Chapter8 เสด็จสู่เมืองท่า
ไกลออกไปยังดินแดนโพ้นทะเลทางใต้สุดของทวีปเมอรีเซีย ดินแดนที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมกินอาณาบริเวณกว้างถึงครึ่งประเทศ หากทว่าความหนาวเย็นของน้ำแข็งนี้กลับมิได้เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชนในประเทศแม้แต่น้อย แอนดิซอง(Annedisonge) ประเทศที่การค้าและการประมงนำมาซึ่งความร่ำรวยและมั่งคั่ง ผู้คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่อย่างหรูหรา มีการปกครองด้วยระบอบ 3 สภา คือ สภาขุนนางซึ่งขึ้นตรงกับราชวงค์ สภาศาสนา และ สภาการค้าวาณิช
ประเทศ แอนดิซอง แบ่งพื้นที่ของประเทศออกเป็นสองส่วน โดยเรียกส่วนที่ใหญ่กว่าว่า แอนดิซองแผ่นดินใหญ่ (Annedisonge Mainland) และ เรียกส่วนที่เป็นเกาะว่า เมืองท่าแอนดิซอง (Annedisonge Portland) ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนี้เจริญรุ่งเรือง หากแต่ว่ามีมังกรยักษ์จอร์มอนกาน์ด(Jormungand) มังกรยักษ์ที่มีพละกำลังมหาศาลและดุร้ายว่ายผ่านระหว่างเกาะเมืองท่าและแผ่นดินใหญ่ โดยจะหลับจำศีลในถ้ำใต้ทะเลเป็นเวลา 4เดือนต่อปี
ณ แอนดิซองแผ่นดินใหญ่ ทั่วทั้งอาณาจักรถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ประชาชนต่างก็นำธงชาติ แอนดิซองมาติดที่หน้าบ้านของตน โดยเฉพาะบ้านที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางหลักที่มุ่งตรงจากปราสาทล้วนตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่แข่งกันแย้มบานอวดสีสันอย่างงามตา ทั้งริ้วธงหลากสีที่พากันพริ้วไสวหยอกล้อกับสายลมหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระลอก หน้าบ้านแต่ละหลังต่างถูกตกแต่งอย่างเต็มที่ราวกับจะประกวดประชันขันแข่งกันก็มิปาน ผู้คนมากมายต่างก็หยุดพักงานและสวมชุดที่ดีที่สุดของตนออกมายืนตั้งแถวอยู่ริมสองข้างทางอย่างไม่กลัวความหนาวเย็น แต่ละคนต่างก็ชะเง้อหน้ามองตามเส้นทางที่ทอดออกมาจากปราสาทอย่างใจจดใจจ่อราวกับกลัวจะพลาดเสี้ยววินาทีสำคัญ
แม้ภายในเมืองจะถูกตกแต่งสวยงามเพียงใดก็ยังมิอาจเทียบเท่ากับภายในปราสาทที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยสดงดงามยิ่งกว่า เสาหินอ่อนสีฟ้ามันวาวทุกต้นถูกพันร้อยด้วยโซ่ทองถักทอเป็นลวดลายแปลกตา ที่บนยอดเสาแต่ละต้นมีดอกไม้เมืองหนาวพันธุ์หายากหลายหลากสี ซึ่งดอกไม้เหล่านี้สามารถเจริญเติบโตได้แม้บนน้ำแข็งหนา กลิ่นของมวลดอกไม้ส่งกลิ่นหอมที่ยิ่งกว่าความหอมใดๆไปทั่วบริเวณปราสาท มีการนำภาพทั้งสีน้ำ สีน้ำมัน ที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของอาณาจักร ศาสนา บรรดาเจ้าชายเจ้าหญิงในราชนิกูล บทกวี ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอาณาจักร ซึ่งวาดโดยช่างฝีมือเอกทั่วอาณาจักรมาตกแต่งบนผนังตามระเบียงเรื่อยจนถึงโถงทางเดิน มีการนำต้นไม้น้ำแข็ง หรือจะเรียกให้ถูกก็คือน้ำแข็งที่แกะสลักเป็นรูปต้นไม้แล้วใช้ผลึกน้ำแข็งมาติดทำเป็นใบ ส่วนดอกก็ทำจากอัญมณีหลากสีทั้งเพชร พลอย และบุษราคัม มาวางไว้ตามจุดต่างๆโดยรอบปราสาท เมื่อแสงแดดส่องกระทบผลึกน้ำแข็งและอัญมณีก็สะท้อนประกายแสงสาดส่องระยิบระยับไปทั่วปราสาททั้งหลัง
