Summoner Master Forum
November 27, 2024, 12:45:41 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: พี่ปอครับ อยากรู้ประวัติ แล้วก็เรื่องราวของเหตุการณ์ในช่วงเบียดเบียนศาสนาอะครับ  (Read 10400 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
MC ChamP
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1649


« on: October 25, 2003, 10:07:48 AM »

ช่วยส่งมาที่ champkun@graffiti.net ทีนะครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวน หรือจะโพสท์ไว้ที่นี่เลยก็ดีครับ
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #1 on: October 26, 2003, 02:59:09 AM »

สมัยจอมพลป. เป็นยุคที่คนไทยตื่นตัวเรื่องชาตินิยมกันมาก มีกลุ่มหนึ่งคือคณะเลือดไทย มีอุดมการณ์ว่า คนไทยต้องเป็นพุทธเท่านั้น

ซึ่งคณะเลือดไทยนี้มีตั้งแต่ชาวบ้านไปยันนักการเมือง

ในสมัยนั้นจึงมีการเบียดเบียนศาสนาคริสต์อย่างมาก(จริงๆแล้ว อิสลาม และขงจื้อ ก็โดนด้วย แต่คริสต์จะโดนรุนแรงที่สุด เพราะ คณะเลือดไทยมองว่าฝรั่งเศสเป็นคนมาเผยแพร่)

ในรายงานของพระสังฆราชกูแอง ประมุขมิสซังลาว (1925-1945)  ลงวันที่ 29 สิงหาคมค.ศ. 1941 จากหอจดหมายเหตุของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส สรุปสถานการณ์นี้ไว้อย่างละเอียดว่า

"อันดับต่อไป หลังจากการเดินทางออกจากประเทศไทยของพวกเรา การเบียดเบียนศาสนา ก็เริ่มขึ้น คำสั่งที่บอกว่า 'ประชาชนชาวไทยมีเพียงศาสนาเดียวคือศาสนาพุทธ'  กรมการรัก ษาดินแดน ซึ่งประกอบไปด้วยเยาวชนส่วนใหญ่ซึ่งมาจากโรงเรียนธรรมดา และเยาวชนที่มา จากแรงงาน กลุ่มเยาวชนแห่งชาติ          ได้รวมตัวกันเป็นผู้จัดการเรื่องราวต่างๆ  และเป็น เพชฌฆาต เขาก็ปล่อยให้พวกเยาวชนเหล่านี้ดำเนินการไป อันดับต่อไป พวกเขาก็จะจัดการ กับพวกพระสงฆ์ วัด และวัดน้อยต่างๆ"

การเบียดเบียนศาสนาในประเทศ

ในระหว่างปี ค.ศ. 1940-1944



การเบียดเบียนศาสนาเกิดขึ้นจากความรู้สึกเป็นศัตรูต่อฝรั่งเศสและศาสนาที่ถูกถือว่าเป็นศาสนาของฝรั่งเศส ประกอบกับลัทธิชาตินิยมที่เกิดขึ้นในเวลานั้น    ลัทธิชาตินิยมนี้ถือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย คนไทยคือคนพุทธ  แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังเป็นพุทธมามกะด้วย

ในช่วงระยะเวลานี้ มีการออกใบปลิว บทความ และประกาศชักชวนมากมาย เพื่อปลุกเร้าให้รักชาติ และให้รู้แจ้งเห็นจริง เจ้าอาวาสวัดศรีมหาโพธิ์ ตำบลบ้านหลุม จังหวัดสุโขทัย  ได้ตีพิมพ์บทเทศน์ของท่าน เผยแพร่ไปทั่วประเทศในปลายปี ค.ศ. 1939  เพื่อปลุกเร้าให้คนไทยทุกคนช่วยกู้ ช่วยบำรุงประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาของคนไทยให้เจริญก้าวหน้า ดังข้อความต่อไปนี้:


"อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์อำนวยประโยชน์สูงสุดโดยตรงและโดยอ้อม          ก็มีศีลธรรมพุทธศาสนา      พระศรีรัตนไตรเท่านั้น จึงเจริญก้าวหน้ามีตำแหน่งสูง มีรายได้มาก ทำมาหากินเจริญสมบูรณ์ตามๆ กัน"


ในเอกสารนี้เอง ยังได้กล่าวโจมตีศาสนาอื่น โจมตีหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ และให้ ทุกคนถอนตัวออก ก่อนที่จะหลงทาง ดังมีข้อความดังนี้:

"เขาเอาศาสนาพร้อมด้วยเครื่องล่อมาเกลี้ยกล่อมพวกไทยเราจนเป็นเมืองขึ้นเขา  ต้องขนเงินส่งเขา ต้องอยู่ในอำนาจบังคับเขา บางศาสนาก็คุยโม้อวดอ้างว่า  สิ่งในโลก พระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างน้ำให้มนุษย์กิน สร้างดิน ลมไฟ ให้มนุษย์อาศัย และรับบาปของใครๆ หมด  ถ้าชาวไทยคนดีจะช่วยกันคิดและพิจารณาว่า น้ำมีเชื้อโรค มนุษย์กินเป็นอหิวาต์ตาย น้ำมาท่วมของไร่นาฉิบหาย ลมและอื่นๆ พัดบ้านเรือนพังพินาศไป ใครเป็นผู้สร้าง ทำไมไม่สร้างพอดีๆ"

คณะเลือดไทย

คณะเลือดไทยคือกลุ่มคนไทยที่อ้างตัวเองว่าเป็นผู้รักชาติ     ทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายต่างๆ ของ รัฐบาล เพื่อส่งเสริมความเป็นชาตินิยม ดังนั้น สมาชิกของคณะทุกคนจึงถูกปลูกฝังให้มีจิตสำนึกว่า "ศาสนา โรมันคาทอลิก เป็นศาสนาต่างชาติ เป็นศาสนาของศัตรู ผู้ที่นับถือศาสนานี้ก็เป็นศัตรูของชาติไทย"    ฉะนั้น เลือดไทยทุกคนต้องช่วยกันหาทางกำจัดศัตรูของชาติเหล่านี้ให้หมดไป ทั้งทางตรงและทางอ้อม

 คณะเลือดไทยเริ่มก่อตั้งขึ้นที่นครหลวง    และได้แพร่กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น คณะเลือดไทยเชียงใหม่, คณะเลือดไทยสาขาพนัสฯ      และคณะเลือดไทยพระประแดง เป็นต้นคณะเลือด ไทยเหล่านี้ได้ออกใบปลิว บทความ และบัตรสนเท่ห์    เพื่อเชิญชวนให้คนไทยหันมารักชาติและทำการต่อ ต้านศาสนาคาทอลิก

 คณะเลือดไทยมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนไทยในเวลานั้น และบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ที่แสดงว่าเป็นการเบียดเบียนศาสนาคริสต์ ทั้งนี้มาจากความสำนึกของคนไทยโดยทั่วๆ ไปในเวลานั้น  เรา จะแสดงถึงการเบียดเบียนศาสนาพอเป็นตัวอย่างดังนี้

การเบียดเบียนศาสนาจากหลักฐานเอกสาร

การสู้รบระหว่างไทยและฝรั่งเศสเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 หลังจากนี้ไม่นาน นัก พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนรายงานเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนา ถึงพระสังฆราชดราปิเอร์  ผู้แทน พระสันตะปาปาในอินโดจีน ลงวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1940       เพื่อรายงานถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของการ เบียดเบียนศาสนาในเวลานั้นให้ทราบ (รายละเอียดดูได้จาก A.M.E., Bangkok, DI 140-20)

อันที่จริง นับตั้งแต่มีการสู้รบกัน    กรมตำรวจได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการกับคนเชื้อชาติ ฝรั่งเศสที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆ   โดยแบ่งคำสั่งออกเป็น 4 ข้อด้วยกัน เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 คือนับตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศสงครามกัน (สารสาสน์ ฉบับที่ 1 ปีที่ 25, มกราคม ค.ศ. 1941, หน้า 48-49) คณะเลือดไทยมีจุดมุ่งหมายต่อต้านศาสนาคริสต์โดยตรง     อันแสดงถึงการเบียดเบียนศาสนาจาก ส่วนของประชาชนชาวไทย เอกสารของคณะเลือดไทยมีดังนี้

“ที่เกิดของคณะเลือดไทยเราคือ จังหวัดพระนคร    แล้วได้กระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง เช่น “คณะเลือดไทยเชียงใหม่” เชื่อว่าพวกเราทั้งหลายคงได้พบข่าวจากหนังสือพิมพ์บางฉะบับลง ข่าวว่า “คณะเลือดไทยเชียงใหม่”    ได้พร้อมใจกันไม่ยอมทำการติดต่อกับพวกบาดหลวงและ นางชี ตลอดจนพวกที่นิยมลัทธิสาสนาโรมันคาธอลิก มีอาทิเช่น ไม่ยอมขายอาหารให้แก่คนจำ พวกนี้ โดยที่ถือว่าบุคคลจำพวกนี้เป็นสัตรูของชาติไทย  และพร้อมพร้อมกันนี้ กรรมกรรถทุก ชะนิดไม่ยอมให้บุคคลจำพวกที่ได้กล่าวนามมาแล้ว  โดยสารรถยนต์ของตน ถึงแม้ว่าพวกเขา จะได้รับค่าจ้างอย่างแพงแสนแพง เขาก็หาได้พึงปรารถนาไม่ และ “คณะเลือดไทย” ในจังหวัด พระนครซึ่งเป็นที่มาแห่งคณะเลือดไทย    ก็ไม่ยอมทำการซื้อสิ่งของที่เป็นของชนชาติสัตรูกับ เรา และพวกที่นิยมลัทธิของสัตรูเป็นอันขาด

นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพวกเราชาวไทย “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” รู้สึกปลาบปลื้มยิ่ง นักในความสำเร็จอันใหญ่หลวงของคณะเลือดไทยที่ได้ปฏิบัติมาทุกๆ คราว   สุดที่จะหาคำใด มากล่าวให้ดียิ่งกว่านี้ได้

 ฉะนั้น “สาขาคณะเลือดไทยพนัส” จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ร่วมกันว่า     นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราเลือดไทย จะไม่ยอมให้บุคคลจำพวกที่ได้กล่าวนามมาแล้วข้างต้น โดยสารรถยนต์ หรือยอมรับใช้ ตลอดจนการสนับสนุนด้วยประการใดๆ ดังกล่าวมาแล้ว  เพราะเลือดไทยถือว่าบุคคล เหล่านี้เป็นสัตรูของชาติไทยเรา     และพวกที่นิยมลัทธิของสัตรู พวกเราถือว่า เขาลืมชาติ ลืม ศาสนาอันแท้จริงของเขาเสียสิ้น  มัวเมาไปหลงนิยมลัทธิอันเป็นสัตรูของเรา พวกเราจงนึกดูซิ ว่าที่รัฐบาลจับพวกแนวที่ 5 ได้นั้น  เขาเหล่านี้ก็คือพวกที่นับถือสาสนาโรมันคาธอลิกซึ่งได้รับ คำสั่งสอนของสัตรู คอยหาโอกาสที่จะเอาพวกเราเป็นทาสของเขา   ตลอดจนทำลายชาติของ เราให้ย่อยยับไป พวกเราต้องระวังแนวที่ 5 นี้จงมาก และช่วยกันกำจัดลัทธิอันนี้ให้สิ้นเชิง

พวกพี่น้องทั้งหลาย จงอย่าลืมว่าพวกเราชาวไทยได้รับความขมขื่นมาแล้วเป็นจำนวนตั้ง70 ปี บัดนี้เป็นศุภนิมิตต์อันดีงามของพวกเราแล้ว “สาขาคณะเลือดไทยพนัส”  จึงขอร้องให้พวกเรา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ช่วยกันขับไล่ชนชาติที่เป็นสัตรูของเรา ให้เขานำลัทธิอันแสนอุบาทว์นี้ ออกไปเสียจากแหลมทอง แล้วญาติพี่น้องของเราที่หลงงมงายอยู่     จะได้กลับมายัง แนวทาง  เดิมที่บรรพบุรุษของเราที่ได้อุตส่าห์สร้างสมไว้เพื่อลูกหลานเหลนชั้นหลัง”

หลังจากนั้น อีก 2-3 เดือนต่อมา  พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนจดหมายถึงนายโรเชร์ การ์โร กงสุล ฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1941   รายงานเกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาโดย  คณะเลือดไทยหลายเรื่องต่อมา พระสังฆราชแปร์รอสได้เขียนจดหมายถึงศูนย์กลางคณะที่กรุงปารีสรายงาน เกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาที่มียิ่งทียิ่งรุนแรงขึ้นว่าดังนี้

“การเบียดเบียนต่อศาสนาคาทอลิกได้เริ่มขึ้นวันที่ 20 พฤศจิกายน 1940 เวลา 10.00 น.ตอน เย็น บรรดามิชชันนารีฝรั่งเศสที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ    ของไทยที่เกิดกรณีพิพาทอินโด จีน แต่ละองค์ต่างก็ได้รับการเยี่ยมเยือนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย  ซึ่งบังคับให้พวกเขา ติดตามไปที่สถานีตำรวจ ที่นั่น เขาได้ป้อนคำถามต่อบรรดามิชชันนารี    ต่อจากนั้นได้ให้พวก เขาลงชื่อด้วยการสัญญาว่าจะเดินทางออกจากพื้นที่ภายในเวลา 48 ชั่วโมง   วันรุ่งขึ้น  มิชชัน นารี แต่ละองค์ได้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมกับมีคำสั่งห้ามเดินทางออกไป       ข้าพเจ้าได้ ส่งบรรดาพระสงฆ์พื้นเมืองจากวัดอื่นไปทำหน้าที่แทนพวกเขา พระสงฆ์ 2 องค์ในจำนวนเหล่า นี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนไทย ได้ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกใส่ความกล่าวหาว่า "เป็นแนวที่ 5"; ถูกจองจำในคุกเป็นเวลา 3 เดือนในตอนแรก พวกเขาถูกตัดสินในเดือนมีนาคมให้จำคุกคน ละ 2 ปี       พระสงฆ์ไทยองค์ที่ 3ถูกขังอยู่ในคุกตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม            ยังคงรอคอย การพิพากษาและคำตัดสินโดยไม่มีความผิด

วันที่ 14 กุมภาพันธ์   รัฐบาลไทยได้เรียกประชุมอย่างเป็นทางการเพื่อทำให้พวกคริสตังละทิ้ง ศาสนา พวกลูกจ้างของรัฐบาลที่กรุงเทพฯ          ได้รับคำสั่งให้ไปที่วัดมหาธาตุซึ่งเป็นวัดพุทธ

รัฐมนตรีหลายนายที่เป็นสมาชิกของคณะรัฐบาลได้ดำเนินการประชุม ด้วยการบอกกับบรรดา ผู้เข้าประชุมว่า    พวกเขาต้องเซ็นชื่อลงในเอกสารที่เตรียมมาเพื่อการนี้เพื่อยืนยันว่าพวกเขา เป็นคนพุทธ ซึ่งจงรักภักดีต่อประเทศไทย         คาทอลิกบางคนได้เซ็นชื่อ เช่นเดียวกับพวก โปรเตสตันท์จำนวนมาก, พวกที่นับถือลัทธิขงจื๊อ, พวกอิสลาม เป็นต้น แต่ส่วนมากได้ปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ถูกใช้อำนาจในการเกลี้ยกล่อมทุกวิถีทาง รัฐบาลไทยในขณะนี้ถือว่าไม่ได้บังคับใครให้ เปลี่ยนศาสนา แต่แสดงความปรารถนาเพียงอย่างเดียวว่าประชาชนทุกคนควรนับถือศาสนา  เดียวกัน แม้ว่าการประกาศเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหลอกลวงสาธารณชนต่างชาติ ข้อเท็จจริง ก็คือว่าบรรดาลูกจ้างฝ่ายปกครองที่ไม่ประกาศตัวเป็นพุทธได้ถูกไล่ออกจากงาน บรรดาพ่อค้า ที่เป็นคริสตังถูกรวมหัวไม่ทำการค้าด้วย และห้ามซื้อสินค้าของพวกพ่อค้าคริสตัง พวกเกษตร กรและลูกจ้างแรงงานอื่นๆ  ที่หาเช้ากินค่ำถูกเรียกตัวไปโดยนายอำเภอเพื่อทำการประชุมให้ ละทิ้งศาสนา ตราบใดที่พวกเขาปฏิเสธพวกเขาก็ถูกบังคับให้อยู่ที่นั่น ไม่สามารถไปทำงานได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรเลี้ยงตัวเองและครอบครัวของพวกเขา
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #2 on: October 26, 2003, 03:00:48 AM »

