริย์แห่งซาโลมในภายภาคหน้าจงเลิกแสดงความอ่อนแอเยี่ยงอิสตรีเช่นนี้เสียที”
                     อิสฮานสะดุ้งเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมองบิดาของตนด้วยความหวาดเกรงและเคืองแค้น   เนอริมอร์จึงรีบพูดแทรกขึ้นพลางใช้มือทั้งสองข้างเช็ดคราบน้ำตาของลูกน้อย
                     “เอาล่ะลูกรัก   แม่จะต้องไปแล้ว   รักษาตัวให้ดีนะ   จำเอาไว้จงเข้มแข็งและอดทน   แม่จะรีบกลับมาหาเจ้า”
                     เนอริมอร์กอดอิสฮานแน่นราวกับจะจดจำไออุ่นของลูกน้อยไว้ให้มากที่สุด   นางจูบที่พวงแก้มของลูกน้อยเบาๆก่อนที่จะแข็งใจละแขนจากบุตรชายและก้าวขึ้นหลังซาลามันเดอร่าที่ตัวเล็กกว่าของซาดินเล็กน้อย   ด้านอิสฮานนั้นก็มองพระมารดาด้วยดวงตาเศร้าสร้อยยิ่งนักแต่ก็ต้องทนฝืนกลั้นน้ำตาไว้  นาริส ก้าวเข้ามาย่อตัวลงกระซิบข้างหู
                     “ทรงยิ้มส่งพระมารดาเถิดพระโอรส อย่าให้พระมารดาต้องเป็นกังวลตลอดการเดินทางเลย ขอทรงอดทน อีก 6 เดือน พระมารดาก็จะกลับ”
                     ขณะเดียวกันบรรดาแม่ทัพนายกองต่างก็ขึ้นพาหนะของตน  โดยราโชยูขี่หลังมังกรดำโนฟโฮทิออน(Novhothion, the Drak Dragon) ส่วนบลาส เซจ และแบล็ค ไวเซอร์นั้นขึ้นนั่งบนรถที่ลากด้วยมอสติคอร์หุ้มเกราะ(Armor Mosticore)ขนาดใหญ่สี่ตัว   เมื่อบรรดาแม่ทัพนายกองทุกคนเข้าประจำที่ของตนแล้ว   ซาดินก็ชูกระบองของตนไปข้างหน้าจนสุดแขน  
                     “เคลื่อนทัพได้”  ซาดินประกาศก้อง   ก่อนที่เสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมของเหล่าทหารหาญและกลองชัยจะดังระรัวกึกก้องไปทั้งซาโลม
                     “ท่านนาริส  ข้าเป็นห่วงท่านแม่”  ซาร์ อิสฮาน ครวญเสียงเบา
                     “โถ พระโอรส พระมารดาของพระองค์ ทรงเก่งกล้าสามารถนัก   ต้องสงสารข้าศึกเสียมากกว่า   ดูสิพระโอรส พระมารดายังทรงหันมามองอยู่เลย”
                     เด็กชายยิ้มพลางโบกมือให้มารดาที่อยู่บนหลังมังกรสีแดง พยายามฝืนกลั้นความเศร้าโศกมองมังกรที่เริ่มโผบินห่างไกลออกไป จนหายไปจากสายตา จึงได้รีบวิ่งเข้าห้องบรรทม ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง  
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.088 seconds with 22 queries.