Summoner Master Forum
October 02, 2024, 03:31:59 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: นิยายแสงสว่างในความมืดกับอสุราในแดนทิพ ตอนที่ 31 สงครามแห่งครามชิงชัง2  (Read 1562 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
lastfriendder
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 74


Email
« on: June 18, 2007, 03:24:59 PM »

ตอนที่ 31 สงครามแห่งครามชิงชัง2ตอนที่ 31 สงครามแห่งครามชิงชัง2
     ลิเกียนมองดูสายลมที่ก่อตัวเป็นกำแพงล้อมรอบราวลานต่อสู้ที่มีทวยเทพเป็นพยาน อำนาจของดิวาทอร์เมื่อไรพลังของดาบแห่งพระเจ้านั้นคงไม่น่าเกรงกลัวเป็นแน่ ลิเกียนปลอบใจตัวเอง
     คมดาบตวัดเฉียดกายของดิวาทอร์ไป แต่เขายังเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วปรกติ เมื่อตรงเข้าปะชิดกายของลิเกียนเขาก็ใส่เข่าที่กลางท้องแกร่งนั้นจนลิเกียนล้มหงายไปไม่เป็นท่า ดาบกบฏเล่มนั้นหลุดด้วยการจู่โจมอย่างรุนแรงจนลิเกียนร้องโหยหวน เขากำลังหาที่ระบายอารมณ์ร้อนอยู่พอดี กรรมของลิเกียนที่ออกมาหาที่ตายเอง
     “ในนามแห่งจีเนรอส”เสียงของสตรีที่เขาจำได้ เสียงที่เขาไม่มีวันลืมลอยมาจากด้านบนของกำแพงเมือง จีเนรอส เธอมองเขาอย่างขอความเมตตา สายตานั้นทำให้เขารู้สึกว่าเหมือนยักษ์ร้ายที่ขู่คนกว่ายี่สิบคนที่นี้ให้ตัวสั่นได้ “ได้โปรด หากท่านทำบาปมากกว่านี้กรรมของท่านก็จะไม่หมดสิ้น”
     ดิวาทอร์มองใบหน้าของเธออย่างเรียบนิ่งที่สุด แล้วลากลิเกียนขึ้นไปบนหลังม้าแล้วควบออกไปยังกองทัพของเหล่าออร์คที่ออลแอกันดูว่าดิวาทอร์ไปทำกิจอันใด

     รุ่งเช้าเสียงปืนใหญ่ดังสนั่นเขตปราการชั้นสี่ของปราสาท พวกออร์คเริ่มบุกแล้ว จีเนรอสเดินออกมาที่ระเบียงวังเหล่าแม่ทัพต่างออกไปทำหน้าที่ของตนตั้งแต่ระดมคนรบและลำเรียงให้ประชาชนเข้ามาหลีภัยในเขตของพระราชฐานชันที่สามของปราสาท
     เทออสระดมคนไปที่กำแพงเมืองที่ซึ่งพวกออร์คกำลังระดมอาวุธทะลวงประตูทุกประเภทแต่เสียเปล่า กำแพงของเมืองแห่งนี้ทำจากเหล็กกล้าของเทพทอร์และขนาบด้วยภูเขาหินที่ถูกทำเป็นกำแพงเมืองอยู่นานกว่าพันปีจึงถือได้ว่าแข็งแรงมาก หากจะทำลายบานประตูก็ต้องทำลายกำแพงเสียด้วย