ภายหลังการประชุมให้ละทิ้งศาสนาที่จัดขึ้นทั่วทุกแห่งในวันเดียวกันการเบียดเบียนทำได้อย่างอิสระ: พวกผู้ก่อเหตุร้ายได้รวมตัวกันเป็น "คณะเลือดไทย"       และอวดตัวว่าเป็นผู้ที่รัฐบาลสนับสนุน ในหมู่บ้าน คริสตังหลายแห่ง วัดคาทอลิกถูกโจมตีในระหว่างเวลากลางคืน          ทุบทำลายไม้กางเขน, รูปปั้นต่างๆ, ศาสนภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์, ฉีกทำลายและทำทุรจารภาพวาดนักบุญต่างๆ และศาสนภัณฑ์ต่างๆ    ขณะรอคอย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้ไปแจ้งความและขอความช่วยเหลือ ก่อนที่เขาจะมา พวกผู้ก่อเหตุร้ายก็หนีไปแล้ว ดัง นั้น เขาจึงประกาศว่า เขาไม่เห็นอะไรเลยและไม่สามารถกล่าวโทษใครได้      ภายหลังที่มีการปล้นเกิดขึ้น ในเวลากลางคืน พวกผู้ก่อเหตุร้ายที่เหิมเกริมเพราะไม่ถูกลงโทษ ได้เข้าปล้นวัดต่างๆ กลางวันแสกๆ พร้อม ทั้งทำลายวัดนั้นๆ ซึ่งมีพวกคริสตังจำนวนไม่มากพอที่จะขัดขวาง ตำรวจที่ถูกเรียกตัวมาได้ตอบแบบเดิมๆ ว่า เขาได้รับคำสั่งไม่ให้ยุ่งเกี่ยว ข้าพเจ้าได้นำคำร้องทุกข์ไปยื่นต่อรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่มี ผลอะไร อธิบดีกรมตำรวจซึ่งข้าพเจ้ารู้จักและไปพบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ตอบข้าพเจ้าอย่างชัดเจนว่าข้าพเจ้า ไม่ต้องมาด้วยตนเอง เพราะเขาทราบเรื่องดีแล้วจากจดหมาย อีกอย่างหนึ่ง จดหมายต่างๆ ของข้าพเจ้าได้ ตกค้างอยู่ และยังคงตกค้างอยู่โดยไม่ได้รับคำตอบ ในระหว่างเวลานั้น   วิทยุกระจายเสียงภาษาไทยได้พูด  สบประมาทพวกคริสตัง เยาะเย้ย และได้พูดเน้นในเวลาดียวกันว่าในประเทศไทย พวกคริสตังมีอิสระอย่าง เต็มที่ และมีความสุขมากกว่าพวกที่อยู่ในประเทศใดในโลก

Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #3 on: October 26, 2003, 03:01:42 AM »

เหตุการณ์การเบียดเบียนศาสนาทั่วประเทศ

โดย คุณพ่อวิกตอร์ ลารเก

 ในระยะเวลานี้ คริสตชนตามที่ต่างๆ ได้รับการเบียดเบียนและถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานาศาสนสถานถูกทำลาย จากรายงานเรื่องการเบียดเบียนศาสนาในประเทศไทยระหว่างปี ค.ศ. 1940-1945  โดยคุณพ่อวิกตอร์ ลารเก ซึ่งจัดทำไว้เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1984 รายงานนี้บอกให้ทราบถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับการเบียดเบียนคริสตศาสนาทั่วประเทศ พร้อมทั้งได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องเอาไว้ด้วยดังนี้

เหตุการณ์การเบียดเบียนศาสนา

 วิธีการต่างๆ ถูกนำมาใช้เหมือนกันหมดทั่วทุกแห่งกับบรรดามิชชันนารีและบรรดาพระสงฆ์พื้นเมือง ได้มีการกดขี่ทุกวิถีทางเพื่อให้พวกคริสตังละทิ้งศาสนา

ก. บรรดามิชชันนารี

 รัฐบาลเป็นผู้บัญชาการ

วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940

บรรดามิชชันนารีที่อยู่ทางภาคอีสานหรือมิสซังหนองแสงถูกขับไล่ พวกมิชชันนารีของมิสซังกรุงเทพ ฯ ที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆ ถูกบังคับให้ออกจากวัดที่พวกเขาปกครอง และให้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ   ภายใน เวลา 48 ชั่วโมง

วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1941

บรรดามิชชันนารีชาวฝรั่งเศสทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯภายในเวลา 72 ชั่วโมง และมีคำสั่งห้ามออกจากกรุงเทพฯ โดยเด็ดขาด


ข. บรรดาพระสงฆ์ไทย

  พระสงฆ์ไทยบางองค์ได้หลบหนีไปอยู่ที่จังหวัดอุบล     (สำหรับผู้ที่อยู่ในภาคอีสาน) หรือกรุงเทพฯ (สำหรับผู้ที่ยังคงอยู่ในประเทศ)

 ส่วนพระสงฆ์องค์อื่นๆ ถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนา

 ถ้าพวกเขายินยอมลงชื่อ พวกเขาจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นพลเมืองดี

ถ้าพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมละทิ้งศาสนา พวกเขาต้องถูกขังคุก 1 เดือน, 2 เดือน แล้วปล่อยให้ไปอยู่ที่ อุบล หรือกรุงเทพฯ องค์อื่นๆ ถูกฟ้องในข้อหาเป็นแนวที่ 5   ถูกตัดสินลงโทษอย่างหนักถูกจำคุก 2 ปี, 3 ปี บางองค์ถูกจำคุกตลอดชีวิตโดยคำสั่งของศาลทหารซึ่งใช้พยานเท็จปรักปรำ การกระทำทุกอย่างนี้เพื่อข่มขู่ พวกคริสตัง


ค. บรรดาคริสตัง

พวกคริสตังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมอันน่าสะพรึงกลัว

1. พวกผู้ใหญ่

 พวกผู้ใหญ่ถูกข่มขู่ทั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอและจากพวกสมาชิกของคณะเลือดไทย ด้วยการดูถูกเหยียดหยาม ด่าอย่างหยาบคาย ขู่เข็ญ ปล้นสะดม ทำลายทุกอย่าง  ฝ่ายนายอำเภอได้เรียก ประชุมหัวหน้าพวกคริสตัง หรือคนที่เขาเชื่อว่ามีอิทธิพล ถ้าคนเหล่านี้เซ็นชื่อปฏิเสธความเชื่อคาทอลิก และ ยอมเป็นพุทธ พวกเขาก็จะได้รับการปล่อยตัว คนจำนวนมากถูกจับขังคุกในข้อหาเป็นจารชน  พวกผู้ชาย และผู้หญิง หัวหน้าครอบครัว ถูกเรียกประชุมเป็นเวลาหลายชั่วโมงทุกวัน เพื่อฟังคำด่าแช่ง คำสบประมาท การขู่เข็ญต่างๆ นานา (บางครั้งเจาะจงพวกผู้หญิงและเด็กสาวๆ) ถ้าพวกเขาไม่ยอมละทิ้งศาสนา ข้าพเจ้า จะพูดเรื่องนี้พร้อมกับเอกสาร

2. พวกเด็กๆ

 โรงเรียนคาทอลิกทุกแห่งถูกสั่งปิด และพวกเด็กๆ ถูกบังคับให้ไปเรียนในโรงเรียนของรัฐบาซึ่งพวก ครูเป็นสมาชิกของคณะเลือดไทย พวกเด็กๆ ถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนาและกราบไหว้พระพุทธรูปเหมือนเป็น พระเจ้าของพวกเขา ถ้าใครขัดขืน ก็ถูกเฆี่ยนตี ฯลฯ จนกว่าจะยอมละทิ้งศาสนา ข้าพเจ้าจะพูดถึงประเด็นนี้ ต่อไปภายหลัง ในเวลานั้น หนังสือพิมพ์บางฉบับได้ตีพิมพ์จำนวนผู้ที่ลงชื่อละทิ้งศาสนาวันต่อวัน...

Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #4 on: October 26, 2003, 03:02:36 AM »

การเบียดเบียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานของประเทศไทย

ชุมชนคริสตชน และบรรดาคริสตชน

 พระสงฆ์ถูกไล่ออกไปจากวัดหมดแล้ว นี่เป็นคราวของพวกคริสตัง     และการเบียดเบียนดำเนินไปอย่างดุเดือด

1. วัดทุกแห่งถูกปิด

คณะเลือดไทย ภายใต้การคุ้มครองและการสนับสนุนของนายอำเภอมีเสรีภาพเต็มที่ในการดำเนินการ ในเรื่องชุมชนคริสตชนต่างๆ, วัดต่างๆ, บ้านพักพระสงฆ์, บ้านพักซิสเตอร์, สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า  ทุกแห่งถูกเผาหรือถูกทำลายจนหมด พวกเลือดไทยทำลายทุกอย่างจนราบเป็นหน้ากลอง      ในชุมชน คริสตชนอื่น บางส่วนของอาคารต่างๆ ถูกทำลาย ที่เหลือ พระภิกษุหรือเจ้าหน้าที่เข้าไปยึดครอง     วัด บางแห่งเขาดัด แปลงเป็นวัดพุทธ และตั้งพระพุทธรูปไว้บนตู้ศีลแทนที่ศีลมหาสนิท

 ในตอนต่อไป ข้าพเจ้าจะเสนอตารางเหตุการณ์ความเสียหายด้านวัตถุที่มิสซังได้รับ

2. ต่อมาก็ถึงคราวพวกคริสตัง

 ทุกคนที่คัดค้านจะถูกสบประมาท ถูกข่มเหงทารุณ และจับขังคุกเหมือนเป็นแนวที่ 5      และจะ ถูกปล่อยออกมาก็ต่อเมื่อละทิ้งศาสนา หรือสำหรับคนหัวดื้อก็จะออกจากคุกเมื่อการเบียดเบียนสิ้นสุดลง

 ข้าราชการทุกคนที่เป็นคาทอลิก ถูกทดสอบด้วยวิธีต่างๆ   หรือไม่ก็ละทิ้งศาสนาไปอย่างทันทีทั นใด หรือไม่ก็ถูกไล่ออกจากราชการ รอถูกสอบสวนเหมือนคริสตังคนอื่นๆ ขอยกตัวอย่างจากหนึ่งในร้อย

