Chapter3 The Sun
[/size]
รุ่งเช้าของวันใหม่เมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วจักรวรรดิซาโลม หลายชีวิตเพิ่งจะเริ่มวันใหม่ได้ไม่นานนัก หากแต่ที่ท้องพระโรง ณ ใจกลางปราสาทนั้นกลับคลาคล่ำไปด้วย เหล่าบรรดาแม่ทัพ นายกอง เสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ ซึ่งมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ต่างก็นั่งอยู่บนเบาะทรงกลมใบใหญ่หลากสีที่เรียงรายอยู่สองฝั่งข้างท้องพระโรง ลดหลั่นกันไปตามอันดับยศ เหล่าทหารยามร่างใหญ่กำยำหลายนายถือดาบโค้งเสี้ยวพระจันทร์ยืนประจำตามเสาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางแข็งขัน เสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองดังอื้ออึงไปทั่วท้องพระโรงนั้น ที่ฐานบัลลังก์ทองคำอันประดับด้วยขนทองของกริฟฟิน มีบุรุษสองคนยืนขนาบทั้งด้านซ้ายและขวาอยู่ บุรุษผู้อยู่ทางซ้ายมือนั้นก็คือ บลาส เซจ นั้นเอง
บลาส เซจ นั้นมีใบหน้าที่ยาวแหลม แก้มตอบ จมูกงุ้มงอ ริมฝีปากบางดำคล้ำ ไว้หนวดยาวแหลมที่ใต้คาง รูปร่างผอมสูงชะลูด ผิวขาวซีด คิ้วยาวเหยียดตรงปลายคิ้วชี้สูง หากแต่ดวงตานั้นกลับแหลมคมรีเล็กราวกับพญาเหยี่ยวที่คอยจ้องจับเหยื่อ ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้าทุกครั้งยามเมื่อถูกจ้องมอง อีกทั้งท่วงท่าสีหน้าและการวางตัวนั้นก็สงบนิ่งยากนักที่จะคาดเดาใจได้
ซึ่งต่างกับบุรุษผู้ที่ยืนอยู่ทางเบื้องขวายิ่งนัก บุรุษผู้นี้มีร่างที่กำยำกว่าทหารทั่วไป ผมหยักเป็นลอนสีน้ำตาลเข้มแซมขาว ไว้เคราดกหนา ใบหน้าคมได้รูป หากแต่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฏอยู่ที่หางตาและร่องแก้มทั้งสองข้าง บ่งบอกถึงวัย และประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างโชกโชนในวัยหนุ่ม คิ้วเข้มหนา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมฉายแววแนวแน่มุ่งมั่น จมูกเป็นสันตั้งตรง ริมฝีปากอิ่มหนา แลดูสุขุมเยือกเย็น บุรุษผู้นี้ยืนอย่างสง่าในชุดเสื้อคอปกสีขาวทับด้วยเสื้อแขนกุดสีแดงขลิบทอง กางเกงขายาวปลายพองสีแดง และผ้าคลุมกำมะหยี่เนื้อดีสีแดงเข้ม ยิ่งทำให้บุรุษผู้นี้ดูสุขุม และทรงอำนาจยิ่งขึ้น บุรุษผู้นี้ก็คือ นาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์ผู้เรืองปัญญาแห่งจักรวรรดิซาโลม ผู้เคยรับใช้บิดาแห่ง ซาดิน มาแต่ครั้งก่อนและคอยสอนสั่งในเรื่องต่างๆให้ ซาดินมาตั้งแต่เยาว์วัยนั่นเอง ทั้งยังเคยช่วยชีวิตของ ซาดิน และ เนริมอร์ อีกด้วย ดังนั้นทั้ง ซาดิน และ เนริมอร์ จึงต่างเคารพและให้เกียรติ นาริส สุไลมาน ยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลเรื่องกฎหมายบ้านเมืองให้แก่จักรวรรดิซาโลมได้อย่างมิมีบกพร่องอีกด้วย
หากจะเปรียบไปแล้ว นาริส สุไลมาน ก็มิต่างจากมือขวาของซาดิน ส่วน บลาส เซจ นั้นก็เป็นเสมือนมือซ้าย ซึ่งต่างก็ยิ่งใหญ่มิแพ้กัน ทว่าเป็นที่รู้กันดีว่า นาริส สุไลมาน และ บลาส เซจ มิค่อยจะลงรอยกันเท่าใดนัก บ่อยครั้งมักเกิดเรื่องโต้เถียงกัน เพราะทั้งสองคนนั้นเสมอกันด้วยภูมิปัญญา ความสุขุมลุ่มลึก ความหลักแหลมแห่งปฏิภาณ วัยวุฒิรึก็มิต่างกันมากนัก แม้แต่ ซาดิน เองยังหน่ายใจ และมิอาจเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ เพราะเกรงจะสร้างความบาดหมางแก่อีกฝ่าย จึงจำต้องเป็นคนกลางคอยอะลุ่มอล่วยประนอมความให้แก่บุคคลทั้งสองอยู่เนืองๆ
ขณะที่ทั้งสองต่างก็ยังคงจ้องมองกันและกันด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านออก เสียงประกาศจากทหารก็ดังขึ้น
องค์ซาดิน และพระนางเนริมอร์ เสด็จแล้ว
ทันใดนั้นเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างรีบลุกขึ้นยืนโค้งทำความเคารพ ทั่วท้องพระโรงที่เคยอึกทึก มาบัดนี้กลับเงียบสนิทไร้ซึ่งสำเนียงใดๆ ชั่วอึดใจ ซาดินและ เนริมอร์ ก็เดินเข้ามาภายในท้องพระโรง ซาดิน นั้นค่อยๆย่างก้าวอย่างองอาจไม่ต่างกับราชสีห์ขึ้นสู่แท่นบัลลังก์ทองคำ โดยมี เนริมอร์ เดินตามหลังมาด้วยท่วงท่าราวพญาหงส์ เนริมอร์ เดินไปนั่งยังเบาะสีแดงสดขลิบทองใบใหญ่ที่ถูกจัดไว้ทางซ้ายเยื้องไปทางเบื้องหลังของบัลลังก์ทองคำเล็กน้อย เมื่อทุกฝ่ายต่างนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ซาดิน จึงเอ่ยขึ้นว่า
ท่านทั้งหลายก่อนที่เราจะเริ่มการหารือกันในวันนี้ ข้าอยากจะฟังคำทำนายถึงบุตรชายข้าเสียก่อน แล้วจึงหันหน้าไปทาง บลาส เซจ
บลาส เซจ ค้อมตัวเล็กน้อยอย่างรู้ทันกล่าวว่า นาซาอี เดินทางมาถึงสักพักแล้วฝ่าบาท ว่าแล้วก็ส่งสัญญาณให้กับทหารต้นห้อง