     แต่พวกออร์คก็ไม่ได้จนปัญญานำไรโนชุนต่อฐานเป็นเส้าเดินมาที่กำแพงเพื่อให้กองทัพข้ามกำแพงที่สูงใหญ่แห่งนี้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะยิงสกัดได้หลายต่อหลายจุดแต่มันก็มีมากมายจนสามารถข้ามมาจนได้
     “เสียงแตร์ถอนทัพดังสนั่นมหานครแห่งนี้ทหารทุกคนวิ่งโดยไม่คิดชีวิตเพื่อกลับไปยังเขตนครชั้นที่สองทางประตูชัยชนะอธิริก(Sentheric wins Atheric gate) เมื่อตั้งตัวได้ปืนใหญ่หลายต่อหลายตัวที่ประราชฐานใต้แสงดาบบัญลังชั้นเจ็ดก็สามารถยิงได้ เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นไปรอบทิศเพราะเป็นราชฐานบนที่สูง
     ทหารของออร์คต้องใช้กลเม็ดทะลวงประตูอย่างเดียวเพราะไม่สามารถนำไรโนชุนเข้ามาได้ แต่ประตูในที่นี้ก็แกร่งเช่นดียวกับประตูเมืองชั้นนอก
     “พวกเจ้ามัวชักช้าอะไรกันอยู่”ดิวาทอร์ถามด้วยความไม่ปรีดานัก
     “ประตูครับท่าน มันแกร่งยิ่งกว่าอะไรเสียอีก”
     “หลีกไป”ดิวาทอร์คำรามออกไปอย่างหมดความอดทน ก็ควบม้าตรงไปยังประตูที่ว่านั้น เขาลงมาจากหลังม้าแตะเพียงครั้งเดียวกำแพงและประตูก็พังครื่นลง สร้างตามตกตลึงให้กับเหล่าออร์คและมนุษย์โดยรอบ

     มาซิโร่ควบม้าอยู่ภายนอกกำแพงเมืองเขามองกองทัพที่ตรงดิ่งเข้าสู่ใจกลางของอาณาจักรเหล่าซินอื่นๆที่ไม่ขอร่วมทัพและอยู่ที่ค่ายแห่งนี้ สายตาที่มองหาเอทาลัสที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ดิวาทอร์ไปขวางการลอบทำลายจีเนรอส สงสัยเจ้านั้นคงไม่เข้าหน้าดิวาทอร์เป็นแน่
      เอทาลัสแอบลอบเข้าไปภายในเซนทิริก บานประตูมากมายแห่งนี้มีเทพปกป้องแน่นอนว่าพวกนั้นไม่ยอมเปิดให้เขาเป็นแน่ไม่ว่าจะมาด้วยประสงค์ดีอันใด เอทาลัสอุสาลงทุนปีนหน้าผาหินมาทีเดียว แม้ต้องคลุกดินดำให้ตัวดำเหมือนถ่านเขาก็ทำเพื่อให้ได้ไปช่วยนางออกมา
     สายตาของเอทาลัสมองตามร่างผู้หญิงทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เขาแกล้งทำเป็นบาดเจ็บเพื่อให้ได้นั่งอยู่ตรงนี้ที่หน้าค่ายที่ถามมาจากคนในเมืองที่ต่างบอกว่าจะพบองค์รักษ์ของจีเนรอสได้ที่นี้ เจ้าหญิงเหรอ เอทาลัสลอบสบถสบานในใจ องครักษ์ของจีเนรอสเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งฟรีเลเซีย และนางก็สามารถต้านทานจุมพิศของเขาได้ไม่น่าเชื่อ หากเป็นสตรีอื่นแล้วรับรองว่านางได้ครานข้ามกำแพงบ้านั้นมาหาเขาแล้ว