เอกสารหมายเลข 13

 แปลจากเอกสารของพระสังฆราชบาเยต์


 ครูคาทอลิกทุกคนถูกไล่ออกเพราะโรงเรียนคาทอลิกทุกแห่งถูกปิด       บางแห่งถูกเผาบางแห่ง ถูกทำลาย หรือไม่ก็ใช้เป็นที่ทำงานของกำนัน หรือเป็นกุฏิพระ พวกครูไม่ได้รับเงินเดือน    และบางคนถู กสอบสวนเหมือนพวกคริสตังทุกคน

 ทุกคนที่ผลักดันเพื่อนคาทอลิกของพวกเขาไม่ให้ละทิ้งศาสนา ต้องลงเอยในคุกในข้อหาว่าเป็นแน วที่ 5

พวกคริสตังที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนถูกเรียกให้ไปประชุมที่ศาลากลางจังหวัด บางทีก็เป็นกลุ่มเล็กๆ บ างทีก็ไปพร้อมกัน ในตอนแรกเขาเรียกประชุมสัปดาห์ละครั้ง ต่อมาเรียกประชุมถี่ขึ้น 2 ครั้ง, 3 ครั้ง     ต่อมาก็ประชุมทุกวัน และเขาย้ำกับพวกคริสตังว่า สำหรับการเป็นคนไทย จำเป็นต้องเป็นพุทธศาสนิกช น    นี่เป็นคำสั่งของรัฐบาล นี่เป็นคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ศาสนาคาทอลิกเป็นศัตรูของชาติไทย   และค นที่ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีเวลาทำมาหากินเลี้ยงภรรยาและลูก ก็ทิ้งศาสนาไปเลย โอ! นี่ไม่ได้เป็นกา รละทิ้งศาสนาด้วยความเต็มใจ คริสตังที่ละทิ้งศาสนาพวกนี้ยังคงรักษาความเชื่อในห้วงลึกของจิตใจแต่ทุ กคนละทิ้งศาสนาเพียงภายนอก

3. ส่วนพวกเด็กๆ เป็นอย่างไรบ้าง?

 เขาดำเนินการทำลายความปรารถนาทั้งหมดในการเป็นคาทอลิกของพวกเด็กๆ   ทำลายความเ ชื่อที่  ี่เพิ่งเกิดขึ้นของพวกเด็กๆ ทำให้พวกเขาละทิ้งศาสนาทุกวิถีทาง ด้วยการขัดขวางความเป็นไปได้ ทุกอย่างที่จะทำให้พวกเด็กๆ กลับไปนับถือศาสนาคาทอลิกในอนาคต โรงเรียนทุกแห่งถูกปิด เด็กๆ   ถู กบังคับให้ไป เรียนในโรงเรียนของรัฐบาลซึ่งพวกครูเป็นสมาชิกคณะเลืดไทย ทุกเช้า   พวกครูบังคับพว กๆ เด็กให้กราบ ไหว้พระพุทธรูป ใครขัดขืนก็ถูกตบตี และถูกกำราบด้วยการลงโทษด้วยวิธีต่างๆ มาก บ้างน้อยบ้างอย่างป่า เถื่อน

พระสังฆราชลอเรนซ์ คายน์ พระอัครสังฆราชแห่งท่าแร่-หนองแสง ได้เขียนรายงานฉบับหนึ่ง นี่คื อเอกสารหมายเลข 14 (ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่และความจำดีเยี่ยม พี่เคยทานข้าวร่วมกับท่านครั้งนึง)

 ในเอกสารดังกล่าว พระคุณเจ้าเล่าถึงการปฏิบัติที่พวกเด็กๆ      คาทอลิกได้รับรวมทั้งตัวท่านเองใน   เวลาที่ไปโรงเรียน


ง. พวกคริสตังหนองแสง เขียนจดหมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม

 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1941 พวกคริสตังหนองแสงเขียนจดหมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เล่าถึงค วามประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   พวกเขาทำเป็นไม่เข้าใจว่าคำสั่งเหล่านี้มาจาก ที่ไหน? พวกเขาเล่าให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟัง (เป็นคำพูดของคริสตังเก่าที่ละทิ้งศาสนา) ถึงเรื่องที่พบแล ะได้ยิน เป็นการเล่าเรื่องการเริ่มต้นเบียดเบียนศาสนาโดยพวกคริสตังเอง นี่คือ

เอกสารหมายเลข 16

 “เรื่องที่มีความทึ่งใจของคริสตศาสนิกชนนครพนมมีดังนี้

1.  มีผู้ที่พูดดูถูกผู้ถือศาสนาคาทอลิกโดยแบ่งแยกบุคคล คือหมายความว่า   ผู้ถือศาสนานี้โดยหา ว่า ไม่ใช่เป็นคนไทย ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าผิดรัฐนิยมและรัฐธรรมนูญ

2.  ด่า ประจาน หรือทุรจารบาทหลวงซึ่งเป็นผู้มีอาวุโส เช่น บาทหลวง อ. ลาซารด์     เจ้าอาวาส บ้าน เชียงยืน ซึ่งเห็นว่าผิดหลักมารยาทไทย เพราะผู้กระทำล้วนแต่เป็นบุคคลซึ่งได้รับการศึกษาทั้งนั้น

3.  ทำลายศาสนสมบัติของคาทอลิก ดังเช่น      ทำทุรจารสิ่งซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์    ดังเช่น  จอกกาลิ กซ์        ไม้กางเขนซึ่งเสกแล้ว และเครื่องที่เกี่ยวกับเครื่องมิสซาซึ่งใช้ทำในพิธีกรรมทางศาสนา      เช่นใ ช้นั่งเล่นเพื่อ เยาะเย้ย ใช้ปูหลังม้าขี่ เช็ดเท้า เช็ดก้น ฯลฯ ดูเป็นการหยาบคายมาก มิหนำซ้ำยังทุบ ตี เต ะ ฯลฯ วัตถุต่างๆ เช่น พระรูปของพระเยซู และนักบุญต่างๆ  แม้ในวัดบางวัดซึ่งลูกปืนของข้าศึกมิได้ทำล ายก็มีการถูกทำลายด้วย เช่น วัดบ้านคำเกิ้ม ซึ่งห่างจากฝั่งน้ำโขงถึงประมาณ 2 กิโลเมตร ยังไม่เคยถูก กระสุนแม้แต่นัดเดียว ยังพลอยถูกทำลายด้วย

4.  ทำการขู่เข็ญผู้ที่ถือศาสนาด้วยอาการต่างๆ เพื่อให้ละทิ้งศาสนาที่เคยถือของตน เช่น จับขัง ยิงปืนขู่ หรือยิงจริง กล่าวร้ายต่างๆ การกระทำเช่นนี้เริ่มกระทำอย่างหนักในเดือนมกราคมจนถึงเดือนมีนา คมศกนี้ ข้าพเจ้าคาดว่าคงไม่ใช่มีคำสั่งจากวงการรัฐเลย แต่คงเป็นทางจังหวัดนี้ประดิษฐ์ทำกันเอง

5.  ห้ามมิให้ทำกิจของศาสนาของตน    มีการปิดวัด    อารามนางชี และคอยจับกุมผู้ขัดขืน แม้แต่ สวด    ภาวนาในเรือนของตนก็ไม่ได้

 ส่วนวัดโรมันคาทอลิกบ้านท่าแร่ก็ได้รับการทุรจารเช่นเดียวกันกับวัดหนองแสง นครพนม เว้นแต่เงินของวัดบ้านท่าแร่ถูกเจ้าพนักงานริบเอาไป  วัดบ้านท่าแร่ถูกทำลายไม้กางเขนเสีย พระสงฆ์ในพุทธศ าสนามาอยู่ในโรงเรียนของวัด  วัดต่างๆ ในเขตอีสานเกือบทุกวัดถูกเจ้าพนักงานริบไว้แล้วให้พระสงฆ์ใน พุทธศาสนา เข้าอยู่ในวัด ผู้ถือศาสนาโรมันคาทอลิกทนไม่ไหวละทิ้งศาสนาไปส่วนมาก    ผู้ใดไม่ละทิ้งถูก จับกุมไปทำการสอบสวนต่างๆ

 คนถือศาสนาโรมันคาทอลิกวัดบ้านสองคอน เขตอำเภอมุกดาหาร  ถูกฆ่าตายจำนวน6 คน  เพรา ะไม่ ยอมละทิ้งศาสนา

 คุณพ่อเอดัวรด์ถูกจับถูกขัง ถูกหาว่าเป็นกบฏภายใน ถูกใส่ตรวนหนัก    คุณพ่อศรีนวลคุณพ่อค ำผง  ถูกจับ ถูกขัง เวลานี้ให้ประกัน แต่อยู่ในวงเขตของทางการ”

นี่คือรายละเอียดในจดหมายของพวกคริสตังหนองแสงที่มีไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พวกเขา ไม่ได้รับคำตอบ



