Summoner Master Forum
November 26, 2024, 10:33:25 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยาย Epi9 Chapter 5 @@  (Read 7508 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: February 23, 2009, 06:42:17 PM »

Chapter 5

                 ช่วงเวลาโพล้เพล้ในดินแดนทะเลทราย   ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า   เม็ดทรายเริ่มคลายความร้อนเตรียมรับการมาของดวงจันทร์   ทว่าภายในค่ายของกองทัพแห่งซาโลมกลับว่างเปล่า   แทบไม่มีทหารเหลืออยู่สักนาย   นั่นก็เป็นเพราะว่านายทหารทุกนายต่างก็ตั้งกระบวนทัพอยู่หน้าค่ายพักนั่นเอง   ทุกนายต่างมีอาวุธครบมือ   เตรียมพร้อมรอคำบัญชาจากนายของตน   ที่อีกฟากเหนือกำแพงเมืองหลวง   พลธนูหลายพันนายยืนประจำการซ้อนกันหลายชั้น   ทุกนายต่างก็พร้อมจะดีดสายเอ็นเพื่อห่ำหันเพื่อนร่วมชาติที่อยู่อีกฟาก

                 นาริส สุไลมาน ในชุดเกราะเต็มยศยืนจ้องมองประตูเมืองด้วยใบหน้าเรียบเฉย   เหมือนไม่ได้สนใจปลายธนูแหลมนับพันที่ถูกเล็งมายังตน

                 สักครู่ใหญ่ ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวมากมายหลังบานประตูนั้นก่อนเสียงดาลประตูเหล็กจะถูกชักขึ้น  ประตูใหญ่ค่อย ๆ แง้มออก   เผยให้เห็นกองทัพเพลิงหลายหมื่นนายพร้อมอาวุธครบมือยืนเตรียมพร้อมอยู่หลังบานประตูนั้น   นาริสยังคงจ้องมองดูกองทัพที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน   เพียงครู่เดียวเสียงโห่ร้องของกองทัพก็ดังกระหึ่มขึ้นจนสนั่นกึกก้อง   นาริส สุไลมาน สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวจากฟากซ้ายของกองทัพ   ก็รู้ว่าความต้องการของเขากำลังได้รับการตอบสนองแล้ว   สีหน้าฉายแววพึงพอใจเล็กน้อยก่อนจะถูกกลบเกลือนไปเป็นเรียบเฉยดังเดิม   อุ้งมือที่วางเหนือด้ามดาบกระชับแน่นขึ้น   มหาอำมาตย์พยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านในใจจนเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก   ทันทีที่มาสติคอร์หุ้มเกราะสองตัวกระโจนพ้นขอบประตู   เสียงไชโยโห่ร้องของบรรดาทหารซาโลมที่อยู่ภายในเมืองก็ดังสนั่น

                 “ขอจงทรงพระเจริญ! ขอจงทรงพระเจริญ!”

                 นาริส สุไลมาน หรี่ตาแคบสูดหายใจเข้าลึกจนเต็มปอดหมายจะให้อากาศช่วยดันความโกรธแค้นของตนลงไป

                 เพียงอึดใจเดียวราชรถสีแดงเพลิงขลิบทองดูอร่ามตาก็เคลื่อนผ่านบานประตูใหญ่   โดยมีบุรุษกำยำในชุดเกราะสีแดงยืนอยู่บนราชรถ   มหาอำมาตย์ทั้งผิดหวังทั้งโกรธแค้นที่เบลซ เซจ คิดจะปั่นหัวเขาเล่น   ถ้าไม่ใช่เบลซ เซจ ใครมาก็ไม่มีความหมาย   มหาอำมาตย์สะบัดตัวกลับหลังและก้าวกลับค่ายทันที   โดยไม่สนใจว่าราชรถนั้นยังคงเคลื่อนตรงออกมาจากประตูเมือง

                 “จะรีบไปไหนล่ะ ท่านนาริส?” เสียงตะโกนอย่างยียวนดังขึ้นทางเบื้องหลัง เสียงที่ชวนโมโหแต่ก็คุ้นหูอย่างประหลาด   นาริสหันกลับไปมองด้วยสายตาแข็งกร้าว   บัดนี้ราชรถเคลื่อนออกมาอยู่กึ่งกลางระหว่างกองทัพของนาริสและกองทัพซาโลมแล้ว

                 “จุ๊!จุ๊!จุ๊! จ้องมองด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน คิดจะเป็นศัตรูกับเจ้านายใหม่ของเจ้าอย่างนั้นรึ?”

                 “นี่เจ้าสาม...” นาริสพูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องชะงักค้างนัยน์ตาเบิกกว้างราวกับเห็นผี   ด้วยแทบจะไม่เชื่อสายตาเมื่อใบหน้าของชายที่อยู่บนรถนั้นคุ้นหน้าเหลือเกิน   มันเป็นใบหน้าของ เบลซ เซจ เมื่อสมัยสิบปีก่อน หรือยาวไกลยิ่งกว่านั้น อาจจะยี่สิบปีก่อนก็ได้ เพราะริ้วรอยเหี่ยวย่นแทบจะไม่มีปรากฏให้เห็น

                 “นี่มันอะไรกัน? เจ้าคือเบลซ เซจ อย่างนั้นหรือ?”

                 “ฮี่!ฮี่!ฮี่! ชอบสิ่งที่เจ้าเห็นไหมล่ะ?” กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงหัวเราะเสียงแหลม

                 “ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าใช้วิชาวิปริตอะไร ถึงทำให้ดูเยาว์วัยลงเช่นนี้   ข้าสนใจแต่เพียงว่า   เจ้าถือสิทธิ์อะไรแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ก่อการปฎิวัติ ลอบสังหารพระราชินี   ซ้ำยังสังหารขุนนางและประชาชนมากมายนับไม่ถ้วน   เสียแรงที่องค์ซาดินโปรดปรานชุบเลี้ยงเจ้าไว้ข้างกาย   แต่เจ้ากลับไม่ทิ้งสันดานงูร้ายที่เลี้ยงไม่เชื่อง   แว้งกัดผู้ที่มีบุญคุณกับเจ้า ...”