      เรจิน่าเดินออกมาพร้อมวานาแอนที่วิ่งวุ่นไปทั่วค่ายเมื่อทหารบาดเจ็บมากมายกำลังถูกลำเลียงเข้าไปในเขตของกำแพงปราสาทชั้นที่หนึ่งด้วยเหตุว่าผู้สำเร็จราชการทหารเทออสออกคำสั่งเด็จขาดเมื่อประตูเมื่อชั้นที่สองเขตประตูชัยชนะอธิริกถูกดิวาทอร์ทลวงแล้วและคาดว่ากำแพงชั้นที่สามก็จะต้านไม่ได้
     มือลึกลับสีดำดึงเรจิน่าไปหลังกระโจมแห่งหนึ่ง เธอชักดาบตวัดทันทีเพื่องปล่องกันตัวดาบนั้นบาดแขนของชายลึกลับจนเลือดสีเขียวข้นติดมากับคมดาบ แต่ดาบของเธอก็ถูกบิดออกไปโดยมือที่ใหญ่โตกล่าวมือมนุษย์อย่างง่ายดาย ออร์คเธอรู้ทันที นี้เป็นออร์คแน่ๆ เธอจำรสชาติของการถูกข่มเหงโดยเอทาลัสได้ดี
     “ถ้าเจ้าไม่สงบลงข้าจะอุดปากเจ้าด้วยชุดออร์คที่เปื้อนเลือดมนุษย์มาหลายต่อหลายวัน”
     ใบหน้าของเรจิน่าซีดเผือกไปทันทีเธอรีบมองไปในดวงตาสีส้มบนใบหน้าสีดำที่เธอจำเคราใบหน้านั้นไป “เอทาลัส!”เธอพยายามจะร้องออกมามือใหญ่ก็ปิดที่ปากของเธอเอาไว้
     “หากเจ้าจะกัดก็ได้นะ แต่ฝันไปเธอว่าฟันเจ้าจะเข้ากับหนังของข้า หนังออร์คเหนียวกว่าหนังแรดเสียอีก”เสียงนั้นดังเบาๆที่ข้างใบหูของเธอ ดีแท้เจ้าออร์คนี้แอบเข้ามากลางดงทหารเซนทิริกและมาจับตัวเธอ “ข้าไม่ได้มีประสงค์ร้าย ข้ามาช่วยเจ้าออกไปจากที่แห่งนี้ มาทิโร่จะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี้ เขากำลังรอให้ดิวาทอร์ทะลวงถึงปราสาทชั้นเหนือแสงดาบก่อน”
     “ใครคือมาทิโร่”เรจิน่าถามออกไปเมื่อคลายริมฝีปากออกจากมือของเอทาลัส
     “แม่ทัพซินแห่งความศักดิ์สิทธ์ผู้ได้รับมอบหมายจากเอกาลอสให้คุมทัพนี้มากับดิวาทอร์”เอทาลัสเงียบไปเมื่อตะนักได้ว่าตนเองกำลังพูดมากเกินไป “เจ้าจะเดินไปกับข้าดีๆหรือเจ้าจะให้ข้าพาเจ้าออกไปอย่างป่าเถื่อน เจ้าเลือกเองก็แล้วกัน”
     “ข้ายอมตายด้วยดาบของออร์คดีว่าไปกับเจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร”เรจิน่ามองดวงตากระหายหิวคู่นั้น “อยากได้ตัวข้าละสิฝันไปเถอะ”เธอตอบโต้ออกไปก่อนจะได้ยินเสียงคำรามในลำคอของเอทาลัสแล้วร่างของเธอก็ลอยขึ้นไปอยู่บนบ่ากว้างของเอทาลัสทันที เธอได้แต่กรีดร้องแต่ถุงมือหนังที่เหม็นสาบก็ยัดมาในปากของเธอ ร่างเธอถะไลลงมาตามไหล่กว้างแนบชิดกับร่างที่ไม่เหม็นสาบเหมือนครั้งที่แล้ว อย่างน้อยเจ้าออร์คนี้ก็ปรับปรุงตัวขึ้น แต่มือของเธอก็ถูกรวบมัดด้วยผ้าที่เอทาลัสกล่าวว่าจะใช่อุดปากเธอทำให้เธอเดือดดานขึ้นเป็นทวี