« Last Edit: October 26, 2003, 03:07:31 AM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #5 on: October 26, 2003, 03:05:03 AM »

การเบียดเบียนก็เริ่มอย่างรุนแรงในจังหวัดนครพนมและที่ท่าแร่ ในบางจังหวัดของมิสซังกรุงเทพฯ     และขยายออกไปในเขตมิสซังของพระสง ฆ์คณะซาเลเซียน เราจะพูดถึงเรื่องนี้


1. ในจังหวัดนครพนม

 ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมระงับการปฏิบัติตามคำสั่งที่ 9 ระยะสั้นๆ แต่การกระทำดังกล่าวไม่ มีผลอะไร เขาได้รับคำสั่งชัดเจนจากกรุงเทพฯ

 ที่หนองแสง ได้มีการรื้อไม้กางเขนจากหอระฆังของอาสนวิหารได้มีการขุดกำแพงเพื่อเอาไม้กางเ ขนที่ฝังไว้บนกำแพงออกไป ได้มีการทำทุรจารหลุมฝังศพและหักไม้กางเขนทั้งหมด  (อ้างเอกสารหมา ยเลข 12 วันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1941) นอกจากนี้ ยังบังคับให้พวกคริสตังละทิ้งศาสนาขับไล่พระสงฆ์ไ ทยออกจากวัด และส่งคุณพ่อเอดัวรด์และคริสตังบางคนที่ไม่ยอมละทิ้งศาสนาไปขังคุกที่บางขวาง

อาสนวิหารท่าแร่ถูกทำลายแบบถอนรากถอนโคน ตั้งแต่หอระฆังจนถึงพื้น และอิฐเหล่านี้ถูกน ำไปไว้ในบริเวณกำแพงคุกของจังหวัด เพื่อไว้ใช้ในการก่อสร้างอาคารของทางราชการ ต่อไป เขาอ้างว่า หอระฆังของอาสนวิหารได้ถูกกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงจากอินโดจีน และประการสุดท้าย  บรรดาหนังสือประวัติศาสตร์ที่ใช้ในปัจจุบันไม่ทราบเรื่องการเบียดเบียนเลย   สอนว่าอาสนวิหารคาทอลิกของหนองแสงได้ พังทลายลงเพราะถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงจากฝั่งแม่น้ำโขง หลังจากอาสนวิหารถูกทำลายแล้วทั้งสำนักพระสังฆราช,บ้านพักพระสงฆ,์ โรงเรียนของวัด, สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า, คอนแวนต์ของนักบวชหญิง, โรงครัว, กำแพงล้อมรอบ ทุกอย่างถูกทำลายจนหมด ไม่เหลือร่องรอยของพวกคริสตัง ไม่เหลือสัญลักษณ์ของ ศาสนาคริสต์อีกเลย
โรงเรียนพระหฤทัยฯ ก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน ถูกทำลายหมด

บริเวณรอบนอกเมือง

 ที่คำเกิ้ม วัดได้ถูกเผาไปแล้ว บ้านพักพระสงฆ์และโรงครัวถูกทำลายเกลี้ยงไม่เหลือร่องรอยอีกเลย(พี่เองเคยไปดูซากวัดนี้มาแล้วคะ เขายังเก็บรักษาซากไว้ค่ะ)

ปัจจุบัน ถึงคราวของวัดอื่นๆ และโรงเรียนของวัด ที่นามน, โคกก้อง, เชียงยืน, ที่นานาย,ที่สองค อน ไม่เหลือร่องรอยของศาสนาคริสต์อีกเลย

 ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคภูมิใจอย่างยิ่ง  เขาคิดว่าได้ทำลายศาสนาคริสต์ในจังหวัดของเขาอย่างเ รียบ ร้อยและอย่างเด็ดขาด

2. ในจังหวัดสกลนคร

 ศาสนาคริสต์ถูกทำลายอย่างไม่เหลือร่องรอยเช่นเดียวกัน ที่ท่าแร่   วัดกลายเป็นห้องประชุมประจำท้องถิ่น บ้านพักพระสงฆ์และคอนแวนต์กลายเป็นสำนักงาน, บ้านพักของนายอำเภอ, สถานีตำรวจ แ ละที่ทำการไปรษณีย์ ในเขตวัดของจังหวัดอื่น วัดต่างๆ ไม่ถูกเผาก็ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย   หรือไม่ก็ถูกดัด แปลงเป็นวัดพุทธ หรือไม่ก็ทำเป็นโรงเรียนของรัฐบาล     นี่เป็นการสิ้นสุดของกลุ่มคริสตชนที่ นาโพ, ทุ่งมน, จันทร์เพ็ญ, จอมแจ้ง, คอนเชียงคูน, ป่าหว้าน, ช้างมิ่ง,หนองเดิ่น, นาคำ, นาบัว และดอน ทอย

 ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน  บรรดานายอำเภอและพวกสมา ชิกของคณะเลือดไทยได้ทำงานสำเร็จ ไม่เหลือร่องรอยของศาสนาคริสต์ในจังหวัดของเขาอีกเลย

3. ในจังหวัดหนองคาย

 วัดที่เวียงคุกพร้อมทั้งบ้านพักพระสงฆ์ถูกทำลายเรียบ ที่ห้วยเล็บมือ และห้วยเซือม วัดและบ้าน พักพระสงฆ์กลายเป็นโรงเรียนของรัฐบาล


4. ในจังหวัดอุดรธานี

วัดโพนสูงกลายสภาพเป็นโรงเรียน

5. ในจังหวัดเลย

วัดท่าบ่มกลายสภาพเป็นโรงเรียน


6. ในแคว้นจำปาศักดิ์ (ประเทศกัมพูชา)

วัดปากห้วยเพ็กถูกใช้เป็นสำนักงานบัญชาการของไทยเพื่อปกครองดินแดนที่ยึดได้

นี่เป็นการสิ้นสุดของศาสนาคริสต์ ไม่เหลือร่องรอยของศาสนาคริสต์อีกเลย

ในทุกจังหวัดเหล่านี้ คำสั่งลับของหลวงพิบูลถึงบรรดาผู้ว่าราชการจังหวัดและบรรดานายอำเภอ มีผลระงับคำสั่งที่ 9/1941 ของอธิบดีกรมตำรวจซึ่งเคยหวัง

“ยุติการต่อสู้เพราะไม่มีคู่ต่อสู้”

ไม่มีวัด ไม่มีบ้านพักพระสงฆ์ ไม่มีบ้านพักนักบวชหญิง ไม่มีโรงเรียน ไม่มีคริสตังหลงเหลืออยู่อีกเลย ในจังหวัดเหล่านี้พวกคริสตังเรียกได้ว่าถูกบังคับให้ละทิ้งศาสนา    ภายใต้การข่มขู่ในจำนวนคนเหล่านี้ที่ได้ปฏิเสธความเชื่อ มีผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งเคยผ่านคุกมาแล้วและหนีไปหลบภัยอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่มีใคร รู้จัก  ส่วนคนที่เป็นพยานยืนยันความเชื่อของพระคริสตเจ้ามีจำนวน 8 คน อยู่ที่บางขวาง   ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตพร้อมกับคุณพ่อเอดัวรด์ (และพระสงฆ์อีก 4 องค์ของกรุงเทพฯ)  และมีบางคนตายในคุก   มรณสักขี 7 องค์ ของหมู่บ้านสองคอนที่ยอมตายเพื่อศาสนาดีกว่านบนอบ “คำสั่งของรัฐบาล” ให้ละทิ้งความเชื่อ

พวกคริสตังบางคนซื่อสัตย์ต่อศาสนาของพระเยซูเจ้าอย่างน่าสรรเสริญ และมรณสักขี7 องค์ ของสองคอนได้รับแต่งตั้งเป็นบุญราศีพวกท่านสละชีวิตเพื่อพระคริสตเจ้าเป็นตัวอย่างและเป็นสักขีพยานดียอดเยี่ยมสำหรับพระสงฆ์และคริสตังชาวไทย พวกท่านได้ช่วยจุดเพลิงและทนุถนอมจิตตารมณ์ของมิชชันนารีสำหรับคริสตังชาวไทย
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #6 on: October 26, 2003, 03:06:18 AM »

สำเนาหมายเลข 15

ดอนม่วย (ใกล้บ้านหนองเดิ่น)

วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1942

ที่บ้านองเฮือง มีงานฉลองครอบครัว เวลาประมาณ 20 น. (2 ทุ่ม)  ครูใหญ่โรงเรียนบ้านช้างมิ่ง และ พวกหนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่ได้เผาวัดต่างๆ ที่หนองเดิ่น ได้มาด่าแช่งพวกเราว่า ศาสนาคาทอลิกเป็นศาสนาของ หมา และเอาพุงหมามาครอบหัว พระเยซูได้แม่เป็นภรรยา เป็นต้น

สำเนาหมายเลข 17

ดอนม่วย

วันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1942

พวกคริสตังบ้านหนองเดิ่นได้ตกลงกลับไปกราบไหว้พระพุทธรูปและใส่บาตร ที่บ้านดอนม่วยนั้น เจ้า หน้าที่ของรัฐบาลได้บอกกับพวกเราว่า

"ถ้าพวกท่านตกลงใจที่จะกราบไหว้พระพุทธรูปที่โบสถ์แล้ว ถึงแม้ว่าพวกท่านไม่ได้ทำสวนครัว พวก ท่านก็ไม่ต้องจ่ายค่าปรับแม้แต่สตางค์เดียว แต่ถ้าพวกท่านปฏิเสธ      สวนครัวของพวกท่านจะอยู่ในสภาพดี  แค่ไหน การเสียค่าปรับจะต้องตกอยู่กับพวกท่านจนกระทั่งพวกท่านไปอยู่ในคุก ข้อความนี้เป็นคำสั่งซึ่งพวก เราได้รับจากหัวหน้าของพวกเรา  และหัวหน้าคนนี้ก็คือนายกรัฐมนตรีนั่นเองที่มีคำสั่งให้นำคนไทยทุกคนมา นับถือศาสนาพุทธ ทุกอย่างในเอกสารอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้แก่บาทหลวงอิตาเลียน...