                 “หุบปาก! หากเจ้าพูดด่าทอข้าอีกคำเดียว ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นกบฏ” กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงกริ้วโกรธเป็นกำลังเพราะนอกจากนาริสจะไม่มีทีท่าศิโรราบให้กับพระองค์แล้ว   ยังประณามพระองค์อีกด้วย

                 “แล้วเจ้าทำอะไรกับพระโอรส พระองค์อยู่ที่ไหน?!” นาริสถามด้วยน้ำเสียงเครียดขึงแข็งกร้าว

                 พระพักตร์ของกษัตริย์เบลซ เซจ กระตุกขึงเหมือนทรงได้ฟังเรื่องขัดพระทัย   แต่ก็เพียงชั่วแวบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นพระพักตร์ยิ้มเยาะ   แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของมหาอำมาตย์ไปได้   อารมณ์ที่ปรากฏเพียงชั่วแวบเดียวนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน   มหาอำมาตย์ ขมวดคิ้วหรี่ตาแคบ   หรือเบลซ เซจ จอมเจ้าเลห์จะปิดบังเรื่องบางอย่างไว้อีก

                 “ว่าอย่างไร?! เจ้าเอาพระโอรสไปซ่อนไว้ที่ไหน?” นาริส สุไลมาน ถามเสียงกร้าว

                 “เจ้าพูดอะไรของเจ้า!   พระโอรสทรงสิ้นพระชนม์พร้อมกับพระมารดาในกองเพลิงแล้ว   ข้าพยายามช่วยพระองค์สุดความสามารถ   แต่ก็ไม่อาจช่วยได้ทันการณ์   หลังเหตุการณ์นั้น ข้าก็ไม่อาจทิ้งจักรวรรดิซาโลมให้ร้างผู้นำได้   ในเมื่อ...กษัตริยซาดินทรงแต่งตั้งข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ...”

                 “ข้าไม่เห็นว่ามีผู้สำเร็จราชการที่นี่สักคน” นาริส ตอบเสียงแข็งด้วยใบหน้าแทบจะเหลืออด

                 “ก็ในเมื่อพระโอรสไม่อยู่ที่นี่แล้ว   ข้าก็มีสิทธิโดยชอบธรรมในการเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมขึ้นครองราชย์แทน”

                 “เลยอุปโหลกตัวเองเสียเลยอย่างงั้นล่ะสิ” นาริสกล่าวเสียดสี และเย้ยหยันอย่างรังเกียจ “แหม...ช่างพอเหมาะพอเจาะไปเสียหมด   เหมือนว่าเป็นไปตามแผนชั่วของคนชั่ว ๆ ที่ชอบทำกัน”

                 “เหลวไหล!” กษัตริย์มารตรัสเสียงสั่นด้วยเริ่มเก็บความกริ้วไว้ไม่อยู่ “พระนางเนริมอร์ ทรงปลงพระชนม์พระองค์เอง   เพราะทรงเสียพระทัยที่เห็นพระศพพระสวามีจนคลุ้มคลั่ง และเผาทำลายปราสาทไปพร้อม ๆ กับพระนางเองต่างหาก ใคร ๆ ก็รู้” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสโต้

                 “นั่นเป็นเพราะเจ้าทำให้เข้าใจเช่นนั้น   อย่านึกว่าข้าจะหลงกลลูกไม้ต่ำ ๆ ของเจ้าอีก” นาริส สุไลมาน กล่าวอย่างดุเดือด
« Last Edit: February 23, 2009, 06:44:36 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: February 23, 2009, 06:43:49 PM »