     “ข้าไม่ยอมให้คนงามอย่างเจ้าถูกแม่ทัพซินแห่งความรู้ (Sinofiroa, the grand-sin of Knowledge)ส่งตัวเจ้าไปเป็นของเล่นในสวนสนุกของซาตานหรอก เจ้าไม่เคยเห็นที่แห่งนั้นแต่ข้าเคยเห็น รับรองว่าเจ้าจะขอบใจข้าที่พาเจ้าหนีออกไปจากความชั่วร้ายนั้น”เอทาลัสเดินไปที่ทางหน้าผ่าที่อยู่อีกทางของปราสาทตรงนันมีเชือกคล้องอยู่
     เอทาลัสถะไลตัวลงตามเชือกนั้นลงไปที่ด้านหลังของมหานครแสงสว่างสาดลงมาถูกผิวที่ทาไปด้วยสีดำก็เกิดควันขึ้น เสียงคำรามดังอยู่ในอกผ่านเข้ามาตามกล้ามเนื้อแขนของเขา แล้วเอทาลัสก็ดึงถุงมือหนังออก
     “เจ้าทำเชือกบาดมือข้า”เอทาลัสชี้นิ่วเชิงคาดโทษ
     “เจ้าบ้าที่เอาถุงมือปิดปากข้าและพาข้าออกมาแบบนั้น”เรจิน่ามองแสงที่ทำให้ผิวของเอทาลัสควันขึ้น “เจ้าเป็นอะไรทำไมควันถึงขึ้นมาที่ตัวเจ้า”เอทาลัสรู้สึกตัวเป็นครั้งแรกก็รีบกระโดดเข้าอยู่ใต้เงาไม้ “พวกออร์คไม่ชอบแสงเพราะแสงทำให้เราแสบตา แต่ข้าถูกสาป- อย่าหวังว่าแสงจะทำให้ข้าแสบตา”
     “ระวังตัวแล้วกันที่ท่านบอกข้า”เรจิน่าพูดเบาๆ “ท่านคิดจะพาข้าไปอยู่กลางดงแม่ทัพซินของท่านเช่นเดียวกับวิโอเรียหรือ”เธอรีบถามออกไปเมื่อเอทาลัสเดินมา
     “ไม่มีทางจะเป็นอย่างนั้นหรอกเราจะหนีไปจากสงครามนี้”เอทาลัสพาเธอเดินไปตามลำน้ำ เรจิน่าซึ่งตกตลึงที่แม่ทัพซินแห่งสงครามต้องการออกจากสงครามแห่งนี้เธอได้แต่มองแผ่นหลังที่เดินอยู่เบื่องหน้า สายตาไม่กระพริบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
     “ตลกแล้ว”สายตาสีเขียวของเอทาลัสมองกลับมายังใบหน้าขาวซีดของเรจิน่า
     “สายตาข้าบอกเจ้าว่าข้าพูดเล่นหรือเปล่าละ”

     จีเนรอสเดินยามกายอยู่ที่ระเบียงของปราการดาบมองลงมาเห็นแสงไฟที่เผาไหม้มหานครแห่งนี้ เผาผลานทุกอารยธรรมที่สั่งสมมาและความทรงจำมากมายของหลายต่อหลายคน เสียงร้องโหยหวนดังสับกับเสียงอาวุธหนักประทะกันเป็นช่วงๆไม่มีหยุดหย่อน
     สายตาของดิวาทอร์มองมายังจีเนรอส เธออยู่ในชุดสีขาวงดงามและผ้าขาวที่เปล่งประกายต้องแสงเงินยวงของแสงอ่อนๆที่ทะลุม่านเมฆลงมา