เมื่อครั้งประเทศฝรั่งเศสได้ชัยชนะจากเยอรมันที่มีความใจดีต่อพวกคาทอลิกซึ่งได้แทรกซึมเข้าไปใน ประเทศเยอรมัน แต่บัดนี้เยอรมันได้ทำให้พวกคาทอลิกเหล่านี้ทุกคนหายสาบสูญไปและดังนั้น  เยอรมันจึง สามารถปราบฝรั่งเศสได้ภายในเวลาอย่างน้อย 7 วัน

ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน บุคคลใดที่พยายามหน่วงเหนี่ยวศาสนาคาทอลิกไว้    บุคคลนั้นก็ไม่ใช่  คนไทย"

สำเนาหมายเลข 18

หนองเดิ่น วันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1942

วันที่ 13 กรกฎาคม 2485 เวลา 9 นาฬิกา ตอนเย็น ตำรวจมาที่บ้านหนองเดิ่น  พูดเสียดสีคนต่างด้าว ว่า "พวกเราเป็นคนไทย ต้องนับถือศาสนาไทย บุคคลใดที่สมัครใจเจริญรอยตามพวกอิตาเลียนมากกว่าเจริญ รอยตามชาติไทยนั้น บุคคลนั้นจะไม่ถูกถือว่าเป็นคนไทยเลย

สำเนาหมายเลข 26

วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1942

ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2485 (1942)      "พวกชาวบ้านทุกคน ทั้งที่เป็นพุทธ และ คาทอลิก ของบ้านหนองเดิ่น และดอนม่วย ไปที่ที่ว่าการอำเภอ    เพื่อแสดงตัวในการถือศาสนาของแต่ละคน และลงชื่อแต่ละคนไว้เป็นการรับรอง

ครูนิยมได้ทำการตักเตือนพวกเราว่า "ทำไมจึงนับถือศาสนาคาทอลิก?    ศาสนานี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ ถือ! และในเร็วๆ นี้ศาสนานี้จะกลายเป็นศาสนาที่ถูกกล่าวโทษ เพราะทุกคนที่นับถือศาสนาโรมันคาทอลิกเท่ากับต่อต้านรัฐบาล  พวกท่านก็ทราบแล้วว่ารัฐบาลมีจุดมุ่งหมายจะทำให้พวกที่ถือศาสนาคาทอลิกทุกคนเป็น ผุยผง พวกเขาได้ถูกเรียกไปประชุมหลายครั้งแล้วเพื่อให้จ่ายค่าปรับ แต่ครั้งนี้สำคัญมาก จะเป็นครั้งที่รุนแรง มากราวกับระเบิดตอร์ปิโด ให้พวกท่านเลือกเอา"
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #7 on: October 26, 2003, 03:11:56 AM »

16 พฤศจิกายนระลึกถึงบุญราศีทั้งเจ็ดแห่งประเทศไทย

เมื่อวันอาทิตย์ที่  22  ตุลาคม ค.ศ. 1989/พ.ศ.2532   ณ   มหาวิหารนักบุญเปโตร ที่กรุงโรมสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงประกาศเป็นทางการ   “บันทึกนามมรณสักขีไทยทั้ง 7 ท่าน  เข้าทำเนียบบุญราศี” หลังจากนั้น ที่วัดแม่พระไถ่ทาสสองคอนเอง พระศาสนจักรแห่งประเทศไทยก็ได้จัดสมโภชอย่างมโหฬาร ระหว่างวันที่ 6 - 10 ธันวาคม พ.ศ.2532




วัดสองคอนเมื่อปี ค.ศ.1940 (2483) มีคุณพ่อเปาโล ฟีเกต์  เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้รับแต่งตั้งจากพระสังฆราช แกว็ง ให้มาดูแลคริสตชนตั้งแต่ปี 1925  รวมเวลาได้ประมาณ 15 ปีเศษ

คุณพ่อฟีเกต์ มีบุคคล 3 ท่านที่ช่วยเหลือในการอภิบาลสัตบุรุษ คือ ซิสเตอร์อักแนส และซิสเตอร์ลูซีอา กับฆราวาส 1 ท่านคือ ครูสีฟอง

1. ซิสเตอร์อักแนส  (1909 - 1940) เดิมชื่อ มาร์การิตา พิลา (สุภีร์) ทิพสุข เป็นบุตรสาวของ โยอากิม สอน และอันนา จูม เกิดที่บ้านนาฮี เมื่อวันพฤหัส เดือนมิถุนายน 6, 1909 ได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านเวียงคุก ซึ่งเป็นหมู่บ้านคริสตัง ในเขตจังหวัดหนองคาย
           หลังจากรับศีลล้างบาปได้ไม่นาน คุณพ่ออันตน หมุน ได้มองเห็นแวว ชีวิตนักบวชของพิลา จึงได้ออกปากให้เข้าอารามที่เชียงหวาง 16 พฤศจิกายน ค.ศ.1928  ท่านได้ปฏิญญาณตนเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า ใช้ชื่อว่า “ซิสเตอร์ อัสแนส พิลา” ท่านได้รับมอบหมายให้มาทำงานที่สองคอนในปี ค.ศ. 1932

2. ซิสเตอร์ลูซีอา  (1917 - 1940) เดิมชื่อ ลูซีอา คำบาง เป็นบุตร สาวของยากอบ ดำ และมักดาเลนา สี เกิดที่บ้านเวียงคุกได้เข้าอารามที่เชียงหวาง และถวายตัวเป็นซิสเตอร์ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ.1937 ได้รับชื่อว่า “ซิสเตอร์ลูซีอา คำบาง” หลังจากถวายตัวแล้วก็ได้ไปประจำที่บ้านสองคอนในปี ค.ศ. 1938

3. ครูสีฟอง มีชื่อเต็มว่า ฟิลิป สีฟอง อ่อนพิทักษ์ เกิดวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1907 ที่วัดนักบุญอันนา หนองแสง จังหวัดนครพนม
           เมื่อเติบโตขึ้น  สีฟองเข้าเรียนทีโรงเรียนวัดหนองแสง   จบแล้วเคยไปเรียนต่อที่บ้านเณรพระหฤทัยบางช้าง  จ.สมุทรสงคราม  ท่านมาถึงสองคอนประมาณปี ค.ศ. 1926 นอกจากจะสอนเรียนแล้ว ท่านยังสอนให้ชาวบ้านรู้จักตัดเย็บเสื้อผ้า   ช่วยดูแลวัด   ตลอดจนสอนคำสอน   ท่านถูกห้ามไม่ให้สอนคำสอน และให้ละทิ้งศาสนาคาทอลิก  แต่ครูสีฟองไม่ยอมละทิ้งศาสนาและยังคงสอนคำสอนต่อไป ท่านจึงถูกฆ่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.1940 เป็นมรณสักขีองค์แรก

มรณสักขีองค์ที่ 2 - 7

ตำรวจให้ผู้ใหญ่บ้านมาตามซิสเตอร์ไปพบที่วัดเมื่อพบกัน   ตำรวจถามซิสเตอร์ว่า  “ได้ละทิ้งพระเจ้า ทิ้งศาสนาแล้วหรือยัง?” ซิสเตอร์ทั้งสองตอบว่า  “ไม่มีวัน จะไม่มีวันทิ้งพระเจ้าโดยเด็ดขาด” ตำรวจจึงว่า เมื่อไม่ทิ้งพระเจ้า ไม่กลัวตาย ให้ทุกคนไปที่แม่น้ำโขงเดี๋ยวนี้ จะจัดการ
           ซิสเตอร์อักแนส พิลา แย้งว่า “จะไม่ไปที่แม่น้ำโขง ถ้าจะฆ่าพวกเราขอให้ไปฆ่าที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ (คือป่าช้าของวัด)
           ตำรวจโกรธ พูดตัดบทว่า “ไม่ต้องมาพูดมาก ไปป่าศักดิ์สิทธิ์ก็ได้”
คณะผู้ยอมพลีชีพทั้ง 8 คือ