                    “นาริส สุไลมาน   ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย   หยุดวาจาสามหาวของเจ้าเสีย   ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน   อย่าลืมนะว่า   เวลานี้ทั้งทรัพย์สมบัติและยศฐานบรรดาศักดิ์ของเจ้าอยู่ในกำมือของข้า   ถ้าเจ้าทำตัวดี ๆ ยอมคุกเข่าขอร้องข้า   ข้าอาจจะเมตตาคืนตำแหน่งและทรัพย์สมบัติให้เจ้าก็ได้   ว่ายังไงล่ะ?” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสด้วยความปรีดิ์เปรม   พระองค์รู้ว่ามันเป็นข้อต่อรองที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้   พระองค์ทรงแสยะพระโอษฐ์เผยรอยยิ้มที่ชวนขนลุก   พระองค์รอเวลานี้มานานเหลือเกิน   เวลาที่คู่อริของพระองค์อย่างนาริสจะยอมศิโรราบแก่พระองค์
                    นาริส สุไลมาน ยืนมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยามดูแคลน ก่อนถ่มน้ำลายลงพื้นดิน
                    “คุกเข่าขอร้องเจ้ารึ? ต่อให้ข้าหลงอยู่กลางทะเลทรายแล้วเจ้าเป็นมนุษย์คนเดียวที่มีน้ำ   ข้า นาริส สุไลมานคนนี้ก็จะไม่คลานไปขอเจ้า!!”
                    กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงได้ยินดังนั้นก็กริ้วโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งองค์   รู้สึกขัดพระทัยเป็นที่สุดที่นาริส สุไลมานไม่ยอมก้มศีรษะให้
                    “โอหัง! ข้าอุตส่าห์ให้โอกาสเจ้าแต่เจ้ากลับยโสโอหังนัก   ดีล่ะ! ข้าขอประกาศว่า” กษัตริย์เบลซ เซจทรงตะเบ็งสุดเสียง “มหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน ตั้งตัวเป็นกบฏต่อจักรวรรดิซาโลม ต้องได้รับโทษ   ให้ปลดจากตำแหน่ง ถอดยศทั้งหมด และยึดทรัพย์สินของมันทั้งหมดเข้าท้องพระคลัง   และนับแต่บัดนี้   ให้ถือว่ามันผู้นี้เป็นภัยต่อแผ่นดิน เจอเมื่อไหร่ให้ฆ่าได้ทันที   ใครที่กุดหัวมันได้   ข้าจะให้รางวัลเป็นทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของมัน และเลื่อนขั้นให้สามขั้น”
                    กษัตริย์เบลซ เซจทรงแหงนพระพักตร์หัวเราะร่า แต่เสียงที่ออกมากลับฟังดูคล้ายกับว่ามีเสียงหัวเราะแหบแหลมดังซ้อนกับเสียงของพระองค์แต่ก็เพียงชั่วขณะเดียว   อำมาตย์เฒ่าขมวดคิ้วเมื่อเหมือนจะเห็นดวงตาแข็งกร้าวอีกคู่ปรากฏซ้อนอยู่บริเวณลำคอของเบลซ เซจ   คล้ายกับมีอีกใบหน้าซ้อนอยู่กับใบหน้าของเบลซ เซจ   ซึ่งไม่ได้แหงนเงยไปตามเจ้าของร่าง   แต่กลับจ้องเขม็งมองตรงมาที่เขา   ภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป ทำให้อำมาตย์เฒ่าถึงกับเสียวสันหลังวูบ
                    สิ้นสุดคำประกาศของกษัตริย์เบลซ เซจ บรรดาทหารแห่งซาโลมก็กู่ร้องจากในเมืองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว   กษัตริย์เบลซ เซจทรงแสยะยิ้มก้มลงมองคู่อริที่พระองค์แสนชิงชัง พลางทรงยักไหล่   ตรัสเสียงเบาแค่ให้พอได้ยิน “เจ้าเลือกเองนะ”
                    “ฆ่ามัน!!!” เสียงโห่ร้องดังมาจากเบื้องหลัง พร้อม ๆ กับลูกธนูนับพันดอกพุ่งแหวกอากาศเหนือบุคคลทั้งสอง
   กษัตริย์เบลซ เซจทรงหัวเราะชอบพระทัย พร้อมกับขับรถรบของพระองค์ สวนทางกับกองทัพเพลิงที่ไหลทะลักออกมาจากประตูเมืองราวกับกองทัพมดที่แห่กันออกจากรัง

                    “ปกป้องท่านมหาอำมาตย์!!” เสียงเหล่าทหารที่ยังจงรักภักดีต่างก็กรูกันเข้าประจัญบานกับกองทัพเพลิงของกษัตริย์เบลซ เซจ จนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว   ต่างก็ห่ำหั่นกันอย่างไม่เสียดายชีวิต   ฝ่ายทหารของกษัตริย์เบลซ เซจนั้น   มิได้ต่อสู้เพราะความจงรักภักดี   แต่ต่างก็อยากจะได้สมบัติและตำแหน่งยศ   ในขณะที่ฝ่ายนาริส สุไลมานนั้นจะมีความจงรักภักดีมากกว่า   เพราะความที่นาริสปกครองกองทัพอย่างดี   ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบรรดาทหารเพราะเคยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายมาก่อน   จึงค่อนข้างติดการใช้ชีวิตเยี่ยงชนเผ่าทะเลทราย   ทำให้เข้าใจความต้องการของบรรดาทหารและสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง   ทำให้บรรดาทหารอดให้ความเคารพนับถือมหาอำมาตย์ไม่ได้   ดังนั้นบรรดาทหารจึงทุ่มกำลังปกป้องนาริส สุไลมาน อย่างเต็มกำลัง
                    ฝ่ายนาริส สุไลมาน เองก็ดึงดาบออกจากฟักอย่างไม่หวั่นไหว กวัดแกว่งดาบด้วยความว่องไวแม้จะอยู่ในวัยที่ผมกลายเป็นสีเทาแล้ว   ความคล่องตัวในการออกดาบแต่ละครั้งก็ทำให้นายทหารรุ่นเยาว์ไม่อาจประมาทฝีมือได้
                    แต่เพราะจำนวนทหารที่ต่างกันมาก   ทำให้กองทัพฝ่ายนาริสตกเป็นรอง ทหารเริ่มล้มตายกันมากขึ้นและถูกผลักดันให้ถอยร่นไปทางค่ายพักมากขึ้นเรื่อย ๆ
                    ระหว่างที่กำลังต่อสู้กันอย่างชุลมุนนั้นเอง   มหาอำมาตย์นาริส ก็พลาดท่า ถูกคมหอกแทงทะลุขาซ้ายจนเสียหลัก   อำมาตย์เฒ่าทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด   หากเขาหนุ่มกว่านี้บาดแผลแค่นี้คงยังไม่ทำให้เขาเสียจังหวะ   ทันทีที่มหาอำมาตย์ทรุดกายลง   บรรดาทหารซาโลมที่คอยโอกาสอยู่แล้วก็รีบพุ่งตัวเข้าจู่โจม   นาริสต้องกัดฟันกวัดแกว่งดาบสุดกำลัง   บรรดาทหารคนสนิทต่างก็รีบเข้าช่วยเหลือ   ทำให้การสู้รบทั่วบริเวณนั้นดุเดือดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
                    นายทหารคนสนิทรีบพยุงนายของตนขึ้น พลางมองไปรอบ ๆ   สถานการณ์ของกองทัพฝ่ายนาริสนั้น เรียกได้ว่าเกือบถึงขั้นวิกฤตแล้ว   เพราะจำนวนพลที่ต่างกันมากนี้เอง   แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์เข้าข้างพวกเขาเมื่อมีกำแพงสีน้ำตาลสูงเสียดฟ้าตระหง่านอยู่ทางด้านทิศตะวันออก
                    “ท่านนาริส หนีไปก่อนเถิดขอรับ”
                    “เจ้าพูดอะไรของเจ้า!?” นาริส ขมวดคิ้วไม่ชอบใจในสิ่งที่ได้ยินแม้แต่น้อย
                    “ชีวิตของท่านสำคัญกว่านะขอรับ   หากท่านหนีรอดไปได้   เราก็ยังมีโอกาสรวบรวมกำลังกลับมาปราบทรราชได้อีก   แต่ถ้าท่านมาตายเสียแต่ตอนนี้   สิ่งที่พวกเราตั้งใจจะสูญเปล่านะขอรับ” นายทหารอีกนายเสริมขึ้น