     ประกายต้องแสงที่หยาดหยดลงมาจากใบหน้าขาวงดงามนั้นกำลังสื่อบางอย่างกับเขา และแล้วคาฑาแสงก็ก็ถูกร่ายออกมาแสงสว่างนั้นสาดส่องแตกสลายกลายเป็นแสงระยิบระยับกระจายรอบๆกายของจีเนรอส และแสงนั้นรวมกับสายลมที่หมุนตัวอยู่รอบกายของเธอ
     แสงสว่างพุงทะลุท้องฟ่าลงมาที่ปราการดาบทำให้แสงสว่างสาดส่องกระทบเป็นคมคลื่อนไปที่กองทัพออร์คที่กำลังบุกเข้ามา แสงนั้นเปรียบเป็นม่านที่ปกป้องอาณาจักรเอาไว้ แต่เหล่าออร์คที่อยู่ภายในก็ออกไปไม่ได้
     ท้องฟ้าแหวกออกให้เห็นเทือกเขาโอลิมปัส (Olimpus, the mountain of God) และสวรรค์ที่อยู่เบื่องล่างทั้งสอง (Odin honor field), (Yggdrasil basal heaven) ท้องฟ้าเหนือโอลิมปัสแหวกออกอีกครั้งสวรรค์ชั้นเทียร่า(Teara, the mirror earth heaven) ส่องแสงสว่างแห่งสวรรค์ที่ทรงอำนาจบนกลีบเมฆสีทองอร่าม กลีบวิมาณเมฆทั้งหลายหลีกห่างออกจาแนวแสงสว่างที่สองสว่างออกมาจากแนวปราการหินแก้วงดงามที่ต้องแสงอาทิตย์อันทรงคุณค่าสงแสงสว่างหลากสีลงมา (Crytaline De Grand-Eden) มหาสวรรค์เศษเสียวของสวนสวรรค์ที่ประเป็นเจ้าไปแบ่งออกเป็นส่วนๆ แล้วความมืดมิด(Neverland, the High heaven) ก็ปรากฏเหนือแสงสว่างแสนงดงามนั้น แล้วแสงสว่างสีทองอบอุ่นก็แทงทะลุลงมาที่ปราการดาบพร้อมสวรงสวรรค์แห่งความว่างเปล่าได้สลายหายไป
      ดิวาทอร์มองขึ้นไปบนชั้นๆของสวรรค์ต่างๆ เรียบมองความสายเส้นแห่งแสงสว่างที่โยงใยประกายแพรวพราว ปราการดาบที่ต้องแสงแสงปีของเทพที่อยู่เบื่อนบนนั้นก็สาดประกายแสงแรงกล้ามากกว่าที่เคยพบเห็นมาก่อน ดาบแห่งพระเจ้าของดิวาทอร์สงบแสงแห่งสวรรค์ลงอย่างรู้ว่าเทพที่อยู่เบื่องบนนั้นได้บัญชามา
     ชุดเกราะสีดำที่นิ่งสงบอยู่เหนือทองฟ้าแสงสวรรค์ อเลทาดอส (Aletados, protector god และ Galexliric, kingdom of heaven) ปีกสีขาวกางออกพร้องแสงสว่างระยิบระยับที่เปล่งประกายอยู่รอบกายของอเลทาดอส แสงสว่างนั้นร่วงตกลงมาพุ่งเป็นประกายนับล้านเส้นตรงลงมายังร่างของออร์คที่อยู่ภายในมหานครเซนทิริก(Newclear Feathers)
      เหล่าออร์คที่มองขึ้นไปยังแสงสว่างที่ตรงดิ่งลงมาอย่างตกตลึงไม่ทันหลบแสงนั้น เมื่อกระทบร่างก็ทำให้กายของออร์คสลายเป็นฝุ่นผง
     ดิวาทอร์มองใบหน้าของอเลทาดอสก่อนตวัดดาบพุ่งตรงเข้าไปหาเบื่องบน “อเลทาดอส!”
     “ดิวาทอร์... เจ้าจะสู้กับข้าหรือ?”