1. ซิสเตอร์อักแนส พิลา
2. ซิสเตอร์ลูซีอา คำบาง
3. อากาทา พูดทา
4. น.ส.เซซีลีอา บุดสี ว่องไว
5. น.ส.บีบีอานา อำไพ ว่องไว
6. ด.ญ.มารีอา พร ว่องไว
7. น.ส.เซซีลีอา สุวรรณ
8. ด.ญ.เซซีลีอา สอน ว่องไว

ได้ออกเดินทางมุ่งไปยังป่าศักดิ์สิทธิ์    ระยะทางจากวัดถึงป่าศักดิ์สิทธิ์ประมาณ   300 - 400 เมตร ทุกคนเดินไปพร้อมกับสวดภาวนาและร้องเพลงไปด้วย ไม่มีการสะทกสะท้านใด ๆ พวกตำรวจ แบกปืนเดินตามไปห่างๆ

ขณะที่คณะผู้ยอมพลีชีพทั้ง 8 คน กำลังเดินอยู่ นายกองสี บิดาของน.ส.สุวรรณ สงสารบุตรสาวของตน รีบตามมาพาตัวกลับบ้าน บอกว่ายังไม่ถึงเวลาไปตาย

ด.ญ.เซซีลีอา สอน ว่องไว ผู้อยู่ในคณะผู้ยอมพลีชีพเล่าว่า  เมื่อถึงป่าศักดิ์สิทธิ์เห็นขอนไม้ใหญ่ล้มทอดอยู่ต้นหนึ่ง ซิสเตอร์อักแนส พิลาพูดว่า   “ขอนไม้นี้แหละเหมาะดี พวกเราอาศัยขอนไม้นี้เป็นที่คุกเข่าสวดก่อนตายกันเถิด”

ทุกคนคุกเข่าลงข้างขอนไม้เรียงกันไปตามลำดับสเตอร์อักแนส  พิลา,   ซิสเตอร์ลูซีอา คำบาง, แม่พุดทา, น.ส.บุดสี, น.ส.คำไพ, ด.ญ.พร, ด.ญ.สอน อยู่ริมในสุด แล้วสวดพร้อมกัน

เมื่อพวกตำรวจมาถึง ตำรวจบอกให้คณะของซิสเตอร์เตรียมตัว แล้วเริ่มยิงทางด้านหลังทันที แต่ปืนไม่ลั่น จึงเปลี่ยนมายิงทางด้านหน้า แต่ปืนไม่ลั่นอีก ตำรวจจึงเปลี่ยนเอาปืนจากตำรวจอีกนายหนึ่งขึ้นมายิง เสียงปืนลั่นขี้น   พวกตำรวจยิงประมาณ 20 นัด  เข้าใจว่าทุกคนตายแล้วจึงเดินกลับที่พัก นายสาลีเข้าไปดูเห็นถูกกระสุนปืน 6 คน ด.ญ.สอนคนเดียวไม่ถูกกระสุนปืนเลย ชาวบ้านได้ขุดหลุมฝังรวม 3 หลุม ฝังหลุมละ 2 ศพ

ซิสเตอร์ทั้งสองและคณะได้บรรลุสมปรารถนาที่จะตายเพื่อยืนยันความเชื่อ       พวกเขาได้หลั่ง เลือดทาผืนแผ่นดินไทยเป็นการประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่า พวกเขามีและนับถือพระเจ้า องค์ปฐม  แห่งสรรพสิ่ง  พระองค์ผู้ประทานชีวิตแก่โลกและมนุษย์  พระองค์ผู้ทรงดูแล  ช่วยเหลือ และเมตตาชาว เรา พวกเขาได้รับชีวิตมาแต่พระองค์ เขาก็พร้อมที่จะถวายชีวิตนั้นคืนแด่พระองค์ ความตายมิได้ทำให้พวกเขาหวั่นไหวที่จะปฏิเสธพระองค์เลย


ภายในสักการะสถาน มีหุ่นขี้ผึ้งบุญราศีทั้ง7 คนจะมาขอพรกันที่นี่มาก



« Last Edit: May 24, 2004, 11:02:20 PM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


MC ChamP
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1649


« Reply #8 on: October 27, 2003, 07:27:43 PM »

อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยครับ สงสารเขามากๆ
แล้วทำไมในปัจจุบันยังไม่มีเรื่องนี้ในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนเลยล่ะครับ
หรือจะปกปิดความจริงไว้อย่างนี้ >:(
Logged


^WarmUP^
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1623


« Reply #9 on: October 27, 2003, 08:02:26 PM »

ตอนแรกนึกว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกะการเหยียดศาสนา
เรื่องศาสนาคริสต์-ยิว ซะอีกอ่ะครับ
ส่วนอันนั้นคริสต์จะดูเป็นฝ่ายผิด
เพราะผู้นำทางศาสนาโหดร้ายมากๆ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้พี่ปอลองหามาโพสดู :)
Logged


MC ChamP
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1649


« Reply #10 on: October 27, 2003, 08:30:36 PM »

พี่ปอครับเรื่องพวกนี้พี่ไปหาจากที่ไหนมาอะครับ อยากรู้ :)
แล้วทีนี้พี่พอจะรู้เกี่ยวกับการเบียดเบียนศาสนาในญี่ปุ่นบ้างไหมครับ
ผมอยากรู้ เพราะบรรพบุรุษของผมย้ายมาจากญี่ปุ่น เพราะเรื่องเบียดเบียนศาสนานี่แหละครับ
แต่ลูกหลานของท่านก็ไม่มีใครนับถือคริสต์เลยอะ มีผมนี่แหละที่ไฝ่อยู่คนเดียวเอง :(
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #11 on: October 28, 2003, 02:25:42 AM »

ศตวรรษที่ 17 ในสมัยเอโดะรัฐบาลโทกุงาวา ได้ทำการต่อต้านศาสนาคริสต์ จึงมีคำสั่งให้ประชาชนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของวัดทั้งหมด คือเป็นสมาชิกของวัดใดวัดหนึ่ง มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นพวกคริสต์ และจะถูกลงโทษ ดังนั้นวัดต่างๆ จึงมีอำนาจบังคับให้คนเข้ามาเป็นสมาชิกของวัด ถ้าหากพ่อแม่ได้ถึงแก่กรรมแล้วจะต้องจัดทำงานศพอยู่ที่ ณ วัดนี้ หากไม่ยอมก็จะถูกกลั่นแกล้งจึงทำให้สมาชิกกลัวพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่สมัยเอโดะ มาจึงทำให้พระสงฆ์เหิมเกริมมาก แต่ในวงการศาสนายังมีคนดีและคนที่บริสุทธิ์ใจ จึงออกมาประท้วงและให้ทำการปฏิรูปกฎของพระสงฆ์ใหม่ คือ ให้ผู้ที่เป็นพระสงฆ์จะต้องงดเรื่องอบายมุข จะต้องศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง

สาเหตุประการสำคัญ ที่รัฐบาลโทกุงาวา  ต่อต้านศาสนาคริสต์ เพราะขณะนั้น ญี่ปุ่นเป็นระบบศักดินา แต่ศาสนาคริสต์ สอนว่าคนเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนล้วนเป็นบุตรพระเจ้า ไม่ใช่เฉพาะพระจักรพรรดิ์ที่เป็นบุตรพระเจ้า(เทพดวงอาทิตย์ตามหลักชินโต) และสอนว่าคนรวย ยังเข้าสวรรค์ยากกว่าคนจน จากพระคัมภีร์ข้อความนี้

มธ 19:16-22  เศรษฐีหนุ่ม
   ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ทูลถามว่า “พระอาจารย์ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร”  พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความดี ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้นถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด”  เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าฆ่าคน  อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง”  ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้วยังขาดอะไรอีกหรือ”  พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด”  เมื่อได้ยินพระวาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า
   “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยาก เราบอกท่านอีกว่า อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์”

...............................................