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: February 23, 2009, 06:45:51 PM »

                   นาริสกัดฟันกรอดกวาดตาไปรอบ ๆ สนามรบเพื่อประเมินสถานการณ์   ซึ่งก็มิอาจโต้แย้งในเหตุผลของนายทหารคนสนิทได้   เขายังมีความหวังอย่างริบหรี่ว่า พระโอรสอิสฮานอาจจะยังมีชีวิตอยู่   เพราะจากที่สายรายงานเรื่องกองกำลังลับที่ถูกส่งออกไปติดตามหาใครบางคนโดยคำสั่งลับของเบลซ เซจ   ทั้งพิรุธที่เบลซ เซจเผยออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว   หากเขามาตายเสียที่นี่   เขาจะไม่มีวันรู้ความจริงที่เกิดขึ้นและอาจไม่มีโอกาสได้ช่วยพระโอรสให้ปลอดภัย
                   “ท่านนาริส พายุทรายกำลังก่อตัวขึ้นที่ด้านโน้น   อาศัยจังหวะนั้นหลบหนีออกไปจากที่นี่   ข้าจะเร่งสั่งทหารให้เตรียมเสบียงและทหารติดตามไปกับท่านบางส่วน”
                   “แล้วพวกเจ้าล่ะ”
                   “พวกข้าจะสู้ทวงเวลาไว้ให้มากที่สุด   หากพวกข้าไม่ตาย   ภายในห้าวันจะตามไปสมทบกับพวกท่านที่โอเอซิสทางเหนือ”
                   นาริสรู้สึกพูดอะไรไม่ออก   จึงได้แต่กระชับมือกับบรรดานายทหารผู้จงรักภักดี “ข้าหวังว่าจะได้เห็นพวกเจ้าทุกคนในอีกห้าวันข้างหน้า”
                   บรรดานายทหารต่างก็เงียบไม่ตอบอะไร   พวกเขาไม่รู้ว่าชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไร   แต่มันดูริบหรี่เหลือเกิน   นายทหารที่มียศสูงสุดในกลุ่มผละออกไปแล้วรีบส่งสัญญาณทันที

                   ท่ามกลางลมพายุที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ทุกขณะ   เสียงบรรดาสัตว์ประหลาดและสัตว์ป่าต่างก็กู่ร้องกันระงมด้วยสัญชาตญาณว่า   หากประมาทพายุทะเลทรายและไม่รีบหาที่กำบัง   ก็อาจจะต้องตายในพายุนี้   ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสกลับกลายเป็นดำทะมึน   เสียงคำรามเลื่อนลั่นของพายุ และเม็ดทรายที่เสียดสีกันเริ่มดังจนกลบเสียงกระทบกันของศาสตราวุธ   ทหารบางนายเริ่มถอยกลับเข้าประตูเมืองเพราะไม่อาจสู้แรงพายุได้   บางนายก็ลงจากหลังนกโมฮาแล้วสั่งนกนั่งลงเพื่อใช้นกเป็นที่กำบัง   เม็ดทรายหนักหลายล้านตันหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ และเริ่มคลืบคลานกลืนกินสนามรบที่กำลังนองเลือดกันอย่างดุเดือด   เสียงต่อสู้ก็ค่อย ๆ เงียบหายไป กลายเป็นเสียงตะโกนโหวกเหวก เพื่อเอาชีวิตรอดดังแข่งกับเสียงคำรามของพายุ
                   ที่อีกฟากของพายุทราย   กลุ่มทหารกว่าร้อยนายควบนกโมฮาวิ่งสุดฝีเท้าฝ่าพายุทะเลทรายมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายทางเหนือ   ทุกคนต่างคลุมผ้าจนมิดชิดทั้งตัว เหลือเพียงช่องตาเล็กแคบไว้ดูทางเท่านั้น   ผู้นำกลุ่มชะลอฝีเท้านกโมฮาครู่หนึ่งเพื่อมองกลุ่มทรายทะมึนเบื้องหลัง   ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลามองจ้องกำแพงหนาทึมของเม็ดทรายที่บัดนี้ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกแล้ว   เขามองเข้าไปในพายุทรายนั้นราวกับจะทะลุไปอีกฟากหนึ่งของพายุทรายได้   สายตาหรี่แคบแฝงแววอาลัยอาวรณ์อยู่เพียงครู่คล้ายกับจะทำสัญญาบางอย่างกับตนเองก่อนจะตวัดบังเหี้ยนและควบนกโมฮาขึ้นเหนือโดยไม่เหลียวกลับมามองอีก