     “แน่นอน ดีที่เจ้าไม่มีทางหนีข้าไปได้หรอก”
     “เจ้าเจ็บแค้นอะไรมากมายนักทำไมต้องการสู้กับข้า...”อเลทาดอสสบัดปีกเล็กน้อยทำให้สายลมพัดดิวาทอร์ลงมาเล็กน้อย ดิวาทอร์ตวัดดาบของพระเจ้าเกิดเป็นพลังของเทพแห่งการทำลายตรงเข้าไปหาอเลทาดอส
     ปีกแห่งแสงเทพเจ้า(Aletados armor, Holy shield of god) ปกปิดกายของอเลทาดอสเอาไว้ได้ราวกับพลังนั้นเป็นแค่คลื่นอากาศผ่านเฉียดปีกของอเลทาดอส(Imperial guard) เมื่อปีกก้างออกอีกครั้งก็มีคลื่นแสงยิงออกมาพลังแสงนั้นรวมกับพลังของแก้วมณีของสวรรค์ชั้นอีเดนหลายชิ้นที่ลอยอยู่รายรอบกายของอเลทาดอส(Holy Universe Newclear) ผลักให้ดิวาทอร์ตกลงมากะแทกพื้นแผ่นดินดังสนั่นไปทั่วทุกทีศ
     แผ่นฟ้าได้ปิดลงและความมืดมิดได้มาปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง แต่ทุกสายตามองไปยังกลุ่มฝุ่นที่ลอยอยู่เหนือจุดที่ดิวาทอร์ตกลงมา แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นแสงจากปีกของจีเนรอส เธอลอยลงมาจากระเบียงของปราสาทหยุดอยู่ที่เบื่องหน้าของดิวาทอร์
     ดิวาทอร์นอนราบมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างคาดไม่ถึง เขาไม่คิดว่าอเลทาดอสจะเอาชนะดาบของพระเจ้าได้และไม่คิดว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าเช่นนี้
     “ดิวาทอร์”เสียงอ่อนของจีเนรอสผ่านอากาศมาสู่โสตประสาตของเขา
     “เจ้าไม่กลัวข้าพระเจ้ารู้ดีว่าอเลทาดอสเอาชนะข้าได้ เจ้าจะอยู่หลังพี่ชายที่หักหลังเราอย่างนั้นหรือ”
     “อเลทาดอสไม่เคยหักหลังเรา และทำไมท่านคิดแต่เรื่องนั้นมันราวกับท่านไม่เคยรับรู้เรื่องราวของสงครามปิดสวรรค์(Loyal & Fake War)มาก่อนเลย อเลทาดอสพิพากษาเราเรื่องนั้นไปแล้วท่านจำไม่ได้หรือ”จีเนรอสนั่งลงมองใบหน้าที่กระตุกอย่างไม่สบอารมณ์ของดิวาทอร์
     “ข้าจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเจ้าอเลทาดอสนั้นก็ไม่เคยพิพากษาเรามาก่อน”ดิวาทอร์มองใบหน้าของจีเนรอสที่ซีดเผือกไป เธอเลือนมือที่สั่นไปตามแนวสันกรามบนใบหน้าของดิวาทอร์ที่หยาบกรานด้วยเคราที่เขียวครึม
     “ท่านจำลาฟิเดลารี่ ทิชินเยอร์น่า(Tichijerna, queen of SUTAWTANAGORN)ได้หรือไม่ดิวาทอร์ข้าจำได้ว่าท่านคือพาลโตมาส(Paltomas, general of SUTAWTANAGORN) ท่านจำชาติภพนั้นได้ไหม” สายตาของจีเนรอสมองไปยังดวงตาที่ทองของดิวาทอร์ “เอกาลอสทำอะไรท่าน”จีเนรอสถามพร้อมสัมผัสจิตใจของดิวาทอร์ เธอยอมเสี่ยงเปิดเผยทุกอย่างของเธอเพื่อได้ล่วงรู้ทุกอย่างของเขา