ณ ท้องพระโรงที่ตั้งอยู่ใจกลางปราสาทขณะนี้เนืองแน่นไปด้วยบรรดาขุนนาง พ่อค้า และนักบวชชายหญิงกว่าพันคนยืนเรียงแถวตามลำดับยศไปจนสุดฟากผนังทั้งสองด้าน โดยแบ่งออกเป็นสองฝั่งเว้นช่องทางเดินตรงกลางห้องที่ปูด้วยกลีบดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์แล้ววางทับด้วยแผ่นน้ำแข็งบางๆเพื่อไม่ให้กลีบดอกไม้ปลิวออกไป ทั้งยังทำให้กลีบดอกไม้แลดูแวววาวราวกับอัญมณีอีกด้วย บนเพดานมีโคมระย้าที่ทำจากผลึกน้ำแข็งขนาดมหึมาแขวนไว้ ที่ระเบียงชั้นสองเหนือขึ้นไปทั้งสองฝั่งท้องพระโรงมีคณะนักขับเพลงนับพันคนอยู่ในชุดคลุมสีขาวมันวาว สวมทับด้วยเสื้อตัวหลวมสีฟ้าน้ำทะเลสดใสปล่อยชายยาวแค่เอว ทุกคนถือคฑาเล็กๆความยาวประมาณฟุตครึ่งที่ปลายมีดวงไฟเวทย์สีฟ้าเงินลุกโชนอยู่ ทำให้ท้องพระโรงดูสว่างไสวเย็นตา ทั้งหมดกำลังร้องประสานเสียงเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพระราชพิธีสำคัญ เหนือขึ้นไปบนบัลลังก์ทองคำ กษัตริย์เอ็ททิเอ็น (King Etienne) และ ราชินีคอรัลลี่ (Queen Coralie) ประทับอยู่เคียงข้างกันบนบัลลังก์อย่างสง่า หน้าบัลลังก์นั้นมีแท่นทองคำเตี้ยๆที่สลักเป็นลวดลายมังกรยักษ์จอร์มอนกาน์ด พันรอบแท่นนั้นอย่างสวยงามตั้งอยู่ เยื้องไปทางซ้ายของบัลลังก์พระที่นั่ง คาร์ดินัลมาร์สิลิโอ้ (Marsillio, Cardinal of Annedisonge) ยืนอยู่ในชุดคลุมขาวมีเสื้อสีแดงสดเข้มสวมทับอีกชั้นนึง มีหมวกสังฆราชบนศีรษะ ในมือถือคฑาประจำตำแหน่งที่หัวคฑาส่องประกายแวววาว สังฆราชรวมทั้งทุกๆคนในท้องพระโรงต่างหันหน้าไปทางประตูท้องพระโรงบานใหญ่ที่สูงจรดเพดาน
เมื่อกษัตริย์เอ็ททิเอ็นยกมือขึ้นเป็นสัญญาณทหารสี่นายก็เปิดประตูออก ช่องบานประตูที่ค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ เผยให้เห็นเด็กสาวสูงศักดิ์วัยสิบสี่ปีผู้งดงามหมดจดในชุดสีฟ้าครามยาวเปิดไหล่ซึ่งช่วยขับผิวผ่องให้ขาวราวหิมะ บนศีรษะมีหมวกใบเล็กๆสีขาวปักสัญลักษณ์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ ด้านหลังของหมวกมีผ้าสีขาวเนื้อบางเบาปล่อยชายยาวคลุมผมไว้ เด็กสาวค่อยๆเยื้องย่างไปตามทางเดินอย่างแช่มช้อยหากแต่มั่นคง เพลงประสานเสียงจากคณะนักขับเพลงก็ดังก้องยิ่งกว่าเก่า เพิ่มบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระราชพิธีมากขึ้น ทุกๆย่างก้าวที่เธอเดินผ่านไปบรรดาขุนนาง พ่อค้า และนักบวชก็จะย่อตัวคำนับลงอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเดินมายืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พระที่นั่งแล้วจึงคุกเข่าลงบนแท่นที่ถูกจัดเตรียมไว้ กษัตริย์และราชินีต่างยิ้มให้เจ้าหญิงวัยเยาว์อย่างอ่อนโยน อัครสังฆราชมาร์สิลิโอ้จึงก้าวออกมายืนต่อหน้าเจ้าหญิง เสียงขับร้องบัดนี้ได้เงียบเสียงลงแล้ว สังฆราชใหญ่ก็ประกาศเสียงดังก้องว่า
���