                                                         ****

                   ที่พรมแดนติดต่อระหว่างจัดรวรคิซาโลมและอาณาจักรฟีเลเซีย   ภายในกระโจมแม่ทัพราโชยู   แสงสว่างที่เกิดจากเปลวไฟให้ความอบอุ่นนั้นลุกโชติช่วง   แม่ทัพราโชยูอยุ่ในชุดเสื้อตัวยาวสวบสบาย   เขานั่งเอนหลังผิงเบาะนุ่มขนาดใหญ่   แขนซ้ายเท้าอยุ่กับโต๊ะตัวเล็กที่ถูกดัดแปลงมาเป็นที่เท้าแขนสำหรับชาวร่างใหญ่เช่นเขา   มือซ้ายกำอย่างหลวม ๆ รองรับศีรษะที่เอียงอิงอยู่   ในมือขวาที่ด้านหนาจากการจับอาวุธมาตลอดชีวิตกำถ้วยสุราที่ทำด้วยเงินอย่างที่ทหารในกองทัพใช้กัน   ดวงตาของเขาแข็งกร้าวขณะที่กำลังฟังสิ่งที่สายลับของตนกระซิบอยู่ที่ข้างหู   ใบหน้าของเขาดุดันขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับการเพิ่มแรงบีบที่มือขวาจนถ้วยเงินนั้นบุบยู่เข้าด้วยกันอย่างแรง   จนแม้แต่สายลับในชุดดำยังต้องชะงักคำพูดด้วยความตกใจ   ก่อนจะรีบถ่ายทอดข่าวสารของตนจนเสร็จเรียบร้อย   แล้วรีบพาตัวเองออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วและเงียบกริบเหมือนกับตอนที่เข้ามา
                   เมื่อเหลือเพียงลำพังคนเดียวในกระโจม   ความเงียบก็เข้าครอบครองภายในห้องจนเต็ม   แม้แต่เสียงระเบิดของเชื้อเพลิงที่ปะทุอยู่ในกองไฟก็ยังดังจนเหมือนปะทุอยู่ที่ข้างหู   ราโชยูก้มลงมองด้วยเงินในมือ   ซึ่งบัดนี้บิดเบี้ยวผิดรูปเกินกว่าจะใช้งานได้อีก   เขาโยนมันทิ้งลงไปที่พื้นอย่างไม่ใส่ใจนักพลางลุกขึ้นตรงไปยังปากทางเข้า   เขาหยุดยืนนิ่งหน้ากระโจมอยู่นาน   นานจนอาจเป็นชั่วโมง   เขารู้ดีว่า   เมื่อเขาก้าวออกไปจากกระโจมเมื่อไหร่   ชีวิตของเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิม   และจะไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้อีกแล้ว   มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเครียดเกร็ง   และลแวในวินาทีนั้น   จอมทัพทมิฬก็ตวัดแขนกระชากผ้าบังประตูอย่างแรงพลางเหวี่ยงทิ้งไปเบื้องหลัง   จอมทัพทมิฬมองตรงไปยังทางที่เปิดโล่งเบื้องหน้าและก้าวเท้าผ่านช่องประตูไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: February 23, 2009, 06:48:11 PM »

                   “บัดซบ! หมายความว่าอย่างไร? ไม่พบศพนาริส” กษัตริย์ เบลซ เซจ ทรงตะเบ็งเสียงอย่างเกรี้ยวกราด
                   “ฝ่าบาท   ศพส่วนใหญ่ถูกพายุทะเลทรายฝังจนมิดและลึกพอสมควร   มันเป้นการยากที่จะบอกได้ว่า ศพท่านมหาอำมาตย์...” แม่ทัพสะดุ้งเมื่อเผลอพูดยศตำแหน่งของนาริส สุไลมานออกไป
                   กษัตริย์ เบลซ เซจ หรี่ตาแคบพลางยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ แสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “ท่าทาง... เจ้าจะมีใจฝักใฝ่พวกกบฏ”
                   “มิได้พ่ะย่ะค่ะ!   มิใช่เช่นนั้น   ฝ่าบาท! กระหม่อมเพียงเผลอเรอเรียกด้วยความเคยชิน   กระหม่อมมิได้มีเจตนา” แม่ทัพทูลด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กและตื่นตระหนก   ทว่าดูเหมือนกษัตริย์ เบลซ เซจ จะยิ่งโปรดปรานกับสิ่งที่ทรงเห็นยิ่งขึ้น
                   “ฮี่ ฮี่ ฮี่   ข้าเข้าใจ... ข้าเข้าใจ” กษัตริย์ เบลซ เซจ ทรงตรัสลากเสียงยาว “เจ้าแค่เผลอเรอ   เอาเถอะ...ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน” กษัตริย์ เบลซ เซจ ทรงพยักพระพักตร์หงึก ๆ ทำให้แม่ทัพค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้
                   “ขอบพระทัยฝ่าบาท” แม่ทัพยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
                   “ข้าจะตบรางวัลให้เจ้า” กษัตริย์ เบลซ เซจ ตรัสอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาแม่ทัพถึงกับยิ้มเก้อ   ริมฝีปากเริ่มสั่นอย่างช่วยไม่ได้
                   “ราง... รางวัลหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
                   “เพื่อช่วยไม่ให้เจ้าเผลอเรออีก ฮี่ ฮี่ ฮี่...  ทหาร! เอาตัวแม่ทัพไปตัดลิ้น!!”
                   “ฝ่า... ฝ่าบาท   ไม่นะ อย่ามาจับข้า” แม่ทัพถูกเคราะห์ร้ายพยายามปัดป้องมือของทหารยามที่ยื่นเข้ามา “ฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาท!” แม่ทัพร้องตะโกนอย่างสิ้นหวังและหวาดกลัวขณะที่นายทหารสี่นายลากตัวแม่ทัพออกไป
                   กษัตริย์ เบลซ เซจ ทรงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบพระทัย   ทรงชี้ไปที่รองแม่ทัพที่นั่งในลำดับถัดมา “เจ้า!”
                   รองแม่ทัพถึงกลับสะดุ้งถลาออกมาคุกเข่าเบื้องหน้ากษัตริย์ เบลซ เซจ
                   “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
                   “ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพแทนเจ้านั้น”
                   “อ่ะ...เออ...กระ..กระหม่อม..”
                   “เจ้าว่าอะไรนะ... ข้าไม่ได้ยิน”
                   “พ่ะ..พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาท” แม่ทัพคนใหม่ไม่รู้ว่า ตนโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่ที่ถูกเลื่อนตำแหน่งกะทันหันเช่นนี้   แต่คงกระเดียดไปทางร้ายมากกว่า
                   “และภารกิจอรกสำหรับแม่ทัพใหม่อย่างเจ้า... คือการกู้ซากศพใต้พื้นทรายนั่นขึ้นมาให้หมด   ข้าให้เวลาเจ้าสามวันในการกู้ซากศพใต้ทะเลทรายนั้นขึ้นมาให้หมด   และนำศพของนาริส สุไลมานมาให้ข้า   แล้วข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างงาม   แต่ถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จ... ในวันที่สี่   จะมีร่างไร้วิญญาณของเจ้าฝั่งอยู่ในทรายแทน... ในขณะที่หัวของเจ้าจะอยู่ที่ยอดกำแพงเมือง” กษัตริย์ เบลซ เซจ ตรัสจบก็ทรงหัวเราะจนสุดเสียง   ฝ่ายแม่ทัพคนใหม่ก็ได้แต่หน้าซีดปากสั่น แข้งขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง   ในขณะที่ขุนนางคนอื่น ๆ ต้องตัวสั่นและเสียวสันหลังวาบเพราะไม่รู้ว่าเทพเจ้าแห่งความตายจะชี้ปลายหอกมาที่ตนเมื่อไหร่?