     “จิเนรอส- ข้า ข้าไม่รู้เรื่องนั้นเลย”ดิวาทอร์ทรุดลงนั้งคุกเข่าอยู่เบื่องหน้าของจีเนรอส “ได้โปรดจีเนรอส อภัยให้ข้าด้วย” ดิวาทอร์มองขึ้นมาบนใบหน้าของจีเนรอสที่ปริมไปด้วยน้ำตาและหยาดน้ำตานั้นได้หลั่งรินออกมา
     จีเนรอสมองขึ้นบนท้องฟ้า “ได้โปรดอเลทาดอสข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดดิวาทอร์ถึงทำเช่นนี้ ได้โปรดอภัยให้เขาด้วยเถิอด ได้โปรดเถิอดสรวงสวรรค์ของพระองค์”แสงสว่างพุ่งลงมาที่กายของทั้งสองอีกครั้ง
     เมื่อแสงสว่างจางหายไป สายตาของทหารเซนทิริกและออร์คก็มองร่างของดิวาทอร์ในชุดเกราะสีเงินที่กอดกระชับจีเนรอสไว้แนบอก สายตาที่อ่อนโยนเปลี่ยนเป็นแข็งกราวอีกครั้ง
     “ข้าขอโทษจีเนรอส ข้าจะจัดการเรื่องยุ่งๆนี้เอง”ดิวาทอร์เดินไปยังกองทัพของเหล่าออร์คเมื่อหยุดยืนอยู่เบื่องหน้ากองทัพใหญ่ของเหล่าออร์ค เสียงที่เงียบราวกับรอคำสั่งสายตาของดิวาทอร์มองไปยังดาบแห่งพระเจ้าที่หักคืนเดิมแล้วก็มองไปยังมาทิโร่
     มาทิโร่ควบม้าขึ้นมาหน้ากองทัพเพื่อมองดูดิวาทอร์อย่างไม่เชื่อสายตา “ดิวาทอร์เจ้าจะเอาเช่นใดต่อ”
     “ข้าต้องการให้พวกเจ้าถอนทัพกลับไปสะก่อนที่พวกเจ้าจะต้องสูญสิ้นอยู่ที่นี้”มาทิโร่หัวเราะอย่างสุดเสียง
     “เจ้าไม่มีแม้แต่อาวุธคิดหรือว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้”มาทิโร่ควบม้าไปอยู่เบื่องหลังเล็กน้อย “ดิวาทอร์หักหลังพวกเจ้าเช่นเดียวกับอเลทาดอสแล้วฆ่ามันสะทหารทั้งหลาย”มาทิโร่กล่าวจบกองทัพออร์คก็ตรงเข้ามาราวกับนำป่าทะล้มทะลายใส่ดิวาทอร์
     ดิวาทอร์ผายมือออกอย่างรวดเร็วดาบหกเล่มก็พุ่งลงมาจากฟ้าปักลงมาที่พื้นสร้างคลื่นผลักเหล่าออร์คที่ตรงเข้ามากะเด้นออกไปเป็นร้อย (6 swords of god) เมื่อดิวาทอร์พุ่งทะยานออกไปพร้อมกับดาบทั้งหกที่ลอยรอบกายของดิวาทอร์เมื่อควบไปใจกลางของกองทัพดิวาทอร์ก็ตวัดดาบเปลวเพลิงศักดิ์สิทธ์ซึ่งมีคมดาบเป็นไฟ (Faraidaminae sword) หมุนควางในอากาศสร้างความเสียหายให้กับเหล่าออร์คที่อยู่ในวิถีดาบ
     พวกตัวเขียวมัวแต่ล้นลามดับฤทธิ์ของดาบเปลวเพลิงศักดิ์สิทธ์ ดิวาทอร์ก็ตวักดาบทูตสวรรค์(Excariaberrea sword) เข้าจัดการอย่างไม่มีเมตตาใดๆ เหล่าออร์คสายเลือดอเลทาดอสบางตนมีพลังแห่งเทพโลกิปกป้องอยู่ทำให้หลุดพ้นจากพลังของการโจมตีที่ดิวาทอร์สร้างขึ้น
     คมดาบรวมธาตุสวรรค์ล่ม(Eliminata Fusedanae sword) ตวัดทำลายพรนั้นและสังหารออร์คที่ขวางคมดาบอย่างไม่ปราณี