ในสมัยนั้น เหล่าซามูไร และขุนนางมีอิทธิพลสูงมาก และมีการแบ่งชนชั้นอย่างเด็ดขาดชัดเจน ดังนั้น การสอนลักษณะนี้ กระทบกระเทือนระบอบการปกครอง ดังที่รู้กันว่าโชกุนญี่ปุ่นสมัยนั้น คือ โทกุงาวา อิเอยะสึ ดุดัน เด็ดขาด เอะอะตัดหัว จึงเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวคริสต์ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาขึ้นในสมัยนั้น

ในช่วงปี1613 มีการประเมินว่า มีชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสตศาสนาหลายหมื่นคน โชกุน อิเอยะสึ โทกุงาวา ได้ประกาศขับไล่ผู้นับถือคริสต์ทั้งหมดออกจากยี่ปุ่น ทั้งที่เป็นชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเอง โดยมีนโยบายให้ชาวญี่ปุ่นทุกคนต้องนับถือพุทธ ในช่วงสมัยนี้มีการสังหารหมู่ พระและฆารวาส เกิดขึ้นมากมาย

โดยในสมัยนั้น เมืองศูยน์กลางการเผยแพร่คริสตศาสนาในญี่ปุ่นคือ นางาซากิ ปรากฎว่าชาวเมืองถึง90%ต้องอพยพ ไปฟิลิปปินส์ และอยุธยา(ในสมัยพระเอกาทศรส ซึ่งในสมัยนั้น ไทยเราจึงได้มีเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เป็นชาวญี่ปุ่นด้วย คือ ซามูไร ยามาดะ) ส่วนผู้ที่ยังคงอยู่ในญี่ปุ่นต้องหลบซ่อน และประกอบพิธีทางศาสนาอย่างลับๆ ซึ่งในช่วงนั้นนอกจากการประหารชีวิตชาวคริสต์มากมาย ในปี1633 โทบุนางา ประกาศตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับชาวต่างชาติ และตัดความสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ห้ามชาวญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทส ยกเว้นเฉพาะที่นางาซากิ ที่อณุญาติให้เรือชาวดัชท์ และเรือของจีน เข้ามาค้าขายได้ และญี่ปุ่นปิดประเทศต่อไปนานถึง200ปี จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ของไทย
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #12 on: October 28, 2003, 02:47:03 AM »

ตอนแรกนึกว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกะการเหยียดศาสนา
เรื่องศาสนาคริสต์-ยิว ซะอีกอ่ะครับ
ส่วนอันนั้นคริสต์จะดูเป็นฝ่ายผิด
เพราะผู้นำทางศาสนาโหดร้ายมากๆ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้พี่ปอลองหามาโพสดู :)

ไม่เคยได้ยินเรื่องการเหยียดศาสนายิว มีแต่การเหยียดเชื้อชาติ

แต่ถ้าเป็นการเหยียดเชื้อชาติยิวในสงครามโลกครั้งที่2โดยฮิตเลอร์นั้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องศาสนาเลย แต่เป็นการต้องการครอบครองทรัพยสินของพวกยิว เพราะในสมัยนั้น ยิวตามประเทศต่างๆก็เหมือนคนจีนในไทยคือมักรวยกว่าคนท้องถิ่นจริงๆ จึงเป็นทั้งที่อิจฉา และที่หมั่นไส้ของคนบางกลุ่มในประเทศนั้นๆ  ดังนั้น สมัยสงครามโลกครั้งที่2 การหาของที่เกลียดร่วมกันมาล่อ เป็นการปลุกระดมที่ดี (เหมือนกรณีเขมรเผาสถานทูตแหละ) รัฐบาลนาซีจึงมีนโยบายล้างเผ่าพันธุ์ยิว และประกาศว่าชาวเยอรมันที่เป็นเชื้อชาติอารยัน เป็นเชื้อชาติที่สูงส่งที่สุด ดังนั้นยิวหลายล้านคนจึงโดนกวาดล้างจากทุกประเทศที่พ่ายแพ้แก่เยอรมัน

ในโปแลนด์ซึ่งเป็นประเทศแรกที่โดยนาซีบุกในสงครามโลกครั้งที่2 ชาวยิวก็ได้ถูกกวาดต้อนทันที ได้มีเหตุการณ์ที่สำคัญอันหนึ่งคือ มีบาทหลวงคาทอลิค ชื่อ แมกซิมิเลี่ยน โกเบ ได้ถูกกวาดเข้าค่ายกักกันด้วย เพราะแม้ท่านจะนับถือคริสต์ และเป็นบาทหลวงคริสต์ แต่เผอิญมีเชื้อสายยิว ดังนั้น ชี้ให้เห็นว่านี่เป็นการล้างเชื้อชาติไม่ใช่ล้างศาสนา

แต่มีชาวโปแลนด์หลายคนที่แต่งงานกับชาวยิวดังนั้นก็เหมือนไทย-จีนในไทยเรา ที่ปะปนกันจนไม่คิดแบ่งแยก ดังนั้น จึงมีชาวยิวหลายคนที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวตัวเอง และมีโปแลนด์-ยิวหลายคนที่แอบหลบหนีออกจากค่ายกักกันไปหาครอบครัวเสมอ นาซีจึงออกกฎว่า เมื่อไหร่ที่มียิวหนีออกจากค่ายกี่คน จะฆ่ายิวที่อยู่ในค่ายแทนตามจำนวนคนที่หนีไป

ในครั้งนั้น มีการหลบหนี และมีชาวยิวคนหนึ่งที่อยู่ในคิวต้องโดนฆ่าสังเวยกฎนี้ แต่ชายคนนี้คร่ำครวญอย่างมากว่าเขายังมีลูกเมียรออยู่ข้างนอก ถ้าเขาตาย ลูกเมียจะอยู่อย่างไร คุณพ่อ แมกซิมิเลี่ยน ซึ่งอยู่ในค่ายเช่นกันจึงอาสาตายแทน โดยท่านว่า ท่านไม่มีลูกเมีย ท่านมีแต่พระเจ้า เมื่อท่านตายท่านจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น บาทหลวง แมกซิมิเลี่ยน จึงถูกทหารนาซีเยอรมันยิงทิ้งไปตามระเบียบ

ต่อมาหลังสงครามสงบลง พระสันตะปาปา จอห์น ปอลที่2 ได้สืบสวนเรื่องของท่าน และประกาศให้ท่านเป็นบุญราศี แห่งประเทศโปแลนด์ เพราะท่านได้กระทำตามที่พระเยซูเจ้าสอนได้อย่างแท้จริงคือ

"จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง”  

และ

ยน 15:12
นี่คือบทบัญญัติของเรา
ให้ท่านทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เรารักท่าน
ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย

เมื่อตอนที่ผมได้ไปต่างประเทศ ก็มีโอกาศได้ไปเคารพ(ภาพ)ท่านในโบสถ์ที่โปแลนด์ด้วย และชาวโปแลนด์ในปัจจุบันก็มีความศรัทธาในท่านมาก
« Last Edit: October 28, 2003, 02:54:29 AM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #13 on: October 28, 2003, 02:52:42 AM »

ส่วนที่เอามาลงก็เขามีรวบรวมหลักฐานไว้ แต่กระทรวงศึกษาคงไม่ยอมให้เอามาสอนเด็กหรอก

ก็ลองไปดูเพิ่มเติมได้ที่

http://www.catholic-forum.com/saints/saintn03.htm

http://www.thai.net/sakol/7index.html

http://www.thai.net/sakol/songkon/memo11.html

http://www.thai.net/sakol/songkon/memo10.html

Logged


Nihil
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 12423


Email
« Reply #14 on: October 28, 2003, 06:19:49 AM »

อ้ะที่เคยลงใน talk to นิงับ มุงิๆๆ ชอบจังบทความดีๆแบบนี้
Logged


โยศิ, องเมียวดอกซากุระ
Member
*****
Offline Offline

Posts: 3805


Email
« Reply #15 on: October 28, 2003, 11:20:34 AM »

ถ้าเรื่องของพวกเข้ารีตที่ญี่ปุ่น แล้วโดนกวาดล้าง
มีแต่ พวกอามาคุสะเหรอฮะ แล้ว ขอรายละเอียด มารีอาคันนัง หน่ะครับ
« Last Edit: October 28, 2003, 11:21:00 AM by Yin Of Swords » Logged


MC ChamP
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 1649


« Reply #16 on: October 28, 2003, 10:34:18 PM »

มารีอาคันนงครับ -_-"  ไม่ใช่คันนัง
Logged


เซนต์ แมกนัส
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 4593



« Reply #17 on: October 30, 2003, 03:32:33 AM »

ถ้าเรื่องของพวกเข้ารีตที่ญี่ปุ่น แล้วโดนกวาดล้าง
มีแต่ พวกอามาคุสะเหรอฮะ แล้ว ขอรายละเอียด มารีอาคันนัง หน่ะครับ

ไม่รู้จัก

มีเพิ่มเติมที่นี่ด้วย

http://www.paklad.org/martry.html

http://www.angelfire.com/wi/catholicthai/saints.html

อันนี้ลึกดี
http://www.thai.to/diokorat/church/nicholas1.htm

อันนี้ค่อนข้างครบครัน
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W1890156/W1890156.html

บทความที่ดีมากๆ
http://www.catholic.or.th/document/nicolaslife/body_index.html

เกี่ยวกับฮ่องกง แต่อ้างอิงการเบิยดเบียนในไทยนิดหน่อย
http://www.udomsarn.com/jan%202002/marti.html

และสำหรับเวบนี้มีครบครั้นทุกสิ่งทุกอย่างรวมเอกสารทั้งจากวาติกัน และในไทย และคณะนักบวชต่างๆที่เก็บไว้ และรายละเอียดของคุณพ่อนิโคลาส
http://www.catholic.or.th/catholic%20doc/nicolas2/nicolas15/nicolas15.html
« Last Edit: October 30, 2003, 03:49:03 AM by ฟีโนมีนอน ปาร์ตี้ » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.122 seconds with 21 queries.