                                                                               ***

                   ภายในคืนอันหนาวเหน็บ   กษัตริย์ เบลซ เซจ ยังคงไม่บรรทม   พระองค์ทรงดำเนินไปรอบ ๆ ห้องกลับไปกลับมา   พร้อมกับตรัสโต้ตอบกับตัวพระองค์เองอย่างดุเดือด   เดี๋ยวก็เบาเหมือนเสียงกระซิบเดี๋ยวก็ดังจนน่ากลัว   ตี่น่ากลัวยิ่งกว่าคือพระพักตร์ของพระองค์ที่บิดเบี้ยวถตัวเองทึง   ทว่าอีกข้างหนึ่งกลับแสยะยิ้มเหมือนคนวิกลจริต
                   “ทำไม... ทำไมนะ   เรื่องมันถึงได้วุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น   ทำไมพวกมันถึงชอบขัดความสุขของข้านัก”
                   “มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่แม่ทัพราโชยูจะยกกองทัพของตนเองขึ้นมาลองดีกับเจ้า   ก็มันอิจฉาเจ้าที่ได้ดีจนได้เป็นถึงกษัตริย์แห่งซาโลม   และกำลังจะได้เป็นจอมกษัตริย์แห่งทวีปเมอร์ริเซีย   ในขณะที่มัน...ยังเป็นแค่แม่ทัพดักดานเหมือนเดิม”
                   “หึ หึ หึ จอมกษัตริย์แห่งเมอร์ริเซีย” กษัตริย์ เบลซ เซจ ตรัสทวนอย่างชอบพระทัย  แต่แล้วสีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปเป็นโกรธกริ้ว “บังอาจ! บังอาจนัก   มันคิดจะมาแย่งชิงความฝันของข้า   มันจะต้องตาย...มันจะต้องตาย!   ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมากำแหงกับข้า   แต่ว่า...มันยกทัพมาถึงห้าหมื่น   ซ้ำมันยังเป็นถึงจอมทัพคู่กายของซาดิน   ฝีมือการรบของมัน   พวกแม่ทัพงี่เง่าที่เรามีอยู่ที่นี่จะสู้มันได้รึ?   ต้องทำยังไงดี   เราต้องทำยังไงดี!!” กษัตริย์ เบลซ เซจ ตรัสอย่างลนลาน
                   “เจ้าก็นำทัพเองเลยซี่” อีกเสียงพูดผ่านพระโอษฐ์ของพระองค์ “ถ้าเจ้านำทัพเอง   แล้วเจ้าสามารถเด็ดหัวราโชยูได้ละก็...   ที่นี้แหละ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จะไม่กล้ากำแหงกับเจ้าอีก   เพราะทั้งนาริส สุไลมาน และ ราโชยูก็ยังสยบอยู่แทบเท้าเจ้า”
                   “ฮี่ ฮี่ ฮี่” กษัตริย์ เบลซ เซจ ทรงแสยะยิ้ม  ทว่าก็เงียบเสียงลงแทบจะทันที   เมื่อเหมือนทรงคิดอะไรได้ “ไม่ ไม่... เป็นไปไม่ได้   ข้าจะนำทัพได้อย่างไร?   ข้าจะสู้กำลังของราโชยูได้อย่างไร? ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”
                   “เจ้าน่ะสิที่เสียสติ   ลืมไปแล้วรึว่า...ใครอยู่ในตัวเจ้า   ลำพังแค่กำลังของมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง   มีรึจะสู้เจ้าที่มีข้าอยู่ในร่างด้วยได้”
                   “หมายความว่า... ท่านจะช่วยข้ากำจัดเจ้าราโชยูใช่ไหม?   หึ หึ หึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะของปีศาจดังแทรกออกมาจากพระโอษฐ์จนดังลันห้อง “มาเลยเจ้ายักษ์โง่   ข้าไม่กลัวเจ้าอีกแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
                   “ยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์กว่ากองทัพของมันจะเคลื่อนมาถึง   ข้าจะสอนเจ้าเองว่า   เวลานี้เจ้าสามารถทำอะไรได้...ด้วยร่างกายใหม่ของเจ้า ฮี่ ฮี่ ฮี่”
                   “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