     มังกรนรก(Shadow wings dragon) หลายตัวบินตรงลงมาหวังตะคลุบจับดิวาทอร์และขบกินเขา ดิวาทอร์ก็จับดาบปราบมังกร(Customudaga sword) ตัดหัวมังกรตัวนั้นและอีกหลายๆตัวที่ตรงเข้ามา เมื่อลงมาจากฟ้าพร้อมกับซากมังกรที่ตกลงมาเหล่าออร์คก็รุมล้อมเข้ามาอย่างไม่ปราณี
     สายฟ้าฟาดเกรียวกราวออกจากคมดาบขนาดใหญ่ของดาบสายฟ้าโอลิมปัส(Thereanaolimparagos sword) ผ่าแยกแนวรบของเหล่าออร์คออกเป็นวงกว้าง ดิวาทอร์คว้าร่างของมาทิโร่กะชากลงมาจากหลังม้า
     ร่างใหญ่รีบกุรีกุจอลุกขึ้นและมองดิวาทอร์อย่างไม่คาดสายตา คมหอกโจมตีสวนกลับใส่ดิวาทอร์อย่างไม่น้อยหน้า ดิวาทอร์ตวัดดาบรวมธาตุสวรรค์ล้มจัดการโล่ยักจนแหลกละเอียดก่อนจะตามด้วยคมดาบราชสีห์เหมัน(Lionfrozen sword) โจมตีต่อเนื่องใส่มาทิโร่อย่างรวดร็ว
     เมื่อดิวาทอร์ลงดาบสุดท้ายและถอยออกมาเกราะบนร่างของมาทิโร่ที่แข็งแกร่งก็แตกเป็นชิ้นๆ ดิวาทอร์หันมามองมาทิโร่ที่ตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง แล้วเขาก็มองขึ้นบนท้องฟ้า
     “ทวยเทพแห่งกาเล็กซิริก”ดิวาทอร์คำรามสนั่นอาณาจักรของเขา แสงสว่างก็สาดทะลุเมฆดำลงมาพร้อมราชสารที่ดิวาทอร์รู้ดีว่านั้นหมายความว่าอะไร “มาทิโร่ เทพแห่งความศักดิ์สิทย์ท่านคิดไม่ซื่อต่อพระบิดาและผู้สำเร็จราชการของท่านอเลทาดอส โทษของท่านคือประหารชีวิต และดวงวิญญาณของท่านจะเป็นของซาตาลตลอดกาล”ดิวาทอร์พูดจบก็เรียกจิตของดาบแห่งพระเจ้ามาและตรงเข้าปลิดชีพมาทิโร่อย่างงายดาย
     เหล่าออร์คถอยห่างออกจากดิวาทอร์ที่เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง จีเนรอสเดินมาเบื่องหน้าของดิวาทอร์และมองใบหน้าของดิวาทอร์ที่หอบเหนื่อยเล็กน้อย สายตาอ่อนโยนของเธอส่งไปยังกองทัพออร์คและกองทัพซินที่อยู่เบื่องหน้ากองทัพอสูรตัวเขียวนั้น
     “ในนามแห่งเทพแห่งการสร้าง(Generos, generationer god) พวกท่านไม่ควรจะเอาชีวิตที่ระองค์สร้างสรรค์ขึ้นมาทิ้งที่แห่งนี้ จงกลับไปเสีย” จีเนรอสมองเหล่าออร์คที่ยังหึมหัมพร้อมรุกข้ามาหากดิวาทอร์ไม่ตวัดดาบปักสร้างเสียงคำรามขึ้นที่พิ้นแผ่นดิน
     คาฑาส่องแสงกวาดไล่เมฆครึมออกจากท้องฟ้าแล้วแสงอาทิตย์ยามสายแรงกล้าก็สาดแสงลงบนแผ่นดินแห่งเซนทิริกกวาดขับไล่ออกไปจากท้องฟ้าเหล่าออร์คถอยกรูไปพร้อมๆกับเหล่าซินออกจากแผ่นดินของเซนทิริกอย่างไม่คิดชีวิต
     
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.168 seconds with 21 queries.