   
                                                                           *****

Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: February 23, 2009, 06:52:02 PM »

                   แม่ทัพราโชยูเร่งสั่งการกองทัพในสังกัดของตนกว่าห้าหมื่นนาย ทั้งพลธนู ทัพนกโมฮา ทัพสัตว์ประหลาด ทัพสัตว์ป่า และ ทัพมนุษย์ เคลื่อนพลแทบจะทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อให้มาถึงจักรวรรดิ์ซาโลมโดยเร็ว   ข่าวยึดอำนาจโดยไม่ชอบธรรมของ เบลซ เซจ การหายไปอย่างลึกลับของพระโอรส และการที่นาริสถูกประกาศว่าก่อการกบฎทำให้เขาไม่อาจอยู่เฉยได้   แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สร้างความวิตกกังวลในสถานภาพของเขา   ก็คงเป็นการที่เบลซ เซจ คิดจะเขี่ยเขาทิ้งนั่นเอง   นับตั้งแต่ เบลซ เซจ นำบุคคลลึกลับห้าคนเข้ามาจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ภายในกองทัพ   ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อย ๆ ถูกบุคคลลึกลับทั้งห้าเข้าควบคุมทีละเล็กทีละน้อย   เพียงแค่ไม่กี่เดือนขั้วอำนาจเก่าของกษัตริย์ซาดินก็ถูกกำจัดจนแทบจะหมดสิ้น   เช่นนี้แล้วมีหรือที่เบลซ เซจจะไม่คิดกำจัดเขาด้วยอีกคน
                   แค่สองเดือนกองทัพของเขาก็เคลื่อนพลผ่านประตูใหญ่ทางทิศใต้   ประตูสัญลักษณ์ที่ตั้งตระหง่านก่อนถึงเขตจักรวรรดิ์ซาโลม   แม่ทัพทมิฬราโชยูบนรถศึกส่งสัญญาณให้กองทัพหยุด   ก่อนจะยืนมองเมืองที่อยู่ไกลออกเบื้องหน้าต้น   ภาพเมืองสีแดงเพลิงกลางทะเลทรายดูอึมครึมเหมือนมีเงาทะมึนปกคลุมอยู่   แม่ทัพราโชยูหรี่ตามองด้วยความสงสัยและประหลาดใจ   อาณาจักรดูแปลกตาไปมากจากที่เขาจำได้
                   “ท่านแม่ทัพ?” รองแม่ทัพเอ่ยถามเมื่อเห็นว่า แม่ทัพราโชยูหยุดยืนอยู่หน้าประตูเป็นเวลานาน
                   “วันนี้เราจะตั้งค่ายกันที่นี่   ให้ทหารพักผ่อนให้เต็มที่   พรุ่งนี้เราจะกรีฑาทัพเข้าประชิดเมือง!”


                   เช้าตรู่ของวันใหม่   ทันทีที่แสงมองของดวงอาทิตย์จุดสว่างที่ยอดเนินทราย   เสียงระรัวกลองและเสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังกระหึ่มก้อง   กองทัพกำลังพลห้าหมื่นของแม่ทัพราโชยูก็ยาตราเข้าประชิดกำแพงเมืองด้านทิศใต้ของซาโลม   เสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิ่มของบรรดาทหารดังสนั่น   ในขณะเดียวกัน เสียงโห่ร้องจากบรรดาทหารในเมืองก็ดังไม่หยุดเช่นกัน
                   แม่ทัพร่างยักษ์บนรถศึกมองสำรวจกำลังพลตามยอดกำแพงเมือง   แล้วสายตาจึงไปสะดุดเข้ากับซากกระโหลกของใครคนหนึ่งที่ถูกเสียบประจานบนยอดประตูเมือง    ดูจากสภาพกระโหลกและเนื้อหนังที่ยังติดอยู่   คงจะถูกเสียบประจานไว้เมื่อไม่กี่เดือนมานี่เอง   เบลซ เซจคงจงใจจะเสียบประจานไว้หมายจะข่มขวัญเขาและพวกทหาร
                   และแล้ว เสียงแตรเขาสัตว์ทุ้มกังวานก็ดังขึ้นจากหลังกำแพงเมือง   พร้อมกับไชโยโห่ร้องของเหล่าทหาร   ไม่นานนักแม่ทัพทมิฬก็มองเห็นร่างของชายคนหนึ่งในชุดเกราะสีแดงปรากฏขึ้นที่เหนือกำแพงเมือง   ราโชยูรู้สึกสับสน เพราะจากระยะทางที่ห่างกัน   ทำให้เขามองเห็นหน้าชายคนนั้นไม่ถนัด   เขาแน่ใจว่าชายคนนั้นใส่เครื่องทรงของกษัตริย์   ทว่าคนที่น่าจะอยู่ในชุดนั้นควรจะเป็น เบลซ เซจ มิใช่หรือ?   แต่รูปร่างและท่วงท่าการเดินของเขาไม่เหมือน อุปราชเฒ่า เบลซ เซจที่เขารู้จัก   เมื่อไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ต่อไปได้   แม่ทัพร่างยักษ์จึงให้สัญญาณแก่กองทัพ   เหล่าทหารจึงเงียบเสียงลงเพื่อรอฟังคำสั่ง   และแม่ทัพก็ได้เห็นว่าอีกฝ่ายก็ให้สัญญาณแก่คนของตนเช่นกัน   ครั้นเมื่อความเงียบได้เข้าครอบครองบรรยากาศโดยรอบแล้ว   แม่ทัพทมิฬจึงได้ตะโกนถามออกไป
                   “เจ้าเป็นใครกัน?   แล้ว เบลซ เซจ อยู่ที่ไหน?”
                   “ข้า คือ กษัตริย์แห่งซาโลม และ ข้าก็คือ เบลซ เซจยังไงเล่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กษัตริย์ เบลซ เซจทรงหัวเราะชอบพระทัย
                   “โกหก! เจ้าไม่ใช่ เบลซ เซจ   ข้าเห็นหน้าเบลซ เซจมาตั้งหลายปีดีดัก   อย่าคิดว่าจะมาหลอกข้าได้   เบลซ เซจอยู่ที่ไหน?” แม่ทัพทมิฬชักจะรู้สึกขัดใจเมื่อมีคนคิดจะมาลองดีกับเขา
                   “หึ หึ หึ เจ้าโง่   ขนาดเจ้าแก่นาริสยังดูออกว่าเป็นข้า   แต่เจ้ากลับดูไม่ออก   ยกกองทัพของเจ้าขึ้นมาถึงนี่   ริจะมาลองดีกับข้า   นี่รึที่ว่ารู้จักข้ามาหลายปี   ซ้ำยังพูดอย่างภาคภูมิใจเสียด้วย   แหกตาดูดี ๆ สิ   ว่าใช่ เบลซ เซจ ที่เจ้ารู้จักรึเปล่า?” กษัตริย์ เบลซ เซจ ตรัสพลางหัวเราะชอบพระทัย
                   แม่ทัพร่างยักษ์ขมวดคิ้วเข้าหากัน   พลางรับกล้องส่องทางไกลจากรองแม่ทัพขึ้นมาส่องดู   แค่ไม่กี่อึดใจเขาก็ลดมือลงด้วยอาการตกตะลึง   นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?  เขาต้องตาฟาดไปแน่ ๆ   มีคนที่สามารถคืนความเยาว์วัยให้กับตัวเองได้ด้วยหรือ?  นี่มันโอสถหรือเวทมนตร์คาถาใดกัน?   
                   “ดูเหมือนเจ้าจะเริ่มจำได้แล้วสินะ?   เป็นยังไง? ดูดีใช่ไหมล่ะ?” กษัตริย์ เบลซ เซจ  ตรัสอย่างยียวน “แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น   ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งมากกว่าแต่ก่อน   มีอำนาจมากกว่าแค่ก่อน   และมีพลังมากกว่าแต่ก่อน   ดังนั้นแม่ทัพอย่างเจ้าจึงไม่ค่อยจำเป็นสำหรับข้าเท่าไหร่แล้ว   แต่ก็ขอบใจที่อุตส่าห์รีบขึ้นมาให้ข้าจัดการกำจัดเจ้าถึงที่นี่   ไม่ต้องเสียเวลาข้ามากนัก”
                   “ข้าก็คิดอยู่แล้วว่า ขนาดท่านนาริส ยังถูกเจ้ากำจัดให้พ้นทาง   แล้วมีรึที่เจ้าจะไม่คิดกำจัดข้าด้วย”
                   “เจ้าแก่นาริส มันคิดก่อการกบฎ ริจะแข็งข้อกับข้า   ผู้ที่กษัตริย์ซาดินทรงไว้วางพระทัยให้ดูแลจักรวรรดิ์ซาโลมของพระองค์   แต่เจ้านาริสมันกลับอิจฉาข้าที่กษัตริย์ซาดินทรงโปรดปราน   ในขณะที่มันไม่ได้อะไรเลย   ก็เหมือนกับเจ้าในเวลานี้ที่ยกกองทัพมากมายหมายจะก่อการกบฎกับข้า” กษัตริย์ เบลซ เซจ ตรัสด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเหวี่ยงพระหัตถ์ปัดกระโหลกที่ถูกเสียบประจานไว้อย่างแรงจนกระเด็นร่วงจากยอดกำแพงกระแทกพื้นเบื้องล่าง   แรงกระแทกทำให้กระโหลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ “นั่น...เป็นหัวแม่ทัพที่ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ พลาด   แต่สำหรับโทษของกบฎ   มันจะต้องเจ็บปวดและทรมานมากกว่านี้ร้อยเท่า   คงเตรียมใจไว้แล้วสินะ   ว่าโทษที่เจ้าจะได้รับมันจะทรมานขาดไหน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
                   แม่ทัพทมิฬมองเศษซากกระโหลกเบื้องล่างด้วยใบหน้านิ่งเฉย ไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ   ก่อนจะเหลือบขึ้นไปมอง เบลซ เซจ อีกครั้ง พลางตวัดเคียวชี้หน้า ประกาศเสียงดังก้อง “ข้าไม่ได้มาถึงนี่เพื่อที่จะตาย   แต่ถ้าท่านจะทำตามอย่างที่พูดให้ได้   วันนี้ท่านก็ต้องออกแรงมากหน่อยหล่ะ!”
                   สิ้นเสียงแม่ทัพทมิฬ เหล่าทหารของเขาก็โห่ร้องด้วยความฮึกเหิ่มจนเสียงดังสนั่นกึกก้อง   ทุกคนพร้อมจะสู้ตายเคียงบ่าเคียงไหล่กับนายของตนแล้ว

      
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: February 23, 2009, 06:53:34 PM »

มาเม้าที่นี่จ้า


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48791.0
« Last Edit: February 23, 2009, 08:03:21 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.135 seconds with 22 queries.